Header Ads

วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2561

บทความหมออมรา พระคุณพ่อ

บทความหมออมรา
พระคุณพ่อ

ชื่อผู้เขียน       พญ อมรา มลิลา
วันที่              -
ณ                ไม่มีบรรยาย
หมวด
อันดับที่     

                     นับถอยหลังแต่ภัทรกัปนี้ไปสือสงไขยกับหนึ่ง แสนมหากัป ในอสงไขยที่หนึ่งตอนแรกที่เดียว มี สารมัณฑกัปหนึ่งบังเกิดขึ้น กล่าวคือ เป็นกัปที่มี สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอุบัติในโลก 4 พระองค์ คือ พระตันหังกรพุทธเจ้า พระเมธังกรพุทธเจ้าพระสรณังกรพุทธเจ้า และพระทีปังกรพุทธเจ้า ในระยะกาลที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า 3 องค์แรกเสด็จมาอุบัติ ตรัสรู้ และประกาศพระศาสนา อยู่นั้น พระศรีศากยมุนีโคดม พระผู้มีพระภาคของเรา ก็ได้มาเกิดในโลกนี่ เป็นพระโพธิสัตว์ ได้พบปะ และสร้างบารมีในสํานักข องพระพุทธเจ้าเหล่านันทุกๆ พระองค์ แต่วาสนาบารมียังไม่เต็มทีบริบูรณ์ดีจึง ยังไม่ได้รับพุทธพยากรณ์จากพระโอษฐ์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์นั้นเลย ครั้นถึงศาสนาของพระทีปังกรพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ทรงอุบัติขึ้น แล้วประกาศพระพุทธศาสนายังศาสนธรรมให้แผ่กว้างออกไป ผู้คนทั้งหลายใน สมัยนั้นได้รับรสพระธรรมเทศนาต่างก็บรรลุมรรค ผลตามสมควรแก่อุปนิสัยแห่งตนเป็นอันมาก พระ ผู้มีพระภาคของเราเสวยพระชาติเป็นพราหมณ์หนุ่ม ชาวเมืองรัมมนคร นามว่า สุเมธพราหมณ์ มีทรัพย์ มหาศาลมากมายหลายโกฏิ และยังเป็นผู้เชี่ยวชาญ ในเชิงมนต์ รู้จบไตรเภท สำเร็จในคัมภีร์ทํานาย ลักษณะและคัมภีร์อิติหาสะอันเป็นวิชาประจําตระกูล พราหมณ์
วันหนึ่ง สุเมธพราหมณ์พิจารณาถึงความ ทุกข์จากการก่อภพชาติ กําเนิดเกิดเป็นรูปกายขึ้น
มา ชาติก่อ - เกิดชรา ชราก่อ - เกิดพยาธิ มรณะ
ความเจ็บไข้และความตาย เมือชีวิตแตกพรากจาก กายก็เป็นทุกข์ใหญ่ ยิ่งกว่าทุกขัทังปวง เมื่อเกิดแก่ เจ็บตายมีขึ้นมาได้ ความไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ ตายก็คงจะมีเช่นกัน คิดอุปมาทบทวนย้อนหน้าย้อนหลังดังนี้แล้ว ก็ตัดสินใจสละทรัพย์สมบัติของตน บริจาคให้เป็น ทานแจกจ่ายคนอนาถาหาทีพึงมิได้จนหมดสิน แล้ว
จาริกสู่ป่าใหญ่ จัดแจงสร้างอาศรมเป็นที่อาศัย บวช เป็นดาบส บําเพ็ญพรตพรหมจรรย์ ไม่กี่วันต่อมาก็ละทิ้งอาศรมที่อยู่ เพราะทำ ให้ใจยังยึดห่วง เข้าป่าลึกไปอีก อาศัยร่มไม้รุกขมูล เป็นที่อยู่ เลือกดูผลไม้ที่หล่นลงมาเอง ใช้กินเป็น อาหารพอประทังชีวิต ตั้งจิตมุ่งมั่นปฏิบัติบําเพ็ญ เพียรพยายามอยู่ในป่า ไม่นานก็ได้บรรลุอภิญญา สมาบัติเพลิดเพลินเป็นสุขอยู่ในฌาน เมื่อพระทีปังกรพุทธเจ้ารับอาราธนาชาวรัมมนครเสด็จมาแสดงธรรมโปรดในพระนคร จึงเกิดเหตุ โกลาหล เพราะประชาชนทั้งหลายมีความชื่นชม โสมนัส ต่างพากันจัดแจงตกแต่งหนทางสําหรับให้ พระทีปังกรและพระสาวกดําเนิน ขณะนั้นสุเมธดาบสเที่ยวจาริกมาทางอากาศ เห็นประชาชนประชุมอยู่เป็นหมู่ จึงลงมาไต่ถาม ทราบความแล้วก็ขอโอกาสชาวเมือง ช่วยถากถาง ทำทางถวายพระพุทธเจ้าบ้าง ชาวเมืองก็ยกตรง บริเวณที่มีโคลนเลน ต้องหาดินมาถมเกลี่ย ให้ท่าน ทำสุเมธดาบสก็ใช้หนังเสือที่รองนั่งผูกทําเป็น
กะทอห่อหิ้วเศษดินมาถมบริเวณที่เป็นหล่มโคลนเลน นั้น ยังไม่ทันสำเร็จ เหลือยาวประมาณช่วงตัวคน ก็ได้เวลาที่สมเด็จพระทีปังกรเสด็จพาพระสาวกมาใกล้ จะถึงสุเมธดาบสมีจิตปีติเบิกบานอธิษฐานอุทิศชีวิต ถวาย แล้วทอดกายนอนคว่าหน้าลงต่อถนนที่ขาด เป็นหล่มโคลนเลนเหลว ที่ตนยังทําไม่ทันเสร็จนั้น เสมือนเป็นสะพานให้พระพุทธเจ้าและพระสาวก ดำเนินผ่านไป จะได้ไม่ลื่นเป็นอันตราย
เมื่อพระทีปังกรเสด็จมาอยู่ตรงศีรษะของสุเมธ ดาบส ก็ทรงพิจารณาดูด้วยพระสัพพัญญตญาณ แล้วทรงสงเคราะห์ยกพระบาทเบื้องขวาจรดกายดาบส แล้วเสด็จพาพระสาวกเหยียบกายสะพานนั้นไป เมื่อ สงฆ์บริษัทผ่านไปหมดสิ้นแล้ว สุเมธดาบสก็สามารถ ลุกขึ้นได้อย่างปกติด้วยฤทธิ์ของฌานสมาบัติ แล้ว ติดตามมหาชนเข้าไปฟังพระธรรมเทศนาที่มณฑป ซึ่งอุบาสกอุบาสิกาชาวเมืองสร้าง ปูลาดพุทธอาสน์ ตกแต่งประดับประดาอย่างวิจิตร เพื่อรับเสด็จพระ พุทธองค์หากสุเมธดาบสปรารถนาจะกําจัดกิเลสให้ขาดจากขันธสันดาน เพียงได้ฟังพระธรรมเทศนาครั้งนี้ก็จะได้บรรลุอรหัตผล เพราะอุปนิสัยแห่งพระอรหันต์รุ่งเรืองเต็มอยู่ในจิตใจแล้ว แต่ท่านเคยสั่งสมวาสนาบารมีมาเพื่อบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
เป็นพระพุทธเจ้ามานานนักหนาแล้ว จึงตั้งจิต อธิษฐานปรารถนาพุทธภูมิ พระทีปังกรแสดงธรรมจบแล้ว ตรัสพยากรณ์ สุเมธดาบสท่ามกลางพุทธบริษัทว่า นานไปใน อนาคตกาลเบื้องหน้า ดาบสผู้นี้จักมาอุบัติตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในโลกทรงนามว่า สมเด็จพระ ศรีศากยมุนีโคดม ในระยะเวลาอีกสื่อสงไขยกับหนึ่ง แสนมหากัป จัดเป็นนิตยโพธิสัตว์ คือเที่ยงแท้ที่จะ ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เพราะได้รับคําพยากรณ์ จากพระโอษฐ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยตรวจดู ด้วยพระสัพพัญญูตญาณอย่างถ่องแท้แล้วว่า ท่าน สร้างสมบ่มบารมีมาในอดีตชาติ เพื่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเพียบพร้อม เพียงพอที่จะได้รับพยากรณ์ และพระพุทธภูมิหรือความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้านั้นก็จะสำเร็จได้ในภายภาคหน้า อย่างมิต้องสงสัย จากนั้นท่านก็แสดงถึงทศบารมีธรรมทั้งสิบที่ สุเมธดาบสจะต้องบําเพ็ญ จบลงด้วยพระชาติที่มา เป็นพระเวสสันดร ดรุณีนางหนึ่งจึงขอโอกาสพระ ทีปังกรปวารณาตัวมาเกิดเป็นพระนางมัทรี เพื่อพระ เวสสันดรจะได้อาศัยตัดพระทัยบริจาคเป็นมหาทาน ครั้นพระเวสสันดรมาเสวยพระชาติเป็นเจ้าชาย สิทธัตถะ ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ขอให้เธอ ได้ฟังธรรมของพระองค์ แล้วสําเร็จอรหัตผล เด็ก ชายเด็กหญิงคู่หนึ่งก็ปวารณาตัวเป็นชาลีกับกัณหาเพื่อ บรรลุวิมุตติธรรมในสมัยของพระโคดมพุทธเจ้าด้วย พระพุทธทีปังกรก็ประทานพรให้เป็นไปดังประสงค์ กาลเวลาผ่านมาจนถึงพระชาติที่พระผู้มีพระ ภาคเจ้าของเรามาเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร โพธิสัตว์ เป็นโอรสพระเจ้าสญชัยและพระนางผุสดี เจ้าผู้ครองนครสีพี เมื่อพระนางผุสดีทรงพระครรภ์ ถ้วนทศมาส ก็ปรารถนาจะประพาสชมพระนคร พระเจ้าสญชัยโปรดให้ตกแต่งเมือง และให้ขบวนเสด็จเวียนขวารอบพระนครไปตามถนนหลวงที่พ่อค้า ทั้งปวงประชุมกันมิได้ขาด พระนางประชวรพระครรภ์และประสูติพระราชกุมารในสถานที่นั่น จึงได้ พระนามว่า เวสสันดร เพราะประสูติกลางพระนคร ตรอกพ่อค้า
คราวนั้น ยังมีนางช้างฉัททันต์เทียวอยู่กลางอากาศ พาบุตรสีขาวบริสุทธิ์ดังสีเขาไกรลาสมาไว้ ในโรงช้างต้น ประชาชนจึงให้ชื่อว่าปัจจัยนาเคนทร์ เพราะเกิดเป็นปัจจัยแก่พระเวสสันดร
พระเวสสันดรมีอุปนิสัยมิได้ย่อหย่อนในการ บริจาคมหาทานมาตั้งแต่พระชนม์ได้ 4 - 5 ชันษา แม้ยาจกผู้ใดปรารถนาดวงหทัยเนื่อเลือด บริจาคให้เป็นทานได้ เมื่อพระชนม์ได้ 16 ชันษา ก็เชี่ยวชาญรู้ศิลปศาสตร์ 18 ประการจบสิ้น พระเจ้า สญชัยจึงนําพระมัทรี ราชธิดากษัตริย์มัททราช มา อภิเษกให้เป็นอัครมเหสี และมอบราชสมบัติให้ขึ้น พระองค์โปรดให้อํามาตย์ทำทานศาลาที่ประตูเมืองทังสี ที่กลางพระนคร และที่หน้าประตูพระราชวัง รวมเป็น 6 แห่ง และให้จัดเงินทองเสื้อผ้า ข้าวของมีค่าสําหรับแจกให้ยาจกเข็ญใจทุกถ้วนหน้า เป็นที่รักใคร่ของไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินเมื่อพระนางมัทรีประสูติพระโอรส พระประยูรญาติรับด้วยข่ายทองบริสุทธิ์ จึงถวายนามว่า ชาลี ต่อมาเมื่อทรงพระครรภ์คํารบสอง ประสูติ พระธิดาซึ่งรองรับด้วยหนังหมี จึงชื่อว่า กัณหาคราวนั้นเมืองกาลิงครัฐข้าวยากหมากแพง ฝนแล้งไม่ตกทัวประเทศ ข้าวกล้าทั้งหลายก็ตายทุก นิคมเขตแว่นแคว้น ประชาชนยากแค้น อดอาหาร จนซูบผอม จึงไปประชุมพร้อมกันที่หน้าพระลาน ร้องทุกข์แก่พระเจ้ากาลิงครัฐ พระองค์ทรงรักษา อุโบสถสิ้นกําหนด 7 วัน ฝนก็ยังไม่ตก
ประชาชนจึงขอให้พระเจ้ากาลิงครัฐจัดหาพราหมณ์ผู้ฉลาดไปยังสีพีราชธานี เพอทูลขอชาง แก้วมหามงคล ปัจจัยนาเคนทร์ เพราะช้างทรงนีไป อยู่ที่ใดจะยังความชุ่มชื่นมีฝนตกลงมาทุกขอบเขต คามนิคม เกิดความอุดมสมบูรณ์ พระเจ้ากาลิงครัฐก็ให้พราหมณ์ทั้งแปดมายังกรุงสีพีราชธานี ตรงไปสู่โรงทานที่พระเวสสันดรเสด็จมาทรงแจกทาน ประนมนิ้วขึ้นเหนือหัว แล้วร้องถวายชัย ทูลขอช้าง แก้ว พระเวสสันดรเห็นความลําบากของชาวเมือง กาลิงครัฐ จึงยกช้างปัจจัยนาเคนทร์ให้ โดยหลั่งน้ำ จากคนทีทองให้ตกลงเหนือมือพราหมณ์ พราหมณ์ทั้งหลาย เมื่อได้รับพระราชทาน ช้างแก้วแล้วขึ้นขับขี่ออกจากกรุงสีพีไปประชาชน ชาวเมืองก็กรูเกรียวไล่ล้อมสกัดหน้าสกัดหลังจะ เอาช้างคืน ครั้นทราบความจากพราหมณ์ว่าพระ เวสสันดรประทานให้ก็เป็นเดือดเป็นแค้น ไม่พอใจ พากันไปชุมนุมหน้าพระลาน ฟ้องร้องพระเจ้าสญชัย ว่า พระเวสสันดรกระทำผิดราชกิจประเพณีแต่ โบราณ ให้ช้างมหามงคลแก่พราหมณ์ที่มาขอ ช้าง นี้คู่ควรไว้ประดับสำหรับเมือง พระเจ้าสญชัยจึงตัดสินให้เนรเทศพระเวสสันดร เสียจากเมืองแต่วันพรุ่งนี้ แล้วให้นายนักการไปทูล พระเวสสันดรให้ทรงทราบ ท่านก็มิได้ท้อพระราช ศรัทธาที่จะทำทาน ทรงปรารภว่า ถึงไม่มีทรัพย์สิน สิ่งของบริจาค หากยาจกผู้ใดจะปรารถนาเอาหัวใจ
หรือดวงตาทั้งคู่ ท่านก็จะเชือดออกบริจาคให้เป็น ทาน จึงตรัสสั่งนายนักการให้ช่วยทูลผลัดไปอีก สองวัน เพื่อท่านจะได้บําเพ็ญทานให้อิ่มศรัทธา แล้วจึง ถวายบังคมลาไปอยู่ป่าเขาดงดอนตามโทษานุโทษ พระเวสสันดรตรัสสั่งเสนาบดีให้ตระเตรียม สัตตสดกมหาทาน คือการให้ของ 7 สิ่ง สิ่งละ 700 ได้แก่ ช้าง ม้า ยานราชรถ หญิง โคนม ทาส กรรมกรชายหญิง ประสมสิ่งละเจ็ดร้อย ไว้ ณ โรง ทาน แล้วเสด็จไปปราสาทพระมัทรี ทรงสอนให้ ทําทานไว้เสมอมิได้ขาด จะได้เป็นบุญนิธิขุมทอง อันใหญ่ติดตามตน ให้อภิบาลบำรุงรักษาสองกุมาร อย่าประมาท ทั้งภักดีปฏิบัติต่อพระเจ้าสญชัยและ พระนางผุสดี อย่าให้เคืองขัดอัธยาศัย สําหรับพระ มัทรีเอง หากกรุงกษัตริย์พระองค์ใดปรารถนาจะ รับไปเป็นอัครราชกัญญา ก็ไม่ต้องอาลัยถึงพระองค์ เพราะท่านถูกเนรเทศจากพระนคร คงจะไปสิ้นพระ ชนม์เสียในป่าดงนั้นแล พระนางมัทรีเมื่อทราบความ ก็ทูลขอติดตาม พระเวสสันดรไปด้วย พร้อมทั้งพระโอรสธิดา แล้ววันเสด็จจากพระนครก็ได้โปรยแก้วแหวนให้เป็นทานแก่เหล่ายาจกที่นั่งเนืองแน่นตามถนนหลวง แม้ม้าเทียมรถและราชรถทรงก็มีคนตามมาทูลขอ พระองค์ ก็มอบให้หมดทุกสิ่งของ พระนางมัทรีก็มิได้ทัดทาน
ทรงอนุโมทนาทานที่พระเวสสันดรทําทุกสิ่งอัน แล้วพระเวสสันดรก็อุ้มชาลี ขณะทีพระมัทรีอุ้มกัณหา พากันเสด็จดำเนินมาตามทาง เพื่อไปเขาวงกต ทั้งสีองค์เสด็จในวันเดียวมิทันพลบจากพระ ราชวัง ลุถึงศาลานอกพระทวารเมืองเจตราช ก็พา กันเข้าอาศัย ชนชาวเมืองเจตราชทีเทียวสัญจรมา ตามทางเข้ามาทูลถาม ครันทราบความ ก็นําคดีไป ทูลแด่กลุ่มกษัตริย์เจตราช ต่างองค์ก็เสด็จมาดูแล และทูลเชิญเสด็จขึ้นผ่านพาราเจตราช เป็นกษัตริย์แทนการเสด็จไปทนทุกข์ทีเขาวงกต พระเวสสันดรปฏิเสธ กษัตริย์เจตราชทูลขอให้พักค้างคืนและเสวย กระยาหารเช้าเสียก่อน จากนั้นก็พาไปยังประเทศทางตรงประตูป่า แล้วเรียกพรานป่าเจตบุตรมาสั่งให้เป็นพนักงานรักษาทวารหิมพานต์ คอยดูแลไม่ให้ ใครแปลกปลอมผ่านเข้าไปได้ จากนั้นพระเวสสันดร ก็พาพระนางมัทรี โอรส ธิดา เดินทางต่อไป พระอินทร์ให้พระเวสสุกรรมมาสร้างอาศรม พร้อมบริขารเครื่องบวชเป็นดาบสถวายไว้ที่เวิ้ง หว่างเขาวงกต พร้อมจารึกอักษรบอกไว้ที่บานประตู เมื่อพระเวสสันดรมาถึงก็พากันเข้าพักอาศัย พระ องค์ทรงบรรพชาเป็นดาบส พระนางมัทรีก็บวชเป็น ดาบสินี รวมทั้งชาลีและกัณหา พระนางมัทรีทรงรับภาระออกไปหาผลไม้มา เป็นอาหาร รวมทั้งน้ำกินน้ําใช้ ดูแลปัดกวาดอาศรม ให้กัณหาชาลีเล่นอยู่ใกล้ๆ อาศรมที่พระเวสสันดร บําเพ็ญพรต เป็นดังนี้ สิ้นเวลาไป 7 เดือน จะกล่าวถึงพราหมณ์เฒ่ายากจน อาศัยอยู่ละแวกบ้านทุนวิฐ ติดกับเมืองกาลิงครัฐ เป็นคน เข็ญใจไร้ญาติ เที่ยวภิกขาจารไปด้วยวณิพกยาจก จัณฑาล เฒ่าค่อยเก็บหอมรอมริบไว้ทีละน้อย จน ได้ทองถึงร้อยกษาปณ์ จะเอาไว้กับตัวก็กลัวภัย เลยเอาไปฝากเพื่อนพราหมณ์ผัวเมียไว้แล้วก็ออกเที่ยว
ภิกขาจารต่อไปจนล่วงเลยกำหนด
พราหมณ์สองผัวเมียที่รับฝาก เห็นเฒ่าชูชก หายเงียบไป ก็เอาทองที่รับฝากไว้มาจับจ่ายใช้สอย ครั้นชูชกมาทวงก็มิรู้จะทําประการใด เลยยก อมิตตดาธิดาสาวให้เป็นสิทธิ์ขาดแก่ชูชก ชูชกก็มีจิต เกษมสันต์โสมนัสยิ่ง ลาสกุลพราหมณ์ลงจากเรือน พานางอมิตตดาไปสู่บ้านทุนวิฐ อยู่ร่วมภิรมย์สม สนิทเสน่หาอมิตตดาก็คิดว่าตัวเป็นทาส มิได้นึกว่าเป็น สาวได้ผัวแก่ ดูแลปฏิบัติชูชกมิให้มีที่ตําหนิ ประดา พราหมณ์หนุ่มๆ ในหมู่บ้านเห็นอมิตตดามีวัตรจริยา ดี รู้ปฏิบัติทุกสิ่งสารพัดดูแลบ้านและสามี ก็นึกเปรียบเทียบกับเมียของตน ทำให้โกรธกลับบ้านมา มีปากเสียงทะเลาะทุ่มเถียงกับภรรยาหญิงทั้งหลายหมดทุกเรือน เมื่อถูกตําหนิ
แทนที่จะตั้งใจแก้ไขปรับปรุงตน กลับโกรธแค้น อมิตตดา แล้วรวมหมู่กันไปซุ่มซ่อนอยู่ที่ท่าน้ำ คอย เวลาที่นางมาตักน้ำ จะได้ด่าเสียดสี เพื่อว่านางทน อับอายไม่ได้ จะได้หนีไปเสียจากบ้านทุนวิฐอมิตตดาเมื่อถูกระรานด่าว่า ก็ร้องไห้กลับมา ขอร้องชูชกให้หาข้าหญิงชายมาให้นางใช้ ชูชกก็อ้างว่าไม่มีเงินทอง ไม่มีเงินทอง นางก็แนะนําให้ไปทูลขอกัณหาชาลี จากพระเวสสันดร ชูชกจึงเดินทางไปสู่เขาวงกต ประจันหน้ากับนายเจตบุตร จึงแต่งเรื่องว่าตนเป็น พราหมณ์บุโรหิต ถือราชสาส์นจากพระเจ้าสญชัย จะมาเชิญทังสีองค์ลาพรต กลับสู่พระนคร เพราะ ชาวสีพีคลายจากอาฆาตประทุษฐโทษแล้ว นาย เจตบุตรก็หลงเชื่อ ตระเตรียมเสบียงอาหารและชี้ ทางให้ไปสู่อาศรมของพระอจุตฤษี เพื่อไถ่ถามทาง ต่อไปยังอาศรมสิงขรของพระเวสสันดร ชูชกก็ดั้นด้นไปตามคํานายเจตบุตร เจรจา จนพระอจุตฤษีวางใจ ยอมบอกทางให้ เฒ่าก็ไปจน ถึงที่พักของพระเวสสันดร รอคอยจนพระนางมัทรี มกัณหามือหนึ่ง จูงชาลีอีกมือหนึ่ง ไปทูลฝากพระ
เวสสันดรให้ช่วยดูแล แล้วมาจัดหาขอเสียม กระเช้า สานสาแหรกคานขึ้นใส่บ่า เสด็จไปหาผลไม้ดังที่เคยทํามาเป็นประจํา ต่อเพลาเย็นจึงจะกลับคืนมาฒ่าชูชกก็เข้ามาทูลขอสองราชกุมารไปเป็น ทาสทาสี พระเวสสันดรนั้น ตั้งแต่ถูกเนรเทศมาอยู่ ก็ครุ่นคิดหาทางจะให้พระนางมัทรีและสองกุมาร กลับคืนพระนคร ด้วยว่าหากพระองค์เป็นอะไรไป ทั้งหมดจะปลอดภัยได้อย่างไรในราวป่า เมื่อชูชกมา ทูลขอก็คิดสบโอกาส แต่ทรงขอร้องชูชกว่า เลื่อน ไปสักคืนหนึ่งเถิด ให้พระมัทรีเธอได้อนุโมทนาใน ปิยบุตรทาน เพราะเธออุ้มท้อง ฟูมฟักถนอมเลี้ยง มาด้วยความเหนื่อยยาก
ชูชกก็ทัดทานว่าผู้หญิงนั้นที่จะใจใหญ่ หยิบยกลูกออกยื่นเป็นยอดทานนั้นยากแท้ ขอพระองค์ โปรดเรียกกัณหาชาลีมาพระราชทานเสียเลย จะ เหมาะกว่า สองกุมารได้ยินก็แอบไปซ่อนตัวในสระ บัวโดยเดินถอยหลังลงสู่สระ พระเวสสันดรสังเกต ดูรอยเท้าก็รู้เท่าทัน จึงตรัสเรียกสองกุมารขึ้นจาก สระ ปลอบให้หยุดร้องไห้ แล้วตรัสให้จำคำของ พระองค์ไว้ โดยได้ตั้งค่าตัวของชาลีเป็นทองคํา แท่งหนักพันตําลึง ส่วนของกัณหาเป็นโคอุศุภราช ทาสทาสี รถพาหนะ ช้าง สิ่งละร้อยละร้อย รวมทั้ง
อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในอนาคตกาลโน้นเถิด เมื่อชูชกได้รับพระราชทานสองกุมารแล้ว ก็ เอาเชือกมัดแขนกัณหาชาลีเข้าด้วยกัน แล้วเอา ปลายเชือกอีกข้างถือตามตีต้อนพระกุมารมาต่อหน้า พระเวสสันดร พระองค์ทอดพระเนตรเห็น ก็รู้สึก เจ็บปวดปานถูกควักดวงพระเนตรทั้งสองข้าง ยิ่งได้ สดับเสียงร่าไห้ของสองกุมารรําพันทูลขอให้พระบิดา ช่วย ก็แทบกลั่นอัสสุชลธาราไว้มิได้ พระเวสสันดรแม้จะหักพระทัยเพื่อความ ปลอดภัยของสองกุมารในภายภาคหน้า เมื่อเห็น ชูชกจาบจ้วงกับพระกุมารอย่างไม่เกรงพระทัย ก็ สงสารลูกจับใจ รู้สึกประหนึ่งถูกชูชกควักคว้านดวง หทัยไป แทบจะทวงเอาพระกุมารคืนมา แต่ด้วย ขัตติยมานะ พระองค์ทรงกําหนดพระทัยให้ตั้งมั่น ในเหตุผลและประโยชน์ของพระกุมาร จึงข่มพระทัย สงบนิ่งอยู่ ชูชกพาสองพระกุมารมาถึงทางหินตะปุ่มตะป่า เหยียบพลาดล้มลง เชือกที่มัดหลุดจากข้อมือ สอง กุมารออกวิ่งมาสู่อาศรมพระบิดา เฒ่าชราก็โกรธเกรียว ฉวยได้เรียวไม้ไล่ตี กัณหาร้องวอนให้พระว่าชีวิตลูกคงไม่รอด ชะรอยพราหมณ์นี้จะเป็นผีปีศาจแกลังแปลงมาขอทาน ตีประจานให้ เจ็บใจจะขาด แล้วจะหักคอลูกลงกลางดิน จะฉีก เชือดสูบเลือดกินเป็นอาหารพระเวสสันดรมิอาจกลั่นน้ําตาไว้ได้ แต่ก็หักพระทัยนึกถึงความปลอดภัยของพระกุมารในเบื้อง หน้า กัณหาสุดจะเข้าใจพระบิดา ทั้งเสียใจน้อยใจ จึงตัดพ้อว่า เจ้าประคุณของลูกเอ๋ย ที่จะได้กลับมา เป็นพ่อลูกกันสืบไปนั้นอย่าหวัง ลูกขอลาไปตามเวร ชูชกก็ฉุดลากสองกุมารไปจากอาศรมจนลับล่วงประตู ป่าเมือพลบคําพระอินทร์คํานึงถึงที่พระเวสสันดรได้กระทําปิยบุตรทานแก่ชูชกไป หากมีชายหินชาติผู้ใดผู้หนึ่งดันด้นมาถึงอาศรม ทูลขอพระมัทรี พระองค์ก็จะทำ มหาภริยาบริจาค ทําให้ขาดผู้จะปฏิบัติดูแล พรหมจริยวัตรก็จะหม่นหมอง ท่านหวังประโยชน์พระ โพธิญาณ จึงนิมิตเพศเป็นพราหมณ์ชรา เดินดงมา พบทั้งพระเวสสันดรและพระมัทรีที่หน้ามุขพระอาศรม
เข้าทูลถามสุขทุกข์พระองค์ พระเวสสันดรก็เล่าให้ ฟัง และเชื่อเชิญให้เข้าไปพักในโรงน้ำ พร้อมทั้งไต่ถามความประสงค์ที่ดันดันมา พราหมณ์ชราก็ทูลว่า ตนนั้นยากไร้ขัดสน ไม่มีผู้ใดจะปฏิบัติ จะขอพระมัทรีเป็นทาน พระนางมัทรีทราบอัชฌาสัยพระภัสดา จึงทูลว่าพระองค์จะบริจาคข้าผู้ทาสีให้แก่ผู้ใดนี้มิมีใจเคืองข้อง จะเอาชีวิตแลกายนี้ถวาย ด้วย กตัญญูกตเวทีทางธรรมสุจริต ขอพระองค์จงมีใจ โสมนัสเปรมปรีดิ์ ด้วยภริยาทานบารมีคือข้าพระ บาท อันยินยอมพร้อมด้วยพระราชศรัทธา ในกุศล เจตนานั้นแล้วพระเวสสันดรก็ยกเต้านำ กุมมือพระมัทรีหลังนำให้ตกลงเหนือมือพราหมณ์ ตรัสว่า เราก็รักทรีดังดวงตาดวงใจ แต่ก็รักพระสัพพัญญูตญาณ ว่า อันว่าภริยาทานของเราจะให้สําเร็จแก่การ สรู้ในอนาคตกาลโน้นเถิด ปรากฎพื้นดินและพื้นน้ําก็ไหวหวัน ขุนเขา สัตตบริภัณฑ์สิเนรุราชต่างน้อมยอดอย่างจะอภิวาท
ประกาศก้องสาธุการ ฝูงทวยเทพอุโฆษณาการ ประนมกรน้อมเกศ อนุโมทนาพระอุปบารมีเสียง สนั่นเบื้องต่ำแต่อัชฎากาศเท่าถึงภวัคคพรหม เมื่อ พระเวสสันดรยกยอดพระบารมีมหาภริยาทานแก่ อินทพฤฒาจารย์ พราหมณ์พระอินทร์ก็ถวายพระนางมัทรีคืน ไว้ปฏิบัติพระองค์ แล้วลาไป ฝ่ายชูชกพาพระกุมารเดินป่ารอนแรมมาได้15 คืนก็ถึงพระนครสีพี ขณะทีพระเจ้าสญชัยเสด็จ ออกพระที่นั่งบัลลังก์รัตนสิงหาสน์มุขพิมาน ชูชก ก็พาพระกุมารเดินหลีกลัดตัดหน้าฉาน ผ่านมาตรง หน้าพระทีนัง พระองค์ทอดพระเนตรเห็น ก็ใช้ให้ อำมาตย์ไปเอาตัวเข้ามาถวาย ไต่ถามว่าชูชกได้สอง พระกุมารมาแต่ที่ใดชูชกกราบทูลว่า พระเวสสันดรมุ่งหมาย บาเพญบารม จึงยกยอดปิยบุตรทานให้แก่ตนพระเจ้าสญชัยไม่ทรงเชื่อหมู่มุขมนตรีอำมาตย์ราชเสวกฟังคำชูชกแล้ว ก็วิพากษ์วิจารณ์ว่า เมือท้าวเธอยังครองราชสมบัติ
อยู่ ก็ยกปัจจัยนาเคนทร์ให้ไป จนไพร่ฟ้าประชาชนแค้นเคืองให้ เนรเทศออกไปอยู่กุฎีดง
พระลูกรักให้ตาเฒ่า ดูช่างผิด ตติยประเพณีแต่ โบราณชาลีได้ฟัง จึงกราบทูลพระเจ้าสญชัยว่า ควร
แลหรือที่หมู่มุขอํามาตย์จะมาประมาทหมิ่นพระบิดาพระองค์ทุกข์ลำบากบวชเป็นฤาษีชีไพร จะเอาพระ.
ราชทรัพย์สิงอันไดมาท่าทาน ก็มีแต่ลูกทั้งสองจึงเสียสระราชประสงค์แสวงปรมัตถบารมีตามแบบบรมพงศ์โพธิสัตว์สืบๆกันมา แบบบรมพงศ์โพธิสัตว์สืบ ๆ กนมาเจ้ากรุงสีพีทอดพระเนตรเห็นพระนัดดายังนั่ง
อยู่กับชูชก จึงตรัสถาม เจ้าเคยสนิทแนบนั่งเหนือ พระเพลา บัดนี่ไฉนจึงมานังนิ่งเฉย ประหนึ่งเป็น แขกไม่คุ้นเคย ชาลีทูลตอบว่า เธอทั้งสองเป็นทาสของชูชก พระบิดาตั้งค่าตัวไว้ สำหรับตนนันค่าหนึ่งพันตําลึง ทอง ส่วนกัณหานันเป็นพระราชทรัพย์สิ่งละร้อยกับ ทองร้อยตําลึง
พระเจ้าสญชัยจึงให้นายนักการไปเบิกสิ่งของ มาพระราชทานแก่ชูชกเป็นค่าไถ่ แล้วก็พาสองกุมาร กลับเข้าวัง ตระเตรียมจตุรงคโยธา จะออกไปรับพระ โอรสและพระสุนิสากลับเข้าพระนคร ระหว่างนั้น เฒ่าชูชกบริโภคอาหารเหลือขนาด ไฟธาตุเผาผลาญ ไม่ทันก็กระทำกาลกิริยา พระเจ้าสญชัยก็ให้กระทำ สรีรกิจ แล้วเที่ยวป่าวร้องหาพวกเผ่าเหล่าพี่น้องตา เฒ่าทั่วทั้งจังหวัดพระนครสีพีก็มิได้พบปะแต่สักคน ท่านจึงให้ขนทรัพย์สมบัติของเฒ่าทั้งหมดคืนเข้า ท้องพระคลังหลวงเมื่อถึงอุดมฤกษ์ที่จะเคลื่อนพล สี่กษัตริย์จะ เสด็จไปรับพระเวสสันดร พราหมณ์ชาวเมืองกลิงคราชก็นำเศวตคเชนทรมาคืนถวายไว้ดังก่อนเก่า พระเจ้าสญชัยก็ให้พระชาลีขึ้นทรงเศวตกุญชรชัย ปัจจัยนาเคนทร์ นำจตุรงค์พยุหบาตรเป็นขบวนหน้า พระองค์เป็นทัพหลวง ทรงคเชนทรที่นั่งบัลลังก์รัตน ราชพิมาน พระนางผุสดีและพระกัณหาทรงราชรถทอง ผูกม่านมิดกำบังองค์ แลรถพระประเทียบ นาง พระกํานัลเป็นคู่ๆ เรียงราย อยู่ขบวนหลังต่อท้ายพยุหยาตราเมื่อถึงมุจลินทประเทศโบกขรณีจึงยับยั้งพยุหโยธี พระชาลีตั้งตําหนักทัพรับเสด็จพระอัยกา แล้วตกลงกันว่าพระเจ้าสญชัยจะเสด็จเข้าไปก่อน แล้ว พระนางผุสดีจึงตามไป สองกุมารนันรอรังอยู่สุดท้าย เมือกลับทัพประเทียบพล บ่ายหน้าคืนพระนครแล้ว พระเจ้าสญชัยก็เสด็จลงจากราชกุญชร เสด็จดําเนินแวดล้อมด้วยหมู่อํามาตย์ไปยังอาศรม
พระเวสสันดรและมัทรีเห็นพระบิดา ก็กราบลงกับฝ่าพระบาท พระองค์ก็สวมกอดพระโอรสและ พระสุนิสาต่างพระองค์ก็ทรงพระโศกี ครันระงับโศก แล้ว ก็ตรัสถามทุกข์สุขกัน พระเวสสันดรทูลว่า ชีวิตท่านทั้งสองลําบากยากแค้นมาก อาศัยแต่ผลไม้ ท้าวเธอถามถึงสองกุมาร ก็ทูลตอบว่าได้ยก ให้เป็นทานแก่พราหมณ์เฒ่า มันผูกข้อมือมัดจูงไป ต่อหน้า ทั่งโบยตีไม่ปรานี ลูกก็ได้แต่อาดูรมิเว้นวาย พระร่มเกล้าจงตรัสเล่าให้บรรเทาทุกข์ด้วย พระบิดา ตรัสตอบ เราได้ไถ่พราหมณ์เฒ่าด้วยราชทรัพย์สําเร็จแล้ว เจ้าจงหายห่วงเถิด บ้านเมืองก็ร่มเย็น เป็นปกติดี พระนางผุสดีดำริว่า ป่านฉะนิพ่อลูกคงหยุด กำสรดโศกแล้ว เราควรไปสู่อาศรม จึงเสด็จพร้อม นางกำนัล ทั้งสององค์ก็มากราบพระชนนี กัณหา ชาลี แวดล้อมด้วยกุมารราชบริพารก็เสด็จถึงอาศรม พระมทรทอดพระเนตรเหนลูกทั้งสองก็เสด็จ แล่นจนสุดแรง พร้อมกันแสง สองกุมารก็วิ่งเข้ากอดพระชนนี ทั้งสามองค์ทรงโศกีพิลาปรําพัน จนถึงซึ่ง วิสัญญี่ภาพสลบลง พระเวสสันดรทอดพระเนตรเห็นสองกุมาร ก็ทรงพระกำสรดสินสมปฤดี ทั้งสมเด็จปู่สมเด็จย่าก็กันแสงแสนพิลาป จนถึงวิสัญณีภาพทังหกพระองค์บรรดาพหลจตุรงค์ราชมนตรี ทั้งสาวสนม นารีนิกรกํานัล ก็ชวนกันโศกศัลย์ลัมสลบซบเศียร สิ้นทั้งบริเวณขัตติยาศรม เปรียบประหนึ่งว่ากําลัง ลมยุคันตวาต อันพัดสาลวันให้ลัมเนรนาดเป็น มหัศจรรย์ขณะนั่นก็บังเกิดโกลาหลทั่วแผ่นดิน สะท้าน สะเทือนถึงเขตขอบจักรวาล
พื้นพสุธาธารนิกิกัมปนาท
ตลอดถึงพิภพสุทธาวาสอันสูงสุด ทั้งมหา สาครสมุทรก็ตีฟองนองระลอก กระทบกระทังฝังทั้งขุนเขาพระหิมพานต์สัตตบริภัณฑสเนรุราช ก็น้อมยอดอย่างจะอภิวาทพระ บารมี สมเด็จพระสักกเทวราชทรงอาวัชนาการก็ทราบเหตุแห่งมหัศจรรย์ จึงบันดาลห่าฝนโบกขรวัสสันต์วัสสิกธารา ให้ตกลงในทีชุมนุมขัตติยวงศาทั้งหกกษัตริย์ ก็ค่อยบรรเทาที่ทุกข์โทมนัสซุ่มชื่นต่างก็ได้พระสติ ฟีนคืนสมปฤดี พ้นจากวิสัญญินัน
เมือมหัศจรรย์บันดาลเกิดจลาจลทัวสกลโลกทั้งห่าฝนโบกขรพรรษตกลงประพรมในตําแหน่งขัตติยสมาคมควรจะปรีดา ทุกหมู่หมวดมุขมาตยาทิชาชาติ เสนาพฤฒามาตย์ราชกวี อีกทั้งพระสนมนารีนิกรอนงค์ ทังพวกพหลจตุรงคราษฎรประชากร ก็เกิดขนลุกสยดสยอนแสยงพระเดช ต่างชวนกันน้อมเกศกราบบังคมทูลว่าข้าแต่นเรนทร์สูรสมมุติเทวราช จงทรงพระกรุณาโปรดอดโทษที่ประมาทแต่หลังมา ขอเชิญเสด็จละอองธุลีลาผนวชไพร ทรงซึ่งขัตติวิสั สวรรเยศ คืนพระนครอันพิเศษด้วยสิริสมบัติ สีเสวยสวรรยาธิปัตย์ถวัลย์วงศ์ เป็นมิงมกุฎดํารงสกลอาณาจักร จะได้เป็นที่พึ่งที่พํานักสัตว์นิกร ให้ บรรเทาที่ทุกข์เดือดร้อนระงับภัย ดุจมหาเศวตฉัตร ชัยอันกางกั้น ได้ร่มเย็นไปทั่วทุกอเนกอนันต์นิกร ประชนชน จงทรงพระกรุณาโปรดรับนิมนต์ข้าพระบาท ฝูงเสนาพฤฒามาตย์ราษฎร์ประชา อันทูลอาราธนา อยู่นี่เถิด
พระเจ้าสญชัยก็ตรัสให้พระเวสสันดรอดโทษ ให้ท่าน ที่ลุ่มหลงเชื่อคำชาวพระนคร เนรเทศพระโอรส และอดโทษานุโทษแก่ประชากรชาวสีพี ลาเพศดาบส กลับไปปกครองแว่นแคว้นสีพีเถิด
พระเวสสันดรก็รับพระราชโองการ พระองค์ และพระมัทรีลาพรตเสด็จนิวัติสู่พระนครมาปกครอง อาณาจักรสีพีสืบไป
 นับตั้งแต่พระศรีศากยมุนีโคดม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบันของเราได้ทรงสร้างพระ บารมีเริ่มแรก เป็นมโนปณิธานตั้งความปรารถนา เป็นพระพุทธเจ้าในพระทัย ณ สมัยที่ทรงสืบปฏิสนธิ ถือกำเนิดเป็นมาณพหนุ่มผู้แบกมารดาข้ามมหาสมุทร เป็นตันมา จนกระทั่งถึงครังสุดท้าย ได้ทรงถือกําเนิด เกิดเป็นพระเวสสันดรมหาบุรุษพุทธพงศ์โพธิสัตว์ เจ้านั้น นับเป็นเวลารวมทังสินได้ 20 อสงไขย ตลอดระยะเวลาเหลาน พระองคผู้ทรงมพระ หฤทัยผูกพันมุ่งมันปรารถนาซึ่งพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ต้องทรงสร้างสมอบรมพระบารมีอย่างยิ่งยวด มิได้ทรงเอื้อเฟืออาลัยใยดีต่อร่างกายและชีวิตพระองค์แม้แต่น้อยต้องทรงพลีชีวิตเลือดเนื้อออกแลกกับพระโพธิญาณ ... พระองค์ทรงบริจาคโลหิตในพระวรกายให้เป็นทาน ก็มีประมาณมากกว่ากระแสชลวารีทัง 4สมุทรพระองค์ทรงบริจาคมังสะคือเนื่อในพระวรกาย ให้เป็นทาน ก็มีประมาณมากกว่าพื้นแผ่นมหาปฐพี
พระองค์ตัดพระเศียรซึ่งประดับสรรพอลังการ ให้เป็นทาน ถ้าจะประมาณสะสมเอาไว้ก็มีประมาณ มากกว่าผลมะพร้าวอันมีอยู่ในปฐพีมณฑลพระองค์ทรงคว้านควักพระเนตรทั้งสองซ้าย ขวาให้เป็นทาน ก็มีประมาณมากกว่าดวงดารากรใน อากาศพระองค์ทรงผ่าพระทรวง เพิกหฤทัยออกให้ เป็นทาน ก็มีประมาณมากกว่าผลไม้ทั้งหลายบรรดา มีในพื้นมณฑลสกลปฐพีความเสียสละอันยิ่งใหญ่ในการสร้างพระ บารมีแห่งองค์สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเรา ย่อมปรากฏมีมากมายเป็นอัศจรรย์ตามทีพรรณนามา เมือพระองค์ทรงมีวาสนาบารมีครบถ้วนบริบูรณ์ทุก ประการ และถึงกาลอันสมควรแล้ว พระองค์ก็เสด็จจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตเทวโลก มาอุบัติตรัสรู้เป็นเอกองค์สมเด็จพระจอมมุนีชินสีห์สัมมาสัมพุทธ เจ้าในมนุษย์โลกนี่ เมือประมาณ 2,500 กว่าปี ณ ชมพูทวีปการที่พระองค์ทรงอุตสาหะ สร้างพระบารมี มาอย่างแสนลำบากยากเย็น ก็ด้วยมีพระประสงค์จะ นำพระองค์ออกจากทุกข์ภัยในวัฏสงสาร และรื้อขน สัตว์โลกออกจากทุกข์ภัยในวัฏสงสารอีกด้วย เพื่อให้เข้าสู่แดนเกษม อมตมหานิพพาน

พิมพ์โดย ปภัสสร  มีพงษ์
แหล่งที่มา  http://web.krisdika.go.th/buddha/59_prakunpoh.pdf

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Back To Top