บทความหมออมรา
ค้นหาความสุข
ชื่อผู้เขียน พญ อมรา มลิลา
วันที่ 18 มีนาคม 2548
ณ ห้องประชึมชัยนาทนเรนทรสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
อันดับที่
หมวด
วันนี้เราก็ว่าเราจะผาค้นหาความสุขกันก่อนเข้ามาในห้องนี้ กลับมีเสียงแว่วๆมาว่าค้นหาทำไมความสุขค้นหาเงินดีกว่า ก็เป็นประเด็นที่น่า คิดและน่าที่จะเอามาพูดเหมือนกันแต่ก่อนจะไปค้นหาความสุขหรือค้นหาเงิน เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ที่เป็นตัวตนเรา ที่ เห็นๆ กันและคิดว่าเรารู้จักตัวของเราแล้วนั้น จริงๆ ตัวเราประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ความสุขที่เราจะค้น หานั้นสุขที่กายหรือสุขที่ใจ ตรงนี้เราต้องพยายาม พินิจพิเคราะห์และค้นหาให้เห็นชัดเจนก่อนถ้าไปเข้าใจว่าความสุขอยู่ที่กาย เราเข้าใจผิด แต่ถ้าใจมีความสุขแล้ว กายจะอยู่ตรงไหนก็เป็นสุข นั้งนั้น ถ้าใจรุ่มร้อน ถึงกายจะอยู่ในห้องเย็นเฉียบ มีสารพัดสิ่งสะดวกสบาย เราก็ยังทุกข์อยู่อย่างนั้น ตรงนี้สำคัญจริง ๆใจเป็นคนละส่วน คนละธาตุกับร่างกายอย่างชัดเจนก่อนเมื่อเราหมดลมหายใจ ร่างกายก็เน่าเบื่เอย สลายคืนสู่ธรรมชาติเดิมของมํโนส่วนที่ข้นแข็งเป็นเนื้อหนังเอ็นกระดูกก็กลับคืนกลืนไปเป็นตินสู่พื้น แผ่นดิน ส่วนที่เป็นนั้าก็เป็นนํ้าซึมชับไปสู่ผืนนํ้า ลม และไฟเหมือนคับหายไปเพราะเป็นธาตุที่ไม่คงทน ส่วนใจไม่ได้ตายตามร่างกายไป และไม่เสื่อมสลาย ด้วยใจเปรียบเหมือนนักเดินทางมาราธอน ที่มี ร่างกายเป็นบ้านเรือน เครื่องมือเครื่องใช้เมื่อเครื่องเหล่านี้เก่าผุพัง หรือมีเหตุบังคับให้ต้องละทิ้ง ใจก็ไปแสวงหาบ้านใหม่ ตามวงเงินของบัตรเครดิต หรือด้นทุนที่มือยู่ ซึ่งมีนั้งอริยทรัพย์ บุญกุศล หรือ บาปทรัพย์ บาปอกุศล ถ้ามีบาปทรัพย์มากมาย เรา ตั้งใจไปเข้าท้องคนดีมีฐานะ เขาก็แท้งเสีย เหมือน เราเอาบัตรเครติตไปวางมัดจำโรงแรมที่จะเข้าพักแรม เขาก็ปฏิเสธว่ายี่ห้อนี้ไม่รับมีไรเราจะยืนยันว่าบัตร เรามีสตางค์ที่จะชำระ เขาก็ไม่รับ เราก็เลยต้องออก มานอนข้างถนนหรือศาลาริมทางแทนเมื่อดิฉันไปสืกปฏิบัติกับท่านพระอาจารย์สิงห์ทองที่วัดป่าแก้ว ดิฉันเชื่อว่า ถ้าเราพลาดท่าเสียทีไม่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ จากตำราที่เคยเรียน สันนิษฐานว่ามนุษย์เรามาจากลิง ก็ทำใจว่าไปเกิด เป็นสิงก็พอทำเนา ท่านอาจารย์ก็เล่าว่า เมื่อท่าน เป็นพระหนุ่ม เที่ยวธุดงค์ไป ไต้จำพรรษาอยู่กับ หลวงปูขาวที่รัดถํ้ากลองเพล มีผู้หญิงชาวบ้านมีอัน จะกินคนหนึ่ง สามีเพิ่งตายไปไต้ 2-3 เดือน เขา มาทำบุญถึงสามีเป็นประจำวันหนึ่งก็ถามหลวงปู่ว่า คนไปเกิดเป็นตุ๊กแกได้ไหมหลวงปูถามเขากลับไปว่าทำไมจึงติดเช่นนั้น เขาก็เล่าว่าเมื่อผัวตายไปเขาก็มาทำบุญอย่างนี้ เป็นประจำประมาณสักหนึ่งเดือนมานี้ สังเกต
เห็นลูกตุ๊กแกตัวหนึ่งตามเขาไปทุกแห่งหนึ่งทำอะไรเพลินๆ เหมือนมีคนมามองก็เป็นลูกตุ๊กแกจ้องตาแป๊วอยู่ เข้าห้องนํ้าก็ตามไปเกาะที่เพดานเขาจึงสงสัยว่าลูกตุ๊กแกจะเป็นผัวเขาได้ไหมหลวงปูก็ว่าถ้าคิดอย่างนั้นก็ให้แผ่เมตตาให้ลูกตุ๊กแกตัวนี้เยอะๆ แล้วอย่าให้ใครไปทำร้ายตุ๊กแก อย่าทำให้มันตกใจ แล้วให้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลถึง ผัวให้สมาเสมอพอตกคา หลวงปูเทศน์พระเณรว่า เมื่อเข้านี้ ได้ยินกันแล้วใช่ไหม อย่าคิดว่าเป็นพร ะเณรแล้วจะ ปลอดภัย ถ้าไม่รักษาใจไว้ให้ดี ตุ๊กแกเราก็ไปเป็น ได้ นึ่ดีนะที่เมียเขาฉุกคิดได้ ถึงตัวจะตายไปแล้วใจของผัวก็ไม่ได้คิดว่าตัวเป็นตุ๊กแก ยังคิดว่าเป็น ผัวที่รักห่วงใย คอยตามคุ้มครองเมียอยู่ ถ้าเมียไป ทำร้ายตุ๊กแกเพราะกสัว หรือให้คนจับไปปล่อย ใจ ของผัวไม่เข้าใจ ด้วยคิดว่าตัวยังอยู่ในสภาพเดิม ก็ ผูกใจว่า เมียทรยศ นอกใจ กลายเป็นเวรต่อกันขึ้น ต่อไปถ้าได้เจอะเจอกัน มาเกิดเป็นคนใหม่ ใจยัง ผูกพันกัน มารักมาชอบกัน ก็ต้องมีอะไรให้ผิดระแวงสงสัยว่าเขานอกใจเราท่านอาจารย์เลยอบรมว่า การที่ใจจะมาเกิดเป็นคนใหม่หรือเป็นอะไรสำคัญตรงต้องฝึกใจให้มี สติระลึกรู้ตัวอยู่ตรงไหนใจอยู่ตรงนั้นเพื่อเวลาคับขันประสบอุบ้ติเหตุ หรือใกล้ตายจะไต้จดจ่ออยู่ กับใจของตัวเองอย่างคัวไม่ได้จดจ่อคับใจของตัวไปห่วงเมีย ว่าพอตาย กสัวเมียจะนอกใจ เมื่อใจ ออกจากร่างนี้ไป ก็รีบร้อนหาที่มาเกิดตรง นี้ใหม่ เพราะฉะนั้น เรารู้ไม่ไต้ว่า ขณะวิกฤตอย่างนั้น เสี้ยววินาทีเดียว ใจของเราไปตับจองภพใหม่เป็นอะไรไป แล้วดิฉันนึก อะไรจะปานนั้นแต่เมื่อสิกสติไปเรื่อยๆ ก็ไต้เห็นใจของตัวเองที่เมื่อเจอะเจออะไรที่ เราไม่คันตั้งตัว โจที่ไปผูกพันอยู่ จะเกิดความอยาก จนสติแตกว่า ถ้าไม่ไต้เป็นตายแน่ๆ อารมณ์นั้นแหละคือพลังที่พัดใจของเราไปสร้างพิมพ์เขียวเอา ไว้ ถ้าไม่แกใจของเรา ไม่มีสติเป็นห้ามล้อ พอพบ อะไรถูกใจก็ถูกดูดไป ไม่ถูกใจก็ถูกดีดกระเด็นออก มาเราไม่สามารถควบคุมทิศทางของเราไต้ รู้ตัว อีกทีก็ไปเข้าท้องเขาแล้วถ้าเป็นคนรักชอบกันก็ดีไป เกิดเป็นคู่แค้นเข้า ก็คงเอาตัวไม่รอดทุกอย่างไม่ใช่ใจปรารถนาแล้วจะได้ตังใจ ยัง ขึ้นกับเหตุปัจจัยอีกหลายประการใจที่ไม่เคยเอาสติไปจดจ่อจะไม่รู้ว่าส่วนของจิตไร้สำนึกคือพกังที่จะ พัดเราไป ดิฉันเคยติดว่า เราต้องรู้ตัวเราสิ ท่าน อาจารย์ประท้วงว่า ทำเป็นพูดดี ลองไปเฝืาลูให้ เห็นใจตัวเองเสียก่อนดิฉันบอก ถ้าดิฉันเจ็บไข้
ได้ป่วย ไม่ผีทุกขเวทนาสาหัส ดิฉันเชื่อแน่ว่าเอา ตัวรอดได้อีกเดือนต่อมา ดิฉันปัสสาวะเป็นลิ่มเลือดสดๆ ไม่เจ็บไม่ปวด พอลุกจากโถส้วมก็หน้ามืดลงไปกอง กับพื้นเพราะเสียเลือดมาก ค่อยพยุงตัวเองไปนอน เพ่งที่นาพักาซึ่งแขวนอยู่ด้านปลายเท้า แล้วค่อยมา กำหนดตามลม หายใจเข้ากำหนดพุท หายใจออกโธ นิ่งอยู่ประเดี๋ยวเดียว ก็รู้ว่าใจหนึ่งก็ พุท.. โธ.. เป็น นกแก้วไป แต่ผีอีกหลายๆ ใจปลิวไปจับอารมณ์โน้น อารมณ์นี้ เกะกะวุ่นวายไปหมด แล้วก็แยกแยะไม่ได้ ว่าแต่ละใจคิดเรื่องอะไร รู้แต่ว่าเราดีด แต่จับความ
หมายไม่ได้ ทำให้ฉุกคิดว่า ถ้าขาดใจตายตอนนั้น ตรงไหนเล่าที่เราจะไปเกิด เพราะไม่รู้ใจเราไปผูก กับอารมณ์ไหนผากที่สุด เลยรู้ว่าที่กราบเรียนท่าน อาจารย์ไว้นั้นเราทำไม่ได้ ก็ได้รู้ว่างานของคิวเอง หนักหนาสาห้สเพียงไหนต่อมาเมื่อไปที่กัด กราบท่านอาจารย์กังไม่ ทนเสร็จ ท่านก็ถามว่า เอาคิวรอดไหมล่ะ ถ้าตาย ไปตอนนั้นน่ะ เราเชื่อแน่แล้วว่า ท่านอาจารย์อ่าน ใจศิษย์ได้ ดีกว่าตรวจคลื่นสมองอีกเป็นเครื่องยืนกันว่า ใจที่ฝึกดีแล้วนั้น ผนัศจรรย์ สามารถท่า อะไรๆ ได้ อย่างที่วิทยาศาสตร์ก็กังไม่ผีเครื่องมือมา พิสูจน์ใจเหมือนนักเดินทางมาราธอน เมื่อมาเกิดก็เหมือนเช็คอินเข้าโรงแรมไม่ได้หอบอะไรผาด้วยเลย มีแต่กัตรเครดิตที่เอาไปเปลี่ยนเป็นสิ่งของสารพีนอย่างได้สมปรารถนาบ้าง ไม่สมปรารถนาบ้าง ตามต้นทุน บุญบาปเมื่อถึงวาระเช็คเอ้าต์คือตาย ก็ไปแต่ตัวไม่ได้เอาสมบัติอะไรติดไปด้วย ลองนึกว่าไปงานศพ มีใครกำอะไรติดตัวไปด้วยบ้าง ไม่มีท่านอาจารย์สิงห์ทองเคยเปรยว่า ถ้าแต่ละ คนเอาดินติดไปได้เท่าปลายเล็บห์วแม่มือ ก็จะไม่ เหลือโลกนี้ให้เราอยู่อาศัย แสดงให้เห็นว่า ทุกคน เอาอะ ไรไปไม่ได้ อย่าว่าแต่ทรัพย์สมบ้ติจะเอาไปไม่ได้ แม้กระทั่งเนื้อตัวเราที่รักที่สุด ก็เอาไปไม่ได้ ต้องทิ้งไว้เป็นปุ๋ยคืนแผ่นดินถึงตอนนี้คงคิดศันได้แล้วว่า เอาเงินดีไหม เงินทองแก้วแหวน แม้จะเอามากองสูงเท่าเขาพระ สุเมรุ หรือคาบไว้ในปาก ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ แต่กรรมวิธีที่หาเงิน ถ้าหาไม่ดีผิดท่านองคลองธรรม บาปจะเป็นเงาตามตัวเรา ไปคิดบ้ฌชีกับเรา จะหลบ อย่างไรก็หนีไม่พ้น เพราะมันติดอยู่ไนใจให้เราต้อง ชำระ เมื่อเห็นชัดอย่างนี้ เราจะไม่ทำร้ายตัวเองอีก ต่อไปแต่ตอนโลภ สติไม่มี ก็จะเผลอว่าไม่มืไครเห็นใครรู้ แต่ความจริง ใจเราเห็น ใจเรารู้เห็นชัดเจนอย่างนี้แล้ว จะได้จดจ่อสติ ตั้งใจ มารู้จักตัวเองต่อไปดร. ไบรกัน แอล ไวส์ เป็นจิตแพทย์อเมริกัน เชื้อสายยิว ที่มืชื่อเสียงไม่เคยเชื่อเรื่องเวียนว่าย
ตายเกิดวันหนึ่ง รักษาคนไข้ด้วยการสะกดจิต
คนไข้หญิงรายนี้เป็นคาธอลิกที่เคร่งมาก เธอไม่เชื่อ เรื่องเวียนว่ายตายเกิดเช่นกิน อยู่ดีๆ กลืนของแข็ง ก็ไม่ได้ กลัวติดคอกลืนของเหลวก็กลัวสำลัก เลย ต้องหาจิตแพทย์ ดร. ไวส์ รักษาด้วยวิธีต่างๆ อยู่ 18 เดือน อาการก็ ไม่ กระเตื้อง ในที่สุดจึงปรึกษา คนไข้ว่า จะขอสะกดจิต เผื่อสาเหตุที่ฝังลึกจนจิต สำนึกระลึกไม่ออก จะคลายออกมาให้ยำบดได้คุณหมอสะกดจิตให้ระลึกย้อนไปจนถึงอายุ 2 ขวบ ก็มีอาการดีขึ้นแต่ไม่หายขาดคนไข้บอกคุณหมอเมื่อมาพบตามนัดครั้งต่อมาว่า ถึงจะยังไม่ หายขาด แต่มีการเปลี่ยนแปลงที่คนไข้รู้สึกว่า ดีขึ้น กว่าวิธีอื่นที่เคยรักษามาตลอด 18 เดือน อยากให้ คุณหมอสะกดจิตอีก คุณหมอก็ตกลงโดยขอบันทึก เสียงที่สนทนาลันระหว่างสะกดจิตไว้ด้วย เมื่อสะกด ได้แล้วก็ไม่รู้จะให้ย้อนไปถึงอายุเท่าไรดี ก็เลยให้ไป ตรงที่มีเหตุการณ์ฝังใจให้เป็นโรคนี้ขึ้นมาคนไข้นึ่งไปครู่หนึ่งแล้วเล่าว่า เธอระลึกไปถึง 400 ปีก่อนหน้านี้ เป็นเด็กหฌิงชาวกรีก อาย 78 ขวบ แล้วคุณหมอเป็นครูที่ผาสอนหนังสือให้เธอ และเพื่อนๆ เธอเห็นตัวเองเติบโตขึ้นจนแต้งงานมี ลูก วันหนึ่ง เตินทางด้วยเรือเดินสมุทรไปวับลูกซึ่ง อายุ 4-5 ขวบ ขณะเดินทาง เกิดพายุครึ้มมีดไป หมด ทะเลก็คลื่นลมแรง ไนที่สุดมีเสียงประกาศว่า เรืออับปางเพราะชนหินโสโครกเธออยู่ในกลุ่มที่ไม่ได้ลงเรือยาง นํ้าทะเลทะลักเข้ามาเรื่อยๆ จนพัด เอาลูกจมหายไปตัวเธอก็กำลังจะจมนํ้า นํ้าทะเลเข้าจมูกเข้าปาก เค็มเหลือเกิน เธอทำท่าเหมือน กำลังดิ้นรนไม่ให้สำลักนํ้าอยูพักไหญ่ แล้วก็แน่นึ่งไป มีเสียงเล่าเบาๆ ว่าเธอตายแล้วถูกนํ้าพัดจมไป แต่ ใจของเธอลอยอยู่ในอากาศดร. ไวส์ เห็นคนไข้ยังสงบนึ่ง จึงถามว่าเป็น อย่างไรเธอตอบว่ามีแสงสว่างสีนวลเข้ามาห่อทุ้มตัวที่ลอยอยู่ จนเธอรู้สึกว่าจิตใจที่หวาดกลัวค่อยมี กำลังขึ้น ลักพักเธอก็เล่าว่า นี่ทะลุไปอีกชาติหนึ่ง แล้ว ไปเป็นชาวสเปน ดร. ไวส์ เลยให้ถอนออกมา ลู่จิตปกติ ก็มาเล่าทบทวนวัน เธอจำที่พูดระหว่าง ที่ถกสะกดจิตได้ที่งหมด
เมื่อถึงนัดครั้งถัดไป เกิดความมนัศจรรย์ว่า ที่งที่คราวก่อนไม่ได้ยาอะไรไปเลย คนไข้ไม่มีปัญหา แล้ว กลืนได้ที่ของแข็งของเหลว ที่เคยกลัวที่มีดๆ จะต้องเปีชิดไฟที่ไว้บ้าน ก็นอนปีดไฟได้ ทุกอย่างเป็น ปกติหมด ที่งคนไข้ที่งหมอก็ถัศจรรย์ เพราะ ดร. ไวส์ อธิบายว่า ถ้าสิ่งที่เล่าเป็นความจำจากที่เคยอ่านพบ ในหนังสือหรือเคยได้ยินมา แล้วระลึกขึ้นได้ขณะที่ ถูกสะกดจิต นันจะไม่สามารถรักษาพยาธิสภาพได้ เพราะสัญญา ความจำ นั้นเป็นแค่เสือกระดาษ แต่ ถ้าเป็นอย่างนี้ แปลว่าสิ่งที่เธอเล่าเป็นสิ่งที่จิตไร้ สำนึกจำฝังใจอยู่ การสะกดจิตช่วยให้มันลอยขึ้นมา ให้สำนึกรู้ จึงแก้สิ่งที่ฝังใจกลัว ทำให้อาการกลัว หายได้อีกตัวอย่างหนึ่ง เป็นแม่บ้านชาวอเมริถัน ระลึกชาติได้ว่าเคยเป็นซาวไอริช มีครอบครัวอยู่ บ้านเลขที่เท่านั้น ถนน ตำบลนั้นๆ ซึ่งลูกชายที่เป็น ไอรืซก็ยังมีชีวิตอยู่ เรื่องนี้ออกรายการโทรนัศน์ ผู้ชมก็รวบรวมค่าตั๋วให้บินไปไอร์แลนด์เพื่อไปพบลูกคนเล็กซึ่งบัดนั้นอายุแก่กว่าแม่ ตอนแรกลูกไม่เชื่อ
ในที่สุดเธอก็บอกว่าเธอมืของใช้ส่วนตัวเก็บไว้ตรง โน้นตรงนื้ในบ้านและสามารถเช้าไปหยิบได้ถูก โดยมีบางสิ่งที่ลูกยังไม่เคยรู้ ลูกก็อัศจรรย์ใจ และยอม รับว่าเธอเป็นแม่ที่มาเกิดใหม่ใครที่คิดว่าเรื่องนี้งมงาย ยัดนี้ทางวิทยาศาสตร์ยอมรับแล้วว่า ใจไม่ตายใจเป็นผู้รับมรดกที่เรากระทำเอาไว้ ท่านอาจารย์เปรียบเทียบใจเหมือน ที่ดินที่สวน ส่วนกายกรรมการกระทำด้วยกาย วจีกรรมด้วยวาจา มโนกรรมด้วยใจ คือเมล็ดพันธุ์ ที่เจ้าตัวหว่านลงไป และเมล็ดพันธุเหล่านี้จะงอก ทั้งนั้น เราเป็นซาวสวนที่ไม่รู้ว่า กรรมที่ทำแต่ละอัน นานเท่าไรจึงจะงอก บางอันหว่านปับได้บ้บ บางอัน ไม่งอกในชาติภพนี้ เป็นกรรมที่ 3-4 ชาติจึงจะเกิด ผล ทั้งหมดเป็นมรดกส่วนตัวของแต่ละบุคคลถ้าเราศึกษาเรื่องนี้ แล้วคอยตับสังเกตใจของ เราเอาไว้ เราจะรู้ เมื่อทำผิดจะสะดุ้งในใจ แต่กว่า ถั่วจะสุกก็งาไหม้ คือทำไปจนเสร็จแล้วจึงรู้ตัว ก็ ต้องใจเย็น คอยให้เมล็ดนั้นๆ งอกเป็นด้น ใบ ออก ดอกออกผลมาให้ชำระหนี้ตามกฎหมาย ฉะนั้น ถ้า
เกิดอะไรที่จะต้องมาคราครวญว่า ทำไมเป็นฉันอีก แล้ว เราก็จะระลึกขึ้นมาว่าวันนั้นไงล่ะนึกแล้วทีเดียวว่าไม่น่าทำเลย แต่ก็ดีที่มันเกิดขึ้นตอนที่เราระลึกนึกได้จะได้ไม่เผลอทำอีก ทำให้เรามีความ ระมัดระวังเพิ่มขึ้นในชีวิตประจำวันการทำงานกิมีเรื่องสารพัด เป็นต้นว่าหน่วย งานของเรามีคน 5 คน เรากิคิดว่านายจะต้องแบ่ง ทุกอย่างโดยเอา 5 หาร หรือต้องมีกรรมวิธีทำให้ ทุกคนทำเท่าๆ กัน แต่ความเป็นจริงไม่ใช่อย่างนั้น เมื่อดิฉันเป็นนักเรียนแพทย์ พิ่ที่เป็นหมอประจำบ้าน อาวุโสทำหน้าที่แจกคนไข้ใหม่ให้นักเรียนแพทย์ทำ ประวิดตรวจร่างกายคนไข้ตรวจเลือด ปัสสาวะ อุจจาระ ฯลฯ ที่กองสูติกรรม ถ้าคนไข้มาพร้อมกัน 4-5 คน พี่จะแจกให้ดีฉันแต่รายที่มีบ้ญหา เช่นครรภ์เป็นพิษโดยให้เหตุผลว่าดีฉันเป็นคนขกัน ตามเมื่อไรก็ได้ จะได้มาเฝ้าคนไข้ มาวัดความดัน ถ้าเป็นคนอื่นตามแล้วกิไม่มาตอนนั้นห้องคลอดติดเชื้อซึ่งเป็นคนไข้มีปัญหา ที่ 4 เตียงเป็นคนไข้ ดีฉันหมดอาจารย์ที่มารับปรึกษายังเข้าใจผิดว่า
เจ้าของไข้ไม่รับผิดชอบ ฝากให้ดิฉันช่วยดูแลแทนดิฉันจะพบอย่างนี้เป็นประจำ จนประท้วงว่า เลิกเรียนหมอเสียก็ดีหรอก พี่ก็ปลอบว่า หมอจะได้ ชำนาญมากๆ ได้รู้โน่นทำนี่ได้อย่างไรล่ะ พอย้ายมา อยู่กองศัลยกรรม พี่ก็เอ็นดูอีก ถามอยากผ่าไล้ติ่ง ไหม ปกตินักเรียนแพทย์ปี 4 ไม่ได้ผ่า ถ้าหมอมา ช่วยอยู่แถวนี้ เผื่อมีคนไข้ พี่จะให้ทำ แล้วพี่จะเป็น มือช่วย เราก็หลงกลพี่ ไม่ไปเถลไถล อยู่ช่วยพี่ที่ ห้องฉุกเฉิน มีคนไข้ไล้ติ่งอักเสบมา พี่ก็ให้เราทำ เราก็ภูมิใจเมื่อไปเรียนต่อที่เมืองนอก อาจารย์พูดถึง การเจาะนํ้าในช่องห้วใจ บรรยายเสร็จก็บอก ผม เองอังไม่เคยเจาะ และไม่ใช่ของง่ายๆ ที่จะได้เจาะ เพราะไม่มีคนไข้พวกคุณก็คงยังไม่มีใครได้เจาะดิฉันก็ยกมือว่า ดิฉันเคยได้เจาะ เริ่มภูมิใจ และมี อีกหลายอย่างที่อาจารย์อังไม่เคยทำ แต่เราได้ทำมา แล้วตอนนี้เริ่มรักพี่หมอประจำบ้านอาวุโสทั้งหลาย ที่ให้โอกาสทองแก่เรา ให้เราได้มีประสบการณ์ ให้เรามั่นใจว่า ทำดีแล้วได้ดี ไม่ใช่ทำดีแล้วจะได้ ตำแหน่งหรือได้ขึ้นเงินเดือน ทำดีแล้วได้ดี คือได้ ประสบการณ์ที่ใครจะมาปล้นมาจี้เอาไปไม่ได้ถ้าเราเกิดไม่พอใจดุแก่โทสะ ออกจากงานไป ก็จะ มีคนใหม่มาจ้างเรา เพราะเขาศึกษาประว้ติเราแล้ว เห็นว่า ถึงจะร้ายแค่ไหน ก็มีวิทยายุทธ์ที่น่าจะเป็น ประโยชน์ เลือกคนที่มีความสามารถน่าจะดีกว่าต้อง มาปันกันตั้งแต่ศูนย์ผู้จ้ดการฝ่ายบุคคลของโรงแรมแห่งหนึ่งไป พูดในงานปัจฉิมนิเทศให้นักศึกษาฟังว่า ไม่ต้อง กังวลกับเกรดจนเสียความเป็นตัวของตัวเอง ถ้าผม เป็นคนสัมภาษณ์ผู้มาสมัครงาน ผมถือว่าคนได้ ปริญญาแล้ว ย่อมเอามาฝึกวิชาการกันได้ทั้งนั้น ผมสนใจเรื่องทัศนคติ ว่าเป็นคนมองโลกมองงานใน แง่ไหน ซึ่งตรงนี้ฝึกกันยากท่านเล่าเรื่องตอนที่เริ่มตั้งโรงแรมว่า งานฝ่ายบุคคลน่าปวดมัวมาก คนโน้นจะเอาอย่างนั้น คนนั้นเอาอย่างนี้ ท่านเลยขอผู้ช่วย 3 คน แต่ ฝ่ายบริหารบอกมีเงินให้จ้างได้แค่คนเดียว ท่านก็ ต้องคิดว่าทำอย่างไรให้ได้ 1 คนเหมือนได้ 3 คน ผลจากการสอบข้อเขียน ท่านเลือกได้ 4-5 คน แต่ไม่แน่ใจว่าคนไหนดีที่สุด จึงเรียกมาสอบพิมพ์ดีด ใหม่ สมัยนั้นย้งไม่มืคอมพิวเตอร์ แต่ละคนทำได้ดี พิมพ์ผิดพลาดน้อย เป็นที่พอใจท่านเรียกให้เข้ามาพบทีละคนแล้วเล่นสวมบทโหดว่าพิมพ์อะไรชักข้า พิมพ์ ให้เร็วกว่านี้ได้ใหม แต่ต้องไม่ให้ผิดนะ คนแรกมองหน้าท่าน อึกอักอยู่ ท่านก็สำทับ มีเหตุผลอะไรก็ว่ามาอย่าราไร เดีก ตอบว่า หนูพิมพ์บรรจงค่ะ ท่านชอบใจอารมณ์ชัน ที่คลี่คลายเหตุการณ์ แต่ย้งทำเสียงเข้ม สำทับให้ไป พิมพ์ใหม่หวดแกมบรรจง แต่อย่าให้ผิด ท่าไต้ไหม เด็กรับคำ ค่ะ หนูจะพยายามคนที่สองเข้ามา ท่านทำเหมือนเดิมเด็กลุกขึ้นตบโต๊ะ ตอบว่าผู้จ้ดการรับรู้เอาไว้นะ หนูสอบ ไต้ที่หนึ่งของพิมพ์ดีดที่'วราชอาณาจึโกรเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาถ้าไม่พิจารณาหนู อย่าหาว่าไม่เตือนแล้วก็กระทืบเท้าออกไปส่วนที่เหลืออีก ๒-๓ คนหน้าซีด ร้องไห้ ตอบไม่ได้เรื่องท่านก็เลือกคนแรก แล้วบอกได้ไผ่ผิดหวัง เพราะทัศนคติที่เด็กหักมุมขณะเข้าที่คิบข้นให้เป็น เรื่องธรรมดา สามารถแก้ปัญหาไนที่ทำงานได้อย่าง นุ่มนวลอยู่มาวันหนึ่ง มีเวลาว่าง ผู้จัดการนึกได้จึงถามว่าทำไมวันสัมภาษณ์ถืงตอบว่าพิมพ์บรรจง เธอตอบว่าไม่ได้คิดจะหางานทำจบ ม. 8 กำลังรอ ผลสอบเข้ามหาวิทยาลัย พ่อประสบอุปัติเหตุตาย กะทันหัน เธอเป็นลูกคนโต ถ้าเรียนมหาวิทยาลัย น้องๆ จะไม่ได้เรียน เพราะแม่ไม่ได้ทำงาน เธอ จึงคิดหางานทำ ช่วยให้น้องๆ จะได้เรียนจนจบมหา วิทยาลัยทุกคนเมื่อเห็นประกาศในหนังสือพิมพ์ ก็ภาวนาให้ ผู้สอบสัมภาษณ์เอ็นด ถึงผู้จัดการจะดุ เธอก็ต้อง พยายามให้ได้งานเมื่อถูกผู้จัดการรุกฆาต เขียนหนังสือ ทังมีเขียนบรรจง เขียนหวัด เธอจึงว่าพิมพ์ บรรจง เมื่อผู้จัดการว่าต้องเร็วขึ้นอีก แสดงว่าท่าน ต้องมีวิธีสอนให้เธอพิมพ์เร็วขึ้นได้การคิดอย่างคนที่ 2ประเมินราคาตนเองว่าไม่มีใครเหนือเรา เท่ากับปิดกั้นการเรียนรู้ของ
ตัวเองแต่คิดอย่างคนแรก จะได้โอกาสเพิ่มพูนความรู้ความคล่องแคล่วไปเรื่อยๆ ทำดีได้ดีคือตรงนี้ คือได้ความรู้ ความแม่นยำ จดจำเป็นสมบ้ตของตัว เอง เท่าไรๆ ก็จะไม่ลืมดิฉันเป็นหมอเด็กก็จริง แต่กลัวเด็กที่ย้งพูด ไม่ได้ มีแต่ร้องอย่างเดียว เราจะไปรู้ได้อย่างไรว่าที่ ร้องเหมือนๆ กันนั้นจะเอาอะไร เมื่ออยู่เมืองนอก พยาบาลหัวหน้าตึกเด็กแรกคลอดเป็นคนรักเด็ก ดุ ดิฉันว่า อะไรกัน เด็กร้องนี่ เขาบอกนะ ร้องอย่าง นี้แปลว่าแฉะ ร้องอย่างนี้หิวนม ร้องอย่างนี้อ้อนจะ ให้อุ้มเฉยๆ เราก็ค่อยๆ เรียนรู้เพิ่มขึ้นและคุ้นเคย กับเสียงเด็กร้องที่นี่ เมื่อเจาะเลือดที่ส้นเท้าเด็กต้องเอาผ้าอุ่นผ้าห่อเท้าก่อนให้เส้นเลือดขยายตัว เจาะทีเดียวจะ ได้ผีเลือดออกมาพอสำหรับไปตรวจแพทย์ฝึกหัดชาวอินเดียคงขี้เกียจทำผ้าอุ่น เลยทำให้เด็กมีแผล ที่ส้นเท้าถึง13 แผล ตอนที่เจาะ เด็กร้อง ก็ไม่มื เลือดออกมา เขาก็เจาะใหญ่ แต่พอเสรีจพิธีกรรม เด็กหยุดร้อง เลือดก็ไหลออกมาจากทุกแผลที่ถูกเจาะเลอะผ้าอ้อมแดงฉานไปหมดหัวหน้าตึกจึงเชิญผู้อำนวยการและหัวหน้าแผนกมาเป็นสักขีพยานว่า นี่ส่งหมอหรือฆาตกรมาดูแลเด็ก ผลปรากฏว่าดิฉัน ซึ่งเพิ่งฝานตึกเด็กแรกคลอดไป ต้องกสับมาอยู่แทน อีก 1 รอบดิฉันเลยได้ฝึกวิทยายุทธ์ว่าเด็กร้องเพราะจะ บอกอะไรอีก 1 เดือน และไต้ของแถมเพิ่มมา ดือ การสอยเส้นเลือด เพราะเด็กเส้นเลือดเล็กและบาง ถ้ามือไม่เบา เส้นจะแตก ให้นํ้าเกลือไม่ไต้ ดิฉันก็ เคยสงสัยว่า ทำไมเราต้องเรียนวิทยายุทธ์นี้ด้วยเมื่อมาฝึกปฏิบัติที่วัด คุณโยมแม่ของท่าน อาจารยเป็นแม่ชี อายุ 80 ไม่สบาย เริ่มแรกก็คิด ว่าไม่สบายเป็นไข้ธรรมดาๆ ต่อมาไข้สูง หนาวสั่น ไม่รู้ตัวต้องให้นํ้าเกลือควานหาเส้นไปทั่วทั้งตัว
เพราะให้ไปตังไม่หันไรก็บวม ต้องเปลี่ยนเส้นใหม่ ครั้งแรกเข้าใจว่า เส้นเลือดไม่ดื เปราะ แตกง่าย แต่ ความจริงเส้นเลือดดีท่านผ่ายผอมลงมากจากความเจ็บป่วย เมื่อ ท่านนอนพลิกตัวไปหับเส้นเลือดที่ไม่มีไขมันห่อหุ้มนํ้าหนักของแขนที่พลิกมาท้บไว้ทำให้เส้นเลือดแฟบนํ้าเกลือไหลผ่านไปไม่ได้ก็ดันให้เส้นแตกต้องแก้ไขโดยเอามือเราทำเป็นเหมือนสาแหรก รองแขนที่มื เข็มนํ้าเกลือไว้ค่อยสังเกตไป แก้ปัญหาไปทีละเปลาะ ทีละเปลาะขณะเดียวกันก็ได้คิดว่า แต่ละสิ่งในชีวิตที่เรา ประสบ อย่าไปหงุดหงิดว่าทำไมต้องเป็นเราให้ตั้งใจทำให้ดีสุดกำลังไว้ และนึกขอบคุณว่า ดีที่เรา ไม่เกเรถ้าไม่ตั้งใจสอยเส้นเลือดเด็ก เราก็ทำให้คุณโยมแม่ไม่ได้อย่างนี้ถ้าไม่ประกอบกุศลเหตุไว้ผลก็ไม่มี เราก็ทำภารกิจนี้ไม่สำเร็จในที่สุดคุณโยมแม่ก็หายเป็นปกติชาวบ้านสรรเสริญว่า ถ้าไม่ได้หมอ คุณโยมแม่ตายไปแล้ว ท่านอาจารย์กลับว่า หมอที่ไหนกัน กรรมของโยม แม่หล่อเลี้ยงเอาไว้ต่างหาก ทำให้เราสะตุดใจว่า ลึกๆ เรามีตัวตนว่ามือฉันนะ พอโดนท่านอาจารย์เขี่ย ก็ เห็นว่าต้องแกะสะเก็ดตรงนี้ให้หลุดถ้ายังคิดอย่างนี้ ภาวนาเท่าไรก็เป็นภาวนาสะสมกิเลสอยู่เรื่อยๆ ใจ ก็ไม่สุขจริงเมื่อได้เห็นอย่างนี้ ยิ่งเชื่อว่าทำดีได้ดีจริงๆ เพราะความชำนาญส่วนนี้ตามเรามา จะไปที่ไหนก็ อยู่เป็นของเรา ทำให้เราสามารถแก้ไข ถ้าเป็นเวร เก่าตามมา ก็มีทุนรอนใช้หนี้ได้ เราก็เดินต่อไปได้ เรื่อยๆ จนถึงที่สุดจุดหมายปลายทางได้ แต่ถ้าเป็น วัตถุเงินทอง มีได้ก็หมดได้ หรือวิธีแสวงหาไม่บริสุทธิ้ ใจก็ไม่เป็นสุข ใจก็ขึ้นสนิมมีท่านที่มาฟังดิฉันบรรยาย ลูกตายได้ 4- 5 เดือนเขาได้ลูกแฝดจากการทำกิ๊ฟต์ คนหนึ่งแข็งแรงดี แต่อีกคนนํ้าหนักน้อยมากตั้งแต่คลอด พอขวบหนึ่งจึงรู้ว่าเด็กมีมะเร็งที่ฉับ ซึ่งหายากมาก ที่เด็กเล็กจะเป็น ก็รักษาจนหมอผ่าฉัดให้ได้ ตรวจจนไม่มีเชื้อมะเร็งเพราะเจาะเลือดตรวจแล้วดี พ่อก็วางใจไม่ได้คิดเจาะเลือดตรวจหาเชื้อมะเร็งไปเรื่อยๆ เด็กอายุสักสองขวบ โตวันโตคืน แข็งแรงดี อยู่ประมาณ 7-8 เดือน ก็เริ่มซึม เบื่ออาหารไม่อยากเล่นปรากฏว่าหมอตรวจพบมะเร็งนอกจากชื้นใหม่ที่ตับยังไปที่ผนังหัวใจและปอด หมอบอก ไม่ควรผ่าตัดอีกแล้ว เพราะเป็นที่ผนังหัวใจแต่ความที่พ่อรักลูก ต้องการยืดชีวิตลูกไว้พยายามใช้สมุนไพรชีวจิต เด็กอยากกินของที่ชอบ พ่อกิบอก ต้องเอาแต่ของที่ไม่มีเนื้อสัตว์ ตอนนื้ลูกตายไปแล้ว พ่อมาปรึกษาดิฉัน ไม่สบายใจว่าตัวเขาทำให้ ลูกเกิดมาแล้ว ทำให้ลูกตายในเวลาอันไม่สมควร ดิฉันแย้งว่า เป็นเพราะกรรม ทำอย่างไรกิทำให้ลูก เกิดไม่ได้ถ้าใจคุณกับเขาไม่มีเหตุปัจจัยพอดีที่จะ มาเป็นลูกเป็นพ่อกันแล้วคุณก็ทำให้เขาตายไม่ไต้ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยของเขามาบั่นรอนให้สิ้นชีวิตเมื่อ อายุเท่านั้นๆ คุณเอาไปกดกับฟูกเขาก็ไม่ตายในที่สุดจึงรู้ว่า ที่พ่อทุกข์เดือดร้อน คือลูกขอ กินบะหมี่ปูคำเดียวก่อนตาย พ่อก็ไม่ให้กิน เพราะ แสลง จะทำให้มะเร็งกำเริบ ลูกผิดหวังมาก จิต ใต้สำนึกของพ่อรู้สึกตรงนี้ เลยทำให้เสียใจ ทุกข์ เดือดร้อนว่าอังไม่ไต้ทำให้ลูกถึงที่สุด ทำอย่างไรจะ ส่งเสบียงไปให้ลูก ทำบุญอย่างไรจะไปถึงลูก เพราะ ปัจจุอันที่เป็นโอกาสทอง เขาไม่ได้ทำให้ดีที่สุดเพราะฉะนั้น การค้นหาความสุข คือ หนึ่ง รู้จักใจของเรา ใจของเราถ้าไม่ดีก็รับกับตัวเราว่ายังไม่ดี เราจะได้แก้ไขตัวของเรา ตรงนี้เป็นจุดสำตัญ ถ้าไม่ดีแล้วไม่ยอมรับ ไปโทษว่าเก้าอี้ขวางทาง โต๊ะ ใหญ่เกินไป เป็นการเพ่งโทษออกนอกหมด ใจจะไม่ มีดวามสงบสุข ในขณะที่จิตสำนึกของเราดูเสมือน ควบคุมบังคับได้ เหตุผลจากพาลปัญญาอาจทำให้ ใจสงบเป็นครั้งคราว แต่เราจะเอาไปฝัน หรืออยู่ๆ ก็สะดุ้งขึ้นมา เพราะจิตไร้สำนึกซึ่งจริงๆ คือส่วนที่ จดจำบันทึกทุกอย่างไว้ไม่มีหลงลืม ที่เราว่ายมบาล บันทึก ไม่ใช่ ความจริงนั้น ใจของเราเป็นตัวบันทึก ถ้าสู้ความจริง ยอมรับว่าเราเคยทำชั่ว เขา จะเอาหนี้เท่าไหร่ เราก็ซดใช้เท่านั้น ใจก็เหมือนได้ สารภาพบาป พอใครมาพูดอะไร แทนที่จะสะดุ้ง
แล้วหนีเขา ซึ่งจริง ๆ อาจไม่ใช่เจ้าหนี้ เราก็แย่ไป ใครมา เรายิ้มสู้หน้า เขาบอกคุณเป็นหนี้ฉัน 1,000 บาท เราก็ควักเงินออกมา ตอนนี้มี 100 บาท ขอไว้ใช้ 40 บาท คุณเอา 40 บาทไปก่อน ผมไม่หนีหรอก ผมจะค่อยๆ ทยอยใช้คืนให้ ใจก็ ปลอดโปร่ง ถึงจะยังมีหนี้อยู่ สุขภาพใจก็แข็งแรง เราก็ขวนขวายทำงานหนักเพื่อชำระหนี้ ไม่มีอะไร ยากเกินความเพียรพยายามของมนุษย์ไปได้ เราก็ ใช้หนี้จนหมดได้
แต่ถ้าเขาบอกว่า คุณเป็นหนี้ผม 1,000 บาท ก็ซกเขาเปรี้ยงเช้าให้ คราวนี้หนี้ 1,000 บาทกลาย เป็น 10,000 บาท ถ้าทำอย่างนี้เป็นนิสัยไปเรื่อยๆ กว่าจะหมดลมหายใจ เราล้มละลายตายจากความ เป็นมนุษย์ เพราะศีลก็ไม่เหลือ อริยทรัพย์อะไรก็ไม่ เหลือ ใจไม่ตาย จดจำได้หมด บุญบาปเหล่านี้จะ ติดตามเราไปเป็นเงาตามตัว เป็นมรดกให้เราใช้สอยมีคนที่ฆ่าตัวตายเพราะเข้าใจว่าจะพ้นความ ทุกข์เดือดร้อนไปได้ แต่ไม่ตาย มาเล่าให้ดิฉันฟัง เคราะห์ดีว่า พอเขาหึ๋เนแล้วก็ได้สติขึ้นมาว่า ที่ทุกข์ ก่อนฆ่าตัวตายก็หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว ยังเสียสติ ไปฆ่าตัวตายด้วยวิธีเลือกกินยาฆ่าหญ้า ซึ่งฤทธิ์ยา ฆ่าหญ้า ถ้าไม่ตาย หลอดอาหารจะตีบติดกันเข้าไป เป็นพังผิดหมดตอนที่เขาพบดิฉัน เขาถูกผ่าตัดมาแล้ว 6 ครั้ง เลาะพังผืดออก ทำหลอดอาหารใหม่ ส่วนที่ดีก็ตีบ เข้าไปใหม่ เกิดเป็นพังผืดอีก แต่เขาได้คิดว่า คน
เราหนีกรรมของตนไม่พ้น ไม่มีใครทำอะไรเราเลย เราเอายาฆ่าหญ้าผาทำกับตัวเราเอง ตอนแรกที่ไป โทษคนอื่นทำ เราโง่เซ่อ โชคดีที่เขาได้ปัญญาเห็น ชอบ เลยต่ออย่างเข้มแข็งและผ่านพ้นวิกฤติไปได้สอง มองเข้าข้างใน ถ้าอะไรเกิดขึ้นกับเรา อย่าไปโทษข้างนอก บอกตัวเองว่ามรดกเราเอง พอเห็นว่าเป็นมรดกเราเอง ความเข้มแข็งจะเกิดขึ้น ไม่อย่างนั้น เราจะดิ้นต่อไป เหมือนเราถูกบ่วง คน ทำบ่วงรู้จิตวิทยาดี เมื่อแรกที่ถูกบ่วง บ่วงจะยังไม่ รัดแน่น สัตว์ที่โดนบ่วง ถ้ามีสติดี ค่อยๆ ทำเท้าให้ ลีบเหมือนแมลงสาบที่จะลอดผ่านรูเล็กๆ ก็จะหลุด ออกได้ฉะนั้น เราก็เหมือนกัน พอเกิดปัญหาที่ไม่ คาดคิดก็เหมือนโดนบ่วง ดิ้งสติให้ดี แล้วระรังตัว อย่ากระดุกกระดิกให้บ่วงรูดรัดแน่นเข้า คนส่วนมากพอตกอยู่ไนอันตราย สัญชาตญาณบอกต้องต่อสู้ ยิ่งดิ้น บ่วงยิ่งรัดบางครั้งรัดบาดเอ็นข้อเท้าขาดยิ่งหนักหนาสาหัสยิ่งขึ้น ถ้าคิดอย่างนี้เอาไว้ เวลา เกิดอะไรที่ไม่คาดคิด อย่าเพิ่งดิ้น ตั้งสติเอาไว้ก่อนสาม สติ เปรียบเหมือนกาวที่ผนึกให้ตัวอยู่ ตรงไหนใจอยู่ตรงนั้นแล้วค่อยยกเรื่องที่เกิดขึ้นผาพิจารณาไตร่ตรอง บางครั้งปัญญามี ค่อยๆ แก้ ไป จนหลุดรอดจากอันตรายภัยพิบัติ คือเปลี่ยนเวรภัย ไห้เป็นอโหสิกรรม เปลี่ยนศัตรูมาเป็นมิตรการล้กับศัตรูนั้นเหนื่อยเปล่า เราละลายศัตรู มาเป็นมิตร เราไล้แนวร่วมใหม่อีก 1 กำลัง ศัตรู อาจเป็นผู้ช่วยที่เลิศประเสริฐเพราะมีประสบการณ์ มาผิดแผกภันถ้าคิดอย่างนี้และตั้งในใจแบบนี้เกิดอะไรขึ้นเราจะแปลมันถูกล้องถ้าเจ้านายแจกงานให้เรามากเกินเหตุเกินผล แทนที่จะคิดว่าเผื่อไรเจ้านายจะย้ายไป เราก็ไม่คิด ให้ใจขึ้นสนิมเราจะสาธุ ดีเหลือเกินที่มีเจ้านาย
อย่างนี้ ทำให้เราไล้ดึงศักยภาพยอดเยี่ยมออกมา ดูอย่างกระท้อน ถ้าไม่ทุบก็ไม่หวานอาจารย์ที่ปรึกษาเคยว่าดิฉันว่า รู้ไว้นะ ครูที่ดีจะทำกับศิษย์เหมือนกับการทำขนมปังแป้งที่จะทำขนมปัง ต้องนวดให้เข้ากันดีเอาฟาดกับกระดาน นวดแป้งให้เข้าเนื้อแล้วเอามานวดอีกทำซํ้าอย่างนี้ จนเนื้อแป้งเนียนนุ่ม เมื่อมาอบขนมปังจึงจะนุ่มและ ฟู ไม่อย่างนั้นจะกระด้างเป็นจุดๆ ฝีมือไม่ได้เรื่อง ท่านก็ต้องนวดศิษย์ให้เข้าเนื้อเข้าหนัง อย่างแป้ง ขนมปังเมื่อไปเรียนเมืองนอก จะบ่นก็ไม่ได้ เพราะ ไม่มีใครบังคับ เราอยากไป กิเลสของเราซักพาให้ ไปเองจะบ่นว่าคิดผิดที่ไปก็ไม่ได้ ต้องอดทนจนเรียนจบเมื่อไปปฏิบัติธรรม ใครๆ บอกไปวัดเหมือน ขึ้นสวรรค์ ดิฉันก็เชื่อ พอไปจริง ท่านอาจารย์เล่าถึง ที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า เราพยายาม ไม่ทำกับพวกท่านอย่างทะนุถนอม แต่จะทำเหมือน ช่างปันหม้อทำแก่หม้อที่ยังเปียกยังดิบอยู่เราจักขนาบแล้วขนาบอีกไม่มีหยุด ขี้โทษแล้วชี้โทษอีก ไม่มืหยุด เพราะฉะนั้น เหมือนกัน จะชาติไหน ก็ ภาษาไจภาษาเดียวกันครั้งแรกดิฉันก็นึกทำไมเราต้องเจอแต่อาจารย์อย่างนี้ ในที่สุดก็คิดได้ว่าเทวดารักษาตัวเราดี คัดหาอาจารย์แต่ละรายๆ ล้วนส่งลูกถึงกันทั้งนั้น ทำให้เราได้อุปนิสัยหนักเอาเบาสิไม่ว่าอาจารย์จะว่าอะไร เธอไม่ทำก็เรื่องของเธอ อาจารย์ ไม่ได้เดือดร้อนด้วย เราอยากได้ดี ก็ต้องกัดฟันทำ ทำไป.. ทำไป เราก็เบิกบานทำ ใจของเราก็รู้จักตัว เองเที่ยงตรงขึ้นเรื่อย ๆดวามสุขก็มีทุกขึ้นตอน ไม่ต้องดอยผลว่าใคร จะชมจะไม่ซม จะได้ 2 ขึ้นหรือไม่ได้ เพราะเข้าใจแล้วว่าเรื่องเลื่อนตำแหน่งเป็นผลพลอยได้ คนละอันกันกับทำดีได้ดีทำดีใจของเราก็สงบ เต็ม ปีติอิ่มเอิบมีป็ญญาเห็นชอบ เฉลียวฉลาด เป็นต้นทุนบุญกุศล เราได้ดีอยู่ตลอดเวลา แต่คนโดยมากมอง ข้ามไป คิดว่าปีติจะต้องเป็นใบสีนํ้าตาลๆ หรือใบ สีม่วงๆซึ่งไม่ใช่ ได้ใบพวกนั้นมา เหมือนคนถูกล้อตเตอรี่ ญาติรุมมาสกรัมจนต้องหนีไปซุกซ่อน มี ก็ไม่มีความสุข เพราะคนคอยจ้องจะเอาของเราไป ให้หมด ฉะนั้น ตรงนี้ต้องคิดให้เป็น คิดให้ได้ ถ้า คิดเป็น จะพบว่าใจเป็นสุขนันทีที่ทำความดีการทำงานช่วยผู้คนถ้ามีคนมาจวนจะ 4โมงครึ่ง เราช่วยให้เรื่องของเขาเสร็จ เขาก็ชื่นใจเราก็ชื่นใจด้วย เหมือนดิฉันเมื่อครั้งเป็นนักเรียน แพทย์ปี 4 รันนั้นเป็นรันเสาร์ ถูกปลุกไปรับคนไข้ ตั้งแต่ตี 4 รับเสร็จ พี่แพทย์ประจำบ้านรายงาน อาจารย์ อาจารย์สั่งเปิดห้องผ่าตัด เพราะกระเพาะ คนไข้ทะลุ อยู่ในอาการโคม่า ครั้งแรกอาจารย์กะ ว่าเย็บแค่รอยทะลุให้ปิด ถ้ามีอะไรมากกว่านั้นค่อย ทำใหม่รันจันทร์ เราก็นึกว่าอย่างข้าก็ชั่วโมงเดียว ครั้นอาจารย์เปิดหน้าท้องเข้าไป ถูกกระเพาะตรงไหนมันก็ทะลุต่อ เปิดห้องผ่าตัดตั้งแต่ 8 โมง เข้าถึง 4 โมงเย็น ดิฉันไม่ได้ลงนั่งตั้งแต่ตี 4 ถึง 4 โมงเย็น อาจารย์บอกตัดไหมแทนที่ดิฉันจะรูดกรรไกรไปกับไหมจนถึงปม ดิฉันรูดไปกับลม อาจารย์ตีมือว่าปมอยู่ตรงนี้ ก็หาปมไม่พบอยู่นั่น แหละในที่สุดอาจารย์เลยไล่ให้ไปนอน ดิฉันก็ไปแต่โดยดี นึกในใจว่า เราจะเอาชีวิตรอดไปไหมนี่ ครํ่าครวญจนหลับ หาแต่ทางจะไม่เป็นหมอ ทั้งๆ ที่ ตอนนั้นอยู่ปี 4 กำลังจะจบอยู่แล้วเมื่อได้ฟัก ตื่นขึ้นมาก็ลืผที่ครํ่าครวญไปแล้ว คิดแต่ว่าคนไข้จะเป็นอย่างไร ก็รีบขึ้นไปหอผู้ป่วย
ปรากฏว่า คนไข้หึ๋เน ยิ้มได้แล้ว พอญาติเห็นเราก็ ดีใจ เข้ามากอด ขอบอกขอบใจ ปรากฏว่าความ คิดที่จะเลิกเป็นหมอหายไปเกลี้ยง ชื่นใจปลื้มปีติขึ้นมาเกิดความเข้าใจว่า ทำดีได้ดี ไมต้องรอให้ ใครมาชม ตื้นตันอิ่มเอิบเหมือนได้อาหารใจ ซึ่ง ใครมาปรุงให้เราก็ไม่ได้ เราต้องปรุงของเราเองทุกวันที่เราทำงาน เราปรุงอาหารไจขนาน พิเศษได้หลายเมนู หล่อเลี้ยงใจให้อิ่มเอิบ สุขภาพดี แข็งแรง ถ้าเราไม่ปรุงเอง รอไห้เจ้านายมาปรุง ก็ ไม่ได้เรื่อง ทุพโภชนายิ้าแย, ไม่ถูกรสนิยมเราก็ได้ เพราะฉะนั้น ปรุงของเราเองเชื่อพระพุทธเจ้าว่าเราต้องมีตนเป็นที่พึ่งแห่งตนพวกเราตกหล่มอารมณ์ตรงที่ไปคิดว่า ทำดี ได้ดี ต้องได้เลื่อนตำแหน่ง ต้องได้คำชมต้องได้โน่นได้นี่ถ้าดิฉันจะเปรียบเทียบว่า เราทำไร่มะขามหวาน เราต้องคำนวณในเนื้อที่ 1 ไร่ มะขาม จะออกฝักกี่กิโล โดยมากเราไม่คิดตรงนั้น แต่คิด ข้ามสมการไป 1 ขั้น มะขามจะออกฝักเป็นธนบตร ใบละพัน ใบละร้อยเท่าไร
เมื่อเสือกพันธุมะขาม คนกินชอบมะขามที่ แห้งสนิทและรสหวานอย่างเดียว เราก็ปลูกมะขาม พันธุนั้น แต่ใจคนเอาแน่ไม่ได้ ปีนี้กลับชอบมะขาม ที่แกะแล้วติดมือนิดๆ มีรสเปรี้ยวหน่อยๆ มะขาม ของเราเลยไม่มืใครชื้อ กิโลละ 200-300 บาทเหลือ 80 บาท ความจริงเราประสบความสำเร็จ เพราะคิดฝักมะขามกิโลต่อไร่ เราได้เกินคาด แต่ คิดเป็นเงินไม่ได้ ก็เลยไขว้เขวว่า ไหนใครบอกทำ ดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แสดงว่าเราคิดไม่ชอบถ้าเราคิดเป็น คิดชอบ แม้เราไม่ได้คิดจะทำ มะขามคลุกหรือมะขามแช่อิ่ม ความจำเป็นสอนให้ เราหาวิธี ได้สูตรมา ปรากฏทำแล้วขายได้ ถอนทุน คืนได้ ก็ดี กรณีทำนองนี้ เราอย่าปล่อยให้ความยึด ผิดๆ มาบั่นทอนอนาคตของเรา ไม่ว่าจะพบอุปสรรค ขวากหนามอะไร ให้หาทางเปลี่ยนมันเป็นหินลับ ปัญญา บางทีสิ่งที่เราประสบแล้วคิดว่าขาดทุนอาจ เป็นของดี ดีกว่าที่เราเจอะเจออย่างที่เราคิดก็ได้
อเล็กชานเดอร์ เฟลมมิ่ง ด้นพบเพนนิซิสิน ก็โดยไม่ได้ตํ้งใจ เขาศึกษาแบคทีเรียอยู่ดีๆ วันหนึ่ง
ราก็มาขึ้นจานแบคทีเรียที่เขาเพาะเลี้ยงอยู่ตายหผด เฟลมมิ่งเชื่อว่าอะไรที่เกิดขึ้นย่อมมีคุณค่าของมัน แต่ทำอย่างไรเขาถึงจะเห็นคุณค่าของรานี้ ในที่สุด ก็คิดได้ เพราะเฟลมมิ่งไม่ยอมคิดในแง่ร้าย คิดแต่ ว่าราตัวนี้ต้องมีคุณมีประโยชน์สมัยนั้นย้งไม่มียาอะไรสามารถฆ่าแบคทีเรีย ได้ ถ้าสมมติฐานที่คิดขึ้นเป็นจริง เราต้องค้นพบยา ปฏิชีวนะเฟลมมิ่งจึงไม่ให้ผู้ช่วยทิ้งราเหล่านี้ ให้นำมาเพาะแบ่งขยายต่อ จนนำเอารามาสตัด เอา นํ้าสตัดนั้นมาฉีดในจานเพาะเขึ้อแบคทีเรียชนิดต่างๆ ได้ผลว่าเชื้อแบคทีเรียส่วนใหญ่ตาย ส่วนที่ไม่ตาย ก็ไม่เพิ่มจำนวนเฟลมมิ่งก็ทำจนได้เป็นยาเพนนิซิลสินออกมา แล้วก็ให้เป็นวิทยาทาน โดยไม่จด ลิขสิทธิ้ ทำให้ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้คน สามารถชื้อเพนนิซิลลินมาใช้รักษาโรคติดเชื้อหรือ บาดแผลสงคราม ช่วยให้รอดชีวิตมาได้ให้เราทุกคนระลึกให้ได้เสมอว่า อะไรที่เกิด ตับเรา เป็นสิ่งที่ดืที่สุดสำหรับเรา ตั้งสติให้แน่วนิ่ง แล้วจะมีคำตอบให้เราแก้ปัญหาต่างๆ ในชีวิตได้ถ้าระลึกได้เท่าท้นอย่างนี้ ความสุขมีในทุกอณูของ อากาศ เหมือนไวรัสมีอยู่ทุกอณูของอากาศแต่
ไวรัสทำให้เราเป็นหวัดจนปอดบวมตาย หรือทำให้ แค่ใอแล้วเราเกิดภูมิคุ้มกัน ก็ไม่เป็นอะไรร้ายแรง ความสุฃที่มีในทุกอณูของอากาศ คนมีปัญญา เท่านั้นจึงจะเก็บเกี่ยวมันมาได้ คนไม่มีปัญญาก็ ปล่อยมันทิ้งไป แล้วหาว่าเป็นมลภาวะ
ถาม-ตอบปัญหา
ถาม คนที่งานเยอะก็เยอะ งานน้อยก็น้อย คนที่ได้รับงานเยอะรู้สึกตัวเองถูกเอาเปรียบ ทำ อย่างไรให้คนส่วนนี้มีกำลังใจในการทำงาน ต่อไป
ตอบ ถามตัวเองก่อนว่า ที่เรามาทำงานมาทำอะไร เราตั้งใจมาทำงาน เพราะสนุกลับงานที่ทำ อยาก เอาวิชาความรู้มาประยุกต์ใช้ หรือคิดว่าอะไรก็ได้ที่ เงินเดือนดี ถ้าเงินเดือนมากที่สุด ถูกใจ เราก็จะทำ แต่ถ้าไม่ถูกใจ ก็จะย้ายไปอันที่ให้เงินเดือนมากกว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว คำตอบอะไรก็ไม่สามารถแก้ ปัญหานี้ได้ เพราะเราไม่ได้เอาใจอยู่ที่งานแต่ดิฉันคิดว่าคนส่วนใหญ่สมัครงานเพราะ พอใจงานที่เราเลือก มีใจผูกพันลับงานเมื่อเป็นอย่างนั้น ให้นึกว่าถ้าทำงานน้อยๆ มีเวลาว่างมากๆ ใจก็เริ่มอืดอาดเหมือนตัวเรา ถ้าเราไม่ลุกขึ้นเดินเหิน ออกกำลังให้คส่องแคล่ว เราก็เริ่มรีสึกข้อต่อ
ขึ้นขี้สนิม เอ็นยึด ไม่สามารถใช้งานร่างกายเราได้ เต็มเม็ดเต็มหน่วยสมองของเราก็เหมือนก้น ถ้าไม่มีสิ่งให้เรา ขบคิดหรือใส่ใจสนใจ ทำให้เป็นระบบระเบียบขึ้นมา อีกหน่อยก็เสื่อม สมัยนี้ที่เราเป็นโรคความจำเสื่อม มันมาก เพราะเมื่อก่อนคิดเลขมันในใจ เดี๋ยวนี้ถ้า ไม่ม็เครื่องคิดเลขก็คิดมันไม่ได้แล้วสมัยก่อนต้องท่องสูตรคูณให้ได้ เดี๋ยวนี้อะไรก็ไม่ทำ เดินก็ไม่เดิน ให้เก้าอี้เดินแทนเราซึ่งไม่ดี เพราะม็สถิดิว่าคนสมัยนี้ที่เป็นโรคหัวใจ อายุลดลงกว่าสมัยก่อนมาก เพราะเราไม่ออกกำลังกายมัน ทำให้ไม่ได้เผาผลาญ สื่งที่กินเข้าไป เหลือตกค้างเป็นรวงรังของโรคเหมือนกับการทำงาน ถ้าไม่อยากทำงานที่ ให้คิด ที่ให้ประสบการณ์ ก็ไม่มีประโยชน์แล้วต่อไปจะเหลืออะไรมนุษย์ภายภาคหน้าอาจเหลือเป็นก้อนกลม เป็นแค่หัวสมองกลมๆ แขนขาไม่ต้องใช้มีนิ้วชี้ไว้กดป่มเพราะฉะนั้น ลองเปลี่ยนวิธีคิดเสียใหม่ แล้วคิดว่า ตลอดเวลานี้ เรามีงาน ทำในเวลาราชการเป็นของดี ทำให้เราได้ลับสมอง
ถาม ที่อาจารย์บอก อาหารใจไม่ด้องรอให้ใคร ปรุง ให้เราปรุงให้ตนเอง อยากทราบสูตร อาหารใจ
ตอบ สูตรอาหารใจ ข้อแรกที่สุด ให้เราเกิดความ
รักใคร่ในสิ่งที่เป็นงานเฉพาะหน้าของเรา อย่าไปคิด ว่าเข้ง ถ้าเข้ง อาหารจะขาดรสชาติ แต่ถ้าอะไรที่ มาเป็นงานเฉพาะหน้า เราคิดว่ามันสนุก ใจจะได้ไป จดจ่อ เมื่อเริ่มสนุก ให้คิดว่า ถ้าเราหยิบจับมันขึ้น มาแล้ว เราจะต้องทำให้เสร็จ นี่เป็นข้อสอง เพราะ คนโดยมากมักจะยักย้ายถ่ายเท เช่น ผู้หญิงคนหนึ่ง ไปกราบเรียนท่านอาจารย์ว่า ท่านอาจารย์เจ้าคะ ช่วยแผ่เมตตาให้สามีเบื่อและทิ้งหนู หนูจะได้ผา อยู่วัด มาปฏิบ้ติธรรมท่านอาจารย์ตอบว่า พระพุทธเจ้าก็ไม่ชอบ ของที่ใครเขาทิ้งแล้วถ้าสามีทิ้ง อาจารย์ก็ไม่ให้เข้ามาปฏิบ้ติธรรมเพราะฉะนั้น ต้องปฏิบ้ติทั้ง ๆ ที่สามีรักเราอยู่ แล้วเราเอาธัมมะไปทำให้สามีสนใจ ใส่ใจ จะได้เดินไปด้วยกัน เพราะคนที่มาเป็นสามี ภรรยากัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการสร้างบุญ กุศลมาร่วมกัน หรือเป็นบุพเพสันนิวาสกันมา เมื่อ เรามาพบสิ่งที่ดี ก็ต้องเอื้อเฝื้อทำให้เขาเห็นธัมมะ แล้วไปด้วยกัน กับต้องสิกตนเองให้มีความเพียร ไม่ จับจดพอได้ 2 อันนี้แล้ว ก็เท่ากับเปลี่ยนไฟไหม้ ฟางให้ผกัป็นไฟไหม้ถ่านหิน แล้วเราก็ต้องคอยเติม ความเสมอต้นเสมอปลาย บางทีไม่มีเรื่องข้างนอก มากระทบ ก็มีเรื่องข้างใน นึกถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้ขึ้น มา เกิดท้อถอย เราก็ต้องพยายาม ถ้าเกิดแบบนั้น ก็ต้องหาเรื่องที่ทำให้เกิดกำลังใจ หรือเปลี่ยนไปทำ อย่างอื่นที่เราสนุก จนอารมณ์เริ่มเบิกบานแล้วจึง กลับมาทำงานของเราต่อไป คือรู้จักเลี้ยงใจของเรา ไม่ให้วูบวาบเดี๋ยวดีใจอยากทำ เดี๋ยวท้อใจเลิกไม่ทำความเหนื่อยไม่ได้เกิดจากอุปสรรคเสมอไป บางครั้งก็เกิดขึ้นจากอารมณ์ของเราที่กระโจนขึ้นกระโจนลง เดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวเสียใจตรงนี้ เราพยายามรักษาให้ใจไม่กระเพื่อมมากนัก จะกระฉอก บ้าง ก็กลับเข้าทางได้เร็วขึ้น เราจะรู้ว่า ความสุขที่เข้าใจว่าต้องได้อย่างที่กิเลสอยากนั้น ไม่ใช่เสียแล้ว เพราะมันเป็นความสุขที่สุกๆ ดิบๆ ร้อนแต่ความสุขที่เกิดจากการสิกใจเรา มีอาหาร ใจที่ถูกสุขลักษณะกินแล้ว เป็นสุขที่สงบร่มเย็น มี ความผาสุก ทำให้เรารู้สึกสุข และเต็มเข้ามาในใจ ถึงอยู่คนเดียวก็ไม่เหงา มีเพื่อนมาเราก็ไม่ไปรื่นเริง มันเพิงจนเกิดความวังเวงเมื่อเขากลับไป เราเอา
ความอิ่มเต็มของเราไปประพรมให้ใจเขาที่แห้งอยู่ จนเขารู้สึกซุ่มชื่นกลับไป เราก็ชื่นใจ เขาไปแล้ว เรา ก็ยังเต็มอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้โหยหิวหรือเหงาจน อยู่ไม่ได้เมื่อใจได้อาหารที่ถูกสุขลักษณะแล้ว ก็จะมี สุขภาพแข็งแรง จนรู้สึกว่าการมีตนเป็นที่พึ่งแห่ง ตนเป็นสิ่งที่ทำได้ การพึ่งตนเองก็ไม่ใช่ของยากเย็น ดิฉันมีเพื่อนที่รู้ลักกันอยู่รายหนึ่ง กล้ามเนี้อ ค่อยๆ อ่อนแรง เป็นโรคทางกรรมพันธุ เริ่มด้นด้วย
ได้เปลี่ยนขยะให้เป็นป๋ยหมัก จะได้ลดผลพิษในสิ่งแวดล้อมลง
ขาไม่มีแรง เธอก็ต้องใช้รถเข็นตอนแรกมีผู้ช่วยแต่พกหลังๆก็ไม่มีทั้งๆที่แขนเริ่มไม่มีแรงด้วยตอนกลางคืนเธอแก้ปัญหาโดยใช้แพมเพอร์สต่อรุ่งเช้าจึงให้คนช่วยเอาออกถ้าผู้ช่วยโอ้เอ้ เธอจะ เริ่มแสบและคันจากปัสสาวะที่ชุ่มอยู่ในแพมเพอร์ส ผิวหน้งก็เริ่มมีผื่น เธอก็บ่นให้ผู้ช่วยฟัง กลายเป็น ว่าเธอจ้จี้ ผู้ช่วยก็กลับไปศูนย์ฯ ทำให้เธอครุ่นคิด ว่าทำอย่างไรจึงจะช่วยเหลือตัวเองไต้คนสุขภาพดีที่เอาแต่บ่นๆ ถ้าไปดูหรือฟัง คนที่เขาแย่กว่าเรา ก็จะรู้สึกดีขึ้น นี่ก็เป็นอาหารใจ อีกอย่างหนึ่ง ให้เราระลึกไว้ว่าคนอื่นที่เขาหนักหนา สาหัสกว่าเรายังมีอยู่ เราจะได้นึกถึงผู้อื่นแทนที่จะมีศูนย์ถ่วงอยู่ที่ตนเอง สงสารตนเองอยู่ร่ำไป จน จิตใจอ่อนแอลงเรื่อย ๆเราจะได้เปลี่ยนเป็นผู้มีใจเข้มแข็ง รู้หลักการเฉลี่ยแบ่งปัน ก็เป็นอาหารใจอีก ชนิดหนึ่งที่จะทำให้เราเข้มแข็ง รู้ลักช่วยเหลือและ เติมใจให้ผู้อื่นถาม อย. กำกังปรับปรุงเรื่องการให้บริการ ทำ อย่างไรให้คนมีใจที่จะบริการ ไม่หงุดหงิด กับผู้ประกอบการ
ตอบ คงไม่มีอะไรที่กดปมปับ ได้ปับ เรื่องโกรธ หงุดหงิดเพราะเหนื่อยนั้นเข้าใจดิฉันเองเมื่อทำงานอยู่โรงพยาบาลเดิกก็เคย เซ่น ช่วงที่ไข้เลือด ออกระบาดหรือไข้หรัดระบาด คนไข้แต่ละคนใหม่ ทั้งนั้น แต่ความรู้สึกของคนที่นั้งตรวจทั้งเหนื่อย ทั้งหมดแรง หรัดอีกแล้วๆ พอถึงรายที่ 10 ลืมไป แล้วว่าเป็นคนไข้ใหม่ ไม่ใช่คนเดิม แล้วมาซักเรา เป็นครั้งที่ 10 เราก็ซักเป็นมะนาวแล้งนํ้า พอเขา ซัก เราก็ “อธิบายแล้ว”มีคนที่คุ้นเคยกับเราจนกล้าที่จะเถียงเรา พอ เราบอกอธิบายแล้ว เขาจะบอก “หมอ ฉันเพิ่งเดิน เข้ามาเดี๋ยวนี้นะ หมอพูดกับคนอื่น อย่ามาทำเป็น นักสถิติ”เราก็ได้สติขึ้นมา คราวนี้พอเรียกคนไข้
ใหม่ เราก็จะ “คนนี้เพิ่งมาๆ”วิธีที่จะทำให้ไม่หงดหงิด คือเราจะต้องเอา สติมาไว้อยู่กับปัจจุบัน พอเขากริ๊งมา ก็ “คนใหม่” เริ่มต้นพูดใหม่ถ้าเราคิดอย่างนี้ แล้วเอาใจไปจับด้วย โน้ตไว้ว่าลืมพูดอะไรไป พอกริ๊งใหม่ก็อธิบาย ให้ละเอียดขึ้น ด้วยวิธีนี้ก็จะดีขึ้นเรื่อยๆเหมือนกับที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ตอนแรกมี ปัญหาเพราะเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ไม่ชอบพูด ก็ โดนฟ้องอยู่เรื่อย จนกระทั่งโรงพยาบาลแทบจะต้อง ปัด เพราะคนมาถาม 10 ประโยค ประขาสัมพันธ์ ตอบคำเดียว ขณะเดียวกัน ในห้องตรวจวิจัยก็เกิด โกลาหล เพราะเจ้าหน้าที่วิจัยที่ต้องหยดนํ้ายาลงใน หลอดสารที่จะตรวจวิจัย เป็นคนชอบพูด ทำให้หยด ผิดหยดถูก ผลการตรวจวิจัยของคนไข้ก็ผิดพลาด ขณะที่ผู้บริหารนึกว่าต้องไล่ทั้งประชาสัมพันธ์ และเจ้าหน้าที่ห้องวิจัยออก แต่ผู้อำนวยการพัวไว ให้ทดลองสสับหน้าที่ดู ปรากฏว่าต่างคนต่างทำได้ดี ถ้าผู้ใหญ่ไม่ร้จริตนิสัยลูกน้อง ใช้งานไม่ถูกโฉลกกับ จริตนิสัย ผลก็ปวดพัวได้เหมือนกัน แต่พอได้อย่าง นี้ก็เป็นผลดี งานก็ไต้ผลเกินคาดข้อสำคัญคือผู้ให้บริการต้องอย่าเผลอ ต้อง อย่กับปัจจุบันว่า แต่ละคนที่ซักถามเราเป็นคนใหม่ ทั้งนั้น ไม่รู้อะไรทั้งนั้น ให้เราลืมไปว่า เราพูดเป็น ครั้งที่ 100 แล้ว ทำเป็นว่า เราได้ช่วยเขาทีหนึ่ง เขาแก้ปัญหาเขาได้ เราก็พลอยได้ดีมีสุขไปกับเขา ด้วย
ถาม ให้อธิบายว่า ตอนนี้มีหลักสูตรปฏิบ้ติธรรมมีประโยชน์อย่างไร จะช่วยให้ลดคลื่นต่างๆ ที่มากระทบใจได้ไหม และจำเป็นต้องเป็น หลักสูตรยาว 7 วันไหม
ตอบ จริงๆ ใจของเราที่จะปฏิบ้ติ ทำเป็นกันมาทุก คนแล้ว การปฏิบ้ติคือการจับตัวสติให้ได้ แล้วเอา สติมาไว้กับใจ ตัวเราอยู่ตรงไหน ใจอยู่ตรงนั้นด้วย กัน ไม่จำเป็นต้องหลับตานั่งสมาธิได้หรือเดินจงกรม เป็น การที่ให้ไปเข้าหลักสูตร 3 วัน 7 วัน หรือ 10 วัน เพราะถ้าเราอยู่ในที่ทำงาน ความไม่ต่อ เนื่องทำให้เรารำคาญ เราเบื่อ เราไม่อยากทำ แต่ ถ้าเราไปเข้าและผ่านพ้นภาวะตรงที่อึดอัดเต็มที่ จน ใจยอมสงบและเกิดความเข้าใจ เราเอามาทำเป็น นิสัยประจำวันเราการเข้าหลักสูตรกลับมาแล้ว ไผ่ได้หมาย ความว่าเราจะต้องทำได้อย่างนั้น ไม่อย่างนั้นเราจะ ทำงานไม่ได้แต่ให้เราเข้าใจว่า ขณะไปปฏิบัติอยู่ที่โน่น เราไม่มีงานทำ เราก็เลยอยู่ลับลมหายใจ แต่เมื่อกลับมาอยู่ในชีวิตประจำลัน ให้เราคงปฏิบัติ อย่างนั้น แต่เอาใจของเราไว้ลับสิ่งที่อยู่เฉพาะหน้า เช่น เราอ่านหนังสือพิมพ์ ก็ให้ใจเราอ่านหนังสือ พิมพ์ด้วย ไม่ใช่ตาอ่านหนังสือพิมพ์ แต่ใจไปคิดว่า มีนัดคนโน้นคนนั้นถ้าห่วงเรื่องจะต้องตรวจความถูกต้องตาราง นัดหมายของเรา ก็ให้ปิดหนังสือพิมพ์ แล้วเอาเรื่อง ที่จะคิดนัดคนนั้นคนนี้ มาจดในตารางให้เป็นงาน ปัจจุบัน เสร็จแล้วก็ปิด แล้วใจก็ปิดด้วย
ถ้ามีคนมาปรึกษาเรา ก็ให้เอาใจจดจ่ออยู่ลับ สิ่งที่เขามาปรึกษา ฟังแล้วตอบ ดูที่ใจเราว่า ที่จะ ตอบ ถูกต้องครบทุกประเด็นหรือเปล่า มีอะไรที่จะ เสริมเติมนอกจากที่เขาถาม ถ้าทำอย่างนี้อยู่ตลอด ทั้งลัน ก็เหมือนเราได้ปฏิปัติอยู่ ใจจะมีคุณภาพขึ้น พอนึกโกรธเขา จะถามตัวเองขึ้นมาว่าแล้วได้อะไร
ขึ้นมา โกรธเขาน่ะ เราอาจจะตอบผิดๆ ถูกๆ แล้ว ต้องไปตามเขามาพูดก้นใหม่ เสียเวลาเปล่าๆปฎิบ้ติแล้ว สติจะเป็นห้ามล้อ ดอยย้บยั้งเรา เอาไว้ พอจะพูดไม่ดี พูดแล้วทะเลาะกับเขา เสีย เวลามากขึ้นไปอีก เวลาเดิน วันทั้งวันต้องเดินไป หยิบโน่นหยิบนี่ อย่าเผลอ พอจะก้าวเดิน ให้เอาใจ ไปเดินด้วย ซ้ายขวา ซ้ายขวา ทำได้เพียงแค่นี้ ใจ จะดีขึ้นหลานชายของคนที่มาฟังดิฉันเป็นประจำไป เข้าหลักสูตรนานาชาติ อาจารย์นานาชาติมีทั้งแขก พม่า ฟัลิปปีนส์ เป็นต่างชาติที่สำเนียงไม่ดี เด็กที่ได้ คะแนน 3 กว่าๆ ก็แย่ลง เหลือไม่ถึง 2 ก็ใจเสีย โวยวายจะไม่ยอมเรียน ก็มาปรึกษาน้าที่มาฟังดิฉันอยู่เป็นประจำดิฉันแนะนำน้าว่า เวลาเขาเดินทุกครั้งให้เป็นเหมือนเดินจงกรม ให้ใจอยู่กับก้าวเดิน เวลากินข้าวให้กินคนเดียว กำหนดแค่ตักเข้าปาก เคี้ยว กลืนให้รู้อยู่อย่างนี้ ไม่เอาใจไปวอกแวกที่ไหน ปรากฏว่าเทอมกัดไปคะแนนกลับมาเป็น 3 กว่าๆ เขามีความสุขมาก ซึ่งก่อนหน้านี้ ปริวิตกกังวลมากจะเรียน จะเลิกเรียน อย่างนั้นอย่างนี้ตัดสินใจไม่ได้ใจของเราผีสมาธิอยู่แล้วโดยธรรมชาติถ้าเราไม่ผีสมาธิโดยธรรมชาติ เราจะเรียนหนังสือ จะ ทำงานมาจนถึงนัดนี้ไม่ได้แต่พอเราตื่นเต้นจะไปปฏินัติธรรม เลยมีความรู้สึกว่าเราเป็นคนไม่ผีสมาธิ ยิ่งผีความอยากได้สมาธิมากๆ พอหลับตาก็ ..นิ่ง เสียฑีสิ ใจเลยกระจุยออกไปใหม่เรารังแกตัวเราเองด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือบางท่ก็อยาก.. นั่งไป 10 นาที ต้องรวมนะ เพราะฉะนั้น แทนที่ จะอยู่กับคำบริกรรม ใจก็แยกออกไปแล้ว ก็เลยไม่ รวมสักทีถ้าทำอย่างที่ดิฉันแนะ จะพบว่าทำงานเพลิน ตัวอยู่ตรงไหนใจอยู่ตรงนั้น อยู่ที่งานบางที ถึงเวลาเลิกงาน ก็คิด นี่เลิกงานแล้วหรือ เร็วจริง
ถาม ที่อาจารย์ว่า ความสุขมีอยู่ทุกอณูในอากาศเราจะลับมันหรือไม่ ชื้นกับมุมมอง ทัศนคติ ที่เราผีต่อโลกนี้ แต่ทำอย่างไรที่จะปรับทัศนคติที่จะผีต่อชีวิตได้ เพราะมันฝังในสมองมาตั้งแต่ไหนแต่ไร พอเจอเหตุการณ์ ก็จะมีมุมมองแบบเก่าๆทำอย่างไรถึงจะปรับหัศนคต่ใต้
ตอบ เริ่มต้นถ้าเราไม่สามารถหาใครที่จะเหนี่ยวนำเราได้ แล้วคิดตามนิสัยเดิมๆ เราห้ามล้อตัวเอง หยุด ก่อนที่จะลงพฤติกรรมไป แล้วคิดทางตรงสันข้าม เหมือนเคยเดินทางนี้ เลี้ยวทางนี้ เรากสับหลังหัน เลี้ยวอีกทาง ยกตัวอย่าง คราวหนึ่งดิฉันไปวัด ตั้งใจ มาก เพราะหาวันว่างมานาน มีเวลา 3 วัน คิดว่า จะต้องไปปฎิบ้ติให้ไต้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วยปรากฏว่าชาวบ้านเพิ่งเกี่ยวข้าวเสร็จ แล้วมี หมอลำคืนนั้นเลย เสียงหมอลำตังสนั่น อาจจะเป็น เพราะใจเราด้วยเข้าขึ้นก็ไปฟ้องท่านอาจารย์ว่ากว่าศิษย์จะหาวันมาได้ยากลำบากเหลือเกิน ท่าน อาจารย์ไปห้ามชาวบ้านอย่าเพิ่งท่าหมอลำเลย หรือ ถ้าจะท่าก็อย่าใช้ลำโพงท่านอาจารย์ท่าท่าคิด เสร็จแล้วท่านก็ตอบ อาจารย์และพระเณรอยู่สันมาทุกวัน เขาก็ไม่ท่า หมอลำ พอศิษย์มา เขาลำต้อนรับศิษย์นะ ศิษย์มาอยู่ 3 วัน เขาก็มีหมอลำ 3 วันเลย พอถึงวันศิษย์ กล้บ เขาก็เลิกอาจารย์และพระเณรก็ต้องอดทนฟังหมอลำไปวับศิษย์ ยังไม่เห็นมีใครมาบ่นอะไรเลย ตอนแรกเราทุกข์พยายามวับลมหายใจก็แล้ว กำหนด พุท.. โธ.. ก็แล้ว ใจก็กระจุยตามเสียง หมอลำไปแต่กลายเป็นว่าเราทำให้พระเณรต้องอดทนเพราะเรา บาปแค่ไหนท่านมีวิธีหักมุมแบบนี้หักมุมจนเรารู้สึกสะเทือนใจคืนนั้นพอเสียงหมอลำขึ้น เราก็คิดท่านอาจารย์และพระเณรก็ต้องอดทนฟังด้วย ทำ อย่างไรล่ะ เขาลำไห้เราฟัง เวลาเราฟังเทศน์ท่าน อาจารย์ เราก็จ่ออยู่วับเสียงเทศน์คืนนี้เราเดินจงกรม เราก็จ่อวับเสียงหมอลำแล้ววัน ไม่ต้องไป พุทโธ หรือซ้ายขวา ตกลงเราก็เอาไจไปจดจ่อวับ เสียงหมอลำ หันก็เกิดความมหัศจรรย์จริงๆ ไจลง รวมเป็นสมาธิ เสียงหมอลำหายไปเลยทีนี้ใจ เราก็.. เอ๊ะ ท่านอาจารย์ไปบอกให้เขา หยุดเสียงหมอลำหรือใจกระฉอกออกมาปรุงคิดเสียงหมอลำก็ดังสนั่นมาเข้ามาหูเท่าเดิมอันนี้เป็น ของจริง ให้รู้ว่า จริงๆ เสยงไม่ได้มารบกวนเรา แต่เรายื่นใจอันร้ายกาจของเราไปเกี่ยวเอาเสียงมา ทุบถองใจเราเอง พอได้สติ กำหนดอับเสียงหมอลำ ใหม่ เสียงก็หายไป เราก็เห็นจริงว่า เรานี่ ใช้ไม่ได้ จริงๆ เลยถ้าเราหมดอุบายที่ท่านอาจารย์เคยสอนไว้ แล้วเกิดปัญหาทำนองนี้ ใจเผลอไปคิดว่า หมอลำ รังแกเรา ก็รีบเอาสติห้ามล้อไว้ เปลี่ยนเป็นคิดว่า เขาต้อนรับเรา คือให้ใจของเราเป็ดรับ แทนที่จะ คิดว่า แหม.. รังแกอันจริงๆ ก็เป็นว่า เขามีไมตรี อับเราฝึกไปเรื่อยๆ ต่อๆ ไปก็จะคิดได้อันท่วงที ขึ้น
เพื่อนดิฉันเป็นคนที่ถ้ามีแท็กซี่เฉียดเช้าใกล้ จะประสาทไปหมด เพราะเกรงว่าจะเกิดซนอันขึ้น สมัยนั้นรถอังไม่มีแอร์ แต่มีพัดลมที่ติดข้างๆ คนขบ รันหนึ่ง เขาขับรถไป ปรากฏว่าแท็กซี่ปาดหน้าระยะ กระชั้นชิด แล้วไปหยุดตรงฟุตบาท เพราะคิดว่าจะ ได้คนโดยสารตอนที่ปาดกระชั้นชิด เขาเหลือบเห็นว่า แท็กซี่ไขกระจกลง เพราะพัดลมเสีย หน้ามีเหงื่อซุ่มเป็นเม็ดๆ เขาเลยนึกขึ้นมาว่า เราก็เป็น คนเหมือนก้น แต่รถเราก้งมีพัดลมพัดพอถึงที่ทำงานก็มีห้องแอร์ ก็เหมือนเราอยู่บนสวรรค์ แต่ เขาเหมือนอยู่ในนรกรุ่มร้อนไปหมด ไม่รู้ว่าได้เงิน พอค่าเช่ารถหรือยัง ได้ค่าเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียพอไหม เมื่อเขาเกิดความรู้สึกอย่างนี้ ใจก็อ่อนโยน ก้นนั้นที่งก้น แท็กซี่จะปาดข้ายปาดขวา ก็อวยพร ว่าขอให้ได้คนโดยสารพอ ด้วยใจที่สงบร่มเย็น ก้น นั้นกลบถึงบ้าน ไหว้พระสวดมนต์ เขาก็อัศจรรย์ ตัวเองว่า เมื่อคิดดีคิดชอบ ใจก็ดี ก้นนั้นเขาขับรถ จิตใจมืความสุขมาก แต่ก็ยังคิดกังวลว่า วันพรุ่งนี้ จะยังคิดอย่างนี้ไดอีกหรือเปล่าสิ่งที่เขาคิดได้ ถ้าเข้าถึงใจ เป็นปัญญาญาณ ถึงแท็กซี่จะปาดอีกกี่ครั้งก็ไม่โกรธ แต่ถ้ายังไม่เต็มรอบแท็กซี่ยังทำให้โกรธอีกได้ เขาก็ต้องทบทวน พิจารณาซํ้าแล้วชํ้าอีกจนในที่สุดเป็นตัวปัญญาเต็ม รอบแล้ว เขาจะไม่โกรธแท็กซี่อีกเลยทุกวันนี้เพื่อนดิฉันสามารถแผ่เมตตาให้แท็กซี่ได้ในทุก สถานการณ์และไม่ร้สึกกระทบกระเทือนอีกเลยตรงนี้คือวิธีที่เราจะ?เกใจของเราแบบค่อย เป็นค่อยไป อีกหน่อยพอเกิดอะไรขึ้นก็จะคิดได้ แต่ ครั้งแรกอาจจะย้งเจ็บแสบเหมือนคราวหนึ่ง ไปส่งคนที่สถานีขนส่งสายใต้เก่า ที่อยู่ตรงจรัสสนิทวงศ์ 13 พอออกจากสถานีขนส่ง จะต้องเลี้ยวขวา ซึ่งมืป้ายห้ามเลี้ยวขวาติดอยู่ที่ต้นไม้ซึ่งมีกิ่งใบยาว มาคลุมจนไม่เห็นป้าย แล้วตำรวจจราจรก็ไปยืนอยู่ หลังต้นไม้นั้น แทนที่จะมาคอยบอกว่าห้ามเลี้ยวขวา หรือตัดกิ่งไม้ให้สามารถเห็นป้ายไต้ ดิฉันก็แปลกใจ เพราะมีรถ 2 คันออกไปก่อน ทั้ง 2 ตันเขารู้ พอ ถึงตรงนั้น ทั้งๆ ที่ถนนก็ว่าง เขามองซ้ายมองขวา แล้วก็เหยียบตันเร่งพุ่งออกไปเหมือนมีอะไรตามไล่ หลังมา ตันที่ 2 ก็ทำอย่างนั้นเราก็ควรจะฉุกใจคิดไต้แล้ว แต่เปล่า เราก็ เลี้ยวออกอย่างสบาย ๆคุณตำรวจก็ย่างสามขุมมาจากต้นไม้พอดิฉันจะอ้าปาก เขาก็ชี้ใบที่ต้นไม้อธิบายว่าป้ายห้ามเลี้ยวขวาอยู่ใต้กิ่งไม้นั้นครับ ถูก บงจนมิดหมด ดิฉันก็สติหลุด “แล้วทำไมคุณไม่ตับ 2 คนนั้นก่อนค่อยมาตับดิฉัน ในเมื่อ 2 คนก็ทำผิด
อย่างเดียวกันแหละ’’ “คุณจะเอาข้อหาเดียวคือ ผิดกฎจราจร หรือ จะเอา 2 ข้อหา คือต่อล้อต่อเถียงกับเจ้าพนักงาน”เท่านั้นแหละ ลมออกหูแต่สติก็ตามทันว่าเจ้าทำผิดจริงรึเปล่า ..จริง ..แต่ก็ยังประท้วงว่า 2 คนนั้นก็ท่าเหมือนเรา ทำไมรอดไปได้ เคราะห์ดีที่ สติยังทันอยู่ ปิดปากได้เงียบเชียบ แต่ในใจคั่งแค้น มาก มีแต่อกุศลมโนกรรมตั้งแต่รับใบสั่งมาจากสถานีขนส่งสายใต้จนถึงถนนสาทร มาไต้ปัญญา ก่อนเข้าบ้านว่า ต้องขอบใจเทวดารักษาตัวเราที่ดี จริงๆ ทำให้เราทำผิดแล้วไม่หลุดรอดไปเพราะถ้าเราหลุดรอดไป เราไปเถียงจนเจ้าหน้าที่ยอม ปล่อยเราอีกหน่อยเราก็จะดีดนิสัยแบบนี้แหละแล้วเส้นของความถูกความผิดของเราก็จะบ่ายเบนไป เขาทำได้ เราก็ต้องทำได้ เขาลงนรก เราก็ต้องลง นรกกับเขาล่ะสิ ก็เลยได้สดีว่า ถูกเป็นถูก ผิดเป็น ผิด ดีเป็นดี ชั่วเป็นชั่ว เป็นการทดลองใจด้วยว่า คนอื่นทำไต้ แล้วเราอยากทำตามเขาไหม แต่กว่า จะได้ยันนั้นก็ปางตาย แต่เมื่อไต้ก็คุ้มค่า
ถาม ฟังเรื่องของอาจารย์ ได้ความคิดว่า ประการที่หนึ่งคือให้คิดมุมกสับสองคือต้องหมั่นทบทวนตัวเองทุกวันว่าทุกวันนี้เราพบอะไร บ้าง แล้วเราคิดอย่างนั้นเพราะอะไร เรามี วิธีคิดอื่นที่แตกต่างจนเกิดบ้ญญาหรือเปล่า การมีกัลยาณมิตรที่จะคอยตักเตือนก็น่าจะ เป็นประเด็นสำคัญ อยากให้อาจารย์กรุณา ขยายความประเด็นนี้ด้วย
ตอบ พระอานนท์เคยทูลถามพระพุทธเจ้าว่า เมื่อ
ไม่มีพระพุทธเจ้าแล้ว คนเราจะปฏิบ้ตอย่างไร พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า ท่านไม่ได้เป็นศาสดา ท่าน เป็นแต่เพียงกัลยาณมิตรของทุกคนที่ปฏิบิตธรรม เราเองกิต้องแสวงหาผู้รู้ จะเป็นปูย่าตายาย หรือผู้ที่ มีประสบการณ์มาก มีสัมมาทิฐิ มีใจที่เที่ยงธรรม เราก็เอาท่านผู้นั้นเป็นแบบฉบับหนังสือก็ถือเป็นกัลยาณมิตรได้ แต่ท่านบอกว่าอะไรๆ เหล่านี้กิยังเป็นรองใจของเราเอง ที่เป็นกัลยาณมิตรของตัวเรา คือ เราต้องไปซึมซับเข้ามา แล้วต้องเอาให้ใจของ เราเป็น เมื่อใจของเราเป็นและสามารถจะพึ่งพาได้
ตรงนี้เป็นที่สุด แล้วเราก็จะรู้ว่าเราเป็นที่พึ่งแห่งตน ดิฉันว่าอย่าไปคิดเสียใจว่าเราต้องทำงานหนัก เราถูกเอารัดเอาเปรียบ ดิฉันเองเมื่อสมัยทำงานก็เคยรู้สึกอย่างนี้แล้วเคยถามพ่อว่าทำไมโลกนี้แย่อย่างนี้ แล้วเมื่อโลกเป็นอย่างนี้ ทำไมพ่อจึงต้อง สอนให้เราเป็นคนดิ ทำให้อยู่ในโลกนี้ลำบากพ่อบอกว่า ตอนนี้จะคิดอย่างนี้ก็คิดไป แต่อย่าขี้คร้าน ที่จะทำความดี ให้ยังทำต่อไป ถ้ายังมองไม่เห็นเหตุ ผล จะทุ่มเถียงกับตัวเองก็เถียงไป แต่ให้ทำต่อไป แล้ววันหนึ่งจะเข้าใจ ซึ่งก็เป็นจริง เพราะเราจะค่อยๆ เห็น อะไรที่เกิดขึ้นและที่เราคิดว่า เขาฉลาด เขา เก่ง แล้วทำไมเราต้องมาแพ้เปรียบเขา แต่พอผล ของการกระทำของเขาตามมา เราก็สลดใจแล้วเราจึงรู้ว่า ต่อให้เราตั้งตัวเป็นผู้พิพากษาคาลโลก แล้วคิดหาวิธีที่จะลงโทษคนนี้ที่เราเจ็บแค้น คนที่ เราคิดว่าทำผิด แล้วต้องลงโทษอย่างนั้นอย่างนี้ เรา ทำไต้ยังไม่เท่ากับที่กรรมตามมาแล้วส่งผลเหมือนกับสมัยอยู่วัด มีคนที่ทำตัวเป็นเจ้าแม่ ในวัด ถ้าใครไม่ถกกับเขา เขาก็จะร้ายใส่สารพัด คนกระทั่งในยัดก็ยังแย่เหมือนในโลกที่เราว่ายันสิ่งที่เขาทำแล้วเราทนไม่ได้คือ เขาเป็นผู้มืป็มือในการ ประกอบอาหาร แล้วก็ปวารณายัวว่าจะทำอาหารให้ผู้ปฏิบ้ติท่านหนึ่งซึ่งเป็นคนเจ็บแต่ท่านก็กินได้ยันละ 4-5 คำ ซึ่งเราก็ดีใจและร่วมอนุโมทนาไปยับ เขา ฝ่ายเขากลับนึกว่าต้องลุกขึ้นมาตี 4 มาทำให้ แล้วคนเจ็บรับประทานเหมือนดมเราก็พยายามอธิบายให้เขาฟังว่า สำหรับคนที่แทบจะกินอะไร ไม่ได้ ต้องจิบแต่นํ้า แค่กินไปได้ยันละ 4-5 คำ เรา ก็รู้สึกว่าเป็นกำลังแล้ว เขาก็ไม่ฟังทุกบ่ายเขาจะมาถาม แม่ใหญ่อยากกินอะไร ท่านก็จะบอก แต่ยันรุ่งขึ้นเขาก็ไม่ทำ เพราะรู้สึกว่า ไม่เห็นคุ้ม ปกดีแม่ใหญ่ไม่เคยพูดให้ร้ายใคร หรือ โกรธใคร เราก็ชื่นชมท่าน เขาก็มาถามอยู่อย่างนี้ จนยันหนึ่ง ท่านคงกำลังเจ็บปวด ท่านก็บอกว่า “มา ถามทุกยันให้เราคอย แล้วก็ไม่เคยท่าให้เรากิน” ดิฉันฟังแล้วกระตุกที่หัวใจ ว่าท่านปฏิบ้ติ ท่านไม่ เคยโกรธ แล้วเขาทำให้ใจท่านข่น บาปจะแค่ไหน
วันนั้นเป็นวันที่ท่านบอกว่าอยากรับประทาน ก๋วยเตี๋ยวหรือบะหมี่ ตอนนั้นมีลูกศิษย์ของท่าน
อาจารย์มาจากสิงคโปร์ เขามีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบ มาผ่ามาด้วย แต่ตอนนั้นบ้านเรายังไม่มี แล้วเขาก็ ทิ้งไว้ให้ จะให้ดิฉันลอง บอกว่าทำง่ายมาก เพียง เอานํ้าร้อนจากกระดิกเทใส่ก็พอดิฉันนึกขึ้นได้จึงเอาออกมา แล้วทำให้ท่านโดยไม่ได้เอาเครื่องปรุงใส่ เพราะกลัวเผ็ดเกินไป เอาหมูหยองใส่แทน ท่านให้ ศีลให้พรเหมือนเราทำวีรกรรมยันยิ่งใหญ่จนกระทั่งท่านหายดีแล้ว ท่านก็ยังให้พรไม่จบ ว่าขอ ให้ดิฉันไม่อดไม่อยาก อยากจะกินอะไรให้ได้กินสม ปรารถนาต่อมาคนนั้นก็ออกจากวัดไปอยู่ที่อื่นพวก
เราก็คิดยันแบบของเราว่า เขาต้องไปอยู่ในที่ที่ อาหารการกินขาดแคลน แต่ที่เขาไปแต่ละวัดก็ล้วน ไปในวัดที่เป็นพระอาจารย์ใหญ่ มีคนมาใส่บาตรมาก ไม่สมกิเลสเราสักที จนเราเริ่มลืมเรื่องนี้ไปแล้ว
การณ์ปรากฏว่าที่ที่เขาไปอยู่เป็นเหมือนภูเขา น้อยๆ ขึ้งมีแอ่งหินที่มีนั้าตกลงมาขัง แอ่งหนึ่ง
เหมือนเป็นบ่อนํ้าเล็กๆ ซึ่งใช้อาบได้อย่างสบาย พอ เขาอาบนํ้านี้เข้า เขาก็เริ่มค้นก็โทษว่าคงจะแพ้ใบไม้ที่ร่วงลงมา จึงเลิกอาบ ไปอาบนํ้าที่โอ่ง แต่ก็ยัง ค้น จึงคิดว่าน่าจะแพ้อาหาร แต่แม้จะไม่กินอาหาร ทะเล งดกินสัตว์ปีกก็ยังคันในที่สุดเขาก็กินอะไรไม่ได้เลยจนเขาหิวมากๆ พอกินป้บก็จะตัน แล้วเกิดตุ่ม ตุ่มนี้กลายเป็นนํ้าใสๆ แล้วกลายเป็นหนอง พอหนองแตก ถ้าติดผ้าตรงไหน หนังก็จะหลุดออกมา เลอะไปด้วยเลือดและนํ้าหนอง แล้วไม่เว้นแม้ยับฝ่ามือฝ่าเท้าก็ขึ้น หนังศีรษะก็ขึ้น ไม่มีเว้นตรงไหนให้สบายเลยเขาเล่าให้ฟังว่า วันหนึ่ง เขาชงโอวัลตินจะกิน ปรากฏว่าพอเอาถ้วยจ่อปาก แขนไม่ยอมขยับต่อ เพราะรู้ตัวว่ากินไปแล้วจะออกผื่นแบบนี้ความกลัวที่อยู่ในจิตไร้สำนึกทำให้แขนไม่ยอมขยับ ใน ที่สุดต้องให้คนป้อน แต่ดื่มได้ไม่เท่าไร ผื่นก็ขึ้นมา กินเข้าไปก็ทุกข์ ไม่กินก็ทุกข์ จนในที่สุดก็กินอะไร ไม่ได้เลย นอกจากข้าวใส่ยับนํ้าปลา นํ้าปลาดีๆ ก็ ไม่ได้ ต้องเป็นนํ้าปลาที่ละลายสีใส่เกลืออย่างเดียว เท่านั้น
พอรู้เรื่องเข้า ที่เคยคิดจะดูว่ากรรมตามทัน เป็นอย่างไร ก็เกิดความโศกสลด วิ่งหาหมอให้เขา พาไปรักษาทุกหนทุกแห่งแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร เขาก็ฉุกคิดได้ ขออโหสิกรรม ในที่สุดก็ค่อย ดีขึ้นจากที่แต่ก่อนดิฉันชอบตั้งความคิดว่า ใครทำกรรมอย่างไรไว้ ขอให้ได้รับกรรมอย่างนั้น ตอนนี้ ไม่ทำแล้ว เพราะรู้ว่าอย่างไรเขาก็ต้องได้รับของเขา แต่ขอว่าเมื่อเขาได้รับกรรมของเขาแล้ว ขอให้เขา ได้เกิดสติปัญญาเห็นชอบ ที่เขาจะรู้และกลับพฤติกรรม กลับตัวกลับใจเราไม่ต้องเดือดร้อนและไม่ต้องไปพิพากษา ใคร เราเอาใจของเราไปผูกไว้ว่า ใครท่าเรา เรา ขอบคุณ ที่เขามาชนใจของเราที่เหมือนแก้วนั้าที่มี ตะกอนอยู่ ให้ตะกอนแตกตัวขึ้นผาเราจะได้รู้ว่าความชั่วเรายังมีอีกเท่าไร ไม่อย่างนั้นเราจะไปโทษ ว่าเพราะเขาทีเดียวผาว่าเรา ทำให้เราโกรธ จริงๆ ไม่ใช่เรามีความโกรธอย่ในใจเราแล้ว แต่ว่ามัน
สงบดีอยู่ จนเขาช่วยมาเขย่า ตะกอนที่ก้นแก้วของ เราจึงได้ลอยขึ้นมาถ้าเรายิงเป็นมิจฉาทิฐิ เราโทษว่าเขามาทำ เราแต่พอเราเป็นสัมมาทิฐิ เราขอบคุณที่เขามาทำให้เราได้กู้ระเบิดเวลาที่อยู่ในใจเรา
อีกตัวอย่างหนึ่งคือองคุลีมาล คนไม่เข้าใจว่า ฆ่าคนมา 999 คนแล้วทำไมจึงได้เป็นพระอรทันต์ การที่เราทำผิดทำชั่วผาเท่าไร ท่านอาจารย์บอกว่า เรี่องเล็กน้อย แต่อยู่ที่ว่าเรารู้ตัวแล้ว เรารักษาใจ ของเราให้เป็นสัมมาทิฐิไห้ได้ ไม่ให้ใจเราเผลออย่าง ที่เคยตกร่องและกิเลสตับเราไปประทับทรงองคุลีมาลแต่เดิมเป็นคนดี พ่อแม่ตั้งชื่อให้ว่าอหิงสกะแปลว่าผู้ไม่เบียดเบียน เพราะพ่อรู้โหราศาสตร์ตอนองคุลีมาลเกิดเป็นฤกษ์ดาวโจร พระแสงอาวุธในคสังส่องประกายและซนกัน พ่อกลัวว่า ลูกที่เกิดมาจะเป็นโจรจึงตั้งชื่อตัดไม้ข่มนามว่าอหิงสกะกุมาร อบรมให้เป็นเด็กดีมีคืลมีธรรม แล้ว เอาไปฝากให้รํ่าเรียนกับอาจารย์ทิศาปาโมกข์ความที่เป็นคนดีด้วย มีดีลมีธรรมด้วย เพื่อนๆ อิจฉาว่าเก่งก็เก่ง ดีก็ดี ไม่รู้จะทำอย่างไร เลยคิด โค่นเสีย เพื่อนๆ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรก บอกอาจารย์ว่า อหิงสกะกุมารเดี๋ยวนี้กำเริบเสิบสาน ดีดจะตงคิวเป็นอาจารย์ จะยึดสำนักอาจารย์ แล้ว จะฆ่าอาจารย์ทิ้งเสียกลุ่มแรกโดนตะเพิด เพราะอาจารย์ไม่เชื่อพอทิ้งระยะสัก 2 เดือน กลุ่มที่ 2 ก็ไปพูดอีก อาจารย์ก็ยังไม่เชื่อ แต่เริ่มสับตาดู เวลาเพื่อนเรียน หนังสือไม่ดีมาถาม อหิงสกะช่วยอธิบายให้ อาจารย์ ก็ดีดว่า นันเริ่มหาสมัครพรรคพวกเมื่อกลุ่มที่ 2ไปพูด ใจอาจารย์เริ่มแกว่งแล้ว แต่ก็ยังตามหาข้อมูล พออหิงสกะช่วยใคร ก็ดีตว่าหาพรรคพวกต่อมาอีกเดือน กลุ่มที่ 3 ไปบอก อาจารย์ เชื่อหมดใจเลยมีอย่างหรือจะให้ลูกศิษย์มาฆ่าเราเราต้องฆ่าลูกดีษย์ ทำอย่างไรเราจึงจะฆ่าลูกศิษย์ได้ โดยคนไม่รู้และไม่ดีดว่าเราทำร้ายศิษย์ จึงหาอุบาย เรียกอหิงสกะเข้ามาพบ ว่าอาจารย์ยังมีวิชาอยู่วิชาหนึ่ง เรียกศาตมนตร์ ไฝเคยสอนให้ใคร อหิงสกะ เฉลียวฉลาดดีมาก สมควรที่จะได้เรียนวิชานี้แต่ค่าขึ้นครูของวิชานี้ต้องบูชาด้วยชีวิตคน 1,000 คน อหิงสกะก็ปฏิเสธ เพราะพ่อแม่สอนไว้ อย่าว่าแต่ คนเลย แม้แต่สัตว์ยังไฝเคยฆ่าอาจารย์ก็สำทับว่า จำไม่ได้หรือ วันที่พ่อแม่ เอามาฝาก บอกไห้เคารพเราประดุจพ่อ สั่งอะ ไรให้ ทำตาม และให้ตั้งใจเล่าเรียนเพื่อจะได้รีบกลับไปรับ ใช้ราชการบ้านเมือง โดนไม้นี้เช้า อหิงสกะก็เถียง ไม่ได้ จึงต้องไป เวลาฆ่าคนก็ไม่ได้ฆ่าด้วยจิตใจ
เหี้ยมเกรียม และตัดนิ้วหิวแม่มือมาร้อยเป็นมาลัย เพื่อจะได้นับเมื่อถึงคนที่ 1,000 พระพุทธเจ้าทรงทราบ ว่าคือแม่ เพราะแม่ได้ข่าวแล้วว่าพระเจ้าปเสนทีโกศลจะยกพลไปเพื่อตับโจรนี้ แม่ฟังแล้วรู้สึกว่าคง จะต้องเป็นลูกชายเราแน่ ปรึกษากับสามีก็ไม่เอาธุระ ด้วย จึงแอบออกจากบ้านไป ซึ่งถ้าองคุลิมาลพบ แม่ ก็จะจำแม่ไม่ได้ เพราะท่านแก่มาก แล้วเวลา ฆ่าก็ไม่ได้ดูหน้าตา ฆ่าเพื่อเอาให้ครบ 1,000 คน
พระพุทธเจ้าจึงรีบเสด็จไปก่อน เพราะไปตกในพระ ญาณท่านว่า วันนี้จะได้ไปโปรดองคุลีมาลเมื่อองคุลีมาสเห็นพระพุทธเจ้าก็ตะโกนให้หยุด พระพุทธองค์ตรัสว่า เราหยุดแล้ว องคุลีมาสวิ่งจน เหนื่อยก็ยังตามไม่ทัน จึงโกรธ ตวาดว่า สมณะ ดูสิ บอกเราว่าหยุดแล้วๆ เราวิ่งจนเหนื่อยพระพุทธองค์ตรัสว่า เราหยุดแล้วจากการประทัตประหาร จากการเบียดเบียนสิ่งมีชีวิต องคุลีมาลก็ได้สติทิ้งดาบ แล้วนึกว่าพ่อก็อบรมเรามา เราไม่เคยที่จะทำ อย่างนี้ จึงทูลขอบวชกับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า ก็ทรงบวชให้องคุสีมาสมีจิตใจแน่วแน่ แม้ผู้คนจะบอกองคุลีมาลว่าทำไมท่านถึงโชคร้ายเช่นนี้ ได้อาจารย์ ที่คิดฆ่าท่านแท้ๆ ท่านก็จะห้ามว่า อย่าว่าอาจารย์ ของเรา อาจารย์ของเราท่านมีบุญคุณมาก ถ้าท่าน ไม่ส่งให้เรามาทำอย่างนี้ เราก็คงติดอยู่ที่สำนัก ไม่ รู้ว่าบัดนี้พระสัมมาส้มพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว เราก็ ไม่ได้มาบวช เราก็ไม่ได้มาปฏิบ้ติใจที่กตัญญูต่อครูบาอาจารย์เป็นภาชนะที่ไม่รั่วไหล องคุลีมาล นึกถึงครูบาอาจารย์แง่ที่ท่านประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ ส่งให้มาได้ดี ส่วนเรื่องอื่นนั้น อย่าไปสงสัยให้ใจขึ้น สนิม ไม่มีประโยชน์เมื่อองคุลีมาลออกบิณฑบาตกรรมก็ตามทัน คนขว้างก้อนหินใส่หมาที่ขโมยคาบเอาของไปกิน ก้อนหินก็โดนท่านแทน กลับจากบิณฑบาตแต่ละวัน มีแผลฟกชํ้าดำเขียว ต้องทำแผลกันทุกวัน แต่ท่าน ก็ไม่โกรธแค้น ท่านก็ไม่ขึ้งเคียด ก็แผ่เมตตาให้ เพราะรู้ว่าเมื่อก่อนคนเกลียดกลัวท่านต่อมาท่านเห็นคนท้องแก่มาใส่บาตร ก็ไปทูลถามพระพุทธเจ้า ว่า คนเป็นแม่ต้องทนแบกท้อง ต้องเจ็บท้องคลอดมีอะไรบ้างที่ท่านจะไปเมตตาแก่เขาได้พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนคาถาให้ บอกให้หญิงท้องแก่ท่องไว้ จะไต้ไม่เจ็บท้องเวลาคลอด ทุกคนจึงถามหาคาถา ขององคุลีมาลกัน กุศลก็เริ่มทวีคูณ จนในที่สุดท่าน ก็เป็นพระอรหันต์ใจของสิ่งมีชีวิตนั้งหลายเป็นธาตุเดียวกันหมด เรามีสิทธิที่จะทำให้ใจกลับมาเป็นธาตุบริสุทธิ้ เป็น ธาตุแท้ พุทธะ รู้ ตื่น เบิกบานได้ที่เข้าใจผิดเพราะแต่ก่อนยังไม่รู้ ตอนนี้เรารู้ แล้ว ก็ปลดเราให้เป็นอิสระ เอาสติให้เหมือนนํ้ายา ซักเงาเคลือบใจของเราเอาไว้ ตกไปในอะไร เราก็ไม่ไปซึมไปซับ เราก็เหมือนใบยัว พอยกขึ้นมา ก็สะอาดสะอ้านเกลี้ยงเกลาเมื่อใจเห็นอย่างนี้ ก็จะเชื่อยันว่าความสุขมีอยู่ที่ทั่วใป มีอยู่ทุกอณู หยิบตรง ไหนก็เป็นความสุข
พิมพ์โดย ปภัสสร มีพงษ์
แหล่างที่มา http://web.krisdika.go.th/buddha/62_searchhappy.pdf
วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น