Header Ads

วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2561

อัตตา

บทความหมออมรา
อัตตา

ชื่อผู้เขียน       พญ อมรา มลิลา
วันที่              วันที่ 21 สิงหาคม 2529
ณ                 บรรยายที่ห้องสมุดมหาวิทยาลัยศิลปกร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์
หมวด
อันดับที่       


        เราทุกคนต่างเคยทำงานกันมาแล้ว เคยสมหวัง ผิดหวัง สุข ทุกข์ มาแล้วทุกรส จะมีใครเคยฉงนใจ สงสัย ถามตัวเองบ้างไหมว่า อะไรคือสาเหตุ ตัวแปร ที่ ทำให้เกิดความลุ่ม ๆ ดอน ๆ เหล่านี้ท่านผู้บริหารอาจมีข้อแนะว่า เวลาคนทำงาน มักมีเรื่องยุ่งยากในระหว่างผู้ร่วมงาน ที่เครื่องจักรทํางาน ไม่เห็นมันมีเรื่องอย่างคนเลยก็คนต่างกับเครื่องจักร ตรงที่ คนมี ใจ แต่ เครืองจักรไม่มี นั่นเอง
ใจคือตัวเหตุใหญ่ถ้าเป็นใจแท้อย่างใจพระพุทธเจ้า ก็เพียง รู้ตามหน้าที่ของ ธาตุรู้ เปรียบเหมือนเราขีดไม้ขีด หัวไม้ขีดก็ลุกฟู แต่ก้านเปียกน้ำ ลุกฟู่ไหม้หัวไม้ขีดหมดแล้วก็ดับ แต่ใจของปุถุชนคนเรา มีความยึดมั่นถือ รั้นตามความรู้ ความคิดที่บิด ๆ เบียว ๆ เฉไฉไปจาก ความเป็นจริง ก่อรูปก่อร่างเป็น นี้ฉันนะ หรืออัตตา ตัวตน เป็นแกนศูนย์กลาง ทํานองเดียวกับแรงดึงดูด โลก ทีมีอิทธิพลดูดดึงทุกอย่างให้ตกกลับมาสู่โลก
อัตตาก็เช่นกันกับแรงดึงดูดโลก ไม่ว่าจะคิด อะไร พูดอะไร กระทำอะไร ทั้งไม่รู้ตัว ไม่ตั้งใจ มันก็ ครอบงาใจให้ทำเพื่อตัวของตัว เห็นแต่กับตัวเอง เหมือนหัวไม้ขีดลุกฟู แล้วก็ลามต่อไปไหม้ก้าน ไหม้ มือ ไหม้ข้าวของใกล้เคียงเสียหาย ตามความนึกคิด หวัง จดจำต่าง ๆ ที่หมุนพัดอยู่ในใจ
ความคาดคิดหวังเหล่านี้ เรามักคิดฝังใจเอาไว้ โดยไม่รู้ตัว ตั้งแต่ก่อนมาทำงาน บางคนก็คิดว่า ถ้า ทำงานประสบผลสำเร็จ เราต้องก้าวหน้า ต้องมีผลงาน ต้องได้เลื่อนขั้น หรือถ้าเป็นอาจารย์อย่างนี้ ก็ต้องมี ตำแหน่งทางวิชาการแล้วเราเองไม่เคยทวนถามตัวเองว่า ในจิตไร้ สำนึกของเรา เราไปตั้งเข็ม ตั้งเป้าอะไรเอาไว้ พอทำไปแล้วเราก็หวังอยู่ โดยที่ไม่รู้ตัว พอผลออกมาไม่เป็นอย่างหวัง ก็เซ็ง แล้วบางทีเราเองก็หาเหตุไม่ได้ว่า เรา เซ็งทำไมดิฉันขอยกตัวอย่างของตัวเอง เริ่มต้นดิฉัน เป็นข้าราชการกรมการแพทย์ เมื่อได้ย้ายมาประจำที่ โรงพยาบาลเด็ก ก็ลาไปศึกษาต่อที่สหรัฐเพื่อฝึกเป็นผู้ เชี่ยวชาญโรคเด็ก สมัยนั้นที่โรงพยาบาลเด็กกำลังค้น คว้าเกี่ยวกับความพิการแต่กำเนิด ดิฉันก็ทําปริญญา เอกต่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ ระหว่างที่ทําอยู่นั้น กรมการ แพทย์เปลี่ยนนโยบาย ถอนแพทย์ที่วันลายังไม่หมด กลับเมืองไทย โดยไม่สนใจว่า ใครยังทำอะไรค้างอยู่ ซึ่งแต่เดิมก็อนุญาตให้ลาต่อได้แล้ว โดยอ้างว่ามี นโยบายเปลี่ยนแปลงกระทันหัน ยกเลิกคำอนุมัติ เดิมทั้งหมด แล้วให้ข้าราชการกรมการแพทย์ทุกคน กลับมารายงานตัวภายใน 15 วัน ตอนนั้นดิฉันกำลัง เรียนติดพันอยู่ ก็เลยลาออกกลับมาแล้ว มารับราชการที่คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล คุณวุฒิของดิฉันเป็นผู้เชี่ยวชาญ โรคเด็ก และมีปริญญาเอกทางสรีรวิทยา ซึ่งตอนที่ บรรจุนั้น ขั้นเงินเดือนของดิฉันสูงกว่าผู้ที่มีปริญญา เอกอย่างเดียว หนึ่งขั้น
ตอนนั้นดิฉันไม่ทราบว่า เรื่องอย่างนี้ถ้าเราไม่ วิ่ง เจ้าหน้าที่ธุรการจะแช่อิ่มเรื่อง จนกระทั่งถึงปีงบ ประมาณใหม่ ขั้นเงินเดือนเราก็ถูกยกเลิกไป เพราะยังไม่ได้ปรับวุฒิดิฉันเข้าใจว่าตัวเองทำงานเพราะรักงาน ไม่เคย คิดติดข้องว่า เราทำงานเพราะต้องการขั้นเงินเดือนแต่พอรู้ว่าเงินเดือนเราถูกโกงไปหนึ่งขั้น มันเห็นใจของตัวเองเลยว่า ไม่สุขเสียแล้ว แล้วก็ไม่เข้าใจตัวเอง ด้วยว่า ทําไมมันถึงคันอยู่ในใจ ก็พยายามทีจะหาสาเหตุ
ดังที่ดิฉันเรียนไว้แล้วว่า บางทีใจเรานี้เราก็ไม่รู้จัก ค้นหาสาเหตุว่าเราอยากได้จริงหรือ กับเงินขั้น เดียวนั่นน่ะ มันก็บอกว่า ไม่เห็นแคร์เลย แล้วจริง ๆเล้วมันก็เป็นเงินไม่กี่บาทหรอก ซึ่งเราเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าเราเดือดร้อน แต่มันก็ยังคันไม่หายเอ๊ะ...นียังไงกัน เราเป็นคนหลอกตัวเองหรือ ยังไง แท้ที่จริงเราอยากได้ แล้วแสร้งบอกตัวเองว่า ไม่อยากได้ มันก็ไม่ใช่อ๋อ.พอดูไปดูมา ไม่ใช่อะไรหรอก มันไปติด อยู่ตรงศักดิศรี เดียวคนเขาจะไม่รู้ว่า ขั้นเงินเดือนของฉันมันสูงกว่านี้นะ แล้วถ้าไม่ได้มีการผิดพลาดไป อย่างนี้ เงินเดือนก็ต้องมากกว่าคนอื่นเขา มันไปติดอยู่ตรงนี้ ซึ่งจริง ๆ แล้ว คนอื่นเขาอาจจะไม่ได้สนใจแล้วก็ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำไป แต่เห็นหรือไม่ว่า ไอ้อัตตา ของตัวเองนี้มันติดอยู่ตั้งแต่ครั้งใหนก็ไม่รู้แต่เดิมก็คิดว่าตัวเองสุภาพ ไม่ได้มีอัตตาคนต้องเรียกเราว่าคุณหมอดอกเตอร์ แต่พอถึงจุดนั้น ก็ได้เห็นว่า จริง ๆ แล้ว โอ้โฮ...อัตตามันใหญ่บรมเลยเพียงแค่ว่าคนเขาจะไม่รู้ว่าเราสำคัญอย่างนั้น โอย... มันหมดสนุกในการจะทำงานไปเป็นหลายเดือนเลยรู้สึกว่าจะ 6 เดือนหรือกว่านั้น กว่าที่เราจะเห็นตัวเอง ว่า ที่มันคันในหัวใจ และไม่สามารถสนุกอยู่กับงานได้ อย่างปกติ มันเพราะอะไรจากจุดนี้ทำให้ดิฉันได้เห็นว่า หลาย ๆ คนก็คง เหมือนดิฉัน แล้วบางที่เราก็ตอบตัวเองไม่ได้ ครั้นมี บางคนมาว่าเราว่า เรื่องอะไรกันของแค่นี้ก็ต้องเซ็ง เราก็โกรธ เพราะเราเองยังตอบตัวเองไม่ได้ แต่ก็รู้อยู่ว่ามันเซ็งทีนี้เมื่อหาเหตุยังไม่ได้ เหมือนเราเป็นโรค แต่ ก็ไม่รู้ว่า เป็นโรคอะไร จะไปหาหมอก็อธิบายให้เขาฟัง ไม่ถูก หมอก็โกรธว่า คุณพิกลจริง ๆ คุณไม่สบาย แล้วผมถาม ว่าเป็นตรงไหน ปวดหัวหรือ คุณก็ว่าไม่ใช่ ปวดหัวแม่เท้าหรือ ก็ไม่ใช่ แล้วคุณจะมาหาผมทำไมเราก็ยิ่งแย่ใหญ่เลย เพราะตัวเองก็ช่วยตัวเอง ไม่ได้ จะไปหาใครให้เขาช่วย เขาก็ดูเรามาอีก ตกลง เลยอาการกําเริบหนักเข้าไปอีกเมื่อเป็นอย่างนี้ ถ้ามันมีอาการขึ้นมา ต้องจับสังเกตให้ได้ จากจุดนี้ก็ทำให้ดิฉันได้ความคิดขึ้นมาว่า ความสุขเป็นนามธรรม แต่เรามักจะไขว้เขว เอาความสุขไปผูกกับรูปธรรม เมื่อ เป็นอย่างนี้แล้วโอกาสที่เราจะเกิดความทุกข์ก็มาก เพราะอะไร เพราะว่า...รูปธรรม มันไม่แปร่ไปตามความสามารถของเราหรอก
ถ้าเราตั้งอกตั้งใจทำงานเพื่อให้มีผลงาน เราไม่ค่อยมีเวลาไปให้เจ้านายเห็นหน้าหรอก ถ้าเจ้านายเราเป็นคนหูเบา หรือเป็นคนชนิดที่เช้าขึ้นมา ก็ต้องเห็น หน้าลูกน้องคนนีสักหน่อยหนึ่ง ก่อนกลับบ้านก็ต้องเห็นเสียอีกนิดหนึ่ง ถ้าไม่ได้เห็น แล้วบังเอิญมีคนไป ช่วยเป่าหูท่านว่า วันนี้เราขาดงาน พรุ่งนี้ก็มีธุระจะไปไหน อะไรอย่างนี้ ท่านก็ปลิวตามได้เหมือนกัน
แล้วงานทเราอุตสาหก้มหน้าก้มตาทำ ด้วย ความตั้งอกตั้งใจ พอได้ผลออกมา ก็เกิดมีเพื่อนที่ ปกติไม่ค่อยตั้งใจทำเท่าไหร่ แต่เป็นคนเก่งประเภท ไม่ว่าจะตรงไหน สามารถเอาหน้าไปเสนอได้ทุกครั้งไป ก็มาบอกกับเราว่า ผมของานของคุณหน่อยนะ เพราะว่างานวิจัย มันเกี่ยวข้องกัน ผมจะเอาไปอ้างอิงนิดหน่อย
นี่เป็นเรื่องจริง ๆ ที่เกิดขึ้นกับคุณหมอท่าน หนึ่ง ท่านปฏิบัติธรรมเหมือนกัน และเคยบอกว่า ที่ ท่านยังทำงานทุกวัน ๆ เพื่อผลงานของท่านจะได้เป็นประโยชน์ต่อชาวโลก จะปรากฏออกไปในรูปแบบ ไหนท่านไม่แคร์แต่พอเรื่องนี้เกิดขึ้น ก็ปรากฏว่า หลังจากที่ ท่านตกล่องปล่องชั้นอนุญาตว่า เอาเลย จะเอาตรง ไหนไปอ้างอิงให้เกิดประโยชน์ ก็ยินดีพอบทความชิ้นนั้นตีพิมพ์ออกมา มันไม่ใช่ อย่างที่ขออนุญาต ผลงานของท่านทั้งหมดกลายเป็น ส่วนหนึ่งของงานที่ตีพิมพ์ภายในชื่อของคุณคนนั้น แล้วแม้กระทั่งตัวฝอยตัวจิ๋บจ้อยแค่ไหนก็ไม่มีอ้างอิง สักนิดว่า ผลมาจากใคร มาจากที่ตรงไหนคราวนี้ก็ถึงจุดที่คุณหมอเจ้าของผลงาน ท่าน เต้นโน่งน่างเลยไม่เป็นอันทำงานแล้ว โทรศัพท์ถึง เพื่อนฝูงทั้งหลายว่า ฉันจะต้องฟ้องเพราะทำอย่างนี้หน้าด้าน ชัด ๆ โกงผลงานกันนี้ ซึ่งเราก็เข้าใจ เป็นเราเราก็คงเต้น อย่างนั้นเหมือนกัน
ตอนนั้นดิฉันผ่านวิกฤติหลาย ๆ อย่างมา จน พอมองเห็นว่า ถ้าเราเต้นต่อไปหรือเราฟ้องร้อง เรา ก็ยิ่งสุขภาพจิตเสื่อมหนักเข้าไปอีก แล้วก็.อาจได้ โรคกระเพาะทะลุติดตามมา ก็เลยย้อนถามท่านว่า ไหนเธอเคยบอกว่า เธอทำงานไม่ได้หวังว่าใครจะต้องมายกย่องว่า ผลงานอันนี้มาจากฝีมือของเธอยังไงล่ะ
ท่านก็หยุดคิด เออ...จริงแฮะ แต่มันยังเจ็บใจอยู่นะ คนอะไรไม่มีมารยาท อย่างน้อยขอบใจเราสักคำก็ไม่มี
ดิฉันก็เตือนว่า ถ้าเราทำงานเพื่องาน แล้วเรามีความ สุขกับงานของเรา เดี่ยวนี้งานของเราบรรลุผลเต็มที่แล้ว ไม่มีเวลาจะเขียน ก็มีคนมาช่วยเขียนให้ แล้วก็เอาไปลงพิมพ์ ทำให้ โลกรู้ผลงาน ถ้ามีใครอยากจะเอาไปอ้างอิง หรือว่ากำลังติดตรงนี้อยู่เขาก็จะได้ทำต่อไป แล้วเธอยังไม่โมทนาอีกหรือว่า เขาหวังดีกับเธอ
ท่านอึ้งไปนาน แล้วบอก...แต่มันยังโมทนาไม่ได้ กัดฟันยังใงมันก็ยังเจ็บใจเห็นไหมคะ คนเราลงถ้ายังมีอัตตาอยู่ มันจะ ต้องเกิดอุบัติเหตุอย่างนีขึ้นเสมอ แล้วสมัยนีเราจะ พบอย่างนีบ่อย ๆ
อีกรายหนึ่ง ท่านถูกเชิญไปเป็นอาจารย์พิเศษที่วิทยาเขตแห่งหนึ่งซึ่งเพิ่งเปิดใหม่ ตอนนั้นอาจารย์ ที่วิทยาเขตแห่งนั้นยังไม่กลับมาจากเมืองนอก ท่านก็ อุตส่าห์ตั้งอกตั้งใจสอนอย่างดี มีแผ่นปลิว มีอะไรต่อ อะไรไปแจกปรากฏว่า อาจารย์ที่เป็นลูกศิษย์ของท่าน มาทำปริญญาโทกับท่าน แล้วก็ไปบรรจุที่วิทยาเขตแห่ง นั้น ต้องมีผลงานเพื่อที่จะขอตําแหน่งเป็น ผศ. ก็ท่านก็หยุดคิด เออ...จริงแฮะ แต่มันยังเจ็บใจอยู่นะ คนอะไรไม่มีมารยาท อย่างน้อยขอบใจเราสักคำก็ไม่มี
ดิฉันก็เตือนว่า ถ้าเราทำงานเพื่องาน แล้วเรามีความ สุขกับงานของเรา เดี่ยวนี้งานของเราบรรลุผลเต็มที่แล้ว ไม่มีเวลาจะเขียน ก็มีคนมาช่วยเขียนให้ แล้วก็เอาไปลงพิมพ์ ทำให้ โลกรู้ผลงาน ถ้ามีใครอยากจะเอาไปอ้างอิง หรือว่ากำลังติดตรงนี้อยู่เขาก็จะได้ทำต่อไป แล้วเธอยังไม่โมทนาอีกหรือว่า เขาหวังดีกับเธอ
ท่านอึ้งไปนาน แล้วบอก...แต่มันยังโมทนาไม่ได้ กัดฟันยังใงมันก็ยังเจ็บใจ
เห็นไหมคะ คนเราลงถ้ายังมีอัตตาอยู่ มันจะ ต้องเกิดอุบัติเหตุอย่างนีขึ้นเสมอ แล้วสมัยนีเราจะ พบอย่างนีบ่อย ๆอีกรายหนึ่ง ท่านถูกเชิญไปเป็นอาจารย์พิเศษที่วิทยาเขตแห่งหนึ่งซึ่งเพิ่งเปิดใหม่ ตอนนั้นอาจารย์ ที่วิทยาเขตแห่งนั้นยังไม่กลับมาจากเมืองนอก ท่านก็ อุตส่าห์ตั้งอกตั้งใจสอนอย่างดี มีแผ่นปลิว มีอะไรต่อ อะไรไปแจกปรากฏว่า อาจารย์ที่เป็นลูกศิษย์ของท่าน มาทำปริญญาโทกับท่าน แล้วก็ไปบรรจุที่วิทยาเขตแห่ง นั้น ต้องมีผลงานเพื่อที่จะขอตําแหน่งเป็น ผศ. ก็เขียนหนังสือขึ้นมา โดยเอาแผ่นปลิวทั้งหมดของ ท่าน ที่ท่านใช้ประกอบการสอนตลอดหนึ่งปีนั่น เอาไปเรียงพิมพ์ในหนังสือโดยไม่ได้บอกเลยสักคำหนึ่งว่า อันนี้อ้างอิงมาจากแผ่นการสอนของท่านเรื่องอย่างนี้เวลานี้มีอยู่เสมอในวงงาน โปรด อย่าได้อัศจรรย์ใจ แล้วถ้าเรายังไม่สามารถถล่มอัตตา ของเราได้ รับรองว่าการทำงานของเรา...แซ็ง...แล้วก็มี ความทุกข์ แล้วก็ทำให้เรากลายเป็นคนหงุดหงิดถ้าคนที่รับฟังเรืองไม่ได้เกี่ยวข้องกับวงการ เป็นคนกลาง ฟังเรื่องแล้ว ก็จะลงความเห็นว่า โธ่เอ๊ย.. ทำไมจะต้องเป็นคนขี้หวงอย่างนี้แต่รับรอง ถ้าเผื่อมาโดนกับใครเข้าบ้าง นาน... นานกว่าจะทำใจได้ ดิฉันฟังท่านเล่า ก็ยังเห็นใจ ที่ ท่านเต้นโฉ่งฉาง เป็นวัน ๆ กว่าจะระงับได้ มันต้อง ผ่านความรู้สึกอย่างน้นจนอิ่มตัวย้อนนักถึงเรื่องของตัวเอง แค่เงินไม่เท่าไหร่ ดิฉันยังคันอยู่เป็นเดือน จนกระทั่งในที่สุด คลำพบว่าอ๋อ…..จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้ต้องการเงิน ไม่ได้ต้องการ ขั้นหรอก แต่ต้องการให้คนเขารับรู้ คล้าย ๆ กับว่า ความสามารถของเรา หน้าตาของเรา มันขึ้นอยู่กับ ประกาศนียบัตรที่โลกเขาจะรับรอง
พอถึงจุดนี้ ก็ทําให้ย้อนนึกถึงธรรมะของพระพุทธเจ้า ที่ท่านตรัสว่า สิ่งหนึ่งที่ทําให้จิตใจปุถุชนหวั่นไหวไป และหาความสุขได้ยาก ก็คือการเอาใจของเราไปเกียวไว้กับโลกธรรม
โลกธรรมคืออะไร ก็คือคําสรรเสริญ นินทา คํา วิพากษ์วิจารณ์ ถ้าจะเอาให้ครบ 8 อย่าง นอกจากนินทา สรรเสริญ ก็ได้แก่สุข ทุกข์ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ ท่านว่า 8 สั่งนี้คือ หนามที่ร้อยรัดจิตใจ ของเราเอาไว้ ถ้าเป็นฝ่ายลบถ้าเป็นฝ่ายบวก มันก็เหมือนกับลมที่พัดเรา ขึ้นไปทำนองเดียวกับว่าวติดลมบน พอลมหยุดพัด เราก็ตกแป็กลงมา ถ้าขึ้นไปสูงมากเวลาตกเราก็อาจ หลังหัก หรือว่าก้นกบพังไปเลยเมื่อเป็นอย่างนี้ เราจะเตรียมตัวเตรียมใจอย่างไร ให้ใจของเราไม่ถูกโลกธรรมหวั่นไหวแรก ๆ ดิฉันเคยคิดว่า ตัวเองเป็นคนหนักแน่น ใครพูดอะไรก็ไม่ค่อยหวันไหวตาม แต่จริง ๆ แล้ว พบว่า เราหลอกตัวเองทั้งนั้นเมื่อจบ ดิฉันอยู่กรมการแพทย์ การเป็นข้าราชการ กรมการแพทย์ เริ่มต้นเราจะถูกส่งออกหัวเมือง ดิฉัน ถูกส่งไปประจำที่โรงพยาบาลต่างจังหวัดแห่งหนึ่ง จำได้ว่า ครั้งแรกที่สุด พอไปถึงทําคนไข้ตาย 3 คนรวด ด้วยความเข้าใจผิด
ปกติเวลาที่หมอสั่งว่า ให้คนไข้ absolute bed rest แปลว่า คนไข้จะต้องนอนอยู่บนเตียงอย่างเด็ดขาด จะถ่ายก็ใช้หม้อนอนถ่ายบนเตียง แต่ที่จังหวัดนี้ การถ่ายบนเตียงเป็นเรื่องที่คนไข้กระดากมาก แล้ว พยาบาลจะทำให้คนไข้ที่ยังพอตะเกียกตะกายลุกไป ห้องน้ำได้ ยอมทำกิจกรรมเหล่านี้บนเตียงก็ลำบาก เหลือเกินที่โรงพยาบาลแห่งนี้ ก็เลยตกลงกันในระหว่าง หมอและพยาบาล เข้าใจกันเป็นภาษาสากลเฉพาะตนว่า ถ้าสั่งให้คนใช้จำกัดอยู่บนเตียง ถ้าเขายังเดินไหว สมัครใจจะ ไปห้องน้ํา ก็อนุญาตให้ไปได้ดิฉันกะเหรี่ยงใหม่ ไปถึงยังไม่รู้ข้อตกลงอันนี้แล้วก็ไม่มีใครอธิบายให้ฟัง เราก็คิดว่าคำอย่างนี้เป็น ภาษาสากล เพิ่งออกไปจากโรงเรียนแพทย์ ก็ยึดถือว่า คำจำกัดความนีต้องเทียบได้กับพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ย่อมเป็นที่เชื่อถือได้คนไข้หัวใจวาย บวมเป่งจนเนื้อแทบปริ เราก็ สั่งยาขับปัสสาวะ สะดุดใจนิดหนึ่งแล้วว่า คุณพยาบาล หงุดหงิดมาก ประท้วงว่า ถ้าคุณหมอสังยาขับปัสสาวะคนไข้ก็ตายเร็วขึ้นก็อรรถาธิบายให้เขาฟังว่า หนู...ก็คนไข้บวม เราให้ยา ขับปัสสาวะไป ก็เท่ากับเราช่วยเร่งให้น้ําระบายทั่งไปได้ ในตัวก็มีน้ํา น้อยลง หัวใจจะได้ทำงานเบาแรงไงล่ะแล้วก็ไม่ได้ติดใจจะไปถามเขาว่า ทำไมหนูถึงพูด ว่า ให้ยาขับปัสสาวะแล้วคนใช้จะตายเร็วขึ้น แต่ก็เห็นเหมือน กันว่า สีหน้าคุณพยาบาลไม่ได้เห็นด้วยกับเราเลย เขา คงเซ็งที่จะต่อล้อต่อเถียง และคงคิดว่า หมอนีหัวดือ หัวรั้น ก็ปล่อยให้มันได้บทเรียนไปก็แล้วกัน
เราสั่งเสร็จก็ไปทำงานอื่นต่อไป ไม่มีเวลาได้ ย้อนกลับมาดูคนไข้อีก วันรุ่งขึ้น ก็เห็นคนไข้คนหนึ่ง ในสามคนนั้น กำลังยืนโหนบานประตูห้องน้ำ จะเป็น ลมมิเป็นลมแหล่ เราก็ร้องสุดเสียงว่า ตายแล้ว...ใคร...ใคร ปล่อยให้คนไข้ของฉัน ซึ่งสั่งว่าให้จํากัดอยู่บนเตียงไปห้องน้ำพยาบาลก็บอก...ก็หนูบอกคุณหมอแล้ว คุณหมอไม่ เชื่อหนู คราวนี้เราเป็นลม หาเก้าอี้นั่งได้ก็ทรุดลงนั่ง เหงือแตกเลย ถาม...ไหนคุณลองอธิบายหน่อยซิ เขาจึงได้ อธิบายให้ฟังว่า ถ้าคนไข้ยังลุกไปไหว สมัครใจจะไปห้องน้ำ เขาก็มีสิทธิจะไป
คราวนี้ดิฉันเป็นลมสลบ เพราะพอสิบสาวราวเรื่อง สองคนตายไปเรียบร้อยแล้ว คนนี้ยังไง ๆ ก็แก้
ไม่ฟื้น ไม่ช้าไม่นาน ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ตายไปตามระเบียบ
ดิฉันเซ็ง...กินข้าวไม่ลง รู้สึก...มัน...มัน โศก หมดเลย ความรู้สึกว่าเราจบออกมา ตั้งอกตั้งใจจะทำงาน เปรียบความรู้สึกเหมือนเดินไป เดินไป ตอนแรกนึก ว่าถนนยังไปอีกไกลแสนไกล อยู่ ๆ ก็ไปเจอเครื่อง หมายบอกว่าทางตัน ขอให้เปลี่ยนทางเดินกำลังคิดว่า เอ...เราจะทำยังไงดี ก็มีคุณหมอ เก่าซึ่งเป็นรุ่นพี่เข้ามาหา เราก็ดีใจนึกว่าเขาจะมาปลอบ โยนเรา เพราะมีเพลง ๆ หนึ่งของโรงเรียนแพทย์ว่า เราจะรักกันเหมือนเกลียวเชือกควั่นก็ถามเขาว่า... พึ่ว่ายังไงคะ เขาก็บอกว่า ผมเห็นใจ หมอครับแต่ถ้าผมเป็นหมอ ผมจะเข้ากรุงเทพฯ ไปหาท่านผู้อํานวยการ กรม แล้วขอย้ายไปจังหวัดอื่น เพราะในจังหวัดเล็ก ๆ อย่างนี้ เริ่มต้น ด้วยความซวยอย่างนี้แล้ว ต่อให้หมอเก่งยังไง ๆ คนใช้เขาก็ไม่มาหา หมอ แล้วก็ยากที่หมอจะทำตัวให้มีชื่อเสียงขึ้นมาได้ใจเราก็...ตอนแรกก็เหมือนต้นไม้ที่ถูกแดดเผาจนคอหักพับ รู้สึกตูบเต็มทนแล้ว พอได้ยินอย่างนี้เข้า ก็เท่ากับเอาน้ําร้อนเทลวกซื้าลงไปอีก มีความรู้สึกว่า โอย...นี่เราจะอยู่ยังไงไหว พี่ที่คิดว่าจะรักเราเหมือนเกลียวเชือกควัน เขาก็คลายเกลียวกับเราแล้ว คนไข้ก็คงไม่เอากับเราแน่ คุณพยาบาลนั้นแทงบัญชีศูนย์กับเราเลย เอ...เราจะหันหน้าไปหาใครดี ก็เกือบแล้วละ เกือบจะไปเก็บกระเป๋าตามคำแนะนำแล้ว แต่พอเดินไปได้ครึงทาง มันเกิดความคิดขึ้นมาว่า ถ้าเราย้ายไป จังหวัดใหม่ มันก็คงมีค่าอะไรที่ในจังหวัดนั้นเขา ตกลงกันเฉพาะตัวอีก เราก็ต้องพลาดอีกจนได้นั่นแหละ แล้วในชีวิตการทำงานของเรา เราจะตั้งหน้าเก็บกระเป๋า อย่างนีไปจนครบ 72 จังหวัด หรือยังไง ไม่เอาละ เอา มันให้รู้ดีรู้ชั่วไปตรงนี้แหละพอเกิดความฮึดอย่างนี้แล้ว ใจมันก็วางอยู่ที่ศูนย์ซิคะ ไอ้ที่เราคิดว่า แหมเราก็มือแน่เหมือนกันมันก็หมด ตอนนีคิดแต่เพียงว่าเพราะพี่เขาบอกแล้วว่า ยากที่เราจะทำให้คนไข้มาศรัทธากับเราได้ เพราะฉะนั้นเราก็ไม่หวังอะไรเลย จะให้เวลา 6 เดือน ใน ระหว่าง 6 เดือน ใครจะว่าเราเป็นหมอเถื่อน หมอ เส็งเคร็ง หรือว่า เขาจะดูถูกดูหมิ่น เยาะเย้ยอะไรเรา เราก็จะไม่หวั่นไม่ไหว ไม่สนใจทั้งนั้นเมื่อใจคิดได้อย่างนั้นจริง ๆ แล้ว มันก็ไม่เหลืออัตตา ทีนี้ก็เบาสบาย ไม่ว่าใครจะว่าอะไร คนไข้ มาถึง เราก็มีความอดทนที่จะอธิบายอย่างดีที่สุด ไม่ไปโกรธไปแค้นเขา เขาประท้วงเราว่าอย่างไร หรือเขาดจาไม่เพราะหู ไม่เข้ารูหูยังไง เราก็ทำเหมือนกับว่า เราเป็นอิฐเป็นปูน ไม่ได้สะดุ้งสะเทือน บุรุษพยาบาล จะไม่ฟังคำสั่งเรา เราก็อ้อนวอนงอนง้อ ไม่ได้ไป
กระทืบมือกระทืบเท้าเอาดังใจ ซึ่งถ้าเป็นแต่ก่อนคงทำนะคะ เพราะตอนนี่สงบเสงี่ยมเจียมตัวว่า เรามันไร้คุณค่าก็ก้มหน้าก้มตาทำไป ใจก็มีความสงบสุขขึ้นมา โดยทีเราก็ไม่รู้ตัว ยังไม่ทันจะครบ 6 เดือน ประมาณสัก 2 เดือนได้ ปกติเวลาให้น้ำเกลือเด็กคนไข้ ดิฉันให้ ที่เส้นกลางหน้าผาก เพราะเด็กไม่สามารถดิ้นรนเอา มือไปดึงออกได้ เพราะฉะนั้นน้ำเกลือจึงไม่โป่งไม่ พอง ก็ให้ตรงนิเป็นประจำ
รายแรกที่เริ่มทำก็ได้บทเรียน พอแทงเข็มน้ำ เกลือได้ บอกกับแม่เด็กว่า คุณสบายใจหายห่วงได้ แล้วพอน้ำเกลือหมดขวดลูกคุณก็จะดี วันรุ่งขึ้นก็ ลุกขึ้นวิ่งได้ แม่ก็นั่งร้องไห้เอา ๆ อีกสองชั่วโมงขึ้นไป ดูเด็กก็หลับดี ที่ตอนแรกมากระสับกระส่าย ปากแห้ง ตัวเหียวย่น ก็ค่อย ๆ ดีขึ้น เหมือนกับต้นไม้ที่ ได้น้ํา แต่แม่ค่ะ ร้องไห้จนกระทั่งทำท่าว่าตาแทบลืมไม่ขึ้น ก็สงสัย ไปถามเขาว่าเรื่องอะไรกัน เขาบอกว่าก็ นี้แหละ ก็คุณหมอยืนยันว่า ลูกหายแน่ ๆ จึงได้สงสาร ก็คุณหมอดูซิคะ น้ำเกลือขวดตั้งใหญ่ แล้วก็หัวลูกฉัน (คือลูกเขาเพียงขวบ กว่า ๆ) แค่นี้ พอน้ำเกลือหมดขวด ห้วลูกฉันก็คงเป็นหัวมาร ต้อง เอาไปออกงานวัดดูซิคะ ใครจะไปคิดว่าจะมีคนเราคิดซอกแซก ไปได้ถึงแค่นั้น ก็เลยต้องลงนั่งอธิบายให้ฟังว่า คุ้ณ..ไอ้ น้ำที่ให้เข้าไปนี้น่ะ มันเข้าไปตามเส้นเลือด เหมือนอย่างคุณเปัด ก็อกน้ำไหลไปตามท่อ เพราะฉะนั้นน้ำเกลือก็ใหลตามเส้นเลือด มันไม่ไปทำให้หัวลูกคุณโตขึ้นหรอก เอาเถิดพรุ่งนี้ ถ้าหัวลูกคุณกลาย เป็นหัวมาร ตัวเองจะยอมให้คุณเอามีดมาสับคอทั่งได้เลย ขอให้เชื่อ ใจเถิดเขายังมองเราอย่างไม่ค่อยไว้วางใจ แต่ค่อยยัง ชั่วขึ้น น้ำตาค่อยซาเม็ดลงเล็กน้อยเราก็จำ พอจะให้น้ำเกลือคนไหน ก็ทำตน เหมือนเป็นเทป รีบอธิบาย คราวนี้คนไข้เป็นโรคท้องเสียมา พยาบาลเตรียมเครื่องให้น้ําเกลือ ดิฉันก็เริ่มต้นอธิบาย ว่า นี่นะคุณ...เกิดมีเสียงข้ามไหล่มาว่านี่คุณ...คุณ...ฟัง...ฟัง...คุณหมอคนนี้จะทำอะไร ก็ยอมให้ ทำนะเพราะฉันว่าเทวดาก็ยังทำไม่ได้ดีเท่าใจเราก็ฟู หันไปดู ปรากฏว่าเป็นแม่คนไข้ ลูก เขาเคยมาเจ็บ ได้น้ำเกลือ หายกลับไปแล้ว คราวนี้ เจ็บเรื่องอื่นมา เขาเกิดศรัทธากับเราอย่างรุนแรง เลยทําหน้าที่เป็นโฆษกออกอากาศแทนให้
ใจยิ่งฟูขึ้นไปอีก รู้สึกเหมือนคนที่กำลังหิว แล้วได้กินอาหาร ที่อร่อยที่สุดนะคะ กำลังฟู.ฟู...อยู่ อย่างนี้ ก็เห็นภาพคนไข้ที่กำลังโหนบานประตูขึ้นมา ในใจ ใจที่กําลังฟู หล่นปีกลงมาเลย นึกว่า ประเดียวเถอะ ดีใจไปมาก ๆ มันต้องมีอะไรวิบัติอีก เจ็บแล้ว ยังไม่รู้จักจำอีกหรือ มันเหมือนกับเครื่องบินที่ทำท่า จะขึ้น แล้วตกปุ๊กลงมาเราก็นีก...ก็มาทวนถามตัวเองว่า ตอนที่เรา รักษาคนไข้สามคนนั้น ใจเราเหมือนอย่างกับที่กำลังรักษาเด็กคนนี้หรือเปล่า ก็ตอบได้อย่างแน่ใจ ไม่ได้ โกงตัวเองว่า เหมือนกันทุกอย่าง มีความตั้งใจอย่าง เดียวกัน อยากให้เขาหายอย่างเดียวกัน แต่ผลที่ออก มา ไม่ถูกใจเขา เขาก็ถล่มเราแทบจะฉีกเนื้อเถือหนังเลยครั้งนี้บังเอิญผลเป็นที่ถูกใจ เขาชมเสียเราปลิวไป เป็นว่าวติดลมบนเลยถ้าเราปล่อยใจให้ฟูๆ แฟบๆ อยู่อย่างนี้ มิช้ามินานเราบ้า เราบ้าชัด ๆ เลย เพราะมันเห็น มันขึ้นมาถึงความรู้สึกที่โศกตอนช่วงแรก กับตอนนี้ที่ มันบานแปดกลีบตอนนั้นยังไม่ได้ปฏิบัติธรรม ยังไม่รู้ว่าโลกธรรม
เป็นอย่างไร แต่มันก็ได้คิดขึ้นมาว่า ถ้าเราปล่อยใจ ของเรา ให้ขึ้นอยู่กับคำพูดของคนอื่น เราเลี้ยงตัวยาก เราต้องมีอะไรสักอย่างหนึ่งที่เป็นเกราะคุ้มกันตัว ในเวลาเขาทุบ เราก็ไม่บุบ เวลาเขาชม เราก็ไม่ปลิวตามแรก ๆ ย้าก.ยากค่ะ ขนาดว่าเคยเจ็บจนอย่าง นั้นมาแล้ว มันก็ขี้ลืม พอเขาชมหน่อย ใจเป็นหาช่อง ทางที่จะเล็ดลอดออกไปทุกที่เลย พอเขาตำหนิ ปาก ก็ว่า...เฮอะ...เรารู้หรอกน่าว่าเราทำอะไรอยู่ แต่ลึก ๆ มันเฉา ปากก็ว่าไม่แคร์หรอก แต่พอเผลอ ๆ...มัน เหงา มันโศกพอมาปฏิบัติธรรมแล้ว เลยเข้าใจว่า ที่พระ พุทธองค์ทรงสอนว่าสิ่งแรกที่สุดที่เราต้องทำความรู้จัก คือ รู้จักโลกธรรมให้ถ่องแท้ แล้วมีมาตรการที่จะเลี้ยงใจตัว ให้พึ่งตัวเองได้ ให้มีหลักเหตุผลที่เรา จะเอามาเลี้ยงตัวเองใครพูดอะไร ฟังไว้ แล้วกองเอาไว้ตรงนั้นก่อนให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ผลของเราประจักษ์ออกมา แล้วค่อยว่ากัน แต่ระหว่างที่ฟังเขา อย่าไปปิดหูสนิท เพราะบางที่สังที่เรานึกว่า เราถูกต้องแล้ว แต่เพราะเรา รู้ยังไม่รอบ ประสบการณ์เรายังไม่เพียงพอ คำวิพากษ์วิจารณ์ของเขา อาจให้แง่คิดแก่เรา ถ้าเราฟังด้วยใจ
เป็นกลาง แล้วเอามาปรับปรุงสิ่งที่ทำอยู่ บางที่เราจะ ได้แนวคิดใหม่ ช่วยให้เราทำงานได้เร็วขึ้น ดีขึ้น มี ประสิทธิภาพขึ้นตรงนี้ก็ทำให้เห็นอีกจุดหนึ่งของเราว่า มันครูด กับอัตตาของเรา เพราะอะไรที่เราทำบ่อย ๆ แล้วมัน เกิดผลดีทุกครั้ง โดยไม่รู้ตัว เราหลงภูมิใจในตัวเอง คิดว่า สิ่งนี้ดีแล้ว พอใครมาบอกว่า เฮ้อ...อย่างโน้นดี กว่า มันชักโกรธ ไม่ฟังแล้ว ปิดเครื่องรับแล้ว พอเขา พูดอะไรต่อไป ดีไม่ดี เกิดขัดใจกันจนเข้าหน้าไม่ติด เราก็ดึงดันของเราไปว่า ไม่มีวันจะปรับปรุงอะไรทั้งนั้น เหมือนอย่างกับเราเชื่อว่า เพดานนี้สูงที่สุดแล้วแต่พระพุทธองค์ทรงสอนว่า ถ้ารู้วิธีที่จะทะลุ เพดานออกไป จะไปพบท้องฟ้ากว้าง ตรงนั้นแหละ เราถึงจะเป็นอิสระจริงความดีของปุถุชนคนเรา ยังดีอยู่ภายใต้ความ หลงผิด หรือความรู้ไม่รอบ เราเรียกว่า อุปาทานกับ อวิชชาถ้าจะเปรียบเทียบ ก็เหมือนเราทุกคนเป็นคน ตาบอด พ่อแม่เราพาไปคลำช้าง ไปเจอขาช้าง เราก็ บอก อ๋อ.ช้างมันเป็นเสา เพื่อนเราอาจถูกพ่อแม่พา ไปคล่าช้างตรงหาง เขาก็บอก ช้างมันเป็นเชือกวันหนึ่ง เรากับเขาคุยกัน ถ้าเรายึดในอุปาทาน กับอวิชชาของเรา เราก็ไม่ฟังเสียงเขา เราถล่มจน กระทั่งเขายอมเปลี่ยนความคิดว่า ช้างเป็นเสานะแล้วเราก็ภูมิใจว่า เราได้ช่วยเหลือคนคนหนึ่ง ให้ ฉลาดขึ้นมา มีอย่างที่ไหน เห็นว่าช้างเป็นเชือก มันเสาชัด ๆแต่แท้ที่จริง เราปิดประตูกันตัวเองจากการเรียนรู้เพิ่มขึ้น เพราะจริง ๆ แล้ว ช้างเป็นเสาก็ได้ ถ้า เราไปเจอขามัน ช้างเป็นเช็อกก็ได้ ถ้าไปคล่าเจอถ้าเราเปิดใจให้กว้าง เขาบอกว่าช้างเป็นเชื่อก เราก็บอก ไหนคุณลองจูงฉันไปดูซิ มันเป็นเช็อกยังไง เราก็ไปกับเขา ไปคลำดู เอ๊ะ...มาคลำของเรา เออ... แฮะ เราก็ได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นว่า บางภาวะช้างเป็นเชือก ก็ได้ แต่ในภาวะของเรา ช้างเป็นเสานะ เราก็แลก เปลี่ยนกัน จูงเขาให้มาคลําของเรา ตกลงทั้งคู่ก็ได้
ประโยชน์พระพุทธองค์ทรงใช้วิธีนี้ สะสมบารมี ระหว่างที่เป็นพระโพธิสัตว์จนมาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ใครว่าอะไรดี ท่านจะไปดูกับเขาก่อน แล้วเอามาเปรียบ เทียบกับวิธีทีท่านทำอยู่ ท่านก็ได้เรียนรู้ ที่เคยรู้แต่
บางส่วนด้วยความยึดมัน ถือมัน ด้วยอวิชชา นึกว่ารู้ รอบแล้ว แต่แท้ที่จริงยังบังเหลี่ยมบังมุมอยู่ ก็ค่อย ๆ รู้กว้างออกไป กว้างออกไป จนในที่สุด ท่านก็รู้จักช้างหมดทั้งตัว ท่านจึงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในชีวิตการทํางานของเราก็เหมือนกัน ถึงเราจะไม่ตรัสรู้อย่างนั่น แต่ถ้าเราเอาประสบการณ์ทุก ๆวินาที ที่เกิดขึ้น เป็นครูสอนให้เรารู้รอบ ตรงตาม เป็นจริง ชีวิตของเราก็จะค่อย ๆ ขยายวงออกไปสู่ ความจริงมากขึ้น แต่เดิมเราถูกคุมขังด้วยความยืดอยู่ในกรอบที่เราเชื่อ แล้วกรอบที่เรายึดนี้ก็สนุนให้ตัวเรา อัตตาของเรา ยิ่งเหนียวแน่นขึ้นเมื่อจบใหม่ ๆ เริ่มทำงาน เรายังฟังเสียงคนอื่นเพราะยังไม่มีความมั่นใจ เรายังไม่เชื่อตัวเอง พอทำไป ทำไป ประสบผลสำเร็จมากขึ้น เราเริ่มดื้อรั้น ใจแคบ ยิดอยู่แต่ในความคิดของเราผู้ใหญ่หลาย ๆ ท่าน ทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชา หมดความสุข จริง ๆ แล้วไม่ใช่ท่านปรารถนาร้าย เพราะ ท่านรักผู้ใต้บังคับบัญชามากเกินไป หรือพ่อแม่ที่รัก ลูกมากเกินไป ก็จะเป็นทำนองนี้ ยืดไงคะ แล้วเลย คิดว่า อะไรก็ตามที่เรารู้ ถูกที่สุด ก็ต้องไปถ่ายทอดให้ คนที่เรารักเห็นตาม
เพราะฉะนั้น ถ้าตาเราบังเอิญใส่แว่นสีเทาเอา ไว้ เราก็เอาแว่นสีเทาไปโปะให้เขาด้วย ไม่ยอมฟังเสียง เขา ก็เลยเป็นคนตาบอตจูงกันข้ามสะพาน แล้วเลย ตกสะพานไปด้วยกันความทุกข์ที่เกิดจากการทำงาน แล้วไม่ได้อย่างใจหรือพูดกันแล้ว ปรับความเข้าใจกันไม่ได้ ก็มีที่มา อย่างนี้ถ้าเราทำใจเสียว่า ทั้ง ๆ ที่เราเชื่อแน่ว่าถูก แต่ เราทำใจกว้าง ทำเหมือนอย่างกับว่า เราไม่รู้เรื่องนี้เลยแล้วฟังเขา ฟังเต็มที่ เราจะได้ความคิดใหม่ ๆ ขึ้นมา สมัยที่ดิฉันสอนนักเรียนแพทย์อยู่ที่คณะวิทยาศาสตร์ ปกติเราอธิบายเรืองร่างกายมนุษย์ ใครจะไป คิดต่อเป็นวงจรไฟฟ้า มีลูกศิษย์คนหนึ่ง พอดิฉันอธิบายเรืองการทำงานของไตจบ เขาชูมือขึ้นมา อาจารย์ครับ อาจารย์กรุณาต่อใตให้เป็นวงจรไฟฟ้าให้ผมหน่อย ได้ใหมครับครั้งแรกดิฉันเกือบตวาดออกไปแล้วว่า คุณบ้า แต่นึกขึ้นมาได้ว่า เอ...คนเราบางทีก็มีวิธีเห็นต่าง ๆ กัน ก็ได้ ดิฉันเลยตอบเขาว่า ตอนนี้ครูต่อไม่ได้หรอก เพราะสมัยที่เรียนฟิสิกส์ ได้คะแนนคาบเส้น แต่เอาเถิด จะไปปรึกษาใครที่เขามี ความรู้ทางนี้ แล้วคราวหน้าจะมาอธิบายให้ฟังก็น้องชายค่ะ เป็นวิศวะ เวลาที่เขาว่าง ๆ ก็เลยไปขอร้องเขาว่า เธอเอ๊ย...เธอลองมาฟังเรื่องไตตูหน่อยนะ แล้ว ประเดี่ยวจะขอร้องให้ช่วยทำอะไรหน่อย เขาก็ฟังอย่างตั้งอกตั้ง ใจ พออธิบายเสร็จ ก็บอกว่า เธอลองต่อไตให้มันเป็นวงจร ไฟฟ้าให้หน่อยเถิด เขาก็สนุก จัดการต่อให้ เราก็จดอย่าง ต่ พอชั่วโมงถัดไป ก็เอาไปอรรถาธิบายให้ลูกศิษย์พึ่งปรากฏว่าลูกศิษย์คนนี้ ครูทุกคนกำลังคิดว่า จะต้องให้ออกเพราะคะแนนคาบเส้นทุกวิชา ไม่เข้าใจ ว่าสอบเอ็นทรานซ์เข้ามาได้ยังไง กำลังคิดว่า คงมี ความผิดพลาดในการให้คะแนนหรืออย่างไรหลังจากต่อวงจรไฟฟ้าใตให้ได้ แกก็ได้ความคิด ทีนี้ทุกระบบแกไปจัดวงจรได้เอง ก็เข้าใจวิชาที่เรียน พอสอบคราวต่อไป ปรากฏว่าเด็กคนนี้ได้ท้อปหลังจากนั้น แกมีปัญหาจะต่อวงจรไฟฟ้าเรื่อง อะไร แกจะมาหาดิฉันเป็นส่วนตัว แล้วเราก็ช่วยกัน ต่อให้เป็นวงจรไฟฟ้าปรากฏว่าแกจบออกไปด้วยเกียรตินิยม เกือบไป แล้ว เกือบไปแล้ว เกือบจะไปทําให้เด็กคนหนึ่ง กลาย เป็นคนไม่มีอาชีพ แล้วก็เสียอนาคตหมด เพราะแกรู้ นี่ว่า แกเป็นคนเก่ง เพียงแต่ว่า แก่ไม่สามารถเข้าใจ ตามกรรมวิธี ที่เราอธิบายเท่านั่นเองก่อนหน้านั้น ดิฉันไม่เคยนึกว่า คนอะไรจะมอง
ร่างกายคนเราเป็นวงจรไฟฟ้า แต่เดี๋ยวนี้ดิฉันเข้าใจ แล้วเหมือนกับครั้งหนึ่ง ดิฉันถูกเชิญไปบรรยายเรือง การทำสมาธิ ก็อธิบายว่า เวลาทำสมาธิให้ผูกใจอยู่กับ คำบริกรรม พุทโธก็ได้ มีคนถามดิฉันว่า เวลานึกพุทโธให้นึกเป็นคําว่าพุทโธ หรือนึกเป็นจอโทรทัศน์ แล้วก็ มีตัวสะกดปรากฏ เป็น พ พาน...สระ อุ.ท ทหาร... สระโอ.ธ ธง ใจของคนแต่ละคน เราหยังไม่รู้ เราไม่ สามารถเอาความคิดของเราใส่ให้เข้าไปในใจของกันและกันได้ในการทำงาน ยิ่งท่านทั้งหลายเป็นอาจารย์ ดิฉัน แน่ใจว่า ปัญหาอย่างที่เล่าให้ฟังมีอยู่เยอะ ถ้าไม่เข้าใจ ตรงจุดนี้ เราทุกข์ หรือไม่อย่างนั้น เราไม่ทุกข์ เราก็ไป ทำให้คู่กรณีของเราทุกข์ จนกระทั่งดีไม่ดีเขาลาออก หรือกระเพาะทะลุ หรือความดันสูง หรือมีโรคทางกายขึ้นมาจริง ๆ เหลือจะเชื่อจริง ๆ ใจมนุษย์นี้ ท่าน จึงว่า มันยากแท้หยั่งถึงไงคะพอเข้าใจอย่างนี้แล้ว เวลาใครพูดอะไร เราจะว่า ไม่เข้าท่า โปรดติดซิบปากไว้ อย่าเพิ่งพ่นคำว่า ไม่เข้าท่า ออกไปทำใจให้เมตตา...เมตตาเอาไว้ แล้วก็บอก ไหน คุณลองค่อย ๆ อธิบายหน่อยซ์ เมือก็ฟังไม่ถนัดใจเย็น ๆ ทำใจเราให้เย็น ที่จะฟัง เพราะบางทีมันอดไม่ได้ที่จะคิดว่า ปัดโอ.เสียเวลา ก็เห็น ๆ กันอยู่ตรงนี้ แล้วเรื่องอะไรล่ะ ถึงจะต้อง อ้อมไปถนนวงแหวนอยู่นี้แหละ แต่มันช่วยให้เราได้จุดที่จะ เห็นความติดข้องของเขา แล้วสามารถตัดถนนวง แหวนของเขามาเข้าทางตรงได้ ก็จบปัญหานี่ละ ความสุข บางทีก็ต้องการหลาย ๆ กรรมวิธี ที่จะพาไปให้ถึงได้ เราต้องมีสติอยู่กับใจให้มั่นว่า จะ ไม่ยึด ตัวยึด เป็นตัวร้ายที่สุดในโลก เพราะอะไร เพราะ มันเป็นไปโดยอัตโนมัติ เรายังไม่ทันคิดเลยว่า เราจะ พูดออกไป หรือมีปฏิกิริยาออกไป แต่วาจาหรือกาย มันออกไปแล้วไม่ทราบว่าคุณเคยเป็นอย่างดิฉันไหม ดิฉันเป็น คนปากไวกว่าใจ บางที่พูดไปแล้ว นึกเสียใจทีหลังเสมอ พอเข้าวัด สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ติดซิบปาก ดิฉันก็ ประท้วงกับท่านอาจารย์ว่า แหมดิฉันอัดอันตันใจ เหลือเกิน มันจะขาดใจตายท่านว่า ให้มันรู้ไปเลย ถ้าขาดใจตาย ท่านจะลงทุน โค่นต้นไม้ ปกติท่านรักต้นไม้ในวัดท่านมาก ขนาดยืน ต้นตายแล้ว ใครจะมาขอฟันทําเป็นฟิน ท่านยังบอกว่า เอามันเก็บไว้ก่อน ครั้งนี้ท่านบอกว่า ถ้าดิฉันขาดใจ ตายเพราะการติดซิบปาก ท่านจะลงทุนโค่นต้นไม้ มาเผาศพดิฉันให้ ดิฉันเลยแน่ใจว่า สังที่ท่านสังมีความ สำคัญจริง ๆ ท่านสําทับว่า เอาซิบเยอรมันนะ ไม่ใช่ซิบญี่ปุ่น ประเดียวมันแตกง่าย
ดิฉันก็ต้องอัดอั้นตันใจ อะไรที่อยากพูด ก็ต้อง ติดซิบไม่ให้รั่วไหลออกไปเป็นอันขาด แรก ๆ มัน อึดอัด มีความรู้สึกว่าจะตายจริง ๆ ที่ไม่ได้พูด แต่ก็นึกว่า เราต้องติดซิบให้อยู่ให้ได้ ให้มันรู้ดีรู้ชั่วไป พอถึงจุดหนึ่ง ที่ใจมันยอมว่า ถึงจะดินยังไง ๆ ปากก็จะ ไม่เปิด มันแปลก เรากำลังรู้สึกคล้ายกับน้ำที่เดือด เต็มที่ แล้วดันจนฝาจะระเบิดออกไป แต่เกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ ความดันหายไปหมด ในใจของเราที่กําลังจะระเบิดอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว มันหยุดนิ่ง แล้วเบาหมดเลยพร้อมกันนั้น สิ่งที่กําลังรู้สึกว่า ทนฟังไม่ไหวแล้วเสียงที่เขาวิพากษ์วิจารณ์เราผิด ๆ ถูก ๆ มันไม่ใช่เรื่องของเราแล้ว มันคล้าย ๆ กับว่า เรากำลังฟังเรื่อง ของนาย ก กับ นาย ข ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรา ใจเราก็ฟังได้อย่างสบาย ไม่รู้สึกโกรธ ไม่รู้สึกว่าเขามาขยี่อยู่ บนใจเราต่อไปพอถึงจุดนี้ ท่านอาจารย์ก็บอก เห็นแล้วยังว่า ไอ้ อัตตาของคนมันสร้างความทุกข์ให้อย่างไรบ้าง เราไปยึดว่า ฉันเก่ง ฉันรู้ ฉันถูก แล้วไปคิดว่า เสียงที่เขาพูดตรงกันข้ามกับที่เราอยากให้เขาพูด มันผิด เราจะต้องแก้ไข ให้เขาพูดให้ถูกให้ได้ พอเราแก้ไข เรื่องมันก็ต่อไปอีก ตกลงมันก็ตีกันไม่รู้จบอยู่อย่างนี้ ดีไม่ดีก็ประกาศ ฟ้องร้องกันเลยพอเราหยุดเป็น ท่านบอกนี่แหละของจริง ให้ เห็นว่า สักกายทิฐิ เป็นหัวตอของความทุกข์ทั้ง หลาย ท่านจึงให้เราละมันออกไปเสีย เมื่อไรก็ตามที่ เราตัดสักกายทิฐิออกไปได้แล้ว ทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง ที่เราว่า โอย...ทำไมมันถึงเป็นอย่างนั้นนะ ทำไมคนนี้ถึงหัวดื้อ หัวรั้น พูดอะไรก็ไม่ฟัง แหมมันบัวใต้น้ำหรือยังไง เราจะไม่คับข้อง ใจอย่างนั้นอีกเลย จะพูดอะไรมันก็รู้เรื่องกัน
เพราะอะไร เพราะว่าเรา ฟังเขาพูดพอเราฟัง แล้ว ความอัดอันตันใจของเขาหมดไป คราวนี้เขาก็ ยอมฟังที่เราชี้แจง แต่ถ้าเราไปบอกเขา หยุด ๆ ฟัง ฉันก่อน เขาก็ปิดรูหู ถ้าเขาเป็นคนที่จำเป็นต้องรับคำสั่งของเรา เขาก็ทำกิริยาภายนอกสุภาพ อ่อนน้อม ครับ... แต่ปรากฎว่า หูเขาปิด พอเขาไปทำเขาก็ทำ อย่างที่ใจคิดอยากจะทำเสร็จแล้ว เราก็โกรธเขาเหมือนอย่างกับตัวอย่างนี้ค่ะ มีผู้บริหารท่าน หนัง ท่านประสบความสำเร็จมาก จนกระทั่งพักหลัง พวกลูกน้องแอบนินทากันว่า อย่าไปพูดกับท่านให้
ยากเลย เพราะว่าเรียกประชุมหมดเวลาไปสามชั่วโมง แล้วที่ประชุมตกลงกันว่า ไม่ทำ ไม่ทำ ด้วยเหตุผลที่ ชี้แจงไปสามชั่วโมง จนท่านรับคำว่า ตกลงไม่ทำ แต่พอเข้าประชุมกับคณะกรรมการฝ่ายบริหาร ท่านกลับบอกว่าได้ประชุมลูกน้องมาสามชั่วโมงแล้ว ลูกน้อง ตกลงเห็นดีเห็นชอบด้วย ทำตามเพราะอะไร เพราะใจท่านยึดอยู่ว่า ท่านจะทำ แล้วก็คิดอยู่ทุกกระบวนความว่า ท่านจะทำให้ได้ ท่าน เลยไม่ได้ยินเสียงที่ลูกน้องพูดว่าอย่างไรบ้าง ลูกน้อง โกรธแค้นมาก หาว่าท่านเป็นคนตลบตะแลง เป็นคน พูดไม่อยู่กับร่องกับรอยดิฉันอธิบายว่า อย่าโกรธท่านเลย เวลาคนเรา ยึดมากๆ สติมันตามไม่ทันใจของตัวเอง สังเกตซิ ไม่ เชื่อคุณลองไปดูนะมีร้านอาหารอยู่ร้านหนึ่ง มีชื่อเสียงเรื่องก๋วยเตี๋ยว ผัดซีอิ๊วมาก บริกรของร้านนี้คนหนึ่ง ไม่ว่าเราสั่งอะไร จะได้แต่กํายเตี๋ยวผัดซีอิ๊ว เพื่อนพาดิฉันไป เราก็สั่งกัน สองสามคนสั่งก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ๊ว คนอื่น ๆ สั่งราดหน้า สั่งอะไรต่ออะไร เขาก็จดนะคะ จดไป แต่เสร็จแล้ว กลายเป็นผัดซีอิ๊วหมดทุกรายเลย พอทุกคนโวยวาย เข้า เขาก็ทำตาปริบ ๆ ผมได้ยินว่า ตอนสั่ง สั่งผัดซีอ้วนี้ครับพอเราบอก ไม่จริง ไม่ใช่ เขาก็อ่อยเสียงบอก แต่ผัดซีอิ๊ว ที่น็อร่อยที่สุดนะครับ เห็นหรือไม่ เขาฝังใจอยู่ว่า ผัดซีอิ๊ว ของเขาอร่อยที่สุด ทุกคนมาก็เพื่อจะกินผัดซีอิ้วดิฉันเล่าเรื่องนี้ แล้วบอกให้ลองไปสังเกตเถอะ เจ้านายของคุณ จริงๆ แล้วเป็นอย่างนี้ เขาก็คลาย ความโกรธลงได้ ไม่งั้นเขาไปโกรธว่าอะไรกัน เป็นผู้ใหญ่ถึงขั้นนี้แล้ว พูดไม่อยู่กับร่องกับรอยทำเป็น เด็กอมมือไปได้พอทำใจได้อย่างนี้ปรากฏว่าคราวใหม่ร้ายยิ่ง กว่านั่นอีก คือท่านมีโครงการว่า ท่านจะทำเรื่องอย่างนี้ อย่างนี้ แล้วท่านยังไม่ทันได้มาบอกลูกน้อง คือเพื่อนดิฉัน ซึ่งเป็นนักวิชาการ ให้เขาเอาเรื่องไปศึกษาก่อน พอเข้าประชุมกัน ท่านยืนแถลงด้วยความมั่นอกมันใจว่า ท่านได้เอาโครงการอันนี้ ให้เพื่อนดิฉันไปศึกษา เรียบร้อยแล้ว แล้วเพื่อนดิฉันก็กลับมาบอกกับท่านว่า เรียบร้อยตามที่ท่านต้องการทุกประการ ถ้าเขาไม่ได้ ถูกดิฉันให้วัคซีนกันแพ้ คือก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ๊วไป น่า กลัวเขาลุกขึ้นถล่มกลางที่ประชุมแน่เลยวันนั้นเขาก็เลยใจเย็น จนกระทั่งท่านแถลงจบหมดเรียบร้อย เสร็จออกมา เขาไปเคาะประตูขอพบ ท่านแล้วก็ถาม
อาจารย์คะ อาจารย์บอกหนูตั้งแต่เมื่อไหร่คะ เอ๊ะ...เหรอ ผมยังไม่ได้บอกเหรอ ขอโทษ เถอะ ผมล้มไปนะแสดงว่า ท่านคิดเอา แล้วอยากให้มันเป็นไป อย่างนั้น ท่านก็เชื่อของท่านสนิทใจเลย ไม่ใช่ท่าน ปั่นน้ำเป็นตัวถ้าเราต้องทำงานกับคนอย่างนี้ แล้วเราไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่า จริงๆแล้ว ไม่ใช่ว่าเขามีนิสัยชั่วร้ายเลว ทรามหรืออะไรหรอก เราจะได้ทำใจให้สบายได้ แล้วมีแรงที่จะเตือนเขา ติงเขา หรือทำความเข้าใจกัน หรือ ถ้าเรารู้ล่วงหน้าว่า เขาจะเกิดอาการอย่างนี้ เราจะได้ หาทางป้องกันได้ทัน อาจจะรีบทำบันทึกเตือนความ จำไปยื่นให้ท่านเสียก่อน แล้วไปนั่งข้าง ๆ คอยบอกว่า อาจารย์คะ อย่างนั่นะคะ หรืออะไร ก็แล้วแต่กรรมวิธีที่เรา จะทำได้แต่อย่าไปโกรธ ถ้าโกรธแล้วเราฆ่าตัวเองชัด ๆ เพราะเราจะต้องโกรธอยู่อย่างนี้ ไม่รู้จบ แล้วไม่มีอะไร ดีขึ้น การโกรธกับเจ้านาย มันสุนทรีย์ที่ไหนกัน มิแต่ ทางพังลูกเดียวครั้งหนึ่งดิฉันเคยมีเรื่องกับผู้อำนวยการนั้นจบไปใหม่ ๆไฟกำลังลุกโชน ยันกับท่านผู้อำนวยการจนกระทั่งท่านยอมรับว่า ที่ดิฉันพูดนั่นถูกทุก ประการ กล่าวคือ ท่านมาเปลี่ยนคำสั่งการรักษาคนไข้ ของดิฉัน โดยไม่บอกให้ดิฉันทราบ และวิธิรักษาที่ ท่านใช้ ก็มีวารสารพิสูจน์แล้วว่าไม่ปลอดภัย ดิฉันยัน จนท่านไม่มีข้อโต้แย้ง แต่ท่านอ้างหน้าตาเฉยว่า ท่าน สามารถแทงเรื่องขึ้นไปที่กระทรวงว่าดิฉันเป็นตัว ปัญหาขัดขืนคำสั่งผู้บังคับบัญชา แล้วท่านก็ท้าดิฉัน ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ประวัติหมอเหวอะหวะเลยรู้ไหม ถ้ามีเรื่อง อะไรเกิดขึ้นเขาก็พิจารณาว่าเป็นคนมีปัญหา ขัดขึ้นคำสั่งผู้บังคับ บัญชา ถ้าย้ายงานไป เขาก็ไม่รับเพราะคนอย่างนี้ใครเขาจะอยากรับ เห็นไหม ถ้ามีเรื่องกับผู้ใหญ่แล้ว เรามีแต่ทางช้าใจ ทุกข์มากขึ้น ถ้าเราจะแก้ความทุกข์ เราก็ต้องแก้ด้วย การที่ ไม่เอาตัวไปซุกหีบ เราต้องพยายามออกไปสู่ ลานโล่ง ๆ จะได้มีทางหนีหลาย ๆ ทาง
ถ้าเราฝึกที่จะใจเย็นเข้าไว้ แล้วคิดว่า อะไรก็ ตาม ที่มันมหัศจรรย์เหลือที่เหตุผลในใจของเราจะมี อธิบายได้ อย่าไปหาเหตุผลมัน ท่านอาจารย์บอกว่ากิเลส่ไม่มีเหตุผล ถ้าใครจะหาเหตุผลของกิเลสให้ได้ก็ต้องเป็นบ้าตายไปเสียก่อน เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามถ้าเรารู้สึกปวดหัว จัดขึ้นมา แล้วมันทุกข์ อ๋อ...กิเลส เป็นอย่างนี้เอง เพราะฉะนั้นเราไม่หาเหตุผลต่อ เรา
เอาสติมารักษาใจของเราไว้ เราก็ค่อย ๆ มองเห็น เหตุผล มองเห็นช่องทางว่า ทำอย่างไรจึงคลี่คลาย สถานการณ์ได้ถ้ากำลังโกรธอยู่ ถึงมีทางเดียว เราก็จะเอาหัว ชนฝา แล้วรุกฆาตเขา ในการรุกฆาต เราก็จะพูดไม่ เพราะ แล้วเราก็ขาดทุน แล้วเราก็ทุกข์ ทุกข์ ทุกข์
เพราะฉะนั้น ทำใจเสียใหม่ อะไรเกิดขึ้น เราไม่ อัศจรรย์ทั้งนั้น เรายอมรับว่า ไม่มีใครเจตนาร้ายต่อ ใคร แต่บางครั้งสติมันตามไม่ทัน ท่านมีงานมาก ท่าน มีตำแหน่งบริหาร ตำแหน่งวิชาการ ตำแหน่งอะไรต่อ อะไรมาก จนกระทั่ง ท่านชักข้อมูลของท่านออกมา ไม่ทัน มันเลยเกิดความสับสนขึ้นได้พอเราคิดอย่างนี้แล้ว พยายามหาเหตุผลที่ เป็นกุศล มาให้ใจของเราสบายขึ้น เราจะได้มองคนใน แง่ดี แล้วมีภูมิคุ้มกันที่จะรักษาอารมณ์เอาไว้ พอเห็น อย่างนี้แล้ว มันก็สนุกที่จะทำงาน ไม่อย่างนั้นพอจะ ไปประชุมกับคนอย่างนี้ เราก็ร้องว่า โอย...ขอยาแก้ ปวดฉัน หรือไม่อย่างนั้น ขอยาระงับประสาท เสร็จ แล้วเราก้แย่เพื่อนดิฉันอีกคนหนึ่ง เวลาที่ท่านเข้าไปประชุม ท่านกลัวจนสยดสยอง ต้องเตรียมยาระงับประสาทเข้าไปด้วย ดีไม่ดี ท่านก็แอบรับประทานเสียหนึ่งเม็ดทีนี้วันหนึ่ง ท่านก็นึก มันก็ก้อนดิน ๆ...ก้อน ดินทั้งนั้น เพราะท่านกำลังฟังเทศน์ถึงว่า ร่างกายคน เราก็ ดิน น้ำ ลม ไฟ ตอนนั้นท่านคง...ใจของท่านคง ดีพอท่านคิดก้อนดิน ๆ ๆ แทนที่ท่านจะไปโกรธ แค้นว่า พูดอะไรก็ไม่รู้ นอกประเด็น ไม่ได้สาระ ท่าน เลยเห็นเป็นก้อนดินจริง ๆ กองอยู่บนแต่ละเก้าอี้ วันนั้นท่านไม่ต้องใช้ยาระงับประสาท แล้วเสร็จออก มา จิตใจของท่านก็สบาย ท่านบอก เออ...ได้ผลแฮะบางทีเราก็ต้องใช้กรรมวิธีอย่างนี้มาช่วยผ่อน คลาย ให้สติอยู่กับใจ แล้วเหตุผลก็ตามมา ทำให้เรา มีวิธีแก้ไขปัญหานั้นไปได้ พอเราทำงานด้วยความรู้สึกอย่างนี้ เราจะรู้สึกจิตใจมีแรงขึ้นช่วงหนึ่งที่ดิฉันยังคิดอย่างนี้ไม่เป็น พอเช้า ตื่นขึ้นมา ดิฉันนึก โอย...เช้าอีกแล้วหรือ นี่เราจะไป เจออะไร ทั้งๆ ที่บางทีวันนั้นทั้งวัน ไม่มีเรื่องอะไรที่ น่าหวาดเสียวเกิดขึ้นเลย แต่ใจมันเหนื่อย พอกลับ ถึงบ้าน รู้สึกเหมือนเราไปทํางานหนักมาทั้งวัน เพราะ อะไร เพราะใจเราไปกังวล ใจเราไปกลัว ใจเราไปคาด คิดเอาไว้ เราทุกข์เพราะความคิดของตัวเราเอง ที่เรา หวั่นวิตกไปแต่พอเราทำใจว่า เป็นไรเป็นกัน เราก็มีสติ ปัญญาอยู่กับตัวเอง ถ้ามองทุกอย่างในแง่ดีแล้ว เราก็ หาทางออกได้ใจก็สบาย ทั้ง ๆ ที่บางวัน ปัญหามีมาก เสียยิ่งกว่าวันก่อนนั้นอีก แต่เราก็ไม่เหนื่อย แล้วเรา ก็ไม่แบกปัญหากลับไปทุกข์ที่บ้าน จนกระทั่งทำให้ คนที่บ้านมาว่าเราว่า เอ๊ะ...คุณนี้ยังไงนะ ลาออกจากงานเสีย ไม่ดีหรือ เออ...กลับมาบ้านแล้วก็ยังเอาที่ทำงานมาร้อนอยู่ที่บ้านอีก เพราะใจมันยังคันไม่หาย เราก็เลยเอากลับมาบ่นต่อ ที่บ้านไม่รู้จบมีนักบัญชีท่านหนึ่ง แต่ก่อนนั้นท่านบ่น ทำไม นะนายชอบให้งานนอกเวลา ท่านก็ต้องทำงาน บางที กว่าจะได้กลับบ้านตั้งสองทุ่ม พอท่านมาทําสมาธิ ฝึก สติเป็น ท่านแอบมากระซิบว่า แต่ก่อนที่นินทาเจ้านาย ไว้ เราเองน่ะไม่ดี เพราะบางทีเวลาที่ดูตัวเลข ใจเรา มันไม่อยู่กับใจ มันแวบไปนิดหนึ่ง มันก็ผิดแล้ว เลข 3 เห็นเป็นเลข 8 เลข 5 เห็นเป็นเลข 3 อะไรอย่างนี้ พอผิดนิดหนึ่ง มันก็ผิดไปเรื่อย พอสติอยู่กับใจ โอกาส ที่จะแวบไป มันก็ไม่แวบ ตกลงเวลาทําตัวเลขมันก็ ถูก ไม่ต้องเสียเวลาทวนหาที่ผิด แต่เดิมบางทีกว่าจะ เสร็จสองทุ่ม เดี่ยวนี้เธอบอก บางวันสามโมงเย็น ก็ เสร็จแล้ว แต่ยังติดศักดิ์ศรีอยู่ ไม่ยอมบอกให้เจ้านาย
รู้ กลัวเจ้านายจะซ้าเติมว่า เห็นใหม.ที่ว่าฉันหฤโหดน่ะ แท้ ที่จริงเธอเองแหละไม่มีสมรรถภาพพอเห็นอย่างนี อีกจุดหนึ่งที่จะโน้มมาใส่ใจ ตัวเองได้คือ มีอะไรเกิดขึ้น แก้ไขที่ตัวเองก่อน พอ มีอะไรเกิดขึ้นปุ๊บ นึกว่าเราผิด หรือว่า มีอะไรที่เราจะ แก้ไขอย่าไปคิดว่าคนโน้น ๆ ต้องแก้ไข ไม่อย่างนั้น พอมีอะไรเกิดขึ้นบุ๊บ เราต้องบอกว่าฉันไม่ผิดที่จริงไม่ใช่ว่า เราจะเอาความผิดไปป้ายให้คน อีน แต่ด้วยสัญชาตญาณของการป้องกันตัว เราต้อง การที่จะให้เราพ้นจากมลทิน เราก็หาข้อแก้ต่างมา อธิบายว่า ฉันไม่ได้ทำนะ ไอ้อันนั่นน่ะ แต่คู่กรณีเรา ฟังแล้ว มันกลายเป็นว่า เราเอาความชั่วไปป้ายให้เขา ก็เกิดความขัดข้องกันขึ้น แล้วดีไม่ดี เลยกลายเป็น ชิงดีชิงเด่นกัน หรือว่าแตกร้าวกัน ในที่ทํางานที่เป็นปัญหากันขึ้นมา มักเริ่มต้นด้วยสาเหตุแค่นี้ถ้าเรายึดหลักว่า พอมีอะไรบกพร่องเกิดขึ้น เราแก้ที่ตัวเราก่อนถึงเราไม่ผิด แต่เราก็ยังไม่ได้ดีสูงสุดเพราะฉะนั้นการคิดแก้ไขตัวเอง ทำให้เราได้เรียนรู้เพิ่มขึ้น ถ้าไม่มีเรื่อง เราก็ยังไม่ขวนขวาย หาช่องทาง ปรับปรุงตัวเอง เพราะยังไม่เห็นความจำเป็น แต่เมื่อ ความจำเป็นเกิดขึ้น เราก็พยายามเอาสั่งนี้มาเป็นหินลับสติปัญญา เราก็ฉลาดเร็วขึ้น เพราะความจำเป็นบังคับขณะเดียวกัน ใจของเราก็เป็นกุศลกับเขา ไม่ อย่างนั้น เราไปหมั่นไส้เขา ของแค่นีก็ทำบกพร่อง พอคิดอย่างนีเป็น เราก็ขอบคุณเขา เออ...ถ้าเขาไม่ ทำบกพร่องขึ้นมา เราก็ไม่บังคับตัวเอง จนกระทั่งมองเห็นช่องทางที่ดีขึ้นไปกว่าเดิม ตกลงด้วยวิธีนี้ ถึง เขาจะทําให้เราเดือดร้อน เราก็มองเขาในแง่ว่า เขา เป็นครูที่คนเราเตือนกันไม่ได้ผล ไม่ใช่ว่า เขาจะดึงดื้อถือรั้นเป็นบัวประเภทที่สี่ แต่เพราะเราเอาอัตตา ออกมาห้าหันกันโดยไม่รู้ตัว เป็นต้นว่า พอเขาเห็น ข้อบกพร่อง ก็มาขอให้เราช่วยแก้ไข แทนที่เราจะอยู่ กับปัจจุบัน ช่วยแนะนำแก้ไขไปตามเหตุปัจจัย สติ ที่ไม่ได้ฝึกจนรู้เท่าทันการกระเพื่อมของใจ ก็ปล่อย อัตตาที่ใหญ่คับจิตไร้สํานึกให้เต้นออกไป ฟื้นฝอยหา ตะเข็บว่าเห็นไหม ผิดปากฉันไหม ถ้าฟังกันแต่ตอนโน้น ก็ไม่ต้อง เสียเวลาเสียงานเสียการอย่างนี้ ฉันบอกแล้ว บอกแล้วที่เดียวเชียว ก็ไม่เชื่อตกลงเขากำลังตั้งใจมาดี ๆ เลยช่างหัวมันละวะ ไม่เอาแล้ว เราจะโง่เซ่อของเราอย่างนี้ต่อไป มันก็ เกิดทิฐิขึ้นมา แล้วเอาทิฐิต่อทิฐิมาชนกันเข้า ตกลง ร้อนอีกตามเคยพอเห็นอย่างนี้แล้ว จับได้ว่า เราจะพยายามไม่ ให้ใจหวั่นไหวไปตามโลกธรรม พยายามที่จะเห็น ทุกอย่างในแง่ดี แล้วคอยบีบละลายอัตตาของเรา ลงไป มีอะไรเกิดขึ้น แก้ที่ตัวของเราเป็นประการ แรก การทํางานของเราก็จะมีความสุข แล้วของที่ เห็นว่าเป็นปัญหา ของที่แก้ไม่ได้ ก็จะเป็นของที่แก้ ได้ ของที่แก้ยากลำบากก็จะกลายเป็นของที่ง่ายดาย ในที่สุดปัญหาทั้งหลาย สลายตัวไป แล้วทุกคนก็เป็น มิตรต่อกัน อย่างนั้นมันก็ร่มเย็น แล้วก็สนุกเราก็ทำงานด้วยความรู้สึกว่า มันไม่ใช่งาน เพราะ มันสนุก มันจะบรมสุขจริง ๆ ไม่อย่างนั้น บางที่ต้อง กัดฟันทำ เพราะยังหางานใหม่ไม่ได้ มันก็เลยเป็นการ ทำร้ายตัวเองโดยใช่เหตุดิฉันหวังว่าพวกคุณคงได้ข้อคิดเหล่านี้ไปทำ ให้ชีวิตของคุณมีความสุขมากขึ้นจะมีตัวอย่างอะไรเพิ่มเติม หรือมีปัญหาอะไร ไหมคะ ถ้ามีก็เรียนเชิญค่ะ ดิฉันแน่ใจว่า อาจจะมี ตัวอย่างที่สนุกกว่าตัวอย่างของดิฉันเยอะแยะก็ได้
ถ้าเราปฏิบัติชีวิตของเราอย่างนี การทำงาน ของเรา จะไม่สูญเปล่า เพราะมีหลาย ๆ คนข้องใจว่า อยากปฏิบัติธรรม แต่ไม่มีเวลา ยังมีครอบครัว ยังมี ภาระ จริง ๆ แล้ว พระพุทธองค์ไม่เคยจำกัดเลยว่า การปฏิบัติธรรม เป็นการต้องทิ้งโลกกายเป็นเรื่องของโลก เพราะกายเราได้มาจากใข่ของแม่กับเชื่อของพ่อ ซึ่งเป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ แต่ ใจของเราที่เป็นธาตุรู้ เป็นนามธรรม มันเป็นภาชนะ ที่จะรับธรรมะเข้ามาใส่ตัวเอง เพื่อให้สติปัญญาพัฒนา ขึ้นไป จนกระทั่งถึงระดับสูงสุด
ดังที่เรียนแล้วว่า ความสุขเป็นนามธรรม ความสุขเป็นเรืองของใจ ธรรมะเป็นเรืองของใจ ถ้าเรารู้ความ เป็นจริง กายก็ทำหน้าที่ไป กายก็ไปชนกับปัญหาที่ เป็นแบบฝึกหัด ที่เราจะเอามาสอนใจ ฝึกให้มีสติเพิ่มขึ้น ปัญญาเพิ่มขึ้น แล้วเราจะได้เป็นธรรมะมากขึ้น มาก ขึ้นทุกที จนวันหนึ่งใจอันนี้กลายเป็นธรรมะไปทั้งแท่งเพราะฉะนั้น การทํางานไม่ได้เสียเวลาไปเปล่า ไม่ได้เป็นการกดถ่วง ให้เราห่างไกลจากธรรมะหลักฆราวาสธรรมของพระพุทธองค์มีว่าถ้า เราทำงานโดยที่เราจัดใจของเราเป็น พยายามยึดใจของเราเอาไว้กับสติ เพื่อฝึกฝนให้เกิดปัญญา แก้ปัญหาทุกอย่างไปด้วยเหตุด้วยผล ทุก ๆ เวลานาทีที่เราทำภาระหน้าที่ทางโลกอยู่ เป็นการปฏิบัติธรรมทั้งนั้น แล้วใจอันนี้ ก็ได้อาหารไปด้วยแต่เดิมมา เรายังรู้ไม่จริง เราก็รู้ตามที่พ่อแม่ หรือประสบการณ์เก่า ๆ สอนเรา เราคิดเอาว่า อารมณ์ เป็นอาหารของใจ เราไปคิดว่า ถ้าเราจะมีความสุข เรา ต้องได้รับคําสรรเสริญ คนต้องยกย่องเรา เราก็กิน อารมณ์อันนั้น เป็นอาหารหล่อเลียงใจเรา เมื่อไหร่ก็ตามคนเขาไม่ชมเรา เราก็ชักเดือดร้อนวุ่นวายหาข้อพิสูจน์ แล้วเราก็ตกเป็นทาส เพราะว่าเราเอาความสุขของเรา ไปขึ้นอยู่กับความเสน่หาของคนอื่น แล้วเราจะเลี่ยงตัวเราเองได้อย่างไรแต่ถ้าเรารู้ว่า ใจของเราสามารถกินอาหาร คือ เหตุผล คือเหตุผลนะคะ เราไม่กินอารมณ์แล้ว เรา กินความคิดที่เป็นเหตุผล ตกลงเราก็ทำอย่างเดิม ชีวิตของเรา เรามีความพากเพียรกันอยู่แล้ว เรามี ความตั้งอกตั้งใจดี ที่จะแสวงหาคุณงามความดี แต่เรา พลาดไปนิดเดียว เราไปคิดว่า คุณงามความดีอันนี ขึ้นอยู่กับประกาศนียบัตรจากโลก โลกธรรมที่เขาจะ รับรอง ตกลงเราก็หันทิศผิทีนี้เราหันทิศใหม่ ยึดตามคําสอนของพระพุทธเจ้าว่า ถ้าเราจะทำใจของเราให้เป็นสุข เราต้องเดินไปบน มรรค เราก็เลี่ยวไปด้วยสติ พอเลี้ยวไปด้วยสติปุ๊บใจ จะแฉลบคิดตามอารมณ์ว่า โอย...นี่เขาสรรเสริญเรา หรือเปล่า เหตุผลก็ขึ้นมาหักล้างพระพุทธเจ้าตรัสแล้วว่า กาลเวลาจะเป็นเครื่อง พิสูจน์บุคคล ผลของงานต่างหากที่จะพูดดังยิ่งกว่า เสียงสรรเสริญ หรือนินทาของคนอื่นก็เมื่อเรามีเหตุมีผลถ่องแท้อย่างนี้แล้วทำไม จะต้องหวั่นไหวด้วย เพราะฉะนั้นหนักแน่นเข้าไว้ ใจ เราก็มุ่งมั่นไปในทิศทางที่อยู่บนมรรค มันก็สงบแรก ๆ มันก็ยังไม่แน่ใจ เพราะเหมือนเด็กเพิ่ง สอนเดิน พอไปเจอพื้นขรุขระหน่อย ก็ทําท่าว่าจะทรง ตัวไม่ได้ จะล้ม ก็อย่าไปกลัวที่จะล้ม เพราะคนที่ไม่ เคยทำผิด คือคนที่ไม่ทำอะไรเลยถ้าใครบอกว่า ฉันไม่เคยทำอะไรผิด ไม่ต้องไป ตกใจ ไม่ต้องคิดว่า อุ้ยต๊ายตาย เรานี่แย่ ตรงกันข้าม คนที่ไม่เคยทําอะไรเลย ละเลงขนมเบื่องด้วยปากวัน ยังคำเพราะฉะนั้นเราไม่นับเป็นพรรคพวกของเรา เรา เป็นประเภทคนทำจริง เราก็ต้องมีที่ผิด ถ้าไม่มีที่ผิด เราจะเอาตรงไหนมาเป็นแบบฝึกหัด เพื่อลับสติปัญญา เราได้พอรู้อย่างนี้แล้ว ใจเราก็ค่อย ๆ มีกำลังขึ้น พอ จะหวั่นไหวไปตามความขาดสติและอารมณ์ที่มาดึงเรา ไป เราก็จะฉุกคิดขึ้นได้ แล้วก็ตั้งต้นใหม่ตกลงเราทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ใจเราก็เป็นธรรมะ เข้าไปเรื่อย ๆ พอจบจากหน้าที่ความรับผิดชอบ อาจ จะด้วยเกษียณอายุ หรือเรามองเห็นว่าเราอิ่มเสีย แล้วอาหารจานนี่ เราก็เลิกไม่กิน ไม่มีใครมาบังคับเรา ได้ เราเป็นนายตัวเราท่านอาจารย์บอก... ชีวิตของคนเรา เราจะเลือกทำอย่างไร มันขึ้นอยู่กับใจ ถ้าเมื่อไรใจเราอิ่มกับสั่งที่ อยู่ตรงหน้าแล้ว เราก็มีสิทธิที่จะตัดเส้นทางใหม่ไปได้ แต่ถ้าเรายังไม่อิ่ม แล้วเราหลอกตัวเอง เรายืดตัวเอง เราไปไม่รอดคนบางคนผิดหวัง ก็เลยหันไปปฏิบัติธรรม พอ ไปปฏิบัติ มันก็ไปปฏิบัติกิเลส ใจอันนั่มันก็คือใจอัน เดิม เพียงแต่เราย้ายลานบ่น ตอนแรกเราทำงาน เรา เบื่อตุ๊กตาในลานนี้ เราก็ย้ายลานไปวัด แต่ใจมันก็ใจ อันเดิม เพราะฉะนั่น เราไปเล่นตุ๊กตาใหม่ที่วัด เราก็ เอาใจอันเดิมไปเล่น เป็นต้นว่า เราเคยเป็นคนทำอะไร ต้องเล็งผลเลิศ ถ้าทําแล้วเป็นด้อยกว่าคนอื่น เราไม่ ยอม ตรงนี้เราบังเอิญเบ่งไม่ขึ้น เราก็ย้าย พอเข้าไปในวัด ทำยังไงครั้งหนึ่งค่ะ ก็หน้าลินจิ ทกคนก็คว้านลิ้นจี่ จะไปใส่บาตร ทุกคนใส่จานเล็ก ๆ แล้วก็ถือจานของตัวจะไปถวายพระ เพื่อหวังว่าท่านอาจารย์จะได้หยิบของ ตัวเองใส่บาตร ท่านจะได้ฉันลิ้นจี่ของฉันแน่ ๆดิฉันไม่ทราบว่าทุกคนมีความตั้งใจอย่างนั้น ก็คิดแต่เพียงว่า ก็ลิ้นจี่คว้านเหมือนกันทำไมจะรวม กันเป็นถาดเดียวไม่ได้ พระท่านจะได้ยกไปแบ่งลง บาตรง่ายๆไม่ต้องถือทีละจาน ๆ แล้วก็ลำบากที่ ท่านจะต้องจำว่า จานนี้ไปหมดที่บาตรองค์ไหน แล้ว จะได้ตั้งต้นใหม่ได้ถูกทุกคนไม่ยอมเอาลิ้นจี่ของตนเทลงในถาด หลัง จากที่ดิฉันวิงวอน ก็มีบางคนกัดฟันว่า เอาละเทก็เท แล้วก็เทลงไป คนที่เล็งผลเลิศที่สุดก็เอาปะลงไปข้าง บนด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง เวลาขึ้นไปรับพร ก็เล็ง ว่า ถาดลิ้นจี่เวียนไปถึงท่านอาจารย์ แล้วท่านอาจารย์ หยิบลูกยอดหรือเปล่าที่เรื่องนี้จะเกิดแดงขึ้น เพราะท่านอาจารย์ท่าน คุ้ยลงไปข้างใต้ แล้วหยิบลูกข้างใต้ มาใส่ในบาตรท่าน พอลงจากศาลา ก็ได้ยินเสียงบ่นแหมเราสู้อุตสาห์เอาของเราไว้ข้างบนแล้วเชียว ท่านอาจารย์ก็ไม่หยิบ แล้วเราจะได้บุญได้ยังไงตกลงมันก็แบกความทุกข์ติดใจเข้าไปในวัดแล้วก็เลยหงุดหงิด คับข้อง ที่นี่ต่อไปฉันไม่ไปวัดหรอก เพราะไปแล้วมีแต่ความทุกข์ ท่านอาจารย์ก็ไม่เห็นของที่ฉันอุตส่าห์ ทําใส่บาตร คนอื่น ๆ ก็ร้าย ต้องมาแย่งทําอย่างเดียวกับฉันด้วย อยู่ บ้านดีกว่า ใจจะได้สบายท่านอาจารย์ท่านก็หัวเราะ ฮึๆ ท่านบอก... เอ๊ะ... พูดยังกับว่าหลวงตาเลี่ยงกิเลสไว้เป็นโขลง ๆ แล้วคอยไปจิกคนที่มาทำไมไม่คิดบ้างว่า ไอ้กิเลสน่ะมันก็อยู่ในใจของตัวเอง แต่อยู่บ้านเราเป็นใหญ่ ไม่มีใครกล้าขัดใจ กิเลส ก็นอนก้น เราก็คิดว่า เราใสดีแล้ว พอมาอยู่วัด มีคน เขากระฉอกให้เห็นกิเลสตัวเอง แทนที่จะขอบใจเขา แล้วช้อนทั่ง กลับไปโกรธเขาเรารำไม่ดี ไปโทษปีโทษ กลอง แล้วมาหาว่าท่านอาจารย์ท่านเลียงกิเลส่ไว้จิกคนที่มาวัด ก็แปลกดีเห็นไหมคะ เวลาที่เรามองไม่รอบ มองไม่ถูกต้อง ตามเป็นจริง เรานาทุกข์นําโทษมาให้ตัวเอง แล้ว ก็ไปสร้างหนี้เพิ่มขึ้น เพราะเราไปล่วงเกินวัด ไปล่วง เกินท่านอาจารย์ แล้วคนที่มาเจอกันท่วัดกับเรา เขา ไม่มีอะไรกับเราเลย ใจเราก็กระเซ็นความร้อนในใจไปไหม้เขา เขาไม่รู้เรืองด้วยเลย เขาไม่ได้คิดจะแย่งคว้าน ลิ้นจี่ใส่บาตร ทำไมถ้าเราจะใส่ลิ้นจี่บ้าง เขาจะใส่บ้างจะเป็นไร่ไป เราควรจะดีใจว่า พระท่านจะได้มีลิ้นจี่ แยะ ๆ หรือเรากลายเป็นเทวดา เอาลิ้นจี่มาสับลูกมัน กิ่งอกกลายเป็นร้อยถูกแต่ถ้าเรายังเป็นกิเลสอยู่ คิดอย่างนี้ยาก ตัวเองก็เคยตกม้าตายมาแล้ว คือปกติเวลาเราไปวัด ท่านอาจารย์ท่านจะเอาเครื่องเล่นเทปมาให้เรายืมฟังเทปแล้วเราก็ใช้ถ่านไฟฉายของท่าน ที่น่จะหิวถ่านไฟฉาย จากรุงเทพฯไป มันก็หนัก เวลาที่มีโอกาสได้เข้าไปในเมืองอุตร ดิฉันก็จะซิ้อถ่านไฟฉายติดไปด้วย เพื่อไปถวายคืน เพราะรู้สึกกระดากที่ใช้ถ่านไฟฉายของท่านครั้งหน่ง ก็ซื้อถ่านไฟฉายมาสองกล่อง ยังไม่ได้ ถวายพระ ก็ม่คนอื่น ๆ มาด้วย แล้วก็นั่งคุยกัน คนหนึ่งก็คุยขึ้นมา บังเอิญเห็นถ่านไฟฉายของติฉัน บอกว่า การทำบุญด้วยแสงสว่างเป็นต้นว่า ถวายค่าไฟ หรือเท่ยนไข หรือถ่านไฟฉาย จะได้ปัญญาเรานั่ง ฟังอยู่ดี ๆ อีกท่านหนึ่งเหลียวมาเห็นถ่านไฟฉายของดิฉัน หยิบสตางค์ในกระเป๋าวางลงมาให้คุณหมอ...เอาสตางค์ไปนะคะ ไม่ต้องทอนค่ะ คุณหมออยู่ ในวัด ต้องใช้สตางค์เยอะว่าแล้วก็ยกถ่านไฟฉายสองกล่องของดิฉันไปเลยฉันจะเอาไปถวายท่านอาจารย์แหม่ในใจมัน นื้บ.ขึ้นมาเลยว่าโอ้โฮ... เรื่องอะไรกัน กว่าเราจะหาถ่านไฟฉาย ได้ เราก็ต้องคอยเมือไหร่จะได้มีโอกาสเข้าไปในอุดรแต่สติที่ฝักเอาไว้ มันกระตุกขึ้นมา ถ้าอยู่วัด แล้วเราทำใจอย่างนี้ เราขาดทุน โมทนากับท่านเสีย สติบอกให้โมทนาแต่กิเลสยังดึงอยู่ข้างใน มันรู้สึกว่า โมทนาได้ครึงหัวใจเท่านั้นพอไปเดินจงกรม ดิฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่า ถ้าปล่อยใจ เราให้ขึ้นขี้สนิมอย่างนี้ การปฏิบัติของเรามีหวังพังแน่ก็ถามตัวเอง...เราอยากถวายถ่านไฟฉาย เขาช่วยเอาไปถวายให้ แล้วเราโกรธเขาเรื่องอะไรล่ะ อีกแล้ว... อัตตา อยากให้พระท่านรู้ว่าเราเป็นคนถวาย ท่านจะได้รู้ว่าเราไม่ใช่คนหน้าด้าน ดีแต่ใช้ถ่านไฟฉายของท่าน ซึ่งท่านไม่ได้คิดหรอก เราคิดไปเอง ความที่เราปกป้อง ตัวเอง สงวนตัวเอง กลัวว่าท่านจะเห็นเราไม่ดี อัตตา อีกแล้วพอคิดได้อย่างนี้ ใจก็เบา พอคิดเข้ามรรคแล้วโอย...คราวนีความดีความชอบทั้งหลายตามมาอีกขอบคุณเขาใหญ่เลย ดูซิ เขามาช่วยให้เราเหมือนกับ เราเป็นนางฟ้า เราอยาก...เพียงแต่นึกอยากจะถวาย ถ่านไฟ ก็มีคนเอาถ่านไฟมาถวาย แล้วยังได้สตางค์ไว้ สำหรับไปซ่อของอินถวาย แล้วอย่างนีจะไม่เรียกว่าเรา เป็นนางฟ้าจะเรียกว่าอะไรสำเร็จได้ด้วยใจ สตางค์ก็ ไม่ต้องเสียแต่เมื่อก่อน ทําไมมันไม่คิดอย่างนี้ก็ไม่รู้ มันไป หงุดหงิดพาลใส่ท่าน ทำให้ตัวเองร้อนไปหมด แล้วก็ ร่ำ ๆ จะไปนินทาท่านว่า คนอย่างนี้เข้าวัดมาทำไม มาเหยียบย่าหัวใจของคนอื่นดูซิคะ เห็นไหมว่า แต่ละขณะ ๆ เราอยู่บน ทางแพร่ง ถ้าเราปลิวไปด้วยอารมณ์ เราก็โง่เซ่อเปิดโรง งานผลิตทุกข์ขึ้นมาทับตัวเอง จนกระทั่งแบนแต็ดแต๋ หาทางออกไม่ได้ แต่ถ้าสติตามมาทันปุ๊บ บุญกุศล ไหลมาเทมา ไม่ได้อยากหามันก็ตามมา เพราะตอนแรกยังนึกไม่ถึงว่า จะคิดไปได้ว่าเราเป็นเทวดา ดูเถอะ พอทำถูกเสียอย่าง ดอกเบ่ยมันงอกออกมาเอง เป็น ทิวเป็นแถวไปหมดเลยพอฝึกแล้ว เราเห็นผลอย่างนี้ทีไร ทีหลังพอสติจะเผลอ มันจะมีแรงคอยกระตุกเอาไว้ ให้คิดไตร่ตรอง จนได้ปัญญา พอได้ปัญญาแล้ว ปัญหาจะจบสิ้น แล้วมันจะได้แต่ความเมตตา และความร่ม เย็น เป็นใจที่ผาสุกทุกครั้งไปวิธีนี้ไม่หวงค่ะ ยกให้ทุกคน ๆ. ทุกคนเอาไป ฝึกได้ เมื่อฝึกแล้วจะเห็นผล รับรองไม่มีใครเลยที่ฝึก แล้วจะบอกว่า เอ๊ะ...วิธีนี้ชอบกลอยู่ ไม่ให้ผล รับรอง ค่ะ ทุกคนฝักแล้วมีผลเสมอกันบางคนปัญญาไวกว่าดิฉัน อาจจะคิดแล้วเป็น บุญทบสองทบ สามทบสิบทบนะคะ เป็นทวีคูณก็ได้ ท่านบอกแล้วว่า ไม่มีแสงสว่างอะไร ที่จะยิ่งกว่า แสงสว่างของปัญญา แล้วปัญญาอยู่ที่ไหนกิเลส มันหายไปหมด เพราะมันเป็นเงา แต่ถ้าเราอยู่ใน แดนสนธยา โอ.กิเลสตัวมันอ้วน แล้วเงามันก็หลอกให้เราสับสนจนกระทั่งหลงตามมันไป

ไงคะ จะมีใครใจดีเล่าประสบการณ์ของตัวเอง นฟังบ้าง เชิญค่ะ
ถาม : ผมขอเรียนถามว่า สมมติว่าเราจะใช้วิธีการที่ คุณหมอกรุณาแนะนํานี่นะครับ ถ้าคิดอีกแง่หนึ่ง จะไม่เป็นการส่งเสริม หรือให้โอกาสแก่คนที่ทํา ไม่ดี ทํากันมากขึ้นอีกหรือครับ อย่างกรณีถ่าน ไฟฉาย เขาอาจไปทํากับคนอื่นอีกหลายคน แล้วนาน ๆ ไปคุณธรรมก็เสื่อมลงเรื่อย ๆ ซิครับ
ตอบ : พอใจเราดีแล้ว อย่างที่ดิฉันคิดได้ในทางเดินจงกรม เราก็กลับมาหยิกแกมหยอกเขา หรือสอน เขาได้ แต่ถ้าใจเรากําลังร้อน มีอยู่ทางเดียว เรา ต้องแก้ที่ใจเราให้ได้ก่อน เพราะถ้าเราไปแก้เขา ตอนนั้น ใจเรากระด้าง เขารับไม่ได้ เพราะใน ฐานะอย่างนั้น เขาเข้ามาทำบุญ แล้วเขากำลัง หิวบุญ เขาไม่เห็นเลยว่า ที่ทําอย่างนั้น เขาทำให้เราโกรธ เพราะมาแย่งชิงของ ๆ เราไป
ถ้าเราเข้าไปนั่งในหัวใจเขาได้ เราจะเห็นเลยว่า เขาบริสุทธิ์ เขาคิดว่าเราอยู่ที่วัด และก็ซอมซ่อ เหลือเกิน การที่อยู่ดี ๆ มีคนมาช่วยชื่อถ่าน ไฟฉายไป แล้วยังแถมสตางค์ทอนให้ เป็นการ
ที่เขาทำบุญกับเราครั้งแรกที่ดิฉันได้รับคําอธิบายอย่างนี ดิฉันรู้สึก หน้าชาว่า โอ้โฮ...เราอนาถาถึงขั้นนีแล้วหรือ อัตตาขึ้นมาอีกแล้ว ดิฉันเลยทำใจว่า ทุก ๆ แบบ ฝึกหัด เขามาช่วยทำให้เราเห็นว่า อัตตาของเรายังหนาอยู่แค่ไหน แล้วเราก็ได้ดิบได้ดีขึ้นแรก ๆ ทีสติยังตามไม่ทัน พอมีคนทำทำนองนี้มันวื้บ.ขึ้นมาในใจ เอ๊ะ...เห็นเราเป็นอะไร เรา ไม่ได้อยากได้สิ่งที่เขายัดเยียด แล้วอ้างว่า...เขา เอาบุญมาให้เราห็นไหมคะ วิธีคิดของคน มันแล้วแต่ภูมิหลัง แล้วแต่ใจที่ปรุงคิดไปท่านจึงบอก...สังขารจิตของคนเรานี้ ถ้าเราคิด ให้เป็นมรรค มันก็ได้ประโยชน์ ถ้าคิดให้เป็นกิเลส มันก็มีแต่จะที่มแทงเรา แล้วทําให้เราร้าว ฉานกับคนอื่นถ้ากำลังโกรธอย่างนั้น เราก็ไปโยนสตางค์ใส่ท่านซึ่งในกรณีนี ท่านเป็นถึงศาสตราจารย์คุณหญิง และดิฉันก็เลือมใสท่านมาก แล้วอยู่ดี ๆ ดิฉันซึ่งเปรียบเหมือนลูกหลานท่าน ก่อนหน้านี้ก็ เคยเรียนท่านว่า ดิฉันชื่นชมท่านอย่างไรบ้าง แล้วอยู่ดี ๆ ก็ลุกขึ้น เอาสตางค์โยนใส่หน้าท่าน แล้วว่า... ไม่เอา เอาถ่านไฟฉายของฉันคืนมา อะไรทำนองนั้น หรือบอกว่า อะไรกัน อาจารย์ มาทำร้ายหักหาญน้ำใจดิฉัน ท่านก็ต้องเสียใจตกใจแล้วดีไม่ดี ท่านอาจคิดว่า ตายแล้ว...ถ้า คนเข้าวัดนาน ๆ เป็นอย่างนี้ เราเลิกเข้าวัดดี กว่า เพราะเรามีธรรมะมากกว่าای เห็นไหมคะ มันมีแง่ที่คิดได้ต่างๆ กัน แต่ถ้าใจ เราใสแล้ว เราไปพูด บัวไม่ชั้าน้ำไม่ขุ่น เราอาจจะบอก...อาจารย์คะ ดิฉันก็หัวบุญเหมือนกันนะคะอาจารย์ พูดอย่างนี้ ก็มีทางสะกิดให้ท่าน ได้คิด แล้วท่านก็นึก.ต๊ายตาย ไม่ทันนึกเลย พอเป็นอย่างนี้ เราก็จูงเขามาคลําขาช้าง เขาก็ จูงเราไปคลำหางช้าง มันก็ได้ด้วยกันทั้งคู่ท่านจึงว่า ถ้าเมื่อไรก็ตาม เรายังสอนตัวเองไม่ ได้ ทำไม่ได้ แล้วไปสอนคนอื่น อัตตาต่ออัตตมันชนกันเวลาที่ท่านอาจารย์สิงห์ทองถล่มดิฉัน ดิฉันเคยแปลกใจตัวเองเหมือนกันว่า ทําไมดิฉันรับได้ครั้งแรกที่เข้าวัด ท่านอาจารย์เอาดิฉันหนัก คือจะจี้ให้เห็นว่าอัตตาของดิฉันมันอ้วนแค่ไหนตอนแรกที่ไป เราก็รู้ว่ายังปฏิบัติไม่ดี ท่านลงมา เทศน์ให้ที่โรงครัว ซึ่งเป็นส่วนผู้หญิงพออยู่ไป สักอาทิตย์หนึ่งท่านให้เณรมาบอกว่า คํานี้ท่านจะเทศน์ที่ศาลา เทศน์ให้พระฟัง ขอเชิญเพื่อนกับดิฉันขึ้นไปฟังได้ ใจมันก็ฟูนะคะว่า โอ้โฮ...เรา คงปฏิบัติเข้าท่าแล้ว ท่านจึงอนุญาตให้ไปฟังเวลา ที่ท่านเทศน์พระได้ พอไปถึงพระท่านยังมาไม่ครบท่านก็ชวนคุย เป็นยังไงอยู่ที่นี่สบายไหม ยังไงอะไรต่ออะไร แบบแขกไปถึงบ้านก็เป็น ห่วงเป็นใย
แล้วท่านก็ถาม ไง...หมอมาอยู่ที่วันแล้วดิฉันก็นับ...เจ็ดวันเจ้าค่ะท่านก็ถามว่า เออ...แล้วปฏิบัติไปถึงไหนแล้ว จัตรวมเป็นสมาธิหรือยังตอนนั้นดิฉันไม่แน่ใจว่า เอ.จิตของเราที่มันแปลก ๆ นี่มันเป็นอะไรกันแน่ เพราะท่านไม่สอนนี่คะ ท่านท้าทายดิฉัน พอไปถึงวันแรก ท่านบอกว่า
ไอ้การทำสมาธินี่นะ มันง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากอีก อาจารย์เองก็ไม่เคยเรียนหมอมา เมืองนอกก็ไม่เคยไป อาจารย์ ยังทำได้เพราะฉะนั้นหมอจะทำวิธีใหนก็ทำเถอะ พอเป็น สมาธิแล้ว ค่อยมาพูดกัน แล้วท่านก็ไม่สอนดิฉันก็ไปถามเพื่อนที่ไปด้วยกันว่าทำยังไง เขาก็อธิบายให้ฟังว่า เวลาที่บริกรรมไปแล้ว พอจิต จะรวม มันจะมีความรู้สึกว่า ข้างในของเรา เคลื่อนเหมือนลงลิฟท์เก่า ๆ แล้วมันก็จะหยุด ตึ๊ก....นั่นแหละ ตรงนั้นแหละ จิตรวม ดิฉันก็คอยซิคะ เอ...มันไม่เห็นจะตึกสักที ไปถามท่าน ท่านก็บอก อ้าว...ตัวเองเป็นคนกิน แล้วไม่รู้ว่าอิ่มหรือยัง มาถามอาจารย์ อาจารย์ จะไปตอบได้อย่างไร คือท่านไม่ยอมตอบ ให้เราไปคิดเอาเอง เราก็กำลังกังวลว่า เอ...มันใช่ หรือไม่ใช่คราวนี้กลางศาลา ท่านก็รุกฆาต ไง...มิตรวมเป็น สมาธิแล้วยัง ดิฉันไม่แน่ใจ จะไปซักท่านกลางศาลา ก็อายก็ส่ายหน้าว่า...ยัง ท่านก็แผดเสียงขึ้นไปลั่นศาลา เลย ต่อหน้าพระเณรตายแล้ว...มาอยู่วัดตั้งเจ็ดวัน เสียข้าวสุกปลาตายชาวบ้าน ที่อาจารย์เหนื่อยยากไปบิณฑบาตมาเลี้ยง ไม่ได้เร็องได้ราวเลยถ้าทางโลก ใครมาว่าดิฉันอย่างนี้ดิฉันลุกขึ้นทะเลาะวิวาทด้วยได้เลย แต่ความรู้สึกตอนนั้นมันรู้สึกชา จะว่าโกรธก็ไม่ใช่ แต่รู้สึกว่าถ้าศาลาแยก แล้วตัวเราสามารถถูกแผ่นดินสูบหายไปได้ ก็จะดีใจหาน้อยไม่ แต่ก็แปลกพอมองใจตัวเอง มันก็ไม่ได้โกรธแค้นอย่างที่คิดว่าควรจะเป็นเมื่อมีกรณีพิพาททางโลกกับคนอื่นนี่ละค่ะ ตรงจุดนี้ทำให้ดิฉันได้คิดอย่างที่เรียนอาจารย์เมื่อกี้นี้ว่าเพราะใจของท่านไม่ อัตตาที่จะมาถล่มทลายดิฉัน ไม่ได้ทำเพื่อฉีกหน้าให้ดิฉันอับอาย แต่ท่านเอาอันนี้เป็นวิธีสอนถ้าท่านเทศน์ว่า...นี่นะหมออัตตาของหมอยังหนา เหลือเกิน ดิฉันก็จะนึกในใจ มันหนาแค่ไหนกัน แล้วเราก็คิดเอาเอง อย่างที่กิเลสเสี่ยมสอนให้ เราคิด ตกลงเราก็ไม่เห็น แล้วเราก็ไม่รู้แต่พอท่านทำอย่างนี้ มันรู้เลยว่าในใจที่ปั่นป่วน เป็นทะเลบ้านี่ มัน...เรายังอ้วนอยู่แค่ไหน แล้วถ้าเราจะไปกำราบมัน เราจะกำราบมัน อย่างไรพอเมื่อไรก็ตาม เราชนะศึกในใจเราแล้ว ทีนี่เรา จะถล่มเขา เราจะว่าเขา เราจะสอนเขา เอาไห้ร้ายยิ่งกว่าท่านอาจารย์ ก็ไม่มีข้อห้าม ไม่ใช่ว่า เรามาปฏิบัติธรรมแล้ว เราต้องเมตตาจนกระทั่งโจร เต็มโลก ไม่ใช่นะคะ เรายังดุ ลงโทษผู้ใต้บังคับ บัญชา หรือลูกน้อง ลูกศิษย์เราได้ แต่ว่าเรา ต้องดูที่ใจเราก่อนว่า มันไม่ใช่เพราะ...อยาก อวดดีนัก เพราะฉะนั่นเอาเสียให้แสบเลย ถ้า อย่างนีละก้อ ต้องหยุดค่ะ
ถาม : ถ้าเราจะปฏิบัติธรรมนะคะ แล้วเราต้องเจอผู้ บังคับบัญชาที่ทำงานด้วย แล้วรู้สึกว่า ถ้าทำ ด้วยเราจะทุกข์ เราขอออกจากกลุ่มที่ทํางาน ด้วย พอออกมา เรารู้สึกว่า เอ๊ะ...เราเห็นแก่ตัว หรือเปล่าที่ออก แล้วเราจะทำอย่างไร ให้เขารู้ ตัวว่า เราไม่มีความพึงพอใจ แต่ก็ยังอยากช่วย ทำงานอยู่ แต่ท่านไม่ฟังเราเลย เราก็มีทิฐิมานะ เหมือนกัน อยากให้ท่านฟังเราบ้าง ก็เลยเอา
อย่างนีดีกว่า ถ้ายังเป็นทุกข์อยู่ก็ถอนตัว ไม่ขอทำงานนั้นขอทำงานอื่น แล้วจะทําอย่างไรให้มีความรู้สึกว่า เราไม่ได้เห็นแก่ตัว
ตอบ : ดังที่ดิฉันเรียนแล้วว่า ร่างกายของเรามีหน้าที่
ความรับผิดชอบ หรือถ้าจะว่าไป เรามีหนี้ หนี้เก่า หนี้เก่าก็คือผลที่เราได้ทำไว้ในอดีต การที่อาจารย์ต้องมาทำงานที่ตรงนี้และมีเจ้านายคนนี้ อาจารย์กับเจ้านายก็มีอะไรที่ค้างชำระกัน อันนี้เป็นความจริงที่พอมาปฏิบัติธรรมแล้วมันจะเห็นขึ้นมาในใจ ตอนนีเอาเป็นว่า อาจารย์ยอมรับตรงนี้ก่อนเมื่อมันเป็นอย่างนี้ แล้วเราก็ตั้งใจไว้แล้วว่า เรา จะเดินบนถนนสายนี้ คือเราจะปฏิบัติธรรม ถ้า ใจของอาจารย์ยังคิดว่า เอ๊ะ...การที่เราลาออกมานี่ เห็นแก่ตัวหรือเปล่า อันนีเป็นข้อพิสูจน์ยืนยันเลยว่า หนี้เรายังไม่หมด เราจึงรู้สึกเดือด ร้อนใจอย่างนี้ ถ้าหนึ่หมดแล้ว เราจะไม่รู้สึก อย่างนี้เลย ออกมาแล้วใจเราจะร่มเย็น เหมือน อย่างที่พระพุทธองค์ตรัสสอนพระอานนท์มีอยู่คราวหนึ่งที่พวกเดียรถีย์ จ้างคนให้ไปด่าว่า แล้วก็ขว้างปาพระพุทธเจ้า เวลาทีท่านไปบิณฑบาต พระอานนท์รำคาญ จึงทูลขอให้พระพุทธเจ้าเสด็จไปเมืองอื่น  พระพุทธเจ้าตรัสถาม... อานนท์ แล้วถึงผู้คนเมือง นั้นเขามาด่าว่าเราอย่างนี้อีก จะทำอย่างไร
ย้ายต่อ
พระพุทธเจ้าตรัส...ไม่อานนท์เหตุเกิดที่ไหนต้องดับที่นั่น ถ้าเหตุอยู่ที่ในใจ เราต้องดับที่ในใจเราให้ได้
ในกรณีนีอาจารย์ต้องทำต่อไป แต่หาวิธีวางใจ ของเราใหม่ ไม่ไปคิดว่า ทําอย่างไรเราถึงจะบอกเจ้านายว่า ฟัง...ฟังความเห็นของเราบ้างถ้าอาจารย์ไปตั้งเข็มไว้อย่างนั้น อาจารย์จะก่อหนี้เพิ่มขึ้น แล้วจากนั้นไป ก็จะหนีล้นพ้นตัวเพราะใจเราจะไปครูดกับท่านอยู่เรื่อย แล้วก็คิด อกุศลกับท่านแต่ถ้าเราคิดว่า อ๋อหนี้เรายังไม่หมด เพราะฉะนั้น เราไม่ใช่คนขี้เหนียวหนี้ เราก็ลูกนักเลงเหมือนกัน เราจะปักหลักใช้ เราก็ดูซิ อ๋อ...ขันติบารมีของเรายังไม่พอ เราถึงได้หงุดหงิดกับกิริยาของท่านอย่างนี คราวนี้เราไม่สนใจท่าน เราจะดูที่ใจเรา แล้วจะแก้ที่ใจเรา เราก็ไม่ ได้อยากเจอสถานการณ์อย่างนี้ แต่ความจำเป็น ทําให้เราต้องเจอ ทำอย่างไรเราถึงจะหมุนมันให้ เป็นหินลับสติปัญญาของเรา ให้เราเกิดความ อดทน ให้เราเกิดความเยือกเย็น จนสามารถฟัง วิธีของท่านเมื่อท่านเป็นหัวหน้า ถึงเราจะเชื่อว่า ความคิด ของเราที่เสนอไปนี ดีกว่าวิธีของท่าน แต่ความ รับผิดชอบไม่ใช่ของเรา เราไม่มีอำนาจที่จะ เลือกตัดสัน เราก็ต้องเคารพความเห็นของผู้ บังคับบัญชาของเรา เกมนีเป็นเกมของท่านเราก็ต้องปฏิบัติตนเป็นลูกน้องที่ดี คือรับมาทำแล้วก็ต้องทำใจให้ลืมข้อเสนอของเรา ศึกษากรรมวิธีที่ท่านให้ทำ แล้วก็ทำด้วยความเต็มใจ แล้วดซิว่า ผลจะออกมาเป็นอย่างไรถ้าออกมาแล้ว มันบกพร่อง เราก็ลองไปเสนอ ท่านอีกว่า นี่นะคะทําไปแล้วมีผลอย่างนี้ ต่อไป มันจะเสียหายอย่างนั้น ๆ ที่ดิฉันเรียนไว้ ผล จะดีกว่าอย่างนี้ ๆ ท่านอาจอนุญาตว่า เออ...ทำไปตามวิธีของคุณก็ได้ เพราะตอนนี้ใจของเราไม่ได้ท้าตีท้าต่อยกับท่านแล้วครั้งแรกที่อาจารย์บอกว่า แผนของอาจารย์ดีกว่าของท่านนั้น ใจของอาจารย์ชนกับใจของ ท่านเต็มแรงเลย อาจจะขวิดท่านไส้ไหลไปแล้ว ก็ได้ เพราะใจมันยืดนิ ท่านเองท่านก็ยึดแบบเดียวกับเจ้านายดิฉัน ที่บอกว่า ถึงเหตุผลของดิฉันจะถูก แต่ท่านจะบอกว่า ดิฉันเป็นตัวปัญหาขัดขืนคำสังผู้บังคับบัญชาคนเรา โดยไม่รู้ตัว มันเอาอัตตาต่ออัตตามา ขวิดกันอยู่ตลอดเวลา แต่ก่อนใครมาบอกดิฉัน อย่างนี้ ดิฉันไม่เชื่อนะคะ ดิฉันแย้ง เป็นคนมีเหตุผลจะตายไป แต่พอมาปฏิบัติธรรม แล้ว รู้เลยว่า ขวิดเขาแล้ว ก็ยังไม่มีสติรู้ว่าขวิด แล้วยังไปบอกอีกว่า ฉันสุภาพเรียบร้อย อยู่กับ เหตุกับผลถ้าจะปฏิบัติต้องทำอย่างนี้ ทำจนใจอาจารย์เบา สบาย แล้วคราวนี้ก็จะตรงกับคําตรัสของพระพุทธเจ้าที่ว่า ถ้าตรงไหนเป็นพาล เรามีสิทธิ์จะหลีกไปร้อยโยชน์พันโยชน์ พาลในที่นี้ หมายถึง คนที่ไม่มีเหตุผลพาลปัญญาคือ ปัญญาที่ขาดสติ ปัญญา ไม่ได้หมายความว่าอันธพาล อาจารย์เห็นด้วยไหมคะ
ถาม : ขอเรียนถามท่านอาจารย์ว่า จิตที่ฝึกติแล้วกับ จิตที่ยังไม่ได้ฝึก ในฐานะผู้บังคับบัญชา เรา ออกคําสั่งกับลูกน้อง ผลงานที่ออกมาอาจจะ ได้คล้าย ๆ กัน แต่ผลที่ได้ในแง่ความสัมพันธ์ ทางใจจะเป็นอย่างไร อาจารย์จะกรุณาคาดหวัง ให้พวกเราฟังได้ไหมคะว่า ผลมันจะแตกต่างกัน อย่างไร
ตอบ : มันจะมีผลแตกต่างกันมาก ถ้าเราสามารถดับความโกรธได้จริง ๆ ไม่ใช่ข่มและกดเก็บนะคะใจของเราจะเป็นใจที่ยอมรับฟังปัญหาของผู้ใต้บังคับบัญชา ถ้าเขาผิดเราก็ลงโทษไปตามเนื้อ ผ้า ลูกน้องที่เคยมีปัญหา เคยดื้อดึง จะยอมรับ โทษทัณฑ์ของเราโดยไม่มีข้อแม้ มากขึ้นกว่า เดิมอันนี้มีตัวอย่างมาแล้ว รองคณบดีท่านหนึ่ง ปฏิบัติภาวนาเป็นกิจวัตร ท่านมีเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็น ยาม เวลาอยู่เวรชอบแอบเอาเหล้ามากินในสถาน ที่ราชการ แล้วมีเรื่องอยู่เสมอ พอถูกเจ้านาย เรียกมาตุ ก็จะเถียง แล้วคงประพฤติเช่นนั้นต่อไปเรื่อย ๆคราวที่เกิดเหตุ ท่านบังเอิญเป็นคนรับผิดชอบ ยามคนนี้ก็เอาเหล้ามากินในสถานที่ราชการ เสร็จแล้วก็เกิดเหตุ ทะเลาะกับเพื่อนยามซึ่ง อยู่สถานที่ราชการข้าง ๆ แต่คนละสังกัดกัน โดยเข้ามากินเหล้าด้วยกัน แล้วเกิดพูดผิดหู ก็เลยเอามีดแทงเขา ถึงต้องส่งโรงพยาบาล แล้วก็มีคดีกันขึ้นมา
พอท่านรองคณบดีทราบเรื่อง ท่านโกรธมาก ขณะที่โกรธท่านก็นึก ถ้าท่านไปพูดอะไรตอนนี้ มันจะยิ่งแย่กันใหญ่ ท่านก็เลยระงับเรื่องไว้ ก่อนแล้วเฝ้าดูใจตนเองจนกระทั่งวันรุ่งขึ้น ท่านเห็นว่า ใจของท่านเมตตาเขาได้แล้ว ท่านก็เรียกเขาขึ้นมาพบท่านถามเขาว่า...รู้หรือเปล่าว่าตัวเองมีความผิด
อะไรบ้าง ครั้งแรกเขาฮีดฮัด ท่านก็ชี้แจง...เขา ถูกภาคทัณฑ์มากีครั้งแล้ว ความผิดครั้งนี้เขา จะต้องถูกไล่ออก ถ้าท่านไล่เขาออก เขาเห็น สมควรไหม เขาก็ยอมรับว่าสมควร ท่านถามว่า... จะให้ท่านทําอย่างไรกับเขา เขาก็บอกว่าเขาผิดจริงเพราะฉะนั้นถ้าท่านจะไล่ออก เขาก็ต้องยอมให้ไล่ออกท่านก็ถามว่า...เขามีอะไรจะพูดบ้างไหม เขาว่า... ถึงเขาพูด ท่านก็คงไม่เชื่อเขา เพราะพูดที่ไรก็ไม่รักษาคำพูดสักทีท่านเลยว่า...ถ้าท่านจะให้โอกาสเขาอีกครั้ง เขาจะทำให้ท่านกลายเป็นคน เสียคนไหมเขาก้มลงกราบเท้าท่าน แล้วบอก...เขาก็รับปากไม่ได้เพราะไม่ไว้ใจตัวเอง แต่ก็ซาบซึ่งในน้ําใจ ของท่านท่านเลยไม่ได้ไล่เขาออก แต่ภาคทัณฑ์เอาไว้ว่าเขาทำผิดอย่างนี้ ๆ สมควรที่จะต้องไล่ออก เพราะได้สัญญากันไว้แต่ครั้งก่อน แต่เพราะว่า เขาสารภาพผิดทุกอย่าง ตั้งแต่รับราชการมาก็เป็นคนขยันขันแข็ง ประพฤติตัวดี และสำนึกผิดท่าน
เลยให้โอกาสเขาอีกครั้งหนึ่งและหลังจากนั้น เขาไม่เคยเอาเหล้ามากินในที่ทำงานอีกเลย เขาเปลี่ยนเป็นคนที่มีความรับ ผิดชอบ และทําหน้าที่ไม่บกพร่องเลยถ้าใจของเราเป็นธรรมะจริง ๆ แล้ว ย่อมบันดาล ให้สังมหัศจรรย์เกิดขึ้นได้เสมอ แต่โดยมากที่ ไม่ได้ผลกัน เพราะเราข่ม และหลอกตัวเองจิตเวลาข่ม มันกระด้าง และในความทุกข์ของ คนที่รับ อัตตาของเขาก็ใหญ่ขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่เขาผิด แต่ก็ดึงดันว่า เขามีสิทธิ์ปกป้องตัวเอง มัน ก็เลยกลายเป็นอัตตาชนอัตตา แล้วเขาก็ขมขึ้น เพราะคิดว่า เราน่าจะเห็นใจเขามากกว่านั้นตรงนี้เป็นตรงที่ดิฉันเห็นว่า ถ้าผู้ใหญ่ทั้งหลาย น่าธรรมะมาเป็นแกนของใจแล้ว ปัญหาจะลดลงไปมาก แล้วจะเกิดสิ่งที่ดิฉันเล่าให้ฟังได้ ไม่ ใช่ความบังเอิญ แต่เดิมดิฉันก็คิดว่าเป็นความ บังเอิญ ครั้นมาพบด้วยตัวเองหลายครั้ง จนต้อง เชื่อว่ามันไม่ใช่ความบังเอิญ แต่เป็นผลของธรรมะ
ถาม: ผมมีข้อสงสัยอยู่สองข้อครับ คืออย่างหนึ่ง ผม พบว่า เราไม่คำนึงถึงอัตตาของตัวเอง และเรา ก็ไม่ทุกข์กับเรื่องอะไร ๆ ทั้งนั้น ทีนี้มันมีปัญหา อยู่ว่า สังคมของเราที่ใกล้ตัวที่สุดก็คือ บุตร หรือภรรยาของผม สมมติว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น มันส่งผลมาในทางลบกับตัวผม แต่ ผมก็ไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไร บังเอิญมันส่งผล ต่อไปถึงลูกและภรรยาของผมด้วย ผมอดห่วง ไม่ได้ เพราะว่าผมตัดอัตตาของผมได้แล้ว แต่อัตตาของผมของผมซึ่งเกี่ยวพันกับคนรอบข้างนี้ผมทำไม่ได้ อันน่อาจารย์จะกรุณาแนะนำอย่างไรประการที่สอง ในบางเรื่องเราไม่อาจจะเพิกเฉยได้เราพยายามหลีกเลี่ยงการปะทะใด ๆ ทั้งสั้น สมมติ ว่าการทำงานเราก็ได้ถือหลักว่า เราพยายามให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็พอแล้วผมคิดว่าชีวิต เรานั้นต้องแล้วแต่ลิขิตของฟ้า แต่ในบางเรื่อง ในที่ทำงานเดียวกัน เรามีความมั่นใจว่า ถ้าปล่อยรืองกรณี ก ผ่านไป จะเกิดผลเสียต่อบางสิ่ง บางอย่างต่อสังคม เช่น จะเกิดผลเสียต่อลูกศิษย์ ของเรา คุณ ก คุณ ข กับคุณ ฮ เขายืนยันว่าต้องทำอย่างนี้ให้ได้แน่ ๆ เราก็ไม่เห็นด้วย แต่ เราในขณะเดียวกันก็ไม่อยากทะเลาะเบาะแว้ง ไม่อยากยืนยันว่าเราถูกหรือเราผิด เรารู้อยู่เต็ม อกว่ามันผิด อย่างนี้ถ้ามันเกิดกับตัวเราเอง ไม่ เป็นไร เรายอมรับได้ หรือเราไม่สนใจก็ได้ แต่ ถ้าปล่อยไป ผลมันจะเกิดกับลูกศิษย์เรา กรณีนี้ จะทําอย่างไร ผมมีแค่นี้ครับ
ตอบ :ทีอาจารย์พูดว่า อาจารย์ไม่มีอัตตาแล้วนีนะคะ
ผู้ถามชี้แจง ผมสมมตินะครับ
ตอบ: ค่ะ สมมติ ข้อสมมติของอาจารย์ก็ยังไม่ถูกต้อง เพราะสมมติถ้าอาจารย์วางอัตตาได้ อาจารย์ก็จะมองเห็นเหตุผลทะลุต่อไป ถ้าอาจารย์ไม่เดือดร้อนใจแล้วไม่ทำอะไรเลย แปลว่าอาจารย์เห็น แล้วว่า บุตรภรรยาหรือลูกศิษย์ของอาจารย์กับ คู่กรณีของอาจารย์เขามีหนี้สินกัน มันจึงเกิด เหตุอย่างนี้แต่ถ้าอาจารย์ยังวางใจไม่ได้ แปลว่าสิ่งที่อาจารย์ ไม่ทํา เป็นการหลีกเลียงความรับผิดชอบ เพราะ อาจารย์ถนอมอัตตาของอาจารย์ มันเป็นอัตตาซ้อนอัตตา อาจารย์ต้องการให้คนเขาเห็นอาจารย์ เป็นคนไม่มีเรื่องกับใครเลย ก็เลยถนอมอัตตา อันนั้นเอาไว้ เป็นอัตตาแฝงเร้น ซึ่งน่ากลัวยิ่ง กว่า อัตตาโจ่งแจ้งอีกค่ะเวลานี่เราปฏิบัติธรรมแบบนี้มาก มันถึงได้เกิด ปัญหา แล้วเราก็ไปโทษว่า การปฏิบัติธรรม ทำให้คนไม่มีความรับผิดชอบ ทำให้สังคมเสือมโทรมลงไปถ้าเราปฏิบัติถูกต้อง เราต้องดูว่า หนึ่ง หน้าที่ ของเราคืออะไร เรืองที่เกิดขึ้นนี้ ถ้าเราไม่จัดการเป็นการบกพร่องหน้าที่ของเราหรือเปล่า ถ้าเป็นการบกพร่องหน้าที่ เราต้องจัดการ ทำแล้วเกิดผลเสีย หรือว่าเราถูกโจมตี วิพากษ์วิจารณ์ เดือดร้อนอย่างไร เราก็ยอมรับ เพราะเหตุมันมีมันจึงทำให้เราต้องมาอยู่ตรงตำแหน่งนี้ แล้วมีเรื่องนี้เกิดขึ้น เมื่อทำไปด้วยสติ ด้วยปัญญาแล้ว เหมือนเราเลือกเมล็ดผลไม้ปลูกลงไป เรารู้ว่า...สติปัญญาบอก เราต้องเลือกเมล็ดนี้ปลูกลงไป เมือต้นงอกขึ้นมา มันก็ต้องเป็นอย่างที่ เราเอาเมล็ดชนิดนั้นปลูกลงไป
ในกรณีนี้เราจำเป็นต้องเอาหนามพุงดอปลูกลง ไป เราก็ยอมรับ เมือเวลาที่ต้นงอกมาเป็นต้นพุงดอถ้าเราปฏิบัติธรรม ผลจะเกิดขึ้นมาตามฟ้าลิขิต ไม่ได้ ผลจะเกิดขึ้นมาตาม กรรม ลิขิต คือการ กระทำของเราเอง เพราะพระพุทธองค์ตรัสไว้ แล้ว ของทุกอย่างมาแต่เหตุการกระทำคำพูด และความคิดของเรานี้ คือลิขิตที่มันจะงอก ออกมา เหมือนอย่างกับเราเอาเมล็ดอะไรใส่ลง ในดิน มันต้องงอกเป็นต้นชนิดนั้นขึ้นมา ไม่ เคยเลยที่เราเอาเมล็ดข้าวใส่ดินไปแล้วมันงอก เป็นต้นสักนี่ก็เหมือนกัน ในคำสอนของพระพุทธองค์ สิ่งที่เราทำไม่เคยเลยที่จะแปรรูปอย่างนั้นได้ เมื่อเหตุการณ์บับรัดให้เราจําเป็นต้องเอาเมล็ด พุงดอปลูกลงไป เราก็ยอมรับว่า แล้วประเดี๋ยว
ต้นพุงดอก็งอกขึ้น มา แต่เพราะเราทําด้วยสติเราก็รู้ว่า เมือมันงอกขึ้นมาแล้วทำอย่างไรเรา จึงจะไม่เอาตัวเรา หรือเอาตัวคนอื่นเข้าไปถูก หนามพุงดอเกี่ยว หรือจำเป็นจะถูกเกี่ยว ก็เกี่ยวน้อยที่สุด เท่าที่สติปัญญาเรามีจะแก้ไข เหตุการณ์อันนั้นได้ หรือถ้าเราสามารถที่จะ แก้ไขให้เราไม่ต้องเอาหนามพุงดอปถูกลงไป ได้เราก็ทำพอจะตอบคำถามอาจารย์ได้ไหมคะ
ถาม : ยังครับคือผมว่าผมไม่ได้ละเลยหน้าที่ ที่จะปกป้องความรับผิดชอบอันนั้น และผมก็ไม่ สนใจกับผลที่จะตามมากับการกระทำ ในการบกพร่องที่จะต้องรับผิดชอบอันนั้น ผมคิดว่า อาจารย์ยังไม่ได้ตอบคำถามผมชัดเจน ก็คือว่า แล้วผลกระทบซึ่งเกิดจากผม ที่จะส่งผลไปถึง บุตรภรรยา และคนรอบข้างเช่นเพื่อนของผม กรณ์น่จะให้ผมทำอย่างไร
ตอบ :  ก็ติฉันเรียนแล้วไงคะว่า ถ้าอาจารย์เข้าใจธรรมะถูกต้อง ถ้าบุตรภรรยาอาจารย์ ไม่ได้มีเหตุในอดีตที่เกี่ยวข้องจะต้องรับวิบากอันนี้ด้วยถึงอาจารย์ทำยังไง ๆ ไป มันก็ไม่ไปสะเทือนเขาบังเอิญตกไปถึงเขา มันก็กลงไปที่อื่น คนเอาก้อนหินขว้างมา มันก็ให้บังเอิญม่คนอินเดิน ผ่านมา แล้วรับเคราะห์แทน เขาก็ถูกก้อนหันหัวแตกตายไป มันจะเป็นอย่างนันจริง ๆ ถ้าไม่มีเหตุต่อเนื่องกันแต่ถ้ามีเหตุกัน อาจารย์จะไปพยายามยังไง ๆ เขาไม่ได้ตั้งใจจะขว้างหัวภรรยาอาจารย์ หรือลูก อาจารย์ ก็ให้บังเอิญมือเขาพลาดไป แล้วมันก็มาโดนเข้าจนได้
ถาม : ที่คุณหมอบอกว่า เพื่อนคุณหมอแนะนำว่า เวลาที่จิตรวมเป็นสมาธินั้น มันมีความรู้สึก เหมือนลิฟท์ที่ลงมาจากที่สูงแล้วหยุดดังตี้กนะครับ แล้วในที่สุดคุณหมอมีความรู้สึกอย่างนั้น หรือเปล่า
ตอบ : เปล่าค่ะ
ถาม : แล้วคุณหมอ มีความรู้สึกอย่างไร ทุกคนจะมีความรู้สึกเหมือนกันหรือไม่ครับ
ตอบ : ไม่ค่ะ แต่ละคนก็รู้สึกต่าง ๆ กันไปได้ ท่าน อาจารย์ท่านบอก ใจของคนแต่ละคนมันเป็น จริตต่างๆ กันถ้าเป็นคนสนุกเฮฮาอยู่โดย ปกติ พอมารวมแล้ว จิตจะเปลี่ยนสถานะ จากการที่มันสนุกตามอารมณ์ไป แล้วรวมเข้ามา อยู่กับสติปัญญา มันก็เหมือนเราเอาก้อนหินก้อนโต ๆ โยนลงไปในน้ํา พอก้อนหินตกลงไปถึงก้นบ่อ มันก็กระแทกติกใช่ไหมคะ เขาก็ รู้สึกอย่างนั่นจริงๆเพราะเพื่อนดิฉันเป็นคนเฮฮาแล้วก็สนุกรื่นเริงทีนีอย่างพวกเรา เราคุ้นกับการใช้ความคิดระหว่างเรียนหนังสือ ระหว่างเตรียมงานสอน เราค่อนข้างจะมีสติอยู่กับใจ ยิ่งเวลาท่องหนังสือสอบหรือทำอะไร ใจของเรามันละเอียดเข้ามาแล้ว มันเหมือนเม็ดทราย ท่านบอกเวลาที่เราเอา เม็ดทรายทั่งลงไปในนํา พอมันตกถึงก็นบ่อ ก็ไม่รู้สึกอะไรเลย เพราะน้ําค่อย ๆ พยุงลงไป เราก็จะรู้สึกของเราแบบเม็ดทรายค่ะท่านจะให้ดิฉันเห็นว่า การเป็นมงคลตื่นข่าวใครเขาว่าอย่างไรแล้ว เราก็ไปคิดว่า เราจะต้องเหมือนเขา มันไม่ถูกต้องเสมอไป
ถาม: ผมขอเรียนถามอีกนิดหนึ่งนะครับว่า ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับตัวคุณหมอเองนั่นมันเป็นอย่างไร
ตอบ : มันรู้สึกนิ่งค่ะ ครั้งแรกที่เราเอาใจเราผูกอยู่กับ
คำบริกรรม แล้วคอยเอาสติรู้อยู่ มันก็ยังไหวตามคําบริกรรม ตามลมหายใจ พอเริ่มจะเข้าที่มันรู้สึกหนักแน่น คล้ายๆกับตอนแรกเราดู ใบไม้ มันก็เห็นใบไม้ไหวตามลม แต่พอเราดูรูป ถ่าย ใบไม้มันนิ่งนะคะ ความรู้สึกของใจตอนรวมมันเป็นอย่างนั้นค่ะ แล้วของอาจารย์ละคะเป็นอย่างไร
ผู้ถาม: ผมยังไหวอยู่ครับ
ตอบ :ค่ะ ตอนแรก ๆ มันเป็นอย่างนั้น แล้วมันไหวน้อยลงๆถึงยังไหวอยู่ก็ไม่ต้องไปท้อใจ เพราะ การที่ใจเรายังมีไหวอยู่ แต่เราไหวอยู่กับสังที่เราตั้งมันเป็นอันเดียว ก็ถือว่าเป็นสมาธิเหมือน กัน เพราะสมาธิมี 4 ระดับ ครั้งแรกเรายังผูกพันอยู่กับลมหายใจ หรือคำบริกรรม เป็นวิตกวิจารณ์ ต่อมาเราตัดวิตก วิจารณ์ ออก เราไม่ต้องคอยบังคับใจให้บริกรรม แต่มันก็ง่วนของมันอยู่ ใจเป็นปีติ ชุ่มฉ่ำถึงจะไหวอยู่ แต่ก็ไม่ส่ายแส วอกแวกไปทีอีนต่อมาใ ค่อยละเอียดเข้า เป็นสุขอย่างประณีตที่มันจะนิ่งสนิทไม่ไหวติงก็ต่อเมือ มันลงไปถึงที่สุดแล้วไม่ได้จําเป็นว่า คนปฏิบัติธรรมต้องได้อัปนา สมาธิ ลึกอย่างนั้นจึงปฏิบัติก้าวหน้า เกิดมรรคผล
ถาม : ผมไม่ถามนะครับ แต่แสดงความคิดเห็นว่า อาจารย์พยายามอธิบายให้เราทําตัว ปฏิบัติตนดูคล้ายเพชรเม็ดหนึ่ง ที่มีความใสและแวววาวแต่คล้ายกับว่าเพชรนั้นไปวางไว้บนหัง ห่างไกล หลีกเลี่ยงจากเหตุต่าง ๆ พยายามปล่อยสิ่งนั้น ไปตามกรรมแล้วเพชรนั้นจะมีประโยชน์เพียงใดกัน
ตอบ : ดิฉันไม่ได้บอกอย่างนั้นเลย ดิฉันบอกแล้วไงคะว่า ถ้าเหตุมีว่าเราจะต้องปลูกหนามพุงดอ เราก็ปลูกหนามพุงดอ เพราะถ้าเราปล่อยทุก อย่างให้เป็นไปตามกรรม เราจะไม่มีพระพุทธเจ้า บังเกิดขึ้นมาเลยดิฉันบอกว่า เมื่อเหตุเก่ามันมาทำให้เราเข้าที่ คับขัน เราอย่าหนี ให้เราแก้ปัญหาด้วยสติปัญญา ด้วยมรรค อย่าไปปล่อยมันตามอัตโนมัติ ความ เคยชินเก่า ๆ เพราะชีวิตของเรา ที่วนเวียนกัน อยู่ไม่ไปไหน ที่เราบอกว่า สังสารวัฏอันนี้ไม่มีที่ตั้งต้น และไม่มีที่สิ้นสุด ก็เพราะว่าเราปล่อยให้มันหมุนไปตามอารมณ์ เราเคยอารมณ์ร้อน พอใครมายั่วโทสะเราก็เผลอสติ ฆ่าเขาตายแล้วก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามอาจิณกรรม การกระทำที่เคยชิน เพราะฉันเป็นคนเจ้าโทสะ แล้วเราก็ต้องฆ่าเขาตายอยู่เรื่อย ๆ หรือเพื่อใช้หนี้ เขาก็ มาฆ่าเราตายบ้าง เราฆ่าเขาตายบ้าง ตกลงมันก็ หมุนเป็นวงอยู่อย่างนี้ ดิฉันไม่ได้ว่าอย่างนั้นค่ะ
ถาม :  คือผมมีความสงสัยว่า อาจารย์พูดว่าเราสามารถ จะเลี่ยงทุกอย่างได้
ตอบ  : ดิฉันไม่ได้ว่าค่ะ
ถาม  :  เมื่อกี้อาจารย์บอกว่า ถ้าวิบากนั้นลูกเมียจะไม่ ต้องรับ แล้วอาจารย์เห็นว่า ถ้าใครขว้างก้อนหิน มาก็ไม่โดน จะไปโดนคนอื่นหัวแตกแทนไปเอง
ตอบ  :เมื่ออาจารย์พูดว่า ถ้าสั่งที่อาจารย์อดออมไม่ทำนั้นเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงส่วนตัวของอาจารย์
อาจารย์ทนได้ แต่ถ้าพาดพิงไปถึงครอบครัว ความรักลูกรักเมียทำให้ต้องปกป้อง เพราะทนไม่ได้ก็เลยจะต้องลุกขึ้นมาต่อสู้กับเขาดิฉันก็เพียงแต่ให้ข้อแนะนำว่า ถ้าสิ่งที่อาจารย์อดออมนั้นเป็นธรรมะและอาจารย์เห็น ด้วยใจที่เป็นธรรมะ อาจารย์ก็ต้องเห็นต่อไปด้วยว่า ถ้าการทำอย่างนั้นมันจะมีผลไปถึงลูกถึงเมียเราด้วย ก็เพราะว่าลูกเมียเราเคยทำกรรมร่วมกับเรามา เพราะฉะนั้นก็ย่อมต้องรับทุกข์อันนั้นด้วย เราก็ตั้งรับสถานการณ์ด้วยสติปัญญาว่า แล้วเราจะแก้ไขอย่างไร เราจะเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ลูกเมีย เราสามารถผ่านภาวะวิกฤตินี้ไปได้อย่างไร โดยเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาเป็นหินลับสติปัญญา ให้ใจของเรามีความแน่วแน่มั่นคงขึ้นแต่ถ้าการไม่ไปปะทะกับเขา เป็นเพราะว่าเราถนอมตัวเราเองโดยเข้าใจผิดคิดว่า นันคือธรรมะแต่จริง ๆ นั่นคือกิเลสละก้อ เราก็ออกไปต่อสู้ โดยอ้างว่าปกป้องครอบครัว เหมือนอย่างเรา จะปลูกหนามพุงดอ เราก็ปลูก แล้วอะไรจะเกิดขึ้นค่อยว่ากันใหม่ อย่างนั้นต่างหากล่ะคะดิฉันไม่ได้บอกให้เราทะนุถนอมความเป็นเพชร ของเราแล้วหลีกขึ้นมาเห็นแก่ตัวอย่างนั้น ถ้าเป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้แล้ว ท่าน
แต่การที่ใครจะตัดสินใจ เน้นทางไหนหนัก มัน ก็ขึ้นอยู่กับเหตุเก่า ๆ ที่เป็นภูมิหลังอยู่ในใจ ไม่ ใช่ทุกคนคิดว่า ฉันจะปฏิบัติธรรม แล้วมันจะ ปฏิบัติได้ ถ้าหนี้เก่าของเรายังมีอยู่หลายแสน ยังไง ๆ ก็ปฏิบัติไม่ได้ หลับตาไม่ลงหรอกค่ะ ไม่อย่างนั้น ทําไมทุกคนถึงไปบวชเป็นพระไม่ได้ หรือคนทุกคนที่ไปบวชเป็นพระแล้ว ก็ยังร้อน ต้องสึกออกมาอีก ก็เพราะหนีหนี้เขาไปมันไม่ใช่ว่า คิดอยากจะทำแล้วเราก็ทำได้ เรา จะต้องสะสมทุนรอนด้วยกันทั้งนั้น เหมือน อย่างกับอาจารย์จะมาเป็นอาจารย์อยู่ที่นี อาจารย์ก็ต้องเรียนหนังสือมาดีพอสมควร แล้วก็มีภูมิ ความรู้ จึงได้รับเลือกเข้ามาเป็นอาจารย์อยู่ใน มหาวิทยาลัยอย่างนี้ ใช่ไหมคะ ทุกอย่างค่ะ ใน การปฏิบัติชีวิตของเรา เราก็ต้องสะสมทุนรอน กันขึ้นมาอย่างนีทั้งนั่นดิฉันเพียงแต่ชี้แนะวิธีการเก็บเกียวทุนรอน ใน ขณะที่ยังไง ๆ เราก็ต้องทำงานกันอยู่แล้ว แทนที่เราจะทำด้วยความรู้ไม่รอบ แล้วเราก็ไปเสียท่าทำให้เกิดหนี้ขึ้นมาโดยไม่จําเป็น แล้ววันหนึ่งเราก็ได้แต่นึกเสียใจ จะได้ระวังเสียแต่บัดนี้ ทำงานไปด้วย แล้วก็สะสมทุนรอนไปด้วย เท่านั้นเองค่ะไม่ได้บังคับว่า ทุกคนจะต้องเห็นตาม แล้วกลายเป็นคนที่ไม่มุงาน
ผู้ถาม: ผมเพียงแต่จะแสดงความคิดเห็นเท่านั่นเองครับ
ตอบ: ค่ะ ดิฉันก็ดีใจ เพราะว่าอาจจะมีหลายคนก็เข้าใจ ไม่ชัดอย่างนี้ การเอาธรรมะเป็นหลักไม่ได้ทำให้ งานของเราบกพร่องนะคะตรงกันข้าม เราจะมุงานได้มากกว่าเดิม เพราะแต่เดิมเวลาไปสะดุด อะไรสักหน่อยหนึ่ง เราก็ทำท่าจะล้ม เพราะ อัตตาของเรา ศักดิ์ศรีของเราบาดเจ็บ พลอย ทำให้กายหมดแรงไปด้วย แต่ถ้าใจมีธรรมะเป็น ฐานรองรับ อุปสรรคที่เกิดขึ้นกลับเป็นแบบฝึกหัดท้าทายสติปัญญา เป็นตัวกระตุ้นให้เราจดจ่อ พากเพียร จนสามารถก้าวข้ามขวากหนามเหล่านั้นไปได้ทำแล้ว ใครจะยกย่อง หรือจะย้ายี สติธรรม ปัญญาธรรม จะเป็นเกราะคุ้มกันใจให้ไม่ฟู หรือแฟบ ตามลมแห่งโลกธรรมเหล่านั้น เพราะใจของเรา รู้แจ้งแทงตลอดในเหตุผลตามเป็นจริง สงบผาสุก มั่นคง ที่จะรอให้กาลเวลาเป็นผู้คลีคลายว่า อะไรเป็นอะไร เมือการกระทำเหล่านั้นสัมฤทธิ์ผลคนในสังคมที่เป็นธรรมาธิปไตย จะมีสุขภาพ จิตแข็งแรง เพราะธรรมะคอยกำราบอัตตา ให้ละลายจนจางหายไปในทีสุด อัตตาน้อยลงเท่าไร ความคงเส้นคงวา เป็นเหตุเป็นผล ก็เพิมขึ้นเท่านั้น ทุกคนก็สามารถ พูด ภาษาเดียวกัน สื่อความหมายกันเข้าใจถูกต้อง เป็น อันจบปัญหาดิฉันหวังว่า เนื่อหาที่เรามาแลกเปลี่ยนความคิด' เห็นกันในคืนนี้ คงมีประโยชน์แก่พวกท่านในอันจะนำไปใช้เพื่อเติมความผาสุกให้กับชีวิตการงาน บัดนีก็สมควรแก่เวลาแล้วจึงขอโอกาสยุติค่ะ
พิมพ์โดย   ปภัสสร  มีพงษ์
แหล่งที่มา  http://web.krisdika.go.th/buddha/10_atta.pdf

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Back To Top