Header Ads

วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2561

บทความหมออมรา ผิดเป็นครู

บทความหมออมรา
ผิดเป็นครู

ชื่อผู้เขียน       พญ อมรา มลิลา
วันที่              วันที่ 14  พฤษภาคม พ.ศ.2541
ณ                  ห้องประชุมจงจินต์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ชมรมพุทธธรรมรามาธิบดี
หมวด
อันดับที่         


                   เรื่องที่จะปรารภสู่กันฟังในวันนี้ เป็นเรื่อง ผิดเป็นครู ให้เรามาดูกันว่า ที่ผิดเป็นครูนั้น เราเอาอะไรมาวัด ว่าแค่ไหนผิด แค่ไหนถูกปกติ ใจคนเราอยู่ภายใต้ความรู้ไม่รอบ รู้ไม่ จริง คือเป็นอวิชชา เพราะฉะนั้น สิ่งที่เรานึกว่าเรารู้ถูกต้องแล้ว นั้นก็ยังไม่ถูกต้อง ยังไม่ใช่ปัญญา เห็นชอบ อะไรที่ทำลงไปจึงยังมีที่ผิดที่บกพร่อง ที่ เราจะต้องพิจารณาไตร่ตรองซ้ำอีก ให้เกิดความรู้ชัดรู้แจ้งแล้วเหตุใดเราจึงว่าผิดเป็นครูก็เพราะธาตุแท้ของใจ แม้จะเป็นพุทธะ คือ รู้ ตื่น เบิกบาน ก็จริง แต่เราไม่เคยรักษาให้ใจอยู่ในสภาพที่รู้ ตื่น เบิกบานได้ เราหลงบ้าง หลับบ้างประมาทขาดสติบ้าง สิ่งที่เราคิดหรือนึกเอาว่าเรารู้นั้นจึงเป็นความรู้ผิดๆแต่เราก็ไม่เคยจะเฉลียวใจว่าเรารู้ผิด เพื่อจะได้รู้ว่าทีตัวทําไปนั่นผิด ต้องฝึกฝนคอยเอาสติไปจับสังเกตดูการกระทําของ เราเองทุกๆขณะ ว่าผิดถูกอย่างไรบ้าง ก่อนจะมาศึกษาใจ ศึกษาพฤติกรรมของเรา เอง แล้วเฉลียวใจว่าผิดเป็นครูนี้ เราก็เคยๆทํานี้แหละ แล้วมิไยใคร... ใครจะไปแอบนินทา จะหัวเราะขบขัน เราก็ไม่รู้ไม่ชี้ เพราะไม่เคยเฉลียว ใจเลยว่าเราผิด แต่เมื่อเริ่มรู้ว่า ใจที่เราเชือว่ารู้นั้น ยังรู้ไม่ รอบรู้ไม่จริง บางทีก็เหมือนไฟกะพริบ ทำท่าเห็น สว่างกระจ่างชัดดี แต่อีกประเดียวก็ชักเลือนสลัวไป อีก เราเริ่มสังเกตได้ว่า ที่เราว่า เรารู้ เราทําดี เรา แน่ มันดีจริงหรือเปล่า เราจับสังเกตปฏิกริยาของ คู่สนทนาหรือคู่กรณีของเรา ว่าระหว่างที่เราพูดหรือ เราทำกิริยาอาการอะไรกับเขา เขายังเป็นปกติอยู่ หรือเกิดอาการเหมือนพูดไม่ออก หรือมีอาการชวน ให้เราสงสัยว่าสิ่งที่เราทำนี้คงพิลึกพิลันแท้ ตรงนี้แหละ ทีเราบอกว่าต้องอาศัยผิดเป็นครู หลายๆ ท่านอาจแย้งว่า ในเมือเราก็รู้อยู่แล้ว
การที่เรามาปฏิบัติ มาดูใจของเรา ก็ทําให้เรารู้จัก ตัวเองแล้ว พระพุทธองค์ท่านก็สรุปคําสอน วาง
แนวทางที่เป็นหลักธรรมทั้งหลายไว้แล้ว แล้วทําไม เราถึงจะต้องผิดอีกล่ะ เราอ่านตามตําราของท่าน แล้ว ทุกอย่างก็ต้องถูกสินี่เราพูดตามสถิติของความนึกคิดของเราว่า สิ่งที่เราอ่านตามตําราแล้วเราว่าเรารู้ ก็ต้อง
แต่เรื่องของใจ ไม่ใช่อย่างนั้นเพราะความรู้ชนิดนัน คือรู้ด้วยสัญญา รู้ด้วย ความจำ เหมือนนกแก้วนกขุนทอง เวลาเอานกแก้ว นกขุนทองมาสอนให้พูด มันก็พูดได้เหมือนที่สอน จะให้พูดภาษาฝรั่งให้เหมือนกับฝรั่งจริงๆ พูด มันก็พูดได้เหมือนเปียบ แต่มันไม่รู้หรอกว่า ที่พูดไปนั้น หมายความว่าอย่างไร
เราก็เหมือนกัน ทุกวันนี้ที่เรารู้จักกันเราอ่านตํารา เราฟังครูบาอาจารย์สอน เรารู้. รู้. รู้นี้แหละ เวลาที่ใครมีความทุกข์เดือดร้อน มีปัญหา เราแก้ ปัญหาให้เขาได้เฉียบคม แล้วเราก็ภูมิใจ ว่าเรารู้ แล้ว... รู้แล้วแต่เมื่อปัญหาอันนันเกิดขึ้นกับเรา เราพบว่าเรากลับทำอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งตรงนีแหละทีบอกว่า ผิดเป็นครู เราจะต้องเอาสติตามสังเกตตัวเองว่า สงทเรารู เราบอกคนอน เราแก้ปัญหาให้คนอึนได้  แต่ทำไม ถึงยามคับขันที่สิ่งนั้นเกิดขึ้นกับตัวเราเอง ทำไมเราจึงไม่ทำอย่างทีเราบอกเขาเหล่านั้น ก็เพราะว่า สิ่งที่เราบอกเขานัน ยังไม่เป็น สมบัติของเรา ใจเราทั้งหมดยังไม่ได้เชือ ยังไม่ได้ รู้เห็นเป็นขึ้นในใจของเรา เพียงส่วนหนึ่งของใจ เราเห็นว่ามันดี มันถูกต้อง มันน่าเชื่อถือ เราก็จํา เอาไว้ แล้วเผลอเข้าใจไปว่าเรารู้แล้ว ครั้นถึงเวลา ทดสอบกับตัวเองจริงๆ เราจึงพบด้วยความตกใจ ว่า ตายจริง... ทำไมถึงเป็นอย่างนี่ไปเสียล่ะ เหมือนมีคุณแม่ท่านหนึ่ง อบรมสูกสาวว่า คนเราจะต้องพูดความจริง ทำอะไรลงไปแล้ว ถึงทำไม่ถูกต้อง ตัวเองไม่พอใจ ก็ต้องพูดตามความจริงทั้งที่ความจริงนั้นจะทำให้เราทุกข์เดือดร้อนก็ตาม
อบรมอยู่เป็นชั่วโมง จนในที่สุดลูกสาวเห็นด้วยกับ หลักการของคุณแม แล้วก็สัญญาว่าแต่นี้ต่อไปลูก
จะพูดความจริง ถึงความจริงจะทำให้ต้องได้รับโทษ รับทุกข์ก็จะยอมรับ เพราะคนเราผิดแล้วต้องยอมรับ โทษ จะได้จำ ไม่ทำผิดอีก
ขณะที่คุณแม่กําลังสรุปย่าอยู่นัน สาวใช้ก็ มาเรียนคุณแม่ว่า “คุณคะ คุณคะ มีโทรศัพท์ คุณแจ๋วจะพูดด้วย”คุณแม่ลืมไปแล้วว่า ได้อบรมลูกมา 1 ชั่วโมง ว่าจะต้องพูดความจริง คุณแม่ก็ทำเสียงกระซิบกับ คนใช้ “ไปเรียนคุณแจ๋วว่าฉันไม่อยู่"คุณแม่พูดหน้าตาเฉยเลย พูดไปโดยทีไม่ได้ นึกสักนิดหนึงว่า สิ่งที่คุณแม่ทำนั้นขัดแย้งกันกับ คำสอนของตัวเอง แล้วก็เป็นสิ่งที่ได้อบรมบ่มลูกว่า อย่าทา ๆ พ่อแม่ไม่เคยสอนให้ลูกทำอย่างนี้เลยถ้าเราเป็นลูกที่ปากเบาสักหน่อย เราก็คงจะประท้วงว่าแม่...ก็แม่อยู่นี่นาแล้วแม่ไปบอกว่าไม่อยู่ได้อย่างไร ซึ่งคุณแม่ก็จะต้องโกรธเกรียวมาก
ในใจของลูกเกิดความสับสนแล้ว ไหนแม่เป็น คนบอกเราว่า การพูดไม่จริงเป็นของไม่ดีอย่างยิ่ง ไม่บังควรจะทำให้เป็นนิสัย แล้วทําไมคุณแม่ทำอย่างนี่ล่ะ กฎนี่ยังมีข้อยกเว้นหรืออย่างไรกัน เห็นหรือไม่ว่า เวลาที่เราไม่รู้เท่าทันใจของเรา สิ่งที่รู้นันคือสัญญา เหมือนกับคุณแมท่านนี้ รู้ ด้วยสัญญาว่า การพูดจริงเป็นของดี ช่วยรักษาให้ศีลของเราไม่ขาดตกบกพร่อง แต่คุณแม่ก็ยังไม่ได้ ประพฤติตามจนเป็นอุปนิสัย แล้วก็ยังไม่ได้เห็นถึง ใจ ทำไปตามหน้าที่ฟูมฟักรักถนอมลูก อบรมบ่ม ปันลูก เลยมัวแต่ปันเขา แต่ลืมปั้นเราเราลืมนึกไปว่า คําสอนที่ดีคือการกระทำ ไม่ใช่คำพูด เพราะคำสอนที่มีเสียงดัง หนักแน่น ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด คือ การกระทำที่เราทำตัวเราเป็นตัวอย่าง ให้คนอื่นดู เพราะทำแล้วจะไม่มีข้อโต้แย้ง แต่ถ้าพูดบางทีพูดแล้วเราเผลอ เราทำไปอีกอย่างหนึง เมื่อเป็นอย่างนี้ เราจึงต้องคอยจับสังเกตตัวเราด้วย ในกรณีนี้ ถ้าคุณแม่และคุณลูกจะปฏิบัติ เพื่อขัดเกลาใจของตัวไปด้วยกัน คุณแม่ก็ต้องยอม
เป็นประชาธิปไตยกับลูกว่า ถ้าแม้นเราทําอะไรที่ เป็นข้อน่าสงสัย หรือลูกมีข้อสงสัย เราจะต้องใจ เยือกเย็น เปิดใจฟังคําวิพากษ์วิจารณ์ของลูก. เอามาแกะแก้พฤติกรรมของตัวเองหรือขณะที่เราทำอะไรไปนั้น การจะเห็นที่ ผิดของตัว แล้วเอามาเป็นครูได้นั้น เราต้องจ่อสติ ตามรู้ เหมือนเรามีตัวอีกตัวหนึ่งที่คอยเฝ้ามองเรา เหมือนที่เราเฝ้ามองลูกเรา หรือมองคนอึนอย่างนั้นแล้วสติตัวนี้จะต้องเที่ยงตรง ไม่เข้าข้างตัวเอง คอย แก้ต่างให้ตัวเองเหมือนคุณพ่อท่านหนึ่ง อบรมบ่มลูก อย่าดื่มเหล้า เหล้าเป็นของไม่ดี แต่ว่าแล้ว คุณพ่อก็ดื่ม เสียเอง ถ้าคำสอนมีข้อยกเว้นอย่างนี้ ไม่ใช่ผิด เป็นครูแล้ว แต่มันจะผิดแล้วกลายเป็นอุปนิสัย ผิด แล้วกลายเป็นอาจิณกรรมไป เพราะเราจะอ้างว่า เหล้าเป็นของไม่ดี ลูกอย่ากิน แต่พ่อเป็นผู้ใหญ่แล้ว พ่อกินได้ หรือคุณแม่ท่านนี้จะบอกว่า การพูดไม่ จริงเป็นของไม่ดี แต่ผู้ใหญ่บางครั้งมีความจำเป็น ต้องพูดไม่จริง เพราะฉะนั้น แม่จะเป็นคนตัดสิน
เองว่า ตรงไหนจำเป็น ตรงไหนไม่จําเป็น ขึ้นมาก็ไม่อยู่กับร่องกับรอย แล้วในที่สุดกิเลสก็เอา เราไปเป็นข้าทาสบริวาร เพราะเราเคยเป็นข้าทาส บริวารมันมาตลอดเวลา เราก็เลยผิดไปเรื่อยๆ ไม่มี วันที่จะปฏิวัติปฏิรูป แล้วเอามันมาเป็นครูได้ การ ที่เราจะเอาที่ผิดมาเป็นครู จึงไม่ใช่ของง่าย เหมือนคราวหนึ่ง ดิฉันไปที่วัด ปกติเราไม่ เคยใส่ใจสนใจว่าใครเป็นใคร ถึงท่านอาจารย์ให้มา อยู่ที่กุฎีเดียวกันก็เถิด ต่างคนต่างก็ดูใจของตัวเอง ดูแลตัวของตัวเอง ใครซักผ้าตากเอาไว้ ก็ตากเอา วัอย่างนั้น ถึงเวลาใครจะไปอาบน้ำ ก็ไปเก็บเสื้อผ้าของตัวมาเปลี่ยน แล้วซักตัวที่กำลังใส่อยู่ หมุนเวียนกันไปอย่างนี่ คราวนัน มีสุภาพสตรีสูงอายุท่านหนึ่ง ท่าน เป็นห่วงเป็นใย ดูแล อนาทร เหินทุกคนเป็นลูก เป็นหลานท่านไปหมด ตกเย็นท่านไปเก็บเสื้อผ้า ของท่านเสร็จ ท่านก็เกิดห่วงว่า พระอาทิตย์ตกแล้ว ประเดียวน้ำค้างลง จะทำให้ผ้าชื่น ว่าแล้วท่านก็เก็บ
เสื้อ เก็บผ้าถุง เสื้อนั้นไม่เป็นไร เพราะเราจำเสื้อ ของเรากันได้ แต่ผ้าถุงสีดําที่ท่านช่วยเก็บให้หมด จากทุกราวที่ผู้พักอยู่บ้านนั้นตากเอาไว้ แล้วก็พับ อย่างดีเรียบร้อย วางไว้ เหมือนเวลาอยู่ที่บ้าน เก็บเสื้อผ้าแล้วก็พับวางเอาไว้ นี่สิ ที่เป็นปัญหา ถึงเวลาทีแต่ละคนจะอาบน้ำ ไปเอาผ้าที่ราว อ้าว... ว่างเปล่า ก็เกิดโกลาหลกันยกใหญ่ ท่านบอก ว่า นี่. ผ้าอยู่ตรงนี้ ฉันเก็บมาให้แล้ว แทนทีทุกคน จะขอบคุณหรือซาบซึ่ง ทุกคนเริ่มหน้านิวคิวขมวด บางคนปากเบาหน่อยก็ประท้วงว่า มันธุระอะไรของ คุณ เราโตกันแล้ว เรามาปฏิบัติธรรมก็จะมาหัดพึง ตัวเอง เราตากผ้าไว้ เราพอใจจะเก็บเมื่อไร เราก็ เก็บของเราเอง คือสรุปแล้วก็อยากจะว่า คุณเสือก อะไรด้วยล่ะ ก็เลยโกลาหลอลหม่านกันไปหมด เพราะว่า ทุกคนไม่แน่ใจว่าผ้าถุงผืนไหนเป็นของตัว ผ้าถุงที่ ใช้กันเป็นผ้าซื้อจากร้าน ส่วนใหญ่ซื้อแล้วร้านก็เย็บ ให้เสร็จ เพราะฉะนันตะเข็บก็จะเป็นรูปเดียวกัน จะ หาเครืองหมาย หรือตำหนิ หรืออะไรที่จะบอกว่าผ้าผืนนี้ของฉัน ผืนนี่ของเธอ ก็หาไม่ได้ เพราะผ้า ก็ผ้าเนื้อเดียวกัน บางผืนเหมือนกันเปียบ กว้างยาว เท่ากันเลย กว่าจะตัดสินใจเลือกคัดจัดสรรลงตัวว่า
เออ เรามาปฏิบัติธรรมแล้ว ไม่มีตัวสัตว์ ไม่มีบุคคล ผ้าก็มีไว้สําหรับนุ่ง ให้เราไม่หนาวไม่ร้อนเกินไป เอาไปเถิด ผืนไหนก็ใช้นุ่งได้ สะอาดทั้งนั้น ก็ตก เข้าไป 3 ทุ่ม 4 ทุ่ม ได้หลังจากทุกคนอาบน้ำกันเรียบร้อย ต่างแยก ย้ายไปทำภาวนาแล้ว ดิฉันกลับมาที่กุฎี ก็พบท่าน ที่เป็นสาเหตุยังนั่งอยู่ ดิฉันก็เข้าไปไถ่ถามท่านว่า เป็นยังไงบ้างคะ จากเรื่องที่เกิดขึ้นเราก็นึกไปว่า ท่านจะรู้สึกเสียใจหรือรู้สึกไม่ สบายใจ แต่คําตอบที่ได้รับทําให้รู้ว่า ท่านไม่ได้เห็น เลยว่าท่านทําอะไรผิด เพราะท่านตอบว่า ฉันรู้ตัว ว่าฉันทำอะไรฉันถูกอบรมมาว่า คนเราต้องมี น้ำใจ เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ ฉันเป็นคนมีน้ําใจ เอื้อเฟื่อ เผือแผ่ เมือฉันเก็บผ้าของฉัน ฉันรู้ว่าพระอาทิตย์ตกแล้ว น้ำค้างเริ่มลง ผ้าก็จะชื่น แล้วมีกลิ่นไม่น่า ใช้ ฉันก็ช่วยเก็บให้ แต่ถ้าใครจะไม่มีปัญญารู้ถึง
ตรงนี่ แล้วมาเพ่งโทษฉัน จิตใจคนนั้นก็เดือดร้อน
ไปเอง ฉันไม่รับรู้รับทราบ ดิฉันฟังแล้วก็งง ไม่เคยคิดเลยว่า ใครที่ ปฏิบัติธรรมแล้วจะยึดมันกับความคิดของตัวได้ถึง ปานฉะนี้ เพราะคนเรานัน ถึงเริมต้นเราจะตั้งใจดี
ถ้าดิฉันเป็นท่าน ดิฉันก็ทำด้วยความปรารถนาดีร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะเราถูกอบรมมาให้เชื่ออย่างนี้ แล้วเราก็ถูกฝึกมาอย่างนี้ ตอนทำลงไป เราไม่มีข้อ สงสัยแม้แต่นิดเดียวว่า สิ่งที่ทำไปนั้นจะเป็นพิษเป็น ภัยหรือว่าจะขาดตกบกพร่อง ไปเข้าทำนองทำคุณ บูชาโทษ เมื่อเห็นปฏิกริยาที่เกิดขึ้นแล้ว ดิฉันว่า ใครที่ ฝึกสติอยู่ จะต้องฉุกใจคิด จะต้องพิจารณาว่า เออ... การที่เราหวังดีต่อคนอื่น แต่ขาดความรอบคอบ ก็ ไม่ถูกต้อง เพราะเราไม่ได้ขออนุญาตก่อนว่า คุณต้องการให้ฉันช่วยเก็บผ้าถุงหรือเปล่า ในแง่ทีถ้าดิฉันเป็นผู้ทำอย่างนั้น แล้วดิฉันก็คงต้อง เพ่งโทษตัวเองต่อไปว่า การทำอะไร ถ้ามีแต่ความตั้งใจดีอย่างเดียว แต่ไม่ใช้ปัญญาคิดให้รอบคอบ ก็ ยังไม่ปลอดภัย ถ้าเราจะทำอย่างนี่
หน้า เราจะเอาความบกพร่องครังนี้น้อมมาเป็นครู ได้อย่างไรบ้าง ไปขออนุญาตเจ้าของก่อน พูดจาให้รู้เรื่องกัน ในพระวินัยก็มีสอนไว้ เป็นต้นว่า เราไม่มียางลบ เราเห็นยางลบของเพื่อนวางอยู่บนโต๊ะ เออ... ขอยืม ใช้หน่อยเถิด เมื่อใช้แล้ว เจอกันก็รีบรายงานว่า ฉัน ขอยืมยางลบเธอไปใช้นะ เธอช่วยอนุญาตให้หน่อย จะได้ไม่เป็นหนี้ต่อกัน ท่านอาจารย์บอก ถ้าเราไม่สังเกตให้ดีว่า ยางลบของเขาวางอยู่ที่ตรงไหน เมือเราหยิบไปใช้ แล้วเราเอามาวางคืนก็จริง แต่วางผิดที ครันเจ้าของ มาถึง จะหยิบใช้เลยหาไม่พบ...ใครขโมยยางลบไป ใจที่กระเพื่อมไปก่อนจะหายางลบเจอนั้น เป็นผิด ถึงเราจะไม่ได้ขโมยเขาก็จริงแต่ความไม่รอบคอบของเรา เราย้ายที่ของเขาแล้วไม่เอาคืนไว้ ที่เดิม ทำให้เจ้าของหาไม่เจอ ใจเกิดความผิดปกติ ไปแล้ว ความละเอียด
นี่เรามาปฏิบัติธรรม การที่เราจะไปเคลื่อน ย้ายผ้าของเขา ถึงจะมีเจตนาดี เราก็ควรจะต้องขอ อนุญาต หรือบอกกล่าวตกลงกันให้รู้เรื่องก่อน ถ้าเราไม่รู้ตรงนี้ เก็บจากผืนซ้ายมือสุด แล้วก็เรียงตามลำดับ เอาผืน ซ้ายมือสุดวางไว้เป็นผืนแรก พอผู้คนอลวนอลเวง เรากบอก คุณก็ไปเล็ง ดูสิว่า ผ้าคุณอยู่ที่ตรงไหนของราว เพราะดิฉันทำ อย่างมีระเบียบเรียบร้อย ผืนซ้ายมือสุดจะอยู่ข้างล่างสุด หรืออะไรทํานองนี่ อย่างน้อยเราก็มีเครื่อง ยืนยันว่าเราคิดโดยรอบคอบก่อนทำ เพราะแบบที ทําไปนั้น พอคนถามว่าผืนไหนของฉัน ผืนไหนเก็บมาจากตรงไหน เธอเองก็อธิบายไม่ได้ ท่านอาจารย์สิงห์ทอง เคยเล่าถึงท่านพระ อาจารย์มัน พระที่มีหน้าที่ปฏิบัติท่านจะต้องดูแลเก็บกลด และกางกลดให้ท่าน มุ้งกลดนั้นมีสัณฐาน กลม พระที่มีหน้าที่อุปัฏฐากก็พยายามเล็งว่า ท่านพระอาจารย์เอาตรงนี่ไว้ตรวหัวนอน จัดเอาตรงนี้ไว้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาอธิบายเป็นขอยืนยัน ทานพระอาจารย์ก็บ่นทุกวัน. เด็กสมัยนี้ มันไม่มีสติเลย เดียวก็เอาหัวกลดไปไว้ปลายเท้า หมุนไปหมุนมา ไม่เป็นท่า เดียวก็เอาปลายเท้ามาไว้ตรงหัวนอน วุ่นวายไปหมด... พระที่ปฏิบัติก็พยายามหมายตำแหน่งเอาไว้ว่า ไม่ได้ขยับ ของท่าน แต่ก็ยังถูกดุอยู่ทุกวันในที่สุด วันหนึ่งก็เลยตัดสินใจ เอาปากกามา จุดเอาไว้บนมุ่งกลด ตรงตําแหน่งหัวนอนท่านพระ อาจารย์ พอทําอย่างนันแล้ว ท่านพระอาจารย์ไม่ดุ อีกเลยคือท่านจะสอนนั้นเองให้เวลาที่เราทำอะไร เราต้องมีความแน่ใจมันใจ ต้องรู้ชัดเจน ไม่ใช่ว่า เรารู้ของเรา แต่พอถูกซักถามเข้า เราก็ได้แต่ว่า เราจําเอาไว้ แต่ก็ไม่มีอะไรเป็นหลักฐานมายืนยันว่า ที่จำไว้นั้นถูกต้องแน่นอนอย่างไร ของพระ ท่านก็ต้องทำเครื่องหมายที่เรียกว่าพินทุ เอาไว้ จะได้รู้ เพราะจีวรทุกผืนหน้าตาเหมือนๆ กันทำนองเดียวกับผ้าถุงของเรา ผึ้งแล้วจะได้รู้ว่าผี ไหนของใครถ้าเราเอาที่ผิดเรืองนี้มาเป็นครู เราก็จะได้
รายละเอียดต่อไป ส่วนดีของเราที่เรามีน้ําใจเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ เราก็ยังรักษาเอาไว้ ถ้าเราไตร่ตรองไม่
ไม่เอาที่ผิดมาเป็นครู พอถูกตำหนิ มีเรื่องนี้ขึ้นมา เราก็อาจจะเสียกำลังใจ ทาคุณบูชาโทษ โปรดสัตว์ได้บาป แต่นี่ต่อไปเลิกทํา ตัวใครตัวมัน ฉันจะไม่มีน้ำจิตน้ำใจกับใครอีกคิดอย่างนี้ก็ไม่ถูก เพราะส่วนดีความมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ คอยอนาทรร้อนใจกับคนอื่น เป็น สิ่งดี แต่เราก็ต้องดูให้ถูกกาลเทศะ ดูให้รอบคอบ ดูให้ได้ผลประโยชน์เต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ใช่ดีแต่
กลายเป็นว่าไปยํายีหัวใจท่าน เพราะทําไปแล้ว คู่ กรณีรู้สึกว่า เรื่องอะไรของเธอ ใครไปเชื้อเชิญให้ เธอมาละเมิดสิทธิเสรีภาพของฉัน สิ่งที่เราทําย่อมมีทั้งส่วนดี ส่วนไม่ดี ถ้าเรา แปลผลไม่เป็น หรือเราพิจารณาไม่รอบคอบ เราไม่ เอาปัญญามาเป็นตะแกรงร่อนให้เก็บส่วนดีเอาไว้ แล้วเสริมเติมส่วนที่ยังขาดตกบกพร่องให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เราก็จะพลอยทิงคุณงามความดีของเราไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เอาความน้อยอก น้อยใจเป็นอารมณ์ว่า อุตส่าห์ทำแล้ว เขาไม่เห็น
เขาไม่ซาบซึ้ง เขาไม่ชมเชย เพราะฉะนั้น เลิกแล้ว ไม่ทำอันนี่ก็แสดงว่าใจของเราตกเป็นประเทศราช ของโลกธรรมจนเกินไป จนกระทั่งเราไม่มีภูมิคุ้มกันที่จะปกป้องคุ้มครองตัวเอง
หรือว่าถ้าใจเราเป็นต้นไม้ เราก็ไม่รู้จักดูแลรักษาให้ต้นไม้ของเราเติบโตขึ้นมาเป็นต้นทีตรงใหญ่ แตกกิ่งก้านสาขาเกิดร่มเงาทีให้ความร่มเย็นกับตัวเองและร่มเย็นกับใคร ที่เข้ามาอยู่ใกล้ ตรงนี้แหละเป็นสิ่งสําคัญที่เราจะต้องฝึก จะต้องดูแลใจของเราให้ดี ให้มีวิธีคิดที่รอบคอบ คิดแล้วเป็นประโยชน์เป็นคุณ ถ้วนทัวหน้า แล้วก็เก็บเกี่ยวข้อมูลทั้งหลาย ผัสสะทั้งหลาย จากสิ่ง กระทบ จากโลกข้างนอก จากผู้คนที่มาเกี่ยวข้องกับ มาพิจารณากลั่นกรองให้เกิดเป็นคุณประโยชน์ทํานองเดียวกับที่สมัยนี้เป็นสมัยที่ทรัพยากร ธรรมชาติขาดแคลน ร่อยหรอ เราต้องเก็บของที่ใช้ แล้วเอากลับมาทําใช้ซ้ำ มีอะไรที่จะเก็บกลับคืน แล้ว
เอามาใช้ใหม่ได้ เราก็ประหยัดมัธยัสถ์ เก็บงำกลับ มา แม้แต่ขยะก็ไม่ทิ้ง เอามาเปลี่ยนให้เป็นปุ๋ยหมักถ้าเราระลึกตรงนี้เอาไว้ ผิดเป็นครูก็เหมือน อย่างกับเอาผิดเป็นขยะมาทำให้เป็นปุ๋ยหมัก แล้ว จะได้เอาไปปลูกต้นไม้ให้งอกงามใจของเราก็คือต้นไม้ ท่านอาจารย์ท่านเปรียบ เทียบใจของคนเราเหมือนกอบัว เมื่อใจเราดีพร้อม บริสุทธิ์หมดจดแล้ว ไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง เรา เสร็จธุระของเราแล้ว มีแต่จิตบริสุทธิ์หลุดพ้น ไม่มามีขันธ์ห้า ร่างกาย ให้เป็นภาระอันหนัก ขันธ์ห้าเป็นภาระอันหนัก ให้เราต้องหาอยู่หา กิน บํารุงรักษา เมื่อเรายังมีกายอันนี้อยู่ ก็เปรียบ เหมือนกอบัว กอบัวอาศัยอยู่ในโคลนตม แล้วดูดปุ๋ย ดูดน้ำจากโคลนตมมาเลี้ยงดอกบัวคือใจ ให้ซูก้านโผล่ ขึ้นเหนือน้ํา แย้มกลีบบานรับแสงอาทิตย์ ทํานอง เดียวกับใจ ตื่น เบิกบาน คืนสู่ความเป็นพุทธะ ถ้าเราเอากอบัวไปแช่ไว้ในน้ํากลั่นหรือน้ำฝน กอบัวก็คงเหี่ยวแห้ง ไม่ออกดอก เพราะบัวต้องอาศัยปุ๋ย อาศัยน้ำจากโคลนตม เพื่อปรุงอาหารไปเลี้ยงลำต้นจนเติบโต มีดอกขึ้นมา แล้วดอกบัวก็โผล่ขึ้นไปบานรับแสงอาทิตย์ได้ เหมือนกับใจของเรา ถ้าเราไม่เอาสติรู้สิ่ง ที่มากระทบใจเราทุกเวลานาที เราไม่เรียนรู้จาก ประสบการณ์ เราไม่ลงมือกระทำอะไรลงไป เราก็ ไม่มีทางที่จะรู้ว่า เรายังรู้ผิดรู้ถูกตรงไหนบ้าง คนที่ พูดว่า ฉันไม่เคยทำอะไรผิดเลย ท่านอาจารย์บอกคนๆ นั้นเวลากลืนกินชีวิตไปโดยเปล่าประโยชน์ เป็นโมฆบุคคล ทําไมท่านอาจารย์จึงเรียกว่าเป็นโมฆบุคคล ก็เพราะคนๆ นี้รักตัวตนของตัวมากเสียจนกระทัง ไม่ยอมที่จะให้ใครมาวิพากษ์วิจารณ์ได้ ก็เลยเลงอยู่ นั่นแหละ ถ้าลงมือทําไป เดียวจะพลาด ก็ไม่ยอม ทําสักทีหนึ่ง ต้องให้แน่ใจมันใจแล้วถึงจะลงมือ ซึ่ง คนอึนเขาก็ทําเสร็จไปแล้วทุกที่ ท่านจึงสรุปว่า คนที่พูดว่าฉันไม่เคยทำอะไร ผลงานของคนอื่นไปอ้างอิงว่าเป็นของตัว แล้วตัว เองก็ไม่ยอมเสียง ไม่มีประสบการณ์ใจของเขาจึงไม่มีวันที่จะรู้ตามเป็นจริงได้ เพราะมีแต่ความลังเลสงสัย ความไม่แน่ใจ คอยแต่จะเสียงโชคเล็งผลเลิศ หรือเกิดโชคดีทำถูก ขอให้ทําซ้ำอีกก็ทำไม่ ได้ เพราะไม่ได้ลงมือทำด้วยความมั่นใจ ด้วยเหตุ ด้วยผล ด้วยใจที่พร้อมว่า ถ้าผิดเราก็ยอมรับผิด เพื่อจะได้รู้ว่าเรายังเข้าใจตรงไหนผิดไป ไม่ใช่ผิด เพราะขาดสติ สะเพร่า ขี้เกียจขีคร้าน แต่เป็น เพราะอวิชชาในใจของเรา ที่ชักพาให้เรายังไม่รู้แจ้ง รู้จริง อันที่จริงดีด้วยซ้ำไปที่มีเรืองนี้เกิดขึ้น ทำให้ เราได้รู้ว่า ตรงนี้คือจุดบอดจุดมืดของเรา เราจะได้ แก้ไข ได้ปรับให้สว่าง ให้อวิชชากลายเป็นวิชชา คือ รู้ตามเป็นจริง ถ้าเข้าใจเที่ยงตรงอย่างนี่ เราจะเป็นคนจริง ไม่เป็นโมฆบุคคลอีกต่อไป เมือมีอะไรมากระทบใจหรือมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เราก็จะเอาสิ่งนั้นมา พิจารณาไตร่ตรองจนแน่ใจว่ารอบคอบแล้ว ถึงจะให้ เราคิดอีกครั้ง เราก็คิดได้อย่างนี้ เพราะว่านีเป็นดี ที่สุดของสติปัญญาความสามารถขณะเดียวนี้ เราก็ ลงมือกระทำไปขณะลงมือกระทำไปนั้น ก็เอาสติคอยตามรู้ เหมือนมีใครอีกคนที่คอยตามดูการกระทำของเราอยู่ ถ้าเกิดอะไรไม่ชอบมาพากล ผลไม่เป็นไปอย่างที่ คาดคิดเอาไว้ เราก็ปรึกษาหารือผู้รู้ หรือเอามา พิจารณาใหม่ ตรวจดูข้อมูลให้เที่ยงตรง แล้วลอง แก้ไขดัดแปลงปรับปรุงไปจนสัมฤทธิ์ผลเมื่อทำอย่างนี้ เราก็ได้ความรู้ ได้ประสบการณ์ ที่จะสอนให้เราเห็นว่า เรายังไม่รอบคอบ
ตรงนี้นะ เราพลาดไปตรงนี่เอง สิ่งที่เราเคยรู้นั้นเรารูผดๆ ขอบคุณที่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น ทําให้เราได้
แก้ไขความรู้ผิดๆ ของเราให้เที่ยงตรง เพราะอย่าง เราจึงว่าทุกคนที่ยังไม่เป็นอรหันต์ต้องเอาผิดเป็น  ผิดแล้วอย่ามัวเสียใจ อย่ามัวอายจนลืมนำมา คิดพิจารณา ถ้าเราพิจารณาในชาดก ในประวัติพระพุทธเจ้า เจ้าชายสิทธัตถะท่านก็เอาผิดเป็นครูเหมือน กัน ขนาดพระปัญญาของท่านกว้างใหญ่ไพศาล เราสรรเสริญว่าท่านเป็นสัพพัญญ รู้รอบโลก ถึง ก่อนตรัสรู้ พระปัญญาของท่านก็วิเศษสุด
คิดดู พวกเราคิดกันแต่ว่า เราไม่อยากตาย ไม่ อยากตาย แต่เจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นว่า อย่างไรๆ ก็ต้องตาย เพราะเหตุมีให้ชีวิตหรือสรีรยนต์อันนี้ เกิดขึ้นมาแล้ว ตั้งอยู่แล้ว ย่อมต้องเจริญเติบโตไป ตามวัย จนครบวัฏฏะ ถึงท่านจะไม่อยากแก่ ไม่อยากตาย อยากจะหยุดวัฏฏะไว้ตรงนี้ ตรงความ หนุ่มฉกรรจ์ แต่ปัญญาของท่านเห็นตามเป็นจริง ว่าอย่างไรก็ต้องไปจนครบวัฏฏะ คือต้องตาย ถ้า จะไม่ตายก็ต้องไม่เกิด นั่นคือดับเหตุแห่งวัฏฏะพวกเราไม่เห็นมีใครเลยที่คิดไม่อยากจะเกิด แล้วจะมาอ้างว่ารู้แจ้งแทงตลอด ผิดไม่ได้ ถ้าทำ อะไรแล้วต้องได้ผลเหมือนจับวาง อันนั่นคือความ หลง อันนันคืออวิชชา เราจะพบว่า คนที่สําคัญตัว ว่าตัวเก่ง มักพูดอย่างนี่.. เธอผิดๆ ไป แต่ฉันผิดไม่ได้... ถ้าใครพูดอย่างนี้ เรายิ้ม แล้วเฉยก็แล้ว กันไม่ต้องไปโต้เถียง ไม่ต้องไปทะเลาะเบาะแว้ง กับเขา เพราะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย อัตตาเขาใหญ่เสียจนกระทังไม่มีอะไรที่จะซึมแทรกเข้าไปถึงใจของเขาได้ ปล่อยให้เขาเมาตัวตน เมาความสําคัญ ของตัว ละเมอเพ้อต่อไปก่อน เรามาจัดการกับตัวเอาเวลาให้มาเป็นคุณเป็นประโยชน์กับตัว
ของตัวนี้แหละ ถ้าเราดูเป็น ฟังเป็น เราวิเคราะห์ เป็น เราก็จะรู้จักใช้เวลาให้เป็นคุณเป็นประโยชน์ ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยแต่ก่อนดิฉันเคยเข้าใจว่า ถ้าเราผิด คนเขา จะดูถูกดูหมิ่น เราจะหน้าแตกจนกระทังไม่มีทางเย็บ ติด แล้วทําอย่างไรเราถึงจะทำให้ไม่ผิดเลยได้ ท่าน อาจารย์บอกไม่มีทางหรอก เว้นไว้แต่เราเป็นพระ อรหันต์แล้วเท่านันเราถึงจะทำอะไรไม่มีที่ผิด แล้ว เรารีบตอบอย่างหน้าชื่นตาบานว่า ยังเจ้าค่ะ
ท่านสำทับว่า ก็เมือรู้ตัวอยู่ว่าเรายังมีที่ผิดที่บกพร่อง แล้วทําไมถึงไม่ยอมจะรู้จักที่ผิดของตัวเล่า เหมือน เราเป็นแผล เรารู้ว่าเราเจ็บ เรามีแผล แต่ปรากฏ ว่าเราไม่อยากหาให้เจอแผลของเรา แล้วเราจะเอา ยาไปใส่ที่ตรงไหน แผลจะหายได้ไหมล่ะ... ก็จริง ของท่าน
เราคิดอย่างท่านไม่เป็น แต่กลับไปคิดว่า ขืน หาแผลได้ เราก็เสียรังวัดหมดสิ เราเลยเทียวไป หาแผลของคนอึน จะได้ไปแก้ไขเขาท่านอาจารย์บอกโง่ เพราะถ้าเราไปหาที่ผิดของคนอื่นได้ เขาแก้ไขที่ตัวเขา ก็เป็นคุณงาม ความดีของเขา เขาก็ได้ดิบได้ดีไป เราเหนือยเปล่า จะไปอ้างว่านันเป็นผลงานของเราก็ไม่ได้ เพราะ เรามัวแต่จับผิดเขา แต่เราก็ยังทําผิดอย่างนันซ้า อยู่เรื่อยๆ ความรู้นั้นยังไม่ใช่ของของเรา... ก็จริง ของท่าน นี้แหละ ความคิดของเราจึงยังคุ้มตัวไม่ท่านบอกว่า เราคุ้นเคยกับการเป็นข้าทาส ของกิเลสมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติกี่อสงไขย ฉะนั้น เมื่อมี อะไรมากระทบใจ เราเผลอเพลินอยู่ ไม่ตั้งสติให้ดี สิ่งที่ตอบสนองออกไปโดยอัตโนมัติ ย่อมผิดทั้งนั้น เพราะมันคืออวิชชา เจ้านายเก่าของเราที่แซงสติ เข้ามาลากเราไปประทับทรง แล้วเราก็ผิดวันยังคำเราจะอับอายไปทําไม ความจริงเราก็ผิดอย่างนี้มา
เมื่อก่อนนั้นเรายิงน่าสงสาร ตรงที่ทําผิดแล้ว ยังไม่รู้ตัวว่าผิด เรายังละเมออยู่ ตอนนี้เราเริ่มตื่นตัว เพราะสติมาปลุกให้เราเห็น
ความจริง ก่อนหน้านี้ ท่านอาจารย์เห็นจนเบื่อจนเอียน แต่ศิษย์ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำแล้วทำอีก ไม่เหนื่อย
หรืออย่างไร จริงของท่าน นี่แหละ เราถึงต้องมีวิธี คิดที่เป็นแยบคายอุบาย ที่จะเป็นกำลังใจ ให้เราไม่
สึกมีอารมณ์ขึ้นมา เมือพบทีผิดที่พลาดของตัวเราพูดกันแล้วว่า แม้เจ้าชายสิทธัตถะก็ยังต้อง เรียนจากความผิด ท่านเรียนอย่างไร เริ่มต้นท่านก็ เหมือนเรา เมื่อท่านเห็นว่า เราต้องไม่เกิดอีก ฉะนั้น ต้องรีบเร่งทําความเพียร ท่านก็รีบเร่ง ไม่กินไม่นอน โหมพลกำลังตั้งหน้าพากเพียร ทีนี้ท่านก็ไปไม่ไหว ในพุทธประวัติก็ว่า เป็นคนดีดพิณ ครั้งแรกก็ซึ่งสายพิณจนตึง เหมือน ที่ท่านกำลังทำทุกรกิริยา พอดีดเข้าสายพิณก็ขาด ตกลงใช้ไม่ได้ เอ้า... ขึงใหม่ คราวนี้กลัวจะขาด ก็ขึงหย่อนๆ เมื่อดีดก็ไม่มีเสียง คนเล่นพิณขึงสายใหม่ คราวนี้พอดีๆ พิณก็เกิดเสียงไพเราะความเพียรจนกระทั่งเชื่อไปว่าร่างกาย ของเรา ถ้าถูกเข้มงวดให้ไม่กินไม่พัก กิเลสจะ พลอยหมดแรงไป มันก็ไม่ใช่ เพราะร่างกายจะพัง เสียอย่างสายพิณ ทําให้เสียแรงไปเปล่าๆ ไม่ได้คุณ ได้ประโยชน์อะไร แต่ถ้าเราเอาอกเอาใจร่างกายมากเกินไป ไม่ ปฏิบัติ ไม่ขุดเกลากิเลส ไม่ฝึกฝืนใจเสียบ้าง อย่าง ที่เราเคยเป็นมาแต่เก่าก่อน ก็ไม่เกิดประโยชน์อีก เพราะใจจะไม่เกิดความรู้เกิดกำลัง ใจมีธรรมชาติ เหมือนน้ำ เมื่อล้นฝาย จะไหลบ่าไปที่ไหน ก็ไหลไป ได้ทั่วทุกทิศ เป็นการเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ ตรงนี้ เจ้าชายสิทธัตถะก็ได้ปัญญา จริงสิ การที่เราเร่งความเพียรจนกระทั่งเชื่อไปว่าร่างกาย ของเรา ถ้าถูกเข้มงวดให้ไม่กินไม่พัก กิเลสจะ พลอยหมดแรงไป มันก็ไม่ใช่ เพราะร่างกายจะพัง เสียอย่างสายพิณ ทําให้เสียแรงไปเปล่าๆ ไม่ได้คุณ ได้ประโยชน์อะไร แต่ถ้าเราเอาอกเอาใจร่างกายมากเกินไป ไม่ ปฏิบัติ ไม่ขุดเกลากิเลสไม่ฝึกฝืนใจเสียบ้าง อย่างه ที่เราเคยเป็นมาแต่เก่าก่อน ก็ไม่เกิดประโยชน์อีก เพราะใจจะไม่เกิดความรู้เกิดกำลัง ใจมีธรรมชาติ เหมือนน้ำ เมื่อล้นฝาย จะไหลบ่าไปที่ไหน ก็ไหลไป ได้ทั่วทุกทิศ เป็นการเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ ถ้ามีทำนบมีขอบกักกันเอาไว้ เป็นทำนบทีพอดีพองาม มีความแน่นหนาให้นําไม่รัวไม่ไหลซึม ออกไป สามารถทดน้ำขึ้นไปเก็บสะสมไว้ เราก็จะได้เอามาทําคุณทําประโยชน์ ปล่อยให้ไหลไปหมุนเครื่องจักรที่ปันกระแสไฟฟ้ามา ใช้ หรือเอามาปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร ใจก็ทำนอง เดียวกัน ต้องมีศีลมีสติเป็นรัวเป็นขอบกันเอาไว้บนทางแพร่ง แต่ละขณะก็คือ ผิดเป็นครู หรือว่า ใช้ได้ สติของเราพอจะคุ้มครองให้เราพึ่งตัวเองได้ มันจะเป็นอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา จะไม่มีเวลา ไหนเลยที่เราจะอยู่เฉยๆ ไม่ต้องคิด ไม่ต้องนึกอะไร หรือไม่มีเหตุการณ์อะไรมากระทบให้ต้องตัดสินใจ ถ้าใจเห็นอย่างนี้ เราจะพบว่า แท้ที่จริงชีวิตก็คือ การเดินทางอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ขณะพักผ่อน เรา ก็ยังเดินทางกันอยู่ เพราะว่าเราจะพักอย่างไรๆ แม้ หลับ เราก็ยังฝัน ยังเดินทางอยู่นันเอง ครูบาอาจารย์ทานสอนวา แม้ในความฝันก็ ให้หยั่งสติเข้าไป ให้ฝึกฝนใจของเราอย่างจริงจังพากเพียรกําหนดรู้อยู่กับอิริยาบถ หรือลมหายใจ เป็นปัจจุบันจิต อย่าปล่อยให้มัวฝัน อย่าปล่อยให้คิดฟุ้งซ่านซัดส่ายเลอะเทอะไป ถ้าเป็นแบบนั้น ใจก็เหมือนฝายน้ำาทํานบรั่ว เป็นใจรัวอีกแล้ว ท่านอาจารย์เปรียบเปรย ของรัวใครเขาจะ เก็บไว้ใช้ ถ้วยแก้วรัว จะเอามาใส่น้ําก็ใส่ไม่ได้ ได้แต่เขวี่ยงทิ้งไปเท่านั้น แต่ใจของเรานี้ บางที่รั่ว จนไม่เหลือคุณงามความดี ก็ไม่เห็นมีใครเขวี้ยงใจ
ของตัวเองทิ้งเลย เห็นแต่ว่า ดี.ดี. ทังนัน  ของคนอื่นรั่วน้อยกว่าเรา เราก็พิรี้พิไรว่าเขาไม่ดี ถ้าคอยตามดูใจของเรา ดูพฤติกรรมของเรา อย่างนี่ เราก็จะได้เห็นที่ผิดที่บกพร่อง ได้ปรับปรุง ตัวของเราไปเรือยๆ เพื่อให้ใจค่อยๆ เป็นอิสระจาก อวิชชา จากความเห็นผิดเป็นชอบ สิงที่เป็นรากเหง้าให้เราคิดอะไรแล้วมักจะผิด อยู่รำไปก็คือ สติของเรา ความระลึกรู้ของเรา มันเหมือนไฟกะพริบ ทีค่อนข้างจะกะพริบดับไปทีละ นานๆ ไม่ค่อยกะพริบเปิดต่อเนืองกัน เราก็ว่าเรา ตั้งสติอยู่นะ อยู่ตรงนี้แหละ ไม่ไปไหนหรอก แต่ เผลอประเดียวเดียว มันเคลิมตกภวังค์ไปแล้ว ท่านอาจารย์เปรียบเทียบสติกับกิเลสของเรา เหมือนหมาไล่เนื่อ 2 ตัว ซึ่งคอยคุมเชิงกันอยู่ กิเลส นันคล่องแคล่วว่องไว สติพอนังเฝ้าไปสักประเดียว หนึ่ง ก็เกิดอาการหนังตาหย่อน ผลอยหลับไป เจ้า กิเลสก็วิ่งไปก่อหนึ่งก่อสินทั่วจักรวาล แล้วก็กลับมา หมอบอยู่ที่เดิม โดยใช้เวลาชั่วลัดนิวมือ เพียงชั่วสติ เคลิ่มไปนิดเดียว
แรงเสียเวลา ไปทะเลาะเบาะแว้งชกกับลมกับฝุ่นไป เรื่อยๆ เมื่อใจยังเป็นอวิชชา ความรักตัวเอง ถนอม ตัวเอง ทำให้ต้องปกป้องตัวเองให้ไร้ที่ผิด ก็เลยต้อง เอาที่ผิดไปป้ายใส่คนอื่น ทําให้เรายกตนข่มท่าน ทำให้เราจิตใจเหมือนอันธพาล อะไรๆ ก็เอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่นไปเสียหมด เพราะฉะนัน เราจึงต้อง ตามรู้ให้เท่าทันใจเจ้าเล่ห์แสนกลตัวนี้ให้ได้ เราสามารถนำใจมาทำคุณทำประโยชน์ได้ ท่านอาจารย์ท่านก็ให้กำลังใจเราว่า ถึงเราจะ พบว่า ใจเราร้ายกาจ เจ้าเล่ห์แสนกล ยอกย้อน ซ่อนเงื่อนมากแค่ไหนก็ตาม ก็ให้ภูมิใจได้ว่า ใจเรา เป็นใจทีมีปัญญา เพราะคนฉลาดทียังขาดการฝึกก็ ต้องเจ้าอุบายเจ้าเล่ห์แสนกล ทําให้ยากต่อการจะเอามาใช้งาน เหมือนสัตว์ป่า ยิงดุร้ายเถือนคะนองมากเท่าไร มีประโยชน์มากเท่านั้น หากเรามีปัญญา มีวิธีการที่จะฝึกฝนมัน เมื่อ ฝึกได้แล้ว มันก็ให้คุณมหาศาล ใจก็เหมือนกัน ยิง ทําพยศ ทําอวดดีดึงดื้อถือรันมากเท่าไร พอฝึกให้ข้ารูปได้แล้ว มันก็ดีสุดๆ เลยอุปมาเหมือนเหล็ก ถ้าเอาเข้าเตาหลอมจน กระทังได้ที่ จะเอามาทำเป็นภาชนะ เป็นเครื่องมือ เครื่องใช้ ก็จะอยู่คงรูป เป็นของดีมีคุณค่า แต่ถ้าเป็น ของไม่คงรูป เช่น เทียน เอามาหลอมเสร็จ ปันเสร็จ วางไว้ นึกว่าสบายใจหายห่วงแล้ว ที่ไหนได้ พบ อากาศร้อนเข้าหน่อย ปรากฏว่าเทียนเหลว เปลี่ยนรูปไปแล้ว เราเลยปั้นไม่เสร็จสักที ทำแล้วไม่รู้แล้ว ทำนองเดียวกับใจที่ว่าอะไรก็คล้อยตาม ไม่ดึงดือถือ รัน แต่พอไปใกล้กับอะไร ก็ลืมสิ่งที่เคยถูกอบรมบ่ม สอนมา กลืนกลายเป็นสิ่งใกล้ตัวไปทุกที่ ท่านจึงให้เราดูจริตนิสัยตัวเรา ถ้าเราเป็น ประเภทที่เรียกว่ายอมหักไม่ยอมงอแบบนี้ ถ้าเรา ฝึกเราให้ได้ที่ เอาผิดเป็นครูให้ได้ ก็จะได้ดิบได้ดี เพราะใจแบบนี้ เป็นใจทีมีความเชื่อมันในเหตุผล ถ้าเหตุผลยังไม่ถึงใจ ก็จะไม่ยอมรับ แต่ถ้าเหตุผล ถึงใจ เกิดเป็นความเข้าใจขึ้นแล้ว จะถือเป็นข้อปฏิบัติ ตามโดยเคร่งครัด ไม่โกงกับตัวเองเป็นอันขาด ทำให้ไปจนถึงที่หมายได้ครั้งแรกอาจจะแลดูเหมือนยากลำบาก แต่ถ้าเราหาแยบคายอุบาย ที่จะน้อมให้ใจเข้าใจได้แล้วมันยินยอมพร้อมใจที่จะฝึกตัวเอง ที่จะปฏิบัติ ให้ได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วย ถ้าใจเราเป็นใจที่ใครว่าอะไรก็ดีไปทั้งนั้น มันหลายใจ ตอนนี้ก็ว่า ดี. ดี. ดี. ครันไปฟังคนโน้น อ้าว... คนโน้นก็ดีอีกแล้ว เปลียนใจตามเขาไปอีกแล้ว เราตั้งใจไปทางโน้นอยู่แท้ๆ อ้าว... ดูอีกที่ ย้ายไปอีก แล้ว เพราะใจของเราไม่มีหลักทีแน่นอน อะไรมา กระทบใจก็เห็นดีเห็นงามตามไปหมด เป็นประเภทหรือประเภทปลูกต้นไม้แล้วก็ขุดย้าย ที่ปลูกใหม่ไม่รู้จบ แทนที่ต้นไม้จะโตวันโตคืน ก็เลย เราถึงต้องมาดู มาแยกแยะจริตนิสัยของตัว เราเอง ถ้าพบว่าจริตนิสัยของเราบกพร่องตรงไหน อย่างไร ให้พยายามกำราบตรงจุดนั้น ผิน ฝึก ดัดขัดเกลาไว้ อย่าให้สติเผลอไผลไป ถ้าทําได้สำเร็จคราวนี้ใจเริ่มเชื่องขึ้นแล้ว การปฏิบัติก็เริ่มการจะฝึกตัว เราต้องเข้มงวด มองเข้ามาแต่ ในภายในใจของตัว เอาผิดเป็นครูให้ได้ทุกครั้ง อะไรเกิดขึ้น อย่าไปนึกแก้ไขคนอื่น ถ้าเรามัวแต่ ส่ายจิตออกนอกเพื่อไปแก้ไขสิ่งอื่น เราจะเผลอลืม แก้ไขเรา แล้วเลยไปเข้าใจว่า หน้าที่ของเราต้อง แก้ไขเขาให้ดีเสียก่อน กว่าเขาจะดี บางทีเราตายไป เสียก่อนแล้ว เราเลยไม่ได้ทําประโยชน์ให้กับตัวเอง เพราะมัวแต่ไปแบกหามคนอื่น แบกหามโลกนี้ จน กระทั่งละเลยความรับผิดชอบต่อตัวของตัว การที่จะใส่ใจ สนใจปฏิบัติ มาทำความรู้จัก กับใจของตัวเอง ต้องเข้มงวด เพ่งดูเข้ามาในกาย ในใจของตัวเท่านั้น ทำแล้วแรกๆ แทบหมดกำลัง ใจเลย ตัวดิฉันเอง ครั้งแรกที่ไปฝึกกับท่านอาจารย์ ท่านก็ว่า โลกนี้มันโรงบ่มบ้า พวกเราล้วนแล้วแต่สติ กะพริบหายหกตกหล่นอยู่เรื่อย ถ้าพระพุทธเจ้ามา นั่งดูพวกเรา ท่านคงสมเพชเราเหมือนที่เราสมเพช คนไข้ในโรงพยาบาลโรคจิต ดิฉันก็นึกเถียงในใจว่า ไม่จริง เราดีกว่าคนไข้โรคจิตหลายร้อยช่วงตัวนักเมื่อปฏิบัติ... ปฏิบัติไป คอยจดจ่อสติตามดู ใจของตัว จึงเริ่มเห็นว่า เราก็ไม่ดีไปกว่าคนบ้าใน โรงพยาบาลโรคจิตนักหรอก ท่านอาจารย์ไม่ให้เรา มายุ่งกับเรื่องข้างนอก วันทั้งวันไม่ต้องมาทำการ งานอะไร นอกจากคอยดูแลรับผิดชอบว่า ตัวอยู่ ตรงไหน ให้ใจอยู่ตรงนั้น ถ้าใจอยู่ตรงนั้น คือมีสติ เป็นกาวผนึกตัวกับใจไว้ด้วยกัน ใจจึงอยู่เป็นปัจจุบัน ไม่คิดฟุ้งซ่านไปในอดีต ไปในอนาคต ถ้าใจฟุ้งซ่านไปกับอดีต กับอนาคต อะไรมาใจไม่มี เหมือนเรา เอาแผ่นใสมาเรียงซ้อนๆ กัน ความทีแผ่นใส ทั้งใส ทั้งบาง แล้วยังมีตัวหนังสือบนแต่ละแผ่นเหลือมลำ กัน เราก็เลยอ่านทะลุแผ่นโน้นต่อเข้ากับแผ่นนี้ ทั้งๆ ทีมันอยู่กันคนละแผ่น คนละเวลา เปรียบเหมือน อดีตบ้าง อนาคตบ้าง แล้วใจก็ร้อยเรียงแต่งเป็น เรื่องขึ้นมาได้ แต่ข้อความในแผ่นใสแผ่นบนสุด ซึ่ง เป็นเรืองปัจจุบันที่มากระทบ เราไม่เห็น ไม่รับรู้ ใจของเราก็เป็นทำนองนี้ ถ้าไม่เอาสติจดจ่อ ให้ดีๆ เราก็ไม่รู้ว่า เรื่องเกิดขึ้นจริงๆ หรือใจของเรา ซัดส่าย ละเมอไปตามสัญญาเก่าๆ บ้าง ตามจิต สังขารปรุงแต่งไปบ้าง ก็เลอะเทอะเปรอะเปื้อน เก็บ ข้อมูลมาผิดบ้าง ถูกบ้าง แล้วเอามาเป็นเหตุ ให้กระทําผลเป็นปัจจุบันกรรมขึ้น ชีวิตของเราจึงมีแต่
แล้วก็ยังดึงดือถือรั้นจะเอาให้เป็นถูก แทนที่จะ ค้นหาว่า เราเผลอไปตรงไหน สติหลุดไปตรงไหน จะได้แก้ไขได้ทัน เรากลับปกป้องตัวตนว่าฉันไม่ได้ ผิด คนอีนผิดต่างหาก ถ้าเราเฝ้าดูอย่างนี้ จะเห็นว่าทีเราไปว่าคน
อื่นผิดทั้งนั้น ความจริงเราก็มีส่วนผิดด้วย เป็นต้นว่า เราไปมีเรื่องกับอีกคนหนึ่ง พิจารณาแล้ว กรณี
นี้เราไม่ได้เป็นสาเหตุ เราไม่ได้ขาดตกบกพร่อง ท่านอาจารย์ก็สอนว่า ถ้ามีเรื่องกันแล้ว ผิดทั้งคู่
เพราะฉะนัน ไม่ต้องไปหาว่าใครผิด ให้หาว่าเมื่อเกิดปัญหาอย่างนี้ เราจะมีอุบายมีปัญญาแก้ไข อย่างไร ให้ปัญหาลุล่วงไปได้เร็วที่สุด ไม่ต้องคำนึง ถึงตัวตนถ้าใจของเรารับความคิดนี่ได้เป็นอัตโนมัติ ก็จะเกิดเป็นนิสัยขึ้น เพราะแต่ก่อนนั้นต้องมัดให้ได้ว่าเราจึงจะปรับปรุงตัวเอง จะเรยนรูท ผิดแล้วแก้ไข
ท่านย้าว่า แต่นี้ต่อไป เราทำอะไร ไปอยู่ตรงไหน มีปัญหาอะไรขึ้นมา ไม่ต้องถามหาว่าผิดอยู่ที่ ใคร ให้เริ่มมองไปที่ปัญหาเลยว่า ทําอย่างไรเราจึง จะระดมความคิดเพื่อแก้ปัญหาให้ทะลุไปได้ ให้ สามารถกลับคืนเป็นปกติได้เร็วที่สุด ดีที่สุดฟังตอนแรกเราก็นึก ไม่ยุติธรรม เราไม่ได้ทำ ผิดสักหน่อย แล้วเรืองอะไรเราจะต้องไปแก้ปัญหาท่านถามย้อนกลับมาว่า เราต้องการหาคน ผิดมาลงโทษ หรือเราต้องการให้ปัญหาหมดไปโดย สิ้นเปลืองเสียหายน้อยที่สุด เราเป็นคนสุรุ่ยสุร่าย ฟังแล้วก็จริงของท่าน เหมือนเราอยู่เรือลำ เดียวกัน ถ้าเรือรัวขึ้นมา ทุกคนก็ต้องเดือดร้อน ทุกคนก็ต้องจมไปกับเรือลำนี่ ถ้าเรามัวแต่เล่นเนื้อเล่นต่างก็ช่วยกันคนละไม้คนละ มือ ทำอย่างไรให้เรือหายรัว หรือทั้งๆ ที่รัวอยู่ก็ ไปถึงที่หมายได้โดยไม่อับปางไปเสียก่อน ถ้าเราเห็นจุดนี้ ด้แล้วยอมรับ ชีวิตของเรา จะสบายขึ้นมาก เพราะว่าผิดของใคร เราก็น้อมมา เป็นครูได้ทั้งนั้น แล้วเอามาปรับปรุงพฤติกรรมของ เรา เพราะขณะที่เรานำมาพิเคราะห์ มันไม่ใช่เป็น ความจำ เราไม่ได้เพียงแต่จำ แต่ดูถึงรายละเอียด แล้วนำมา ไหม ต่อไป ถ้ามีเรื่องอย่างนั้นเกิดขึ้นจริง เราก็ลอง ทำอย่างที่เราพิเคราะห์อย่างที่เราคิดอ่านด้วยเหตุผล ด้วยใจที่เที่ยงธรรม ครั้นลงมือทำแล้วสัมฤทธิผล เป็นข้อยืนยัน ใจก็เกิดความเชื่อมัน เกิดรู้เห็นเป็นขึ้นในใจ ไม่ใช่ ความจำแล้ว ต่อไปเมือเราจะแก้ไขปัญหา ถึงจะ ไม่ใช่ปัญหาของเรา แต่เป็นปัญหาที่เรามีส่วนร่วม อยู่ด้วย เราก็เกิดความคล่องตัวที่จะเริ่มแก้ปัญหา ไม่ใช่ว่าเมื่อปัญหาเกิดขึ้น เราทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่เคยใส่ใจสนใจ ตัวอยู่ตรงนี แต่ใจของเรา ปลิวไปอยู่อีกแห่งหนึ่ง เมือเป็นแบบนี้ ความผิดก็จะ. ยิ่งเพิ่มมากขึ้นๆ เพราะความไม่ใส่ใจสนใจ ไม่รับรู้ไม่เตรียมพร้อมว่า เมื่ออะไรเกิดขึ้น ต้องเก็บข้อมูลให้ได้ครบครัน ใจที่มีสติบ้าง ไม่มีสติบ้าง จึงเหมือนคนละเมอ มีอะไรเกิดขึ้นก็ช่วยตัวเองไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย แล้วโอกาสที่จะตัดสินใจผิดก็มีมากกว่า คอยเตือนตัวเองว่าผิดเป็นครูเอาไว้ สติจะค่อยเข้มค่อยคมขึ้น ทันทีที่มีอะไรมากระทบ สติจะเอา
เหตุผลเป็นที่ตั้งเก็บข้อมูลรวบรวมมาพิเคราะห์ ไตร่ตรอง ไม่เอาอารมณ์หรืออัตตาออกมาดึงดันว่า ตูไม่ผิดนี่นา อีกคนผิดต่างหาก ถ้าเป็นแบบนี้ แทนที่เราจะแก้ปัญหา เรา กลับไปสร้างปัญหาเพิมขึ้น เพราะมีตัวตน มีสัตว์มี บุคคลขืนมาเพิ่มปัญหา เธอผิด เธอแก้ไปสิ คนผิด ก็รู้สึกเสียหน้า เพราะเขาเองก็เสียใจอยู่แล้ว ไปตอกย้ำาความผิดตรงนั้นเข้าอีก เขาก็เลยเป็นพาล ว่า ให้คนถูก คนเก่ง ทําไปก็แล้วกัน ก็ก็เลยระสำ ระสาย ร้าวฉานกันไปหมด แต่ถ้าเราเอา ผิดเป็นครู ผิดของใครๆ ก็เป็น ครูเราได้ด้วยกัน เพราะใจที่ยังมีอวิชชาครอบงำอยู่
มีพฤติกรรมเหมือนกันทั้งนั้น เหมือนเราวัดว่าไข้ขึ้น สูงเท่าไร ถึงไข้ของเราจะยังตํากว่าของเขา ถ้าเรา ไม่รักษา วันหนึ่งไข้เราก็มีหวังสูงเท่าเขาได้ เราจะได้ ระมัดระวังเอาไว้ ถึงเวลานัน ก็ป้องกันไม่ให้ไข้ ของเราถึงขันชัก เพราะเรากินยาป้องกันเอาไว้ เราสร้างภูมิคุ้มกันเอาไว้ เราเป็นอยู่ด้วย ความไม่ประมาท สติที่ได้รับการฝึก จะคอยห้ามล้อ เราไว้ รักษาเราไม่ให้ถึงขั้นตรีทูต ถ้าเป็นหวัดก็รีบ รักษาหวัดให้หาย ไม่ต้องคอยให้หวัดกําเริบ อาการ หนักหนาสาหัสถึงขันปอดบวม หรือนำท่วมปอด เผลอๆ ต้องเข้า ไอซียู ถ้าเราจะต้องรูแต่ละอย่างโดยเอาตัวเข้าเสียงแบบนี้ เราก็สะบักสะบอม กลายเป็นทำความผิดจน กลายเป็นอาจิณกรรม แล้วเลยติดเป็นนิสัยอย่างนั้น ไป แต่ถ้าคอยเตือนตัวเองว่า ผิดครั้งแรก ครั้งเดียวเป็นครู หรือยังไม่ทันให้ผิดจนเห็นกันชัดๆ เราเริ่ม รู้สึกแล้วว่ามีอะไรผิดปกติ ไม่ต้องทำต่อ เพราะเห็น แล้วว่าผลจะแย่แค่ไหน เรารีบป้องกัน รีบแก้ไขเสีย ถ้าเป็นอย่างนี่ การปฏิบัติจะได้ผล แล้วใจ ของเราก็จะเป็นใจที่มีสติรักษาได้เท่าทันขึ้น ไม่เป็น ใจที่ฟกชําดําเขียว ถลอกปอกเปิก ไม่อย่างนัน เรา จะปล่อยให้สิ่งผิดปกติลุกลามจนเราสะบักสะบอม ไปหมด เวลาจะฟื้นตัวจึงยาก เพราะใจขวัญกระเจิง ไม่กล้าลุกขึ้นแก้ไข มัวแต่หวันว่า ถ้าผิดอีกจะสู้ไหว หรือ ใจที่ไม่อยู่กับการเอาผิดเป็นครู ป้อแป้ ต้อง การคนปลุกปลอบ เป็นใจที่ทำร้ายตัวเอง ให้เรา เพียรพยายามปลุกปลอบตัวเอง เยียวยารักษา ให้ กำลังใจตัวเอง จนเริ่มเห็นว่า ถ้าจะล้มอีกก็ให้มีสติ
ล้มแค่หัวเข่าถลอก ไม่ต้องให้ถึงขั้นกระดูกหัก ต้อง เข้าเผือก ครันเอาเผือกออก ยังมีโรคแทรกซ้อนอีก ถ้าเป็นแบบนี่ อีกหน่อยใจจะไม่อยากทำอะไร มีอะไร เกิดขึ้น ก็หลับหูหลับตา สติเลยยิงพลัดหลุดไปกันใหญ่
เราเอง เราคือคนทำให้หนทางของเราราบรื่น หนทางของเราเบาสบาย หรือหนทางของเราทุรกันดาร
ครั้งแรกหนทางนี้ก็เป็นทางธรรมชาติธรรมดา นี่แหละ แต่เวลาที่เราไม่มีสติ เผลอไปเป็นขี้ข้ากิเลส ไม่ดูกายดูใจตัวเอง ส่ายจิตออกนอก ไปเพ่งโทษคน อื่น ไปหาแต่สิ่งที่เป็นเหมือนพงหนาม พงหญ้าคา มาหว่านเอาไว้ด้วยความเผลอไผลไร้สติ ไม่ได้ตั้งใจ หว่าน แต่พอโกรธขึ้นมาที มีอารมณ์ขึ้นมาที เรา ก็ซัดสาดเมล็ดพวกนี้หว่านลงไปเป็นกระบุงๆพอต้นงอกขึ้นมา เราก็โวยวาย ใครมาแกล้ง เรา ทำไมคนโน้นไม่เห็นมีต้นหนามต้นหญ้าคารก รุงรังอย่างเรา ก็เพราะเขาคอยเอาสติระมัดระวัง หนทางของเขา เขาถึงได้รอดปลอดภัย
ถ้าเรามองเรา เราคอยจับผิดเรา เราจะเห็น ท่านอาจารย์สอนว่า เรานี่นะ เหมือนคนที่ละเมอ แล้วเอามือซ้ายมาทุบแขนขวาของตัวเอง จนเขียว ฟกช้าไปหมด ครั้นตื่นขึ้นมา เราก็เที่ยวไปฟ้องผู้คน... ดสิ ใครไม่รู้มาแกล้ง. แต่ถ้าเราคอยเอาสติจับดูการนอนของเราให้ดี เราจะพบว่า เราเองลุกขึ้นละเมอเอามอซายทุบแขนขวาตวเอง จนเป็นอย่างนี้
ถ้าเห็นตรงนี้ชัด ผิดเป็นครูได้ทุกกรณี แล้ว เราก็จะลืมตาตื่นจากละเมอ พอมีอะไรไม่ชอบมาพา กล สติจะมาอยู่กับใจ เป็นฐานให้เกิดปัญญา ไปแก้ไข ให้เห็นตามเป็นจริงได้ แล้วแต่นี้เป็นต้นไป ชีวิต ของเราก็เบาสบาย อย่างน้อยที่สุด ถ้ายังไม่เกิด ปัญญาแก้ปัญหาได้ เราก็มัดมือของเราเอาไว้ ไม่ เผลอหว่านเมล็ดหญ้าคาเมล็ดพงหนามลงไป เรา ก็ปลอดปัญหาไปเยอะ
ลองนึกถึงเวลาที่เราคิดอะไรยังไม่ออก แต่ เราก็เก็บวาจาของเรา ไม่สาดปืนกลไปให้เลอะเทอะ เปรอะเปื้อน พอเสร็จเรียบร้อย เราก็เบาสบาย แต่ ถ้าเราสาดอกุศลวาจาเป็นปืนกลไปไม่ยั้ง พอเสร็จ เรียบร้อย เราต้องมากวาดถูขยะที่เราทําเองจนกระทั่ง หลังหัก แล้วใครทําให้เรายุ่งยากล่ะ
ก็ใจของเราเองที่ไม่เรียนรู้ แล้วจดจำเอา ความผิดมาเป็นครู กลับทำความผิดซ้ำซากจนเป็น อาจิณกรรม เราจึงหนักหนาสาหัสขึ้นเรื่อยๆ มือที่หว่านก็คล่องตัวขึ้นตามชั่วโมงบิน เริมแรกต้องใช้เวลาสักนาทีหนึ่งก่อนจะหว่านเสร็จ เดียวนี้ปรากฏว่าหนึ่งวินาทีก็เสร็จไปหลายกระบุงแล้ว ผลก็เลย ทำให้ชีวิตของเราย่ำแย่ ใจก็ท้อ ร่างกายก็อ่อนกำลัง ลง ทำนองขนมผสมน้ำยา เลยย้าแย่ทั่งกายทั่งใจ เพราะฉะนั้น สติรักษาให้แทนทีเราจะหลง เข้าไปในพงหนาม แล้วทำร้ายตัวของตัวเองด้วย ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ มันจะรักษาให้เราระมัดระวัง สร้างภูมิคุ้มกัน เอาขยะมาเปลี่ยนเป็นปุ๋ยหมัก เรา ก็ได้ผลได้ประโยชน์ ทั้งๆ ทีคนว่า อะไรกัน ผิดอีก แล้ว แต่เราเข้าใจตัวของเรา เหมือนบ้านเรามีไฟหลายดวง บางดวงก็ หลอดขาด เราไม่รู้หลอดไหนขาดบ้าง มีคนมาช่วย ซึ่งให้เห็นว่าตรงนี้ขาด เราก็ได้เปลี่ยนหลอดใหม่ ใน ที่สุดบ้านของเราก็สว่างไสว เกิดเป็นปัญญาเห็นชอบ ร่มเย็นเป็นสุขเสมือนโอเอซิสกลางทะเลทรายอันร้อนระอุก็ขอฝากไว้เป็นข้อคิด เป็นกำลังใจ ในการ ปฏิบัติแก่ทุกท่าน

พิมพ์โดย         ปภัสสร มีพงษ์
แหล่งที่มา        http://web.krisdika.go.th/buddha/66_pidpenkru.pdf

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Back To Top