ผลของการภาวนา
บรรยายโดย พญ.อมรา มลิลา
เมื่อ วันที่ 11 เมษายน. 2522
ณ ชมรมพุทธธรรม โรงพยาบาลศิริราช
หมวด
อันดับที่
เมื่อพากเพียรภาวนาแล้ว จะรู้ได้อย่างไรว่าการภาวนาของเราได้ประโยชน์ หรือไม่ได้ประโยชน์ ถ้าพยายามทำอย่างเคร่งครัด อย่างที่พูดเมื่ออาทิตย์ที่แล้วจะพบว่า ถึงแม่สติจะไม่อยู่กับเราตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงก็ตาม แต่มันจะค่อยๆเข้มแข็งขึ้น แต่ก่อนนั้นเมื่ออะไรมากระทบถ้าไม่ชอบใจเราโมโหโกรธให้เขาไปจนจบแล้ว กลับบ้านไปนอนไปตื่นนึกถึงขึ้นมาได้ว่า ตายจริง…เราไม่ควรโกรธเขาเลย ทำไมเราถึงได้โกรธนะ…ครั้นทำภาวนาต่อไป สติจะมาเร็วขึ้นพอโกรธไปยังไม่ทันจบเรื่อง ก็ชักรู้ตัวว่าใจเริ่มจะมีเหตุผล ถ้าสติตามดูวิถีจิตของตัวเองจะเห็นว่า แต่ก่อนนั้นการไปการมา ไม่มีทิศทาง สับสนวุ่นวาย เดี๋ยวจะเอาอย่างนั้นเดี๋ยวจะเอาอย่างนี้ซึ่งเป็นไปตามกิเลสหรือตามสิ่งเร้า เราคงคาดหมายล่วงหน้าไม่ได้ว่า ตัวเองจะชอบหรือไม่ชอบ สภาวะเช่นนี้ทำให้เป็นทุกข์ เพราะเป็นทาสสิ่วแวดล้อมข้างนอก ไม่รู้ว่าโลกธรรม จะพักเราไปทางไหนเราจะฟูหรือเราจะแฟบ
ครั้นมีสติมีปัญญากับใจวิถีความคิดจะค่อยมีทิศทางมีเหตุผลทำให้สิ่งกระทำออกไปเป็นสิ่งที่คาดได้ล่วงหน้า เป็นสิ่งไม่เบียดเบียนตัวเองเพราะเวลาที่เราไปตามอารมณ์นั้น เราวูบวาม ไม่ว่าราดีใจหรือเราเสียใจใจไม่มีความสุข ไม่เป็นสุข
แต่เมื่อมีเหตุมีผลมีสติมีปัญญาเราจะคิดได้อย่างทีคุณภาพคนรอบข้างเข้ามาติดต่อแล้วทำกิจการงานกับเราจะหายใจคล่องขึ้นและรู้ว่าถึงมีอะไรเกิดขึ้นวิกฤติหน้าสิวหน้าขวานก็ยังพอพูดกันได้ไม่ใช่ต้องกลั้นใจว่า….เอ๊ะวันนี้จะเป็นอย่างไรจะพูดรู้เรื่องจะฟังรู้เรื่องกันไปข้างหนึ่งเมื่อใจเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้นพอสิ่งกระทบหมดไปเรื่องนั้นก็จบตามไปด้วย จิตจะกลับสู้ความเป็นสงบอันเดิมที่เป็นพื้นฐานไปนิ่งอยู่กับลมหายใจของตนหรือไปสงบอยู่ด้วยตัวของตัวเอง เรียกว่า เข้าไปอยู่ในภวังค์ อยู่ในภพของจิตเท่ากับเป็นการได้อาหารได้กำลังเหมือนอัดไฟเข้าไปในแบตเตอรี่ดังที่ได้เรียนให้ทราบเมื่อคราวที่แล้วแต่เพราะใจของเราไม่ขาดอุปาทานยังผูกพัน อยู่กับสิ่งรอบข้างเรายังอยู่ในโลกเมื่อมีอะไรมากระทบจิตย่อมเคลื่อนไหวรับรู้ตอบสิ่งที่มากระทบอาจเป็นสุขอาจเป็นทุกข์ชอบไม่ชอบดีใจเสียใจหรืออะไรก็ตาม ครั้นสิ่งกระทบหมดไปแล้วจิตที่ฝึกจะกลับเข้าที่ของมันอย่างเดิม
ยิ่งคอยเฝ้าดูรักษาไม่ปล่อยให้จิตเถลไถลฟุ้งซัดส่าย ปรุงไปตามสัญญาความจำเก่าๆตามอารมณ์ตามกิเลสตัณหาทั้งหลายเราจะคอยเห็นว่าที่เคยรู้สึกเหมือนของทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตเป็นสิ่งต่อเนื่องกันเป็นสิ่งสม่ำเสมอกันนั้นไม่ใช่อย่างนั้นเสียแล้ว
หากเป็นของเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไปเช่น ลมหายใจของเราเอง เมื่อเฝ้าตามอยู่เรื่อยๆครั้งแรกที่ตามมันไปจบพบว่า เมื่อหายใจเข้าจนสุด แล้วหายใจออก ลมหายใจของเราตืดต่อกันเป็นสายต่อมาจึงคอยจับสังเกตว่าเมื่อหายใจเขาแล้วมันมีขณะนึ่งที่ลงนิ่ง แล้วจึงหายใจออกคือภาวการณ์เกิด-ดับของลมเข้านิ่ง เกิด-ดับ ของลมออกอยู่ตลอดเวลาแต่สติที่ยังไม่ไวพอ หลอกให้เรารู้สึกเหมือนเมื่อดูไฟที่กระพริบเปิด-ดับ เปิด-ดับ ด้วยความที่เร็วถี่มากจนกระทั่งตาของเราแยกไม่ออกว่ามีการ เปิด-ดับ เปิด-ดับ
ทำให้เห็นแสงสว่างต่อเนื่องกันไป เมื่อสติไวขึ้น คมกล้าขึ้น เราจะเห็นทันช่วงว่าของการกระพริบที่ เกิด-ดับ เกิด-ดับ มันจะถี่ค่าไหนนั้นความไวของสติที่ได้ฝึกแล้ว จะสามารถจับได้ เวลาสิ่งเร้ามากระทบ ทำให้ใจเราเกิดอารมณ์ขึ้นมาก็เหมือนกัน มันจะรู้ว่าเกิดอารมณ์สนองสิ่งเร้า สุข ทุกข์ ชอบไม่ชอบ สติตมคุม ไม่ปล่อยให้จิตในเพลิดเพลินไปตามสัญญาต่อไปว่า…..เราชอบเพราะครั้งก่อนมันก็เคยเป็นอย่างนี้แล้วเลยคิดดื่มด่ำไปถึงเหตุการณ์ครั้งก่อนเป็นเรื่องเป็นราวต่อไป สติจะตัดกับสัญญาเสีย รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นตามสภาพเป็นจริง เมื่อสิ่งนั้นผ่านไปก็ปล่อยให้มันดับไปจบกันไปแค่นั้น
ใจที่เป็นเช่นนี้จะเห็นความไม่เที่ยงของทุกสิ่งทุกสิ่ง ทุกสิ่ง ในโลกรอบตัวเรา ทำให้คลายความยึดถือ ความผูกพันแต่ก่อนเคยมี เป็นต้นว่า ของสิ่งนี้เป็นของเราของสิ่งโน้นต้องเป็นอย่างนี้ อย่างนี้ถ้าไม่เป็นอย่างนี้แล้วละก็เราต้องหัวชนฝา ดึงดันให้มันเป็นให้จงได้ เพราะความจริงที่ปรากฏกับใจทำให้เห็นเป็นสิ่งทั้งหลายเป็นเพียงกระแสเกิด-ดับ เกิด-ดับเท่านั้นเองไม่ได้มีสาระไม่ได้มีความแน่นอน คงทนถาวร ไตรลักษณ์เริ่มเห็นความเป็นจริงในใจของเรา ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ควรไปยึดมั่นสำคัญหมายมันเกิดมันดับอยู่ตลอดเวลา ถ้าย้อนเขข้ามามองดูตัวเรา รูปกายบอกว่าเป็นธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็เหมือนกัน เวลาอาบน้ำขี้ไคลออกมาก็มาจากเซลล์ผิวหนังที่ตายหลุดออกมา ไม่รู้วันละกี่แสนกี่ล้านตัวเซลล์เหล่านั้นก็คือดิน ขณะเดียวกันตรงที่ตายไปก็มีตัวใหม่เกิดมาทดแทนในจำนวนเท่าๆกันการที่เราคงสภาพเป็นอยู่ได้ไม่โตขึ้นแล้วก็ไม่เล็กลงเพราะเราอยู่สภาวะสมดุลในการเปลี่ยนแปร สิ่งที่เกิดขึ้นและสิ่งที่ตายไป มีปริมาณเท่ากัน อันนี้เป็นสามัญลักษณะของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย แต่เราไม่เคยมองมันตามความเป็นจริง เราไปยึดในเงาสะท้อนจึงเหมาเอาว่าเราเป็นกำลังแข็งแรง ยังห่างไกลจากความตาย แต่แท้จริงบนความมีชีวิตแข็งแรงที่แลเหมือนกับว่า เราเป็นตัวเราสืบเนื่องกันตลอดเวลานั้น มันมีความเกิดความตายกระพริบทดแทนกันอยู่ทุกๆเสี่ยววินาทีเร็วแสนเร็วจนยากแก่การรู้สึกและเห็นทัน
โปรดมองให้ซึ้งเข้าไปเถิด มีเราอยู่ตรงไหนที่เราคิดว่าเป็นเราไม่มีเลยมันก็มีผมมีหูมีตาเหมือนกับรถยนต์เราเรียกมีนว่ารถยนต์แต่ไปดูจริงๆเข้าตรงที่เป็นรถยนต์เราก็หาไม่ได้ว่าตรงไหนกันแน่ที่เป็นรถยนต์ตรงนั้นก็เป็นกระจกตรงนี้ก็เป็นกระโปรงรถตรงโน้นก็เป็นล้อรถ ถ้าเราพยายามนึกถึงตัวเองในแง่ที่เป็นขันธ์ ในแง่ที่เป็นส่วนประกอบของแต่ละชิ้น ช่วยให้ใจของเราเริ่มคิดวิธีใหม่ตามสภาพความเป็นจริง คือยอมรับว่า ไม่มีอะไรเลยที่เป็นเรา ที่เราไปยึดว่าเรานั้น เพราะสัญญา ความจำแต่เก่าก่อน ตั้งแต่เกิดขึ้นมาแล้ว วิธีพ่อแม่เรียกเรามันก็มีชื่อสมมุติ ทำให้เราไปยึดว่านี่เป็นตัวเราต่อมาเราก็หลงติดเข้าไป เราต้องดีนะ ต้องเหนือคนอื่น วิเศษกว่าคนอื่นเก่งกว่าคนอื่น เราต้องเป็นโน่นเราต้องเป็นนี่ สังขาร ความคิดของเราเองที่สร้างค่านิยม สร้างความเชื่อมั่งในอัตราความมีตัวตนขึ้นมา แล้วหลอกตัวเองให้อยู่ในค่านิยมหรือหลักการอันหนึ่งที่เราตั้งขึ้นมา ยิ่งยึดเข้าไปมากเท่าไหร่
เราก็ยังมีความทุกข์มากเท่านั้น เพราะเมื่อใดใจยึดมาก ก็มีแรงเหนี่ยวนำปรารถนาให้สิ่งนั้นคงอยู่ไปเรื่อย พอทำอย่างไรสักอย่างหนึ่ง ก็หวังผลแล้ว เป็นต้นว่าเด็กมักได้ยินพ่อแม่บอกว่า ถ้าลูกเป็นคนดี ตั้งใจเรียนหนังสือสอบได้ที่หนึ่ง จะให้รางวัล อยากได้อะไรก็จะให้ทั้งนั้น ทำให้เกิดเป็นความเคยชิน ทำให้เราคุ้นกับการหวังผล ดังนั้น โดยอัตโนมัติพอจะทำอะไร ใจจึงนึกไปถึงผลล่วงหน้าแล้วว่า มันจะต้องได้อย่างนี้ เช่นเราทำงานถ้าเราทำดี เราก็ควนได้สองชั้น หรือได้ตำแหน่งหัวหน้า หรือต้องได้อยากโน้นหรือต้องได้อย่างนี้ก็เลยเกิดเป็นความทุกข์ขึ้น เพราะอะไร เพราะว่า สิ่งที่จะกระทำและผู้ที่จะรับผลของการกระทำรออยู่ในจิตใต้สำนึกเด่นชัด เกิดเป็นกรรมเป็นวิบาก เป็นความเกิดความดับที่ไม่รู้จักสิ้นสุด พอเริ่มทำใจก็กระวนกระวายเป็นทุกข์
เพราะเฝ้าคอยผลกังวลว่าจะสมความตั้งใจหรือไม่ ครั้นเกิดผลขึ้น ถ้าไม่เป็นไปตามที่ใจกำหนด ก็เป็นทุกข์เพิ่มขึ้น เพราะเราหลง หลงหลอกตัวเองด้วยความรู้ไม่จริง ด้วยอวิชชา แล้วคิดไปว่าเรารู้หมดทุกอย่างใจตกอยู่ใต้ความกังวล ห่วง หวัง คาดคอย
เมื่อได้ดั่งใจก็ทุกข์เพราะกลัวมันจะสูญหายไป ยึดอยากให้มันเป็นชั่วกาลนาน ไม่เป็นไปดั่งใจ ก็ขุ่นข้อง หนัก หงุดหงิด เกิดเป็นทุกข์ ถ้าเราเฝ้าจิตของเรารู้วิถีที่จิตจะคิดไปด้วยสติและด้วยปัญญา มองทุกอย่างออกเป็นเหตุเป็นผลเป็นความจริงอย่างที่เรียนเมื่อกี้ เราก็จะเห็นว่า มันไม่มีอะไรเลยมีแต่ชิ้นส่วนมีแต่ความคิดที่เกิดขึ้นดับไปรูปกายก็เป็นเช่นกันไม่มีตัวเรา ไม่มีสิ่งที่เป็นเรา ที่ยืนยงตั้งแต่วันเกิดมาจนถึงวันนี้ มีกลุ่มก้อนข้องดิน ที่มารวมกันขึ้น เห็นเวลาอาบน้ำ ขี้ไคล หลุดเป็นดิน ออกไป ร้อนขึ้นมา เหงื่อที่ไหลออกไป คือ น้ำระเหย แล้วก็กินน้ำเข้าไปทดแทนเห็นภาวการณ์ทรงตัวที่ในสมดุลการเปลี่ยนแปรชัดเจนต่อเนื่องกัน
จิตจึงเริ่มคุ้นว่า ที่แท้จริงเราเกิด-ตาย อยู่ตลอดเวลาก็มาเป็นอย่างนั้น ทำไมเราจึงไม่กลัว ความเกิดความตายเหล่านี้แต่ทำไมจึงไปกลัวเวลาที่เราจะตายตามความสมมุติ คือเวลาที่ร่างกายเราไม่ลุกขึ้นมาอีก ลมหายใจหมดไป แท้ที่จริง มันเป็นกิริยาอันเดียวแต่ความทุกข์หรือความกลัวไม่เกิดขึ้น ก็เพราะว่าสิ่งที่เรา เกิด-ตาย เกิด-ตาย ในส่วนปลีกย่อยชั่วขณะนี้ มันเกอดและผ่านไปโดยที่เราไม่ได้เอาสติ หรือเอาความรับรู้ เข้าไปรับรู้ เราทำเสมือน มันไม่ได้เกิดขึ้น เราหลอกตัวเอง ปัดมันทิ้งไป
แต่พอนึกถึงความตากที่เป็นจุดสุดท้าย ซึ่งที่ที่จริงไม่ได้มีอะไรแตกต่างกันเลย แต่เพราะเราเอาความสำคัญ มั่นหมายไปหลอกไว้ว่า เมื่อถึงวาระนั้น เราจะจากสิ่งที่เรารักไป เรายังไม่ออกจาก เรายังไม่อยากไปไหนที่เราไม่รู้จัก เราไม่เคยเตรียมตัวเอาใจไว้ ครั้นเรามาภาวนา มาหัดวิธีคิดเห็นตามสภาพจริง รู้ตามสภาพเป็นจริงแล้ว เราเริ่มเห็นทันในวิถีจิตคิดไป ตรงไหนบ้างที่คิดไปด้วยเหตุ ด้วยผล ด้วยวามรู้ หรือคิดไปด้วยอารมณ์ ด้วยกิเลสซึ่งเป็นสิ่งเศร้าหมองเคลือบบังใจไว้เหมือนเมฆหมอกที่บังแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ทำให้เราเห็นสิ่งที่ไม่ชัดเจน แล้วเลยหลงไปกับเงาที่จิตสร้างขึ้นมาหลอกตัวเองไปยึดถือว่าเป็นจริงเป็นจังสร้างความทุกข์ให้กับตัวเอง เฝ้ามองตนไปเรื่อยๆ เหมือนเวลาไปส่องสัตว์ครั้งแรกที่เข้าป่า ส่องสัตว์เราเห็นต้นไม้ไหวไปไหวมา เหมือนกับจิตของเราเอง เราก็ว่า ….เอ๊ะ มันคิด …แต่ยังไม่รู้ดีว่า คิดดี คิดชั่ว คืออะไร ตั้งสติดูไป ความไวจะค่อยมากขึ้นความคมจะเพิ่มขึ้น ความรู้สภาวะเป็นจริงจะชัดเจนขึ้น ก็จะเห็นว่า อ้อ …นี่ก็มีสี่ขา นี่เป็นกวาง ..จิตของเราก็เหมือนกัน ถ้าเฝ้าดูด้วยความตั้งใจจริงอย่างนั้นเราก็จะเห็น…อ้อ…นี่กำลังโกรธ นี่กำลังโลภ นี่กำลังหลง
ข้อสำคัญ คือต้องจริงใจต่อตัวเอง มันคิดชั่ว ก็ยอมรับว่ามันชั่ว ไม่มีใครในโลกนี้ที่วิเศษ ที่บริสุทธิ์มาตั้งแต่เกิดถ้าเราไม่มีความชั่วแล้ว เราไม่มาเกิด การมาปฏิบัติ มาภาวนา ก็เพื่อแก้ไขข้อบกพร่อง เพื่อ รู้ แล้ว ละ ถ้าเราซื่อสัตว์ต่อตัวเอง มีความจริงใจ เมื่อเห็นว่าตัวเองกำลังคิดไม่ดี ก็เอาปัญญามาแนะสอนให้เหตุผล จนจิตยอมรับ เชื่อ เลิกความคิดนั้น จัดเป็นการประกอบกรรมชั่วทางวาจา หรือทางกายที่จะเกิดเพราะความคิดไม่ดีนั้น เราเป็นคนที่มีคุณภาพดีขึ้น ต่อไป ต่อไป จิตที่ถูกอบรม ๔กสติ และปัญญาคอยคุ้มครองป้องกัน แนะสอน อยู่อย่างนี้เรื่อยๆพอจิตไหวตัวคิดจะชั่ว ก็เกิดคามมละอาย เกิดความยับยั้งชั่งใจ มันก็ไม่คิด เราไม่ต้องใส่เบรคให้มัน มันจะเบรคตัวของ มันเอง ดังเช่นที่ท่านบอกว่า ล้าเราประพฤติธรรม เป็นธรรม ธรรมจะรักษาเราเมื่อถึงจุดที่สติและปัญญาสามารถตามคุ้มครองจิต ให้จิตระงับ ไม่ทำชั่ว ไม่คิดชั่ว ไม่พูดชั่วออกมาได้ ก็คือ สภาวะที่ธรรมรักษาเราเมื่อถึงสภาวะนี้ ไม่ว่ากายจะแตกสลาย กลับเป็น ธาตุดิน ธาตุนํ้า ธาตุลม ธาตุไฟ จิตของเราจะแยกออกไป จากชิ้นส่วนที่เสื่อมสลาย ที่เกิดดับ ที่เป็นของไม่เที่ยง ไม่ เป็นแก่นสารสาระอะไรนี้ เราก็ไม่ทุกข์ เพราะมันไม่มีอะไร จะทุกข์ชีวิตก็คืออาการเดินทาง เดินทางไปในจักรวาล ใน
วัฏฏสังสารเมื่อมาสู่ภพหนึ่ง ตัวนักท่องเที่ยว คือจิต ก็เข้าไปอยู่ในโรงแรมหรือรูปกาย ใช้เป็นเรือนพักอาศัยอยู่เมื่อถึงวาระที่ต้องเดินทางต่อไปสินกรรมสิ้นวิบากที่เคยผูกตรึงเราไว้ตรงนี้เราก็ออกจากโรงแรมนี้ ไปโรงแรมอื่นต่อไปการปฏิบัติไม่ใช่จะง่ายดังที่กล่าวมาไม่ใช่พอฟังอย่างนี้ ก็เห็นจริง ปล่อยวางได้ทันที ต้องอาศัยความเชื่อมั่นเห็นจริงดังที่พูดมา พากเพียรพิจารณา ปฏิบัติเรื่อยไป เมื่อ ;เหตุ ที่ประกอบเพียงพอ ผล ต้องเกิด ขึ้น เหมือนเราค่อยๆ หยดน้ำลงในถ้วย วันละหยด วันละหยด มันยังมีเวลาเต็มขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นผลจึงขึ้นอยู่ที่ว่า ความเชื่อของเราจะแน่นแฟ้นแค่ไหน มีปัญญา เห็นชอบ เพียร พยายามจริงจังเพียงใดใครท่าอย่างใด ย่อมได้รับผลอย่างนั้นปัญหาที่คนชอบยกมาอ้างอีกปัญหา คือไม่ทราบเป็นอย่างไร พอมาตั้งหน้าตั้งตาท่าความดีแล้ว แลเหมือนอย่าง กับท่าดีได้ชั่วชีวิตของเราที่เวียนวายเวียนเกิดเวียนจายอยู่ในสังสารวัฏฎ์ ก็เหมือนเส้นรอบวงของวงล้อหมุนกลับไปกลับมาอยู่ไม่รู้จบสิ้น Iแทนที่เราจะมองมันสืบเนื่องเป็นเส้นรอบวงเราจับมันคลี่
ออกให้เป็นเส้นตรงที่มีจุดตั้งต้น และจุดสินสุด เส้นอันนี้ ครั้งเริ่มแรกมันต้องยาวไม่มีสิ้นสุดครั้นมาปฏิบัติสามารถตัดความชั่วทั้งหลายทั้งปวงลง เราก็ตัดหนี้สินบาง ส่วนออกไป ภพชาติของเราจึงค่อยน้อยลงเส้นที่เคยมีความยาวไม่มีที่สินสุด ก็ค่อยมีความยาวจำกัด สามารถวัด ได้ขึ้นมากรรมที่เราทำไว้ตั้งแต่เก่าก่อนเปรียบเหมือนหนี้ที ใช้ยังไม่หมด สมมุติแต่เติมมา มีกำหนดว่าต้องใช้เขาไป ในระยะเวลาหนึ่งปี บัดนี้พอหนทางส้นเข้ามาแต่หนี้ที่มีอยู่ก็ยังไม่ไต้ใช้ไปเราเกิดเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาใช้หนี้เราไม่ใช้ในเวลาหนึ่งปีแต่จะใช้ให้หมดภายในหนึ่งเดือนเจ้าหนี้ทั้งหมดย่อมต้องมารุมทวงหนี้เรา แลเสมือนจำนวน เพิ่มขึ้น จึงพาให้ไขว้เขวไปว่า พอเราตั้งใจมาทำติ กลับได้ชั่ว เพราะเจ้าหนี้ที่มารุมในเวลาจำกัดเหยียบย่ำทับถมกันเข้ามา ทำให้เราไม่มีเวลาเงยหน้าอ้าปาก ตั้งตัวไม่ติดเหมือนกับว่า เช้าตื่นขึ้นมา ลุกเดินก็เซไปเตะไอ้โน่น ออกประตูไป ก็ไปเตะไอ้นั่น ขับรถก็ไปชนไอ้นั่น ไปเหยียบ ไอ้โน่น มีแต่ความไม่ถูกใจไปหมดทั้งนั้น แต่เมื่อมองให้ ลึกซึ้ง ก็จะเป็นดังที่กล่าวมานี้ ไม่ใช่ว่ามาปฏิบัติธรรมแล้ว กลายเป็นทำดีได้ชั่ว ทำดีย่อมต้องได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว
25เพียงแต่จิตหลง ๆ ของเรา จิตที่รู!ม่รอบ ที่ยังมีความ เศร้าหมองครอบคลุมอยู่ ทำให้หลงคิดไขว้เขวไปว่า มันเป็น อย่างนั้น การมาปฏิบัติธรรมโปรดระมัดระวังตั้งสติให้เข้มแข็ง พยายามใช้ปัญญาไตร่ตรองให้รอบคอบ ให้ถี่ถ้วน ให้แนใจ มั่นใจ ก่อนลงความเห็นสิงใดลงไป เพราะในความรู้ที่เรานึกว่า รู้ นั้น แท้จริงเป็นความรู้ตั้งหลง หากผลีผลามตัดสินใจลง ไป มันจะทำให้เราพลาดไปได้ หลงหลุดเข้าทางแยก เตลิดออก ไปได้เยอะทีเดียว กว่าจะรู้ตัว กลับมาล่ทางถูกก็เลียเวลา เลียกำลังใจไปโดยเปล่าประโยชน์ เมื่อได้เห็นว่า ผลของการปฏิบัติธรรม เพื่อธรรม ทำให้เราเป็นอย่างนี้ ทำให้คุณภาพของผู้ปฏิบัติดีขึ้นทั้งในแง่ กับเพื่อนร่วมโลก และกับตัวเอง การที่เราอยู่กับใคร ทำ งานกับใคร โดยเป็นคนมีเหตุผล ผลงานของเราย่อมมี ประสิทธิภาพมากขึ้น ผู้ร่วมงานก็สบายใจ บังเกิดความ สงบร่มเย็น คนมีเหตุผลย่อมหนักแน่น เยือกเย็น ไม่เป็น คนที่เอาแต่อารมณ์เป็นที่ตั้ง การปฏิบัติธรรมจึงมีประโยชน์ ทั้งกับการทำงาน กับตัวเอง และกับผู้ข้างเคียง กับตัวเอง จะช่วยให้จิตใจสบายขึ้นไม1เป็น คนคอยมองหาเปรียบเทียบ ทำไมคนนั้นถึงมีอย่างนั้น แต่เพราะ รู้แล้วว่า ของทุกอย่างย่อมเป็นไปตามเหตุ ใครทำอย่างไหนก็ได้อย่างนั้น ถ้าเราเพยรตั้งใจทำอย่างที่เราอยากจะมี อยากจะเป็น วันหนึ่งผลก็จะมี จะเป็นด้งต้องการ ไม่ไปคิด หงุดหงิดเปรียบเทียบ หรือไม่พอใจกับสิงที่เรามี เราเป็นอยู่ ขณะเดี๋ยวนี้ อะไรทั้งหมดก็จะดีขึ้น การปฏิบัติบางครั้งก็ก่อผลเสียได้เหมีอนกัน เพราะ ไปปฏิบัติกิเลส แทน,ปฏิบัติธรรม เมื่อภาวนาไป ภาวนาไป ถึงระยะหนึ่ง ถ้าไม,คอยระมัดระวัง สติจะคมไม'ทันกิเลส เพราะอวิชชาคือความผ่องใสอย่างยิ่ง ยิ่งถือตัวเองเป็นคนเก่ง มากเท่าไร โอกาสที่จะหลง คือรู้ทั้งหลง ก็มีมากเท่านั้น ถ้าปฏิบัติแล้วเกิดมีความรู้ความสามารถพิเศษ เกิด อิทธิฤทธื้ เช่นรู้อดีต มีหูทิพย์ ตาทิพย์ ก็หลงไปว่า เรา วิเศษแล้ว สามารถติดต่อกับกายทิพย์ เทวดา พรหมได้ เลยคิดไปว่า เราไมใช่มนุษย์เดินดินธรรมดาเสียแล้ว พูด คุยกับคนธรรมดาไม่มีอะไรน่าสนใจ ก็เลยเกิดภาวะ'ตรง- ก'นข้าม แทนการละวาง แทนการเห็นทุกอย่างเป็นความ ไม่เที่ยง เป็นของไม่น่ายึดถือ ก็เลยไปยึด มากขึ้น ไปภาค* ภูมิใจว่า กายของเรายังเป็นมนุษย์ก็จรีง แต่จิตยกระดับไป เป็นเทวดา เป็นพรหมแล้ว เลยนึกดูหมื่นเหยียดหยามคนอื่น นึกไปว่า บัดนี้เราวิเศษเหนึอผู้อื่น เราถือคืล ภาวนา มีความดี ส่วนคนทั่วไปไม่มีคุณธรรมความดี พูดจาไม่เป็น ภาษา ทิฐิมานะมาเกาะจับในใจ ทำให้เป็นคนกระด้าง ก้าวร้าว ขาดความเห็นอกเห็นใจคนอื่น โปรดระวังอาการเหล่านี้ เพราะเมื่อเกิดขึ้นแล้ว มัน ไมใช่ความหลงธรรมดา ๆ แต่จะหลงอย่างหัวปา ใคร ทักท้วงอะไรก็ไม่เชื่อฟ้งเลย เพราะยึดเชื่อตัวของตัวอย่าง แน่นแฟ้น แท้ที่จริงก็ไม่ได้เชื่อตัวเอง แต่เชื่อกิเลส อวิชชา ที่ยอนแยงอยู่ในใจ ผ่องใสอย่างยิ่ง จนสติและปัญญาพร่า เห็นไม่ท้น เข้าใจผิดว่ามันคือเหตุผล คือธรรม โปรดสังวรระวังโรคแทรกช้อนตัวนี้ให้มาก ถ้าใครมี ปฏิกิริยาเช่นนี้เกิดขึ้น เราเห็นเข้าก็อย่าไปเหมาเอาว่า ธรรมทำให้คนน่าเกลียด ทำให้คนเห็นแก่ตัว เพราะอาการ เหล่านั้นไมใช่ธรรม แต่เป็นพญามารจำแลงเอากิเลสมาอ้าง ของทุกอย่างเปรียบเหมือนดาบสองคม เมื่อให้คุณ มาก โทษก็ย่อมมากเช่นกัน ก็อยู่ที่ว่า คนน่าไปใช้จะต้อง รู้จักวิธีใช่โดยละเอียด รอบคอบ จึงสามารถใช่ให้เป็น ประโยชน์สมกับคุณค่า ถ้าการปฏิบัตินั้นถูกทาง สติปัญญา จะมาตัด ขัดเกลากิเลสให้ค่อยหลุดไป เบาบางไป ในที่สุด ก็ไม่เหลืออะไรเคลือบให้เป็นความเศร้าหมองอีกต่อไปไปเรื่อย ๆ ธรรมก็เข้ามาแทรกประสานเป็นจิต จิตก็เป็นธัมมะ ในขณะเดียวกัน ตัว1จิต'ที่กำลังปฏิบัติก็คือสั3ฆะพุทธะ ธัมมะ สังฆะ หรือ รัตนตรัย ก็จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับใจ นั่นคือ พุทธศาสนาได้อุบัติขึ้นแล้วในใจของเรา ถ้าเราคงหมั่นภาวนาบำรุงรักษาใจต่อไปด้วยศรัทธา อันมั่นคง พากเพียรอยู่อย่างสมํ่าเสมอ ไม่ย่อหย่อน คอย เอาสติ ปัญญา แนบอยู่กับใจไมให้ขาดวรรค ขาดตอน ผลที่สุด ใจดวงนี้ก็หลุดจากสังสารวัฏฎ์ ยุติการเป็นนักท่องเที่ยวมารา-ธอน เป็นไทแก่ตนเอง การมาสนทนากันในวันนี้ โปรดถือเป็นการปฏิบัติ เพี่อสอบ วัดจิตใจตนเอง ไม่ใช่สนทนา เพี่อเก็บข้อมูลเป็น ทฤษฎี เป็นข้ออ้างอง และเมื่อฟังแล้ว โปรดนำไปลองสืก ปฏิบัติ หากเกิดความขัดข้องอย่างไรจะได้ช่วยกันแก้ไข โดยเอาสิงที่ตัวเองได้กระทำมาแล้ว รู้มาแล้ว มาเล่าส่กันฟัง เป็นแนวทางพิจารณาต่อไป ความเพียรของท่านต้องทำเองอถาคตทั้งหลายเป็นแต่ผู้บอกทางให้
พิมพ์โดย ปภัสสร มีพงษ์
แหล่งที่มา http://web.krisdika.go.th/buddha/2_pawana.pd
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น