พยับแดด
ชื่อผู้เขียน พญ อมรา มลิลา
วันที่ วันที่ 28 ธันวาคม2528
ณ ไม่มีบรรยาย
หมวด
อันดับที่
เราคิดว่าเราอยู่กับความเป็นจริง แต่จริงๆ แล้ว เราตะครุบอยู่กับเงาของใจของเราความนึกคิดนั้น คือเงาของใจ ไม่ใช่ตัวใจคุณเอื้อยมีนัดออกไปรับประทานอาหารกลางวันกับเพื่อนซึ่งจะมาจากสัตหีบ บังเอิญก่อนเวลานัดประมาณ 10 นาที คนในแผนกมีข้อข้องใจในงานที่กำลังทำอยู่ เลย เดินมาปรึกษาและขอให้คุณเอื้อยช่วยไปดูให้หน่อย คุณ เอื้อยไปดู และช่วยแก้ไขข้อขัดข้องจนเรียบร้อยแล้ว จึง กลับมาคอยเพื่อน จนบ่ายสองโมงครึ่งก็ยังไม่มีวีแววเพื่อน คุณเอื่อยตัดสินใจเลิกคอย ลงไปหาอะไรรับประทานตามตกเย็น เพื่อนโทรศัพท์จากสัตหีบมาถามว่า เมือ กลางวันนี้คุณเอื้อยมีธุระอะไรด่วนหรือ สืบสาวราวเรือง ซึ่งกันและกันจึงได้เรืองราวว่าขณะที่คุณเอื้อยไปกับคน ในแผนกนั้น เพื่อนก็มาถึง และได้รับรายงานจากคนงานว่าคุณเอื้อยออกไปแล้วกับคนในแผนกเมื่อครู่นี้ เพื่อน ก็เลยคิดว่าคุณเอื้อยคงมีธุระด่วนกะทันหัน จึงกลับไปรุ่งขึ้น คุณเอื้อยเรียกคนงานมาซักถาม คนงาน บอกว่า เห็นคุณเอื้อยเดินไปกับคนในแผนก จึงคิดว่าออก ไปข้างนอกด้วยกันแล้วเด็กชายอ้ายรับโทรศัพท์ เสียงจากสายขอพูดกับ คุณยาย อ้ายวิ่งมาที่ห้องนั่งเล่น แล้วกลับไปบอกว่า คุณ ยายออกไปนอกบ้านแล้ว ครูใหญ่ต่อมา คุณยายเดินลง มาจากห้องนอน อ้ายโวยวายว่าคุณยายกลับมาแต่เมื่อไร คุณยายย้อนถามว่า กลับมาแต่ไหน เพราะยังไม่ได้ออก จากบ้านเลย อ้ายยืนยันว่า ก็กระเป๋าถือของคุณยายไม่อยู่ นี่นาจากตัวอย่างทั้งสองเรื่องนี้ จะเห็นได้ว่า คนเรา มีวิธีเชื่อมโยงความจริงที่เกิดขึ้น กับความนึกคิดในสมอง ของตนเข้าด้วยกันโดยไม่รู้ตัว แล้วเชื่อสนิทใจว่า ความ นึกคิดนั้นเป็นจริงคนงานเห็นคุณเอื้อยเดินไปกับคนในแผนก เธอ ควรจะรายงานแค่นั้น แต่ไม่เห็นรอยต่อของความจริงกับ ความคิด เธอจึงพูดเป็นตุเป็นตะไปอย่างนั้นด้วยความ แน่ใจเด็กชายอ้ายมีข้อสรุปอยู่ในใจว่า ถ้ากระเป๋าถือของคุณยายอยู่บนโต๊ะในห้องนั่งเล่น แปลว่าคุณยายออกไปข้างนอก อ้ายจึงบอกไปเช่นนั้น แทนการสอบถามให้แน่ชัดว่า คุณยายอยู่ที่ไหน เมื่อความเคยชินเป็นอัตโนมัติ ทำให้เราแยกรอยต่อระหว่างความเป็นจริง กับความนึกคิดไม่ได้ ความยุ่งยาก ความผิดพลาดทั้งหลายทั้งปวงจึงเกิดทับถมขึ้นกับชีวิตของเรา โดนไม่สามารถเห็นลู่ทางแก้ไขได้ หากจะเปรียบเทียบว่า ขณะที่พูดโทรศัพท์นั้น
อ้ายละเมอทำไปทั้งที่ยังหลับอยู่ก็ไม่ผิดจากความจริงนักเพราะถ้าคุณยายจะลงโทษ หรือโกรธเกรี้ยวเอากับอ้าย อ้ายคงน้อยใจเสียใจและไม่เข้าใจว่าทำไมตนถึงได้รับผลเสียหายถึงเพียงนั้นเพราะอ้ายไม่เห็นที่ผิดจริงๆ การที่เราไม่รู้ มองไม่เห็นที่ผิดของตัวเองนี้ คืออวิชชาความไม่รู้ บางท่านอธิบายว่า มันคงเป็นความหลงทั้งรู้ คือตังเองคิดว่าตัวรู้แล้ว แต่จริงๆนั้นไม่รู้ อวิชชาไม่ใช่การแสร้งทำ เป็นไม่รู้เพื่อกลบเกลื่อนที่ผิด เป็นการละเมอทำอำลงไปทั้งที่ยังหลับๆอยู่ เพราะฉะนั้นจึงสุดวิสัยที่เราจะรู้ จะเข้าใจการกระทำของตัวเองได้ อวิชชาจึงเป็นต้นตอที่ทำให้เราผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยไม่เฉลียวใจแม้สักนิดว่า สิ่งที่ทำลงไม่ถูก
ก็เมื่ออิทธิพลของอวิชชารุนแรงร้ายกาจอย่างนี้ ทำอย่างไรเราจึงจะรู้ตัวได้เล่า? จุดตั้งต้นคือฝืนใจ ฝืนความเคยชินทุกอย่างทุก ประการโดยเด็ดขาดปราศจากข้อแม้ เมื่อเราได้ทำสิ่งใด ลงไปที่คิดว่าถูก แล้วถูกตำหนิ ฝืนใจให้รับฟังคำตำหนิ นั้นจนจบโดยไม่โต้เถียง หรือคิดแก้ตัว สงบใจฟังประหนึ่ง เราฟังเรืองของคนอื่น จิตใจจะได้ไม่เกิดอารมณ์ซึ่งเปรียบเหมือนเมฆหมอกมาบดบังสติปัญญาให้มืดมิดไป เมือเกิดข้อขัดแย้ง เราคุ้นกับความคิดว่า ต้องมี ฝ่ายถูกและฝ่ายผิด โดยอัตโนมัติเราจะพยายามหาข้อแก้ ต่างให้ตัว แล้วโยนความบกพร่องให้ผู้อื่น ขบวนการนี้ เกิดขึ้นรวดเร็วจนเราจับกระแสของมันไม่ทัน แทนการ คิดเช่นนั้น เราพยายามวางใจให้เป็นกลางๆ ไม่มีผู้ถูก หรือผู้ผิด มีแต่ผลที่กำลังเกิดอยู่ขณะนี้ กับเหตุที่เป็นต้นตอ ถ้าใจจะคิด ก็พยายามรั้งให้คิดเพื่อสาวหาเหตุที่เป็นต้น ตอเสีย เพราะพระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ของทุกอย่างย่อม เกิดแต่เหตุ ถ้าดับเหตุได้เสียแล้ว ผลย่อมระงับดับไปด้วย เมื่อ 12 ปีก่อน สามีของคุณอ้อยเป็นปลัดกระทรวง วันหนึ่งขณะกำลังประชุม ก็ฟุบลงไปกลางห้องประชุม หลังจากรีบนำส่งโรงพยาบาล พบว่าเส้นโลหิตในสมองแตก ได้รับการผ่าตัดสมองและการเยียวยารักษาอย่างดี
ที่สุด ผลปรากฏว่า ท่านกลายเป็นอัมพาต ตาทั้งสองข้าง มองไม่เห็น และพูดไม่ได้ คุณอ้อยดูแลท่านอย่างไม่เห็น แก่เหน็ดแก่เหนื่อย พยายามทุกวิถีทางที่จะให้ท่านสุขสบาย เท่าที่คุณอ้อยจะสามารถทำได้ เมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนาน เข้า เพื่อนฝูงบางคนก็ตำหนิว่าคุณอ้อยปรนนิบัติดูแลสามี ดีเกินไป ทำให้ท่านต้องอยู่ไปอย่างทรมานโดยใช่เหตุ คุณอ้อยได้แต่ยิ้ม แต่กับคนใกล้ชิด เธออธิบายว่า ยาม รุ่งเรือง ท่านสรรหาความสุข ความสะดวกสบายทุกอย่าง ให้ ดังนั้นเมื่อท่านช่วยตัวเองไม่ได้ คุณอ้อยก็ต้องตอบ แทนน้ำใจด้วยการดูแลอย่างดีที่สุด ตราบเท่าที่ท่านยังมี ลมหายใจอยู่ คุณอ้อยไม่เคยคร่าครวญ หรือแสดงท่าที ว่าทุกข์ ตรงกันข้ามเธอสงบ เต็มไปด้วยความมีน้ำใจ และตั้งใจเฝ้าดูแลสามีอย่างเสมอต้นเสมอปลาย เมื่อเดือนก่อน คุณนพ สามีของคุณทิพาเส้นโลหิต ในสมองแตก หลังจากฟื้นตัวแล้ว และรับการรักษาทาง กายภาพบำบัด คุณนพก็พอจะใช้ไม้เท้ายันช่วยเดินได้ พูดพอจะเป็นคำ แต่ไม่ชัดนัก คุณทิพาคร่าครวญว่าเธอ โชคร้ายที่สามีพิการ หงุดหงิดรำคาญที่คุณนพกลายเป็น เหมือนเด็กที่ติดเธอแจ และไม่ยอมให้คลาดสายตาไปไหน ต่างฝ่ายต่างหงุดหงิดเข้าใส่กัน จนถึงขั้นทะเลาะด่าทอกัน ผลที่สุดคุณนพเส้นโลหิตแตกซ้ำอีก อาการทรุดลง คุณทิพาเองก็มีอาการของโรคประสาท เหตุการณ์ที่เกิดกับครอบครัวทั้งสองนี้เป็นสิ่ง เดียวกัน คือสามีเส้นโลหิตในสมองแตกอย่างกะทันหัน แต่คุณอ้อยรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามสภาพเป็นจริง นำเอาคุณงามความดีแต่หนหลังมาเป็นเครื่องหล่อเลียง บำรุงใจให้แก้ไขสิงที่เกิดขึ้นในทางสร้างสรรค์ จิตใจของ เธอจึงสงบ เปี่ยมด้วยน้ำใจ ส่วนคุณทิพายึดอยู่กับความ ปรารถนาในใจของตน จึงดึงดันเพื่อลบล้างความจริงที่ เผชิญ ด้วยการคร่าครวญ หงุดหงิดคับข้องกับปัญหา เฉพาะหน้า แทนการค่อยคิดแก้ไขด้วยสติปัญญา เปรียบ เหมือนการวิงตามพยับแดด ยิงวิง พยับแดดก็เขยิบห่าง ออกไป เหมือนเป็นการยั่วยุท้าทายให้เราใคร่จะเอาชนะ ให้จงได้ เราทุกคนทีทุกข์ เดือดร้อน ไม่ได้ดังใจอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะเราวิงตะครุบพยับแดดกันนั่นเอง เราเห็นแต่เงา เพ่งเล็งอยู่แต่ทีเงา เพราะเราคุ้นเคยกับการคิด และคิด แต่ไม่เคยทำการประเมินผลของความคิดเหล่านั้นเลยว่า มันก่อทุกข์หรือสุขให้กับใจของเรา เมือคิดแล้ว ก็เผลอ สติ อร่อยไปกับรสของอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากความนึกคิด เหล่านั้น ปล่อยใจให้หลงรัก หลงชังไปกับอารมณ์ที่ปรุง ขึ้นแล้วยึดมันถือรั้นว่าเป็นของจริง เมื่อเราสนุกกับการคิด ใจก็ยิ่งซัดส่าย ปลิวไป อาลัยอาวรณ์กับอดีตบ้าง เผลอไปสร้างวิมานในอากาศ สำหรับอนาคตบ้าง ซึ่งทั้งอดีตและอนาคตนั้นคือพยับ แดด คือเงา
สิ่งที่เป็นอดีต คือสิ่งที่ผ่านไปแล้ว เหมือนรอย ที่ขีดลงบนผิวน้ำ ขีดแล้วก็ไม่เหลืออะไรทิ้งไว้ให้เราเก็บ มาจับมาถือได้อนาคตก็คือสิ่งไม่มีอยู่ เพราะยังมาไม่ถึง ไม่มี แก่นสาระที่เราจะไปยึดหวัง
เมื่อเราหลงติดอยู่ในอดีตบ้าง อนาคตบ้างเช่นนั้น กาลเวลาก็กินชีวิตไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะเราปล่อย ความจริง คือปัจจุบันทุก ทุก ทุกขณะเฉพาะหน้าของ เราให้ล่วงไป ผ่านไป ระเหยเป็นไอสูญหายไปอย่างขาด สติไร้ปัญญา ผลที่สุดชีวิตของเราก็มีค่าเท่ากับ การลุก ละเมอทั้งที่ตัวยังหลับอยู่ เพราะการกระทำ คำพูด ความคิดทั้งปวงที่ประกอบไปนั้น ล้วนปราศจากสติที่จะระลึกรู้ได้คุณเอียดน่าจะมีความสุข เพราะสามีเป็นคนดี ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน รักครอบครัว เอาใจใส่ดูแล คุณเอียดและลูกๆ เป็นอย่างดี แต่เธอก็ยังไม่ได้อย่างใจ ลูกเล่นอะไรทิ้งไว้ เธอก็ตามเก็บไปใส่ห้องเก็บของ ครั้นลูกหาไม่พบ ไปซื้อมาใหม่ ก็โกรธ บ่นว่าสุรุ่ยสุร่าย สามี เห็นลูกๆ กำลังดูโทรทัศน์กัน ก็เลี่ยงเข้าไปนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ในห้องรับแขก คุณเอียดก็พื้นเสีย เพราะจะต้อง เหนื่อยจัดห้องรับแขกให้เรียบร้อยใหม่ เธอต้องการให้บ้านสะอาดเอี่ยมเหมือนรูปบ้านในฝัน แทนที่จะให้อบอุ่น มีชีวิตชีวา สมเป็นบ้านสำหรับอยู่ ลูกๆ กำลังสนุกกับรายการโทรทัศน์ คุณเอียดเกิด ต้องการให้ไปกรอกน้ำใส่ขวดมาแช่ตู้เย็น ลูกต่อรองขอ ดูรายการให้จบก่อน เธอก็ยืนกรานว่าคำสั่งต้องเป็นคำสั่ง จะผัดผ่อนไม่ได้ สาวใช้ทำความสะอาดห้องกินข้าวเสร็จ คุณเอียด ก็ตามเอาผ้าไปเช็ดซ้ำ เช็ดไปก็บ่นไปว่า สาวใช้ทำไม่สะอาด ไม่เรียบร้อย คุณเอียดเหนื่อย เครียด และน้อยใจว่าทุกคนใน
บ้านไม่เห็นความยากลำบากของเธอ มิใยสามีจะชี้แจงว่า คุณเอียดไปหาปัญหามายุ่งยากให้ตัวเอง เธอก็ฟังไม่เข้าใจสาวใช้ลาไปดูหนัง แล้วกลับมาค่ามืด เธอก็บ่น ว่าเพราะเธอถูกอบรมมาว่า เป็นผู้หญิงจะไปไหนจน คำมืดไม่ปลอดภัย สิ่งใดที่เธอรู้ ถือปฏิบัติอยู่ เธอยึดว่า สิ่งนั้นถูกต้องดีที่สุด ใครก็ตามที่อยู่กับเธอ จะต้องเชื่อและถือปฏิบัติตามนั้นด้วย
เธอไม่เข้าใจว่า ใจของแต่ละคนย่อมเป็นอิสรเสรี มีจริตเป็นของตนโดยเฉพาะ บางคนก็เป็นเหมือนนก เค้าแมว คล่องแคล่วปราดเปรียวเวลากลางคืน บางคน เป็นนกกางเขน เมื่อตะวันรอนก็รีบกลับรัง ความรัก ความหวังดีของคุณเอียดจึงเป็นพิษภัยทั้งสำหรับตัวคุณ เอียดเอง และสำหรับผู้รับ เพราะมันบีบคั่น เต็มไป ด้วยกรอบ กฎเกณฑ์ที่ตายตัว หนึ่งบวกหนึ่งต้องเท่ากับ สองเท่านั้น จะกลายเป็นศูนย์ หรืออื่นใดไม่ได้ ความ ยึดติดอยู่กับสิ่งที่เคยปฏิบัติมา ปิดตา ปิดหู คุณเอียดให้ ดับสนิทจากการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ โดยสิ้นเชิง
ถ้าจะเปรียบชีวิตเป็นการเดินทาง คุณเอียดก็เป็น นักเดินทางที่ทรมานตัวเองโดยไม่มีความจำเป็นอันใดเลย ใจของเธอมุ่งอยู่ที่พยับแดด เพราะเธอมีสูตรสำเร็จรูป ปรุงขึ้นจากความนึกคิดไว้เรียบร้อยว่า แม่บ้านที่ดีจะต้อง ดูแลบ้านให้สะอาดเรียบร้อยปราศจากที่ติ ทุกคนในบ้าน จะต้องเป็นเหมือนตุ๊กตาที่เธอจะไขลานให้ไปทางไหน ก็ต้องไปทางนั้น จะให้นอนก็ต้องนอน ให้ทำงานก็ต้อง ทำโดยเธอหาได้เฉลียวใจสักนิดไม่ว่า เธออยู่กับคนที่มี ชีวิตจิตใจเป็นอิสระของตน แต่ละคนย่อมต้องการเป็น ตัวของตัวเองในขอบข่ายที่ไม่ไปสร้างความเดือดร้อน เบียดเบียนแก่ผู้อื่น ถ้าเธอมอบความรับผิดชอบให้สาวใช้
หรือลูกทำอะไรแล้ว เขาก็ย่อมมีสิทธิ์ที่จะเลือกทำตามวิธีที่เขาพอใจ ตราบเท่าที่งานนั้นลุล่วงไป ไม่ขาดตก บกพร่อง เธอก็ไม่ควรจะไปจุกจิกจู้จีให้เขาทำเมื่อนั้นเมื่อนี้ วิธีนั้น วิธีนี้ ตามอารมณ์ของเธอการมองตามพยับแดด ทำให้คุณเอียดแลไม่เห็น ความจริง ถ้าสามีจะใช้ห้องรับแขกเป็นห้องอเนกประสงค์ เธอก็ควรดีใจว่าเงินที่ลงทุนทำห้องรับแขกนั้น ได้ใช้คุ้ม ค่าจริงๆ แทนที่ จะลงไปเพื่อสร้างส่วนเกินตามประเพณี นิยม ลูกๆ จะเล่น แล้ววางของไว้รกบ้านบ้าง แต่เขาไม่ ออกไปมัวสุมกับเพื่อนนอกบ้าน ก็ถือว่าเป็นกำไร เพราะ เขายังอยู่ในสายตา และทำให้ครอบครัวอบอุ่น เป็นอัน หนึ่งอันเดียวกัน ถึงสาวใช้จะทำงานไม่ดีเข้าขั้นมาตรฐาน ที่วางไว้ แต่การมีเขามาช่วยทุ่นแรง ก็ทำให้เราได้มีเวลา หรือไปทำงานอื่นๆได้
การฝึกตนให้หัดมองแง่ดีของผู้อื่น สิ่งอื่น จะช่วย ขัดเกลาจิตใจของเราให้ขยายกว้างออก และรู้จักเอาใจเขา มาใส่ใจเรา เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ชีวิตลดความคับเครียด ลง แต่คนโดยมากมักมองข้ามสิ่งเหล่านี้ไป แล้วก็บ่นคับ แค้นใจ ชีวิตนี้เป็นทุกข์ ยุ่งยาก ไม่เป็นไปดังปรารถนา เข้าทำนองสุนัขที่คาบชิ้นเนื้อข้ามสะพาน มองลงไปเห็น เงาตนเองในน้ำ สำคัญว่าเป็นสุนัขอีกตัวหนึ่งคาบชิ้นเนื้ออยู่เช่นกัน และชิ้นเนื้อนั้นแลดูใหญ่กว่าชิ้นในปากตน จึง อ้าปากหมายจะแย่ง ชิ้นเนื้อที่คาบมาก็เลยจมหายไปใน น้ำ เงาที่ตัวหลงอยากก็พลอยหายไปด้วย ผลสุดท้ายเลย ไม่ได้อะไรเลยถ้าหวนพิจารณาชีวิตของตัวเราโดยละเอียดถี่ถ้วน แล้ว ก็จะเห็นตัวเองล้มลุกคลุกคลานตะครุบเงาอยู่ทุก ถ้าเช่นนั้น สมควรแล้วหรือยังที่จะเข้มงวด คอยฝัก ตนให้รู้เท่าทันความจริง และความนึกคิดของใจเพื่อจะได้ หยุดตัวเองได้ทัน ก่อนจะสร้างทุกข์ สร้างโทษให้ตัวซ้ำแล้ว ซ้ำอีก จนหาทางช่วยตัวเองไม่ได้
พิมพ์โดย ปภัสสร มีพงษ์
แหล่งที่มา http://web.krisdika.go.th/buddha/payabHdad.pdf
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น