พระคุณที่สาม
ชื่อผู้เขียน พญ อมรา มลิลา
วันที่ วันที่ 13 มีนาคม 2532
ณ ห้องประชุมคณะเภสัชศาสตร์
หมวด
อันดับที่
ท่านคณบดี คณาจารย์ และนักศึกษา ดิฉันรู้สึกยินดีที่ได้มาให้โอวาทในโอกาสนี้ ขออนุญาต ใช้คําแทนตัวเองว่า ครู เพราะเรากําลังทําพิธีไหว้ครู
กำลังงอยู่ในบรรยากาศที่ซาบซึ้งในพระคุณครู ก็เกือบไม่ต้องให้โอวาทอะไรเลย เพราะตอนเริมพิธี นักศึกษาก็น้อมระลึกถึงพระคุณของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ เราถือพระรัตนตรัย เป็นที่พึง ทำให้จิตใจของเรามีหลัก ต่อมาเราก็ไหว้ครู แล้วระลึกถึงพระคุณของครูอาจารย์ บทกลอนที่ได้รับ รางวัลที่ 1 ก็สรุปไว้หมดแล้ว แต่ทีครูต้องบอกซ้าก็เพื่อ เป็นการย้าหัวตะปู ไม่เช่นนั้นแล้วเมื่อออกจากห้องนี้ไป หัวตะปูอาจจะหลุด กว่าจะถึงปี 5 ก็ลืมไปหมดแล้ว
การไหว้ครู เป็นพิธีของพราหมณ์อินเดีย โดยเฉพาะ วิชาชีพที่เป็นศาสตร์และเป็นศิลป์ เราจะระลึกถึงเรื่อง อย่างนี้มาก งานอะไรก็ตามทีใช้ฝีมือต้องใช้จิตใจเข้าไป ร่วมด้วย ถ้าเรารู้แต่วิชาอย่างเดียว แต่ไม่มีจิตใจละเอียด อ่อนทีเข้าใจถึงสิงเหล่านี เราจะหยาบกระด้าง ยกตัวอย่าง เช่น นักศึกษาเภสัชศาสตร์ทำยา อาจจะคิดแค่ว่า สูตร ว่าอย่างนี้ ตวงส่วนประกอบอย่างละ 2 ช้อน ใส่เข้าด้วย กันแล้วคนให้ผสมกันดี เอาขึ้นตั้งไฟ เปิดอุณหภูมิถึงแค่ นันครึงชั่วโมง ก็ออกมาเรียบร้อย แต่ความเป็นจริงไม่ใช่ เช่นนั้น เพราะอะไร ของบางอย่างต้องอาศัยพลังใจด้วย พลังใจครูอาจารย์ ทีประสิทธิ์ประสาทวิชาการก็สําคัญ หรือจะพูดให้ ศักดิ์สิทธิก็คือ ต้องร่ายมนต์ก่อนถึงจะสําเร็จ พูดอย่างนี้ อย่าไปหัวเราะหรือดูถูก เพราะเป็นความจริง ตัวอย่างเช่น เรื่อง ๆ หนึ่ง สมัยโบราณประเทศอินเดียมีตลาดวิชาอยู่ ที่เมืองตักสิลา มีอาจารย์ทิศาปาโมกข์หลากหลาย ได้ยิน. มาว่าอาจารย์ทิศาปาโมกข์ท่านหนึ่ง สามารถร่ายมนต์ให้ ผลไม้ออกผิดฤดูกาลได้ ก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งไปสมัครเป็น ศิษย์ ร่าเรียนวิชาจนจบ ได้ถามครูผู้สอนวิชาว่าตัวเอง จะต้องเสียค่าศึกษาเล่าเรียนเท่าไร ครูปฏิเสธค่าเล่าเรียนแต่บอกกับศิษย์ว่า ขอเพียงให้เจ้ามีความกตัญญูต่อครู
เจ้าก็รู้ว่าครูมาจากตระกูลจัณฑาล ไปถึงไหน ถ้ามีคน ถามเจ้าว่าเรียนวิชานีมาแต่ไหน ให้เจ้าบอกตามความจริงว่า เรียนมาจากเราซึ่งเป็นจัณฑาล” และเตือนศิษย์ว่า ถ้าจำคำสอนนี้ไว้แล้ว มนต์ที่เรียนไปก็จะศักดิ์สิทธิ์ทำให้เลี้ยงตัวได้ตลอดชีวิต ศิษย์ในตอนนั้นเคารพบูชา อาจารย์สุดหัวใจ คิดว่าแค่การจะบอกใคร ๆ ว่าเราเรียน วิชานี้มาจากจัณฑาล ไม่ใช่ของน่าอับอายตรงไหนเลย จึงรับคํากับอาจารย์ และลาอาจารย์กลับบ้านเมืองระว่างเดินทางก็พบกับคนเฝ้าสวนของพระเจ้ากรุง พาราณสี คนเฝ้าสวนชักชวนให้พักที่บ้านของตนก่อน เดินทางต่อ ระหว่างที่พักอยู่เด็กหนุ่มผู้นีคิดจะตอบแทน คุณของคนเฝ้าสวน จึงร่ายมนต์ให้มะม่วงในสวนออกลูกมา แล้วให้คนเฝ้าสวนเอาไปถวายพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้า แผ่นดินเกิดความสงสัยว่าตอนนี้ไม่ใช่ฤดูมะม่วง แล้วคน เฝ้าสวนไปเอามาจากไหน ไต่ถามไปมาจึงได้ความ ก็ ตรัสให้คนเฝ้าสวนนำตัวเด็กหนุ่มผู้ร่ายมนต์ให้มะม่วงออกลูกผิดฤดู มาเข้าเฝ้า ครั้นเด็กหนุ่มเข้าเฝ้า พระเจ้าแผ่นดิน ก็ทรงถามไถ่ว่าเป็นใคร มาจากไหน และถามถึงวิชาที เรียนว่าเรียนมาจากไหนและเรียนจากใครเด็กหนุ่มเห็นท้องพระโรง เต็มไปด้วยเสนาบดี ข้าราชบริพาร จะตอบตามความเป็นจริงว่าอาจารย์เป็น จัณฑาลก็เกิดความอับอาย กลัวว่าบอกไปแล้วเขาจะดูหมิ่น จึงบอกความเท็จวันรุ่งขึ้นพระเจ้าแผ่นดินเสด็จประพาสอุทยานพร้อม กับเด็กหนุ่มผู้นั้น ทรงรับสังให้เด็กหนุ่มร่ายมนต์ต่อหน้า ข้าราชบริพารทั้งหลาย ปรากฏว่าเด็กหนุ่มนึกมนต์ไม่ออก ก็สํานึกตัวว่าเคยให้คำมันสัญญากับครูเอาไว้ว่า เราจะกตัญญูรู้ในคุณครูอาจารย์ ข้อนี้เราผิดไปแล้ว เลยสารภาพกับพระเจ้าแผ่นดินว่าจริงๆ แล้ว อาจารย์ที่สอน มนต์นี้เป็นจัณฑาล
พระเจ้าแผ่นดินได้ฟังเช่นนั้นก็ให้ราชบุรุษจับตัวไป โบยตี แล้วไล่ออกจากเมือง ไม่ให้เข้ามาเหยียบอีก ทรง ให้เหตุผลว่า “คนใดก็ตามถ้าไม่มีความกตัญญในคุณครู หรือพ่อแม่ ไม่มีวันเจริญได้ เพราะจิตใจหยาบเกินกว่าจะ รักษาศิลปวิชาการเอาไว้ได้” จะเห็นว่านี้คือตัวอย่างหนึ่ง ที่ทําให้เราตระหนักว่า ทำไมต้องมีความกตัญญูรู้คุณต่อ พ่อแม่ ครูอาจารย์แต่เดิมเราไม่ได้เรียก ครูอาจารย์ เป็นอาจารย์ หรือ ครู แต่จะเรียก พ่อแม่ครูอาจารย์ เพราะว่าสมัยโบราณ เวลาที่ไปเรียนวิชาไม่เป็นดังปัจจุบัน พ่อแม่จะเอาไปฝาก ที่สํานักครูอาจารย์ การรับเป็นศิษย์ก็ไม่ใช่ว่าใครให้ค่า เล่าเรียนสูงก็จะรับ ท่านดูที่หน่วยก้าน รับเป็นศิษย์แล้ว จะต้องลองใจว่า ถ้าใช้เด็กคนนี้หรือว่าพูดจากระทบกระเทียบ จะมีน้ําอดน้ําทนเพียงใด เพราะไม่ได้สอนแต่ศิลป วิชาการเท่านั้น ท่านประเมินศิลปวิชาการเหมือนกับ กำลัง ถ้ากำลังนี้มีทิศทางไม่ถูกต้อง คือไปอยู่ในจิตใจของ คนที่เอาเปรียบเห็นแก่ตัว ไม่ใช่คนดี วิชาการก็จะเป็น อันตรายต่อโลกต่อผู้คนรอบข้าง จึงต้องมีการทดสอบเพิ่ม เติมเพื่อให้แน่ใจว่า ศิลปวิชาการที่จะประสิทธิ์ประสาท ให้ไป ลูกศิษย์จะรักษาเอาไว้ เอาไปทําให้เกิดประโยชน์ เต็มที่ เพราะจิตใจมีทั้งคุณค่าทั้งความรู้ นั่นคือจิตใจที่ มีทั้ง กำลัง และ ทิศทาง ที่ถูกต้อง
ที่เราไหว้ครูกันเมื่อสักครู่นี้ เราพูดกันว่า ท่าน ประสาทวิชา อบรมจริยา โดยมากท่อนนี้เรามักจะลืม เพราะเราสนใจแต่จะกอบโกยวิชาความรู้ ทำอย่างไร เราจะรู้มากกว่าคนอื่น ยิ่งรู้มากกว่าเขาเท่าไร ต้องเอาไปทำประโยชน์แก่ตัวเองให้มากขึ้นเท่านั้น เราลืมคำว่าอบรม ว่าทำงานได้เจริญรุ่งเรือง เป็นที่รักใคร่ของเจ้านาย ชาย คนแรกก็สงสัยและเกิดระแวง จึงถามเพื่อนว่า "ครังสมัย ที่เราอยู่สํานักครูด้วยกัน ครูแอบสอนอะไรให้เพื่อนเป็น พิเศษหรือเปล่า? ชายคนทีสองตอบเพื่อนว่า “เพื่อนก็เห็นแล้วว่า เรา อยู่ด้วยกัน พักห้องเดียวกันตลอด ถ้าเราไปไหนเพื่อนก็ต้องเห็นวันยังคำ จะแอบไปเรียนอะไรพิเศษได้” ชายคนแรกยังไม่หายขัดข้องใจ จึงชวนเพื่อนไปเยี่ยม อาจารย์ด้วยกัน เพื่อไปถามให้สินข้อคลางแคลงใจ ทั้ง คู่ก็ออกเดินทาง พอไปถึง ครูก็ดีใจทักทายถามไถ่ถึงการ งานที่ไปทำ ศิษย์คนแรกได้โอกาสเหมาะจึงพูดเรื่องงาน ที่ไปทำ พร้อมทั้งบอกถึงข้อสงสัยของตนว่า ทำไมตน ไปทำงานที่ไหนจะต้องมีเหตุไปหมด ไม่เห็นเจริญรุ่งเรือง อย่างเพื่อนอีกคนหนึ่ง ครูก็หัวเราะแล้วว่าเรื่องนี้มันยาว จะอธิบายให้ฟังทีหลัง ตอนนี้ขอให้ไปพักผ่อนก่อน เดิน ทางเหนือยมาทั้งวัน ครูจัดให้ไปนอนห้องพักเก่าทีศิษย์ ทั้ง 2 เคยอยู่ตอนมาเรียนวิชา แต่ก่อนทีศิษย์จะไปพักครู หยิบหม้อดินให้คนละใบ สั่งให้ไปซื้อน้ําผึ้งมาทํายา เอาให้ เต็มปริมทั้ง 2 หม้อพรุ่งนี้เช้า ศิษย์ทั้งสองก็รับหม้อไปคน ละใบ รุ่งเช้าศิษย์ทั้งสองชวนกันไปตลาด ซื้อน้ำผึ้งจาก แม่ค้าเจ้าเดียวกัน แม่ค้าตวงน้ำผึ้งให้ทั้งคู่เต็มหม้อเท่ากัน ซึ่งทั้งคู่ก็เห็น ครันกลับมาถึงสำนัก ครูเปิดฝาหม้อของ , ศิษย์คนแรกดูปรากฏว่า น้ำผึ้งในหม้อหายไปตั้งมากมาย ไม่เต็มปริมอย่างที่สั่ง ส่วนของศิษย์อีกคนปรากฏว่ายัง เต็มปริมอยู่ตามที่สัง ศิษย์คนแรกก็นึกในใจว่า ไม่ใช่แต่ อาจารย์ที่ลำเอียง แม่ค้าเจ้าเดียวกัน ไปซื้อพร้อมกัน ยังลำเอียงด้วยหรือ กลัวครูจะตำหนิจึงบอกกับครูว่า เพื่อน ก็เห็นว่าซื้อน้ําผึ้งจากที่เดียวกัน แม่ค้าตักให้เท่ากัน แล้ว
ถือมาก็ไม่ได้ทําหกที่ไหน พร้อมกับร่าพันว่าไว้ใจใครไม่ได้เลย เมื่อครูได้ฟังดังนั้นจึงถามศิษย์ทั้งคู่ว่า “เมื่อเจ้า เอาหม้อดินไปจากครูแล้ว เจ้าเอาไปทำอย่างไรบ้าง ศิษย์คนแรกตอบว่า เอาไปวางไว้อย่างดีข้างทีนอน พอรุ่งเช้าก็ถือไปตลาด เอาไปซือนําผึ้งกลับมา ส่วนศิษย์คนทีสองบอกว่า เห็นว่าเป็นหม้อดินใหม่ จะดูดน้ำ จึงเอาไปแช่นําไว้ตลอดทั้งคืน พอรุ่งเช้าก็เอามา เช็ดให้แห้ง แล้วเอาออกไปใส่น้ำผึ้งมา ได้น้ำผึ้งเต็มอย่าง ที่อาจารย์สัง แต่หม้อของเพื่อนแห้งเลยดูดน้ำจากน้ำผึ้ง 8 ทําให้น่าผิงลดลง ครูจึงถามศิษย์ทั้งสองว่า ครูได้สอนหรือเปล่าว่าก่อน ใช้หม้อดินจะต้องทำอย่างไร ทั้งสองก็ตอบพร้อมกันว่า เปล่า ครูจึงอบรมต่อไปว่า ศาสตร์และศิลป์ทั้งหลายใน โลกไม่ใช่สิ่งที่จะมาสอนให้ละเอียดถีถ้วนกันได้ทุกอย่าง เราต้องใช้ความสังเกต จิตใจที่มุ่งมันศรัทธาอยากรู้อยาก เห็น อยากเรียน วิชาความรู้ที่ได้จากครูไปเป็นเพียงหลัก เราจะต้องไปขวนขวายเพิ่มรายละเอียดปลีกย่อย เป็นต้น ว่า ช่างแกะสลักถึงแม้จะรู้หลักว่าจะต้องใช้สิวตอก ใช้ มีดอันไหน อย่างไร การจะไปสลักลวดลายให้อ่อนช้อย งดงามละเอียดอย่างไร ไม่เท่ากัน เหมือนกับเราเรียน กไก่ ถึง ฮ.นกฮูก ทุกคนเรียนมาเหมือนกัน แต่บาง คนเท่านั้นสามารถเอาไปแต่งเป็นกาพย์กลอนได้ไพเราะ เขียนร้อยแก้วอ่านแล้วก็ซาบซึ้งตรึงใจ แต่บางคนแม้แต่ เขียนคําตอบส่งครู ครูยังต้องทำใจไม่ให้เกิดโมโหเลย ทั้ง ๆ ที่อีกบางคนครูอ่านแล้วให้คะแนนเต็มแล้วก็ยังอยาก บวกเข้าไปอีก เพราะความน่าอ่าน อ่านแล้วชื่นใจ ที่ แตกต่างกันตรงนี้มาจากจิตใจ จิตใจที่เคารพเลื่อมใส รักครูอาจารย์ เปรียบเหมือน สมัยโบราณที่ว่า “เจ้าเอ๋ย ถ้าไปหลงอยู่ในป่า หาไม้สอง อันมาสีเข้า แล้วมันจะเกิดไฟ” ถ้าเราตั้งอกตั้งใจ เรา เคารพเชื่อฟังครูอาจารย์ เราก็จะสีไม้จนกระทั่งประจุที่ เกิด สะสมจนร้อนพอที่จะเกิดประกายไฟ ให้เอาของติด ไฟมารองรับเพื่อก่อไฟได้สําเร็จ แต่ถ้าเป็นประเภทที่ไม่ แน่ใจ สงสัยว่าที่อาจารย์สอนจะจริงหรือเปล่า หวังดีกับ เราหรือเปล่า ทั้งๆ ที่อาจารย์ก็สอนดี ดังตัวอย่างเช่น ศิษย์ทั้งสองคนเมื่อสักครู่นี้ คนหนึ่งเอาไปทำแล้วเจริญ รุ่งเรืองเพราะเขาคอยเติมเสริมความรู้ที่ได้ ระลึกถึงคุณครู ด้วยความชื่นใจ จะทำอะไรอย่าให้เสียหายถึงครู เขาจะ ดูหมิ่นนินทา ผลงานที่ออกมาก็ละเอียดประณีตขึ้นเรื่อยๆ แต่อีกคนหนึ่งครูสอนมาเท่าไหร่จําได้บ้างไม่ได้บ้างไม่คิดที่จะเพิ่มเติมให้งอกงาม ผลก็ออกมาเป็นแบบศิษย์ คนแรก แล้วเรากลับไปโทษว่าครูไม่ได้สอนเราอย่างดี จะเห็นว่าจิตใจเราขึ้นสนิม ทั้งๆ ที่ครูก็มีความรัก ความ หวังดี ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ไปเท่าๆ กัน แต่จิตใจ ของเราหยาบกระด้าง เริ่มเป็นภาชนะที่รั่วไหล พอไป ดูเพื่อนเห็นดีกว่าก็เกิดอิจฉาริษยา ลามปามไปถึงครู อาจารย์ หาว่าลําเอียง ไม่ดีจริง จิตใจที่คิดอย่างนี้เหมือนกับเราเอามือที่มีแผลไปแช่ ในอ่างยาพิษ ในที่สุดเราก็ชอกช้า เราคิดประมาทล่วง ศิลปที่มีอยู่ก็เสื่อมทราม เพราะจิตใจของเราเป็น จิตใจที่ไม่ละเอียดประณีต ลึกๆลงไปเราตะขิดตะขวงใจ เพราะจิตไร้สำนึกของเราเตือนว่า การคิดดูหมิ่นนินทา อาจารย์ไม่เหมาะ แต่ความโกรธความกระด้างในจิตใจ ของเรา ทำให้เราคิดว่าเรามีสิทธิ์มีพยาน แต่เราไม่ดูให้ รู้เท่าทันความเป็นจริง เมื่อเป็นอย่างนี้เราไปทำกิจการอะไรก็ไม่รุ่งเรือง เราเองก็ไม่ประสบความสำเร็จ ขาดทุนสูญกำไรด้วย เพราะหลงไปคิดปรับโทษว่า ครูอาจารย์ไม่รัก ไม่หวังดี เมื่อไปมีครอบครัว ก็ไม่สามารถอบรมลูกให้เคารพ
นบนอบและใฝ่ดีได้ เพราะตัวเราเองเป็นเหมือนไม้คดๆ จิตใจของเราเป็นจิตใจที่ไม่อิ่มไม่เต็ม มีความน้อยเนื้อต่ำใจ ในชีวิตอยู่ตลอดเวลา ทำให้อะไรๆ ที่ทำออกมา บิดเบี้ยว ไม่ได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วย ถ้าเป็นที่ดินก็เป็นดินที่ขาด ปุ๋ยขาดน้ำ เพราะความเคารพศรัทธา ความใส่ใจ ความรัก ในงานการที่จะทำไม่มี ก็ทำให้พลังทั้งหลายลดหย่อน ไปโดยไม่รู้ตัว ตัวครูเองสมัยเรียนในเมืองไทยโชคดีมากที่ได้ครู อาจารย์ดี ท่านมาแนะมาสอนสิ่งที่ครูบกพร่อง บางที ทำการบ้านแล้วยังไม่ดีท่านก็ให้ทำเพิ่มแล้วตรวจให้เป็น ทำให้ครูมีความชํานาญในเรื่องนั้น ๆ มากขึ้น พอ ไปเรียนต่อเมืองนอกก็ประทับใจมาก เพราะอาจารย์ที่ ปรึกษาท่านบอกเสมอว่า เราต้องเรียนให้มีผลดีกว่าที่ อาจารย์ทำได้ ถ้าเพื่อครูสามารถอบรมลูกศิษย์จบออก มาให้เก่งได้เท่าตัวครู แปลว่าครูหมดฝีไม้ลายมือแล้ว การ ที่ท่านเก่งขึ้นมาได้ถึงแค่นี้เพราะได้ครูอาจารย์อบรมสั่ง สอนมา เมื่อเอาทั้งหมดที่ตัวเองมี มาอบรมสั่งสอนเรา แล้วก็ทำให้เราโตได้เท่าตัวท่านเท่านั้น แสดงว่าครูสิ้น ฝีไม้ลายมือ โลกนี้จะทรุดโทรมแล้ว ท่านจึงหวังว่าเมื่อ สอนศิษย์แล้ว ศิษย์ต้องเก่งยิ่งกว่าท่าน อย่างนั้นจึงจะเรียกว่าวิชาความรู้เจริญงอกเงย ประเทศชาติจึงจะได้ ประโยชน์เต็มที หน้าที่ของศิษย์จึงต้องกตัญญูรู้คุณ ไม่ใช่คิดไปว่า บัดนี้เราวัดรอยเท้าเท่าของครูแล้ว หรือเราใหญ่กว่าครู แล้ว เพราะฉะนั้นช่างหัวครู จะเป็นอย่างไรก็ช่าง ถ้า เป็นเช่นนีเราจะแย่ เพราะจิตใจของเราหยาบกระด้างลูกศิษย์ของเราก็จะเป็นอย่างนี้ ลูกเต้าเราก็จะเป็นอย่างนี้ โลกนี้ก็จะมีแต่วิชาการ แต่เทคโนโลยี แต่ไม่มีจิตใจทีเป็น คนครบคน จะเดือดร้อนระสำระสาย เพราะว่าเทคโนโลยี มีทั้งคุณและโทษต่อเราได้เช่นกัน เมือเป็นอย่างนี้แล้ว ส่วนทีเป็นหน้าทีของศิษย์ ไม่ว่า ครูอาจารย์จะเป็นอย่างไรก็ตาม เราก็ต้องให้ความเคารพ ถ้าเผือบังเอิญครูอาจารย์ไม่ได้เป็นอย่างทีครูพูดให้ฟัง คือเป็นทั้งพ่อ แม่ และเป็นครูอาจารย์ที่ประสิทธิ์ประสาท วิชาให้จนหมด ไม่มีซ่อนเร้นปิดบัง อบรมคุณธรรมความรู้ อบรมจริยาให้ แล้วยังป้องกันในทุกสารทิศ ลูกศิษย์ไป ตกระกำลำบากเดือดร้อนที่ไหน ครูจะดูแลปกป้องช่วยเหลือ เท่าที่มีกำลังความสามารถ เพราะปกติถ้าลูกศิษย์ เดือดร้อนหรือประสบทุกข์ มีอะไรผิดพลาดครูอาจารย์ท่านจะรับผิดชอบหมด เพราะท่านถือว่าเป็นเหมือนลูก ที่ได้เกิดออกมาจากท้อง จะต้องคุ้มครองภัยในทุกสารทิศ คอยแนะสอน คอยปกป้องตราบเท่าที่ท่านมีกําลัง ถ้าหากว่าเราไปเจอครูอาจารย์ที่ไม่ได้ขั้นดีเยี่ยมถึง
แค่นี้ ยกตัวอย่างเช่นองคุลิมาล เดิมทีเดียวชื่ออหิงสกะกุมาร เป็นเด็กดีมีความเคารพนบนอบ พ่อแม่รักใคร่เลี้ยง ดูอย่างดี เมื่อเห็นอายุสมควรจึงส่งไปศึกษาศิลปวิชาการกับ อาจารย์ พร้อมทั้งย้าให้ตั้งใจเล่าเรียน กลับมาแล้วจะได้ มาช่วยรับราชการแผ่นดิน อหิงสกะก็เชื่อฟัง แต่ความที่ เป็นคนดีมากเกินไป ขณะที่เรียนอยู่นั้นเพื่อนฝูงอิจฉา คิด หาหนทางทำลายอหิงสกะ ในที่สุดก็แบ่งกันเป็น โดยแต่ละกลุ่มจะเข้าไปหาอาจารย์ในเวลาต่างๆ กัน แต่จะ ไปพูดความเดียวกันว่า อหิงสกะคิดกำเริบเสิบสาน คิด ะตั้งตัวเป็นเจ้าสํานักแทน แล้วก็จะฆ่าอาจารย์เสีย แรกที่เข้าไปบอก โดนอาจารย์ดุตวาดออกมา
ต่อมาสักพักใหญ่ กลุ่มที่สองเข้าไปพูดในเรื่องเดียวกัน อาจารย์ก็เกิดความลังเลใจ และเริ่มสังเกตอหิงสกะมากขึ้น พบว่าอหิงสกะเก่งกล้า มีคนเคารพเลื่อมใสมาก จิตใจ อาจารย์เกิดความลำเอียงขึ้นมา เกิดความหวั่นไหวตาม คำบอกเล่าของศิษย์ เกิดความคิดว่าถ้าปล่อยอหิงสกะ ว้ต่อไปจะเป็นอันตราย แต่ยังไม่ได้ดำเนินการอะไร พอ ศิษย์กลุ่มที่สาม เข้ามาพูดในเรื่องเดียวกันอีก อาจารย์ ก็เชื่อหมดหัวใจ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ว่าอยู่ดีๆ ลูกศิษย์ จะมาพูดความเดียวกันได้ อาจารย์เลยคิดการกำจัด อหิงสกะเพราะกลัวว่าจะเป็นอันตรายแก่ตัวเอง จึงคิด อุบายเรียกอหิงสกะมาพบ บอกว่าวิชาความรู้ก็ถ่ายทอดให้ จนเกือบครบหมดแล้ว ยังเหลือแต่วิชาสุดท้ายวิชาหนึ่งซึ่ง วิชานี้ค่าขึ้นครูมีอยู่ว่า ต้องไปฆ่าคนได้พันคนจึงมีสิทธิ์ เรียนวิชานี้ได้
อหิงสกะมาจากตระกูลพราหมณ์ไม่เคยฆ่าคน ไม่เคยเบียดเบียนใคร อยู่ในศีลธรม จึงปฏิเสธไป แต่อาจารย์รู้จุดอ่อนของอหิงสกะว่าเป็นคนทีเชือฟังพ่อแม่ครูอาจารย์ก็ย้าถึงข้อนี่ให้อสิงสกะฟังว่า ตอนทีพ่อแม่อหิงสกะเอาตัวอหิงสกะมาฝากเรียนกับอาจารย์ ได้สังให้อหิงสกะ เชือฟังอาจารย์ เรียนวิชาให้เสร็จแล้วกลับไปบ้านเมือง โดยเร็ว เพื่อรับใช้ประเทศชาติ จุดนี้เองที่ทําให้อหิงสกะ คล้อยตาม จึงลาครูออกไปเพื่อฆ่าคนให้ครบหนึ่งพันคน ครูคิดชั่วคิดร้ายต่อเรา คิดแต่เพียง ว่าทำหน้าที่ของศิษย์ที่ดี เพื่อจะได้กลับไปรับใช้พ่อแม่ ถึงตอนที่อหิงสกะจะฆ่าคนที่หนึ่งพัน ก็ตกอยู่ในข่าย พระญาณของพระพุทธเจ้า เพราะคนที่อหิงสกะจะฆ่าคือ แม่ของอหิงสกะเอง ถ้าเป็นไปอย่างนั้นแล้ว จะทำให้จิตใจ ตกตําหยาบกระด้างมาก เพราะทําอนันตริยกรรมคือฆ่า แม่ตัวเอง พระพุทธเจ้าจึงเสด็จมาเสียก่อน เมื่ออหิงสกะ เห็นพระพุทธองค์ คิดจะฆ่าเพื่อให้ครบหนึ่งพันคน โดย ไม่สนใจว่าเป็นพระ ตะโกนเรียกให้พระพุทธเจ้าหยุด พระพุทธเจ้าตรัสว่า “เราหยุดแล้ว” อหิงสกะวิ่งตามก็ยังไม่ทัน จึงตะโกนต่อว่า “เป็น สมณะทําไมพูดความเท็จ ไม่มีสัจจะ เราวิ่งตามจนเหนื่อย ยังตามไม่ทัน แล้วบอกว่าหยุดแล้ว” พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า “เราหยุดแล้วจากการประหัต ประหาร” ตัวอหิงสกะเองยังเชื่อในคุณความดีของศีลธรรมอยู่ พอได้ยินคําพระพุทธเจ้าตรัสดังนั้น อหิงสกะก็ได้คิดทันที ทิ้งดาบ แล้วก้มลงกราบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรง
แสดงธรรมให้ฟัง จิตใจของอหิงสกะที่มีพื้นฐานของความ ดีอยู่แล้ว เมื่อได้ฟังสิ่งดีงาม เปรียบเสมือนดินที่มีปุ๋ยอยู่ แล้ว แต่บังเอิญแห้งแล้งขาดน้ำ พอมีฝนตกลงมา ก็ทำ ให้ดินที่แตกที่แห้งแล้งกลับชุ่มชื้น เป็นดินดีอย่างเดิม เมื่อเอาเมล็ดพืชคือคําสั่งสอนของพระพุทธเจ้าหว่าน ลงไปก็งอกงามขึ้นมาทันตาเห็น อหิงสกะจึงขอบวชกับ พระพุทธเจ้าเมื่อบวชแล้วก็ไม่ได้คิดกลับไปเพ่งโทษว่าครูอาจารย์ หลอกให้ฆ่าคน แกล้งให้ตกต่ำ แต่คิดระลึกในพระคุณเพราะครูสั่งให้เรามาทำอย่างนี้ เราจึงมาเจอกับ พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นอาจารย์ เหนืออาจารย์ขึ้นไปอีก บัดนี้เรา ได้มาเจออาจารย์ที่ดีงามแล้ว ก็ทุ่มเทสติปัญญาความสามารถ ทั้งหมดเชื่อฟัง ทําตามคำสั่งสอนของท่านสุดสติปัญญาความสามารถทั้งหมดเชื่อฟังในที่สุดอหิงสกะก็ได้สําเร็จเป็นพระอรหันต์จะเห็นว่าจิตใจคนแม้เราไปเจอครูอาจารย์ที่ไม่หวังดี ต่อเรา แต่ใจเรารู้จักกลั่นกรองเก็บเกี่ยวเอาแต่ส่วนที่เป็น ความดีงามมาคิต พิจารณาเลือกเอาแต่ส่วนดีมีประโยชน์ มาใช้ ก็เป็นพร เป็นวิชาความรู้ เป็นศาสตร์เป็นศิลป์ ทําให้เราเจริญรุ่งเรืองไปได้แบบองคุลีมาลหรืออหิงสกะ เป็นต้น
มีหลายคนถามครูว่า อาจารย์ไม่ใส่ใจหวังดีกับเรา เลย เพียงแค่สอนให้มีเงินเดือนแล้วก็ไปเรียนวิชาภาคค่ำ งานการก็ไม่เตรียมสอนเท่าที่ควร ทำไมจะต้องไปเคารพ ไปกตัญญูด้วย ความคิดอย่างนี้แสดงว่าใจเราขึ้นสนิม ไป เชื่อตามปางช่างยุ กิเลสในใจของเราเองที่เลี้ยมสอนให้ ยกตนข่มท่าน แล้วก็ไม่นึกถึงบุญคุณของใคร เพราะส่วน ที่เป็นบุญคุณถ้าเรานึกให้เป็นบุญคุณมันก็เป็นบุญคุณ ถ้าไม่มีใครมาสอน มาชี้แนะเราเลย หรือไม่มีใครมาทำ ตัวอย่างให้เราเห็นว่าความไม่ถูกต้องเป็นอย่างไร เราก็ ไม่รู้ การที่เราได้รู้โลกกว้างตามเป็นจริงทั้งสองฝั่ง รู้ทั้ง ขอบซ้ายและขอบขวา รู้จักระมัดระวังตัวเราให้อยู่ตรง ทางสายกลางที่พอดิบพอดีอย่างที่ พระพุทธเจ้าทรงสอน ให้เห็น เพราะสิบปากว่าก็ไม่เท่ากับตาเห็น สิบตาเห็น ก็ไม่เท่ากับลงมือทำ เหมือนพวกนักศึกษาที่จะจบไปเป็น เภสัชกรในอนาคต ถ้าไม่เคยลงมือทํายาขึ้นมาสักอย่าง หนึ่งเลย มีแต่วิชาความรู้แต่ไม่มีศิลปะ พอทําอะไรเข้า แล้วก็ไม่เข้าท่า
เพราะฉะนั้นการที่ฝึกจิตใจของเราให้เป็นจิตใจที่เหมาะสมจะรับทุกอย่างทีใครก็ตามแนะสอน ทำให้เรา เกิดสติปัญญาพินิจพิจารณาไตร่ตรองนำไปทำให้เกิด
ประโยชน์กับตัวเรา เกิดประโยชน์กับโลก เป็นของดี ทั้งนั้น ทุกอย่างเป็นครูอาจารย์เราได้ทั้งนั้น ฝ่ายดีก็ทำให้เราน้อมสิ่งนั้นเป็นปูชนียบุคคลที่เรา จะปฏิบัติตาม เป็นเหมือนกับแสงส่องทางให้เราเกิดความ หวัง เวลาที่เราทดท้อ เวลาที่เราคิดว่าในโลกนี้ไม่มีกําลังใจ เราจะได้นึกว่ามีครูอาจารย์ที่เป็นเหมือนกับแสงส่องทางให้ เราเกิดกําลังใจ เกิดความพากเพียร พยายามหมุนจักร ของอิทธิบาทสี่คือ ฉันทะ รักใคร่ศรัทธาในปูชนียบุคคล นั้น วิริยะ พากเพียร จิตตะ เอาจิตใจไปจดจ่อ และ วิมังสา พิจารณาไตร่ตรองที่จะเก็บเกี่ยวเอาสิ่งที่ดีที่งาม มาให้เป็นประโยชน์ แล้วเราก็สามารถผ่านพ้นวิกฤตนั้นได้ หรือก็สามารถทํางานการให้ได้ผลประโยชน์ดีงามเป็นที่ ชื่นใจของเรา ชื่นใจของผู้คนที่เกี่ยวข้อง ถ้าครูอาจารย์ของเราทําให้เราสะกิดใจ ใจเกิดทดท้อ เราก็น้อมนึกว่าดี เพราะถ้าท่านไม่เอาตัวของท่านมาเป็น ตัวอย่างให้เราได้เห็นว่า เวลาจิตใจคนเราเผลอไปตามสิง ไม่ดีไม่งาม มันสามารถทําให้จิตใจคนอื่นทุกข์เดือดร้อนได้ ถ้าไม่เคยพบอย่างนี้ เราก็จะไม่รู้ซึ้งว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว เราต้องระมัดระวังเราต้องมีน้ําใจเอื้ออารีอย่างไรบ้าง เราก็ เคารพ ท่านสอนให้เรารู้ว่าตรงนี้เราอย่าพลาดอย่าเผลอตัวไป เราจะได้ระมัดระวังไม่ไปเหยียบย่ำซ้ำเติม หรือทำให้ใครทุกข์เดือดร้อนด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ของเรา เราก็จะเป็นคนที่งดงามนุ่มนวล ทำอะไรก็จะ เอาใจเขามาใส่ใจเรา นอกจากจะมีวิชาความรู้แล้ว เรายังมีน้ําใจ มีเมตตา กรุณา มีพรหมวิหาร สิ่งเหล่านี้ทําให้ใจของเรางาม ละเมียดละไมยิ่งขึ้นไปอีก อันนี้ก็เป็นของดี ถ้าไม่ได้เห็น อย่างนั้นเราอาจไม่ระมัดระวัง ไม่ทำให้คุณภาพของเรา ดีงามถึงแค่นี้ก็ได้ ครูอาจารย์ท่านก็มีคุณกับเรา จะเห็นว่า ถ้าใจของเรารู้จักทิศทางที่ดีแล้ว อะไรๆ ก็อบรมจริยาให้เราได้ทั้งนั้น เพราะธรรมของพระพุทธเจ้า ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเวลาในชีวิตประจําวันของเรา ธรรมชาติทุกอย่างสอนเราได้ทั้งนั้น ทั้งความดี ความชั่ว อยู่แต่ว่าเราจะรู้จักหันทิศทางให้ถูกต้องได้แค่ไหนเพียงไร ความสําเร็จในชีวิตของนักศึกษาแต่ละคน ไม่ได้อยู่ที่ เกียรตินิยม ไม่ได้อยู่ที่เหรียญทอง หรือใบประกาศนียบัตร แต่อยู่ที่ใจอันนี้ ซึ่งมีสภาพเหมือนเหล็กกล้า เหล็กกล้า แม้จะมีคุณสมบัติอันดี ถ้าไม่ได้ผ่านการหล่อหลอมทุบตี จากนายช่าง ไม่ได้ถูกเผาไฟจนกระทั่งร้อนแดงแล้วเอาไป ทุบตีตกแต่งทําเป็นภาชนะ ก็ไม่มีคุณค่า ถ้าเราโชคดีได้
นายช่างชั้นเลิศตกแต่งเราก็สามารถเป็นภาชนะที่ดีมี คุณค่าเลิศ แต่ถึงเราจะไปได้นายช่างฝีมือรองลงมา แต่ ตัวเรารู้จักปรับรักษาคุณภาพของเราให้เป็นเหล็กกล้าชั้นดี เราก็สามารถทำให้ฝีมือของนายช่างที่ไม่ได้ดีเลิศนั้นเลือน หายไปด้วยกาลเวลา หรือการตกแต่งพื้นผิวเล็กๆ น้อยๆ จากความดีของเนื้อเหล็กเองได้
เพราะฉะนั้น ความสำเร็จในชีวิตของแต่ละคนไม่ได้ อยู่ที่ปริญญาบัตร หรือคะแนน หรือเกียรตินิยม แต่อยู่ ที่ใจว่า เราเปิดกว้างรับวิชาความรู้เราฝึกตนเองให้มีศิลป์ ในการทํางาน ให้มีน้ําใจ ที่จะไปมีมนุษยสัมพันธ์กับผู้คน ที่เกี่ยวข้องกับเรา จะอบรมตัวเราเองอย่างไร เพื่อเป็น ตัวอย่างให้คนใกล้ชิดเรา
ต่อไปเรามีครอบครัว ครอบครัวของเราจะได้ดูเราเอา ไว้เป็นแนวทาง แล้วเราก็ได้ความชื่นใจ เพราะสิ่งที่เรา ทำเอาไว้จะเป็นคําสั่งสอนหยังรกรากลงไปในจิตใจลูกเต้า และคนใกล้ชิดเรา แล้วงอกออกมาเป็นผลให้เราชื่นใจ แต่ถ้าเราโกงกับตัวเราเอง เราก็เป็นคนปลอม เพราะแม้ กระทั่งพ่อแม่ครูอาจารย์ของเรา เราก็ไม่เห็นในพระคุณ ของท่าน เราทำแต่เป็นเพียงพิธีกรรม เป็นกิริยา ในใจ ของเรามองไม่เห็น ไม่เข้าใจ ก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะ กิริยาของเราขณะเผลอตัวก็ทำอย่างที่ใจกระด้างพาให้ทำ ออกไป กลายเป็นแบบฉบับให้คนอื่นที่เฝ้าดูเรา ทำตามเรา เขาเลยไม่ทำตามที่ปากเราพูด เพราะเขารู้ว่าที่ปากเราพูด ไปนั้นเป็นแค่เพียงสัญญา มีวิชาท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด แต่ถ้าสิ่งอะไรที่เราประพฤติปฏิบัตีเป็นความรู้จริง เป็น แก่นอยู่ในอุปนิสัยของเราแล้ว มันจะทำให้เรางอกงาม ออกมาเป็นสิ่งนั้น ผลิดอกออกช่อมาเป็นพืชพันธุ์นั้น ครูหวังว่าสิ่งที่ครูพูดคุยให้ฟังในวันนี้ พอจะเป็นเครื่อง เตือนใจให้นักศึกษาทั้งหลายได้แลเห็นและได้ใช้เวลา 5 ปี ในสถานทีนี้ให้เกิดประโยชน์เต็มที่ เหมือนกับเราจะทํา สวนทำนาสักแปลง ใจของเราคือที่สวนที่นาแปลงนั้น เราเฟ้นเลือกเอาเมล็ดพันธุ์คือประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน ของเรา หว่านลงไปในแปลงให้มันงอกงามขึ้นมาเป็น สวนที่มีคุณค่า มีระเบียบ หรือในทางตรงข้ามเป็นสวนที่ รกรุงรัง เป็นพิษเป็นภัยต่อเราเอง เวลาเราเดินเข้าไปก็ถูก หนามเกี่ยว ถูกหญ้าคาบาด หรือเราจะชื่นใจกับมันเพราะ เป็นสวนที่มีต้นไม้มีดอกมีผลหอมหวาน เอาไปกินเอาไปใช้ ก็ได้ ดูเจริญตาเจริญใจ อันนี้เป็นสิทธิ์ของแต่ละบุคคล ที่จะเลือกทําให้กับตัวเอง
ในฐานะที่ครูเองเคยเป็นครูมา อยากจะขอฝากสิ่ง เหล่านี้เอาไว้เป็นพร และเป็นร่มที่ปกป้องชีวิตศิษย์ทุกคน ให้ประสบความผาสุกร่มเย็น สามารถนำพลังในชั่วชีวิต ไปทําคุณทำประโยชน์แก่ครอบครัว บุคคลรอบข้าง ตลอด ไปจนถึงประเทศชาติ และทุกหนทุกแห่งที่ไปสัมผัส เพื่อว่า ชั่วชีวิตนี้จะเป็นสิ่งที่เจ้าตัวเองมีความภาคภูมิพอใจ ความอิ่มเต็ม และมีความผาสุกร่มเย็น
พิมพ์โดย ปภัสสร มีพงษ์
แหล่างที่มา http://web.krisdika.go.th/buddha/24_thirdFavour.pdf
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น