มาร
ชื่อผู้เขียน พญ อมรา มลิลา
วันที่ 23 สิงหาคม 2532
ณ ตึก 84 ปีชั้น 11 โรงพยาบาลศิริราช โครงการ “การใช้ธรรมในหอผู้ป่วย”
หมวด
ตามคำจำกัดความของท่านพระเทพเวที มาร คือ คือที่ฆ่าคนให้ตายจากความดี หรอ จากดีงที่เรามุ่งหมายไว้ เพราะฉะนั้นว่าไปแล้ว มารก็คืออุปสรรคทั้งหลายนั่นเอง อะไรทิ่เราตั้งใจดีเอาไว้ แล้วไม่เป็นไปตามความตั้งใจของเรา เราก็เอาใส่กระโถนใบใหญ่ว่า มารจริง ๆ แต่ถ้าดูให้ดี มาร จริง ๆ คือตัวเรา เราเป็นมารของตัวเราเองสังเกตดูสิคะ เราจะตั้งใจดีเสมอ ก่อนทำมีแผนอย่าง นั้น ๆ แต่พอถึงเวลาเข้าจริง...อย่าเพิ่งเลยนะ เอาไว้เดี๋ยว ก่อนเถอะ ตกลงเรานั่นเองพี่ชัดฃวางตัวเราจากการเป็นคนดี แล้วก็ละเลยที่จะกระทำสิ่งที่ควรทำเสมอ ๆ แต่เราไม่ค่อยเห็น ข้อนี้กัน และเมื่อไม่เห็นข้อนี้ เราก็ให้อภัยตัวเองอยู่เรื่อย ๆ แต่คอยไปจับมีดคนอื่น ยิ่งเราเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ไม่ลูกมีเต้ามี ลูกน้อง มีความรับผิดชอบ เรายิ่งรู้สืกว่าเป็นหน้าที่ของเรา ต้องคอยจับมารในหัวใจคนอื่นให้ได้ แต่ลืมจับมารในหัวใจ ตัวเอง เลยทำให้ลูกเราบ้าง ลูกน้องเราบ้าง เกิดความเซ็งแล้วแอบนินทา ..ดูสิ.. ทำเป็นว่าเขา แต่ตัวเองไม่รู้จักสอนตัว เกือบจะทุกแห่งที่ดิฉันไปพูด มักมีคำถามว่า คนคนอื่นไม่ดี คนโน้นก้าวร้าว คนนี้ไม่ให้ความร่วมมือ คน อื่นเป็นตัวปัญหา ทำอย่างไรถึงจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ ดิฉัน กราบเรียนว่า เมื่อมีอะไรเกิดขึ้น เราหมุนมาแก้ที่ ตัวเรา ก่อน ถ้าสถานที่ที่เราอยู่มีปัญหา มีมารเยอะ ก็แปลว่า เราเป็น เชื้อแพร่ปัญหา แพร่มาร มันถึงมารวมตัวเป็นกลุ่มเป็นก้อน อยู่ตรงที่ของเรา ให้เราเริ่มต้นคิดอย่างนี้..การคิดอย่างนี้ไม่ ได้เป็นการโทษตัวเอง หรือทำให้รู้สึกว่า เราหมดคุณค่า แต่ เป็นวิธีที่ช่วยให้เรามีเรี่ยวมีแรงแก้ปัญหา
ไม่อย่างนั้น ถ้าเราคิดว่าทุกคนเป็นปัญหาหมด โลก นี้ไม่ดี. .การจราจรติดขัด เราจะต้องไปพูดกับหัวหน้าหน่วย จราจร เราจะต้องไปทำอย่างโน้น ทำอย่างนี้ ซึ่งยุ่งยาก แต่ถ้าเราตั้งในใจว่าเราแก้ที่ตัวเรา มันแก้ง่าย เพราะเริ่มต้น ได้ทันที เราตกลงได้ว่าจะแก้ไขตัวของเราอย่างไร เราไม่ ต้องไปขออนุญาตใคร ไมต้องทำหนังสือร้องเรียน แล้ว รอคอยคำอนุมัติ ทำให้สินเปลืองเวลาไปหนึ่งขั้นตอนแล้ว แล้วก็เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกต้องตามธัมมะ คือ หมุนเข้า มาแก้ที่ในใจ ในกายของเราก่อน ก่อนที่จะไปแก้คนอื่น
อุปมาอย่างไฟ ถ้าไฟล่องไม่ดี แสบตาเรา แทนที่ เราจะไปโทษว่า พื้นห้องจ้า ฝานสะท้อนแสง เราคิด..ไฟคง ไม่เหมาะ เราหาอะไรมาบัง บิด ปรับมุมให้ส่องลง ส่องเฉียง มันก็แกไขได้ ไม่ต้องไปอาศัยเครื่องไม้เครื่องมืออื่นเมื่อเรารู้จักมารภายใน คือตัวเรา ใจเราแล้ว คราวนี้ เรามาดูว่า ท่านผู้รู้ท่านจำแนกมารไว้อย่างไรบ้างตามตำราจำแนกมารได้เป็น 5 ชนิดใหญ่ ๆ 1 ) กิเลสมาร คือกิเลสที่มาเป็นตัวขัดขวางคุณงาม ความดี หรือท่าให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลายประสบความพินาศ ท่าไมเราถึงว่ากิเลสเป็นตัวที่ขัดขวางหรือจำกัดคุณงามความ ดี หรือท่าให้เราประสบความพินาศ ก็เพราะว่า กิเลสคือ ตัวขัวร้ายทั้งหลายที่มายุให้รำตำให้รั่วอยู่ในหัวใจเรา จริง ๆ แล้วกิเลสไม่มีตัว ไม่มีตน เป็นความนึกคิดที่มาหลอกส่อ เหมือนกับเงาที่หลอนอยู่ในใจเรา แล้วท่าให้เราไล่ตะครุบตาม ท่านอาจารย์เคยเล่าให้พิงว่า มีพระองค์หนึ่งนั่ง ภาวนาแล้วเกิดนิมิต ถ้าเราจะเทียบเคียงกิเลสเป็นเหมือน นิมิตหรือความฝืนของเรา มันก็คงท่าให้เราเดือดร้อนท่านอง เดียวกับพระองค์นี้ท่านนั่งไป ก็นิมิตเห็นเป็นดวงแก้ว สวยงามมาก ท่านว่าท่าน นั่ง อยู่นี้ แต่ใจของท่านไปจดจ่อตามจับอยู่กับ นิมิตดวงแก้วก็ค่อย ๆ ลอยห่างออกไปเรื่อย แล้วก็ลอยสูงขึ้น
สูงขึ้นทุกทีใจทานก็ป็นขึ้นต้นไม้ตามไป ดวงแก้วก็ลอย วนเวียนหลอกล่อให้ท่านไต่ตามกิ่งไม้ออกไปไขว่คว้าเหมือน จะตะครุบไว้ได้ ในที่สุดปรากฏว่ามันลอยหลุดไป
ตัวท่านว่า ท่านนั่งอยู่ ในนิมิตต่างหากที่ท่านไล่ ตะครุบดวงแก้ว จนมันเลื่อนห่างออกจากตันไม้ไป แต่ความ เป็นจริงนั้น ตัวของท่าน ลุก ขึ้นวิ่งตามเงาในใจไป นิมิต ก็คือเงาหรือความฝัน ว่าไปตามจริง ดวงแก้วนั้นไม่มีหรอก พอท่านรู้ตัวขึ้น ปรากฎว่า ท่านไม่ได้อยู่ตรงที่นั่งภาวนา แต่ ขึ้นไปอยู่บนกิ่งไม้ และไต่ไปอยู่เกือบจะสุดปลายกิ่ง เวลาขึ้น ท่านมุงตามดวงแก้วไปเรื่อย แต่เวลาจะลง ไม่มีดวงแก้ว ไม่มีนิมิตอะไรเหลืออยู่แล้ว ท่านบังเกิดความกลัว ไม่รู้จะ ไต่กลับมาที่โคนกิ่งอย่างไร เพราะพอขยับ กิ่งไม้ก็อ่อน ยวบยาบเหมือนจะหัก จะลงนั่งก็นั่งไม่ได้ ไม่รู้จะช่วยตัวเอง อย่างไร ท่านเลยต้องร้องเรียกหมู่พวกให้มาช่วย ..เกือบไป แล้ว.. ถ้าท่านยังไขว่คว้าตามดวงแก้วต่อออกไปอีกนิดเดียว ก็คงหล่นจากต้นไม้ลงมากระดูกหักแหลกเหลวไปแล้ว
ล้าเราจะเปรียบเทียบกิเลสเหมีอนดวงแก้วนั้น ก็ไม่ ผิดกัน จริง ๆ แล้ว กิเลส ไม่มีตัวไม่มีตนหรอก หากคือสิ่งที่ เรานึกคิดขึ้นมา ถ้าเป็นอย่างหยาบ ๆ ก็เรียกว่า โลภ โกรธ หลง คนทุกคนคงเคยโลภ เคยโกรธ เคยหลงมาแล้วความโลภนี้มองเห็นได้ชัดเจน ดังตัวอย่างของคนงานที่ โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เธอเพิ่งแต่งงาน อยากจะมีบ้านของ ตัวเอง เก็บสตางค์ทั้งของตัวเองและของสามีมารวมกัน นับ แล้วยังมีไม่พอจะสร้างบ้านได้ พอดีเพื่อนในที่ทีางานตั้งวงแชร์ แล้วมาชักชวนให้เธอไปลงแชร์กับเขา รับรองว่าดอกเบี้ย ที่จะได้ไม่ทันถึงปีหรอก ก็ท่วมทุน เหลือพอจะสร้างบ้านเสียอีก ระหว่างนี้เธอเข้าไปอยู่ในบ้านพ่อแม่สามี มีความ อึดอัดใจเป็นก็าล้ง เอาเรื่องแชร์ไปเล่าให้สามีฟังทีไร สามีก็ไม่ เห็นด้วย เพราะถูกอบรมมาว่า การหาเงินต้องได้มาด้วย นํ้าพักนํ้าแรง จะไปหวังเสียงโชคอะไรอย่างนี้เป็นสิงเลื่อนลอย ฟังดูแล้ว ผลประโยชน์มันมากจนเหลือเชื่อว่าจะมีแชร์อย่าง นี้อยู่ในโลก สามีจึงปรามเอาไว้ ให้อดทนไปอีกหน่อยเถิด อีกสัก 2 ปี คงเก็บหอมรอมริบได้พอ คราวนี้แหละ เราก็ จะมีบ้านของเราได้ ไม่ต้องนอนอกสันขวัญบินว่า เอาสตางค์ ไปเสียงโชคกับเขาแล้ว เขาเลยพาเอาต้นสูญไปไหนก็ไม่รู้ ตอนแรกภรรยาก็เชื่อฟังสามี แต่เหตุที่ทำงานอยู่ที่ เดียวกัน เพื่อนคนอื่น ๆ ต่างก็มาลงแชร์นี้ และตัวท้าวแชร์ คอยพูดจาหว่านล้อม ใจของเธอก็เอนเอียงอยู่แล้ว อยาก มีบ้านเป็นของตัวเอง วันหนึ่งก็ใช้ความกล้าสุดชีวิต เอา สตางค์ของตัวเองและของสามีที่มีอยู่ทั้งหมด หอบไปลงแชร์กับเขา แล้วก็ฝันหวานว่า ไม่ทันถึงสินปีนี้แหละ เราจะทำให้สามีทึ่งว่า เรามีสตางค์ไปปลูกบ้านอยู่กันเองได้เมื่อลงแชร์ไปไม่ถึง 3 เดือน ท้าวแชร์ก็อันตรธาน ไป ทุกคนในทึ่ทำงานหน้าซีดไปตาม ๆ กัน แต่ไม่มีใคร หนักเท่าเธอคนนี้ เพราะเธอลงทุนไปเรียกว่าหมดเนื้อประดาตัวเลย พอรู้ว่าท้าวแชร์หายไป ก็กลัวว่าสามีต้องฆ่าเธอทิ้ง แน่ ๆ เลย เพราะเขาห้ามปรามแล้ว ยังแอบไปทำสิงที่เขา ห้ามอีก ความกลัวความตกใจทีไม่รู้จะอธิบายกับเขาว่าอย่างไร เลยพาตัวเองปีนขึ้นไปถึงชั้น 8 จะเหาะลงมา ..กระโดดลง มาจากชั้น 8 ให้มันจบปัญหาไปเสีย บังเอิญเพื่อนฝูงรู้เข้า ก็ไปยื้อยุดฉุดเอาตัวกลับลงมาได้ พาไปให้คุณหมอเวรฉีดยา ไห้หลับ แล้วช่วยผลัดกันเฝ็าอย่างเข้มแข็ง
เคราะห์ดืทึ่เจ้านายของเธอเป็นคนมีความเห็นอกเห็นใจ เลยไปเรียกตัวสามีมา แล้วตัวเองนั่งเป็นคนกลาง ไกล่เกลี่ย ให้เขาพูดปรับความเข้าใจกัน อย่างน้อยทึ่สุด สามีก็เกรงไจ เจ้านาย ไม่ถึงขั้นจะฆ่าจะแกงกัน เจ้านายก็หาทางออกให้ว่ๅ ไม่เป็นไรหรอก เงินทองของนอกกาย ถ้าไม่ตายก็หาใหม่ได้ และก็ช่วยหางานพิเศษให้ทั้งสามี ทั้งตัวเธอเองทำในวันหยุด เพื่อหารายได้เพิ่ม เธอก็ดีขึ้น
จากตัวอย่างเรื่องนี้ ถ้าเราไปปรับโทษว่าท้าวแชร์ ชั่วร้ายโกง เราก็แก้ไม่ถูกปัญหา เพราะจริง ๆ แล้ว ท้าวแชร์ จะพูดจาหว่านล้อมเราอย่างไร ๆ ยุให้รำตำให้รั่วอย่างไร ถ้า เราไม่มีความโลภ เราไม่มีกิเลสมาร คือ ความโลภอยู่ในใจ ของเรา ต่อให้ใครมาพูดจนกระทั่งปากเขาฉีกถึงท้ายทอย เราก็ไม่ควักสตางค์ของเราไปให้เขา ถูกหรือไม่ ?เขาไม่ได้ขู่เข็ญบีบบังคับเรา เขาไม่ได้มาล้วงสตางค์ ไปจากลิ้นชักเรา แต่เราเอง..เรามีแอความอยากอยู่ในใจ เราจึงทอดใจออกไปฟังเขา แล้วก็คล้อยตาม แล้วก็เริ่มติด เชื้อ เห็นเป็นจริงเป็นจังว่า เงินค่อยงอกเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น จนเราทนไม่ไหว เลยเอามือเราไปเป็นขี้ข้าของกิเลส หยิบสตางค์ของเราด้วยความเต็มใจยินดี หรือคนบางคนก็ ด้วยความเสน่หาพอใจ เอาให้เขาไป เสร็จแล้วกลับกลาย เป็นความแค้นเคืองต่อกันนี่แหละค่ะ กิเลสมันน่ากลัวอย่างนี้ เวลาที่กิเลส มาหลอกให้เราเชื่อตามจนตกหลุมพรางของมันนั้น เราไม่ ได้คิดว่ามันเป็นกิเลส เราไม่ได้คิดว่ามันเป็นมาร ตรงกันข้าม เราเห็นว่ามันน่ารัก น่าเชื่อ น่าไว้วางใจที่สุดเลย จนดูสิ สามีเราที่เรารักที่สุด เรายังไม่ฟังเสียงเขาเลย แล้วยังแอบทรยศนอกใจ เอาทรัพย์สมบัติทั้งของเราและของเขาไปให้ คนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายตีนได้จนหมด นี่แหละค่ะ ถ้ารู้จัก
เราตงนาพิกาปลุกเอาไว้ ครั้นถึงเวลาที่ปลุก เครื่องจะไป เปิดสวตข้วิทยุให้ดังขึ้นเอง ทั้งที่เรายังไม่ทันตื่นลืมตาขึ้นมา ทำอะไรเลย รีโมทคอนโทรลรู้หน้าที่ รับผิดชอบดีเรียบร้อย นี่ก็เหมือนกัน กายของเราก็ดี วาจาของเราก็ดี ของที่ดีที่งามมักไม่ค่อยจดค่อยจำ ทำเหมือนอย่างกับว่า ทาด้วยกาวแห้ง ๆ เสือมประสิทธิภาพ ติดแล้วประเดี๋ยวก็ ส่อนหลุดออกไป ติดใหม่แล้วก็ล่อนหลุดออกไปอีก ส่วน ของที่ไม่ดีนั้นทาด้วยกาวชั้นพิเศษ ยิ่งไปกว่านั้น ยังพัฒนา เราให้เก่งกล้าขึ้นไปอีก จนเรากลายเป็นคนทั้งเจ้าโทสะ หงดหงิด ปากคอเราะร้าย สารพัดหมดเลย แล้วเราก็ไม่ รู้ตัวของเรา กลับไปโทษผู้อื่นว่า ..คนไข้ซิกวนโทสะเรา.. พวกน้อง ๆ ก็เหมือนกัน นอกจากไม่ช่วยแบ่งเบาภาระแล้ว ยังทำให้เราปากเป็นชักยนต์ พูดอะไรก็ไม่จดไม่จำ ..เหนื่อย.. เหนื่อยเหลือเกิน แต่เราไม่เพ่งโทษที่ตัวเรา
จริง ๆ แล้วเราเองปล่อยตัวของตัวให้กิเลสมาครอบครอง ขัดขวาง กำจัดเราจากคุณงามความดี แล้วก็เลยดึง เราให้ประสบความพินาศไปเลย เพราะว่าเรากลายเป็นรัง ของกิเลสไปแล้ว บางโอกาสเราฉุกใจจะแก้ไขก็ พอดี..วันนี้ เหนื่อยเหลือเกินแล้ว เอาไว้พรุ่งนี้ก่อนเถอะ.. ในที่สุด ก็ เหมือนคนบางคนที่พอเพื่อนฝูงทักท้วงเข้า แทนที่จะหยุดคิด แล้ว่ขอบคุณ กลับสะบัดเสียงใส่เพื่อนยู่งว่า เธอก็รู้อยู่แล้ว ว่าฉันเป็นคนไม่ดี ถ้าเธอไม่มีความอดทน เธอก็อย่ามาคบ กับฉันสิ.. เป็นอย่างนั้นไปเราบอกว่าเราไม่ชอบกิเลส แต่พอไครมาเกากิเลส เราหน่อย เราตะปบเขาเลย ถ้าเขาไม่อดทนต่อกิเลสของ เรา..เธอก็ไปเสียอย่ามาคบกับฉัน..แทนที่จะหมุนมาสำรวจ ตัวเองว่า เราน่าเกลียด เราควรต้องปรับปรุงคุณภาพตัวเอง อย่างไรบ้างนี่แหละค่ะ เวลาเห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็น ดอกบัว กิเลสเสียมสอนให้เราทำได้สารพัดอย่างนี้ อย่าง ความโลภ ความโกรธ ก็ยังพอเห็นกันได้ ท่านเปรียบเทียบ ความโลภ รัก อยาก เอาไว้ว่าเหมีอนไฟ แต่ว่าเป็นไฟที่เรา จุดขึ้นมาผิงตอนหน้าหนาว ใคร ๆ เตือนเราให้ระวังนะไฟ ไม่ดี..ไม่ดี.. แต่ในใจของเราเถียงไปว่า ก็ตัวเองยังไม่เคย นี่นา ลองหนาวเข้าหน่อยแล้วมานั่งผิงไฟดูบ้างเป็นไร จะ ติดใจว่า มันอุ่น สบายดีแท้เพราะฉะนั้นเราก็ปล่อยให้คำเตือนของเขาเข้าหูช้าย ย้ายออกหูขวา ที่ว่าระวังนะ ไฟนี่เป็นอันตรายได้ เราก็ไม่ คิดจะระวัง เพราะเราพอใจไฟที่ทำให้เราอุ่น ทำให้เราสบาย ใจเราหน่วงหา อาลัยรัก อยากได้ไฟเอาไว้ ไฟของความโลภ รัก อยาก กิเลสตระกูลโลภเป็นอย่างนี้ เราจึงไม่อยากแก้ไข เพราะไม่เห็นโทษของมัน เรายังไม่รู้ไมเห็นว่า การผิงไฟ หน้าหนาวแล้วเผลอหลับไปนั้นเป็นอันตรายมหาศาลแค่ไหน เมื่อดิฉันอยู่กรมการแพทย์ แล้วถูกส่งไปอยู่โรงพยาบาลกูธร จังหวัดที่ไปอยู่หนาวมาก เวลาหน้าหนาว ชาวบ้านจะก่อกองไฟผิงกัน เอาลูกเต้าไปนอนรอบกองไฟ ทั้งพ่อแม่ลูกต่างก็หลับใหลไปด้วยกัน เด็กคงพลิกเข้าไปหา กองไฟแล้วก็ไม่รู้ จนขาข้างหนึ่งไหม้ไฟ เมื่อพ่อแม่อุ้มมา โรงพยาบาล เพียงแค่ชะแผล เนื้อที่ปังไฟอยู่จนสุกก็หลุด ออกมาเป็นปัน เหมือนเราแกะหมูปังออกจากซี่โครง
ครั้นมาได้ยินครูบาอาจารย์สอนว่า ความโลภ ความ รักเหมือนไฟที่เราก่อไว้ผิงยามหนาว ดิฉันระลึกเห็นภาพ เด็กคนไข้ชัดเจน มันน่ากลัวอย่างนี้ ตอนนั้นด้วยความไม่รู้ เราก็ไปตุแม่ ดูช็อค..คนอะไร ผิงไฟกันยังไง จนลูกเนื้อหลุด ออกมาเป็นก้อนอย่างนี้ก็ยังไม่รู้ เขาก็ว่าตอนแรกที่ผิงก็ไม่ เป็นอย่างนี้ มันหนาวจนชา แล้วก็ม่อยหลับไป เราก็นึก ค่อนขอดเขาในใจ คนอะไรช่างทำได้ แต่พอได้ฟังอย่างนี้ ..จริงสินะ มันหนาว ผิงแล้วอุ่นเข้า อุ่นเข้าก็เลยหลับ เมื่อ หลับแล้วก็ไม่รู้ว่า ไฟไหม้เนื้อเราแล้ว เพราะความหลับ ทำให้เราหมดความระลึกรู้ ไม่ผิดอะไรกับท่อนฟืนไฟของความโลภก็เผาผลาญจิตใจเรา และเป็นอันตราย กับเราอย่างนี้ไฟของความโกรธกำจัดง่ายกว่า เพราะเปรียบเหมือน เราร้อนจะแย่อยู่แล้ว แล้วใครเกิดมาจุดไฟกองใหญ่ขึ้น เราเองเราก็เห็นดีเห็นงามด้วยว่า สมควรอย่างยิ่งที่จะดับไฟ กองนี้ เพราะฉะนั้แ ใครที่มีความ,โกรธอยู่ในเจ มักขวนขวาย ไต่ถามว่า ทำอย่างไรฉันถึงจะแก้ความโกรธ ความโมโห ของฉันได้ เพราะตัวเราเองก็รู้ชัดว่า มันร้อน มันน่ากลัว เราอยากกำจัดมันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นกิเลสคือความโกรธ จึงง่ายในการที่เราจะกำจัดมัน ใจเราเองเราก็ไม่รักไม่ใคร่มัน อยู่แล้ว และเราเองก็เห็นโทษเวลาคนอื่นมาตำหนิเรา แต่ก็ มักจะเผลอตามมันไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ประเดยว..ประเดี๋ยว.. ก็เผลอไปอีกแล้ว เลยเกิดเป็นความเคยชันขึ้นส่วนความหลงนี่แก้ยาก เพราะความหลงคือสิ่งที่เรา ไม่รู้ตัวว่า เราเป็นอย่างที่คนอื่นเขาเห็น แต่เดิมดีฉันเข้าใจว่า ความหลงคือความโง่เขลา เซ่อ เหมือนอย่างกับเราเห็นคน บางคนพูดอะไรด้วยก็แชเชือน ทำท่าไม่รู้เรื่อง แต่จริง ๆ ความหลงที่เป็นกิเลสนี่ มันไม่ใช่อย่างนั้น ตลอดเวลาที่ กระทำลงไป เราเข้าใจผิดว่า ที่ทำลงไปนั้นดีที่สุด ถูกต้อง ร้อยเปอร์เซ็นต์ ขณะที่คนอื่นเห็นแล้วบอก ไม่เข้าทำ..ไม่
เข้าท่าเลย
เราก็ทราบกันแล้วว่า พระพุทธเจ้าท่านจำแนก บุคคลเป็นเหมือนบัว 4 เหล่า พวกแรกเหมือนกับบัวที่ เกือบจะบานแล้ว พอถูกแสงอาทิตย์เท่านั้นก็สยายกลีบ เปรียบเหมือนคนที่เพียงได้ยินพระพุทธเจ้าเทศน์ ก็บรรลุ ธรรมไปเลย ประเภทที่สอง เริ่มปริ่มนํ้าแล้ว พอท่านสัง สอนชี้แนะเข้า เขาไปปฏิบัติก็รู้เรื่องเข้าใจ รู้ธรรม เห็นธรรม เป็นธรรม ประเภทที่สาม เป็นบัวที่มีวี่แววจะพ้นนํ้า ต้อง สังสอนอธิบายจำแนกแจกแจงคอยดูแลเคี่ยวเข็ญ ก็เข้าใจ ถูกต้องเรียบร้อย ส่วนประเภทที่ส์ ทำอย่างไร ๆ ก็ไม่พ้น นํ้า เพราะอยู่ลึกมาก มีหนทางเป็นเหยื่อของเต่า ปู ปลา ฟรียบได้กับบุคคลประเภทที่ไม่ยอมช่วยตัวเอง ใจของเขา ไม่เปิดร้บคำสังสอน ไม่ใช่ว่าพระพุทธเจ้าหรือครูบาอาจารย์ ไม่เมตตาการที่พระพุทธเจ้าสังสอนได้แต่เวไนยสัตว์นั้น ไม่ ได้หมายความว่า ท่านเสือกแต่คนนี้ท่านรัก ท่านจึงสอน จึงเป็นเวไนยสัตว์ คนนี้ท่านไม่ชอบ เป็นอเวไนยสัตว์ ไม่ใช่ ท่านทรงให้โอกาสเท่ากันหมดทุกคน หรืออย่างกับเราเป็น อาจารย์ เข้าไปสอนนักเรียนในชั้น เราก็ตั้งใจสอนเท่ากัน หมดทุกคน ก็พุดใส่ไมโครโฟนเข้าไป เสียงเราก็ไป กระทบเยื่อหูของนักเรียนทุกคนเท่ากันหมด แต่นักเรียน บางคนก็สอบตก นักเรียนบางคนก็ได้เหรียญทอง เพราะ จิตใจพื้นฐานของแต่ละคนที่เปิดรับคำสอน ที่ตั้งอกตั้งใจ เรียนไม่เท่ากัน เมื่อเป็นอย่างนี้ ทั้งที่ฟังครูพูดมาประโยค เดียวกัน ความรู้ความเข้าใจที่บังเกิดในแต่ละจิตใจจึงแตกต่าง กันไป ได้คนละความหมาย
ดังตัวอย่างเช่นท่านผู้หนึ่ง ท่านเชื่อมั่นในตัวท่านเอง มากว่า ท่านเฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง เข้าใจอะไรได้ลึกซึ้ง กว่าหยู่ชนทั่วไป ท่านอธิบายถึงบัวประเภทสีว่า ถ้าใครรู้ตัว ว่า เป็นบัวประเภทที่ลี จะงอกไม่พ้นนํ้า เรื่องอะไรจะยอม เป็นเหยื่อของเต่า ปู ปลา เราก็หาเครื่องสูบนี้ามาลี สูบนํ้า ออกให้หมด เมื่อ'นํ้าลดแล้ว ถึงสายบัวจะสันอยู่ติดดินติด โคลน ก็โผล่พ้นนํ้าได้เช่นกัน ท่านพูดแล้วก็ภูมิใจว่า ความ คดของท่านเฉียบแหลม เกิ ลํ้าสมัยอย่างยิ่งท่านผู้รู้ทั้งหลายฟังแล้วก็สลดในใจ เพราะสิงที่ท่าน พูดนั้น เป็นคนละความหมายกับที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเอา ไว้ ถ้าปัญหานี้แกได้ด้วยการสูบนํ้าออก ก็หมายถึงตัวแปร อยู่ที่ปัจจัยภายนอก กล่าวคือ ครูบาอาจารย์ ผู้คนรอบข้าง ยังสามารถเพื่มความเพียรพยายามเพื่อยกจิตใจคนเหล่านี้ ได้สำเร็จ แสดงว่า ยังไม่ใช่อเวไนยสัตว์ ยังมีช่องทางกลับ ตัวกลับใจ ก็มีหวังเป็นบัวประเภทที่สาม สอง หรือ หนึ่งได้ แต่ที่พระพุทธเจ้าทรงจำแนกไว้เป็นประเภทที่ลี่ เพราะ ไม่ว่าจะทำอย่างไร อย่างไร เหตุปัจจัยจากภายนอกทุกกรณี ที่กระทำจนสุดกำลังความสามารถแล้ว ก็เปลี่ยนแปลงเขาไม่ได้ เพราะตัวเขาเอง ปัจจัยภายในของเขา ปิดกั้นหนทางของเขา เอาไว้สนิทด้วยความ หลง ด้วยความ ยึดผิดเห็นผิด
ท่านจึงเปรียบความหลงไว้ว่า เหมือนกับไฟฟ้าแรงสูง มองดูเราก็ไม่รู้ว่าเป็นลวดอะไร เชือกอะไร ลองแตะดูลัก หน่อยซิ พอแตะเท่านั้นแหละ กระแสไฟแล่นผ่านเรา จน เราตายเสียแล้ว เราก็ยังไม่รู้ตัวว่า เราตายไปแล้ว ฤทธิ้ของ ความหลงน่ากลัวอย่างนี้ แล้วเราก็ไม่มีทางที่จะช่วยป้องกัน ตัวโต้ทันท่วงที ถ้าเราหลงเข้าไปแล้วเพราะฉะนั้น วิธีแก้มารคอความหลงก็คือ ใครพูด อะไรที่เราคืดว่าเป็นความรู้ เราตั้งสติฟังเอาไว้เท่านั้น อย่า เพิ่งเชื่อตาม เขาจะมีความรู้กว่าเรา หรือไม่มากกว่าเรา ขอให้ เปิดใจฟังเอาข้อมูลไว้ให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ฟังแล้ว ถ้ายัง คิดไม่ออก หาเหตุผลไม่ได้ เราไปปรึกษาหารือไต่ถามผู้อื่น ที่น่าเชื่อถือ ให้ท่านอธิบายแจกแจงโดยละเอียดถี่ถ้วน ด้วย วิธีนี้ เราจึงพอจะแก้อวิชชา ความหลง ให้ค่อยเปลี่ยนไป เป็นวิชชาคือ ความรู้ขึ้นมาแทนถ้าเราฝึกทำใจของเราอย่างนี้ จะรู้หรือจะไม่รู้ก็ตาม ใครพูดอะไร เราทำตัวเป็นกระดาษซับที่ดีเอาไว้ ซับความรู้ เหล่านั้นเอาไว้ เราจะได้เป็นพหูสูต เราจะได้มีโอกาสเปลี่ยน อวิชชาให้เป็นวิชชาได้ เพราะการได้ยินได้ฟังบ่อย ๆ การนำ ปัญหามาคิด ตรึกตรองในแง่มุมต่าง ๆ ก็จะทำให้เรามีทัศนคติกว้างขวางขึ้น เริ่มแรกเราหลงตัวเราอย่างมากมาย เรา ไม่ยอมเชื่อ แต่เราทำใจกว้างว่า เขาว่าของเขาดี เราเอา มาลองทำดูซิ ถ้าเราเป็นคนจริง เราก็จะเห็นความแตกต่าง ของการทำแบบของเขา ทำแบบของเรา เราก็ได้เปรียบเทียบ แล้วปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น นี่คือการที่เราจะเปลี่ยนแปลง ตัวเรา
กิเลสอย่างหยาบ คือ โลภ โกรธ หลงทีนี้กิเลสอย่างกลาง พวกนี้ไม่ได้เป็นตัวเป็นตน ออกมาชัดเจน อย่างโลภ โกรธ หลง ให้เราเห็นชัด ๆ แต่มันเป็นเหมือนกับเมฆหมอก ทำให้ใจของเราที่ควรจะ แจ่มใส ก็รู้สีกมัวๆทื่อๆ ตื่นขึ้นมาแทนที่เราจะกระปรี่กระเปร่า เราก็รู้สึกเซ็ง ๆ บอกไม่ถูก ในอกในใจของเรา พิกลๆ ไปหมด มันเป็นที่ท่านเรียกว่านิวรณได้แก่กิเลส อย่างกลางนิวรณ์ คือ สิงที่มาทำให้จิตใจของเราด้อยคุณภาพ ไป มากางกั้นสติปัญญาให้อ่อนกำลัง ทำให้เราเห็นอะไรไม่ ชัดเจน มีอยู่ 5 ประการ
ประการแรก ได้แก่ กามฉันทะ ความพอใจ อยาก ในรูป รส กลิ่น เสียง ลัมผัสทางกายที่น่าใคร่ น่าพอใจ จัดเป็นต้นเหตุของราคะ และโลภนั่นเอง แต่ว่ายังไม่ออก ฤทธิ้ออกเดชมาชัดเจน เป็นแต่ทำให้ใจเราพอเห็นอะไรก็ อยากได้ เห็นอะไรก็สวยงามเป็นที่ต้องตาต้องใจไปหมด ทั้ง ๆ ที่เหตุการณ์ผ่านไปแล้ว ใจก็ยังไปนึก ใฝ่ฝันถึง เพราะสสิ่งนั้นหน่วงติดอยู่ในอารมณ์ ไม่ถึงกับทำให้เราต้อง กระโจนไปเอามาให้ได้เดี๋ยวนั้น แต่ก็จับกุมจิตใจของเราไป เป็นนักโทษของความอยาก ทำให้เราจะไปทำงานทำการอะไร ใจก็แวบไปนึกถึงลิ่งนั้นอยู่เรื่อย ๆ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ใจ ก็ไม่มีคุณภาพ ไม่อยู่กับปัจจุบันเต็มที่
อันที่สอง คือ พยาบาท ความคิดร้าย ความแค้น เคืองชัดใจ ก็คือตัวเหตุของความโกรธนั่นเอง แต่ว่ายังไม่ รุนแรงเป็นความโกรธ แสดงออกในรูปรำคาญ ขัดเคืองใจ แหม..คนคนนี้พูดชํ้าพูดซาก รํ่ารี้ร่ำไร น่ารำคาญ ถ้าเรา อารมณ์ดี เราก็เพียงแค่รำคาญอยู่แค่นั้น แล้วก็จบกันไป แต่ถ้าเราอารมณ์ไม่ดี เริ่มจากรำคาญ ก็ต่อเป็นหงุดหงิด แล้วคิดอยากจะอาราธนาเขาให้ออกไปให้พันจากที่อยู่ของเรา
หรือถ้าเขายังอยู่ เราก็ไม่อยู่แล้วห้องนี้
นิวรณ์ตัวนี้ทำให้ใจของเราคับข้อง เครียด ขุ่นมัว แล้วก็ค่อยฟักตัวไปถึงกับเป็นความอาฆาตพยาบาท คิด กำจัดเขาเสียเลย พยาบาทนี้ว่าไปแล้วก็เป็นตระกูลความโกรธ นั่นเอง เมื่อกี้ ตระกูลความรัก
อันที่สาม เป็นความฟังซ่านรำคาญใจ คนเรานี้ ปกติอยู่เฉย ๆ ตัวกายอาจจะอยู่เฉย ๆ แต่ลองเอาสติมอง สิ ใจไม่อยู่เฉย ๆ หรอก เดี๋ยวก็คิดโน่น คิดนี้ ปรุงเป็น สังขารจิตไปเรื่อย ๆ ถ้าคิดไปถึงเรื่องที่เป็นเหตุผล คิดไป ถึงเรื่องงานการ คิดเตึอนตัวเองให้ลุกขึ้นทำหน้าที่ให้เต็มที่ อย่างนั้นไม่เป็นไร คิดแล้วทำให้ใจเราอยู่ในกรอบ มีระเบียบ แต่บางทีเราไม่คิดอย่างนั้น เราคิดสร้างวิมานในอากาศ เรา คิดฝันถึงเรื่องอะไรที่ไม่เป็นความจริง แล้วใจก็เพลิน นึก สนับสนุนตัวเอง.. เออ..คนเราก็ต้องนึกฝันแบบนี้เพื่อปลอบ ประโลมใจบ้าง ไม่อย่างนั้นซ็วิตก็เซ็งไม่มีรสไม่มีชาติถ้าเรารู้ตัวว่า คิดฝันเพียงเพื่อให้ใจชุ่มขึ้นขึ้น แล้ว กลับมาทำงาน ก็ยังไม่เป็นอันตรายร้ายแรง แต่ส่วนใหญ่ ไม่เป็นอย่างนั้น เมื่อเริ่มปรุงคิดไปแล้วก็อร่อย เลยนั่งสร้าง วิมานในอากาศ ฟุ้งซ่านเพลิดเพลินอยู่นั่นแหละ ไม่ลุกขึ้น หยับจับทำภาระหน้าที่ที่เฏนความจริง เป็นต้นว่า เราจะต้องไปดูคนไข้ ไปทำแผลคนไข้ ..นี่..นี่ เรากำลังทำอยู่นะ ทำอย่างนี้ อย่างนี้นะ.. แต่ความเป็นจริง เราไม่ลุกขึ้นไปทำ มัวแต่เพลินคิดไปว่า ได้ทำแล้วอย่างนี้ อย่างนี้
พอใครมาเตือน เราก็ประท้วงว่า ทำเสร็จหมดแล้วค่ะ นี่แหละ โทษของความฟังซ่าน ทำให้เราเป็นอย่างนี้
ต่อไปเราก็เชื่อจริง ๆ ว่า เราทำแผลคนไข้แล้ว ถ้า เป็นอย่างนี้ ไม่ข้าเราหลง กินข้าวเสร็จแล้ว ก็ว่ายังไม่ได้กิน ลูกหลานเหนื่อยหัวใจเพราะความอับอาย เขาดูแลเราอย่างดี แต่พอใครมา เราฟ้องว่า เขาไม่มาดูแล เขาไม่มาทำโน่นทำ นี่ให้เรา ข้าวก็ไม่ให้กิน เพราะเราปล่อยให้ใจฟังซ่านเสียจน เคยตัว แล้วก็หารอยแยกไม่ออกว่า ตรงไหนความจริง ตรง ไหนความฟังซ่านตัวฟุ้งซ่านกระวนกระวายนี้ท่านเรียก อุทธ้จจกุกกุจจะ อัน'ที่สี เป็นความลังเลสงสัย ใจคนเรานั้นเหมือน เล่นชักเย่อกันอยู่ตลอดเวลา เพราะมีความหลงแฝงบังอยู่ ในใจ จึงทำให้เราไม่รู้จริงรู้แจ้ง เมื่อตัดสินใจว่าจะทำอะไร ลักอย่าง เริ่มลงมือทำไปแล้ว ก็คอยไปดูคนอื่นว่า เขาจะ เห็นดีเห็นงามกับเราไหม ถ้าเขาไม่เห็นตาม ใจก็เริ่มลังเล ..หรือของเราไม่ดี อย่างนั้นดี ..เอ..หรืออย่างนี้จะดีกว่า เรา เลยตัดสินใจไม่ได้ท่านอาจารย์เคยเล่าถึงพระรูปหนึ่ง แรก ๆ ท่านก็ ประพฤติปฏิบัติดี ออกบิณฑบาตทุกวัน ใครมานิมนต์ไป ฉันที่ไหน ท่านก็ปฏิเสธ เพราะเห็นว่าภูมิธรรมยังไม่สูงพอ จะรับอดิเรกลาภ ต่อมา ต่อมา ชาวบ้านเลื่อมใสศร้ทธา มากขึ้น ๆ อ้อนวอนจนท่านเกรงใจ ยอมรับนิมนต์ วันหนึ่ง มี 2 บ้านมานิมนต์วันเดียวกัน ท่านจะปฏิเสธรายไหนก็ ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร บ้านหนึ่งอยู่ทางทิศเหนือ อีกบ้าน หนึ่งอยู่ทางทิศใต้ พอไปถึงทางแพร่ง ท่านก็ไม่รู้จะต้ดสินใจ ไปทางไหนถูก พอท่านก้าวไปทางทิศเหนือ ใจก็แย้งขึ้นมา ว่า บ้านทิศใต้ก็มีบุญมีคุณกับวัด เขาช่วยทำโน่นทำนี่ให้ ..เอ้า..กลับมาทิศใต้ พอจะไปทางทิศใต้ ..เอ..ทิศเหนือก็จะ เสียใจ ใจของท่านชักเย่อกันอยู่อย่างนี้ ท่านเลยเดินกลับ ไปกลับมาอยู่ตรงทางสองแพร่งนั้น ไม่ได้ไปถึงบ้านไหนลัก หลังหนึ่ง
บางทีใจเราก็เป็นทำนองนั้น จะรักพี่เสียดายน้อง เลยตัดสินใจไม่ได้ เพราะความลังเลสงลัย ทั้ง ๆ ที่เราก็ มองเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่พอเขามาถามว่า เรื่องนี้จะเอาอย่างไร ..เดี๋ยว..เดี๋ยวก่อน..ตกลงเราก็เดี๋ยวก่อน ๆ ไว้ทุกเรื่อง จน ในที่สุด ปัญหาของเรากลายเป็นดินพอกหางหมู ถ้าไม่ ระมัดระวัง การทำงานของเราจะมีปัญหาอย่างนี้ได้การแก้ความลังเลสงสัยนั้น เราต้องถามตัวเอง ยก เหตุผลในการตัดสินใจของเราขึ้นมาชั่งนี้าหนัก ข้อดีมือย่าง'ใร หนึ่ง สอง สาม สี ห้า ข้อบกพร่อง คือ ถ้าเหตุการณ์ไม่ เป็นไปอย่างที่เราหวัง จะเสียหายอย่างนี้ ..อย่างนี้.. ยกขึ้น มาชั่งตวงดู ..เอาละ.. ข้อดีมีมากกว่า ตกลงเราจะทำอย่างนี้ เมื่อลงมือทำไปแล้ว ใจเกิดนึก ..เอ๊ะ คนอื่นเขาทำอย่างนั้น ต่างหาก จะดีกว่าของเราหรือเปล่านะ เราก็ต้องสำทับตัวเอง ว่า เวลาเอาเมล็ดอะไรปลูกลงไปในดิน เรายังต้องคอยให้ มันงอกขึ้นมาเสียก่อน แล้วก็รอจนเป็นลูก จะได้รู้ว่าเปรี้ยว ว่าหวานอย่างไร ถ้าไม่ดี เราค่อยฟันต้นทิ้ง แล้วหาต้นอื่น มาปลูกแทน
นี่ก็เหมือนกัน การจะรู้ว่าการตัดสินใจอย่างนี้ของเรา ดีหรือไม่ดี ต้องลงมือทำเสียก่อน แล้วเราต้องเป็นคนจริง ยอมรับตามผลที่เกิดขึ้น ถ้าเหตุผลที่พิจารณาว่า มีข้อดี มากกว่าข้อเสียนั้น บังเอิญเป็นเหตุผลที่ผิด เราก็ได้เรียนรู้ ที่ผิดว่าอยู่ตรงไหน และจะได้สอนตัวเองว่า ต่อไปอะไรที่ เราทำจะถูกต้อง แล้วก็ดีขึ้นไปเรื่อย ๆใจของเราก็จะค่อยปลอดจากความลังเลสงลัย มี อะไรจะทำเราก็ทำ ถ้าทำแล้วผิด เราก็จดจำเอาความผิด ครั้งที่หนึ่งเป็นครู สอนให้เราฉลาดสุขุมรอบคอบขึ้น ไม่ เผลอผิดอีก นี่คือวิธีที่เราปรับปรุงตัว คนทุกคนต้องเรียนรู้ จากความผิดพลาดทั้งนั้น แม้พระพุทธเจ้าเมื่อเป็นโพธิสัตว์ ก็เรียนจากความผิดพลาด แต่ท่านเด็ดเดี่ยวจริงจังกว่าเรา ตรงที่ว่า ท่านผิดครั้งที่หนึ่งครั้งเดียว แล้วท่านไม่มีวันลืม ไม่มีวันเผลอผิดเช่นนั้นอีกท่านอาจารย์ตำหนิลูกคืษย์ว่า พวกเราพอผิดแล้ว ..อุ้ย จะจำ จะจำ แต่ยังไม่ทันพ้นเย็นนั้น ก็เผลออีกแล้ว เพราะสติเราหลวม สติเราหลุด ในที่สุดพวกเราเลยไม่ใช่ ความ ผิด ครั้งที่หนึ่ง เป็นครู หรอก เพราะเผลอสติผิดชํ้า แล้วเราอีก จนกลาย เป็นนิสัย แล้วเรากลับไปตะบึงตะบอน เอากับเพื่อนว่า ก็เธอรู้อยู่แล้วว่า เราเป็นคนอย่างนี้แหละ ถ้าเธอไม่อดทนกับฉัน ก็อย่ามาคบฉันสิ เราก็เลยกอดความ ผิดของเราไว้ด้วยความเอ็นดู แล้วเข้าใจว่า ความผิดเป็น ส่วนของใจเราไป
ความลังเลสงสัยเรียก วิจิกิจฉา อันสุดท้าย คือ ความเชื่องซึม หดหู ง่วงเหงาหาวนอน หรือ ถีนมิทธะ ใจของพวกเรา ถ้าไม่ลังเลสงสัย ก็สร้าง วิมานในอากาศ ฟ้งซ่านจนหมดแรง แล้วก็ท้อแท้..เราเป็น คนไม่มีบุญวาสนา ..เราเป็นคนสติปัญญาไม่เฉียบแหลม ใจ เลยขาดกำลัง เชื่องซึม, เขาจะเอาอย่างไรก็เอากันไปเถอะ ให้เขาตัดสินกันไป แล้วเราค่อยว่าตามเขาก็แล้วกัน มันเลย เหงา แล้วก็ง่วงเหงาหาวนอน ใจเลยไม่ค่อยอยากคิด ไม่ ค่อยอยากสนใจอะไร ตัวก็นั่งอยู่ตาก็ลืมแป่ว แต่ใจ ไม่รู้หายไปข้างไหน เข้าภวังค์หายไปเลย บางทีไม่อยู่ใน กรุงเทพฯ ด้วยชํ้า ไปถึงไหนก็ไม่รู้
ถ้าเราปล่อยให้เป็นอย่างนี้บ่อย ๆ อีกหน่อยจะ ชำนาญจนเป็นอัตโนมัติ ตัวนั่งอยู่ตรงนี้เรียบร้อย แต่ใจ ง่วงเหงาหายไปแล้ว พอได้เวลาก็กลับมารู้ตัวใหม่ รู้ตัวไป สักพัก แทนที่จะนั่งฟ้ง นั่งคิด นั่งทำอะไรที่กำลังเกี่ยวข้อง เป็น ปัจจุบันขณะ อยู่ ตัวก็กองอยู่ตรงนี้แหละ เรียบร้อย แตใจแวบหายไปอีกแล้ว ง่วงเหงาซึมเซาอยู่เรื่อย ขี้เมฆ ขี้หมอกเหล่านี้เลยทำให้ใจของเราหมดคุณภาพ เพราะว่าเรา เป็นอยู่ มีลมหายใจก็จริง แต่ว่ามีเพียงตัวกองเอาไว้เฉย ๆ เวลานาทีที่ล่วงไปก็กินชีวิต คุณงามความดีของเราไปเรื่อย เพราะเรามีอยู่แต่ ตัว กองเอาไว้ เหมือนอย่างกับตุ๊กตา แต่ ใจ ที่จะเรียนรู้ ใจที่จะปรับปรุงทำชีวิตของเราให้มีคุณภาพ หรือไม่มีคุณภาพนั้น หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ถูกความ ง่วงเหงาหาวนอนหดหู่เอาไปเข้าเกราะเอาไว้เป็นตัวดักแด้ เรียบร้อย ถ้าออกจากดักแด้แล้วเป็นตัวไหมก็ยังดี แต่ใจ ชนิดนี้ออกจากดักแด้แล้วจะเป็นอะไรก็ไม่รู้นี่แหละค่ะ นิวรณ์ กิเลสอย่างกลาง ทำให้ใจของ เราขาดคุณภาพไปอย่างนี้
เราก็รู้จักกิเลสอย่างหยาบแล้ว อย่างกลางแล้ว คราว นี้ถึงกิเลสอย่างละเอียด ปกติเราจะไม่เห็นเนื้อเห็นตัวมน หรอก เพราะว่ากิเลสอย่างละเอียดนี้เป็นเหมือนกับตะกรันตะกอนในนํ้า บางทีเราตักนํ้าขึ้นมา มองดูก็ไม่ใสนัก แต่ ครั้นเอาผ้ากรองก็ไม่มือะไรติดผ้ากรองออกมา เพราะว่า ตะกอนความขุ่นละเอียดเสียจนกระทั่งสามารถลอดผ้ากรอง กลับมาอยู่ในนี้าได้อีก เราแยกไม่ออกว่า ตรงไหนตะกอน ตรงไหนนํ้ากิเลสอย่างละเอียด ที่เรียกว่า อนุสัย หรือ สังโยชน์ ก็เป็นอย่างนี้ คือ มันละเอียด แฝงตัวนอนเนื่อง ซึมซาบ อยู่ในเนื้อจิตใจของเรา เป็นเหมือนยางที่ยึด ผูกมัดให้ใจ ของสิ่งมีชีวิตข้องติดอยู่ในทุกข์ ในสังสารวฎ เป็นเงื่อน สืบต่อของภพ และเป็นต้นเหตุให้กรรมที่เราประกอบยังไม่ เทียงตรง เพราะมีความเห็นผิด รู้ไม่แจ้ง รู้ไม่จริง เป็น แรงขับเคลื่อนถ้าเราไม่ฝึกใจของเรา เราไม่ห้ดฝึกสติ ทำสมาธิ ทำภาวนา เราจะไม่มีโอกาสมองเห็นลังโยชน์ได้ เพราะ ธรรมชาติของมันเป็นอย่างที่เปรียบเทียบให้ฟัง มันละเอียด
นอนเนื่อง แฝงชัมเหมือนยางในเนื้อไม้ ติดอยู่ในใจเรา จนกระทั่งเราจะทำอย่างไร ๆ ก็ไม่สามารถกรองมันออกได้ แต่ถ้าเราฝึกสติของเราให้คมขึ้น รักษาใจให้สงบนิ่งอยู่กับ ปัจจุบัน เป็นสมาธิ เกิดพลังของใจที่มืสติ มีสมาธิรักษา เปรียบเหมือนเราเอาสารสัมมาแกว่งในนํ้าที่มีตะกอนเหล่านี้ ความขุ่นที่ลอยตัวอยู่ทั่วไปเริ่มรวมตัวเป็นตะกอนหยาบขึ้น ทำให้กรองออกไปได้วิธีที่จะกรองกิเลสอย่างละเอียดก็คือ เราตั้งสติ ตั้ง สมาธิของเรา เมื่อใจนิ่งถึงขั้นที่ถูกสารสัมแกว่งแล้ว เราเอา ปัญญาไปพิจารณาหาเหตุหาผล ปัญญาเปรียบเหมือนตะแกรง ที่กรองตะกอนทิ้งไป เวลามีเหตุอะไรมากระทบ สติที่สืกไว้ จะช่วยให้เราคอยทันเห็นกิเลสอย่างละเอียดงอกงามกลาย เป็นนิวรณ์ กลายเป็นกิเลสอย่างห่ยาบ ชักพาให้เราไปทำ กรรมชั่วร้าย เราก็เอาสติ สมาธิ ปัญญา ไปกลั่นไปกรอง ออกไปเสีย ใจเราก็เบาขึ้น สะอาดขึ้น ในที่สุดเราก็ปลอด จากกิเลสมาร เมื่อปลอดจากกิเลสมารแล้ว ใจนั้นก็เป็น ใจที่คุ้มครองตัวเองได้ ไม่มีวันจะวิบัติ มีแต่ความเจริญ รุ่งเรืองงอกงาม ที่พูดกันมาทั้งหมดนี้เป็นมารประเภทที่หนึ่ง
2) ขันธมาร ได้แก่ร่างกายของเราเอง เพราะ สามัญลักษณะที่เปลี่ยนแปลง ไม่คงทนจึงเป็นเหตุให้มา
บั่นทอนเราจากคุณงามความดีทั้งหลาย พอเราตั้งใจว่า วัน นี้จะขยันทำอะไรสักหน่อย โอ๊ย..ปวดหัวไหล่แล้ว เหนื่อย ตรงนั้น ยอกตรงนี้ขึ้นมาแล้ว เพราะอะไร... เพราะสภาพ ที่ปรุงแต่งขึ้นมาเป็นตัวเป็นตนของเรา ถ้าบัญญัติตามพระพุทธเจ้าก็ว่า มาจากธาตุ 4 อย่าง คือ ดิน นํ้า ลม ไฟ เราเป็นนักวิทยาศาสตร์ เรียนชีววิทยามา ก็ว่าประกอบ ไปด้วยเชลล์ ร่างกายเราประกอบขึ้นมาจากเชลล์ ถ้าจะ แยกแยะเชลล์ให้ละเอียดต่อไปก็ว่า เชลล์ประกอบไปด้วย นิวเคลียส ออร์แกเนลล์ ไรโบโชม ซึ่งเห็นเป็นก้อน เป็น จุด เป็นของแข็ง ก็อนุโลมว่าคือดิน เพราะทรงสภาพเป็น รูปร่างอยู่ด้วยตัวเองได้ ส่วนของเหลว หรือไซโตพลาชึมซึ่ง อยู่ในเชลล์จัดเป็น นํ้า เลือด นํ้าเหลือง นํ้าลาย นกย่อย ทั้งหลายในตัวเราก็เป็นส่วนนํ้าเช่นกัน ถ้าพิจารณาทำนองนี้ เชลล์ทังหลายก็คือดินกับนํ้าร่างกายของเรา ถ้ามีแต่เชลล์อย่างเดียวก็อยู่ไม่ได้ ต้องมีออกชีเจนด้วย เราหายใจเอาออกซิเจนเข้าไปฟอก เลือดดำให้กลับเป็นเลือดแดง ออกซิเจนก็ไปช่วยให้ร่างกาย เผาไหม้สารอาหารเกิดเป็นพลังงาน ทำให้เชลล์ทั้งหลายมี ชีวิตอยู่ได้ ออกซิเจนก็คือลม เราพบว่า เมื่อไรที่มีลม หายใจอยู่ เราปกติแข็งแรง เนี้อตัวมีไออุ่นเพราะไฟธาตุที่เผาผลาญสารอาหาร ทำให้เราทรงชีวิตอยู่ได้เมี่อไรธาตุลม ธาตุไฟ บกพร่อง ไม่เป็นปกติ เรา จะไม่สบาย เป็นลม หมดสติ เหงื่อออกมาก ตัวเย็นชืด และถ้าเมื่อไรลมตับ ลมหายใจหมดไป ธาตุไฟก็ตับตาม เหมือนไฟในเตา ถ้าลมหมุนเวียนไม่สะดวก ไฟก็ตับ เมื่อไร ไฟตับ ร่างกายก็เย็นชืด เราคงเคยเจอคนไข้ตาย ไม่ช้าไม่ นานตัวก็เย็นชืด แล้วแข็งกระด้าง ต่างจากขณะยังมืชีวิตอยู่สภาพของดิน นํ้า ลม ไฟ ที่ประกอบกันขึ้นเป็น ร่างกาย ที่เรียกว่าขันธ์นั้น เป็นสภาพไม่คงทน ไม่ถาวร แปรปรวนและเสื่อมโทรมอยู่เสมอ เมื่อเป็นอย่างนี้ ขันธ์ก็ เป็นรวงรังของโรคภัยไข้เจ็บ ถ้ายังไม่เกิดโรคภัยไข้เจ็บ ก็ เสือมโทรมแก่เฒ่าไปเราอาจจะมองไม่เห็นความแก่เฒ่าในตัวเราตอนนี้ เพราะเรากำลังหนุ่มกำลังสาว แต่ถ้ามองให้ดี เราเริ่มแก่ ตั้งแต่มีลมหายใจ ลืมตาขึ้นมาร้องแว้แล้ว เพราะอะไร.. เมื่อคลอดออกมา เราตัวแดง ๆ เป็นเด็กเล็ก ๆ จากนั้นก็ ค่อยแกไปเรื่อย ๆ แต่ความแก่ช่วงนั้นเป็นความแก่ที่ใจเราชอบ เราเห็นไปว่าเรา โต ขึ้น มี พลกำลัง แข็งแรงขึ้น เราก็ ไขว่คว้าอยากแก่ กล่าวคือ ขอให้เราโตเร็ว ๆ เราไม่คิดว่า นี่เป็น ความแก่
พอถึงจุดที่เราโตเต็มที่แล้ว คราวนี้เราเริ่มเหี่ยวลง ช่วงนี้เราจึงเห็นว่า อะไรกัน ตีนกาเราขึ้นแล้วหรือ? ทำ อย่างไรเราจึงจะทำไมให้ใคร ๆ เห็นตีนกาของเรา ทำอย่างไร หน้าเราจะตึงเนียนอยู่ตลอดกาล ผมล่ะ..ตายแล้ว หงอก ไปเกือบจะทั่วหัวแล้ว จะทำอย่างไรดี จะหาอะไรมาโกรก ให้ดำอย่างเดิมได้
นี่ละค่ะ ความแก่ที่เริ่มแสดงตัวให้เรารับรู้ ให้เรา ไม่พอใจ แตกสายเสียแล้ว เพราะความจริงเราเริ่มแก่ ตั้งแต่วันแรกที่มีชีวิตขื้นมาแล้ว เมื่อเป็นอย่างนี้ ต่อให้เรา เอาตัวเองใส่ไว้ในเครื่องวิเศษ ไมให้อะไรมากระทบกระทั่ง ไม่มีเชื้อโรค ไม่มีอะไรเลย ร่างกายก็ยังคงแก่ของมันไป เพราะเป็นธรรมชาติ เหตุปรุงแต่งของมันเป็นอย่างนี้เองเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เหมือนกับว่าเรามีร่างกายเป็น เครื่องบั่นทอน เป็นมารทำให้จิตใจของเราทุกข์ กังวล เป็น สิงรอนโอกาสให้เราไม่สามารถทำคุณงามความดี หรือหน้าที่ การงานได้เต็มที่ตามที่ตั้งใจ เพราะเครื่องยนต์ของเราโกง โปเก ประเดี๋ยวก็เหนื่อย ประเดี๋ยวก็หิว สังเกตดู วันนี้เรา บอกตัวเองว่า จะรีบทำงานให้เสร็จ เรายังไม่กินข้าวเช้าละ เพราะกินแล้ว เดี๋ยวก็เถลไถลเลอะเทอะเปรอะเปื้อนเป็น อื่นไปพอเริ่มทำไปได้หน่อย ท้องก็ร้องเตือน ใจก็นึกไป ถึงอาหารนั่นก็ดี นี่ก็ดี ตกลงชันธมารเล่นงานอีกแล้ว ต้อง ดูแลบำบัดความหิวเสียก่อน พอกินเข้าไป นึกว่าจะช่วยให้ สบายดี กลับมากเกินไปอีกแล้ว ..อึดอัด.. แน่นไปหมด ขอเอนหลังพักสักหน่อย ง่วงเหงาหาวนอนเข้ามาผสมโรง ก็ หลับไป เลยหมดไปครึ่งวัน นี่แหละขันธมาร
ตื่นฃึ้นมา นึกว่าจะได้ทำงานต่อเพราะอิ่มสบายแล้ว ที่ไหนได้ ก็เที่ยงแล้วนี่ ชักหิวอีกแล้ว หนังท้องก็หย่อน ตกลงนั่งบำรุงบำเรอแต่ธาตุขันธ์ เดี๋ยวก็หิวไป เดี๋ยวก็อิ่มไป เดี๋ยวก็เข้าห้องนํ้า ต้องเอาออกเสียบ้าง วุ่นอยู่อย่างนี้แหละ ไม่เป็นอันได้ทำอะไร เหมือนเด็กเล่นตุ๊กตา เราเล่นกับ ร่างกายของเราแทนตุ๊กตาอยู่อย่างนี้ แล้วก็ไม่มีทางที่จะ ทำให้มันดูแลตัวของมันได้ ไม่ใช่เราให้กินเสร็จแล้วก็กดบํม เอาไว้ กำหนดว่า ฉันจะเลิกกินไปได้เดือนหนึ่ง เปล่าเลย ยังคงต้องกินทุกวัน บางวันห้ามื้อ สิบมื้อ บางวันดีหน่อย สามมื้อ ลองนับดูก็ใด้ เดินไปเดินมา ประเดี๋ยวก็จิ้มอันนั้น เข้าปาก ประเดี๋ยวก็จิ้มอันนี้เข้าปาก คนบางคนนับเป็นมื้อ เป็นคราวไม่ได้เลย เพราะว่าตั้งแต่ลืมตาตื่นจนกระทั่งลง นอน ไม่มีหยุดเป็นมื้อหรอก ว่าไปเรื่อย ๆ อย่างสมํ่าเสมอ แทะไปบ้าง เคี้ยวไปบ้าง อมไปบ้าง เป็นอย่างนี้ ก็เลยเวลาเวลาที่จะไปทำอะไรหายหกตกหล่นไปหมด
มีผู้สนใจวิเคราะห์ว่า ปีหนึ่งมี 365 วัน เราใช้ เวลาหนึ่งในสามของจำนวนั้นไปในการนอน ประมาณ 2 ชั่วโมงต่อวันสำหรับกิน อีก 2-3 ชั่วโมงสำหรับอาบนํ้า แต่งตัว นอกจากนั้นก็เพื่อเที่ยวเตร่พักผ่อนหย่อนใจ เดิน ทางไปทำงานและกลับ จิปาถะ สรุปแล้ว ปีหนึ่งเราเหลือ วันเวลาไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์สำหรับทำอะไรที่เป็นเรื่องเป็นราว จะเห็นได้ว่า เวลาทำงานทำประโยชน์ให้ตัวเองเหลือนิดเดียว เท่านั้น แล้วเราก็บ่นว่า เหนื่อยเหลือเกิน นี่ละขันธมาร เป็นอย่างนี้หรือบางทีก็มาในรูปความเจ็บปวดปวยไข้เรื้อรัง
บางคนเป็นโรคไขข้อ ตรงนั้นเสือม ตรงนี้ใม่ดี ความตันสูง หอบหืด เหล่านี้เป็นต้น เมื่อส่รีรยนต์มีความเจ็บปวย ความ พร่องเหล่านี้ ก็ยิ่งทำให้ประสิทธิภาพที่จะไปทำอะไรยิ่งด้อย ถอยลงไปอีก จึงเป็นตัวขัดขวางเราจากโอกาสที่จะทำอะไร ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยคนบางคนถูกความเจ็บปวยมาพรากจากโอกาสที่จะ ทำความดีงาม เป็นต้นว่า เจ็บเป็นอัมพาตนอนเป็นพรหม ลูกฟัก แล้วแต่ใครจะมีเมตตามาดูแล ขยับเขยื้อนช้ายตัวเองก็ไม่ได้ พูดก็ไม่ได้ แต่ใจไม่หยุด ยังคิดอะไรต่อ
มีอะไรฟุ้งซ่านไปได้ คิดแล้วก็ไม่มีทางออกคนที่เป็นอย่างนี้ ถ้ารู้จักเลี้ยงใจ ประคับประคอง ใจของตัวเอง ก็ยังอยู่ที่ศูนย์ เพราะร่างกายไม่สมประกอบ แล้ว ขยับเขยื้อนไปทำอะไรให้เป็นประโยชน์กับโลกก็ไม่ได้ ฉะนั้นเราคอยรักษาใจของเราไวไม่ให้ไปคิดเบียดเบียนคน อื่น ไม่ให้ส่งคลื่นรบกวนไปก่อหนี้ให้ตัวเองติดลบ แต่ร้อย ทั้งร้อย ไปสังเกตดูเถอะ คนไฃ้ที่เราพบเห็นไม่เป็นอย่างนั้น หรอก จะไม่รู้จักฉุกคิด เลยทำตัวเองให้ติดลบเพิ่มขึ้นเมื่อกายไปไม่ได้ แต่ใจยังแข็งแรงอยู่เพราะไม่ได้เป็น อัมพาตไปด้วย ก็หงุดหงิดวุ่นวายไปหมด แทนที่จะคิดว่า เออ..เวลามีใครมาดูแลเรานั้น เขามาส่วยบำบัดทุกข์ให้นะ เป็นต้นว่า เราหิว เราเปรอะเปีอนเขามาจัดการให้เราเบา สบายขึ้น อนุโมทนาให้บุญให้กุศลเขาไป กลายเป็นว่า เข ทำไม่ได้อย่างใจเรา เขาทำไม่ทันใจเรา ไปโกรธเกรี้ยว หงุดหงิด น้อยใจกับเขา ตกลงใจก็ติดลบเมื่อดิฉันยังเป็นนักเรียนแพทย์อยู่ที่นี่ มีคนไข้เป็น พระยา ความดันโลหิตสูง รับไว้ในโรงพยาบาลเพราะ เล้นเลือดในสมองแตก เป็นอัมพาตครึ่งซีก หลังจากรักษา จนกลับบ้านได้ไม่เท่าไร ก็เล้นเลือดใหม่แตกมาอีก ครั้งนี้ อัมพาตทั้งตัว ดิฉันเห็นท่านตั้งแต่เป็นนักเรียนแพทย์ปี 3
จะขึ้นปี 4 จบออกไป ท่านทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ ประเดี๋ยว เส้นเสือดเส้นนี้แตก ประเดี๋ยวเส้นนั้นแตก ไล่ไปจนถึงเส้นเล็กเส้นน้อย จนร่างกายของท่านขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวเอง ไมได้ เหมือนกับไม่มีชีวิต
เริ่มแรกสีหน้าของท่านยังมืบึ้งมียิ้มได้ ก็เปลื่ยนไป จนกระทั่งหน้าขึงเฉย เหมือนสวมหน้ากากไว้ นัยน์ตาก็ กลอกไม่ได้ เพราะกล้ามเนื้อลูกตาเป็นอัมพาต แต่แววตา นี่สิ พอเห็นเข้าก็สะดุ้งหัวใจคลอนเลย เพราะว่าดุด้นแข็ง กระด้างด้วยความหงุดหงิดคับข้องที่อัดแน่นอยู่ในใจ เห็น กันทีไรไม่เคยเลยที่แววตาของท่านจะสงบหรืออ่อนโยน มี แต่ลุกโชนด้วยไฟโทสะ จนถ้าสามารถเผาเราให้มีได้เพราะ แสงตาของท่าน เราก็คงมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านไปหมดแล้ว มีความรู้สืกว่า อะไรที่เราท่า ไม่เป็นที่สบใจท่านสักอย่าง
แต่มาคิดดูก็น่าเห็นใจท่าน เพราะคงแย่จริง ๆ การ ต้องนอนไม่ขยับเขยื้อนอยู่อย่างนั้นคงทรมานแสนสาหัส ดิฉันเคยทดลองนอนดู ..วันนี้เราจะนอนโดยไม่ขยับเปลี่ยน ท่าเลย ดูว่าพอรู้ตัวตื่นขึ้นมาจะเมื่อยขบแค่ไหน ก็พบว่ายังไม่ ทันหสับเลย นอนได้ไม่ท้น่ถึงครึ่งชั่วโมง ตัวก็พลิกไปแล้วโดย อัตโนมัติ เจ็บตรงโน้น เมื่อยตรงนี้ หาความสบายไม่ได้เลย แล้วคิดดูเถอะ ท่านนอนอยู่ท่านั้นเป็นปี..ปี.. กล้ามเนื้อ
จะเมื่อยขบ ขัดยอกแค่ไหน เพราะขยับเขยื้อนไม่ได้เลย ส่วนกล้ามเนื้อไม่ทำงาน ไม่ขยับเขยื้อน แต่ส่วนประสาทรู้สึก ไม่ตาย ยังรู้สืกทุกอย่าง เจ็บตรงนั้น แปลบตรงนี้ ยิ่งมี ความเสือมมากเท่าใด ก็ยิ่งรู้สืกเจ็บเสียวเหมือนถูกเข็มตำ หรีอมีไฟไหม้อยู่ตลอดเวลา ธรรมชาติของร่างกายนี่แปลก ไม่ช่วยเหลือเราเลย แทนที่เราเป็นอัมพาตแล้ว ความรู้สึก จะตายไปด้วย เพื่อจะได้ไม่ทนทุกข์ทรมาน กลับตรงกันข้ามถ้าคนไข้พวกนี้พูดให้เราฟังได้ เขาจะบ่นว่า ความ รู้สืกยิ่งแย่ใหญ่เลย เพราะเล้นประสาทที่เสือม จะให้ความ รู้สืกเหมือนถูกเผา ถูกลวก ทำให้แปล๊บ ๆ คล้ายมีเข็มตำ หรือถูกไฟจี้อยู่ตลอดเวลา ก็เลยยิ่งเพิ่มความทุกข์ทรมาน เข้าไปอีกเราศึกษาให้รู้จักร่างกายของเราให้ดี ระวังรักษาขันธ์.. ตามสมควร ฝึกฝนใจเรา เรื่องของขันธ์ก็เป็นเรื่องของขันธ์ ใจของเราก็เป็นใจของเรา เอามหาสมุทรมาล้อมกั้นเอาไวัให้ ดี อย่างให้ขันธ์กับใจไปปนกันเข้า เราจะได้หาโอกาสปลีก ตัวมาทำกุศลคุณความดีให้กับตัวเองได้ ไม่อย่างนั้น ตก เป็นข้าทาสร่างกายอันนี้ ไม่มีโอกาสทำดิบทำดี พัฒนาจิตใจ ตัวได้หรอก
3) อภิสังขารมาร ก็คือ การปรุงแต่งนี่นเอง สังขาร ในที่นั้คือตัวปรุงแต่งกรรม โดยทั่วไป สังขารแบ่งได้เป็น 2 อย่าง กายสังขาร คือรูปธรรมที่เราปรุงแต่งขึ้นมาจากส่วน ข่องใจ ที่เป็นปฏิสนธิวิญญาณ และสังขาร คือ นามธรรม สภาพที่ปรุงแต่งใจให้ดี ให้ทั่ว สภาวะที่ใจคิดปรุงแต่งไป เรียก จิตสังขาร
ส่วนที่เป็นอภิสังขารมาร หมายถึง ความนึก ความ คิด ความตรึก ที่เราปล่อยให้ใจของเราขยับเขยื้อนไป แล้ว เป็นเหตุให้เกิดกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมขึ้น มันเป็น มารอย่างไร? มันมักพาเราให้ปรุงแต่ง ประกอบอกุศลกรรม มากกว่าจะประกอบกุศลกรรม เลยทำให้เรามีหนี้สิน ผูกมัด ให้ใจของเราติดข้องอยู่ในโลก อยู่ในสังสารวัฎไม่รู้จบรู้สิน จึงจัดเป็นมารทำให้เราเหมือนคนเดินทางที่ท่องเที่ยวไป แต่ไม่รู้จัก ถึงจุดหมายปลายทางล้กที เดินเที่ยวแวะตรงโน้น ตรงนั้น ตรงน อยู่นั่นแหละ ท่านอาจารย์เปรียบเทียบการท่องเที่ยว ของเรา ไม่มีจุดหมายปลายทางเหมือนมดที่ไต่ขอบกระด้ง วนอยู่น้นแหละ อยู่ในวัฎฏสงสาร เดี๋ยวก็เกิด เดี๋ยวก็ตาย ดูจากรูปร่างกาย พอมีลมหายใจขึ้นมา เราก็ว่าเกิด พอ ลมหายใจดับ เราก็ว่าตาย แต่จริง ๆ ตัวใจที่เป็นเหตุนั้น ไม่ได้เกิด ไม่ได้ตายหรอก เพียงแต่เปลี่ยนบ้านที่อยู่ แล้ว
ก็ยังคงยุ่งวุ่นวายอยู่อย่างเดิม
4) เทวบุตรมาร คือ เทวบุตรเทวดา ทำไมเราจึง ว่า เทวบุตรเป็นมาร เพราะการติดข้องอยู่กิบความสุข ความ สบาย อุปมาเหมือนเราเป็นเทวบุตรเทวดา ย่อมขัดขวางเรา จากการจะ ตั้งกำลังใจให้เข้มแข็ง เพื่อฝึกฝนตัวเองให้ทำ ภาระหน้าที่ให้เต็มที่ ก็เลยจัดว่าการที่เราปล่อยใจของเราให้ ถูกครอบงำอยู่ด้วย กามสุข ทั้งหลายนั้น บั่นรอนตักยภาพ ในการประกอบคุณความดี
บางท่านติดบุคลาธิษฐานก็ไปคิดว่าเทวบุตรมารเป็น เทวดาจริง ๆ มีรูปมีร่างเป็นเทพชั้นกามาวจร มาคอย หลอกล่อใจของเราให้หลงติดอยู่ในกามาวจรสุข จนกระทั่ง เป็นต้นว่า เราจะทำบุญ ก็อธิษฐานขอให้ไปเกิดเป็นเทวดา อยู่ในสวรรค์.. เจ้าประคุณ ขอให้มีวิมาน ขอ..ขออยู่อย่างนี้ รํ่าไป เรียกว่า เทวบุตรมารมาคล้องใจเราให้ไปผูกพันใคร่ แต่จะอยู่ในกามสุข แช่อิ่มด้วยกามสุข จนในที่สุดเลยเป็น อัมพาต จะเดินเข้าหน่อยก็เดินไม่ไหว เหนื่อยแล้ว เพราะ นั่งฝันเพลินไปว่า นึกอยากไปไหนก็ให้เหาะไปได้ ใจของ เราติดสุขติดทิพย์อำนาจ เลยทำให้เราไม่ลงมือประกอบเหตุ ที่ดี เพื่อสะสมเป็นเสบียงเอาไว้ จะไปวัดเข้าหน่อย ก็ ท้อแท้ว่า ไกลเหลือเกินไม่มีไฟฟ้า ไม่มีที่นอน ตกลงความติดสุขเลยทำให้เราไม่มีโอกาสทำความดี
5) มัจจุมาร ความตายเป็นตัวการตัดโอกาส ทำให้ เราไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือในการจะทำคุณงามความดีต่อไป เราเลยไม่รู้จะทำอย่างไร ใจคนเรา ถ้าปราศจากร่างกาย ไม่มี ตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัสเป็นสะพานรับสัมผัสจากโลก ข้างนอกเข้ามาส่การรบรู้ของใจ ทั้ง ๆ ที่ใจมีกิเลสอยู่ ก็ นอนกันเฉย ทำให้เราไม่รู้จะไปช้อน ไปกรองมันที่ตรงไหน และอย่างไรได้ เราก็เลยถูกแช่อิ่มอยู่อย่างนั้น
ถ้าเรายังมีร่างกายอยู่ ประเดี๋ยวถูกคนนั้นกระแทก นิดหนึ่ง คำพูดของเขาขวางหูเรา คนนี้มาเหยียบหัวแม่เท้า ทำให้เราเจ็บ มีเหตุกระทบกระแทกให้กิเลสในใจกระฉอก อยู่เสมอ ๆ เราก็มีโอกาสตั้งสติ หาแยบคายอุบายมาสอน ใจ ช้อนกิเลสทิ้งไปได้ แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าไม่ตั้งสติ ให้ดี บัญชีติดลบเราก็เพิ่มขึ้นเหมือนกัน แทนการช้อนกิเลส ทิ้ง เรากลับเทกิเลสเข้ามาใส่ในใจให้มากขึ้น เพราะตัวตน ของเราเสียมสอนให้รู้สึกว่า เรื่องอะไร เราถึงจะหยุดฟัง กิเลสของเขาอยู่ข้างเดียว ของเราก็มีเหมือนกัน เพราะฉะนั้น เอาออกมาประลองยุทธ์ สู้กันดูก็แล้วกัน ใจของเราเลย กลายเป็นกระป๋องสำหรับบรรจุกิเสสเข้าไป
การที่เราไม่มีร่างกาย หรือตายไปนั้น ทำให้กิเลส หรืออะไร ๆ ที่ยังเหลือ คงตกค้างอยู่อย่างนั้น แล้วเราก็ นิ่งนอนใจ หลงว่าตัวดีแล้ว เป็นต้นว่า ถ้าไม่มีใครมาทำให้ เราโกรธ ทั้ง ๆ ที่เรามีเชื้อความโกรธอยู่เต็มหัวใจ มันก็ ไม่ประทุออกมาให้เราสำนึกรู้ตัว เราก็สำค้ญว่า เราดีแล้ว เหมือนเรามีระเบิดเวลาอยู่ ถ้ายังไม่ระเบิดโป้งออกมา เราก็ เข้าใจว่าปลอดภัยไร้กังวล จนมีใครมาสะดุดสายชนวนทำให้ ระเบิดโป้งชึ้นมา เราถึงรู้ว่า เรามีระเบิดเวลาอยู่ในใจนะ แต่ก็แก็ไขอะไรไม่ทัน เพราะมันระเบิดไปแล้ว
การมารู้จักมารทั้ง 5 ชนิด จะช่วยให้เราวางแผน ป้องกันตัวเองได้ว่า เวลาไปประสบเหตุการณ์คับขัน เราจะ ระมัดระวังไม่ให้มารทั้ง 5 นี้ มายํ่ายีบีฑาใจเราให้ขาดจาก คุณงามความดีได้อย่างไร
แต่ดังที่ได้เรียนให้ทราบตั้งแต่ต้นแล้ว มารอะไร อะไร ก็ไม่ร้ายกาจเท่าตัวของเราเอง เพราะเมื่อไรที่ตัวของเราเผลอ สติเป็นต้นว่า เวลาเหนิ่อยมาก ๆ หรือเวลาเพลีย มาตรการคุ้มกันใจของเราจะย่อหย่อน ถ้าอะไรไม่ถูกใจมากระทบ ก็มักจะน้อตกระเด็น แล้วการตอบสนองก็เป็นไปโดยอัตโนมัติ ไม่ได้เจตนา แต่แสดงออกไปแล้ว มีปืนก็เอาปืนยิงเขา มี มีดก็เอามีดจ้วงเขา ไม่มีปืน ไม่มีมีด ก็เหมือนคนไข้หนัก รายหนึ่ง พูดไม่ได้ เพราะใส่ท่อเจาะคอเพื่อช่วยหายใจเอาไว้แขนขาก็สอดใส่สายอะไรต่อมิอะไรพะรุงพะรังไปหมดวันหนึ่งเธอคลุ้มคลั่งหงุดหงิดสุดขีด พอพยาบาล มาทำแผล จัดที่เจาะคอให้เรียบร้อย เธอเอาปากงับมือ พยาบาลเลย คนไข้ผู้ใหญ่แล้ว ทำเหมือนเด็กเล็ก ๆ งั้นแหละ พอไปจับแขนขาเพื่อพลิกตัว ก็เตะเลยสามีถามว่า ทำไมถึงทำอย่างนั้น ..อุ้มฉันออกไป เที่ยวหน่อย ..ทั้ง ๆ ที่พูดไม่มีเสียง ก็ทำภาษาริมฝีปาก ตอบให้รู้ จะเขียนก็ไม่ได้ เพราะมือขวาถูกใส่น้ำเกลือไว้ ทำให้เธออัดอั้นตันใจไปหมด จะทำอะไรก็ทำไม่ได้ สามี จับใจความที่รํ่ารำพันได้ว่า เธออยากลุกจากเตียงไปไหน ๆ เสียทีทั้ง ๆ ที่สายออก?เจนสายนั้าเกลือติดพะรุงพะรัง เธอก็รํ่าร้องให้อุ้มไปเที่ยวหน่อย เพราะอึดอัดใจเต็มทนแล้ว ใจที่ไม่ยอมรับความจริง ถูกมารทั้งหลายหลอกล่อ ให้ติดอยู่ในความปรุงคิดเลืยจนกระทั่งลืมไปว่า ความเป็น จริงเป็นอย่างไร เพราะใจไม่ได้เจ็บ ใจไม่ได้ถูกเจาะคอ ใจ ไม่ได้ถูกใส่สาย ต่าง ๆ จึงอึดอัดคับข้องไปหมด เพราะไป ถูกกักบริเวณติดอยู่ในร่างกายที่เจ็บไขได้ปวย เหมือนนักโทษ อยู่ในกรงขัง ใจประท้วงว่าไม่ได้เป็นอะไรด้วยสักหน่อย แล้วเรื่องอะไรถึงต้องมาถูกจำกัดอยู่ในกรงนั้นด้วยเล่า เลย ดิ้นรนเตะถีบออกไปอย่างนั้นถ้าพยาบาลเอาสายระโยงระยางออกให้จริง ๆ ก็ไม่ ใช่พวกเขาได้ดิบได้ดีอะไรหรอก เธอสิแย่ไปเลย เพราะว่าที่ เขาทำทั้งหมดนั้น ก็ทำเพื่อช่วยให้เธอดีขึ้น จะได้ปลอดภัย ถ้าไม่ตั้งสติรูให้เท่าทันความเป็นจริง เราก็ถูกกิเลสหลอก อย่างนี้ และทุกครั้งเราขาดทุน พอคิดบัญชีแล้ว เราเป็น ฝ่ายขาดทุนยับเยินทุกครั้งเลย
ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องสืกสมาธิอบรมใจของเรา การ สืกอบรมใจคือการหาภูมิคุ้มกันให้ตัวเอง และเพื่อใจจะได้ อาหารที่ดีมีประโยชน์ ทำนองเดียวกับร่างกายยังต้องการ อาหารที่ครบถ้วน 5 เหล่า ร่างกายจึงจะเติบโตเต็มที่ แข็งแรง นี่ก็เหมือนกัน เราก็ต้องหาวิตามิน หาอาหารที่ดีมืคุณประโยชน์ให้ใจของเรา ขณะเดียวกันก็ต้องหาภูมิคุ้มกัน ไมให้ มารร้ายทั้งหลาย ทั้ง 5 ประเภท เข้ามายํ่ายีบีฑาจิตใจเราได้ เราเอาสติเป็นพลาสติก หรือขี้ผึ้งเคลือบใจเราไว้ ให้ดี เพื่อเชื้อโรค คือ มารเหล่านี้จะได้เกาะเราไม่ติด พอ มากระทบใจเรา ก็ลื่นหลุดออกไปหมด เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว เราปลอดภัยแน่ ๆ เลย
เวลาที่เหลออยู่นี้ ถ้าเผื่อมีคำถามอะไร เข้ญได้เลยค่ะ คำถาม การเปิดเทปธัมมะให้ผู้ป่วยฟัง แค่ผู้ปวยไม่ฟัง เดินออกนอกหอผู้ปวยไป เราจะ มีวิธีแก้ไขอย่างไร?
คำตอบ เขายังไม่อยากฟังก็ปล่อยเขาไปก่อน ไม่ต้องไป
บังคับ เพราะจิตใจคนบางคนอยู่ในสภาพที่ขอให้ได้ ประท้วง อย่างเรามีลูก จะมีวัยหนึ่งที่พอเราอ้าปาก ยังไม่ทันพูดอะไรเลย ลูกจะแผดเสียงว่า..ไม่..ลั่น ไปแล้วผู้ปวยบางคนเครียด อึดอัดในใจจนกระทั่ง อะไร อะไรที่เราทา เขายังไม่ทันจะรับเข้าไปไตร่ตรอง พิจารณาก็เกิดอาการประท้วง คือ รู้สึกเซ็ง..ทำไม จึงต้องเข้ามาอยู่ในโรงพยาบาล ทำอย่างไรฉันถึงจะ ได้กลับออกไปอยู่กับญาติพี่น้อง พอเราทำอะไรให้ เขาก็ปฏิเสธ ถ้าเขาไม่อยากฟัง เดินออกไป เราก็ ปล่อยให้เขาเดินออกไป ไม่ต้องใส่ใจ
ถ้าปล่อยเขาอย่างนั้น คราวต่อไป พอเปิด เทป เขาอาจจะอย่ฟ้งก็ได้ หรือบางคนเดินออกไปก็ จรง แค่พอกลับมา ก็แอบถามเพื่อนว่า เมื่อกี้นี เทปว่าอย่างไรบ้าง เราก็ปล่อยเขาตามสบายไปอย่าง มีก่อน ถ้าเขาเป็นประเภทแอบสนใจอย่างนี้ เวลา ไปแจกยา ทำแผล หรือทำอะไรกับเขา เราก็ชวนเขา พูดคุยอะไรที่เกี่ยวโยงไปถึงเรื่องในเทปธัมมะเหล่านั้น ให้เขาเกิดความสนใจ พอถึงเวลาเปิดอีก เขาก็จะ ฟังเอง แต่ถ้าเขายังปฏิเสธอีก หรือยังไม่ถึงเวลา สำหรับเขา เราอย่าไปบีบบังคับ อย่าไปยัดเขียดให้ เขา เพราะถ้าทำอย่างนั้นจะทำให้เขาเกิดทิฐิ ทั้ง ๆ ที่ใจส่วนหนึ่งก็ชักคล้อยตามมาแล้ว แต่ก็ทำท่าแข็ง กระด้างปกป้องเอาไว้
คำถาม วิญญาณมีจริงหรือไม่ อยากให้อาจารย์ช่วยอธิบาย
คำตอบ ปกติเราใช้คำว่า วิญญาณกันไม่ถูกต้องนัก เพราะ วิญญาณในคำถามนี้หมายถึงจิตใจ ทางพุทธศาสนา เวลาพูดถึงวิญญาณมีความหมายเพียงอาการอันหนึ่ง ของจิตที่มารับรู้ทางอายตนะหรือประสาทสัมผัส เรา มีจักขุวิญญาณ เมื่ออะไรมากระทบตา เราเอาใจ ของเราไปริบรู้ทางเล้นประสาทตา เกิดจักขุวิญญาณ เราจึงเห็น อ้อ..นี่ดอกมะลิซ้อนนะ ถ้าจิตขณะนั้นของเราไม่รับรู้ ทั้ง ๆ ที่ตากระทบกับรูป แต่จักขุ วิญญาณไม่มาเกี่ยวข้องด้วย ตาก็อยู่ส่วนตา รูปก็อยู่ ส่วนรูป จะไม่เกิดความรับรู้ วิญญาณ จึงหมายความ
เพียงว่า การที่เราไป รับรู้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายสัมผัส หรืออะไรที่ใจกระเพื่อมขึ้น มา จากความปรุงคิดหรือจากความจำ เหล่านี้เรียก ว่าวิญญาณ เป็นของมีอยู่จริง เพราะเรารู้ เมื่อไรที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรากระทบกระทั่งอะไร เรามีปฎิกริยาตอบแต่วิญญาณที่ถาม เข้าใจว่าถามว่า จิตของ คนเราหรือใจของคนเราหลังจากที่ร่างกายหมดลม หายใจแล้ว ยังเหลืออยู่จริงไหม จริง นักวิทยา ศาสตร์ทั้งหลายก็อยากรู้เรื่องนี้กันเยอะแยะ แต่ ก่อนพวกฝรั่งปฏิเสธเรื่องเวียนว่ายตายเกิด เพราะ เขามีความเชื่อตามคริสต์ศาสนาว่า เมื่อคนเราตาย แล้ว วิญญาณจะไปอยู่ในสวรรค์หรือในนรก ไม่มา เกิดมาตายชํ้าแล้วชํ้าอีก แต่พุทธศาสนาสอนว่า ใจ อันนี้ตราบเท่าที่ยังไม่หมดเหตุปัจจัย ยังมีอวิชชา อุปาทาน ยึดในกุศลและอกุศลกรรมอยู่ ทุกอย่างก็ ยังไม่จบงบบัญชีกันได้ เหตุปัจจัยเหล่านี้ยังดึงให้ใจ ต้องขวนขวายหาร่างกายขึ้นมาอยู่อาด้ยใหม่ เพราะ ใจทียังไม่บริสุทธิ์ ยังรักบ้างชังบ้างกับคนรอบข้าง ทำให้ต้องมาทำธุรกิจที่ค้างอยู่ให้จบใปนักวิทยาศาสตร์พยายามทำการวิจัย ดึกษา คุณสมบัติของใจขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ว่า เป็นอย่างไร บ้าง ก็พบว่า ใจอันนี้ไม่ตาย เป็นพลัง เวลานึกคิด อะไร ลักษณะความคิดจะก่อให้เกิดการลันสะเทือน เป็นคลื่น เหมือนกับคลื่นเสียง แต่เป็นคลื่นที่มื ความถี่สูงมาก จนหูเราไม่ได้ยินเสียง คลื่นนี้มีกำลัง ไปดึงดูดประจุไฟฟ้าในบรรยากาศรอบ ๆ ให้เกิดการ สะสม เกิดเป็นพลังบวกพลังลบขึ้น แล้วแต่คุณภาพ ของความคิดว่าเป็นอกุศลหรือกุศลต่อมานักวิจัยก็ใช้การสะกดจิตลึกกับอาสาสมัคร โดยที่อาสาสมัครเหล่านี้สมัครใจ เต็มใจให้ ผู้ทำการวิจัยสะกดจิตลึกลงไปถึงระดับหนึ่ง ผู้ทำ วิจัยจะถามนำว่า เขาเป็นใคร อาสาสมัครหลายราย จะเริ่มเล่าถึงตัวเองว่า เขาเป็นคนลื่อนั้นชื่อนี้ เกิด เมื่อนั้น เมื่อนี้ ชีวิตหนแล้ว ไมใช้ชีวิตปัจจุบันนี้ ผู้ วิจัยก็บันทืกเทปเอาไว้ แล้วไปค้นตามที่ที่เขาอ้างว่า เขาเกิดเป็นนั่นเป็นนี่ คนบางคนเป็นคนสำคัญใน ประวัติศาสตร์ เมื่อไปค้นเข้าก็พบหลักฐานด้งรายที่ จะเล่าใหฟังนี้อาสาสมัครผู้นี้เป็นผู้หญิงอเมริกัน เป็นแม่บ้าน เรียนจบมัธยมปลายแล้วก็ไม่ได้เรียนอะไร ต่อ รู้แต่ภาษาอังกฤษภาษาเดียว เมื่อถูกสะกดจิต ลึก เขาเล่าว่า เขาเกิดเมื่อ ค.ศ. เท่านั้น เท่านั้น เป็นชาวฮอลันดา มีบรรดาคักดิ์เป็นเลดี้ เมื่อล่งคน ไปค้นดูที่เมีองที่เขาบอก เลดี้คนนี้มีตัวตน เกิดอยู่ ในเมืองที่เล่าจริง ๆ หลังจากตายแล้ว ชาวเมืองสร้าง พิพิธภัณฑ์สำหรับท่านเอาไว้ที่บ้านเกิด จัดแสดงรูป ตัวท่านและของกระจุกกระจิกซึ่งเป็นผลงาน รวมทั้ง หนังสือที่รวบรวมบทกวีนิพนธ์ โคลง กลอน ที่ ท่านเขียนไว้
ระหว่างที่ถูกสะกดจิตลึก นักวิจัยได้ขอให้ เขาท่องโคลงบทที่ชอบเป็นพิเศษให้ฟังหน่อย เขาก็ ท่องออกมาบทหนึ่งซึ่งมีบันทึกไวในเทปเมื่อไปเปิดหนังสือที่ร่วมรวมบทกวีนิพนธ์ใน พิพิธภัณฑ์ ก็มีโคลงบทนั้นอยู่ด้วย นักวิจัยก็เอา หนังสือเล่มนี้มาให้อาสาสมัครดู ขณะที่ไม่ถูกสะกด จิต เขารับหนังสือมาพลิกดู ดูแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะ รู้จัก นักวิจัยเปิดโคลงหน้าที่เขาท่องให้ดู และถาม ว่า นี่อ่านออกไหมเขาดูแล้วก็บอกว่า ภาษาอะไรก็ไม่รู้ อ่านไม่ได้ แปลไม่ออก ไม่มีทีท่าว่าจะจำได้ หรือรู้เรื่อง อย่างเมื่อถูกสะกดจิตลึกเลย ขณะนั้นเขาเล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ เป็นมั่นเป็นเหมาะ อย่างโน้น อย่างนี้ อย่างนั้นจากผลของงานวิจัยท่านองนี้ และยังมีอีหลายรายนอกจากรายนี้ที่ยกมาเล่าให้ฟังเป็นตัวอย่าง จึงท่าให้ฝรั่งยอมเชื่อว่าจิตวิญญาณมีจริง ไม่ดับสูญ ไปพร้อมกับลมหายใจ และจิตวิญญาณนี้ยังเวียนมา เกิดใหม่ ต้งเรื่องของอาสาสมัครที่เล่าเมื่อกี้นี้ แต่ เราไม่สามารถระลึกชาติก่อน ๆ ของเราได้เท่านั้น เราจึงเข้าใจผิดเกี่ยวกับชีวิตความเป็นมาของเราเมื่อลมหายใจดับ ส่รีรยนต์ก็เริ่มเน่าเปีอยผุพัง จิตแยกตัวออกมาอยู่ในสภาพนามรูป แล้วก็ดิ้นรน ที่จะก่อสร้างร่างกายขึ้นมาอีก เมื่อไรเหตุปัจจัยพอ เหมาะที่จะได้ร่างใหม่ จิตทั้งดวงนั้นก็กลายเป็นปฏิสนธิวิญญาณ เข้าไปสัมปยุตกับไฃ่ที่ได้ผสมกับเชื้อ ของพ่อแล้ว เกิดเป็นชีวะใหม่ขึ้น
ทางชีววิทยาสอนว่า เมื่อไข่สุกและตัวอสุจิ มาผสมกัน จึงเกิดตัวอ่อนขึ้นมา แต่ทางพุทธศาสนา ละเอียดไปกว่านั้น นอกจากสองเหตุนี้แล้ว ต้องมีตัวจิต คือ ปฏิสนธิวิญญาณเข้าไปจับจองครอบครอง ด้วย ถ้าไม่มีปฏิสนธิวิญญาณ การตั้งครรภ์ก็เกิด ไม่ได้ ไข่นั้นจะแท้งไป ไม่มีโอกาสเติบโต เพราะถ้า ขาดตัวควบคุมแล้วไข่ที่ถูกผสมก็ไม่สามารถแบ่งตัว เจริญต่อไปเป็นทารกได้
ที่เล่ามานี้คือหลักฐานจากงานวิจัยในปัจจุบัน ขึ้งเป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลาย ฝรั่งหลายราย เลยเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิด หันมาฝึกทำสมาธิ มา คืกษาพุทธศาสนา เพราะเห็นแล้วว่า การฝึกจิตใจ จะทำให้เรารู้ทิศทาง สามารถพึ่งตัวเองได้เวลาเจ็บ หนักหรือประสบอุบัติเหตุเมื่อเรารู้แน่ว่าจิตใจไม่สูญสลายไปกับร่างกาย เราก็ขวนขวายหาวิธีทำอย่างไรจึงจะไม่หลงกระเซอะ กระเซิง ตอนเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิไป
คำถาม สำหรับผู้ปวยมะเร็งที่แพทย์ริบไว้ฉายแสงสำหรับ
รักษา แต่อาการคนไข้ไม่ดีขึ้น ญาติต้องการนำกลับ บ้าน เรามีวิธีพูดโน้มน้าวจิตใจของญาติและคนไข้ อย่างไรให้ดีที่สุดคำตอบ ในกรณีนี เราต้องแบ่งฝ่าย คือ ตัวคนไข้และ ญาติคนไข้ เมื่อญาติต้องการเอากลับ เราก็มาหยั่งเสียงคนไข้ว่า คนไข้เองอยากกลับไหม เขาพอใจ กับวิธีรักษาพยาบาลของเราหรือไม่ หรือตัวเขาเอง ก็รู้สีกว่า เพียงพอแล้ว เหนื่อยเต็มทนแล้ว อยาก กลับไปพักผ่อนให้สงบที่บ้านถ้าตัวผู้ป่วยเองเต็มใจอยากกลับบ้าน เรามอง ดูแล้ว การรักษาในโรงพยาบาลไม่ได้ช่วยเหลืออะไร ให้เขาดีขึ้น เขาไม่ได้อยู่ในเครื่องช่วยหายใจ เรา ก็อนุโลมตามเขา เพราะคนบางคนอยากไปตายที่ บ้าน อยากไปอยู่ท่ามกลางญาติพี่น้อง ถ้าเรามอง สภาพจิตใจเขาแล้ว เขามีความพอใจ การกลับไป อยู่อย่างนั้นเป็นกำลังใจแก่เขามากกว่าการอยู่โรงพยาบาล เราก็ชี้แจงให้เขาฟังว่า เขาจะมีปัญหา อะไรได้บ้างเมื่อกลับไป เป็นต้นว่า ระยะสุดท้ายจะ เจ็บปวด หรือจะเป็นอย่างไร คือเราชี้แนะให้เขารู้ ลู่ทาง จะได้ไม่ตกใจเมื่อประสบภาวะนั้น ๆ แล้วเรา ก็ให้โอกาสเขาตัดสินใจอีกครั้งหนื่ง กล่าวคือ ยอม ตามความสมัครใจของผู้ป่วยแต่ถ้าตัวผู้ปวยเองไม่เต็มใจ ไม่พอใจที่จะ กลับไป เพราะเห็นว่า การอยู่ในโรงพยาบาลมีความ อุ่นใจ มั่นใจว่าหมอ พยาบาลจะช่วยเขาได้เต็มที่ ถ้าอย่างนั้น เราก็ชี้แจงให้ญาติเห็นว่า เมื่อผู้ปวยยัง มีสติสัมปญญะสมบูรณ์ เขาควรมีสิทธิ์เด็ดขาดใน การเลือกการรักษาพยาบาลสำหรับชีวิตของเขาถ้ามีปัญหาทางเศรษฐกิจ เราก็อธิบายให้ ญาติเห็นว่า ผู้ป่วยทามาหากินเลี้ยงดูครอบครัวมา ตลอดชีวิต เขาควรมีสิทธิจะเอาปัจจัยที่หามานั้น มา ให้จ่ายสำหรับรักษาพยาบาลตัวเอง ไมใช่ให้ลูกหลาน บางคนมาตัดสินว่า ถ้าอยู่ต่อไปในเครื่องช่วยหายใจ จะสิ้นเปลืองวันละเท่าไร เอาออกเสียไม่ได้หรือ
เราฟังแล้วก็สลดใจเหมือนกัน เขาท่าเหมือน กับว่าผู้ปวยไม่มืสิทธในชีวิตจิตใจของตน กลายเป็น วัตถุอะไรก้อนหนึ่ง จะเปิดสวิตชให้เดินเครื่องต่อไป ก็ได้ ปิดสวิตซ์เมื่อไรก็ได้ เมื่อเป็นอย่างนี้ การจะ พิจารณาตัดสินใจในแต่ละรายก็ต้องดูเหตุปัจจัยถ้าเราเห็นว่าผู้ป่วยจำเป็นจะต้องได้เครื่องช่วย ประคับประคองที่กำลังให้อยู่ขณะนั้น หากเอาออกเพื่อกลับบ้านก็อาจมีอันตรายได้ หรือการฉายแสง จำเป็นต่อการสะกัดการลุกลามของมะเร็ง หรือมี ผลดีต่อผู้ปวยในภายหน้าอย่างไรบ้าง เราก็อธิบาย ตามความเป็นจริงให้เขาเข้าใจ ให้ญาติเข้าใจ เมื่อ
อธิบายแล้ว ผู้ป่วยยังยีนหยัดอย่างแข็งแรง เหตุผล ของเขามีนํ้าหนักกว่า เราก็ต้องเคารพสิทธิ้ของเขา เพราะการรักษาผู้ป่วยแต่ละราย ๆ นั้น ต้องคำนึง ถึงต้วผู้ป่วยเป็นอันดับแรก ญาติพี่น้อง แล้วจึงมา คำนึงถึงด้านเรา เราเป็นแต่เพียงผู้ช่วยเหลือเขาถ้าเขาไม่เต็มใจ เขาไม่พอใจ เขาไม่ต้องการ เราก็ต้องยอมรับขอบข่ายนั้น เราก็ให้เขาเข็นรับรอง ไว้ว่า ไม่สมัครใจอยู่ต่อ มีอันตรายอะไร เขาจะไม่ โทษเรา แต่ระหว่างที่กระทำสิงเหล่านี้ ให้เราดูใจของ เรา รักษาให้เป็นกลาง ให้เมตตาเขา ไม่ใช่ว่าพูดไป ด้วยอารมณ์กระแทกกระทั้น ก่อให้เกิดอารมณ์ค้าง ต่อกัน เลยกลายเป็นว่า ผู้ป่วยก็ตาย เรากับญาติ ผู้ป่วยก็ก่อเวรต่อกันและกัน เจอกันที่ไหนก็ไม่มอง หน้ากัน ซึ่งเป็นของไม่ดี เป็นอันตรายต่อสุขภาพ จิตของเรา
คำถาม เมื่อมีการโกรธอะไรสักอย่าง ทำอย่างไรจึงจะหาย โกรธได้คะ พยายามทำให้หายโกรธ หรือลืมไป แต่ ยังทำไม่ได้
คำตอบ ความโกรธนี่ยากจะมีสูตรสำเร็จรูป วิธีหนึ่งที่ ตัวเองใช้เวลาโกรธแล้วไม่สามารถหยุดใจตัวเองได้
คือ ถามตัวเองว่า ถ้าเราขาดใจตายไปเดี๋ยวนี้ เรา จะพอใจไหมกับสภาพใจเราที่กำลังโกรธอยู่อย่างนั้น เพราะตัวเองเชื่ออยู่ว่า อารมณ์อะไรที่ติดอยู่ในใจ ตอนที่เราหมดลมหายใจไป นั่นแหละคือภพภูมิที่ เราจะไปอยู่สมัยนี้พวกคุณคงไมเคยดูหนังโรงที่ฉายหนัง เก่า ๆ กำลังฉาย ๆ อยู่ ฟิล์มหนังเกิดขาด ฟิล์ม ขาดตรงไหน ภาพสุดท้ายนั้นก็จะหมุนแต๊ก ๆ ค้าง อยู่บนจอ ใจของเราที่กำลังคิดติดพันกับอารมณ์ อะไรอยู่ ก็เหมือนฟิล์มหนัง ถ้ายังมืลมหายใจอยู่ ฟิล์มก็เต้นไป หมุนไป เล่นงิ้วไปเรื่อย ๆ แต่พอ เราหมดลมหายใจ อารมณ์สุดท้ายก็จะติดอยู่ตรง นั้นแหละถ้าเรากำลังโกรธอยู่ โกรธจนกระ,คั่งหัวใจวาย ตายลงไป อย่าหวังนะคะว่าพอลมหายใจหมดไปแล้ว ความโกรธจะละลายหายไปด้ๆย มันยังเต้นงิ้วอยู่ ในใจเราเต็มเม็ดเต็มหน่ๆยอย่ๅงนั้นต่อไปเรื่อย ๆเมื่อกี้นี้เล่าให้ฟังถึงอาสาสมัครอเมริกันที่ระลึก อดตชาติได้เมือถูกสะกดจิต ใจเราที่รุ่มร้อนอยู่ด้วย ความโกรธเต็มที่อย่ๅงนั้นก็ไม่ผิตอะไรกับตกอยู่ในนรก
แล้วดีไม่ดี เหตุปัจจัยล่งให้เราเป็นปฏิสนธิวิญญาไปเกิด ความโกรธที่เป็นเชื้อหมุนอยู่ในใจ ก็จะมี พลังพัดพาเราหล่นตุ้บไปเกิดอยู่ตรงหน้าบุคคลที่เรา โกรธนั่นแหละ เพราะใจเราเหมือนอย่างกับเศษเหล็ก ที่ถูกแรงโทสะดูดเราติดเอาไว้กับเขา เราจะคิดถึง เรื่องอะไรอย่างอื่นก็คิดไม่ได้ เปลี่ยนอารมณไม่ได้ มีแต่ความโกรธ เกลียด คั่งแค้นเขา ปันปวนใน ใจเราเป็นพายุสลาตัน เห็นแต่ตัวเขา หน้าเขาอยู่เต็ม ในใจเรา แค่ชาตินี้ยังไม่พออีกหรือ จะเอาอย่างนั้น ใหม่อีกชาติหนึ่งหรือ?
พอคิดถามตัวเองอย่างนี้ มันหายโกรธนะคะ เพราะแค่นี้ก็เซ็งสุดทนแล้ว ถ้าเกิดใหม่แล้วยังต้องเจอกันอีกตลอดชีวิตตายชัด ๆ มันก็หายโกรธได้เมื่อเราสามารถหยุดได้แล้ว ก็อย่านึ่งนอนใจ เพราะถ้าปล่อยให้ความโกรธเกิดชื้นแล้ว การคิดแก้ไข ดับมันนั้น คิดไม่ค่อยสำเร็จ แต่ถ้าระหว่าง ที่ใจของเรายังเป็นปกติดี ๆ อยู่ เราฝึกใจของเรา น้อมให้แผ่เมตตาไปยังสรรพลังมีชีวิต รวมทั้งบุคคล ที่เรามักโกรธด้วยเสมอๆ คอยยกอุบายต่างๆ ที่ ท่านผู้รู้สอนเอาไว้ชึ้นมาพิจารณา เตรียมหาภูมิคุ้มกันให้พร้อมไว้ บางทีเราก็สามารถตะครุบใจไว้ ทันทีให้ความโกรธแท้งไปเสียได้
เมื่อใจชักจะอุณหภูมิสูงขึ้น ฌตตาที่เคยแผ่ อยู่เป็นอุปนิสัย รวมทั้งแยบคายอุบายอะไรต่อมิอะไร ก็มาเป็นเครื่องมือช่วยให้ใจเราสงบระงับลงได้ เหมือน สมัยนี้ คนที่เป็นหอบหืด ถ้าอากาศเริ่มเปลี่ยนครึ้มฟ้าครึ้มฝนก็พ่นยากันไว้ หรือกินยากันไว้ คนไข้ก็ไม่หอบหืด เหมือนกับเราก็ปัองกันให้ความโกรธของ เราแท้งไปเสียถ้าทำให้ความโกรธแท้งไปได้บ่อย ๆ ใจเราก็มีภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้น ๆ อีกหน่อย ถึงไปประจันหน้า กันโดยมิรู้ ตัว เราก็เฉยได้ ไม่โกรธ แต่แยบคายอุบายที่เราคิดขึ้นสอนใจนั้น เราต้องยักย้ายถ่ายเท ซ้อมหาใหม่ไว้เรื่อย ๆ และคอยเพิ่มเติมภูมิคุ้มกัน ระหว่างที่ใจยังปกติดีอยู่นี้ แผ่เมตตาเอาไว้ให้เคยชิน เป็นอุปนิสัย สืกสติปัญญา พิจารณาให้ตัวเองเห็น จริงเห็นจังว่า ความโกรธไม่ใช่สิงที่เราควรไปข้องแวะ ด้วยเลย อย่าเผลอใจ เผลอตัวเข้าไปใกล้มันเป็น ลุ้นขาด ถ้าเราทำสมํ่าเสมออยู่อย่างนี้ ก็คงพอจะ แก้ไขได้นะคะ
คำถาม ความลังเลสงสัยในการตัดสินใจเลือกทำอะไรใน สิ่ง 2 สิ่ง ซึ่งเราไม่รู้ว่าสิงใดดีสิ่งใดไม่ดีใน 2 สิ่ง นั้น ซึ่งบางครั้งตัดสินใจเลือกไปแล้ว ปรากฏว่าสิง ที่เลือกนั้นไม่ดี เราก็กลับมาคิดว่า ทำไมไม่เลือก อีกสิ่งหนึ่งก่อน ทำให้คิดมากบางครั้ง จนเกิดความ ทุกข์และกังวลใจอยู่เรื่อย ๆ จะมีวิธีตัดสินใจที่ดีกว่า นี้ไหม และมีวิธีแก้ความทุกข์นั้นได้อย่างไร
คำตอบ เมื่อเราตัดสินใจเลือกไปแล้ว แล้วพบว่าสิ่งที่เลือก
นั้นพลาดพลั้งไป เราก็ทบทวนหาจุดบกพร่อง เพราะ เราเชื่อตัวเราเองมากเกินไป ไม่ดูเหตุผลให้รอบคอบ คราวหน้าถ้าเป็นไปได้ ก่อนจะตัดสินใจ เราต้อง ปรึกษาใครที่เชื่อถือว่า จะชี้แนะเราได้ หรือไปค้นหา หนังลือมาอ่านให้เข้าใจเรื่องนั้น ๆ ถ่องแท้เสียก่อน หรือแนะสอนตัวเองโดยเอาข้อผิดข้อบกพร่องที่แล้ว ๆ มา ขึ้นมาสอนตัวเองว่า ถ้ามีเหตุการณ์อย่างนี้เกิด ขึ้นอีก จะทำอย่างไรเราจึงจะป้องกันตัวไม่ให้ได้พลาด ชํ้าอย่างนี้ได้แต่ห้ามปล่อยใจไปคิดว่า ถ้ารู้อย่างนี้ เรา ไม่เลือกอันนี้ก็ดีหรอก เพราะนั่นเป็นกิเลสที่มาแฝง ใจเรา ทำให้ใจชํ้าหนักขึ้นไปอีก ต่อไปเราเลยไม่กล้าทำอะไร เหมือนคนขับรถเป็นแล้วไปเกิดอุบัติเหตุ ขึ้น ปรมาจารย์ทางขับรถสอนว่า วันรุ่งขึ้นต้องขับ รถเองให้ได้เหมือนปกติ หลายท่านเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ขึ้นแล้ว วันรุ่งขึ้นใจสันไม่กล้าขับ ถ้าเรายอมตาม ความกลัว ไม่ลองขับดู เราจะขับรถไม่ได้ไปตลอด ชีวิต เพราะเมื่อไรที่คิดจะขับ ก็เกิดอาการสั่น และ ใจมีแต่ภาพหลอนถึงตอนที่เกิดอุบัติเหตุ ขณะขับ ไป ก็นึกหลอนเหมือนสะกดจิตตัวเองไปว่า เดี๋ยว ก็ต้องเกิดอุบัติเหตุอย่างนั้นอีก ผลที่สุดก็เกิดจริง ๆ เพราะเราไปยึดอยู่กับความผิดพลาดนั้น จนไม่ดูความ เป็นจริงนี่ก็เหมือนกัน ถ้ารู้ตัวว่าทำอะไรผิดไปแล้ว ก็สอนใจตัวเองว่า ถ้าเราไม่มีที่ผิด ไม่มีความหลง อยู่ในใจแล้ว เราไม่มาเกิดหรอก ใจที่รู้ถูกต้องตาม เป็นจริงทุกอย่างไม่มาก่อภพก่อชาติอีกแล้ว มันไป อยู่สบายเป็นอิสระไปแล้ว เมื่อร่างกายอันนี้เป็น พยานยีนยันว่า ใจยังยึดผิดเห็นผิดอยู่ อะไรที่เรา ทำกต้องผิดบ้าง ถูกบ้างเป็นธรรมดา ให้เอาใจที่เห็น ผิดนันมาเป็นครูสอนให้ฉลาดรอบคอบขึ้นการที่เราได้เห็นที่ผิดของเรา ก็แสดงว่าสติของเราเริ่มทันห่วงทีฃื้น คนบางคนเหมือนคนตา บอด ผิดแล้วก็ยังไม่เห็น ไฝยอมรับว่าตัวผิด คน อื่นมาชี้ให้เห็นว่าผิด ก็ยังไปโกรธเขาอีกว่า ฉันผิด ที่ไหนกัน อย่างนั้นห่านเรียกว่าหลง อย่างเราดี รู้ ตัวแล้ว เห็นว่าผิดไปแล้ว ก็จัดว่าดีขึ้นมาขั้นหนึ่ง แล้ว เพราะเต็มใจที่จะเรียนรู้ ที่จะแก้ไขตัวเอง เพราะฉะนั้นการผิดครั้งนี้เป็นของดี ไม่ใช่ของเสีย
ท่านอาจารย์เคยเปรียบเทียบให้ดิฉันฟังอย่างนี้ แต่เดิมใจเราจะเห็นผิด ผิด ผิด ทุกครั้ง แล้วเราก็ ไฝรู้ว่าผิด เปรียบเหมือนผ้าที่สกปรกเสียจนกระทั่ง ดำเนียนทั้งผืน ใครมาบอกว่าสกปรกเป็นบ้า ชัก เสียทีสิ เราหยิบมาส่องดู ก็เห็นว่าสะอาดดีแล้ว เป็นสีดำ สวยดีออก เราก็ไม่ชัก แต่เขาบีบบังคับ จนกระทั่งเราต้องชัก
เมื่อเราเริ่มชักแล้ว จึงเห็นว่าผ้าที่ดำเนียนทั้ง ผืนนั้น บางแห่งเปรอะเป็นจุด เหมือนคนเรากิเลส ต่าง ๆ ก็ไปเห่ากัน คนบางคนมักโกรธ แต่โลภ หลง ไม่ค่อยเป็นปัญหาเห่าไร ยังพอเหนี่ยวรั้งใจไวได้ แต่ถ้ามีอะไรทำให้โกรธแล้ว เห็นช้างเท่าหมู ความโกรธก็เป็นเหมือนกับจุดที่เปรอะดำนั้น พอซักแล้ว ที่อื่น ที่อื่นจะสะอาดขึ้น แต่จุดดำกลับเห็นเด่น ขึ้นมาชัดเลย พอเอามาดู..ทำไมผ้าฉันกลับสกปรก อย่างนั้น ก่อนซักยังสะอาดน่าดูกว่านี้ เอาไปตัดเสื้อยังไหว แต่ตอนนี้รู้สืกไม่ไหวเสียแล้ว มันเป็น ทำนองนี้
เราก็ได้เรียนรู้ และเห็นที่ผิดที่บกพร่องของ เรา แต่ก่อนเราไม่เคยลังเลสงลัย ตอนนี้ ดูสิ อุตส่าห์คิดแล้ว ยังคิดพลาดอีก คราวต่อไป ไม่เอา แล้ว ไม่กล้าตัดสินใจอะไร เราคงเป็นคนทำดีไม่ขึ้น
เราเห็นที่ผิดที่บกพร่องของเราชัดขึ้น แต่ กิเลสแทรกซัอนเข้ามาดึงเราให้หลงกลมันอีก ก็เลย ทำให้เราทดท้อใจ ไม่เอานะคะ เราไม่คิดอย่างนั้น คิดให้เป็นกำลังใจกับตัวเองว่า เดี๋ยวนี้เราดีฃึ้นเรื่อย ๆ แล้ว เราเห็นที่ผิดของเรา จะได้ตั้งอกตั้งใจแก้ไข ปรับปรุงตัวเอง คนเราถ้าไม่มีอุปสรรคเป็นยาชูกำลัง อีกหน่อยเราก็หลงตัวเอง สติปัญญานิ่มหมดสิ เรา โชคดีที่มีปัญหาให้ได้ขบคิดแก้ไข เมื่อคิดได้อย่างนี้ แล้ว ใจก็จะมีกำลังให้เราลุกขึ้นแก้ไขปัญหาต่อไปอีกหน่อยทุกอย่างก็จะดีฃึ้น การตัดสินใจก็ จะถูกต้องมากขึ้น เมื่อไรที่ผิดพลาด ใจก็ไม่เป็นทุกข์เดือดร้อน แต่จะน้อมความผิดนั้นมาเป็นครูสอนใจ ให้รอบคอย เฉลียวฉลาด รู้เท่าทันความเป็นจริง มากขึ้น
คำถาม บางรายที่หนีความสับสนของครอบครัวไปบวช เป็นอุบาสิกา นุ่งขาวห่มขาว แต่จิตใจยังตัดกิเลส ไม่ได้ อย่างนี้จะเรียกว่ามีมารมาครอบงำจิตใจหรือไม่
คำตอบ มีสิคะ เพราะอะไร? เพราะพระพุทธเจ้าทรงสอน ว่า การบวชนั้นไม่ได้บวชที่ร่างกาย เพราะร่างกาย เมื่อหมดลมหายใจแล้ว ก็กองอยู่ที่แผ่นดิน ถึงเรา จะเผาเราจะผิง หรือทำอย่างไรก็ตาม ส่วนที่เป็น ร่างกายหมด ไม่มีสักนิดหนึ่งที่จะหลุดหายจากโลก นี้ไปได้ ทุกส่วนคืนกลับไปเป็นสมบัติของแผ่นดิน มีแต่ใจเท่านั้น ใจที่เป็นธาตุรู้ ที่จะมีความสุข หรือ มีความทุกข์ ยังคงสภาพ "รู้" นั้นอยู่ ไม่ว่าเราจะ ยังมีร่างกาย หรือไม่มีร่างกายก็ตามเพราะฉะนั้น การหนีปัญหา เอาร่างกายไป จ้ดสรรหลอกตัวเองว่า ฉันดีขึ้นแล้ว ฉันมาบวชอยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัยคือ วัด แต่ยังไม่สามารถทำ ใจ ให้ถึงวัดได้ก็เป็นอันตราย เหมือนเราเป็นสืขึ้นอยู่ใน ที่ลึกจนเราไม่เห็น เราก็เลยไม่ขวนขวายจะรักษาจะผ่า หรือทำอะไร วันหนึ่งฝีแตกเข้าไปในเส้นเลือด โลหิตกลายเป็นพิษ ตายไม่รู้ตัวเพราะฉะนั้นการไปบวช ต้องบวชที่ใจ พยายาม ให้คุณภาพของใจดีขึ้นด้วย ถ้าดีขึ้นไม่ได้ รู้ว่าใจ ยังเป็นกังวลกลับมาที่บ้าน พะวงอยู่กับครอบครัว วนเวียนติดอยู่กับปัญหาเหล่านั้น เราก็ตัดใจเอากาย ของเรากลับมาที่บ้าน เพี่อจะได้แก้ปัญหาเหล่านั้น ให้ลุล่วงไปข้อหนึ่งของการปฏิบัติธรรมที่พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ คือ ปฏิบัติภาระหน้าที่ของเราให้เต็มกำลัง ความสามารถ ไม่อย่างนั้นจะเกิดเป็นหนี้ค้างชำระ ยกตัวอย่างเหมือนเราเป็นหนี้คนอยู่พันบาท แล้วเรา หัวแหลม หนีไปอยู่เมืองนอกดีกว่า เจ้าหนี้จะได้ ตามทวงไม่ได้ เราหลอกตัวเองว่า เราปลอดหนี้แล้ว แต่ไม่จริง เพราะหนี้อันนี้เราไม่ได้ใช้คืนเจ้าหนี้ เขา ยังไม่ได้ออกปากยกให้เราวันหนึ่ง เราไปเจอกับเขาเข้า เราก็ต้องใช้อยู่ ดี ถ้าเรายอมใช้เขาตอนที่เรายังมีงานการ ยังมี กำลังแข็งแรง ใช้ครบหมดแล้ว เราก็ยังขวนขวาย หาได้ใหม่ ทำให้ชีวิตของเราไม่ขาดตกบกพร่อง แต่ถ้าเราหลบหนี้ไปจนกระทั่งแก่ ไม่มีปัญญาคิด อ่านทำอะไรแล้ว กินแต่เงินสะสม เกิดไปชนกับ เจ้าหนี้เข้า เขาทวงหนี้คืน หัวใจเราเลือดหยดเลย เพราะขณะนั้น เรารู้สืกว่าเงินก้อนนั้นมหึมา เราไม่มี ทางแสวงหาใหม่มาชดเชยได้ เราพยายามกระเบียด กระเสียนทุกบาททุกสตางค์ แล้วอยู่ ๆ เขามาควัก เอาของเราไป ใจเราหมดกำลังเลย ขาดทุนสูญกำไร หมดเนื้อหมดตัวเพราะฉะนั้นอย่าคิดแก้ไขปัญหาในชีวิตด้วย การหนี นั่นไมใชีวิธีถูกต้อง แล้วจะไม่ทำให้ใจของ เราได้ดี เพราะเราโกงตัวเอง เราหลอกตัวเองการที่ใจของเราไม่มีสัจจะกับตัวเองนี่แหละ ที่ทำให้สภาวะที่ใจจะเป็นภาชนะรับธรรมได้ กลับ กลายเป็นถูกปิดกั้นหรือควํ่าเอากันขึ้น ธรรมอะไร ๆ ก็ไม่เข้าถึงจิตใจได้ ปฏิบัติเท่าไร ๆ ก็ไม่ดิบไม่ดีขึ้น เพราะความสับสนกังวล ซึ่งเป็นนิวรณ์ มาปิดกั้น จิตใจไว้จากมรรคเมื่อเป็นอย่างนี้ ให้เราเข้มแข็งเข้าไว้ ฝึกฝึน ใจเอาไว้ อะไรที่เป็นปัญหาของเรา เราแก้ด้วยสติ ปัญญาความสามารถ อย่าเอาตัวหนีไป ถ้าเรามีความเห็นถูกต้องเป็นสัมมาทิฐิอย่างนี้ โอกาสที่เรา จะค่อย ๆ คลี่คลายแก้ไขปัญหาก็มีมากขึ้น แล้วจะ มีผลให้ใจของเราสงบเบาขึ้นโดยลำดับ เราก็รู้ว่าเรา ดีขึ้น ถึงจะไม่ดีถึงที่สุด แต่อย่างน้อยก็มีกำลังใจที่ จะทำต่อไปเรื่อย ๆ เมื่อทำได้อย่างนี้ในเรื่องหนึ่งแล้ว เรื่องอื่น ๆ ก็จะพลอยดีตามไปด้วย
คำถาม คนเราไนโลกนี้ เมื่อตายแล้วจะไปอยู่ที่ไหน
คำตอบ ตายไปแล้ว หมดลมหายใจแล้ว จิตก็อยู่เป็น
นามรูป ดิฉันไม่ยีนยันนะคะ ถึงจะเคยตาย เคย เกิดมาแล้วก็จำไม่ได้ จากการปฏิบัติฝึกสติให้ตามรู้ อารมณ์ ทำให้เชื่อว่า เมื่อหมดลมหายใจ ใจจะ หมุนติดอยู่กับอารมณ์สุดท้ายที่นึกคิดอยู่ ถ้าอยู่ กับค่าภาวนา อยู่กับสติ อยู่กับสมาธิ ใจก็สงบ ดูแลตัวเองปลอดภัยอยู่บนมรรค ปฏิบัติพัฒนาจิต ต่อไป ถ้าอยู่กับอารมณ์สุขที่เราพออกพอใจ ก็เรียก ว่าใจไปอยู่บนสวรรค์ เพราะใจเบิกบาน มีความ พออกพอใจ มีปีติเป็นอาหาร ถ้าใจอยู่ในอารมณ์ คับข้องเดือดร้อน ไม่พอใจ เราก็ว่าไปอยู่ในนรก นรก สวรรค์ หรือ
เหยียบไปเดินเหมือนกับโลกมนุษย์ละก้อ ขอตอบ ว่า เป็นไปไม่ได้ เพราะจิตเป็นนามธรรม สถานที่ อยู่ของนามธรรม ก็ต้องเป็นธาตุเดียวกัน คือ นาม ธรรม ไม่ใช่วัตถุที่เราจะไปสัมผัสถูกต้องได้ ถ้า เราเข้าใจถูกต้องอย่างนี้ ก็จะไม่ไปกังวลว่า นรก สวรรค์ พิสูจน์ได้อย่างไร อยู่ตรงไหน
ถ้าเราอยากเสถานทีอยู่ของใจเราเมือตาย แล้ว ให้ฝึกดูใจของตัวขณะมีชีวิตเป็น ๆ อยู่ วัน ทั้งวัน คอยตามดูว่า ใจเราอยู่ในนรกนานเท่าไร อยู่ ในสวรรค์นานเท่าไร ตอนที่ใจเราสบาย เราเห็น ใคร ๆ ยิ้มแย้มแจ่มใสไปหมด เรื่องหนักก็เห็น เป็นเบา คิดอ่านแก้ไขผ่อนปรนไปได้ แต่ถ้าใจเรา หงุดหงิดคับข้อง อะไร ๆ เราก็เห็นเป็นขวางหูขวาง ตา ชวนทะเลาะวิวาทไปหมด เมื่อฝึกดูไปสักพัก หนึ่ง เราจะเริ่มเห็นว่า ทุกอย่างสะท้อนมาจากใจของ เราทั้งนั้น ถ้าเราตั้งในใจให้เที่ยงตรง มีสติรักษา มี ปัญญาเห็นชอบคอยแนะสอน เราก็รักษาตัวให้ไม่มี ปัญหา จะอยู่หรือจะตายก็สบายแต่ถ้าปล่อยใจเราให้วูบวาบ ขึ้นๆ ลงๆ ตามอารมณ์ ขณะจะตายก็ยากที่เราจะท้นรักษาตัวรักษาใจให้ปลอดภัยหลังจากทรงสภาพอยู่ในภาวะนามรูป เสวย บาป เสวยบุญที่สะสมไว้หมดแล้ว ก็หมุนมาสร้าง รูปร่างกายขึ้นใหม่ตามต้นทุน บุญกุศล หรือบาป อกุศล ดังที่ท่านสอนไว้ว่า เรามีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยบัดนี้เวลาก็ล่วงเลยไปตามสมควรแล้ว หากมีปัญหาอะไรอีก เก็บรวบรวมไว้คราวต่อไปนะคะคราวนี้ฃอยุติแต่เพียงนี้
พิมพ์ดโดย ปภัสสร มีพงษ์
แหล่งที่มา http://web.krisdika.go.th/buddha/30_evilDoer.pdf
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น