Header Ads

วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

บทความหมออมรา ความยึดมั่นสำคัญผิด

บทความหมออมรา
ความยึดมั่นสำคัญผิด


ชื่อผู้เขียน       พญ อมรา มลิลา
วันที่              -
ณ                 ไม่มีบรรยาย
หมวด
อันดับที่       


ตัวเราตามธรรมชาติ หรือขันธ์หน้านี้ ไม่ทุกข์ ไม่สุข
เพราะปะเห็นทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย เกิดขึ้น - ตั้งอยู่ – แปรปลี่ยน - ดับไป
แล้วก็เกิดขึ้น เป็นวัฏจักรใหม่อยู่ดังนี้
ใจก็ไม่ไปยึดมั่นสำคัญผิด
ไม่ไปให้ความหมายอะไรกับมัน
แต่เพราะใจของเรายังไม่มีสติปัญญาเต็มรอบที่ ะคอยรักษา แนะสอนให้เห็นตามความเป็นจริงอย่างนี้ เราก็เผลอไปเกาะ ไปยึด ไปแต่ง แล้วก็มีอุปาทานขันธ์ มีตัวเรา มีของเราขึ้นมา เป็นรวงรังของทุกข์ได้ยินอย่างนี้ ก็จะมีเสียงประท้วงว่า ไม่มีใคร อยากยึดมันสําคัญผิดหรอก รวมทังตัวคนพูดด้วย ท่านอาจารย์พูดถึงว่า คนเรานี้นะ ไม่มีใครทำทุกข์ทำโทษให้ตัวเองได้ร้ายเท่ากับใจของเรา ที่ไม่เห็นตามความ เป็นจริงแล้วหลงเข้าไปยึดมันสำคัญผิด เราก็เถียงท่าน ในใจว่า ใครที่ไหนจะอยากไปยึดมันสำคัญผิด เราคน หนึ่งละที่ไม่ยึด แต่เมือรู้จักที่จะมาดูพฤติกรรมของตัวเอง ก็พบว่าเราก็ยึดเข้าไปจนได้ท่านที่เคยฟังดิฉัน คงเคยได้ฟังเรื่องนี้แล้ว ถึง ฟังแล้วก็ฟังอีกได้ เพราะการฟังแต่ละครั้ง ก็ได้ข้อคิด ต่างกันไป เมื่อดิฉันเข้าไปฝึกปฏิบัติอยู่ในวัด จนค่อย คุ้นเคยกับข้อวัตรต่าง ๆ พรรษาถัดมา คุณแม่ชีก็มอบ หน้าที่ให้ดูแลจัดหาอาหารใส่บาตร คือที่วัดท่านอาจารย์ นั้นระหว่างเข้าพรรษาท่านอธิษฐานธุดงควัตรข้อบิณฑบาต คือพระทุกองค์จะรับอาหารที่ได้จากการบิณฑบาตเท่านั้นไม่รับอะไรที่ถวายบนศาลา เพราะจัดเป็นอดิเรกลาภพวกเราที่อยู่ในวัดก็โลภบุญ ท่านกำหนดว่าจะ รับแต่เฉพาะของตกในบาตร เราก็ออกไปยืนนอกประตู วัด เตรียมของไปใส่บาตรเหมือนกัน ไม่ถวายบนศาลาความอยากใส่บาตรก็อยากแต่ไม่อยากสิ้นเปลือง แรงงานโดยไม่จำเป็น ก็คิดเอาว่า ในเมื่อพระกับเราก็คุ้น กันอยู่ในวัดด้วยกัน วันไหนองค์ไหนจะเร่งความเพียร อดอาหาร ไม่ออกบินฑบาต เราก็ถามไถ่กันได้ ไม่เห็นจะ เสียหายตรงไหนวัดของท่านอาจารย์ มีหมู่บ้านอยู่หัววัด และ ท้ายวัด หมู่บ้านหัววัดซื่อบ้านคําน้อย หมู่บ้านท้ายวัด ซื่อ บ้านหนองกุง บ้านหนองกุงค่อนข้างยากจน ท่านอาจารย์เลยให้พระที่ไปสายนี้น้อยองค์กว่า เป็นต้นว่าท่านมีพระ 10 องค์ ก็จะไปทางบ้านคําน้อย 7 องค์ ทางบ้านหนองกุง 3 องค์ ทำนองนี้ถ้าท่านออกเต็มตามอัตราอย่างนี เราก็ไม่มี ปัญหา แต่บางวัน บางองค์อยากเร่งความเพียร ท่านก็ ไม่ฉันอาหาร ดังนั้น ที่จะไปบ้านคำน้อย ๗ องค์ก็เหลือ๕ องค์ อีก 2 องค์อดอาหาร 3 องค์ไปทางหนองกุงเราก็ไม่อยากจัด 7 ปิ่นโต แล้วปรากฏว่า ท่าน ออกบิณฑบาตแค่ 5 องค์ ทําให้ต้องถ่ายอาหารออก แล้วล้างปิ่นโต เสียเวลาเสียแรงงานโดยไม่จําเป็น เรา นักเศรษฐศาสตร์ก็คอยดักถามเณรว่า วันนี้จะไปทาง บ้านคำน้อยกี่องค์ บ้านหนองกุงกี่องค์ แล้วก็ภาคภูมิใจ เราทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่ท่านอาจารย์คงเล็งแลเห็นในจิตอันไม่สงบระงับ ที่จะปีติอิ่มเอิบเป็นบุญของเรา เพราะคอยแต่กังวลว่ากี่องค์ แล้วมาจัดปิ่นโตให้ทัน เพื่อไปดักใส่บาตรท่าน บางที เณรบอกเท่านั้นเท่านี้องค์ ระหว่างที่เรายืนคอย นับดู เอ...ไม่ใช่ ดูจะมีมากกว่าที่เณรบอก ใจเราก็ไม่สบาย แล้วจะแยกปิ่นโตอย่างไร ถ้าหากท่านมาบิณฑบาตกัน มากกว่าที่เณรบอกใจไม่ได้เป็นอันสงบสงัด ไม่ได้เป็นสมาธิปีติอิ่ม เอิบเลย คอยทําเลขคณิตอยู่ในใจว่า เราเตรียมปิ่นโตมา ถูกต้องหรือเปล่า คือว่า พอดี ไม่ขาดไม่เกิน เกินไปก็ เสียดายแรงที่ต้องเสียโดยใช่เหตุ ครั้นท่านออกมาเกิน. เณรก็ไม่ดี... ดูซิ นับไม่ทั่วถึง ไปเพ่งโทษเณรอีก สรุป แล้ว ใจได้แต่กิเลส
เช้าวันหนึ่ง ก็มีแต่ท่านอาจารย์ลงมาที่ครัว ไม่ มีเณรเฉียดกรายมาเลย ท่านเดินกลับไปกลับมาอยู่แถว บริเวณครัว ให้เราเข้าใจว่าเป็นเณร ครั้นโผล่ออกไป อ้าว...ท่านอาจารย์ ก็ถอยกลับมา ในที่สุด ท่านเอ่ยปาก ถามว่าศิษย์จะเอาอะไรหรือตอนนั้นใกล้เวลาท่านจะออกบิณฑบาตเต็มทน ก็เลยบอก เจ้าค่ะ ขออนุญาตกราบเรียนถามว่า วันนี้ พระออกบิณฑบาตทางบ้านคำน้อยกี่องค์ บ้านหนองกุงกี่องค์ท่านอาจารย์ตอบ อ้าว... ศิษย์ก็เดินตามออกไป ดูซิ เดินออกไปนับเอาจะได้รู้แน่เลยว่ากี่องค์ ถ้าเผื่อ อาจารย์บอกตอนนี้ บางองค์อาจจะเปลี่ยนใจวินาทีสุด ท้าย ทําให้จํานวนผิดไปได้ เราต้องอยู่กับปัจจุบัน ศิษย์ก็คอยเดินตามไปนับดู อาจารย์ไม่หวงไม่ห้ามเราก็ตกหลุมโครมเลย ประท้วงท่าน ตอนนั้นว่า มันไม่ทันแล้วเจ้าค่ะ จัดปิ่นโตไม่ทันอ้าว... ถ้าศิษย์ไม่มีของใส่บาตร พระองค์ไหนมา ตัดพ้อต่อว่าศิษย์หรือ บอกนะ อาจารย์จะไล่ออกจากวัด มันไม่ใช่พระแล้วกลายเป็นเราทําให้พระถูกตําหนิอีก เราก็ร้อน ตัว รีบปฏิเสธ ไม่ใช่อย่างนั้นเจ้าค่ะ
ถ้าศิษย์คิดอยากได้บุญวันนี้จะใส่บาตร 5 องค์ ก็ทำ 5 ชุด เสร็จแล้วพระท่านออก 7 องค์ เราเสียดายบุญเรา วันรุ่งขึ้นเราก็ทำ 7 ชุดสิ ถ้าทำแล้ว ท่านออก แค่ 6 องค์ เราเสียดายแรง ก็ทำแต่พอดี ๆ กับใจเรา อยากได้บุญแค่ไหน เราก็ทำแค่นั้น ถ้ามีองค์ไหนไม่ได้ ของใส่บาตร แล้วมาตัดพ้อต่อว่า บอกอาจารย์เลย อาจารย์จะได้ไล่ออกจากวัด อย่างนั้นมันไม่ใช่พระแล้ว
ฟังท่านแล้ว เราก็ตรึกตรอง เราใส่บาตรเพื่ออะไร ใส่บาตรเพื่อให้เราได้บุญ เราอยากได้บุญเยอะ เรา ก็ทําเยอะ ถ้าทําแล้วเราเสียดายแรง เพราะทางโลกสอน มาว่า ไม่ต้องทำเกินจำเป็น เราก็ไม่ทไ ตัดใจว่า เอาแค่ นี้ละ แต่ถ้าหวนคิดเสียดายบุญ ก็ทําให้เต็มเปี่ยม ไม่ ต้องเสียดายแรง
พอคิดได้อย่างนี้สติปัญญาที่จะจัดการกับใจของ เราก็เกิดขึ้น เพราะทุกวัน.ทุกวัน...เราดีแต่เอาของญาติ โยมที่เป็นอุปัฏฐาก เขาเอาอาหารมาใส่บาตรและเผื่อแผ่ มาถึงพวกเราด้วย คราวนี้เราจัดปิ่นโตแล้ว พระท่านอดอาหาร เราก็เอาปินโตที่เหลือเฟือเหล่านั้นไปให้เขาเป็น เครื่องตอบแทนว่า วันนี้ทางโรงครัวทำอาหารเผือ เราก็ ได้ปีติอิมเอิบอีก ถึงไม่ได้ใส่บาตรพระ แต่ก็เหมือนเรา ได้ตอบแทนบุญคุณเขาบ้างเพียงคิดอย่างนี้ ใจก็ปีติอิมเอิบ เราตั้งใจจัด ปีนโตเต็มจำนวน ท่านจะออกครบหรือไม่ครบทุกองค์เราก็ไม่เป็นกังวล เพราะมีที่หมายแล้ว ใจของเราเป็น บุญเป็นกุศลแล้ว ปรากฏว่า ท่านอาจารย์เฉียดเข้ามาบอก ว่า พระออกทางนั้นกี่องค์ ทางนี้กี่องค์คือสรุปแล้ว วิธีที่กระทำนั้นถูกต้อง แต่วิธีวาง ใจของเราไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรม ประสิทธิภาพที่ออก มาทางโลกใช้ได้ ทีนี้ทำอย่างไร เราถึงจะฉุกคิดได้ แล้ว เห็นตรงจุดนี้เท่าทัน ทำให้เข้าใจคำกล่าวที่ว่า คน 2 คนทำกิริยาอย่างเดียวกัน คนหนึ่งไปสวรรค์ อีกคนหนึ่งไป อเวจีเป็นต้นว่า เรา 2 คน ควักเงิน 100 บาทออก มา ถวายพระด้วยกิริยาเคารพนอบน้อมเหมือน ๆ กัน เงินก็ 100 บาทเท่ากัน กิริยาก็นอบน้อมเท่ากัน แตคนหนึ่งไปสวรรค์อีกคนหนึ่งไปอเวจีเพราะอะไรเพราะคนหนึ่งทำด้วยความเลื่อมใสศรัทธา ด้วย ความปีติอิ่มเอิบ ทำเพื่อจาคะสลัดความหวงแหนเห็นแก่ ตัวออกไป แต่อีกคนทำเพราะคิดว่า เมื่อเขาทำ 100 บาทได้ ตูก็ทำ 100 บาทได้ แล้วดูซิว่า ที่เขาทำกับเรา ทำ พระจะให้พรใครก่อน ใครจะเป็นอย่างไรในกาลต่อตัวที่บ่งชี้ผล คือ ใจตัวเจตนา เป็นกุศลหรือ อกุศล เป็นสัมมาทิฐิหรือมิจฉาทิฐิ เพราะฉะนั้น คุณ ภาพของใจจึงต่างกัน กิริยาที่เหมือนกันไม่ได้กำหนดว่า ผลที่เกิดขึ้นจะต้องเป็นอย่างเดียวกันเมื่อเข้าใจอย่างนี้ ความยึดมั่นสำคัญผิดนี้ล่ะคือ ตัวแปร ที่ทําให้คุณภาพ หรือยานพาหนะนั้น จะพาเรา ไปสู่จุดหมายปลายทาง หรือพาเราไปหลงป่า แล้วไปติด อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้จุดตรงนี้ ทำอย่างไรเราถึงจะมีสติมีปัญญา ที่จะแนะสอนตัวเอง ให้เห็นทิศทางได้ถูกทุกครั้ง...จาก เรื่องจัดปิ่นโตใส่บาตร สอนให้ดิฉันได้เห็น ขนาดว่า เห็นแล้วก็ยังตกม้าตายอยู่บ่อย ๆ เพราะอัตโนมัติของเรามีแต่อุปาทานขันธ์ เกิดตายครั้งใด เท่าไร ๆ ๆ ตั้งแต่ เป็นตัวตนเรามา มีภพมีชาติมา เราก็เป็นอุปาทานขันธ์ คิดตามอุปาทาน ความยึดมั่นสําคัญผิดมาเรื่อย จึงทำ ให้เราเกิด ตาย เกิด ตาย ไม่รู้จบรู้สิ้นอยู่อย่างนี้เมื่อใจรู้อย่างนี้แล้ว จะได้ไม่หงุดหงิดเวลาที่พบ ว่า...อีกแล้วหรือ คนเราต้องเรียนรู้จากความผิด ท่าน อาจารย์บอก ถ้าใจของเราคมไวที่จะเห็นตามวาระจิต คือ เห็นตามความปรุงคิดของตนเอง แล้วก็รู้ว่าผิด แล้ว หยุดได้สติของเราจะต้องมีประสิทธิภาพถึงขั้นที่คุ้มครอง ตัวเองได้ แรก ๆ เราก็เหมือนเด็กสอนเดิน เดินไป ประเดี่ยวก็สะดุดตรงโน้นล้ม ประเดี่ยวก็สะดุดตรงนี้ล้ม เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเรียนรู้จากความผิด จน กระทั่งความผิดอันนี้ทําให้เราหลาบจำ พอจะสะดุดอีก. ไม่เอาแล้ว... เพราะว่ามันเจ็บ มันขาแพลง หัวแม่เท้า แตก ความเจ็บมีอิทธิพลที่จะทำให้สติคมไวขึ้น จนทัน ที่จะเตือนเราให้หยุดพฤติกรรมอันนี้ได้ ใจก็ได้วิชชาขึ้น มาแทนที่อวิชชา
ถ้ามองใจตัวเองไม่ทันอะไรที่มาเกี่ยวข้องสัมผัส สัมพันธ์กับเรา เราก็ตั้งสติมอง แล้วน้อมเข้ามาสอนใจเรา
เมื่อมองอย่างนี เราจะพบว่า ทุกผู้ทุกคนเป็นกันอย่างนี้เราก็ได้แยบคายอุบายมาสอนใจมากขึ้น เพราะว่าแต่ละเรื่อง ๆ ก็ล้วนเป็นแบบฝึกหัด ให้เราเห็นอย่างนี้ทั้งนั้นเมื่อก่อนปีใหม่ ดิฉันไปเจอท่านที่นับถือเสมือน อาจารย์ ท่านสอนอยู่วิทยาลัยแห่งหนึ่ง ท่านบอกว่า ทางวิทยาลัยอยากให้ดิฉันไปพูดให้นักศึกษาฟัง แต่เขา ติดต่อดิฉันไม่ได้สักที ท่านเลยรับปากเขามาว่า ถ้าเจอ ดิฉัน ท่านจะจัดการเอาดิฉันไปพูดให้ได้เมื่อเอาปฏิทินมาดูกัน วันว่างของดิฉันก็เลยปี การศึกษานี้ไปเสียแล้ว เพราะว่าเดือนกุมภาพันธ์ก็จะ สิ้นสุดปีการศึกษา เริ่มจะสอบไล่กันแล้ว ท่านก็ยืนหยัดว่า ไม่ได้ ต้องเอาภายในเดือนกุมภาพันธ์ให้ได้ กางปฏิทินให้ดูว่า มันไม่มีวันว่างจริงๆ เพราะถ้าวันไหนๆก็ได้ก็พอจะยืดหยุ่นกันได้ท่านก็เจาะจงว่าไม่ได้ ต้องเป็นวันพฤหัส คือวันเดียวในตลอดสัปดาห์ซึ่งเป็นวันที่นักศึกษามีกิจกรรม วันอื่นก็ไม่ได้ เมือเป็นอย่างนี เดือนหนึ่งก็เหลือเพียง 4 ครั้งเท่านั้น มกราคม กุมภาพันธ์ รวมได้ 8 วัน ที่ต้องหากันให้ว่างให้จงได้ ก็ให้ท่านดูปฏิทินว่า ไม่ได้แกล้ง มันเต็มหมดแล้วทุกวันพฤหัสดูไปดูมา ก็พบว่า มีอยู่วันหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่วันที่ ไปพูดแบบประกาศเป็นทางการ แต่เป็นกลุ่มย่อย ท่านก็ บอกว่า พี่จะเอาวันนี้แหละ หนูไปขยับขยายกับกลุ่ม ย่อยของหนูก็แล้วกันดิฉันนึก กลุ่มย่อยกลุ่มนี้พอขอร้องกันได้ แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นวันพฤหัส อาจขยับไปเป็นวันจันทร์ หรือวันศุกร์แทนก็ได้ ก็เลยเรียนท่านว่า ค่ะ ก็ได้ อย่าง นั้นจะได้ไปขยับเป็นวันอื่นเสีย ท่านก็ประท้วงว่า อย่าเพิ่งๆ หนูไปขยับแล้ว เดี่ยวบังเอิญทางพี่ เกิดไม่มี ห้องว่าง ไม่ได้มา จะเสียธุระโดยใช่เหตุ ท่านก็มีน้ําใจ ห่วงใยเรา
ดิฉันเรียนย้ากับท่านว่า ถ้าท่านไปติดต่อแล้ว ทราบเรื่องอย่างไร กรุณาบอกภายใน 2 อาทิตย์ เพื่อ ว่าดิฉันจะได้จัดการขยับวันกับกลุ่มย่อยของดิฉันดิฉันคอยจนอาทิตย์ที่ 3 ก็ยังไม่ได้ข่าวจากท่าน เมื่อกลุ่มย่อยของดิฉันติดต่อมาเพื่อยืนยันวันนัด ก็ตอบรับไป บอกไปได้ 2 วัน โทรศัพท์ท่านก็มาถึงว่า ตกลงนะ พี่ไปจัดการเรียบร้อยแล้ว ได้ห้องแล้ว ประกาศนักศึกษาไปเรียบร้อยแล้ว ดิฉันก็ประท้วง ตาย แล้ว ดิฉันเรียนอาจารย์แล้วว่า ให้ส่งข่าวภายใน 2 อาทิตย์ นี่ก็ 3 อาทิตย์แล้ว ดิฉันยืนยันกับกลุ่มย่อย ไปแล้วด้วยท่านก็แย้งว่า แต่พี่ประกาศกับนักศึกษาแล้ว ทําหนังสือขอแล้ว ห้องก็จองแล้ว คือ สรุปแล้ว ตัวตน ท่านใหญ่กว่าตัวตนดิฉัน ดิฉันจะไปตามล่ากลุ่มย่อย อย่างไร จะไปเปลี่ยนกับกลุ่มย่อยอย่างไร นั่นเรื่องของ เธอ ไม่เสียไม่หายตรงไหน แต่เรื่องของฉัน ฉันประกาศ ออกไปแล้วท่านไม่ได้พูดอย่างนี้ แต่วิธีที่ท่านพูด คือ ท่าน ยืนหยัดอยู่คําเดียวว่าไม่ได้ แล้วท่านก็ให้เหตุผลอย่าง นั้น เมื่อดิฉันถามว่าจะให้ทำอย่างไร ก็หนูไปจัดการกับ กลุ่มย่อยของหนูสีคือสรุปแล้ว เรื่องของท่านแตะต้องไม่ได้ ยึด มั่นสำคัญผิดว่า หน้าของท่านใหญ่เหลือเกิน แต่ท่าน ไม่เห็นตัวตนของท่านหรอก เพราะเสียงของท่านใสบริสุทธิ์ ไม่มีเจตนาอย่างนั้น เรากำลังเอาสติมองดูความยึดมันสําคัญผิด ว่าเป็นรวงรังของทุกข์ อ๋อ.อย่างนี้นี่เองคนมันตีกันเพราะอย่างนี้ดิฉันตกลงปลงใจแล้วว่า เรืองนี้เราจะเป็นฝ่ายเรียนเป็นฝ่ายรู้ เราจะเอาสติมาดูว่า ถ้ามีเหตุการณ์ อย่างนี้เกิดขึ้น ถ้าเราไม่มีตัวไม่มีตน เราจะดูตามเหตุ ปัจจัยที่มีอยู่ แล้วรักษาใจของเราให้เป็นปกติได้ไหมยังไงดิฉันชนกับท่านก็ไม่ชนะ แล้วจะไปชนทำไม เก็บ แรงของเราไว้ดีกว่า แล้วมาคิดหาทางออกดิฉันก็ได้คิดว่า คนเราถ้าไปยึดติดว่า เราเป็น ผู้ใหญ่ เราเป็นบุคคลสำคัญ แล้วเราผิดไม่ได้ เราเสีย หายไม่ได้ มันน่ากลัวอย่างยิ่ง เพราะไปติดต่อกับใครคู่กรณีก็อึดอัด ถ้าเขาตำแหน่งเล็กกว่า เขาจำเป็นที่จะ ต้องทํากิริยานอบน้อม แต่ในใจนั้นทุกข์เดือดร้อน ก็ก่อ ให้เวรและภัยเกิดขึ้นด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์อย่างในเรื่องมิลินทปัญหา ครั้งศาสนาพระ กัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาคเสนเป็นพระภิกษุ มี เณรอยู่ในสำนัก เณรขัดเคืองใจที่ถูกพระภิกษุเรียกใช้ เห็นเณรเป็นอะไร ใช้ได้ใช้เอา เมื่อเณรจำใจขนหยากเยื่อ ที่พระภิกษุกวาดไว้ไปทิ้งเสร็จ ก็ตั้งความปรารถนาว่า ด้วยผลบุญแห่งการขนหยากเยื่อทิ้งนี้ ชาติต่อไปขอให้มีเดชศักดานุภาพใหญ่หลวง และขอให้มีปัญญาเฉียบ แหลมกว่าชนทั้งปวงพระภิกษุรู้วาระจิตของเณร ท่านจึงปรารถนาว่า ด้วยกุศลที่ได้กวาดหยากเยื่อนี้ ชาติต่อไปขอให้มี ปฏิภาณว่องไว สามารถตอบโต้ปัญหา แม้ของสามเณรนี่คือเหตุที่มาของมิลินทปัญหา คือ เณรมาเกิดเป็นพระยามิลินท์ เจ้าผู้ครองสาคลราชธานี มีสติปัญญา เฉียบแหลม พอพระราชหฤทัยในการไล่เสียงลัทธิต่างๆทำให้นักปราชญ์ราชบัณฑิตสมัยนันดรันคร้าม ไม่กล้า ทูลโต้ตอบพระราชปุจฉา จนอำมาตย์กราบทูลถึงพระ นาคเสนว่า เป็นผู้มีปฏิภาณแตกฉานในพระไตรปิฎกพระยามิลินท์ จึงเสด็จไปถามปัญหากับพระนาคเสน และพอพระทัย ยอมรับในคำวิสัชนาเราเองไม่มีวาระจิต ไม่มีสติปัญญาเฉียบแหลม เท่าพระภิกษุองค์นั้น จะรู้ได้อย่างไรว่า ระหว่างที่เราใช้ ใคร แล้วเขาทำท่าสงบเสงียมกับเรา แต่ในใจเขาคิด..... อย่าให้ถึงที่ตูบ้างนะ... เราก็แหลกไปเท่านั้นครูบาอาจารย์ท่านจึงสอนว่า ไม้ล้มเราจะข้ามก็
ข้ามไปเถิด แต่คนล้ม หรือเห็นคนที่ด้อยกว่าเรา อย่า ไปนึกดูถูกดูหมิ่นเขา เพราะตอนนี้แลดูเหมือนเขาแย่ กว่าเราก็จริง แต่บุญกุศลเขาอาจจะมีมากกว่าเราก็ได้ คนบางคนเขาเผลอทำผิดทำชั่ว ตกไปในทุคติภูมิ ครั้น พ้นจากทุคติภูมิ เขาไปเป็นเทวดาเป็นพรหมก็มี เพราะ บุญกุศลของเขามีสะสมอยู่ถ้าเราไปดูถูกดูหมิ่นเขาไว้ถึงตอนที่บุญกุศลของ เขามาหล่อเลี้ยง เราเองจะหน้าแตกไป ท่านจึงสอนเอา ไว้ว่า เวลาที่เราเห็นอะไร อย่าไปยึดมั่นสําคัญผิด เอาตัว ไปเปรียบเทียบแล้วหลงใหลได้ปลื้มว่า เราวิเศษกว่าเขา เพราะมันจะทําให้เราประมาท ลืมสะสมเสบียง ไม่ทำ คุณงามความดีให้กับตัวเองเมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว คอยมองเหตุการณ์ในชีวิต ประจำวันของเราดู ตลอดเวลาที่อะไรมา กระทบ ถ้าเราไม่เอาสติไปห้ามล้อไว้ มันจะสนองตอบ ไปด้วยความยึดมั่นสําคัญผิด โดยเอาตัวเองเป็นจุด ศูนย์กลางทั้งนั้นอีกตัวอย่างหนึ่ง เมื่อไรที่จะไปวัด คนนั้นคนนี้ อยากจะตามไปเป็นกลุ่ม จนบางครั้งก็ทะเลาะกัน เช่นว่า วัดป่าแก้วไม่มีรถไฟไปถึง ต้องไปทางรถทัวร์ซึ่งมีวันละ
เที่ยวเดียว ถ้าเผือเราไม่ซื้อตัวไว้แต่เนินๆ ไปกันหลายๆ คน ก็มักจะมีตัวไม่ครบจำนวนคนครั้งหนึ่ง ก็เป็นอย่างนี้ คนนันก็จะไป คนนี้จะ ไป จะไปจะไม่ไป ตกลงกันไม่ได้แน่นอนสักที ดิฉัน บอกกับทุกคนว่า ขอให้ดิฉันทราบก่อนวันทีเท่านี้เท่านั้น เพราะถ้าช้ากว่านี้ ดิฉันมีธุระจะไปต่างจังหวัด กลับมา อีกทีก็เป็นหนึ่งวันก่อนออกเดินทางไปวัด ซึ่งตอนนั้นซื้อ ตั๋วรถทัวร์ไม่ทันแล้วปรากฏว่า มีท่านหนึ่งญาติเจ็บ ท่านตัดสินใจ ไม่ได้ว่า จะไปดีหรือไม่ไปดี ท่านก็รักพี่เสียดายน้อง น่า...คอยอีกเดียว..คอยอีกหน่อย ในที่สุดคอยจนกระทั่ง ถึงวันที่ดิฉันไปต่างจังหวัด ก็ยังไม่ได้คำตอบจากท่าน ว่า จะเอาอย่างไรกันแน่ เพราะดิฉันโทรศัพท์ตามล่าตัวท่านเท่าไรๆ ก็ไม่ได้ตัวครั้นจะไปซื้อตัวก่อนได้พูดกับท่านก็ไม่สบายใจ คล้ายๆ กับว่า เราตกปากรับคำว่าจะคอยท่าน แล้วผิดคำพูดดิฉันออกต่างจังหวัดไปด้วยความหงุดหงิดมาก เพราะกังวลว่าจะไม่มีตัวรถทัวร์ครบคน แล้วคงต้องยุ่งไปหมดสติก็เตือนขึ้นมาว่า ถ้าเหตุปัจจัยของเรา มีว่ามันต้องยุ่งยาก เราจะต้องเดินทางด้วยความไม่เป็นปกติ มันก็ต้องเป็นไปอย่างนัน ไม่ใช่เพราะท่าน มันเป็น
เพราะเหตุปัจจัยของเรา แต่ถ้าเหตุของเรามีอยู่ว่าเราจะได้เดินทางเรียบร้อย ถึงกลับมาจากต่างจังหวัดแล้ว วันเดียวไปซื้อตัวรถ มันก็จะมีตัว เมื่อทำใจได้อย่างนี้แล้วใจก็สบายกลับจากต่างจังหวัดแล้ว ท่านก็ยังไม่ติดต่อมาด้วยใจที่สบายแล้ว ดิฉันก็เพียรโทรศัพท์ถึงท่าน ซึ่งกว่าจะได้ตัวก็ตกไปถึงบ่ายแล้ว พอได้ตัว ท่านบอกว่า...อ้าว พี่นึกว่าพี่บอกเรียบร้อยแล้วว่าไม่ไป แทนที่ท่านจะขอ โทษเราสักคําหนึ่ง ท่านกลับทำเสียงเหมือนเราไปรบกวนท่าน ก็พีตกลงไม่ไปแล้วไงล่ะ...ทำให้ดิฉันเห็นได้ว่า เมื่อ ท่านตัดสินใจไม่ไปแล้ว ใครอื่นจะไป ใครอื่นจะเดือดร้อน เรืองของเจ้า ฉันไม่เกี่ยวแล้ว
เพราะฉะนั้นท่านก็ทอดธุระ ไม่ใส่ใจอีกต่อไปในเมื่อเราเป็นฝ่ายเดือดร้อน ถ้าเราไม่ติดต่อมาก็เรือง ของเรา แต่เพราะดิฉันมีเหตุมีผลของดิฉัน ทําใจได้แล้ว ว่าเรื่องนี้ถ้าจะได้ตัวก็เพราะเหตุปัจจัยของเรา จะไม่ได้
ตั๋วก็เพราะเหตุปัจจัยเก่าของเรา ไม่เกี่ยวกับท่าน อย่า ไปทeใจให้เกิดเวรภัยต่อกันด้วยความหลงยึดมันสําคัญผิดเลยเมื่อใจดิฉันมีภูมิคุ้มกันมิใยท่านจะทำเสียงคล้ายกับ...อะไรกัน ก็บอกไปเรียบร้อยแล้ว ยังมากวนกันอีก ทeไม... คล้ายๆ ดิฉันความจำเสื่อมถึงขันมาปรับโทษท่าน ดิฉันก็ว่า ขอประทานโทษค่ะ ที่โทรมารบกวนดิฉันจัดแจงออกไปท่ารถทัวร์หมอชิต ก็ทำใจแล้วไม่ได้ก็ไม่ได้ สิ่งประหลาดมหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้นกล่าวคือ มีตัวให้เต็มตามจำนวนคนที่จะไป ทำให้ดิฉันกับท่าน เกิดเป็นสนิมในใจ ก่อเวรให้ตัวเองโดยเปล่า ประโยชน์ เพราะเสร็จแล้วเราก็ได้ตัวไปอย่างที่ใจตั้ง ทำให้เราเสียสุขภาพจิตไปเปล่าๆ ท่านจึงว่า ไม่มีใครหรือ สิ่งใดจะก่อทุกข์ก่อโทษให้เรา ได้หนักหนาสาหัสเท่าใจของเราเองที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ตั้งแต่นันมา ดิฉันอยู่กับปัจจุบันเป็นมากขึ้นถ้าไม่อย่างนั้น ปากก็ว่า อยู่กับปัจจุบันแล้ว แต่อาจจะ ปัจจุบันชนิดอาทิตย์ล่วงหน้า ปัจจุบัน 3 วันล่วงหน้าตามแต่ความยึดมั่นสำคัญผิดของเราจะกำหนดเขตนิรภัย เอาไว้ ว่าต้องแค่นี้แค่นี้ จึงจะวางใจได้ เราจึงมีปัจจุบัน ของเราที่ขยับเขยื้อนได้ตามแต่ความยึดมั่นสำคัญผิด ของเราจะกำหนดเมื่อค่อยๆ เห็นอย่างนี้ เราก็พากเพียรแกะสนิม ของเราต่อไปเรื่อยๆ แทนที่จะไปหงุดหงิดกับคู่กรณี เรา ก็น้อมเข้ามาในกายในใจของเรา เออ...ขอบคุณนะ ถ้า ท่านไม่ทําเหตุอย่างนี้ขึ้นมา เราคงมองไม่เห็น แล้วเกิด ปัญญาที่เห็นได้ละเอียดลึกซึ้งอย่างนี้ดังนั้นไม่ว่าใครจะทำอะไรกับเราใจของเราก็นอบ น้อม เพราะอะไร เพราะเราขอบคุณ ท่านอาจารย์ก็ยัง เทศน์ให้ถึงขั้วหัวใจเราอย่างนี้ไม่ได้ ทำให้เรามองทุกกรณี ในแง่ดีมีคุณประโยชนหลายๆ ท่านไม่เข้าใจว่า ถ้าเราปฏิบัติธรรมแล้ว ะมองอะไรในแง่ร้ายไม่ได้ เราต้องมีความคิดที่ดีต่อเขา ไม่เบียดเบียนเขา ไม่ยกตนข่มเขา แต่การมองทุกอย่างในแง่ดีโดยมองผิดความจริงนั้นไม่ใช่การปฏิบัติธรรม ธรรมย่อมพาเราให้รู้ตามเป็นจริง ตื่นจากความยึดมั่น สําคัญผิด หลงตะครุบเงา เบิกบานกับความเป็นอิสระ เสรีเมื่อเด็กๆดิฉันเรียนหนังสือที่โรงเรียนแม่ชีฝรั่ง มาแมร์สอนว่า ไม่ได้ เราจะคิดร้ายกับเพื่อนไม่ได้ ถึงเขา ไม่ได้ตั้งใจหาเมดกตองอภยวา เขาเมเดตง เจ แตบางทเราพสูจน์ได้ว่า เขาตั้งใจทําไม่ดีอย่างนัน เราก็ไปบอกมาแมร์ว่า เขาตั้งใจ เขาเป็นคนไม่ดี การคิดอย่างนันทํา ให้ใจเราเป็นบาป เราต้องเอื้อเอ็นดูคนผิด ให้โอกาสกับเขาดิฉันก้พยายามเราจะเป็นคนดี เพราะฉะนั้นใครไม่ดี เราก็ต้องพยายามทําให้ใจเราเชื่อว่า เขาดีนะแล้วใจเราก็ฟกซ้ำดำเขียว เพราะจริงๆเขาไม่ดี มันก็ เกิดเรื่องอย่างเดิมซ้าแล้วชําอีกอยู่ไม่รู้จบเมื่อไปเมืองนอก อาจารย์ที่ปรึกษาก็ว่าดิฉันอะไรกัน คิดอะไรเหมือนอย่างกับเด็ก ไม่มีสติปัญญาคนในโลกนี้ ใครจะดีได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ มันก็ต้องตั้งต้น กันที่ 50-50 เพราะถ้าเราดีดว่า 50-50 มันก็มีทางที่จะเติมคะแนนให้เพิมขึ้นได้ เออ.เขาก็ดีอย่างนันนะ ดีอย่างนี้นะ ใจของเราจะได้เป็นทางบวก คบกับใครแล้ว เราก็มีที่ชื่นชมเขาไปเรือย ๆ ดฉนยงคอนวาอาจารยที่ปรึกษาว่า อาจารย์คะ อาจารย์ทําให้โลกนี้หมองไปหมด
เลย เพราะอะไรๆ ก็  50-50 ใจไม่เบิกบานพอเข้าวัด ท่านอาจารย์สิงห์ทองบอกว่า พระ
พระ พุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เป็นคนโง่อย่างนั้นดิฉันประท้วง อะไรนะเจ้าคะ พระพุทธเจ้าสอนให้คน เรามีเมตตาต่อกันไม่ใช่หรือเออ….เมตตาต่อกันนันแหละ แต่ต้องอยู่กับ ความจริง เพราะฉะนั้นเริ่มที่ศูนย์ศูนย์ของท่านคือว่า เริ่มต้นรู้จักกับใคร เราต้อง ทำใจไห้ว่างเอาไว้ อย่าไปคิดว่าเขาดี เขาไม่ดี เขาเป็น อย่างใน้นอย่างนี้ เอาความยึดมันสำคัญผิดไประบายสีเขาเริ่มต้นที่ศูนย์เพราะเรายังไม่รู้จักเขาเลยพฤติกรรมอะไรมา นั้นเป็นข้อมูล จดจำบันทึกใส่แฟ้มเอาไว้ รับรู้เอาไว้ตามความเป็นจริง แล้วค่อยๆคะแนนเขาไปตามความเป็นจริง เราจะได้ไม่เกิดความเข้าใจผิดซึ่งกันและกันสิ่งที่ท่านพูดนี้ถูกต้อง แต่เราเอาอุปาทานเราเอง เราเอาความยึดมันสำคัญผิดของเราไปกําหนดที่ศูนย์ โอ้โฮ...คนเราพอเจอกัน เซ็งตายเลย ไม่มีความยินดีต่อกัน ไม่มีน้ำใจเอื้อเฟือเผื่อแผ่กันเลย พอเจอหน้ากันก็ยี้...ศูนย์เสียแล้วอันที่จริง ท่านสอนให้เราอยู่กับความเป็นจริง รู้จักโลกนี้ตามความเป็นจริง ถ้าเราทำใจของเราได้อย่าง นั้นจริง ๆ มันจะไม่เกิดการตัดพ้อต่อว่ากันเพราะไม่อย่างนั้น เราจะเผลอไปคิดเอาไว้...เขา เหมือนกับเพื่อนคนนัน เราก็นึกสรุปเอาว่า เขาจะต้อง เป็นอย่างเพื่อนคนนั้น ครั้นเขาทำอะไรผิดความคาดเดาของเรา เราก็จัดแจงไปต่อว่าเขา คุณทำไมถึงทำอย่างนี้ คุณทำให้ฉันอกหักยับยี่ยับเยินหมดเลย ซึ่งจริง ๆ เขาก็เป็นของเขาอย่างนี้ แต่เราดูไม่เป็นเองเมื่อท่านอาจารย์มรณภาพจากเครื่องบินตก บรรดาลูกศิษย์ลูกหาทังหลายแตกกระจัดกระจาย คนต่างก็ไปหาตัวแทนองค์ท่านอาจารย์ หาสํานักแทนความเป็นจริงท่านอาจารย์สิงห์ทองมีอยู่องค์เดียว แต่ ลูกศิษย์ทั้งหลายไปแล้วไม่ได้ไปสู่สำนักเดียวกัน คนนี้ ไปสํานักนั้น คนนั้นไปสำนักนี้ ถามว่า ทำไมล่ะ ก็ได้ คำตอบ มองท่าเดินแล้วเหมือนท่านอาจารย์
อีกท่านหนึ่ง ถ้ามองดูเท่าไร ๆ ก็ไม่เห็นความ ละม้ายท่านอาจารย์เลย แต่หลับตาฟังแล้ว เสียงเหมือน
จนเผลอคิดว่าเป็นท่านอาจารย ตกลงคนนียึดที่เสียง เราจึงเห็นได้ว่า ท่านอาจารย์ทมอยู่องค์เดียว
นั้นในใจของลูกศิษย์แต่ละคน ที่เห็นท่านผ่านแว่นของอุปาทาน ไม่เหมือนกันเลย ถ้าเราไม่รู้จักว่า ในใจของเขา ยึดเอาไว้ตรงไหน เมือมาพูดกันถึงท่านอาจารย์ เรากับ เขาก็อาจจะตีกันได้ เพราะเมือเราบอกว่า ท่านอาจารย์เป็นอย่างนี้ ๆ เขาก็จะบอก ไม่ใช่ เพราะเขาไม่ได้ยึดตรง จดเดียวกับเราเมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว ใจของเราจะได้ไม่เกิดความ หงุดหงิด ว่าใครถูก ใครผิด เวลาที่มีเรื่องขัดแย้งกันเราจะได้บอกตัวเองว่า ที่เรานึกว่าเรารู้จักเขานั้นฟังเขาให้ดี ที่นี้เมือฟังแล้ว เราก็เข้าใจ ที่เขา มองกับเรามอง มันคนละส่วนกันทำนองเดียวกับคนตาบอด 6 คน คลำช้าง คน ที่พ่อแม่พาไปคลําหู ช้างเป็นพัดนะ บังเอิญพ่อแม่เรา พาไปคลําขาช้าง ช้างของเราก็เป็นเสา ไม่อย่างนั้นตีกัน ตาย ว่าฉันต้องถูก ต้องแน่กว่า ช้างต้องเป็นเสา ทางโน้นก็ค้าน ไม่ใช่ ช้างต้องเป็นพัด อันที่จริงช้างก็เป็นทั้งเสาทั้งพัดนั่นแหละ ถ้าเราสืบสาวดูจนกระทั่งรู้ตามความเป็นจริง ถ้าเราฉลาดกว่านั้น เราก็ขวนขวายดูไปจนกระทั่งรู้ว่า ช้างทั้งตัวเป็นอย่างไร เสาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของช้าง เช่นเดียวกับพัด ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งของช้าง นี่คือวิธีการที่เราจะทะลุความ ยึดมันสําคัญผิดออกไปได้ถ้าสติของเราจับทันตรงนี้ได้ทุกเวลานาที ก็จะ ได้ประโยชน์ต่อเรา เพราะว่า เราจะเอาทุกเวลานาทนมาสอนตัวเองให้เห็นว่า เราไปยึดติดอยู่ตรงไหน ไปสำคัญผิดอยู่ตรงไหน เราจะได้แกะสนิมของเรา แกะยางแห่ง ภพชาติของเราออกไปเรื่อย ๆ เพราะไม่มีใครจะมาชี้บอกใครได้ ถ้าเราเองไม่สะดุด แล้วฉุกเห็นตรงนี้ ต่อให้ใครมาชี้มาบอก เราก็ไม่เห็นไม่เชื่อไม่ใช่ว่าเราแกล้ง สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราเองนึกว่าเราเห็นแล้ว รู็จักแล้ว แต่ความจริงเราไม่เห็น มองผ่านไป แล้วก็ไม่ได้สะดุดใจเลย แต่ถ้ามีเหตุการณ์อะไรที่เป็นอย่างนั้น แล้วเราทบทวนขึ้นมา เราจึงเกิดความเข้าใจดิฉันเข้าใจว่า ตัวเองเป็นคนรักษาคำพูด ว่าคำ ไหนแล้วก็เป็นคำนั้น ไม่เคยพูดกลับไปกลับมา แต่ไป คิดว่า ในใจของเราที่คิดอะไรๆ นั่น เป็นสิทธิเสรีภาพของเรา จะเปลี่ยนใจกลับไปกลับมาก็ไม่มีความผิด แต่ท่านอาจารย์จะย้าว่า ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุก อย่างสำเร็จได้ด้วยใจ เราก็ยังไม่สะดุดใจ เราก็ยังไม่ เฉลียวว่า ท่านเตือนเราดิฉันคิดอะไรอยู่ในใจ แล้วพลิกเปลี่ยนใจ ท่าน อาจารย์จะสวนคำขึ้นมาทันทีว่า เฮ้อ... ผู้หญิง เปลี่ยนใจ วันละ 500 ครั้ง ก็ไม่สะดุดใจว่า ท่านเห็นในใจเรา แล้ว ท่านกeลังเตือนเราอยู่ กลับส่งจิตออกข้างนอก ไป มองหาผู้หญิงคนอิน คุณแม่ชีคนไหน.หรือเพื่อนเรา.. หรือแขกที่มาพัก...ผู้หญิงคนไหนนะที่ทำพฤติกรรมอย่างนี้ น่าทุเรศจริง ๆเรื่องของตัวเองแท้ ๆ แต่ไม่เห็น แล้วก็เที่ยวได้ ไปเพ่งโทษว่าใคร ๆ เพราะเราไม่ชอบที่ท่านมาว่าผู้หญิง ว่าเปลี่ยนใจ จนเวลาล่วงเลยไปเป็นเดือนวันหนึ่ง กำลังคิด...คิดอยู่ แล้วก็คิดเปลี่ยนใจขึ้นมา สติที่ตามดูใจตัวเอง ก็ทำให้สะดุดขึ้นมาในใจว่า...เอ การที่เราคิดแล้วเปลี่ยนใจอย่างนี มันก็ไม่ถูก เพราะ เราปฏิบัติแล้ว ใจควรจะต้องมีเหตุมีผล ไม่ใช่ว่า นึกจะ ไปทางนี้ก็ไป พอนึกไม่ชอบใจ ก็เปลี่ยนตามอารมณ์กำลังคิดถึงตรงนี้ เสียงท่านอาจารย์ก็ดังขึ้นมา
ว่า... ผู้หญิงอกแลว...อาจารย์ละเหนื่อย เปลี่ยนใจวันหนึ่งไม่รู้กี่หน เราก็สะดุดว่า หรือเป็นเราเอง เหลียวไปมอง ท่านอาจารย์ ก็พบว่าท่านกำลังมองเราอยู่ คล้าย ๆ กับ...เออ... ตื่นเสียที่สิ..การที่เราจะเห็นในใจของตัวเอง แล้วแก้ไขได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะระดับสติของเรายังไม่คมพอที่จะ หยังลงไปถึง ใจไม่เหมือนน้ำในแก้ว ที่มองลงไปแล้ว เห็นทะลุปรุโปร่งไปหมด ท่านเปรียบเทียบเหมือนต้น กล้วยหรือหัวหอม ที่ซ้อน ๆ กันเป็นชั้น ๆ ถ้าสติยังไม่ได้หยังเข้าไป ถึงอาณาบริเวณที่ลึก...ลึก ที่เรียกว่า จิตใต้สํานึก จิตไร้สํานึก คนร้อยทั้งร้อยเขาเห็นกัน แต่ เราจะไม่เห็นรู้อย่างนี้แล้ว เวลาที่ใครมาปรับไหมเรา ชนิดที่ เรานึกว่า อะไรกัน ใส่ไคล้ปั้นน้ำเป็นตัวกันถึงขนาดนี้เชียวหรือ เราจะได้หยุดตัวเรา ตั้งสติค้นเข้าไปในกาย ในใจ เออ...หรือว่าเราเองไม่รู้จักตัวของตัว ไม่เห็นตัวเอง ใจจะตั้งมัน แล้วจะสงบ ไม่อย่างนันเราจะเถียงสังเกตดูเอา ถ้ายังไม่มาปฏิบัติ ยังไม่เห็นถึง ความยึดมันสำคัญผิด เวลาที่พูดอะไรกับใคร แล้วเขาไม่คิดอย่างเรา เขาจะไม่ฟังเรา แต่จะรีบชี้แจงว่า ฉันคิดอย่างนี้ๆ สรุปแล้ว เขาเลยไม่มีโอกาสที่จะได้เรียนรู้และ ปรับปรุงตัวเอง เพราะอะไร เพราะพออะไรที่เกิดขึ้นไม่ เหมือนที่เขาคิดไว้ เขาก็ลงความเห็นว่า อันนันผิดทั้งหมด
เพราะเขายึดมันสำคัญผิดเอาไว้ว่า สิ่งที่เขารู้สิ่งที่เขาตรึกตรองอยู่นี้ เป็นที่สุดแล้ว ที่เขาชี้แจงนั้น เพราะเขารัก เขาหวังดีต่อเรา เขาจึงต้องชี้แจงให้เราเห็น เพื่อเราจะได้คิดถูกคิดชอบตามเขา แล้วเขาก็ภูมิใจว่า เขาได้ช่วยเราให้เกิดสัมมาทิฐิ ได้ความเข้าใจถูกต้องแล้วแต่หารู้ไม่ว่าคนเรามีเรื่องกันเขาปิดกั้นโอกาสที่จะได้รู้ว่า เออ..การจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ แก้อย่างไรกันดิฉันเองก็เป็นอย่างนี้ ฟังท่านอาจารย์เทศน์ว่าคนเราที่มีเรื่องกัน ก็เพราะมันฟังไม่เป็น ดิฉันนึกโต้แย้ง อะไรกัน คนพูดภาษาไทยด้วยกันแล้วจะฟังไม่เป็น ฟัง ไม่ได้ยิน เป็นไปได้อย่างไร ก็เพราะความยึดมันสําคัญ ผิดมันปิดกั้นเอาไว้ ทําให้เขาพูดอะไร ๆ เราก็ฟังไม่เป็น เพราะเราเต็มจนหกไปแล้ว เหมือนน้ำชาล้นถ้วย เราได้ ยินแต่เหตุผลของเรา แล้วก็หลงยึดว่า เหตุผลอันนี้ถูก
ต้องเที่ยงธรรมทั้งหมดแล้ว เราเลยไม่ได้ฟัง ไม่ได้เรียนรู้ ไม่ได้เปิดใจให้กว้างขึ้น
ถ้าเรามาสะดุดตรงนีแล้ว แต่นี้ต่อไป ใครพูด อะไร สติจะผูกใจเราให้ฟังทั้งนั้น ถึงเราจะว่าเราถูก ชัด ๆ ถูกอย่างชนิดที่ไม่มีทางพลาดผิดเลย เราก็ยังฟัง แล้วบางทีจะพบว่า เออ...มันยังมีทางอินอยู่อีกที่น่าจะลองดูนะเราจะเปิดใจให้ได้เรียนรู้ คราวนีเวลาฟังอะไรใจของเราจะสงบ มีสติตั้งมัน มันก็ได้ประโยชน์เพิ่มขึ้น ไม่อย่างนั้น แต่ก่อน ฟังจริงอยู่ แต่มันไม่ได้ยิน ได้ยินแต่เสียงของใจตัวเอง ท่านจึงว่า เราฟังไม่เป็น เพราะฉะนัน วันเวลาที่ล่วงไป เรืองทั้งหลายที่เกิดขึ้นล้วนสอน เรา แต่เราละเมอ เพราะฟังไม่เป็น ตาก็ลืมอยู่แต่มองอะไรไม่เห็น เลยไม่ได้ประโยชน์อะไรการปฏิบัติคือ การที่เราจะมาละลายล้างความ ยึดมั่นสำคัญผิดออกจากใจ เมือไรที่เราไม่ยึดเอาไว้ว่า มี ตัวเรา มีของเรา นี่ความเห็นของเรา นี่งานของเรา เราได้ ทำมาแล้ว พิสูจน์แล้ว เพราะฉะนั้นมันต้องถูกต้อง ถ้า ไม่ไปยึดเอาไว้อย่างนี้ ไม่ไปยึดมั่นสำคัญผิดอย่างนี้ เรา
จะเห็นทุกอย่างมีแต่เหตุปัจจัย ถ้าเหตุเป็นอย่างนี้ ผลก็ต้องเป็นอย่างนี้เพราะฉะนั้น ถึงเราว่า เรารู้หมดแล้ว แต่ถ้า ใครพูดอะไร เราก็เริ่มต้นฟังเขา เหตุในความคิดของเขา เป็นอย่างนี้ อย่างนี้ เราคิดตาม เออ...ใช่ เมื่อเหตุของ เขาเป็นอย่างนี ผลของเขาก็เป็นอย่างทีเขาทำนั้นแหละเห็นอย่างนั้น ที่จะโกรธแค้น จะหาว่าใครผิด ใครถูก แล้วมาพิพากษาโทษกัน มีฝ่ายเขาฝ่ายเรา ก็เบา บางไป ใจเราก็เย็นพอที่จะฟังว่า เออ...เพราะเหตุของเขา เป็นอย่างนี้...อย่างนิ ผลก็ต้องไปที่ตรงจุดนั้น เรื่องที่กำลังทํากันอยู่นี้ สามารถยืดหยุ่นให้เป็นอย่างนั้นได้ไหม ถ้าไม่ได้ เราก็ใจเย็นแล้วค่อย ๆ บอกเขาว่า เหตุที่คุณตั้งไว้อย่างนั้น ๆ มันอ้อมโลกเกินไป ถ้าเปลี่ยนเป็นเหตุอย่างนี้ แล้วทำอย่างนี้ จะได้ถึงจุดที่เราตั้งเป้าไว้เร็วขึ้นจะดีไหม เราไม่ได้บอกว่า คุณผิด ฉันถูก แต่ เราบอกวิธีการ เมื่อเหตุมีอย่างไร ผลย่อมเป็นอย่างนั้นถ้าเราเอาเม็ดมะม่วงใส่ลงไปในดิน เราก็จะได้ ต้นมะม่วง ถ้าคุณอยากได้ส้ม คุณต้องไปหาเม็ดสัมมาแต่ถ้าคุณจะเอาเม็ดมะม่วงใส่ลงไป แล้วคุณบอกว่า จะให้เป็นต้นส้ม มันไม่เป็น พูดกันอย่างนี มันรับฟังได้ เพราะเราพูดกันด้วยเรื่องธรรมชาติ เราพูดกันด้วยเรื่อง ของเหตุของผลตรงกันข้าม ถ้าเราบอก คุณผิดฉันถูกถ้าพูด อย่างนั้นบทสนทนาจะไม่มีข้อยุติ เพราะเกิดความ ยึดมันสำคัญผิดแทรกเข้ามา เรื่องอะไรคุณจะถูกหนึ่งเหมือนกัน เลยกลายเป็นอารมณ์เข้ามาใส่กันพระพุทธเจ้าจึงสอนว่า ปกติของโลกนี้ ถ้าคิด กันด้วยเหตุด้วยผล ทุกอย่างย่อมเป็นธรรมชาติ ไม่มี เรื่องอะไรที่จะไปขุ่นเคืองกัน หรือว่าทุกข์โศกกัน แต่ถ้าเมื่อไร เราไปยึดมันสำคัญผิด มีตัวมีตน มีอุปาทานขันธ์ ขึ้นมาแล้ว มีแต่ทุกข์ทั้งนั้น อะไรๆ ก็ทุกข์ทั้งนั้น เพราะ ว่ามีเขามีเราขึ้นมาแล้ว มีผิดมีถูก มีดีมีชัว ทำให้โลกนี้ เกิดปลายขวา ปลายซ้าย แล้วเลยยุ่งวุ่นวายไปหมดการมาปฏิบัติก็เพื่อให้เรามองเห็นเท่าทันใจของเรา แล้วพยายามว่า แต่นี่ต่อไป ไม่ว่าจะทำอะไร คิดหาเหตุเสียก่อน ที่เราต้องการผลอย่างนี้ อะไรจะเป็นเหตุ ส่ง ให้เราได้ผลสมดังประสงค์ แล้วฝึกฝึนใจของเราให้ จดจ่อเทียง ตรงอยู่กับเหตุอันนั้น กระทำตามเหตุอันนั้นเพื่อจะได้พิสูจน์ว่า เหตุที่เราเห็นนั้น เที่ยงตรงสมควร แก่เหตุ ทำให้เป็นผลอย่างที่เราต้องการจริง ๆถ้าผลยังไม่เป็นไปดังคิด มีอะไรที่เราจะเรียนรู้ แล้วปรับปรุง แก้ไข เราก็เก็บสะสมประสบการณ์ เพื่อ ทำให้อวิชชาในใจของเรา ค่อยๆ จางคลายไป กลายเป็น วิชชาขึ้นมาแทนที่ ใจของเราก็สงบ ใจของเราก็รู้เพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นทําให้สามารถอยู่ในโลกนี้ด้วยความผาสุกนี่คือวิธีที่เราจะมาฝึกใจกัน ถ้าเราไปคิดว่าเมื่อฝึกใจแล้ว ทุกอย่างจะต้องดี เพราะว่า บัดนี้เราทำแต่ บุญแต่กุศลแล้ว เพราะฉะนั้นอะไร ๆ ต้องเป็นไปดังใจปรารถนาหมด ถ้าเป็นอย่างนั้น เราก็ยึดมั่นสำคัญผิด อีกแล้วเพราะอะไรเพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราประกอบ แต่เหตุ ท่านไม่เคยตรัสว่า ถ้าปฏิบัติขัดเกลาจิตใจของ ตนแล้ว เราจะสามารถจับชีวิตเรา วางให้เป็นไปดั่งใจ ปรารถนาได้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น หรือผลที่บังเกิดขึ้นนี้ ไม่ใช่มาจากเราฝ่ายเดียว เรามีเหตุที่ไปถักทอกับคนอื่น สิ่งอื่นที่มีส่วนมาเกี่ยวข้องด้วย
ดังนั้นเหตุที่มาจากคนอื่นสิ่งอื่น จึงเหนือวิสัย ที่เราจะไปหยั่งรู้ได้ เพราะฉะนัน ผลที่เป็นองค์รวม จึง เป็นสิ่งที่เราไปคาดหวัง หรือกำหนดกฎเกณฑ์ไม่ได้เปรียบเทียบได้ว่า เรามีหน้าทีเลือกเม็ดพันธุ์ที่จะเอาไปหว่าน เม็ดพันธุ์นันคือกายกรรมของเรา การ กระทำด้วยกาย วจีกรรมคำพูด มในกรรมความปรุง คิดเราเลือกได้ เมื่อหว่านลงไปแล้ว เราไม่รู้ว่า ที่สวน ที่หว่านลงไปนั้นมีปุ๋ยดี มีฝนตกเพียงพอไม่ลุ่มไม่ดอนหรือเปล่า ข้อมูลเหล่านี้เราไม่รู้ คนอื่น ซึ่งมีส่วนเข้ามาเกียวข้องด้วยถึงแม้ว่าทุกอย่างดีไปหมด เราก็ไม่รู้อีกว่า ปลูกลงไปแล้ว ต้นกำลังจะออกช่อออกผล เกิดมีด้วงมี หนอนมีแมลงอะไรมากิน เราก็รู้ไม่ได้ เพราะฉะนัน ผล จึงเป็นสิ่งที่อะไรจะเกิดขึ้นให้เห็นจริงเป็นรูปธรรม เราก็ต้องต้องยอมรับว่า มันเป็นอย่างนี้เอง เราไม่มีสิทธิ์ไปบีบ บังคับ หรือเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งสิ้นถ้าย้อนนึกไปถึงพระพุทธองค์เป็นตัวอย่าง เราก็จะหมดข้อโต้แย้งที่ว่า เรามาปฏิบัติแล้ว เราทําแต่สิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศลแล้ว ทุกอย่างจะต้องเป็นความสมปรารถนาของเรา พระพุทธองค์ท่านบริสุทธิ์ผุดผ่องเป็น สัมมาสัมพุทธะ อะไรๆ ในชีวิตของท่าน ก็ควรจะเป็น แต่ความดีความงาม ความสมปรารถนาแต่เราก็พบว่า ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น เดียวก็เจอะเจอแต่ปัญหา ท่านเสด็จไปบิณฑบาต ก็เจอ อันธพาลมาด่าทอขว้างปา นิกายโน้นนิกายนี้ไม่ชอบท่าน อิจฉาท่าน ใส่ไคล้ท่านต่าง ๆ นานาให้เกิดความเข้าใจ ผิด เพื่อประชาชนจะได้เสื่อมศรัทธาถ้าการทำดีมีผลเป็นความเจริญรุ่งเรืองสมปรารถนา โลกนี้จะไม่ทุกข์เดือดร้อนอย่างเดียวนี้เป็น อันขาด แล้วจะไม่มีใครทำชั่วด้วย ใครจะอยากให้ผลที่ เป็นความวิบัติบังเกิดขึ้นกับตน ทุกคนจะทำแต่ดีหมด เลย โลกนี้ก็เอียงกระเท่เร่ ไม่เป็นชุมทางให้เห็นทั้งดีทั้งชั่ว เพื่อจะเตือนใจให้เรารีบเร่ง ไม่ปล่อยให้เวลากลืน กินชีวิตเราไปโดยเปล่าประโยชน์ เราควบคุมได้แต่เหตุ ส่วนผลนั้นเป็นเรืองของอะไรหลายสิ่งหลายอย่าง ที่ นอกเหนือสติปัญญาของเราจะหยังรู้ได้น้อมใจของเราเข้ามาดู ประวัติของพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง หรือแม้กระทั่งของพระอรหันตสาวก เช่นอังคุลีมาล ระหว่างที่ท่านไล่ฆ่าผู้คน ไม่เห็นท่านทุกข์ เดือดร้อน ไปทางไหนทุกคนสยบกลัวท่านหมดท่านเป็นพระอรหันตี้เรียบร้อยแล้ว เดินไปบิณฑบาตดีๆ อ้าว...เขากำลังทะเลาะกัน ตีกัน เกิดเขาตีพลาด มาตีถูก เอาท่านเข้าหรือเขากำลังจะขว้างสุนัข ปรากฏว่าท่านเดิน มาพอดี ก้อนหินที่เขาขว้างสุนัขเลยโดนท่านหัวแตกว่าใครเขาจะทำอะไรกัน ท่านจะต้องเป็นเป้าเข้าไปรับ ทุกที เพราะบุพกรรมเมื่อท่านไล่ฆ่าผู้คน ทำให้ทุกคน อกสันขวัญสยอง มาถึงตอนนี้ กรรมนันติดตามมาให้ท่านได้เห็นว่า เวลาที่เราทำอะไรไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึง การณ์นัน เราทําให้เขาทุกข์เดือดร้อนอย่างไรบ้างถ้าใจของเรายังไม่เป็นธรรม เราก็ไปจองเวรกับเขาเข้าเรื่องอะไร เราเดินมาดีๆ จะขว้างหมาก็ไม่รู้จัก ขว้างดี ๆ แล้วมาขว้างถูกเรา เพราะฉะนั้นจะต้องปรับ ไหม เอาเรื่องให้ได้ ใจเราก็ไปเปิดบัญชีสร้างเวรกับเขา ขึ้นมาใหม่แต่ถ้าใจเราเข้าใจแล้ว เพราะเหตุมันมีนะ เรา เคยไปทําเขาเอาไว้ เพราะฉะนั้น คราวนี้เราต้องเป็นฝ่ายถูกกระทำบ้าง เราจะได้รู้เอาไว้... ต่อไปก่อนที่เราจะทำ อะไร จะได้ถามตัวเองว่า ทำลงไปแล้ว ถึงคราวที่เราเป็น ผู้รับผลของการกระทำของเราอย่างนี เราจะต้องพอใจ ไหม ถ้าเราเกิดสะดุดใจว่า ไม่เอาละ เราจะได้หยุดเอาไว้ใจที่เคยถูกความยึดมันสำคัญ ผิดบริหารให้เป็นไป จะค่อยคลายออก สติเข้ามาแทนที่ ครั้นจะทำอะไร สติจะถามหาเหตุผลว่า ถ้าเราทำอย่างนี้ แล้วเกิดมีใครมาทำกับเรา อย่างที่เราจะทำอย่างนี้ลงไปเราพอใจไหม ใจจะเห็นเหตุและผลขึ้นมาพร้อมกันเลยถ้าเราไม่พอใจผลที่จะได้รับ เราก็อย่าไปทำกับขา ระงับดับสิ่งที่เป็นอกุศล ไม่เบียดเบียนคนอื่นให้เขา ทุกข์เดือดร้อนถ้าระลึกได้เท่าทันอย่างนี้ พฤติกรรมของเราที่ ะเป็นไปโดยอัตโนมัติ โดยความยึดมันสำคัญผิด จะ ค่อย ๆ น้อยลง ๆ แล้วตัวสติจะค่อย ๆ เข้ามามีบท บาทในพฤติกรรมของเรามากขึ้น ๆเมื่อไรที่สติอยู่กับใจ สิ่งที่ทําไปจะเป็นมรรคทั้ง ก็เป็นหนทางไปสู่ความสิ้นทุกข์ ชีวิตของเราซึ่งเคยประสบความทุกข์เดือดร้อน มาบัดนี้ ก็ยังเป็นอย่างเดิม นั่นแหละ แต่ใจของเราเปลี่ยนไป แต่เดิม พออะไรมา กระทบบุ๊บ ใจจะถูกความยึดมั่นสําคัญผิด พาให้ปรุงคิด ไปตามอารมณ์ คราวนี้ อะไรมากระทบปุ๊บ สติเข้ามา เป็นแกนรักษาใจทันทีเมื่อสติมาเป็นแกน มันก็ถามหาเหตุผลว่า เพราะ เหตุอะไรที่เราได้ทําไว้ ...อ๋อ...เพราะเราทําเหตุไม่รอบคอบ ทำเพราะความหลงผิด ทําเพราะจิตเป็นอกุศล ฉะนั้น ผลย่อมเป็นอย่างนี้ เราจะได้เตือนตัวเอง แล้ว แก้ไขตัวเอง สัมมาทิฐิก็บังเกิดขึ้นเมื่อใจเห็นชอบแล้ว ไม่ได้เห็นไปด้วยความยึด มั่นสำคัญผิดแล้ว
สิ่งที่ทำไปก็เป็นเหตุผล เป็นปัญญา เห็นชอบ เมื่อเป็นอย่างนี้ ชีวิตเราก็ปลอดภัย เพราะไม่ ว่าจะทําอะไร ๆ ก็ล้วนเป็นเสบียง เป็นกุศลทั้งนั้นเมื่อเราหว่านเม็ดที่ดีไปแล้ว ผลก็ย่อมดี ถึง ไม่ดี ใจที่มีปีติหล่อเลี้ยง ก็ปลอบว่า เออ...จะได้ใช้หนี้ ให้หมดไป ถ้าเราเจอแต่ของดีหมด สติปัญญาก็ไม่ได้ หินลับ ขึ้นขึ้สนิม ทำให้ประมาทขาดสติ หลงมองทุก อย่างในแง่ดี ถ้าใจของเราอกุศล มีความยึดมันสำคัญผิดอยู่ ไม่ได้มีใครแกล้ง ลมพายุพัดกิ่งไม้ตกลงมา หลังคาบ้าน เราทะลุ ใจที่มีความยึดมันสำคัญผิดอยู่ พาให้คิดระแวง เราเคยทำไม่ดีกับคนอื่น เราก็ไปคิดว่า น่ากลัวเพื่อน บ้านแกล้ง ทำให้เหมือนเป็นอุบัติเหตุว่า ลมพัด เราก็ ไปจ้องจับผิดเขา หรือดีไม่ดี เราก็ไปค่อนว่าเขาถ้าใจเป็นกุศล อะไรเกิดขึ้น เราอภัย เราอโหสิ ใจอันนี้เป็นใจที่มีสติปัญญารักษา ทั้ง ๆ ที่เพื่อนบ้าน แกล้งเรา จองเวรเรา คิดทำร้ายเรา โดยทำเป็นว่า พัดให้กิ่งไม้ตกลงมาทำหลังคาเราแตก เราก็ไม่เดือดร้อน เพราะถ้าเรายังไม่ได้เห็นด้วย 2 ตาของเรา ไม่ได้ยิน ยกผลประโยชน์ให้จำเลยไปถ้าพายุพัดหักลงมา เราก็ต้องซ่อม ถึงเขาจะแกล้งเรา เราไม่ได้มีเหตุอะไรกับเขาต่อไป เขาก็ไปทุกข์เดือดร้อนของเขาเอง เพราะฉะนั้นเราทำใจเราให้สบายเอาไว้ดีกว่า ใจเราก็ไม่ไปทุกข์เดือดร้อน เราก็จัด การซ่อมหลังคาของเราใจก็เบาสบายเขาเองเขาแอบก่อเหตุที่ไม่ดี เขาก็คอยเฝ้าดูผลอ้าว...เราไม่โกรธ เขาก็อาจจะยิ่งโกรธมากขึ้น แล้วคอยหาเรื่องแกล้งใหม่ หรือมีอะไรมากระทบเขา เขาก็เลย เอาเป็นที่รองรับ ทําให้ตัวเองทุกข์เดือดร้อนไปถ้ารู้จักมอง เราจะเห็น เราจะคอยสังเกตดูผู้คน รอบข้างเรา ดูพฤติกรรมที่เกิดขึ้น จากแต่ละผู้คน ทุก เวลานาที สิ่งที่เห็นเหล่านี้ จะทําให้ใจของเราเกิดความ ละอาย กลัวเกรงต่อบาป แล้วเชื่อในเรื่องของกรรมว่า เราประกอบเหตุอย่างไหนไว้ เราย่อมเป็นผู้รับมรดก คือ ผลอย่างนั้นใจที่จะไปคิดโกงว่าไม่มีใครเห็น ขอแกล้งเขา หน่อย จะหมดไป ความยึดมั่นสําคัญผิด ที่เสี้ยมสอน เราให้เป็นคนฉกฉวยโอกาส เป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก จะค่อย ๆ จางคลายหายไปสติปัญญาที่เห็นตามความเป็นจริง หลักฐานที่ เราเห็นเป็นข้อพิสูจน์ทุกเวลานาที จะยืนยันอยู่ในใจเรา ว่า ใครไม่เห็นชั่งเขาแต่เราเห็นของเรา แล้วเรารู้ว่า เวลา ที่ผลจะมาให้เราต้องใช้หนี้ มันทุกข์เดือดร้อนแค่ไหน ใครอยากจะเสี่ยง ปล่อยเขาไปเถิด แต่เราไม่เสี่ยงด้วยใจอันนี้จะเป็นใจที่มี หิริโอตตัปปะ กลัว ละอาย ต่อผิดต่อชั่ว ไม่ได้กลัวละอายเพราะว่า เราโง่เซ่อกว่าเขา เราด้อยอำนาจกว่าเขา เราเลยต้องกัดฟันทน ไม่ใช่อย่างนั้นมันกลัวเพราะว่า มันรักตัวเอง ปกป้องตัวเองว่า ฉันไม่เสียงเรื่องอะไรฉันจะไปเสียง แล้วเวลาที่ฉันใครจะมาทุกข์เดือดร้อนด้วย ตามเป็นจริง ใจจึงเกิดความระมัดระวัง ใจจึงละเอียด ประณีต มันเข็ดไม่เอาอีกแล้ว ไม่ไปเกลือกกล้วกับอุปาทานความยึดมันสำคัญผิดอีกแล้ว มันไม่ให้โอกาสที่ตัวเองจะทุกข์เดือดร้อนอีกแล้วเห็น แล้วหลุดจากความยึดมั่นสำคัญผิดจึงผาสุกร่มเย็น เพราะสิ่งอะไรที่จะทำให้ตัวทุกร้อน มันไม่เอาทั้งนั้น มันรับแต่สิ่งที่เป็นธัมมะ เป็น อาหารให้สุขภาพใจสมบูรณ์แข็งแรงเมื่อเป็นอย่างนี่แล้ว ทั้ง ๆ ที่โลกนี้ยังบิดๆ เบียวๆ อย่างเดิม ผู้คนยังพร่องอยู่อย่างเดิม แต่เรา ไม่เอาใจเราไปเป็นเขียงให้เขามาสับอีกแล้ว เราก็อยู่ได้อย่างร่มเย็นเป็นสุขใจที่ร่มเย็นเป็นสุข ใจที่มีพลังอันนี้ สามารถจะ แผ่เมตตา ไปเป็นกําลังใจ ช่วยเหลือเกื้อกูลคนอื่น คนอื่น ให้เขามีกำลังใจขึ้นมา แล้วฟันฝ่าขวากหนามเพื่อ เดินไปบนมรรค อย่างที่เรากำลังเดินอยู่อย่างนี้ สังคมที่เราอยู่ก็จะเป็นสังคมที่น่าอยู่ถ้าเห็นอย่างนี้เราจะได้พยายามทำให้แต่ละคนๆ หลุดพ้นจากการเป็นข้าทาสของอุปาทาน ความยึดมั่นสำคัญผิด เราจะได้อยู่กันอย่างเป็นธรรมชาติ เห็นทุก อย่างเป็นเหตุปัจจัย แล้วเราก็แก้ไขกันไปตามเหตุปัจจัย แต่ละอัน ๆ อะไรที่เป็นอกุศล เราก็เปลี่ยนไปเป็นกุศลเสีย แล้วอะไรต่อมิอะไรก็จะเป็นความผาสุกใจของเราก็ได้พักได้กำลัง โลกนี้ก็ร่มรื่นน่าอยู่น่าอาศัยตัวเองก็หวังว่า สิ่งละอันพรรค์ละนิดที่เอามา เล่าสู่กันฟังนี้จะเป็นกำลังใจ เป็นพรธรรมสำหรับปีใหม่ให้เราเริมต้นกัน เพื่อจะได้ไปถึงจุดหมายปลายทาง

พิมพ์โดย       ปภัสสร    มีพงษ์
แหล่างที่มา   http://web.krisdika.go.th/buddha/41_1_yudmun.pdf

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Back To Top