Header Ads

วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2561

บทความหมออมรา ปัจจุบันจิต 2

บทความหมออมรา
ปัจจุบันจิต 2


ชื่อผู้เขียน  พญ อมรา มลิลา
วันที่     14 พฤษภาคม 2544
ณ ชมรมพุทธธรรม ตึกชิรญาณวงศ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
อันดับที่
หมวด

วันนี้เราจะพูดถึงเรื่องปัจจุบันจิตทำไมเราจะด้องมาพูดกันถึงเรื่องการทำ ใจของเราให้เป็นปัจจุบัน ก็เพราะถ้าเราเฝ้ามองดีๆ เวลามาปฏิบัติ มาภาวนา เราก็มุ่งว่า เราจะทำสมาธิ จะทำใจของเราให้นิ่ง แต่ถ้าจับ สังเกตเฝ้าดูใจของเราจริงๆ ที่ตั้งเวลาเอาไว้ว่า เราจะนิ่งสมาธิครึ่งชั่วโมง หรือ 1 ชั่วโมงนี้ ใจ ของเราไม่ได้อยู่กับคำบริกรรม ไม่ได้อยู่กับ กิริยาท่าทางที่สงบ มันไปไหนก็ไม่รู้ 1 ชั่วโมง นี่ 9 นาทีที่เราสงบจริงๆ ใจเป็นปัจจุบันจริงๆ ก็แทบจะไม่ได้เพราะฉะนั้น เราจะได้เห็นกันว่า เราไม่ ด้องไปใส่ใจสนใจกิริยาท่าทางว่า มันนั่งในท่าขัดสมาธิหรือกำลังเดินจงกรม เอาเป็นว่าไม่ ว่ากายจะอยู่ในท่าอะไรก็ตามที่ท่านอาจารย์สอนไว้ว่า ถ้าใจมีสติรักษา ตาเห็นอะไร สดิก็เห็นสิ่งนั้นด้วยเราเดินไป ขาเราเดินไปถึงไหนสติก็เดิน ไปนั่นด้วยคือเรียกว่าทุกๆ อิริยาบถที่ลืมตาตื่นอยู่ สติอยู่กับใจของเราเมื่อสติอยู่กับใจของเรากายทำอะไรอยู่ ใจของเราจะมาร่วมทำกิจการ นั้นด้วยนี่ใจของเราไปที่ไหนก็ไม่รู้ เป็นต้นว่า เรา กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ แล้วมีคนเข้ามา ทักว่า เออ.. ข่าวว่าอะไรบ้าง เราก็ “ไม่รู้” ที่ ก้มหน้าอ่านหนังสือพิมพ์อยู่นี่ เราไม่รู้หรอกว่า เราอ่านอะไร ก็แสดงให้เห็นว่า กายเรานั่งอ่าน หนังสือพิมพ์อยู่ ตาก็ลืมอยู่ แต่ใจไม่รู้ไปที่ ไหน แสดงว่าสติไม่ได้อยู่กับตัว การที่กายกับใจของเราแตกแยกก้นอย่างนี้ กันตราย ใจของเราไม่เป็นป๋จจุกัน เพราะกัน ไปคิดถึงเรื่องในอดีต ไปคิดถึงเรื่องในอนาคต เสร็จแล้วถ้ามีอะไรเกิดขึ้นตรงขณะนี้ เราช่วย ตัวเองไม่ได้เหมือนคนไข้รายหนึ่ง เล่าให้ฟังว่า เธอ ไปตรวจที่คลินิกเกี่ยวกับเต้านม เมื่อตรวจแล้ว ก็พบมีก้อนเนื้อ เขาส่งเธอให้ไปหาหมอตามขึ้น ตอนคุณหมอตรวจแล้วก็ตัดชิ้นเนื้อมาตรวจ ว่าเป็นมะเร็งลุกลามไปถึงต่อมนํ้าเหลือง หรือ ยังอยู่เฉพาะที่ ระหว่างชิ้นตอนที่ทำนี้ เข้าใจว่ายาที่ให้คงไม่ทำให้เธอหลับสนิทดี หรือก้อนเนื้ออยู่ลึกและขนาดใหญ่เกินไปเอาเป็นว่าคนไข้ยังรู้สึกเจ็บและได้ยินเสียงคุณหมอพูดกับ ผู้ช่วยและเด็กนักศึกษาที่มาดูว่า โอ๊ะ..ก้อนกัน อย่ลึก แล้วก็มีกิ่งก้านงอกออกไปคนไข้ปฏิบัติอยู่ เธอก็พยายามกำหนด เมื่อความปวดรุนแรงผาก ๆ ก็ไปกำหนดอยู่กับ ความปวด เพื่อจะแยกกายแยกเวทนาอย่างที่ ครูบาอาจารย์สอนไว้ ถึงจุดหนึ่ง เธอบอกว่าใจ ไม่ยอมอยู่กับคำบริกรรม ไม่ยอมอยู่กับอะไร ที่งนั้น มันปวดมากขึ้น.. มากขึ้น.. พยายามไป เพ่งความปวดแต่ใจก็แฉลบออกไปโกรธคุณหมอที่ทำ ว่าเสียแรงเป็นหมอ ก็น่าจะรู้ น่าจะ ต้องให้ยาระงับปวดเราให้เพียงพอ น่าจะต้องรู้ ว่าก้อนของเราเป็นกังไง ใจมันพาลระหว่างที่ปล่อยใจให้ตุปัดตุเป็ไปชกต่อย คุณหมอไต้สักพักหนึ่ง สติก็มา โอ๊ะ.. ถ้าเราเกิดเป็นลมปัจจุบันตายไปตอนนี้นี่เราขาดทุนแย่เลยเพราะคุณหมอกับเราก็ไม่ได้เห็นหน้ากันมาก่อนกว่าเราจะเข้ามาในห้องผ่าตัดนี้เขาก็ทำให้เราหลับแล้ว มีผ้าป็ดตาแล้ว เราก็ ชื่นชมที่จะมีคณหมอมาช่วยทำให้พยาธิสภาพ ของเราดีขึ้น แล้วทำไมกลายเป็นว่าเราไปผูกใจ โกรธ เพียงแค่โกรธขึ้นมานี่ สติหลุดหายหมด เหตุผลหลุดเกลี้ยง นี่เขาแกล้งเรา เขาทำให้เรา เจ็บ เขาเป็นหมอที่ไม่ดีพอตั้งสติระลึกได้อย่างนี้ เธอก็พยายาม บอกกับตัวเองว่า หมอย่อมต้องหวังดีกับคนไข้ เป็นธรรมดาเราแผ่เมตตาให้เขาก็แล้วกันก็เลยคิดในทางที่ถูกต้อง ในที่สุด จิตใจก็กลับดีขึ้น ร่างกายก็ค่อยกังชั่วขึ้นเธอเล่าให้ฟัง หกังจากที่ใจมากำหนดอยู่ กับคำแผ่เมตตาแล้ว จึงรู้ขึ้นมาว่า.. ที่ครูบา อาจารย์เตือนให้รักษาใจเป็นปัจจุบัน เพื่อว่ามี อะไรเกิดขึ้นเราจะได้รู้เท่าบัน และรักษาใจของ เราให้อยู่กับคำบริกรรม อยู่กับลมหายใจ อย่าง น้อยก็เที่ยงตรงอยู่บนมรรค ไม่ไต้ไปตกหลุม ตกบ่อหรือเข้ารกเข้าพงที่ไหน มันสำคัญอย่างนี้เองถ้าเราไม่ได้ฝึกอยู่เรื่อยๆ หรือไม่ได้เจอ เหตุการณ์ที่เข้าหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ฟังครูบาอาจารย์พูด เราก็ว่าเราทำได้ เรื่องอะไร เราจะปล่อยใจเราให้ไปเข้ารกเข้าพงที่ไหน แต่ เมื่อฟังจากคนไข้เล่าตรงนี้ ก็เป็นอุทาหรณ์สอน ใจที่ดี ที่ทำให้เรารู้ว่าเราเองต้องคอยระมัดระวัง เอาไว้ เพราะไม่รู้ในชีวิตธรรมดาๆ ของเรา บางทีเดินข้ามถนนไปดี ๆ อาจจะไปถูกรถเฉี่ยว หรืออาจจะไปเป็นลมปัจจุมันขึ้นมาทุกอย่างมันไม่แน่ ตามกฎไตรลักษณ์ที่พระทุทธเจ้าทรง สอนเอาไว้เพราะฉะนั้น ถ้าระลึกนึกถึงตรงนี้ เมื่อ ไรใจจะเผลอฟังซ่านเป็นนิวรณ์ไป เราก็ดึงให้ มาอยู่กับลมหายใจของเรา หรือมาอยู่กับอิริยาบถของเราเรากำลังเดิน ก็เอาสติผูกไว้กับเท้า ขวา.. ข้าย.. ขวา..ข้าย.. เคลื่อนไหวทำอะไร เราก็  มาอยู่กับอิริยาบถ ถ้าไม่มีอิริยาบถ ไม่ทำงาน การที่เคยทำอยู่ ก็อยู่กับลมหายใจอย่าเผลอ ปล่อยให้ใจของเราเป็นเหมือนเด็กที่ไม่มีพี่เลี้ยง เลี้ยงเป็นกันขาด เพราะถ้าเผลออย่างนั้น อะไร แว่บมา ใจของเราจะไปเกาะกับสิ่งนั้นทันที ถ้า เป็นเรื่องที่ถูกกับอารมณ์ของเรา เราก็ไปผูกพัน กลิ้งตามออกไปเรื่อย กว่าจะเอาใจของเรากกับ มาอยู่กับตัวได้นี่ บางครั้งก็ไม่ทันทํวงที ตรงนี้ คือสิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านเตือนนักเตือนหนาตัวอย่างกันหนึ่งที่ท่านอาจารย์เล่าให้พวก เราฟัง คือ มีแม่ซีคนหนึ่งบวชมาตั้งแต่รุ่นสาว แล้วปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาเรื่อย ช่วงก่อนที่จะ เกิดเรื่องนี้ เธอกำหนดอะไร จิตก็รวมเป็นสมาธิ บางครั้งตั้งๆ ที่ลืมตาอยู่ตามปกติ มองอะไรไป แทนที่จะเห็นเป็นผู้คน เป็นนาย ก. นาย ข. เธอ บอกเห็นเป็นโครงกระดูกไปหมด ใครๆ ก็คาด ว่าถ้าเธอมีกันเป็นไป ก็น่าจะไปสู่ภพภูมิที่ดีแน่ๆวันหนึ่ง เธอกำลังซักผ้าอยู่ขณะที่เป็น เวลาโพล้เพล้ ซักเสร็จเอาผ้าขึ้นไปตากที่ราว ก็ พบว่าผ้าที่ซักเสร็จมีแมลงเล็กๆ ตัวหนึ่งเปียก นํ้าตายแปะติดที่ผ้า เป็นเรา เราก็คงแผ่เมตตา ให้แมลงตัวนั้นไปเออ.. ไปสู่ที่สุขที่สุขเถิดนะบุญกุศลที่เรามี ขอยกให้แมลงไป และก็ขอไห้ อโหสิต่อกันและกัน แต่ใจของคุณแม่ซีกลับตกหล่มตรงนี้ว่า ไอ้แมลงเจ้ากรรม ทำไมถึงจะต้อง มาตายติดอยู่กับผ้าที่ฉันซัก ฉันอุตส่าห้รักษา ศีลมาตลอดเวลาที่บวช ไม่มีด่างพร้อยเลย กรรมเวรแท้ๆ มาทำแมลงตัวนี้ตายถึงเวลาปฏิบ้ติ แทนที่จะเซีาสมาธิ จะนั่ง สมาธิไต้อย่างเคย ใจก็ประหวัดถึงแต่แมลงตัว เด็กกำพร้าก็ตีนถีบปากกัดเสี่ยงชีวิตมาเรื่อยจนกระทั่งเป็นหนุ่มฉกรรจ์ ไม่เคยรู้บาปบุญคุณ โทษ วันหนึ่ง ได้ไปพบพระอรหันต์ ได้ฟังธรรม ของท่านแล้ว ก็เกิดความปีติ คิดว่า ชีวิตเรา ตงแต่เกิดมานึ่ไม่เคยทำคุณงามความดีอะไรเลย หัดนี้ เราได้มาพบผู้ให้แสงสว่างแก่เราแล้ว เพราะฉะนั้น เราจะตามท่านไปแล้วขอบวชและ ปฏิบัติอยู่กับท่านระหว่างที่พระยังพักอยู่ตรงหมู่บ้านและ ชาวบ้านเอาอาหารมาถวายนายคนนี้ก็ไปจัดการข้าวของที่มีอยู่ เอายกแบ่งไห้คนรู้จัก และรีบวิ่งกลับมาเพื่อจะขอบวชและไปปฏิบ้ติกับ ท่านจิตใจขณะนั้นปีติอิ่มเอิบทั้งที่ยังไม่ได้กิน ข้าวเลยตั้งแต่เช้าและเหน็ดเหนื่อยมาก นาย คนนี้มายังไม่ท้นถึงที่ที่พระพักอยู่ก็เป็นลมปัจจุบัน ตายไป แต่ตายไปด้วยจิตใจที่ปีติอิ่มเอิบ นึกถึง บุญกุศลที่ตัวกำลังจะไปกระทำ ก็ไปเกิดเป็น เทวดาพวกลูกศิษย์ลูกหาที่นั่งฟังท่านอาจารย์ เล่าเรื่องนี้อยู่ก็ประท้วง โอย.. ไม่ไหวเลยเจ้าค่ะ มีอย่างที่ไหน คุณแม่ซีบวชปฏิบัติมาดีดลอด ชีวิต เสร็จแล้วก็ไปตกนรก เพียงเพราะว่าใจไป หมองนึกถึงแมลง อีกคนช่วยแต่งเรื่อง กราบ เรียนท่านอาจารย์ว่า คุณแม่ชีก็คงไปตกนรก ประเดี๋ยวเดียว แล้วก็ขึ้นสวรรค์ท่านอาจารย์ตอบว่า ไม่แน่หรอกของ อย่างนี้ เพราะใจที่ไม่รู้จักรักษาให้อยู่กับปัจจุบัน เรียกว่าใจรั่ว ใจรั่วแล้วนี่ เมื่อตกไปอยู่ในนรก แทนที่จะกำหนดให้อยู่กับบุญกุศล บันก็บัดส่าย ไป ตัดพ้อต่อว่า ลามปามไปถึงครูบาอาจารย์ หรืออะ ไรต่อมิอะไรใจก็รั่วหนักขึ้นไปเรื่อยๆไม่แน่หรอก อาจจะหาทางขึ้นจากนรกไม่ได้ก็ได้ส่วนใจของนายคนนั้น ถึงเขาจะไม่ได้ทำ บุญทำกุศล แต่สิ่งที่เขาทำมาก่อนหน้านั้น เขา ไม่ได้ทำเพราะเขาเป็นคนชั่วร้าย เขาไม่รู้ เมื่อ ได้รู้จากการฟังธรรม เขาก็ไม่ไปกังวลกับอดีต เพราะคนเราทำอย่างไรได้เมื่อยังไม่เคยรู้อะไรที่ทำไปแล้วก็ช่วยไม่ได้ เมื่อรู้แล้ว ก็ตั้งใจ บุ่งมั่นที่จะให้ดียิ่งขึ้น เขารักษาใจเขา เพราะใจ เขาไม่รั่ว มีอะไรก็เก็บงำได้ ในที่สุด เขาอาจจะ ปฏิบ้ติจนกระทั่งเหมือนเราหนีหมาไล่เนื้อสำเร็จกรรม ก็เปรียบเสมือนหมาที่ไล่เรามา เราหนีขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ได้ คือปฏิบ้ติจนใจ หลุดพ้น เป็นพระอรหันต์ได้ และสิ้นชีวิตเสีย ก่อน กรรมที่ตามมาก็ตามไม่ทัน เขาก็มีสิทธิจะ ปฏิบ้ติดีไปได้
เรานึกในใจ อย่างนื้ก็แยกันสิ..อย่างนี้ นึกถึงแมลงตัวนี้ แล้วไม่สามารถจะถอนใจให้ มาเป็นบฌเป็นกศลไต้ ก็หมดลมไปกับแมลง ต์วนี้ ท่านอาจารย์บอกว่า จิตดวงนี้ก็ไปตกนรก ไปส่อบายภูมิท่านอาจารย์ก็เล่าถึงอีกคนหนึ่งว่า นาย คนนี้นึ่เกิดมาก็ไม่รู้จิกพ่อรู้จักแม่เรียกว่าเป็นก็แย่กันเมื่อมาพิจารณาไตร่ตรองจริงๆ แล้ว ก็ เข้าใจจุดที่ท่านอาจารย์เน้นให้เราเห็นว่าคนเรานั้น ก่อนหน้าที่จะมารู้ผิดชอบชั่วดีก็ถูกความหลงหรือความใม่รู้ป็ดบัง จนกระทั่งเรา ระลึกนึกไม่ได้แต่เมื่อรู้แล้ว เราอย่าไปคร่ำครวญ อย่าไปปล่อยให้นิวรณ์มาครอบงำใจเรา ท่านอาจารย์บอกว่า ถ้าเรารู้ไปหมดทุกอย่าง แล้ว เราไม่มาเกิด เราเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว การที่เรามีรูปร่างกายเป็นพยานฟ้องอยู่ทนโท่ ก็แปลว่าเรายังมีอวิชชา อุปาทาน อยู่ในใจเมื่อยังมีอวิชชา อุปาทาน การที่เราได้รู้ ที่ผิดที่ชั่วของเราก็เป็นของดี เราจะได้เอาสติ จดจ่อและคอยพยายามฝึกฝนเอาไว้ให้ใจอันนี้ เป็นปัจจุบันไปเรื่อยๆสะสมแต่บุญกุศล อยู่ในมรรค ถ้าตอนไหนเราเหนื่อยล้าเราคิดไม่ ออก เราก็หยดอย่ที่ศูนย์ ไม่ยอมถอยกลับไปนี้ จิตใจหม่นหมองลงไปเรื่อยๆ วันหนึ่ง ท่านเป็นลมปัจจุบันช่วงที่กำลังจะตาย ใจแว่บไปฟัุงซ่านรำคาญใจเหมือนคนบางคน แย้งว่าไม่ได้ ต้องฟังซ่านกันละนิด จิตจะแจ่มใส ถ้า ไม่คิดเลย เอะอะอะไรก็อยู่กับลมหายใจ มน เครียด เดี๋ยวบ้า ถ้าได้ฟังซ่านบ้างนิดหน่อย ขอ ให้ได้ถูกกิเลสหลอกให้ไปสร้างวิมานในอากาศ จิตจึงจะแจ่มใสท่านอาจารย์ดุว่า ใช่.. แจ่มใส แต่ไม่รู้ว่า ตรงที่คิดว่าแจ่มใสนั้น เสบียงจะติดลบเป็นตัว แดงขึ้นไปถึงไหน ดีไม่ดีถูกฟ้องล้มละลายตาย จากความเป็นมนุษย์นะ เพราะจิแจ่มใส แต่ ศีลพังหมด อะไรอย่างนี้เรานึกถึงตรงนี้เอาไว้ จะได้พยายาม พยายามฝึกในใจตัวเองไว้เรื่อย ๆ การที่ใจของ เราอยู่กับบ้จจุบันนี่เป็นของดีครั้งหนึ่ง มีคนเล่าให้ดิฉันฟังว่า เป็นคน ปากเบา ใครว่าอะไรปับจะต้องตอบออกไปเลย และก็ค้นพบด้วยตัวเองว่า การที่ใครว่าอะไร
แล้วจะต้องตอบออกไปนี่ ทำให้เธอเป็นปลา หมอตายเพราะปาก เพราะในชีวิตของเธอจะมี แต่เรื่องเดือดร้อนเรื่อยถูกคนโน้นคนนี้นินทาว่าร้าย เข้าใจผิดอยู่เนืองๆ ซึ่งก็มาไต้คิดว่าเป็น เพราะปากของเรานี่เองไม่ว่าจะไต้ยินเรื่องอะไรมา ยังไม่ทันสืบสวนให้รู้เท็จจริงพบหน้าเพื่อนก็จะต้องรีบเล่า เพราะเข้าใจว่าเรารู้อะไรแล้วเก็บไว้คนเดียว จะเป็นการปิดบังเพื่อน บางครั้งเรื่องที่เล่าไปไม่ไข่ เรื่องที่เที่ยงตรง เล่าไปแล้วก็เกิดความเสียหาย ขึ้นอีก 2-3 วันต่อมาจึงรู้ว่าเรื่องที่เล่าไปนั้น แหล่งข่าวผิดพลาด เพราะต้นตอเล่าผิด เขาก็แก้คดีให้ เธอก็ต้องตามไปแก้คดีต่อแต่ส่วน ที่เล่าไปแล้ว เสียหายไปแล้ว เกิดไปเรียบร้อย แล้วเธอก็เข้าใจ วิบากตรงนี้ถึงทำให้บางทีเรื่องไม่เป็นเรื่อง เธอไม่ไต้ทำอะไรกับใครที่ไม่ดี เลย แต่ก็เป็นแพะรับบาป คงเพราะ.. นี่แหละๆปลาหมอตายเพราะปากเธอก็คิดได้ว่า แต้นี้ต่อไป ฉันจะปรับ พฤติกรรมของตัวเอง มีอะไรจะปีดปากเงียบไว้ ก่อนจนกว่าจะแน่ใจ เพราะท่านอาจารย์เตือน ไว้ ของอะไรก็ตาม ถ้าไม่ได้ยินกับ 2 หูตัวเอง ไม่ได้เห็นด้วย 2 ตาตัวเอง ฝัน อย่าเป็นนัก ทำนายฝัน เธอก็ประทับใจกับถ้อยคำตรงนี้ เออ.. ถ้าไม่ได้เห็นด้วย 2 ตา ไม่ได้ยินกับ 2 หู ฉัน จะไม่เป็นนักทำนายฝันเธอก็ปีดวาจาได้เยอะขึ้น และจิตใจก็อยู่เป็นปัจจุบันได้ตืขึ้นระหว่างที่ทำอย่างนี้ เธอก็พบว่า ใจที่เคย กระฉอกกระแฉกไปตรงโน้นตรงนี้ ก็ดีขึ้น แต้ ก่อนเมื่อใครนินทาว่าร้ายเธอ เธอจะเป็นเดือด เป็นแค้นมาก ต้องชี้แจงแถลงไข ท่านอาจารย์ บอก ยิ่งพูดมาก มีมูลฝอย หมาก็ยิ่งขึ้เยอะ เพราะฉะนั้น.. พูดไปแล้วมันก็มีเรื่องกันมากขึ้น หยุดพูดเสียเรื่องก็หมดเธอก็เห็นจริง เอ้า..เห็นจริง คราวนจะหยุดพูด.. หยุดพูด.. หยุดพูด วันหนึ่ง ผีเรื่องที่เข้าใจผิด แล้วผู้คนเอา เธอไปนินทาว่าร้าย เธอก็รู้สึกคันในหัวใจ อยากจะชี้แจงก็ได้ยินเสียงท่านอาจารย์ว่า..กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์บุคคล เราอยู่เฉย ๆ แล้วเวลาก็จะพิสูจน์ออกมาเอง เมื่อได้ยินเสียง ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ว่าเธอต่างๆ นานา เธอก็ กำหนดอยู่กับลมหายใจ อยู่กับลมหายใจ ใจก็ ลงรวมเป็นสมาธิ ความรู้สึกที่หงุดหงิด เครียด มันเปลี่ยนไป ในใจของเธอเกิดผีเหตุผลขึ้นมา ว่า ถ้าใครจะเชื่อข่าวโคมลอยนี้ ก็ดีเราจะได้ แยกออกว่า คนไหนเป็นเพื่อนจริงของเรา คน ไหนเป็นคนที่คบไม่ได้ เออ.. มีเรื่องอย่างนี้เกิด ชึ้นก็ดี ทำให้อยู่ดีๆ เราก็สามารถรู้นํ้าเนี้อหัวใจ ว่าใครเป็นเพื่อนหรือไม่ใช่เพื่อนเรา เพื่อนกิน หรือเพื่อนตายคิดได้อย่างนี้ก็เกิดความเบาสบาย ไม่เดือดร้อนเหมือนแต่ก่อน..แต่ก่อหลังจากนั้น สิ่งที่เธอคิดเป็นเรื่องที่ถูก เพราะผู้คนที่ได้ยินคำนินทาว่าร้ายก็แบ่งเป็น 2 พวก พวกที่มีเหตุผลก็ว่า เท่าที่ฉันสังเกตดูคนที่ถูกว่าก็ไม่ใช่คนเหลวไหลอย่างนั้น ถ้าเรา อยากรู้เรื่องจริงๆ เราลองไปถามเจ้าตัวลูสิ แทนที่เราจะเอามาพูดซุบๆซิบๆ กันอย่างนี้ ถ้า มนเป็นเรื่องไม่จริง ก็เหมือนลับเราทำบาป เพราะไปนินทาเขา ถ้าเป็นเรื่องจริง เจ้าตัวจะ ได้รู้ เขาจะได้แก้ไขตัวเขาได้แต่พวกที่เจอเรื่องอะไรก็ซุบซิบไปเรื่อย ก็ ไม่ได้เดือดร้อน เขาถือว่ามืเรื่องอะไรเขาก็พูด ไปเรื่อย พูดไปแล้วใครจะได้ดีใครจะได้ชั่ว เขา ก็ไม่รู้เรื่องด้วยเขาเป็นกระบอกเสียงกระจายเสียงไปเท่านั้น ถ้าไม่ได้พูดแล้วรู้สึกตันในหัวใจ เหลือเกิน ก็แต่นั้นเองหลังจากที่เรื่องนี้ผ่านพ้นไปแล้ว ผลที่ดืด ตามมาก็คือ เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นและเธอตกเป็นแพะรับบาปก็เปลี่ยนไป คราวนี้มีเรื่องเกิดขึ้น สงสัยเธอจะเป็นคนกระจายข่าว ก็มีผู้ลุกขึ้นคิดงางว่า ก่อนกล่าวหานะสาเหตุรู้จริงเสียก่อน คือเรียกว่าเรื่องร้าย ๆ ทั้งหลายที่เกิดขึ้นเพราะ ข่าวก็ผ่านพันไป เธอก็ไม่ถูกเป็นแพะรับบาป อย่างที่เคยเป็นมาตรงนี้ทำให้เธอมีกำลังใจ มาเล่าให้เพื่อน นักปฏิบ้ติด้วยกันฟัง ว่าของทุกอย่างมาแต่เหตุ จริงๆ อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ ถ้าเรารู้ ว่าชีวิตของเรามีเรื่องซํ้าๆซากๆ ที่ไม่ดีเรา
ควรจะพิจารณาดูว่า นิสัยอะไรที่เราทำแล้วเป็น สาเหตุให้เกิดเรื่องตรงนั้น แล้วพยายามฝึกฝืน ปรับเปลี่ยนเราเสีย ผลที่ติดตามมาก็จะเปลี่ยน ไป เพราะอะไรๆ ที่เกิดกับเราในชีวิตเราแต่ละ เวลานาทีนี้ ไม่ใช่เหตุบังเอิญ ไม่ใช่ใครบันดาล ให้เราแต่มันคืออดีตเหตุ อดีตกรรมที่เราทำไว้ เหมือนเราหว่านเมีดอะไรลงไป มันก็งอกเป็นลำต้นขึ้นมาเมื่อต้นโตถึงขนาดที่จะออกดอกออกลูกได้ มันก็ออกดอกออกลูกเป็นเหตุการณ์ที่เกิดในชีวิตเราแต่ละเวลานาทีเพราะฉะนั้น ถ้าไตร่ตรองเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ละเรื่องๆ ให้ดี เอาสติคอยจดจ่อไว้ เราจะ เห็นเงื่อนได้ว่า อ้อ.. สงสัยเรื่องนี้มันเป็นลูกของ วันก่อนนั้น ที่เราพลั้งเผลอสติทำอะไรที่ไม่ดีลง ไปเมื่อเป็นอย่างนี้ ถ้าเราเผลอพูดอะไรหรือติดอะไรที่ไม่ดีออกไป เราจะสะตุดขึ้นมาเลย ว่า.. เดี๋ยวเถอะ มันก็จะเป็นเม็ดที่จะงอกเป็น ลำต้น แล้วอีกไม่ช้าก็จะเป็นเรื่องไห้เราทุกข์ เดือดร้อน เมื่อเริ่มจ้บเงื่อนต่ออย่างนี้ได้ ใจจะ เป็นปัจจุบันได้เร็วมากขึ้นแล้วใจที่เป็นปัจจุบันนี่มีอานิสงส์อีกอย่าง หนึ่ง คือคนเรามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ใจจะระแวง ถ้าเรามีความไม่พอไจหรือกินแหนงแคลงใจใคร อยู่ นั้งๆ ที่คนนั้นไม่ใช่คนผิด แต่เราจะไปนึกสงสัยคุณ ก. นี่แหละเป็นคนแกล้งเรา เป็นคน ทำให้มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น เมื่อคิดอย่างนั้นมันก็ฝังใจดีไม่ดี เราก็ตายไปด้วยความฝังใจผิดๆอย่างนั้น ถ้าใจเราเป็นปัจจุบัน มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ใจจะแฉลบไปคิดอย่างที่พูดกันมาเมื่อกี้ สติก็เตือนขึ้นมาว่า ถ้าไม่ได้เห็นด้วย 2 ตา ไม่ได้ยินด้วย 2 หู อยู่กับปัจจุบัน อย่าเป็น นักทำนายฝันที่จะไปเพ่งโทษคนนั้นคนนี้มันก็หยุดกลับมาเป็นปัจจุบันเหมือนเรากำลังต่อรูปต่อ ถ้าเราหาชิ้นต่อที่จะต่อเข้าที่ยังไม่ได้ อย่าไปเอาชิ้นต่อที่ไม่ใช่ชิ้นจริงมา แล้วพยายาม ใส่เข้าไปหัวจะเยิน แล้วรูปต่อของเราก็จะเสียหมดในชีวิตจริงๆ ของเรา เรามักจะแก้ปัญหา ด้วยวิธีนั้น เรื่องราวถึงได้บิดเบือนด้วยอุปาทาน ความยึดมั่นสำกัญผิด เกิดความเข้าใจผิดจอง เวรต่อกัน โดยที่เรื่องจริงๆ ไม่ได้มีเลยตัวอย่างที่จะช่วยให้เห็นตรงนี้ ก็มีอีกท่าน หนึ่งมาเล่าให้ฟังว่า ปกติเธอกับคุณ ก. มีเรื่อง กินแหนงแคลงใจกันอยู่ตลอดเวลา แล้วเธอก็บัก จะคิดว่าอะไรๆ ไม่ดีที่เกิดขึ้นกับเธอ เป็นเพราะ คุณ ก. เป็นสาเหตุทั้งนั้นคราวหนึ่งก็ปรากฏว่า ระหว่างที่เธอถูก ส่งไปราชการต่างจังหวัด พอกลับมาก็มีคำสั่ง ให้เธอไปประจำที่อีกหน่วยหนึ่ง ซึ่งหน่วยนั้น ตัวหัวหน้าถูกย้ายไปที่อื่นเพราะลูกน้องก่อเรื่อง ก่อราวขับไล่หัวหน้า เธอถูกย้ายให้มารักษาการณ์ เป็นหัวหน้าตรงที่ทำงานที่กำลังมีปัญหานี้ใจเธอตอนแรกก็นึกสงสัย.. เพราะคุณ ก...เป็นบ่าวช่างยุ แล้วก็ทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นพอเธอเริ่มสติดีขึ้น เออ.. เรากังไม่ได้ฟังเหตุผลจาก หัวหน้า กังไม่รู้เรื่อง ก็อย่าไปคิดไม่ดีกับคุณ ก. เลย เธอก็พยายามทำใจให้เป็นปัจจุบันไว้..เป็นปัจจุบันไว้ระหว่างไปประจำอยู่ที่ใหม่ ก็มีเรื่องโน้น เรื่องนี้วุ่นวายไปหมด จนกระที่งเธอเองก็ลืมไป แล้วหัวหน้าก็ยังไม่ได้เจอะเจอกัน จนเวลาผ่าน พ้นไปประมาณเดือนกว่า วันหนึ่งก็มีประชุม เธอพบกับหัวหน้า หัวหน้าก็ถามว่า เออ.. เป็น ยังไง ไปอยู่ที่ใหม่นี่ ฉันตั้งใจจะถามเธอตั้งแต่ ก่อนย้าย ทีนี้เธอไปติดราชการอยู่ต่างวังหวัด ฉันเห็นว่าเธอเป็นคนมีดวามสามารถแล้วงานนี้ก็เป็นงานท้าทาย อีกอย่างหนึ่ง ศูนย์ที่ไปอยู่ นึ่หันก็อยู่ใกล้บ้านเธอ ฉันก็เลยตัดสินใจด้วย ตัวเองว่า ที่ทำนึ่เป็นการช่วยเหลือเธอ เธอคง พอใจ ฉันก็เลยแทงเรื่องเธอไปถึงผู้บังคับยัญชา ให้ย้ายเธอมาเธอก็สะดุ้งในใจว่า โอ.. นี่เป็นบุญที่เธอ รักษาใจให้เป็นบ้จจุบัน เพราะไม่อย่างนั้นก็ไป คิดเพ่งโทษคุณ ก. ซึ่งคุณ ก. ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เรื่องจริงนั้นเป็นความตั้งใจดีของหัวหน้าและเป็นผลดีลับเธอด้วยเพราะปรากฏว่าเธอสามารถจัดการกับลูกน้องที่หัวแข็งก่อเรื่องก่อ ราวต่าง ๆ ให้เข้าใจและมาทำงานได้เป็นอย่างดี ศูนย์แห่งนี้ก็ก้าวหน้าไปด้วยดีจากผลงานของเธอ ทำให้เธอได้รับการเลื่อนขั้นขึ้นไป ก็เป็นอย่างที่ หัวหน้ามองเอาไว้หัวหน้าเป็นคนที่มองลูกน้องออกรู้ว่าใครมีความสามารถทางไหน เธอเองก็ได้ประโยชน์ เพราะแต่ก่อนนั้น ศูนย์ที่เธออยู่มัน อยู่คนละมุมเมือง คือบ้านเธออยู่ดอนเมือง ต้อง วิ่งมาทำงานที่ศูนย์ราษฎร์บูรณะ หัวหน้าก็เห็น ว่าที่ทำอย่างนี้เป็นการช่วยลูกน้อง แต่เธอบอก ว่าถ้าเธอไม่ระวังรักษาใจ ไม่เก็บใจของเธอให้ เป็นบ้จจุมัน กว่าจะรู้เรื่องจริง ใจของเธอก็ไป คิดเบียดเบียนคุณ ก. เสียจนย่ำแย่ไปแล้ว คิดดู เถอะ เมื่อผลมันนี้กลับมาสนอง เราก็ต้องทุกข์ เดือดร้อน บางครั้งเราไม่ได้ทำอะไรเลย แต่คน ก็เข้าใจผิด คนก็คิดถึงเราในทางไม่ดีเรื่อย ใจก็ ท้อบางครั้ง เราไม่ทันดูวิธีที่เราประกอบ เสบียงให้กับตัวเองให้ถี่ถ้วน ไปคิดว่า อือม.. เผลอคิดไปหน่อยจะเป็นไรไปความคิดนี้เป็นเรื่องธรรมด๊า...ธรรมดา เป็นเรื่องส่วนตัว แต่ จริงๆ ความคิดไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ไม่ใช่ว่าเรา คิดอะไรไปมันก็ไม่มีผล เดี๋ยวนี้เขาพบแล้วว่า ความคิดของคนเราเป็นคลื่น เป็นพลัง เหมือน อย่างกับคลื่นเสียง เมื่อเราพูดไป เสียงของเรา กระเทือนเป็นคลื่นไปในบรรยากาศ เราได้ยิน เราก็รู้ว่ามีเสียงเกิดขึ้นแต่เสียงของความคิดเป็นคลื่นที่ถี่จนหเราฟังไม่ได้ยิน ถ้าเอาเครื่อง รับที่สามารถรับเอาความถี่ตรงนี้ได้ ความคิด ของเราจะตังขึ้นมาเหมือนกับคำพูดครูบาอาจารย์ที่ท่านอ่านใจได้ เราคิด อะไร'ในใจท่านก็ร้หมด ก็เพราะว่าใจของท่าน ละเอียดเหมือนเครื่องที่รับฟังความถี่ของความคิด ได้ คลื่นความคิดนี้ ถ้าจะเปรียบเทียบให้เข้าใจ ในสถานะปัจจุบัน เหมือนเราไปอัดเสียงที่สถานี วิทยุกระจายเสียง วิทยุจุฬาฯ คลื่น 101.4 อัด.. ถ้าไฝมืเครื่องรับที่จะหมุนคลื่น 101.5 เรา ก็ฟังไม่ได้ ที่งๆ ที่อัดเอาไว้เป็นกะตกเลย ครั้น เรามีเครื่องรับที่หมุนคลื่น 101.9 ได้ พอเปีด มาปั๊บ มันก็เป็นเสียงตามรายการที่เรารู้ เราก็ ฟังได้ยินความคิดของเราที่มันฟังไปในบรรยากาศ ทุกคนๆๆ ฟังกันเข้าไปซนกัน ไปตีกัน หรือไป ประสานเกื้อหนุนกันนั้นเหมือนอย่างเราอ้อนวอนขอท่านอาจารย์โปรดแผ่เมตตา ให้เรา ผีกำลังใจที่จะผ่านความทุกข์ทั้งหลาย มันไม่ใช่ เรื่องเลื่อนลอยเวลาที่ครูบาอาจารย์ท่านแผ่เมตตาออกมา คลื่นเมตตาก็กระเพื่อมออกมา คุณสมบัติของความเป็นเมตตาก็เหมือนเป็นสนาม
แม่เหล็ก ใจของพวกเราที่กำลังเป็นทุกข์เดือด ร้อน ก็เหมือนเศษเหล็กที่อณูหัวทิ่มหัวตำไป คนละทางสองทาง เผื่อตกลงไปในกระแสสนาม แม่เหล็กของท่าน เราก็รู้สิกชุ่มเย็น สบายขึ้น มีกำลังใจ มีปีติอิ่มเอิบ หรีอแว่บนึกถึง เราน่า จะติดแก้ปัญหาอย่างนี้.. อย่างนี้ที่เล่ามานี้ไม่ใช่เรื่องหังเอิญ เป็นความจริงนักวิจํโยได้เอาผู้คนที่ทำสมาธิได้มารวม กลุ่มกัน แล้ววัดความหนาแน่นของบริเวณรอบ ๆ ว่า คนที่มารวมกลุ่มกันทำสมาธิแล้ว จะความเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้น แล้วนำผู้คน ที่จิตใจไม่สบายเข้ามาเขาพบว่า คนที่จิตใจหงุดหงิด อยากทำร้าย หรือไปฆ่าไปทำอะไร รุนแรง เผื่อเข้ามาอยู่ในกระแสจิตใจของผู้คน ที่สงบ ที่เป็นสมาธิ ที่มีเหตุมีผล จิตใจเขาเหล่า นั้นก็คลี่คลายไปที่กำลังคิดจะไปฆ่าเขา ก็เปลี่ยน ใจ.. ไว้พรุ่งนี้ค่อยฆ่าก็ได้ หรือ.. ช่างหัวหัน  เถอะ ไปฆ่าเขาทำไมให้เรามีบาปมีกรรมเปล่าๆก็ได้ข้อยุติว่า ในสังคมใด ถ้าเราสามารถ ให้ผู้คนปฏิบ้ติทำสมาธิสมาเสมอ เพียง 10๐/๐ สังคมนั้นจะไม่มีอาชญากรเกิดขึ้นเพราะคลื่นความสงบร่มเย็นของสมาธิสามารถทำให้ใจที่ รุ่มร้อนเย็นลง คล้ายๆ เรากำสังร้อนผ่าว เมื่อ ไปเจอด้นไม้ หลบเข้าไปใต้ร่ม รู้สึกซุ่มชื่น ชีวิต ค่อยสุนทรีย์ขึ้นจิตใจของมนุษย์หรือของสิ่งมีชีวิตสามารถ แผ่อิทธิพลไปเกื้อหนุนหรือขัดแย้ง ไปทำร้าย หรือเยียวยาซึ่งกันและกันได้ เพราะฉะนั้น อย่า สำคัญผิดว่าความคิดเป็นเรื่องส่วนคัวสิ่งที่เราคิดอาจไปทำร้ายจิตใจผู้อื่นได้ถ้าเรามีพสัง จิตแรงเคยไหมที่เรากำลังเดินอยู่ในที่มีผู้คนเยอะแยะ แล้วรู้สึกคล้ายกับว่าอะไรนะ หนไปดู ปรากฏมีคนกำลังจ้องเราเขม็ง ก็เพราะพลังจิตเกิดขึ้นหรือคนที่คิดไม่ดึก็สามารถเอาพลังจิตไปทำร้าย ผู้อื่นได้ เราถึงต้องมาปฏิบ้ติใจกันครูบาอาจารย์ท่านสอนไว้ว่า แม้พลังจิต จะมีพลังอำนาจอย่างนั้นก็จริง แต่ถ้าเราฝึกฝน เอาสติรักษาใจของเราเอาไว้ ผัสสะอะไรมากระทบเรา เรามีความระลึกรู้อยู่ พลังอีกฝ่าย หนึ่งจะเข้มแข็งอย่างไรๆ ก็ตาม ก็มาทำร้ายเรา ไม่ได้เพราะคนที่สะกดจิตนี่ เขาจะต้องถามหรือบอกเราให้รู้ก่อนว่า ระหว่างที่เขาสะกดจิต เรานั้น ขอให้เราให้ความร่วมมือ อย่าต่อต้าน ถ้าเราต่อต้านแล้วเขาจะทำไม่ได้ เพราะจิตส่วน หนึ่งจะดึงรั้งต้านลัน แล้วเกิดอันตรายไต้ เขา ก็จะไม่ทำถ้าเราไม่เข้าใจให้ถูกต้องอย่างนี้ เราก็จะ เกิดความกลัว ไปเจอะเจอใคร หรือมีคนบอก ..นี่ เธอระวังนะ คนๆ นี้เขามีพลังใจสูง มา พูดจาทำให้เราเคลิ้มหรือหลงตามไต้ เราก็กลัวพอเกิดความกลัว สติกิไม่กระชับอยู่กับใจ โอกาส ที่จะเพลี่ยงพลํ้ากิมีมาก แต่ถ้าเราระลึกนึกให้ดี และระมัดระ วังตัวเราไว้ จิตใจของเรากิจะมีกำลัง แล้วอะ ไรๆ จะมาทำร้ายเรากิไม่ได้เพราะใจของทุกๆ คนนั้นมีพลังเท่าเทียมกัน แต่ที่มันแสดงออกมา คนบางคนใจแข็ง คนบางคนใจ อ่อน กิเพราะปริมาณของสติที่ฝึกปรือเอาไว้ ไม่เท่าเทียมกันถ้าเราฝึกเราจนสติของเรารู้เท่าทันตลอด เวลาที่ลืมตาตื่นอยู่ อะไรมากระทบใจเรา สติ ของเราจะกระเพื่อมไปเป็นเนื้อเดียวกับใจถ้าฝึกจนใจเราได้ที่อย่างนี้ ก็ไม่มีอะไรที่จะมาเป็น อันตรายกับเราได้ ใจที่ฝึกได้อย่างนื้จะเป็นใจที่ คุ้มครองตัวเองได้ ตรงที่ว่าตัวอยู่ตรงไหนใจกิ อยู่ตรงนั้น ตัวอยู่ตรงไหนใจอยู่ตรงนั้น เป็น หนึ่งเดียวด้วยกัน นอกจากจะเป็นปัจจุบัน ไม่ ฟังซ่านไปในอดีต ไม่ปรงคิดไปในอนาคตแล้วโอกาสที่จะรับข้อมูลที่เข้ามาในชีวิตได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็มีมากขึ้น เมื่อรับข้อมูลได้เต็มเผ็ด เต็มหน่วย การจะแก้ปัญหาย่อมต้องดี ต้อง วิเศษ เพราะว่าใจเห็นตามความเป็นจริงวิธีแก้ปัญหาก็ต้องเที่ยงธรรมได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วยแต่ถ้าตัวของเราอยู่ตรงนี้ ใจปลิวไปตรง โน้น.. ตรงนี้ พอเราเก็บข้อมูล เราไม่เห็น แต่ เราว่า.. มันน่าจะเป็นอย่างนั้น หรือว่า.. หูเรา ได้ยินบ้าง แต่ไม่ได้ใจความครบถ้วน เราก็เต็ม คำเอาเองข้อมูลก็บิดเบี้ยวไป พอนำไปแก้ปัญหาก็เกิดเป็นปัญหาซํ้าซ้อนเข้าไปเรื่อยๆตกลงเราก็เสียผลประโยชน์เองเรามาดูตัวอย่างอันนี้ มีเลขานุการท่าน หนึ่ง ปกติท่านจะได้รับคำชมเชยจากเจ้านายว่า เป็นคนพิมพ์หนังสือไม่ผิด แล้วก็พิมพ์ประณีต รวดเร็วมากเข้ารันนั้น ระหว่างที่สามีข้บรถมาส่งที่ที่ทำงานก็มีเรื่องทะเลาะกันขึ้น ทะเลาะ ก้นยังไม่ทันจบก็ถึงที่ที่ทำงาน เธอพยายามจะ บอกสามี เดี๋ยว..อย่าเพิ่งออกรถไป พูดกันให้ จบก่อน สามีบอก ไม่ได้ เพราะเดี๋ยวจะไปทำงาน สาย ตกลงเรื่องก็เลยค้างคาอยู่อย่างนั้น กวน ในใจของคุณเลขาฯ มากขึ้นไปถึงสำนักงาน ก็นึกว่า.. เรามาถึง เร็ว ยังไม่ถึงเวลาทำงาน จะได้นั่งจัดการกับใจ ของเราให้สงบเสียหน่อยบังเอิญ..เจ้านายมาแต่เช้า เพราะตั้งใจว่าจะมาพิมพ์จดหมายที่ตัว รีบ พอเห็นเลขาฯ มาก็ไม่ทันได้ดูหน้าตาว่า อารมณ์เป็นอย่างไรสั่งเลย กันนี้ผมโชคดีเหลือ เกินคุณช่วยพิมพ์จดหมายฉบับนี้ให้หน่อย คุณเลขาฯ ก็ตั้งใจพิมพ์ จดหมายก็สั้นนิดเดียว เองแต่ใจยังกลับไปครุ่นคิดถึงเรื่องที่ทะเลาะกับ สามียังไม่จบ พิมพ์แล้วปรากฏว่ามีผิดอยู่ 2 ที่ เจ้านายก็แหย่ว่า อะไร.. เช้าๆ อย่างนี้ คุณภาพ ก็ตกต่ำแล้ว ไปแก้เสีย 2 ที่นี้ปกติเมื่อมีที่พิมพ์ผิด เขาก็จะเอานํ้ายาสีขาวลบ แล้วพิมพ์ทับไปมันก็จบ แต่คุณเลขาฯ ท่านนี้ท่านเป็นคนประณีต ท่านจะไม่ให้งานของ ท่านมีรอยลบเป็นทันขาด ท่านก็เอากระดาษ แผ่นไหม่ใส่ ก็ตงใจพิมพ์ ตรง 2 ที่ที่ผิดนั้น ก็ไม่ผิดแล้ว แต่ไปเผลอผิดตรงที่ไม่ได้ผิดใหม่ อีก 3 ที่ เจ้านายก็ร้อง โอ๊ย.. นี่คุณจะแหย่ผม หรือคุณจะลองของอะไรผมนะ ผมยิ่งรีบอยู่ด้วย คุณเลขาฯ เองก็แค้นใจตัวเอง อุตส่าห์ตั้งใจ จุด ที่ผิดเก่า 2 ที่ ไม่มีแล้วแต่เราก็ดูไม่ถี่ถ้วนปล่อยให้อีก 3 ทีผิดขึ้นมาได้ ก็ปรากฏว่าพิมพ์ ใหม่อีกก็มีที่ผิดอีก เจ้านายก็พื้นเสียเพราะกำลัง รีบด่วนมาก ..ถ้าอย่างนี้เห็นท่าผมจะต้องหา เลขาฯ คนใหม่เสียแล้ว ก็ไม่ได้นืกว่าเลขาฯ จะ นึกเป็นเรื่องจริงเรื่องจังเพราะเห็นว่าพูดล้อเล่นทันถ้าเป็นเวลาอื่น คุณเลขาฯ ก็คงเห็นเป็นเรื่องล้อเล่น แต่เช้าวันนั้นอารมณ์ไม่ดีตั้งแต่ลง รถมาจากสามีแล้ว ก็นึก ..วันนี้เป็นยังไงนะ สงสัยฉันลงจากเตียงผิดข้างหรืออย่างไร สามี ก็เป็นอย่างนี้ แล้วเจ้านายยังอย่างนี้อีกคุณเลขาฯ ก็เลยกลับบ้านเลย นึกในใจ เออ..ไม่มี งานทำ ก็ยอมไม่มีงานทำ กลับไปถึงก็ร้องไห้ ฟูมฟายเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตเวลาที่เราไม่เอาใจไว้กับบ้จจุบันของเรา เรื่องไม่เป็นเรื่องก็เป็นเรื่องขึ้นมาได้ถ้าเจ้านายเกิดนึก เออ.. ฉันไม่เห็นต้องง้อเลย ตอน นี้มีคนตกงานเยอะแยะ ฉันเลือกมาใหม่ เปลี่ยน ไปได้เรื่อยๆเราก็จะเช้าตาจน จะไม่มีงานทำ ตรงนี้ ถ้าเรานึกถึงความเป็นจริงเอาไว้ ก่อนไป โทษว่าสามีใจร้ายกับเราเจ้านายใจร้ายกับเราเราจะได้บอกกับต้วเองว่า เราก็ใจร้ายกับตัวเรา เอง เพราะอะไร เพราะทะเลาะกับสามี เมื่อลงจากรถเขาแล้ว ตายจากกันแล้ว เรื่องนั้นก็ต้อง ตายไปจากหวใจเราด้วย เอาใจเรามาเป็นปัจจุบัน พอขึ้นมาเจอะเจอเจ้านายขณะนี้เรามีแต่นายเรามีแต่งานเท่านั้น ใจเราต้องเอี่ยมอ่อง ไม่มี ตะกอนตกด้าง เราถึงจะอยู่ได้ในโลกนี้อย่างมี ประสิทธิภาพใจที่เป็นปัจจุบันมีคุณค่าอย่างนี้เอง แรกๆ นี่บันทำยาก บันยากที่เราจะลบอารมณ์ที่ด้างคา ให้หลุดออกไปจากใจเราได้ แต่ถ้าเราผิกเราแน่เราพยายามปฏิบ้ติจนเราทำสำเร็จ เราจะพบว่า ชีวิตเราเบาสบายขึ้นเยอะแล้วจะเป็นชีวิตที่มีคุณค่าขึ้นอีกมากมายเพราะอะไร เพราะทุกวันนี้เราถูกตะกอน ของอุปาทานความยึดมั่นสำคัญผิดครอบคลุม ชีวิตของเราเอาไว้จนเราไม่ได้มีขันธ์ ๔ ร่างกาย กับจิตใจที่เป็นธรรมชาติล้วนๆเรามีอุปาทานขันธ์ 5 เราไปยึดไอ้โน่นยึดไอ้นี่ยึดไอ้นั้นนุงนัง ไปหมดจนกระทั่งข้นธ์ 5 อันนี้หนักอึ้งเลยทำให้ชีวิตของเราบิดเบี้ยวไปด้วยแรงที่ไปยึดเอา ไว้ แล้วก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ที่ไม่ควรจะมีเลย ปัญหาเหล่านี้เป็นเพราะใจของเราไปยึดกับสิ่งที่ ไม่มีอยู่ แล้วไปอ้างว่ามันมีอยู่ เพราะเรื่องที่ เกิดขึ้นแล้ว จบไปแล้ว หมดไปแล้ว ตัวจริง หมดไปแล้วเหมือนท่านอาจารย์ท่านเปรียบเทียบว่า พวกเรานี่ชอบอุ่นแกงบูดกินคือท่านเปรียบ เทียบว่า เรื่องอะไรที่เกิดขึ้นก็เหมือนเราทำแกง ขึ้นมาหม้อหนึ่ง กินอิ่มหมดไปแล้ว ก็ต้องเอา หม้อไปล้าง นี่ไม่ล้างเก็บเอาไว้แล้วพอวันดี คืนร้ายเราก็นึกขึ้นมาสัญญาที่นึกขึ้นมา เป็นอย่างไร ถ้าเป็น เรื่องที่น้อยใจ เขามาว่าเรา กรีดหัวใจเรา เราก็ ร้องห่มร้องไห้ได้ใหม่ นํ้าตาเราออกจริงๆ ผ้า เชีดหน้าเปียกเป็นผืนจริงๆ แต่เรื่องจริงๆ ไม่มีเขาไม่ได้ว่าเราอีก เขาว่าเราครั้งเดียวเท่านั้น แล้วเขาก็ไปไหนแล้วก็ไม่รู้ลืมไปแล้วด้วยซํ้าแต่ในใจของเรา เราว่าต้วเราขึ้นมาใหม่ ตามที่ เราจดจำเอาไว้แล้วก็ไปโทษว่าเขามาว่าเราแต่จริงๆ เขาไม่มีเงาในใจของเราที่ไม่เป็นปัจจุบัน มันปรุงคิดว่าขึ้นมาใหม่แต่ใจของเราที่ทุกข์เดือดร้อนเสวยวิบาก เสวยจริงๆเพราะมันทุกข์จริงๆ มัดส่ายจริงๆ เป็นอกุศล จริงๆ จากอุ่นแกงบูดกินท่านอาจารย์บอกถ้าเราเก็บเอาไว้จนกระทั่งแกงมันบูดจนอาหารเป็นพิษล่ะ แล้วเกิด เอามาอุ่นกินใหม่ โอ๊ย.. เสียอกเสียใจ บังเอิญ เราก็เป็นโรคหัวใจอยู่โดยไม่รู้ตัว เกิดหัวใจ วายเฉียบพลันขึ้น แล้วคราวนี้เป็นยังไงล่ะ เรา เอง.. เราเองเบียดเบียนตัวเราเองอุ่นกิน 10 ที เราก็ขาดทุน 10 ที เพราะเรื่องจริงๆ เกิด ครั้งเดียวเท่านั้นเราจะต้องพยายามจึเกจิตใจเราให้อยู่กับ ปัจจุบันให้ไต้อะไรเกิดขึ้นแล้ว ลบมันทิ้งไปทิ้งมันไป ท่านอาจารย์เคยสอนลูกศิษย์ที่ไปฟ้อง ท่านว่าสามีเขานอกใจ ท่านอาจารย์บอก ไหน.. คุณลองเอารูปวันแต่งงานมาซิเขาก็ไปเอารูปวันแต่งงานมาถวายให้ดู ก็ยังเอวบางร่างน้อย สะสวยมาเดี๋ยวนี้ ปรากฏว่าเปลี่ยนไปแล้วสามีก็หัวล้าน ไม่ไต้หนุ่มหล่อเหลาอย่างในรูป เขาเองก็ขยายออกเกือบจะ 2 เท่าของเจ้าสาว ท่านอาจารย์ดูแล้วก็ว่า ไหน.. ไม่เห็นมีรูปคุณ กับสามีเดี๋ยวนี้เลย นี่ใครก็ไม่รู้ท่านอาจารย์ท่านก็ยํ้า ทุกวันเราก็ตายไปเช้าตื่นขึ้นก็คนใหม่ ตกคานอนหลบก็ตายไป เราวันแต่งงาน ตายไปแล้ว ดูสิ เอารูปมาดู ไม่มีเค้าเราเลย เพราะฉะนั้น เราจึงต้องอยู่กับปัจจุบัน ต้องคิดว่าตัวที่สัญญิงสัญญากับเรา พูดหวาน กับเราวันแต่งงานนั้นน่ะตายไปแล้วตัวที่อยู่นี่เป็นฝาแฝด คนละคนก้น ฉะนั้น ก็ไผ่รับรู้ว่า พูดอะไรเอาไว้วันนั้นถ้าคิดได้อย่างนี้ แล้วปรับใจของเราให้อยู่ กับปัจจุบันได้อย่างนี้ ความยึดมั่นสำคัญผิดหลายๆ อย่างก็จะจางไปจากชีวิตเรา เราเองก็ จะอยู่วับความเป็นจริงมากขึ้นอะไรที่เคยคิดไม่ดีเอาไว้ เคยไปยึดว่าทุก อย่างจะต้องไม่เปลี่ยนแปลง ก็จะมีช่องว่างขึ้น มาว่า พระพุทธองค์ทรงสอนว่า อะไรๆ ในโลก นี้ล้วนไม่เที่ยง ผันแปรปรวนอยู่เสมอ เมื่อเช้า นี้เห็นแดดออก นี่เริ่มครึ้มๆ แล้ว เดี๋ยวอาจจะ ฝนเทลงมาก็ไต้ หรือเมื่อเช้าตื่นขึ้นมาหาพระอาทิตย์ไม่เจอ แต่ประเดี๋ยวเดียวแดดจ้าจนกระมั่งเราแทบจะตัวไหม้ไปเลยก็ได้ถ้าเตือนตัวเองเอาไว้เรื่อยๆ อย่างนี้ เรา จะพบว่า อะไรๆ ที่เกิดขึ้น เราปรับใจให้รับ ความจริงได้ และเราก็อยู่กับมันอย่างเป็นสุข
แต่ถ้าหากเราไปยึดเอาไว้ วันนี้ฝนต้องตกไม่ได้ พอมันครึ้ม ๆอย่างนี้ ที่งๆ ที่เรามีงานทำอยู่ เรา ก็..ตายจริง ไม่เป็นอันทำงานหรอก ตายจริง.. ฝนจะย้อยลงมาหรือเปล่า แล้วจริงๆ ฝนก็ไม่ไต้ ตกลงมา แต่ใจเราถลอกปอกเปิกหมดเลย งาน การบกพร่องเสียหายไปหมดเพราะว่ากำลงทำ..ทำอยู่ อุ๊ย..ฝนย้อยหรือยัง มันก็หมดความ จดจ่อ เสียสมาธิไปหมดถ้าหากเรารักษาใจให้เป็นป้จจุบันไม่เป็นนี่ อันตรายมากแล้วทำอย่างไรล่ะมันก็ไม่มีสูตรอะไรที่เราจะกดป้บก็จะ สำเรืจปับ มันต้องฝึกไปเรื่อยๆแล้วการฝึกนี่ก็แปลก เวลาฝึก เหมือน ทดนํ้าฃึ้นภูเขา กว่าจะไต้สักคืบลำบากยากเย็น แท้ๆ แต่เวลาทำนบรั่วนี่ พรวดเดียว นํ้าที่ทด ขึ้นมาไต้ หายลงไปกองที่พื้นหมดเกลี้ยงเลยเราเคย อือม.. ใจให้อยู่กับบ้จจุยันนะ ระหว่างที่ตั้งอกตั้งใจ มีสติอยู่ก็ อือม.. กันนี้ดี ไม่ได้ขยับเขยื้อนซัดส่ายไปตรงไหนเลย แต่พอ มีเรื่องยุ่งเข้าสัก 2-3 กัน อ้าว.. ตอนนี้ค่อยว่าง แล้ว ใจไม่เป็นบ้จจุมันแล้ว มันจะวิบกับไปตรง โน้นไปตรงนี้ ฟุ้งซ่านทีเดียวก็อย่าท้อใจ เพราะครูบาอาจารย์ท่าน สอนเอาไว้ว่า มนุษย์เราจะล่วงทุกข์ได้เพราะ ความเพียร เราต้องพยายามพากเพียรให้ใจของ เรามีสติรักษาอยู่สมํ่าเสมอ แกอย่าให้ขาดวรรค ขาดตอน เหมือนเราเรียนหนังสือ ก็ต้องเข้าห้องเรียนให้ตรงตามชั่วโมงเรียน จะชอบหรือ ไม่ชอบ อย่างน้อยถึงชั่วโมงก็ต้องเข้าการที่เราอยู่ในกรอบอยู่ในระเบียบ ถึงเวลาลืมตา ตื่นขึ้นมา ตัวอยู่ตรงไหนใจต้องอยู่ตรงนั้น ถึง จะแว่บไปบ้าง เผลอไปบ้าง ก็ไม่เป็นไรรู้ตัวก็เรียกกสับคืนมาอย่าไปบอกว่า วันนี้ช่างมันเถอะ ใจจะไป ไหนก็ปล่อยผันไป พรุ่งนี้ค่อยตั้งต้นใหม่ถ้าอย่างนี้ทีไร พรุ่งนี้ผันจะร้ายกาจมากถึงจะเหนื่อยแค่ไหน จะแย่อย่างไร จะขี้เกียจขี้คร้าน ก็ตาม เราบอกใจของเรา รู้ตัวเมื่อไหร่จะดึง กลับเข้ามา กลับเข้ามาวิบแล้วจะออกไปใหม่ก็ ไม่เป็นไร ดึงผันกลับเข้ามาใหม่ อย่าไปยอม อ่อนข้อว่าวันนี้ช่างผันเถอะ ถ้าเป็นอย่างนั้นเรา จะเดือดร้อนตรงนี้อยู่ที่เราตั้งอกตั้งใจ เราพากเพียรและเราไม่ดูถูกตักยภาพของเรา คนหลายๆ คนชอบบอกว่า โอ๊ย.. คนอื่นจะปฏิบตก็ให้เขา ปฏิบัติไปเถอะ ฉันปฏิบัติไม่ไต้แล้ว ฉันแก่แล้วไม่มีเรี่ยวมีแรงแล้วอย่านึกอย่างนั้นเป็นอันขาดเพราะจิตใจของคนเราเป็นธาตุรู้เท่า ๆ กันที่คนบางคนแลลูเหมือนเป็นคนปัญญาอ่อน เป็นคนโง่ ลันนั้นไม่ใช่ว่าใจที่เป็นต้นทุนของแต่ละคนแตกต่างก้นแต่เป็นเพราะสติที่เรามาแกปรือกำลังยังไม่เท่าเทียมกันดิฉันเคยเจอะเจอท่านที่ไปปฏิบ้ติกับท่าน อาจารย์ เป็นคนขี้หลงขี้ลืม ทำอะไรโครมคราม ไม่ว่าจะปีดเปิดประตู หรือทำอะไรๆ ตอนแรก พวกเรารำคาญเขากันมาก หาว่าท่านอาจารย์ จะเอาเขามาเป็นแบบฝึกหัด ให้เราต้องฝึความอดทนอดกลํ้นหรืออย่างไร เพราะบางที เรานั่งปฏิบ้ติ ใจกำลังจะรวมดี เขาเปิดประตูที ปรากฏว่าใจเราผวาหลุดตามเสียงประตูไปเลย แต่เมื่อเขาปฏิบติได้ดีและใจลงรวมเป็นสมาธินี่ เขาทำอะไรไต้เบายิ่งกว่าเราอีก เดินเงียบกริบ จนเราพิศวงว่า นี่เขาเป็นคนจริงๆ หรือเป็น เทวดากันแน่ คือเขาเดินไต้เบาเสียจนเราแทบไม่ได้ยินเสียงเท้าเขาเลยแต่เมื่อการปฏิบ้ติเสื่อม เขาดีใจว่า อือม.. .เดี๋ยวนี้เราก็ได้เรื่อง แล้ว เผลอ สติพลัดไปหน่อยหนึ่ง คราวนี้ อะไรๆ ก็กลับไปโครมครามเหมือนเดิมเรื่องนี้สอนให้เราเห็นว่า จริงๆ แล้วไม่มี ตัวบุคคลว่า คุณ ก. ดี คุณ ข. ไม่ดี แต่อยู่ที่ การฝึกถ้าจิตผู้ใดมีสดิอยู่รักษา เหมือน..เราเอาปรอทไปรัดคนไข้ คนไหนไข้สูง 40 ก็ชัก ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเจ้า เป็นคนยากจนก็ชักเหมือนกันหมด ไม่ได้เลือกว่าถ้าเป็นคนรวย แล้วไข้ 40 จะไม่ชัก ถ้าเป็นคนจน ไข้ 40 ถึง จะชักนี่ก็เหมือนกัน ใจผู้ใดมีสติรักษาดีอยู่ จะ เป็นคนโง่ คนฉลาด ก็สามารถดีได้เท่าลัน แต่ ถ้าสติหายไป ถึงเคยเป็นคนเก่ง เป็นต๊อกเตอร์ ก็พูดจาเลอะเทอะเปรอะเฟ้อนพอๆกัน ท่าน จึงได้ว่า ถ้าเราปล่อยให้สติแตกแล้ว ใจเราก็เป็น ใจแตก สติรั่ว ใจเราก็เป็นใจรั่ว ที่เคยมีคุณค่า ราคาก็หมดคุณค่าราคา ให้เราระลึกเอาไว้ จะ ได้ไม่ไปหลงทะนงลัวเอง หรือไปดถกดหมิ่นตัวเองว่า ไอ้นี่เราทำไม่ได้หรือว่าไอ้นี่ฉันทำได้หลับตาทำก็ทำได้ ถ้าหลงอย่างนั้น วันหนึ่งเรา จะตกสะพานไม้หมาก แข้งขาหักไปถ้าเราระมัดระวัง เราคอยเตือนตัวเอง คอยรักษาตัวเองไว้เรื่อย ๆ ถึงเราจะเป็นคนที่ไม่ มีคุณค่าราคา เราก็จะเป็นคนที่มีคุณค่าราคาขึ้น มาได้ จากสตืที่มาอยู่รักษาใจของเราเพราะฉะนั้น ถ้าเห็นอย่างนี้ แกอย่างนี้ ไป เรื่อยๆ ให้ใจของเราเป็นปัจจุบันไปเรื่อยๆเราก็พบความเบาความสบายในตัวของเรา ใจที่ มีสติรักษาจนกระทั่งมันคล่องแคล่วว่องไวเป็น อัตโนม้ติ สตินั้นจะค่อยๆ เต็มขึ้นมา จากเป็น สติที่ระลึกรู้เป็นจุดๆๆๆๆๆ มาเป็นสัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อม แล้วก็กลายเป็นปัญญาเห็นชอบ ทำให้ เมื่อกำหนด ใจเรานิ่งเป็นปัจจุบันปับ พร้อมๆ กับความนิ่งนี่ ตัวเหตุผล ตัวปัญญาจะขึ้นมา แว่บ แว่บ ขึ้นมา ให้เรารู้.. น่าจะทำ อย่างนี้.. อย่างนีจิตที่ฝึกดีแล้ว มีอะไรมากระทบปับ ใจ เรานิ่งได้ถึงจุดหนึ่ง มีนเหมือนคล้ายๆ ประตูที่ เปีด ประตูกลที่เปีด ทำให้เราเห็นว่า การแก้ ปัญหามีนรู้เห็นเป็นขึ้นมาในใจ เมื่อถึงจุดนี้แล้ว เราจะมีความมั่นคงว่า อะไรจะเกิดขึ้นในแต่ละ เวลานาที เราไม่กลัว.. เราไม่กลัว เพราะไม่มี อะไรที่จะยากเกินความรู้ความสามารถของใจ มนุษย์เราไปได้เป็นอันขาดเมื่อเป็นอย่างนี้ เราก็สามารถประคอง ใจของเราให้อยู่ในระดับที่เสมอด้นเสมอปลาย ใจที่คอยว่อกแว่ก เคยกระฉอก เคยมีที่รักมีมักที่ซัง ก็จะเสมอภาค เห็นทุกสิ่งเป็นเพื่อนร่วม ทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายเมตตาจะมีขึ้นมาอคติที่เคยมีทีเขาพวกเขาพวกเรา หายไปหมด เห็นว่าเราเป็นอย่างไรสิ่งอื่น สิ่งมีชีวิตอื่นๆก็เป็นเหมือนเรารักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกันถ้าเขาจะร้ายกับเรา ก็เพราะเขาไม่เข้าใจ หรือ เราเอง โดยไม่เจตนา เราไปทำอะไรให้เขาตื่น กลว เขาเข้าใจผิด เราก็จะแผ่เมตตา อโหสิ
อภัยต่อกันใจที่รู้อย่างนี้ก็เป็นใจที่สมื่าเสมอ ไม่มีอคติ จะเป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย มีความ เข้าใจ มีนํ้าใจเอื้อเพื่อเกื้อหนุนต่อก้น เป็นนํ้า ประสานโลกประสานใจถ้าไม่ฝึกใจให้เป็นปัจจุบันเสียก่อน เรื่องที่จะบอกว่า อภัยกันนะ อโหสิภันนะบางทีกัดฟันเท่าไหร่ๆ แล้วก็ยังไม่หลุด บันเป็นสิ่งที่ยาก แต่ถ้าเราค่อยๆ ทำ เป็นขั้นเป็นตอนอย่างนี้ มันเป็นของมันไป มันเข้าใจ เกิดความเข้าใจขึ้นในใจ แล้วก็วาง เมื่อ วางแล้ว ใจของเราเองก็ได้รับความเบาสบายตอนแรกบันเสียดายที่จะอภัย อโหสิแล้ว คนขั้วก็ไม่รู้สึกตัวสิ แต่เมื่อวางได้จริงนี่ เราพบ ว่า อย่างนี้วางเสียนานแล้ว เหมือนเราหิ้วของหนักจนกระทั่งเชือกฟางบาดมือเราเจ็บระบม ไปหมด แล้วมือเราก็เป็นตะคริว ของหล่นไป ไม่ทันรู้ตัวแต่เมื่อหล่นไป มือเบาสบายหายตะคริวเรานึก ..โธ่เอ๊ย เราทรมานตัวเราเองทำไม รู้อย่างนี้วางเสียนานแล้วใจที่ยึดทั่นสำคัญผิดด้วยอุปาทานที่เป็น อุปาทานขันธ์ เมื่อมาปฏิบต ปฎิป้ติแล้ว ใจจะ ค่อยคลายปล่อยจากความยึดทั่น ความสำคัญ ผิด เห็นผิดเป็นชอบ จนคืนส่สภาพแท้ เป็น ขันธ์ 5 ล้วนๆ ถึงความอิสระเบา สบาย บรม สุข เป็นปัจจุบัน เป็นใจปัจจุบัน เป็นใจที่เป็น อิสระก็ขอฝากไว้เป็นกำลังใจ ให้เกิดพลังที่จะ ปฎิป้ติกันไปจนลุผลดังปรารถนา

พิมพ์โดย      ปภัสสร     มีพงษ์
แหล่งที่มา     http://web.krisdika.go.th/buddha/57_nowheart.pdf

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Back To Top