Header Ads

วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

บทความหมออมรา คารวตา

บทความหมออมรา
คารวตา

ชื่อผู้เขียน       พญ อมรา มลิลา
วันที่              17 พฦษภาคม 2549
ณ                 ณ ห้องประชุมชั้น 2 ตึกวชิรญาณวงศ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
อันดับที่       
หมวด


              เรื่องที่จะปรารภสู่กันฟังในวันนี้ คือ เรื่อง คารวตา คารวตาหรือคารวะ หมายถึง ความเคารพ นั่นเอง ที่มาเป็นหัวข้อธรรมกลุ่มคารวตา เพราะพระพุทธองค์ทรงถือว่า สิ่งใดที่เราควรใส่ใจ เห็น เป็นสิ่งสำกัญ เราต้องประพฤติปฏิบติสิ่งนั้นด้วยใจ เอื้อเฟื้อ หนักแน่น เห็นในคุณค่า และปฏิบติต่อสิ่งนั้น หรือบุคคลนั้นอย่างจริงใจ จริงจังความจริงใจ จริงจัง ความมุ่งนั่นตั้งใจปฎิบ้ติ นั้น เราถือเป็นการแสดงความเคารพ ด้งนั้น เมื่อ เราพูดว่าเราเคารพสิ่งใด มีใจต่ออะไร ก็คือเราต้อง เอื้อเหื้เอ ใส่ใจสนใจ ปฎิป็ติต่อสิ่งนั้นด้วยความจริง ใจเติมใจ
ธรรมในหัวข้อคารวตานี้ มีอยู่ 6 ประการด้วย กัน คือ
1. สัตถุคารวตา ความเคารพในพระศาสดา คือพระพุทธเจ้า
2. ธัมมคารวตา ความเคารพในพระธรรม
3. สังฆคารวตา ความเคารพในพระสงฆ์
4. สิกขาดารวตา ความเคารพในการศึกษา
5. อัปบ่มาทดารวตา ความเคารพในความไม่ ประมาท
6. ปฏิสันถารดารวตา ความเคารพในปฏิสันถาร
ทั้ง 6 ประการนี้คือสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอนแล้วเราจะใส่ใจ สนใจ มุ่งมั่น เอาใจของเราไปเอื้อเฟื้อต่อแต่ละหัวข้อทั้งหกนอย่างใรสัตถุคารวตา การเคารพในพระศาสดาหรือพระพุทธเจ้านั้น จะเห็นว่า ในการทำวัตรเย็นอย่างครบถ้วน ในท้ายบทพุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณมีบทสวด กาเยนะ กรรมน่าติเตียนกันใดที่ข้าพเจ้ากระทำแล้วในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม และในพระ สงฆ์ขอพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์จึงงดซึ่งโทษล่วงเกินอันนั้นครั้งแรกที่สวดก็นึกสงสัยไปว่าเราจะไปล่วงเกินพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ได้อย่างไร เพราะเรากราบไหว้และบอกตัวเอง อยู่ว่าเราเคารพไนพระรัตนดรัย ใจฃองเราที่สติยัง ไม่คมซัดพอ เรากิว่าเราเคารพแล้วท่านพระอาจารย์สิงห์ทองมักค่อนว่าพวกเรา ว่า ศิษย์พวกนี้เหมือนลิงหลอกเจ้า ปากกิว่าเคารพ ..เคารพ แต่ประเคี้ยวๆ ก็ทำกิริยาเหมือนล้อเลียน อวดรู้เกินครู เราก็นึกไม่ออกว่าเราไปทำอย่างนั้น ได้อย่างไร แต่เมื่อท่านบอก เราก็กราบขอขมาโทษ ท่าน ทั้งๆ ที่โทษที่กระทำลงไปนั้น ใจเรากิยังไม่รู้ไม่ เห็น แต่ก็ยีนยันว่าสติของเรามี ต่อเมื่อปฎิบติไปๆ สติค่อยๆ พัฒนาขึ้น กิได้เห็นว่า ที่ท่านอาจารย์พูด นั้นเป็นความจริงเหมือนตัวอย่างสมัยที่ยังรักษาคนไข้ มีพระ มาตรวจ แล้วพบว่าท่านเป็นโรคกระเพาะ เพราะ ท่านไม่ได้ปฏิบัติศีลสมาธิป็ญฌูาตามที่พระพุทธองค์ ทรงสอน ไม่ประกอบการงานของพระ ปล่อยจิตใจ วันทั้งวัน ให้ซัดส่ายฟุ้งปรุง มีนิวรณ์กลุ้มรุม เหมือน พวกเราๆ ที่เป็นโรดกระเพาะนี่แหละ
ทีนี้ความที่เราไม่เคยปฎิยัติ ไม่เคยรู้ตามเป็น จริง แต่ก็นึกว่า เราเข้าใจเรื่องของพระพุทธ พระ ธรรม และพระสงฆ์แล้ว เมื่อพบเห็นพระที่เป็นโรค กระเพาะ ก็ทึกทักเอาตามตำราว่า เพราะกระเพาะ ว่างมากเกินไป พระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้พระ ฉันอาหารเย็น ท่านจึงเป็นโรคกระเพาะด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ด้วยอวิชชาที่เรา ไม่เคยปฏิบ้ติ ไม่รู้ว่าสมมติสงฆ์ที่ไม่เจริญสติรักษา ใจให้สงบต่างหาก ที่เป็นสาเหตุของโรคกระเพาะ เราจึงไปล่วงเกินในพระพุทธเจ้า ล่วงเกินแล้วก็ยัง ไม่รู้ว่านี่แหละคือการล่วงเกินท่าน เราไม่เคารพท่าน จริง เพราะศรัทธาของเรายังย่อหย่อนอย่างยิ่งเมื่อเราเริ่มด้นปฎิบัติ สิ่งที่เป็นกำลังให้การ ปฏิบัติก้าวหน้าไปไต้สมาเสมอ คือ อินทรีย์ 5 หรือ พละ 5 หนึ่งในอินทรีย์ 5 นี้ ก็คือศรัทธา เราจะ ต้องศรัทธาว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัส ถึงเรายังไม่รู้ ยังไม่เข้าใจ ก็ต้องลงมือทำให้เห็นจริง ก่อนจะสรุป
ตามใจของเราพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบัญญัติให้เฉพาะพระทื่อดอาหารเย็น ใครที่จะรักษาอุโบสถศีล คือ ศีล 8 หลังจากเที่ยงวันไปแล้วถือเป็นเวลาวิกาล จะไม่ให้อาหารล่วงลงไปสู่ท้อง จนกระทั่งถึงวันใหม่ จึงจะบริโภคอาหารได้เมื่อได้ไปปฏิบ้ติกับท่านอาจารย์ เริ่มรู้ เริ่ม เข้าใจถกต้อง เราไฝได้อดแค่มื้อเย็น เราเกิดมีกำลัง ใจเข้มแข็งว่า พระพุทธเจ้าทรงอดพระกระยาหารได้ เป็นเดือนๆครูบาอาจารย์ทั้งหลายเมื่อท่านจะเร่งความเพียร ถ้าหนังท้องตึง หนังตาก็หย่อนเพราะฉะนั้น ท่านจะอดอาหารเพื่อให้การปฏิบัติก้าวหน้า เมื่อเรามีกำลังใจเข้มแข็งดี กล้าลองอดดูบ้าง ก็พบว่าถ้าใจของเราเสมอต้นเสมอปลาย คอยเอาสติจ่อดูใจมันจะไม่หัวเลย จะไม่รู้สึกว่าเราไฝได้กินข้าว วันหนึ่งแล้ว 2 วันแล้ว มันจะอยู่สบายๆ เป็นบ้จจุบัน ขณะเราจึงได้รู้ว่าของทุกอย่าง ถ้าไม่เอาตัวเองไป ทดลองทำ ได้แต่ศึกษาโดยอ่านเอาตามตำราเฉยๆ เราจะไม่มีวันรู้จริง แล้วยังเอาความโง่เซ่อของเราที่หลงว่าเรารู้รอบหมดแล้วไปวิพากษ์วิจารณ์ ก็กลาย เป็นไปล่วงเก็นท่านโดยที่ไม่รู้ตัว แล้วสิ่งนี้ก็จะเป็นพิษเป็นภัยกับตัวเราเองทำให้ต่อไปๆ ใครที่ไหนจะเอื้อเพื่อสั่งสอนเรา เขาก็นึก เด็กคนนี้อวดรู้อวดดี ปล่อยมันไปตกเหวตกบ่อแข้งขาหักให้เจ็บเสียบ้างจะได้จำได้เอง เราก็เลยแย่ ปิดกั้นหนทางของตัวเอง เมื่อปฎิบัติไป จิตใจของเราละเอียดขึ้นจิตใจ เริ่มเป็นธรรมมากขึ้น เราจึงได้เห็นว่า ที่ท่านสอนว่า ความเคารพในพระศาสดาสัมมาส้มพุทธเจ้านั้นไม่ใช่ เรื่องเล็กเรื่องน้อย แล้วไม่ใช่ว่าฉันเป็นขาวพุทธ มี พระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง เป็นสรณะแล้วฉันจะไปล่วงเกินท่านได้อย่างไร เราก็พูดไปแต่ปาก แต่ถ้าเอาสติตามดเราดีๆ เราได้ ล่วงเกินท่านอยู่แทบทุกลมหายใจเข้าออกที่ดีฉันพูดนี้ยังคร่าวๆ อยู่ ต่อๆ ไปเราทุกข์ เดือดร้อน เราก็ไปวัดไปทำบุญ แต่ไม่ได้ไปทำบุญ จริงๆ ไม่ได้ไปเพื่อไตร่ตรองตามคำสอนของพระ พุทธเจ้าว่าของทุกอย่างนั้นมาแต่เหตุ ถ้าเราอยาก ได้ใคร่ดีอะไร เราก็ต้องประกอบเหตุอย่างนั้นให้
มากเข้าไว้ แต่ก็ไม่เป็นเซ่นนั้น ไปถึงเราก็ไปกราบ พระ ติดสินบนท่าน เจ้าประคู้น.. หลวงพ่อ เขาว่า ศักดี่สิทธิ้ คนโน้นมาขอให้หายป่วยก็หาย มาขอให้ หนี้หมดก็หนี้หมด เราก็มาขอของเราบ้างครั้นกลับ ไปแล้ว ก็ไม่ได้ขวนขวายทำสิ่งที่เป็นคุณงามความดี ทำสิ่งที่เป็นเหตุให้คำขอของเราบังเกิดเป็นผลสำเร็จ ยังคงประพฤติตามนิลัยเดิมๆเมื่อสิ่งที่ติงาม สิ่งที่คาดหวังไว้ไม่บังเกิด เราก็จัดแจง.. พระไม่ศักดิ้สิทธิ์ จริง..เราเป็นเสียอย่างนี้ เพราะใจของเรา ตราบ เท่าที่เราไม่เอาสติไว้ยับใจของเรา เรื่องความ
เคารพในสิ่งทั้งหลายนั้งปวงนี้มันจะเหมือนลิงหลอกเจ้า ขณะอยู่ต่อหน้าก็ว่าเคารพ แต่พอเผลอออกมา สักนิดลักหน่อย ประเดี๋ยวก็คิดล่วงเกินไปเรื่อยๆหลวงพ่อชาท่านเปรียบเทียบใจของพวกเรา ไว้ว่า เหมือนเขาเอาผ้ามาย้อมสี เราดูว่าผ้าของเขา สิสวยก็จัดแจงไปซื้อสีมาย้อมบ้างเราเห็นเขาปฏิบัติได้ดี เราก็จัตแจงไปวัดบ้าง ไปซื้อหนังสือ ธัมมะมาอ่านบ้าง นี่คีอสีย้อมผ้าจิตใจเราก็คือผ้า แต่เราไม่ถามก่อนว่า วิธีที่จะเอาผ้าไปย้อมสีนั้น ทำอย่างไร เขาต้องซักผ้าให้สะอาดเสียก่อนแล้วจึงจะเอา ไปย้อม แต่เราเอาผ้าของเราเปื่อนผงขี้ฝุ่น เลอะเทอะไปหมดมาจัดแจงย้อมเลย แล้วมันออกมา เป็นอย่างไรหลวงพ่อซาท่านบอกว่า มันก็ออกมากระดำกระด่างน่าเกลียดยิ่งกว่าเดิมไปอีก แล้วเราก็ไปโทษ คนขายสีย้อมผ้าว่าหลอกเอาสีปลอมๆ มาขายให้เราหรือโทษว่าคนที่บอกเราคงแอบทำวิธีอื่น ไม่ได้ทำ อย่างที่บอกเรา
ใจของเราที่มีแต่สิ่งที่ไม่ดีไม่งาม มีแต่ความ ระแวง เพราะตัวเราไม่เคยซื่อตรงต่อตัวเราเองหรือ ต่อคนอื่น เรามักบอกเฉไฉบ่ายเบนไป เพราะฉะนั้น เมื่อทำอะไรแล้วไม่ได้ผลอย่างที่เราต้องการ แทน ที่จะมาด้นหาดูตัวเราเฮงก่อนว่า เราผิดตรงไหน เราไม่รอบคอบตรงไหน เพื่อจะได้เว่าเหตุเป็นเพราะ เราไม่ถามให้ละเอียดถี่ถ้วน ฉะนั้นจึงต้องแก้ไขที่ ตัวเรา แต่เรากลับกล่าวโทษคนอื่นเลย ว่าเขาคงจะ หลอกลวงเรา เขาดงจะหวงแหนวิชา กลัวว่าเราทำ แล้วจะได้ดีกว่าเขา เพราะฉะนั้น ใจเราจึงเป็นใจที่ ยกตนข่มท่าน
แล้วเราก็ไม่มีความเคารพในสิ่งที่ควรเคารพ แต่ปากประกาศว่าเราเคารพ เห็นไหม เราสวด
มนต์ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คาฉามิ สังฆังสรณัง คัจฉามิ สวดอยู่ทุกวนเลย เหมือน กับนกแก้ว นกแก้วมีนพูดได้สารพัดสารพัน แต่ถาม ความหมายแล้ว มันไม่รู้เรื่องหรอกเราก็เหมือนนกแก้วไม่มีผิดเลยแต่ถ้าใครมาว่าเราอย่างนี้ เราโกรธแทบจะควักลูกตาเขาออกมาได้เลย..ดถูกดูหมิ่น นํ้าใจเรา นั้น แต่ถ้าเราเอาสดีไปเฝืามองเราเองจริงๆ จะพบว่าเราเป็นทำนองนั้นไม่มีผิดเพี้ยนเลยหรือวิธีการเคารพของเรา ก็เหมือนกับสมัย ที่สัตว์กับคนพูดกันรู้เรื่อง ก็มีเจ้าของสวนแห่งหนี่ง มีกิจธุระจะต้องเข้าไปทำในเมือง เขาก็เป็นกังวลว่า แล้วใครจะมารดนํ้าต้นไม้ในสานให้ได้ระหว่างที่เขา ไม่อยู่หัวหน้าลิงก็ขันอาสาว่า ท่านไม่ต้องกังวลขอให้สั่งว่าจะให้รดนํ้าซุ่มแค่ไหน จะได้พาลูกน้อง มารดนํ้าให้ทุกวัน รับรอง กลับมานี่ต้นไม้จะสดใสดีไม่ขาดนํ้าเป็นอันขาดเจ้าของสวนก็รดนํ้าให้ลิงดู..เอาชุ่มแค่นี้นะ สิงก็ เข้าใจ..เข้าใจไม่ต้องห่วง ถึง จะไปสักอาทิตย์หนึ่ง กลับมาก็รับรองได้ว่าทุกอย่าง เรียบร้อยดีแน่นอนด้วยความที่หัวหน้าลิงมีความตั้งใจดีมาก เมื่อ เจ้าของสวนไปแล้ว มันก็รดนํ้าให้ลูกน้องลิงดู แต่ทีนี้ไม่แน่ใจว่ารดนํ้าแค่นี้แล้วจะชุ่มเท่าเจ้าของสวน หรือเปล่า มันก็เลยดึงต้นไม้ขึ้นมาลูว่า นํ้าที่รดนั้น ชุ่มลงไปถึงรากแค่ไหน ต้องให้ชุ่มเท่ากัน ว่าแล้วมัน ก็ให้ลูกน้องดูว่า นี่นะ นํ้าต้องชุ่มแค่นี้นะ แล้วมันก็ ปักต้นไม้กลับลงดินไปใหม่ ตกลงลูกน้องทุกตัวก็ ไปรดนํ้าต้นไม้พอรดเสร็จก็ดืงต้นไม้ขึ้นมาตรวจดูว่าชุ่มแค่นี้ๆ ใช้ไต้แล้ว แล้วมันก็เสียบกลับลงไปใหม่ ตกลงมันรดนํ้าอย่างนี้ทุกวันๆเมื่อเจ้าของสวนกลับมา ดูสวนก็ชุ่มขึ้นดี แต่ ทำไมต้นไม้เฉาลงๆ ใบเหี่ยวแห้งร่วงหล่น ก็มันถก ดึงจนรากขาดแล้วเอาปักกลับลงไปใหม่ลิงตั้งใจรดนํ้าจริงดินก็ลูชุ่มขึ้นดีแต่ความแสนร้ของมันทำเอาต้นไม้ตายหมดทุกต้นเลยความเคารพของเรากับความตั้งใจจริงของลิง ก็ทำนองเดียวกันกับลิงตั้งใจช่วยเจ้าของสวนรดนํ้า ตันไม้ เราอย่าไปนึกขบขัน ตัวเราเองทุกคน ด้วย อวิชชาที่ครอบงำอยู่ในใจ ก็เป็นไปในทำนองนี้ เรา จึงตัองจดจ่อดูเรา ขณะที่ครูบาอาจารย์ก็ติดตามคุม อย่างใกล้ชิด คอยรักษาไม้ให้เราตกห้วยตกเหวไปเมื่อดิฉันเข้าไปฝึกปฎิบติที่วัดป่าแก้วก็เทียบ ท่านพระอาจารย์สิงห์ทองว่าฟานคือองค์แทนของ พระพุทธเจ้า เราไม่มีบุญวาสนาได้เห็นพระพุทธเจ้า ทันขณะที่ท่านยังมีพระชนม์ชีพอยู่ ท่านอาจารย์ก็ ฝึกปฏิบดองค์ท่านมาตามคำสั่งสอนของพระส้มมา ส้มพุทธเจ้าเพราะฉะนั้น เราจะไม้มองท่านเป็นบุคคลตัวตนอย่างเรา แต่มองท่านเป็นแท่งธรรม เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระธรรม และเป็นพระสงฆ์รวมอยู่ตรงนี้ขนาดเราบอกตัวเอง ปรามตัวเองไว้อย่างนี้ ว่า เรากราบพระพุทธรูปกับกราบท่านอาจารย์นี่ต้อง เหมือนกัน ต้องไม้มีข้อแตกต่างแต่เวลาถูกท่านอาจารย์ดกิเลสเรา เป็นตันว่า เราถกกิเลสประทับทรงยุให้รำตำให้รั่วว่า ท่านอาจารย์ไม่เห็นหรอกน่า ฃอ แอบทำตามกิเลสสักนิด ขอเวลาเว้นวรรคสักหน่อย ท่านอาจารย์ก็จะเปรยว่า.. คนเรานี่ จะต้องมีความ นับถือตัวเอง..หรือว่าเราแอบนินทาท่านอาจารย์ว่า เข้าวัด ท่านอาจารย์เหมีอนเข้าโรงเรียนตัดสันดาน เพราะมี ลูกศิษย์คนหนึ่งเธอชื่นชมว่า ท่านอาจารย์เจ้าขา อยู่ วัดท่านอาจารย์นี่เหมือนอย่างกับขึ้นสวรรค์ว่าจะ
นั่งสมาธิแค่ประเดี๋ยวเดียว ปรากฏว่าเช้ามืดเสียแล้ว เวลาเหมือนกับติดปีกบิน เธอเลยรู้สึกเหมือนอยู่บน สวรรค์ แต่กับเรานี่ รู้สึกว่าท่านควบคุมเราเหมือน อย่างกับเราเป็นนักโทษในโรงเรียนตัดสันดานพอท่านถามเราว่า ไง.. เขาว่าวัดเราเหมือน สวรรค์ ศิษย์ว่าอย่างไร ดิฉันก็ไม่ยอมเสียโอกาส.. ท่านอาจารย์เจ้าขา วัดของท่านอาจารย์นี่เหมือน โรงเรียนตัดสันดานเจ้าค่ะ ใจก็เหน็บแนมต่อ.. แล้ว ท่านอาจารย์น่ะคือผู้คุมโรงเรียนตัดสันดานท่านอาจารย์ก็ทำเป็นตกหลุมเรา อือ.. ศิษย์มี สติดีมาก ใครคนไหนเห็นวัดเป็นโรงเรียนดัดสันดาน
นี่จะได้ดิบได้ดี กิเลสต้องเสร็จเราหมดแล้วรู้ไหมใครเป็นผู้คุมโรงเรียนดัดสันดาน.. ตัวเจ้าของเอง ศิษย์แต่ละคนนั่นแหละ ต้องเป็นผู้คุมโรงเรียนดัด สันดาน กิเลสจะ ได้โผล่หัวไม่ขึ้นเลย เพราะตัวเรา กับใจเราหันอยู่ด้วยกัน นี่ถ้าหากอาจารย์เป็นผู้คุม โรงเรียนดัดสันดาน กิเลสยังมีเวลา.. นี่ อาจารย์ ไม่อยู่ที่กุฏิ.. อาจารย์นอนหลับ.. มีเวลาที่กิเลสจะ มาหลอกมาประทับทรงเราให้เลอะเทอะได้ฉะนั้นจำไว้นะ วัดคือโรงเรียนดัดสันดาน แล้วตัวศิษย์เอง นั่นแหละต้องเป็นผู้คุมโรงเรียนดัดสันดาน
เราก็แค้นท่านว่าท่านอาจารย์นี่ร้ายกาจ แทน ที่จะเห็นว่ากิเลสเรานั่นแหละร้ายกาจ หันต้องถูก ขนาบอย่างนี้หันถึงจะได้ดิบใด้ดี ตอนเริ่มแรกนี่สติ ยังย่อหย่อน ปัญญายังไม่ได้เรื่อง ไม่ว่าเรื่องอะไรๆ ที่ท่านสอนเรา ซึ่งล้วนแต่เรื่องดีงามทั้งนั้น เราก็ เห็นไปว่า ท่านอาจารย์นี่เกินเหตุเกินผล เพ่งแต่โทษ เรา พระพุทธเจ้าท่านไม่เป็นอย่างนี้หรอกถ้าพักไหนที่กิเลสสำแดงฤทธี่มากๆ หันก็บอกให้เราตัดแจง พจารณาเสียใหม่ว่าจะอยู่ปฏิบตต่อไปหรือจะกราบลากลับบ้าน มันเป็นอย่างนี้เพราะฉะนั้น ความเคารพในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ จึงเตลิด เป็ดเป็ง ถลอกปอกเป็กกันทุกวี่ทุกวันเมื่อปฏิบติไป ปฏิบติไป สติเราดีขึ้น เวลา ใจเราไปนึกล่วงเกนท่านอย่างนั้น สติจะมาห้ามล้อ นี่..กิเลสกำลังประทับทรง นี่ไงที่ท่านอาจารย์ว่าเรา ต้องเป็นผู้คุมโรงเรียนดัดสันดานมันถึงจะเด็ดขาด เมื่อสติแข็งแรงขึ้นมาแล้ว เห็นที่ผิดที่บกพร่องของ ตัวเองแล้ว จึงเข้าใจได้ว่าทำไมเราจึงต้องขอขมา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ทุกวันอย่างนั้น ก็เพื่อเตือนสติของเรา เพราะเราไฝเห็นหรอก ทำไป จนเรียบร้อยก็ยังไม่รู้ด้วยซํ้า
ท่านอาจารย์สิงห์ทองท่านค่อนว่าดิฉันเอาไว้ ศิษย์ชอบเถลไถลเป็นที่สุดเลย ดีฉันกิว่า ตั้งแต่เป็น ตัวเป็นตนมา สมัยอยู่เมืองนอกเมื่อไปทำปริญญา เอกก็ว่าถูกอาจารย์ที่ปรึกษาเคี่ยวเข็ญยิ่งกว่าขุนทาส ก็ยังสบายกว่าถูกท่านอาจารย์เคี่ยวเข็ญ ในชีวิตเกิด มานี่ ไม่เคยเลยที่จะขยันสุดขีดสุดแดนเท่ากับเวลา อยู่ในวัด แล้วท่านกังบอกว่าเราเถลไถลอีกดิฉัน ก็มีความรู้สึกว่าท่านอาจารย์เกินไปแล้ววันหนึ่ง ท่านกิมาว่าอย่างนี้ใส่หน้าดิฉันก็เปรียบเทียบให้ท่านฟังว่า ท่านอาจารย์เจ้าคะ เรานัด กันไว้ที่ท้องสนามหลวง แล้วตอนนี้มันเพิ่งเป็นเวลา สายๆ ศิษย์อยู่แถวบางลำภูแล้วนะเจ้าคะ วันนี้ก่อน พระอาทิตย์ตกดิน ศิษย์มาพบกับท่านอาจารย์ตาม นัดที่ท้องสนามหลวงนี่แน่นอน
ท่านอาจารย์ล้งเล้ง ศิษย์บอกศิษย์อยู่ที่บาง ลำภูหรือ อาจารย์เห็นศิษย์อยู่ที่เมืองตราดนั่นแน่ะ แล้วไม่ได้หันหน้ามุ่งเข้ากรุงเทพฯ นะ นี่กำลังดิ่งลง อ่าวไทย เตลิดเปิดเปิงไปโน่นแน่ะ
ดิฉันก็นึก.. เรานี่เลอะเทอะเสียจนประมาณ หนทางเราไม่ถูกจรีงๆ เชียวหรือ ว่าเราอยู่บางลำภู จริงๆ นะนี่ แล้วเราก็มองไม่เห็นอย่างทีท่านอาจารย์ท้วงติงนั้นจนกระทั่งเมื่อท่านอาจารย์เรือบินตก มรณภาพไปอีกปีกว่าๆ ถึงได้สติว่า ที่เราไม้กับท่าน อาจารย์ว่าเราอยู่บางลำภูแล้ว ใช่.. เราอยู่บางลำภู แล้ว แต่บางครั้งที่เราปฎิบติแล้วสติเราก็ย่อหย่อน ไป เราก็ว่าเราจะเดินจากบางลำภูมาท้องสนามหลวง
แต่เราตีทิศผิด เดินจากบางลำภูหันไปทางพระบรม รูปทรงม้าบ้าง ไปตรงโน้นบ้าง ตรงนี้บ้าง การเจริญเสื่อมเจริญเสื่อมของเรานี่ เราไม่เคยมองว่าม้นกิน เวลาไปอีกเท่าไร
เมื่อท่านอาจารย์มรณภาพไปแล้ว บางช่วงที่ เราเห็นว่าสติเราย่อหย่อนไปหน่อยหนี่ง เรานึกว่า เราอยู่ตรงบางลำภู ความจริง.. โน่น เราเพ้อไปถึง ตรงไหนแล้ว เสียงท่านก็ดังขี้นในใจเราว่า.. นี่ศิษย์ ถึงเมืองตราดแล้วนะ แล้วยังจะลงอ่าวไทยไปด้วย เราก็เลยได้สติว่า พอท่านอาจารย์ไม่อยู่แล้ว นี่มัน ไม่ได้อยู่เพียงแค่อ่าวไทยนะ มันทะลุมหาสมุทรไป อย่างไรไม่รู้ละ ไปอยู่ถึงแอตแลนติกโน่น แล้วหา ทางกลับก็ไม่ถูกแล้วบางสิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านเตือนเรานี่ ท่าน ต้องการให้เราศิตไตร่ตรองให้ได้บ้ญญาเอง เพราะถ้าท่านมาจับมือเราให้บ่นทีละตัว ๆ เราก็อาจทำได้เร็ว เสร็จไปเป็นเรื่องๆ แต่มันเป็นสัญญา ต่อไปเราไป เจอป้ญหานี้อีก เราก็ซื่อบื้ออีก แล้วก็ผิดพลาดซํ้าอีก เพราะฉะนั้น ครูบาอาจารย์ท่านจึงให้เวลาเราไม่มี
ประมาณ รอคอยด้ายความอดทนไม่เหมือนพวกเราที่เป็นครู เอาแต่จะบีบจมูก กรอกยาลูกศิษย์ แล้วก็ขู่สำทับให้กลืนลงไป.. กลืน.. นี่ยานะหากลูกศิษย์สำลัก หรือคิดเคียดแค้นว่าเราจะไปฆ่าเขาให้ตายนี่ เราก็ดีเขาซํ้าอีกทันถึงเป็นเวรเป็นภยต่อกัน แต่ครูบาอาจารย์ท่านรู้ว่า ถ้า ใจยังไม่ตื่น ใจยังละเมออยู่ ก็ต้องปล่อยให้ละเม อไป อย่าไปบีบจมูกกรอกยาเข้าไปเป็นอันขาดทันจะกลายเป็นเรื่องให้เขาทับแค้นใจว่าเราไปทำร้ายเขา ทั้งเช่นพระพุทธเจ้าเอง สมัยที่ท่านเป็นพ่อค้า วัวต่าง ท่านซื้อสินค้าจากเมืองนี้ใปขายเมืองโน้น แล้วเอาสินค้าจากเมืองโน้นมาขายเมืองนี้ วันหนี่ง ขบวนวัวของท่านก็ตามมากับพวกเพื่อนที่ไปค้าขาย ด้วยอัน ขณะกลับจวนจะถึงบ้านอยู่แล้ว วัวของท่านหิวนํ้า ทันก็จะหยุดกินนํ้า ท่านก็คิดด้วยความหวังดี ว่า อีกประเดี๋ยวก็จะถึงบ้านเราแล้ว นํ้าที่จะหยุดกิน นี่ ทันถูกล้อเกวียนเล่มอื่นๆ กวนขุ่นเป็นขี๋โคลน ขี้ตม จะไปกินน้ำขี้โคลนทำไมกัน กลับไปกินนํ้าบ้าน เราดีกว่า
ท่านก็นึกว่าวัวจะเข้าใจอย่างท่าน จึงไม่ยอม ให้วัวหยุด ไปต่อจนกึงบ้านแล้วจึงเอานํ้าให้
แต่วัวกำลังกระหายนํ้ามากก็เลยน้อยใจว่า ดูทีหรือเรานี่จงรักภักดี ไม่เคยเกเรเถลไถลเลย คราว นี้เราหิวนี้าจนคอแห้งเป็นผง จะขอหยุดกินนํ้านิดเดียวท่านก็ไม่เห็นแก่ความกระหายของเรา ให้เราวิ่งไปจนถึงบ้าน จะให้เราหิวนี้าจนขาดใจตายหรือ อย่างไรด้วยบุพกรรมนี้ที่ติดตามมาในพระชาติที่ท่านมาเป็นพระสัมมาลัมพุทธเจ้า ขณะที่ท่านจะ ปรืน้พพาน หลังจากเสวยเห็ดสุกรมทวะเข้าไป แล้ว ท่านมีไข้สูง ท้องเดิน กระหายนํ้ามาก สมัยนี้น้ เมื่อ จะลันนี้า พระก็เอาบาตรไปตักนํ้ามาถวาย..พระ
พุทธองค์ตรัสให้พระอานนท์เอาบาตรไปตักนํ้าทีแม่นํ้า มาถวาย ด้วยบุพกรรมอันนี้ เมื่อพระอานนท์ไปจะ ตักนํ้า นี้าที่ใสๆ อยู่ก็ขุ่นขึ้นมา พระอานนท์จึงยังไม่ ตัก เพราะจะเอามาถวายพระพุทธเจ้า ก็รอให้นี้าใส เสียก่อน เมื่อนํ้าใสพระอานนท์เอาบาตรไปจะตัก นํ้าก็กลับข่นขึ้นมาอีก เป็นอยู่ดังนี้
พระพุทธเจ้าทรงกระหายนามากจากที่ท้อง เดินและไข้สูง ทรงให้คนไปตามพระอานนท์ว่าเอานํ้า มาเถิด พระอานนท์ก็ทูลว่านํ้ายังขุ่นอยู่ พระพุทธ องค์จึงตรัสว่า ขุ่นก็ตักมาเถิด มันเป็นเพราะบุพกรรมของเราเองพระอานนท์จึงตักมาทั้งที่เห็นยังขุ่นๆอยู่ แต่เมื่อตักขึ้นมาจริงๆ นํ้าก็ใสเรื่องนี้สอนให้เราเห็นว่า อะไรที่เราทำเอาไว้ ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ขนาดมาเป็นพระสัมมา ส้มพุทธเจ้าแล้วก็ยังมาตามให้เราต้องชดใช้พระพุทธเจ้าจึงทรงเตือนเราว่า เราจะต้องมีใจหนักแน่น จริงจัง แล้วก็ปฏิบติด้วยใจที่เคารพเอื้อเฟ้อ เดิมใจ ตั้งใจ ใน 6 สิ่งเหล่านี้เข้าใจอย่างนี้แล้วเมื่อเราขอขมาทุกเย็นขณะทำวัตรเย็น ใจเราก็เบาขึ้น เราตั้งสติเอาไว้ว่า แต่นี้ต่อไปเราจะไม่ประมาทล่วงเกิน สัมมาทิฐิที่ยัง ไม่เป็นสัมมาทิฐิแท้ ยังมีอวิชชาแทรกอยู่ ก็ต้องได้ ล่วงเกินกันอีกจนได้แล้วเราก็ต้องมาเรียนรู้จากความผิดพลาด มันกิจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เมื่อ เราปฏิยัตืต่อเนื่องเรื่อยโป เราอย่าเดารพเพียงพระ
พุทธเจ้าที่เป็นองค์พระพุทธเจ้าที่ปรินิพพานไปแล้ว หรือพระพุทธรูปที่เราไปกราบตามวัด ตามที่ต่างๆ เท่านั้น ให้เราย้อนมาระลึกถึงพระพุทธเจ้าภายในด้วย ซึ่งไม่ใช่วัตถุสิ่งของข้างนอกพระพุทธเจ้าภายในคืออะไร คือพุทธะ คือใจ ของเรา ที่รู้ ตื่น เบิกบานทำอย่างไรเราจึงจะเคารพเอื้อเหื้เอต่อพุทธะองค์นี้ ที่เป็นใจของเรานี้แล้วก็ทำวัดภายในของ
เราให้ลว่างไลว ให้สมควรแก่การสักการะบูชาด้วย ความเคารพ แทนที่จะปล่อยปละละเลยให้รกรุงรัง ให้มีแต่กิเลสคอยชักจูงให้เผลอสติ ประเดี๋ยวก็ใยแมงมุมขึ้น เดี๋ยวก็เป็นอย่างโน้นอย่างนี้ เราก็นึกเอา ไว้ เมื่อไรที่เราเคารพพุทธะ พระพุทธองค์ภายในใจ เรานี้ เราจะต้องเอาสติขึงไว้ อย่าให้เกิดขาดวรรค ขาดตอนถ้าเพียรพยายามอยู่อย่างนี้ ก็เท่ากับเราดูแล ทำความสะอาด ปัดใยแมงมุมปัดฃื้ผุ่เนขี้ผงทั้งหลาย ที่จะมาทำความรุงรังสกปรกให้กับพระพุทธเจ้าองค์ ภายใน ถ้าทำอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ การปฏิปติของเรา
ก็จะสมาเสมอ เจริญก้าวหน้าเมื่อไหร่ที่ใจของเราเป็นปัจจุบน ไม่ชัดส่าย สงบ เอยู่ ก็เท่ากับพุทธะ ส่องแสงและแผ่เมดตาให้เราอยู่ ถ้าเราปฎิบติอย่างนี้ เคารพอย่างนี้ ปฏิปทาของเราจะมั่นคงแข็งแรงขึ้น โดยลำดับธัมมคารวฅา คืออย่างไรนอกจากการมากาเยนะ กันทุกค่ำคืนแล้ว เมื่อใดที่มีปัญหามากระทบ ใจของเรา แล้วเราจ่อสติเพ่งดูข้อมูลทั้งหลาย ดสิ่งที่ มากระทบ เอาข้อดีข้อเสียมาพิจารณาไตร่ตรอง ให้ ใจที่เป็นอุปจารสมาธิพิจารณา จนในที่สุดเราก็ได้ คำตอบขึ้นมา เรานั่นแหละคือพระธรรมภายใน คือ ตู้พระไตรปีฎกที่อยู่ในใจของเราไขข้อธัมมะออกมาท่านอาจารย์สิงห์ทองสอนว่า เริ่มต้นให้ตั้งใจ ปฏิบติ ไม่ต้องไปอ่านหนังสือข้างนอก ไม่ว่าจะเป็น พระไตรปิฎกในตู้ เป็นตำราของครูบาอาจารย์เล่มใด กองเอาไว้ก่อน ให้อ่านพระไตรป็ฎกเล่มในใจนี่ก่อน ให้เอาสติคอยเพ่งมอง มปัญหาอะไรมากระทบ ใจ ของเราปลวตามออกไป มันไปเป็นกิเลส หรือสติเรา เหนี่ยวรั้งมันอยู่ สามารถหาดำตอบที่เป็นสัมมาทิฐิ
เป็นเหตุเป็นผล เป็นธรรมมาตีกรอบให้เราลงบมั่นคง ปลอดภัย ให้สิ่งที่เราตอบสนองออกไปนั้นเป็นกุศล เป็นบุญ ไม่ใช่เป็นหนี้สินที่จะทาให้เราขาด ทุนสูญกำไรถ้าปฏิบติอยู่อย่างนี้ แล้วมีตะกอนอะไรขุ่นฟัง ขึ้นมาภายในใจของเรา แล้วก็เราสามารถคลี่คลาย ตะกอนที่กำลังเผชิญอยู่เฉพาะหนาให้ใสปลอดโปร่ง ไปในทางที่ดีที่สุด อันนั้นก็คือความเคารพเอื้อเฟ้อใน พระธรรมในใจของเรา นอกจากจะเคารพพระธรรม ที่อยู่ในพระไตรปีฎก หรือไปฟังจากครูบาอาจารย์ แค่นั้นยังมันเป็นข้างนอกอยู่ ยังไม่สมบูรณ์แบบเป็น โลกทั้งโลก คือโลกในและโลกนอกสังฆคารวตา เราจะครอบคลุมไปถึงอย่างไร บ้าง นอกจากเราจะทำบุญใส่บาตร เราเอื้อเฟ้อให้ พระรัตนตร้ยครบถ้วนยังมีผ้ากาสาวพัสตร์เป็นที่พึ่ง เป็นที่กราบไหว้บูชาของโลกนี้แล้วเรายังต้อง
เอื้อเฟ้อต่อพระสงฆ์ในใจ คือการที่เราเอาสติจดจ่อ คอยรักษาพุทธะในใจของเราให้ผ่องใส ให้เป็นใจที่ ไม่มีกิเลสเข้าไปครอบงำ หากมีปัญหาอะไร เราก็ สามารถได้ฟังธัมมะในใจของเราสั่งสอนขึ้นมา เมื่อ เป็นเซ่นนี้ ตัวของเราที่คอยเอาสติกำหนดจดจ่อให้ พุทธะ ธัมมะ ในใจส่องสาดออกมา ก็คือสังฆะใน ครบถ้วนเป็นร้ตนตรัย อยู่ในกาย ในใจ นั่นคือเรา เคารพในพระคาสดาคือหระพุทธเจ้า เคารพในพระ ธรรม เคารพในพระสงฆ์ ครบองค์ 3 ที่พระพุทธเจ้า ตรัสเอาไว้การเคารพในการศึกษา สกขาดารวตา การ ศึกษาในที่นี้ พระพุทธเจ้าไม่ได้หมายถึงการศึกษาที่ เราไปสอบ เอเน็ต-โอเน็ต หรือเอาปริญญาก้น การ ศึกษาเหล่านั่นเป็นการศึกษาเรื่องข้างนอก แต่สิกขา ของพระพุทธองค์ที่ตรัสไว้ สำหรับพระ ก็ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าอุบาสกอุบาสิกา ท่านก็ว่า ทาน ศีล ภาวนา จริงๆ แล้วก็คือแค่นี้เอง
เราฆราวาสยังต้องทำมาหากิน ส้มมาอาชีพ ของเราคือการหากินโดยสุจริต แต่ส้มมาอาชีพของ พระคือการทำกิเลสให้หมดสิ้นไป การหาอยู่หากิน ปัจจัย 4 ของพระ อยู่ที่เราอุบาสก-อุบาสิกา จะเป็น ธุระเอื้อเหื้เอถวายปัจจัยไทยทาน ท่านเป็นอยู่ด้วย ความเอื้อเฟื้อของเรา ท่านจึงดูแลแต่เพียงศีล สมาธิ ปัญญา แต่เราต้องหาอยู่หากิน ปัจจัย 4 ของเรายัง ต้องทำของเราขึ้นเอง จึงต้องมีทานเอาไว้ เราจะไต้ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เอาใจเขามาใส่ใจเรารูปกายเป็นสมมุติ ถึงเราจะปฏิฟ้ตดีอย่างใรๆ ร่างกายนี้ก็ใม่อิ่มทิพย์ด้วย ดินกิต้องอาศัยดินเข้า มาประสานต่อไว้ อาหารที่บริโภคเข้าไป เราไม่ใต้กิน ด้วยความอยาก ด้วยความเอร็ดอร่อยแต่เรากินเพื่อดับความหิวกระหายที่จะมารบกวนจนทำให้เรา ไม่สามารถมีสติจดจ่อทำสิ่งที่เป็นคุณเป็นประโยชน์ ได้ต็มเม็ดเติมหน่วย เราก็จำเป็นต้องหาอาหารมา ดับความหิวกระหาย เพื่อทำให้จิตใจของเรามีความ ผ่องใส มีความจดจ่อพอที่จะทำภาระหน้าที่ให้ลุล่วง ไปได้ด้วยดี
ธาตุทั้งสี่ ดินก็ยังต้องเอาดินจากข้างนอก นี้ๆ ก็เอานี้าจากข้างนอก เข้ามาต่อเติมให้ขันธ์ยังคง มั่นคง แข็งแรง ถ้านึกถึงตัวเราเป็นเหมือนบ้านดิน ผนังดินถูกแดดถูกลมนานเข้ากิแห้ง ก็ร้าว เราก็ต้อง เอาดินจากอาหาร อันเป็นพีซสัตว์ผลไม้ สิ่งมีชีวิต ทั้งหลายที่เป็นพืช เป็นสัตว์ เป็นผลไม้เหล่านี้ ธาตุ หน่วยเล็กที่สุดก็คือดินกับนํ้า เรากินเข้าไปเพื่อสกัด ดูดซึมเอาดินและนํ้าไปซ่อมแซมร่างกายที่เหมือน บ้านดินที่โดนลมโดนแดดจนแห้งกรอบชำรุดแตกร้าว เราก็ต้องเยียวยามันไว้ให้คงสภาพดีพอที่จะใช้การใช้ งานได้
เมื่อเห็นอย่างนี้ เราเคารพในการศึกษาอย่าง นี้ เราก็เพียรพยายามจดจ่อสติเด้าดใจ เมื่อมืกัสสะ มากระทบ ใจเราจะเคลื่อนไปด้วยกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลงเราก็พยายามเอาสติสัมปชัญญะ ปัญญา ของเราต่อด้าน คอยง้างให้คลาย เกลียวออก ไม่ให้หมุนวนเป็นวัฏฏะ เป็นสังสารวัฏ พาเราให้เดินไต่ขอบกระด้ง หาที่ตั้งต้นที่สิ้นสุดไม่ได้ เมื่อเป็นอย่างนี้ก็เท่ากับว่าเราเคารพในการศึกษาที่ พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ แล้วเราก็จะเอาสิ่งที่เกิดขึ้น กับชีวิตเราแต่ละเวลานาทีเป็นเหมือนแบบฝึกหัดฝึกสอนใจเราเราเรียนหนังสือ ครูก็จะให้แบบผึเกหัดมาทำ ฉะนั้น การที่มีสิ่งกระทบแล้วใจของเราจะกระฉอก
กระเพื่อมออกไปอย่างไร ก็ไห้เรารู้เฟาทัน เอาสติ สัมปชัญญะเป็นห้ามล้อ จดจ่อ พิจารณาไตร่ตรอง จนกระทั่งได้ปัญญาเห็นชอบแก้ไขสิ่งนั้น ดึงใจของ เรากลับมาเข้าฐานของใจ ให้เป็นปกติ สงบ ผาสุก ไม่ใช่ว่ามีพายุมา เราก็ปลิวเข้ารกเข้าพงหาทางออก ไม่ได้ หลุดจากถนนวงแหวนนี้ไปวงแหวนโน้น จน กระทั่งหาทางกลับบ้านไม่ถูก ถ้าเป็นอย่างนี้ เราก็ไต่ ขอบกระด้งเรื่อยไป แล้วหาที่จบไม่ได้ท่านอาจารย์ค่อนว่าพวกเรา อาจารย์ละ.. เหนื่อยแทนศิษย์ ละเมออผู่นื่แหละ ตายจนไม่รู้ว่า เพ้อไปถึงไหนแล้ว เราก็ว่าเราอยู่ตรงนี้แท้ๆ แต่ปรากฏว่าหลุดไปคนละวงแหวนกบท่านแล้ว เมื่อเรา พากเพียรปฏิบัติต่อไป..ต่อไป พยายามรักษาใจให้มี สติจดจ่อ เคารพในสิกขา ปฏิบัติเพื่อให้เรามีเสบียง เพิ่มพูนขึ้นไปเรื่อยๆ ผลของทาน ศิล สมาธิ ปัญญา จะทำให้ใจของเราที่เคยตกเป็นข้าทาสของนิวรณ์นึก ใด้ถึงไตรลักษณ์ ปัญญาที่พระพุทธเจ้าประทาน
ไว้ เรามีปัญหาอะไร ท่านให้จบด้วยไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกชัง อนัตตา ของทุกอย่างมันไม่เที่ยง ไม่มี
อะไรเที่ยงแท้แน่นอน
ดูตัวเราเองเป็นตัวอย่าง ระบบหายใจของเรา เราหายใจเข้าแล้วเราก็ต้องหายใจออก เราหายใจ เข้าอย่างเดียวไม่หายใจออก ถุงลมในปอดเราก็แดก เราหายใจออกอย่างเดียวไม่หายใจเข้า เราก็ไม่ไต้ อากาศ ไม่ได้ออกซิเจนไปเป็นอาหารให้ร่างกายของ เราทำหน้าที่อย่างปกติได้ เพราะฉะนั้น ความปกติ ของเรานี้ เราอิงอยู่บนความไม่เที่ยงระบบอาหารของเราก็เหมือนกัน เราก็กินเข้าไป เดี๋ยวเราก็ต้องถ่ายออก ถ้าคนเรากินอย่างเดียว กินเข้าไปแล้วไม่ขับถ่ายออก ไล้เราก็แดก กระเพาะ เราก็แตก เราจะอึดอิด หมดความสุขลบาย เพราะ ฉะนั้น ความสบายของเรา ความเป็นปกติของเรา ดำรงอยู่ได้ด้วยความไม่เที่ยง ความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แปรปรวน ดับไป แล้วก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แปรปรวน ดับไป เป็นวัฎจักรอยู่อย่างนี้เป็นประจำ
ถ้าเห็นธรรมชาติของกายของใจเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ขัดอยู่เรื่อยๆ อย่างนี้ อิกหน่อยเมื่อ มีอะไรมากระทบใจ ที่เผลอสติไปยึดวาดหวังเอาไว้ครั้นเรื่องจริงเกิดขึ้น เราก็สติแตกว่าเป็นไปไม่ได้ ที่ เคยรื่าร้องจะเอาสิ่งที่วาดหวังซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นให้เกิด ขึ้น บดนี้สติจะหยุดเรา เพราะเราเชื่อในไตรลักษณ์ ของพระพทธเจ้า สติจะรักษาให้ใจกลมเกลียวรู้อยู่ กับความเป็นจริงดิฉ้นมีคนไข้คนหนื่ง เป็นหนุ่มอายุ 20 ปีเศษ เป็นคนที่ปลงใจ เชื่อ สิ่งใดแล้ว จะฝังใจว่าสิ่งนี้นด้อง จริงแท้เป็นปรมัตถ์ คนทุกคนต้องเคารพตาม
วันหนึ่ง เขาพาเพื่อนไปกินข้าว กินเสร็จแล้ว กิจะเอาเพื่อนไปส่งที่บ้าน ขณะที่ขับรถมาบนทาง
ของเขา เพื่อนกิเตือนเขาว่า รถสิบล้อที่สวนทางมา แซงกันเข้ามาในทางของคุณ ผมว่าคุณน่าจะหลบ ลงข้างทางก่อนนะ ท่าทางที่มันแซงมานี่ มันพุ่งใส่ คุณแน่เลย เขาก็ประท้วงเพื่อนว่า เห็นไหมว่าผมอยู่ บนทางของผม คือเขาเชื่อตามกฎจราจร เขาอยู่บน ทางซีกซ้ายของถนน สิบล้อที่แซงกันมานี่ย่อมต้อง เคารพว่าเขาอยู่บนทางของเขาแต่เพื่อนเห็นแล้วว่าท่าทางสิบล้อที่ตะบึงมาไม่ได้ใส่ใจกฎจราจรและ ไม่ดูอะไรทั้งสิ้นเพื่อนพูดไม่ทันขาดคำ สิบล้อทันที่แซงขึ้นมา ก็พุ่งเข้าซนรถเขาเต็มแรง เขาสลบไปตำรวจนำส่งโรงพยาบาล คุณหมอตรวจพบสมองเขากระแทก กับกะโหลกศีรษะอย่างแรงจนกระทั่งเลือดคั่งในสมอง ดองผ่าทัดดูดเอาเลือดที่ตกคั่งในช่องกะโหลกศีรษะ ออกตรวจดูโดยละเอียดพบว่า ทั่วเนื้อสมองทั้งหมดไม่ได้ฉีกขาดหรือชำรุดตรงไหน แต่บวมชํ้าไป ทั่วจากถูกกระแทก คุณหมอสันนิษฐานว่า หลังฟื้น ได้ยาลดบวม ได้พักเต็มที่ สมองก็จะกทับเป็นปกต็ เหมือนเราไปฟกชํ้าตำเขียวมา ร่างกายก็จะค่อยหึ๋เน คืนตีอย่างเติมระหว่างที่สมองยังบวมอยู่นั้น จะมีผลกดให้ ร่างกายของเขาเหมือนเป็นอัมพาตไป เพราะฉะนั้น เมื่อเขาฟื้นขึ้นมาก็ยังขยับแขนขาไม่ได้ พูดก็เหมือน คนลิ้นไก่สั้น เพราะสมองที่ควบคุมลิ้น ควบคุมการ พูด ควบคุมกล้ามเนื้อ ก็บวมชํ้าไปด้วย ระหว่างนี้ เขาจะต้องเข้มแข็ง ฝ่นตัวเองให้ความร่วมมือใน การทำกายภาพบำบัด ไม่อย่างนั้นกล้ามเนื้อจะฝ่อ ลืบไปจากการไม่ได้ใช้งาน ครั้นสมองหายบวมแล้ว
กล้ามเนี้อก็จะไม่คืนดีเป็นปกติอย่างเก่า
นายคนนี้รับไม่ได้กับความจริงที่เกิดขึ้นอย่าง กะท้นหันนี้ เมื่อคุณหมออธิบายแล้วก็พยายามจะให้ เขายกแขนขึ้นมายกขาขึ้นมา เพื่อทำกายภาพบำบัด เขาร้องไห้เหมือนเด็กอายุ 4-5 ขวบ แล้วบอกว่า เอาผมกลับไปนอน นี่ผมฝันร้ายอยู่ พอผมหลับแล้ว ตื่นขึ้นมานี่ ผมจะเดินได้เป็นปกติ
เราจะเห็นว่า ใจของคนเราที่ไม่เห็นในไตรลักษณ์ จะไม่เชื่อว่าทุกอย่างไม่มีอะไรเที่ยง ล้วนเป็น อนิจจังทั้งนั้น มันเตรียมตัวเตรียมใจไว้ไม่ท้น ตรง จุดนี้ ถ้าเราไม่สร้างภมีคุ้มกันเอาไว้ เราก็จะเหมือน นายคนนี้
ช่วงที่ปลุกตัวเองให้สติมาอยู่กับใจ ตื่นรู้อยู่กับ สภาวะจริงไม่ได้ ยังละเมอยึดมั่นสำคัญผิดว่าเราฝัน ร้าย ไม่ยอมขยับเขยื้อน ไม่ยอมให้หมอทำกายภาพ บำบัด คือการทำร้ายตัวเองอย่างหนักหนาสาหัส เรา จึงต้องฝึกฝนตนให้เคารพในการศึกษา ให้พัฒนาสติ ของตนให้คมไว ลามารถรักษาใจให้รับรู้อยู่กับความ เป็นจริงเท่าทันทุกขณะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนี้ เป็นความจริง ทำให้ฉ้น ฃย้บเขยื้อนแขนขาไม่ได้ แต่ถ้าหากฉน่เข้มแข็ง ยอม ร่วมมือ รีบทำกายภาพบำบัดได้เร็วเท่าไร โอกาสที่ ฉ้นจะกลับเป็นปกติดี กิมีมากขึ้นเท่านั้นแต่ถ้าไม่
ฝึกฝนตัวเองให้เป็นใจปัจจุบันไว้ ต้องใช้เวลาเป็น อาทิตย์กว่าจะค่อยๆ ยอมรับรู้ “ตื่น” ขึ้นมารับสภาพ ความเป็นจริง ยอมทำกายภาพบำบัด ผลที่จะคืนดีมา ย่อมไม่เท่ากัน ใครยิ่งช้าไปมากไปเท่าไร ผลก็น้อย ไปโดยลำตับ ถึงตอนนั้นกิจะมาคราครวญเสียดาย โอกาสที่ผ่านพ้นไปว่า ทำไมไม่บีบบังคับผมตั้งแต่ ตอนนั้น ทำไมไม่ทุบผม ลากผมไปทำทันที ผลจะได้ เต็มเม็ดเต็มหน่วย
คนเรานี้ ด้วยอวิชชาและอุปาทานที่ครอบงำ อยู่ จึงพาให้เป็นไปอย่างนี้ คือ กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้ ต้องได้เห็นความเสียหายแล้ว ถึงจะ.. รู้อย่างนี้ก็ไม่ ทำหรอก แต่ก็ทำไปแล้ว
หากเราเคารพในการศึกษาจริงจัง เราจะต้อง ผักใจของเราให้รับรู้รับทราบผัสสะต่าง ๆ ด้วยความ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สามารถดึงใจขึ้นจาก
หล่มของอารมณ์มาอยู่เป็นปัจจุบันได้ทันพ่วงที เพื่อ ป้องทันไม่ให้เกิดความเสียหายติดตามมา หรือถ้าจะ มี ก็น้อยที่สุดเท่าที่สติปัญญาความสามารถของเรามี อยู่ ความสำคัญของสิกขาคารวตาคืออย่างนี้
ความผิดพลาดหรือเคราะห์หามยามร้ายนี้นมี ทันได้ทุกคน แม้เป็นพระทุทธเจ้าแล้ว พวกเดียรถีย์ ยังส่งนางจิฌจมาณวิกามากล่าวตู่ว่ามีท้องทับพระ พุทธองค์ ให้ประชาชนตกใจหลงเชื่อตามๆ ทัน ไม่ ทำบุญใส่บาตรในพุทธศาสนาแล้ว เพราะเชื่อว่าพ่าน ไปทำนางจึญจมาณวิกาท้องจริงๆ เพราะฉะนั้น หาก เราไม่มีภูมิคุ้มทันพอ เมื่อประสบเคราะห์หามยามร้าย ใจของเราฟุบแฟบ ตกหล่มอารมณ์ ไปทำให้ความ เสียหายที่น่าจะนิดเดียว ขยายแผ่กระจายออกไปได้ ปัญหาทุกอย่างเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ พระพุทธเจ้า จึงตรัสทับนางจิญจมาณวิกาว่า เรื่องนี้มีแต่เราทับ น้องหญิงเท่านั้นที่รู้ว่าใครพูดจริงใครพูดเท็จ ท่าน ตรัสเพียงแค่นั้น ชาวบ้านก็วิจารณ์ไปต่างๆ นานา นี่..พระพุทธเจ้ายอมรับแล้ว ฝ่ายที่ไม่เชื่อถีอก็ว่า ท่านตรัสปานนี้แล้วยังไปสงสัยอะไรอีกใจของแต่ละคนก็แปลไปตามตะกอนในใจของ ตนจะพัดพาไป แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเวลาจะเป็น เครื่องพิสูจน์เอง นางจิญจมาณวิกาได้ใจที่พระพุทธเจ้าไม่ว่าอะไรเลย นางก็มาเต้นชี้หน้าด่าพระพุทธเจ้าทุกวัน ในบุคลาธิษฐานก็ว่า หมอนไม้ที่มัดเอา ไว้ เมื่อเต้นมากๆ เข้า เชือกที่มัดเอาไว้ก็เคลื่อนหลุด หล่นลงมา ทำให้คนได้รู้ความจริง นางก็ถูกประชาทัณฑ์และถูกธรณีสูบไปตามบุคลาธิษฐาน พระพุทธเจ้าตรัสแล้วว่า เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์บุคคล วันหนึ่งความจริงก็ จะปรากฎชี้นมาจนไต้ เราไม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจไป เวลาที่มีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นในชีวิต เราไม่ต้อง เที่ยวไปอธิบายชี้แจงให้เรื่องวุ่นวายเพิ่มขึ้น เรานิ่ง สงบ เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์เอง ดูแลใจเราให้มีสติรักษาอยู่อย่างดีงาม ทำกิจของเราไปตามหน้าที่ ใครจะว่าอะไรก็ว่าไป อีกหน่อยผู้คนก็จะเห็นเองว่า อะไรเป็นอะไร การศึกษาจะทำให้ ทาน ศีล ภาวนา เพิ่มพูนเป็นภูมิคุ้มกัน ทำให้พฤติกรรมของเรามั่นคง อยู่บนอริยมรรคจนกลายเป็นอุปนิสัยคุ้มครองหล่อ เลี้ยงใจให้เสวยแต่ผลบุญจากกุศลวิบากที่ประกอบ อยู่เป็นนิจ ชีวิตเราก็จะเป็นความดีความงาม ให้เรา มั่นใจในตัวของเรา อปมาทคารวตา คือ ความเคารพในความไม่ ประมาท ใจที่มองเห็นตามไตรสิกขาและไตรลักษณ์ จะพาให้เราไม่ประมาทไปโดยไม่รู้ตัว เพราะสติจะอยู่ กับใจของเราต่อเนื่องเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ใจที่สิกในทาน ศีล ภาวนา จะช่วยให้สติมีกำลังเพิ่มขึ้นๆ ในที่สุด โดยอัตโนมัติ เมื่อใดที่ว่างจากการงานที่กระทำอยู่ เราจะพบว่าใจฃองเราจับอยู่กับลมหายใจ หรือคำ บริกรรม หรือทุ่นที่ช่วยให้ตัวกับใจเป็นหนึ่งเดียวกัน กาวที่ผนึกตัวกับใจให้เป็นหนึ่งเดียว ก็คือสติ ความ ระลึกรู้ เมื่อมีสติ เราย่อมไม่ประมาท ดังศีลข้อ 5 ไม่ให้เสพสุราเครื่องดองของเมาสิ่งเสพติดทั้งหลาย ที่จะเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ศีลห้ามอย่างนั้น เบญจธรรมข้อ 5ก็สอนให้มีสติสัมปชัญญะ เมื่อมี สติก็จะเป็นผู้ไม่ประมาทเพราะฉะนั้น ความเคารพในความไม่ประมาท คือตรงความมีสติสัมปชัญญะนั้นเอง เราจะเคารพ
ว่า อะไรที่ต้องเสี่ยง อะไรที่ไม่แน่ใจ เราไม่เอาตัว เข้าไปข้องแวะเป็นอันขาด ชีวิตของเราก็จะราบรื่น อุบัติเหตุทั้งหลายทางใจก็ดีทางโลกก็ดีย่อมลดน้อยลงได้ เพราะอุบตเหตุไม่ใช่ความบังเอิญ อุบัติเหตุก็เป็นผลของกรรมของเราที่เราทำเอาไว้ แต่วิธี ทำมันมาในรูปลักษณ์ที่คนไม่เข้าใจ ก็จะคิดว่าเป็น อุบติเหตุ เป็นสิ่งที่เราไต้ประมาทขาดสติมันถึงเป็น ไม่ใช่สิ่งที่เกิดจากเราทำเอาไว้ถ้าเราได้ฝึก เราเคารพในการศึกษา เคารพ ในความไม่ประมาท กรรมใหม่ที่เราได้กระทำเหล่า นี้ เปรียบเหมือนอับนํ้าสะอาด จะไปประคับประคอง ให้อกุศลเก่า ๆ ที่เปรียบเหมือนตะกอนขุ่นเข้มเจือจาง ลง
หรือบุญกุศลนั้นเปรียบเสมือนกระดาษ แผ่น กระดานเรือสำปั้นลำเล็กๆ ไปจนถึงเรือบรรทุก เครื่องบินหากบุญกุศลของเรามหาศาล เป็นเรือบรรทุกเครื่องบิน ก็จะรองรับบาปอกุศล ที่เริ่มตั้งแต่ ก้อนหินเล็กๆ ไปจนถึงก้อนหินใหญ่ๆ แม้จนหนัก ถึงเป็นรถลัง เป็นเครื่องบิน ให้สามารถไปถึงฝังได้
อุปมาเช่นองคุลีมาล อกุศลวิบากของท่านที่ ท่านฆ่าคนมาถึง 999 คน เปรียบดังก้อนหินหนัก แด่ท่านก็มีบุญกุศลที่ไดัมาพบพระพุทธเจ้า บุญกุศล เดิมท่านก็มีอยู่ เพราะท่านได้รับการอบรมให้เป็นผู้มี ศีลมีธรรมแด่เพราะอาจารย์ของท่านหูเบาไปเชื่อเพื่อนฝูงที่อิจฉา กล่าวหาว่าองคุลีมาลจะตั้งตัวเป็น อาจารย์แทน ทำให้อาจารย์คิดกำจัดศิษย์เมื่อท่าน มาพบพระพุทธเจ้าแล้วท่านก็ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบ้ติ พระรูปอื่นพักผ่อนกัน ท่านก็เตือนตัวเองว่าเราต้องขวนขวายอีกหน่อย เพราะหนี้สินเราลั้นพ้น ตัวกว่าท่านเหล่านั้น คือท่านพยายามทุกรูปแบบที่ จะเพียรสร้างสมเสบียงเอาไว้ กุศลวิบากของท่าน ก็เพิ่มพูนขึ้นจนเป็นเหมือนเรือบรรทุกเครื่องบินวันหนึ่ง ท่านออกบิณฑบาต พบหญิงท้องแก่ เดินเทินอยู่ด้วยความลำบาก ท่านจึงมาปรารภกับ พระพุทธเจ้าว่า ทำอย่างไรท่านจึงจะช่วยนางได้บ้าง พระพุทธเจ้าทรงบอกคาถาให้ไปสอนนางท่องเวลาคลอดลูก จะได้ไม่เจ็บปวด คลอดได้สบาย ท่านไปพบเห็นอะไร ท่านจะมีใจเอื้อเฟ้อช่วยสงเคราะห์เขาไปหมดตั้งแต่บวช วิบากกรรมของพ่านก็ส่งผลเรื่อย มา ไม่ว่าท่านไปทางไหน ผู้คนเขาทะเลาะกันตีกันอยู่ ก็เกิดตีพลาดมาโดนท่าน ซาวบ้านขว้างไล่หมาแมว ไม่ให้มากินของที่เขาตากไว้ ท่านก็บังเอิญโผล่มา ปะทะก้อนหินก้อนตีนที่เขาขว้างพอตี กลับมาจาก บิณฑบาตแต่ละวัน ท่านฟกชํ้าดำเขียวเลือดตกยาง ออก ใต้บาดแผลมาด้วยทุกวัน แต่ท่านก็เข้าใจ ท่าน ก็ไม่ไปผูกใจเจ็บผู้คนเหล่านี้ ว่าเขาแกล้งท่าน.. สมัยก่อนที่เราไม่รู้ว่าผู้คนเขากลัวเรานี่ เขาวิ่งหนีไป ชนโน่นขนนี่ เจ็บซํ้าฮย่างนี้ ท่านก็แผ่เมตตาให้เขา เมื่อท่านท่าแต่คุณงามความตี บาปอกุศลที่ ตามมาก็ตามไม่ทัน ท่านปฏิบัติกับพระพุทธเจ้าจนบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เมื่อท่านสิ้นชีวิตในชาติ นี้ ไม่มีรูปร่างกายเหลือแล้ว เจ้าหนี้ทั้งหลายก็ต้อง เป็นอันปิดบัญชีไป จะมาตามราวีท่านต่อไปไม่ได้ เมื่อเราเห็นได้อย่างนี้ เรากิจะมีกำลังใจ
ข้อสุดท้าย ปฏิสันถารคารวตา ความเคารพ ในปฏิลันสาร ปฏิสันถารคือการทักทายปราศรัย
กัน เมื่อเราไปวัด ให้ดอยสังเกตดู ครูบาอาจารย์ สายปฏิปัติที่ท่านรู้วาระจิต เมื่อท่านทักทายเรา มัน เหมือนมีแม่เหล็กดูดเราเลย ใจที่กำลังทุกข์ จะถาม นั้นถามนี้ ปรากฏว่านิ่งสงบ ไม่มีอะไรจะถามแล้ว เกิดปีติขึ้นมาในใจ สงบ ฟังท่านอย่างเดียว ระหว่าง ที่ฟัง ใจก็นิ่งเป็นปัจจุบันเหมือนเป็นภาชนะที่รองวับ ธรรม สิ่งที่ท่านสนทนาปราควัยเข้าถึงจิตถึงใจ ทำ ให้เราเกิดสติปัญญา เกิดปีติอิ่มเอิบบางคนทุกข์มาเป็นอาทิตย์ เป็นเดือน ท่าน ปฏิสันถารคำเดียวเท่านั้น ปรากฏว่าปลดทุกข์ได้หมด เรียบร้อยหรือเหมือนเราเป็นเศษเหล็ก ท่านเป็นสนามแม่เหล็ก คำพูดของท่านที่มากระทบหูซึมซับ เข้าไปร้อยเรียงใจที่ซัดส่ายฟังซ่านอยู่ให้เป็นระเบียบ เรียบร้อย เหมือนเป็นแม่เหล็กไปชั่วขณะนั้นแล้ว
ครั้นออกจากวัดมาได้สักหน่อยหนื่ง สนาม แม่เหล็กก็เสื่อม ใจของเรากิเริ่มว้าวุ่นใหม่ ที่จะถาม ก็ลืมถาม แทนที่จะนึกถึงความสงบที่ท่านทำให้ได้ ส้มผัสตอนนั้นมันแสนจะดี ทำไมเราไม่ประคองเอา มาทำใจเราให้สงบต่อไปอีกสักหน่อย ปรากฏว่ากลับ
ลุกขึ้นไปบ้ากระเซอะกระเชิงใหม่อีกแล้วมื่อเราเคารพในปฏิสันถารของท่าน ท่านทำ ตัวอย่างให้เราเห็นแล้วว่า ใจที่มีฐานเป็นอย่างนี้ เรา มีความสุขอย่างนี้ เราก็ต้องประคองเอาไว้ ถึงไม่มี ท่านอยู่ด้วย เราก็ต้องพยายาม.. พยายามน้อมใจ ระลึกนึกถึง ท่านสอนเราอย่างไร ท่านทักทายเรา อย่างไร ใจเราถึงสงบนิ่ง เกิดปีติได้ ถ้าเราเคารพ อย่างนี้ เพียรพยายามน้อมความรู้สึกเหล่านี้มาไว้ใน ใจฃองเราให้ได้ อีกหน่อยใจของเราก็จะสามารถ ถึงแม้ไม่ได้ไปกราบท่านทื่วัด แค่เพียงนึกขึ้นในใจที่ จดจำเอาไว้ พสังนั้นก็เอิบอาบขึ้นมา เราสามารถจะ เอาปฏิสันถารของท่านมาน้อมนำทำให้ใจของเราเกิด ความสงบ ปีติ เกิดพสังเช่นนั้นได้เรื่อยๆ
ถ้าเราทำไต้ครบทั้ง 6 สิ่งนี้ รับรองการปฏิบ้ติ ของเราจะก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วผลที่ได้ เราไม่ ต้องไปถามใครที่ไหน ใจที่ร่มเย็นเป็นสุข ใจที่เป็น บ้จจุบัน ทำให้เรารู้สึกเหมือนเราไม่ได้ห่างไกลจาก พระพุทธเจ้าเลย พุทธะก็คือใจของเราดวงนี้นี่เองแล้วก็ไม่ต้องไปหาตู้พระไตรป็ฎกที่ไหน ติดขัดอะไรก็เพ่งพิจารณาไตร่ตรองเข้าใปในใจ แล้วในที่สุดเรา ก็จะได้คำตอบคีอธ้มมะเราผู้ปฎิบ้ติอยู่ก็คือสังฆะรวมเป็นรัตนตรัย อยู่ในใจของเรา เป็นสิกขา คือ ทาน ศีล สมาธิ ฟ้ฌญา มีความระมัดระวัง ตั้งมั่น ไม่ประมาท บางขณะก็มีข้อธรรมที่ครูบาอาจารย์ท่าน เมตตาทักทายแว่บขึ้นมาในใจเรา สิ่งทั้งหมดทั้ง ปวงนี้จะปรากฏอยู่ ขอแต่เพียงให้ใจเราจดจ่อมีลติ เป็นเครื่องรักษา แล้วคารวตาทั้งหมดที่ปรารภกัน มา ก็จะมารวมอยู่ที่ใจเรา ทุกคนก็จะมีปีติสุขหล่อ เลี้ยงใจให้สงบร่มเย็น เกิดสันติสุขขึ้นในโลก ใจที่เคย ชัดส่าย ทุกข์ หดหู่ ท้อถอย ก็จะคลี่คลายไปในทาง ที่ดีงาม สงบผาสุกเราก็ได้สนทนากันมาตามสมควรแก่เวลาแล้ว หวังว่าสิ่งที่กล่าวมานี้คงเป็นสาระประโยชน์ ก่อให้ เกิดกำลังใจในการจะพากเพียรปฏิบัติจนเป็นอุปนิสัยบุคคลเหล่าใด สามารถจะฝึกจิต ที่ไปได้ไกล ไปดวงเดียว ไม่มีรูปร่าง มีถํ้าคือร่างกายเป็นที่อยู่อาศัย บุคคลเหล่านั้นย่อมพ้นจากปวงของมารได้

พิมพ์โดย       ปภัสสร   มีพงษ์
แหล่งที่มา     http://web.krisdika.go.th/buddha/karawata.pdf

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Back To Top