บทความหมออมรา
เอดส์ใจ
ชื่อผู้เขียน พญ อมรา มลิลา
วันที่ 23 เมษายน 2540
ณ โครงการอบรมพัฒนาจิต ครูผู้สอนวิชาพระพุทธศาสนา เขตการศึกษา 11 ณ วัดวะภูแก้ว จ.นครราชสีมา
หมวด
เราก็คุ้นเคยกับโรคเอดส์แล้วว่าเป็นโรคที่ร่างกายขาดภูมิคุ้มกัน เมื่อร่างกายขาดภูมิคุ้มกัน ผู้ คนเขาเป็นหวัดกันนิดๆ หน่อยๆเราไม่ เป็นอย่างนั้นเพราะภูมิคุ้มกันไม่มี ร่างกายก็ปล่อยให้หวัดที่ควรจะเป็นแค่หวัดลุกลามไป เป็นปอดบวม เป็น น้ำท่วมปอด จนกระทั่งถึงตายก็ได้ทีนี้มาพิเคราะห์ถึงใจที่เป็นเอดส์ ก็หมายถึง ใจที่ไม่มีภูมิคุ้มกันต่อกิเลสเจออะไรเย้ายวนเข้าหน่อยหนึ่ง เจอผัสสะจากภายนอกมากระทบ หรือ อารมณ์ข้างในของใจที่คิดนึกขึ้นมา เราก็เหนี่ยวรั้ง ใจไม่อยู่ ปล่อยใจให้ไปติดข้องอยู่ตรงนั้น จนกระทั่ง เอากายเอาวาจาของตัวไปเป็นขึ้ข้า ทำสิ่งที่เป็นอกุศล
ขึ้นมาใจที่เป็นเอดส์ใจจึงเป็นใจที่คุ้มครองตัวเองไม่ได้ถ้าเราอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ก็รอดตัวไป แต่ ถ้าไปอยู่ในที่ซึ่งมีอะไรมายั่วยุหรือมาดึงดูดใจให้ไป ใหลหลงติดเข้า เราก็ฝึกฝืนไว้ไม่ได้เพราะฉะนั้นเอดส์ใจจึง เป็นพิษเป็นภัยกับเราอย่างยิ่ง
โรคเอดส์นั้น พอเราตายไป ร่างกายสลายไป แล้วก็จบหมดไป เราไปก่อรูปร่างเกิดขึ้นมาใหม่ ก็ ไม่มีโรคเอดส์เกิดติดมาด้วย แต่ใจนั้นไม่ตาย ถ้าไม่ สร้างภูมิคุ้มกันให้เกิดขึ้น ไปอยู่ที่ตรงไหนๆๆ โรคนี้ ก็ตามติดไปทำให้ใจก่อหนี้ก่อสินให้ตัวเองได้เรื่อยไป จนเอาตัวไม่รอดทีนี้เราก็มาลูกันว่า มีอะไรบ้างที่ต้องระมัดระวังที่ต้องคอยสิกคอยสิน คอยสร้างภมิค้มกันเอาไว้ ให้เราไม่กลิ้งตามมันไป
สิ่งแรกสุดที่ต้องระมัดระวัง ก็คือโลกธรรม ได้แก่ การมีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ มีสุข เสื่อมสุข สรรเสริญ นินทา การอยู่ในโลกนี้ย่อมต้อง ถูกสิ่งที่เป็นโลกธรรมมาสัมผส มาหวั่นไหวอยู่ตลอดเวลา โลกธรรมที่หนักหนาสาหัสที่สุด ที่เหมือนลม พายุคอยพัด คอยโยกคลอน จนเราพึ่งพาดวเอง ไม่ได้ ก็คือคำวิพากษ์วิจารณ์ คำนินทา สรรเสริญสรรเสริญนั้นเป็นสิ่งน่าชื่นชอบ ไม่คิดว่าจะ เป็นพิษเป็นภัย แต่มันกลับเป็นพิษเป็นภัยมหันต์ เพราะทำให้เราหลงใหลได้ปลื้ม ไม่อยู่กับความเป็น จริง แต่นินทานั้นไม่มีใครชอบ พอได้ยินเข้าก็ร้อน รุ่มไปหมดไม่ว่าจะเป็นนินทา ไม่ว่าจะเป็นสรรเสริญ ก็ เปรียบเหมือนแรงของลมพายุ ที่ทำให้.. ถ้าใจเราเป็น ต้นไม้ มันก็โยกคลอน ต้นไม้ที่โยกคลอนอยู่เรื่อยๆ ย่อมเฉาตาย ทั้งๆ ที่ได้ป๋ยดี มีอาหาร มืนํ้า มีอะไรๆ เพียงพอ มันก็ไม่สามารถเจริญงอกงาม เพราะต้นไม้ อยู่ในที่ที่กระเทือนตลอดเวลาไม่ได้ใจของคนเราก็เหมือนกัน ถ้าถูกลมปาก ถูก โลกธรรม คำวิพากษ์วิจารณ์ นินทา สรรเสริญ ให้ ไหวหวั่นอยู่ตลอดเวลาแล้ว ก็ตั้งตัวไม่ได้ เราก็ถอน รากถอนโคนล้มตายจากคุณงามความดี เพราะทั้งๆ ที่ใจก็รู้ว่า สิ่งที่กระทำถูกต้องแล้ว ดีแล้ว แต่พอไปฟังเขาวิพากษ์วิจารณ์ว่าน่าจะไม่ถูก เราก็เริ่มกังวล หวั่นไหว เอ.. เราเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม เขาสิ ถ้าจะฝึนทำอยู่คนเดียว ก็ไม่ดีกระมัง จะเป็น กัตตาธิปไตยกระมังความรู้ไม่จริง.. อวิชชาในใจเรา ทำให้เกิด เป็นนิวรณ์ขึ้นมา และเราก็ไม่มีแยบคายอุบาย ไม่มี ปัญญาที่จะดีดกล่อมเกลาใจ ให้มั่นคงอยู่ในทางที่ ถูกต้องได้ เราก็เริ่มหวั่นคลอน จนกระทั่งถอนราก ถอนโคน...อยู่เมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตามเขาเพราะฉะนั้นเราจะมาฝึนอยู่คนเดียวได้อย่างไร เดี๋ยว เป็นอัตตาธิปไตยไปสิ..เหตุผลของอวิชชาผ่องใสอย่างนี้พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า ถ้าเราอยู่ใน ทำมกลางคนดี แล้วเราไปทำผิด อย่างนั้นเรียกว่า อัตตาธิปไตยแต่ถ้าเราอยู่ท่ามกลางคนชั่วและเราดีดถูกทำถูกอยู่โดยลำพัง อันนั้นไม่เป็นอัตตาธิปไตย แต่เป็นธรรมาธิปไตย เพราะเราอยู่กับสิ่งที่เป็นเหตุ เป็นผล เป็นธรรม ท่านอาจารย์สิงห์ทองสอนว่า ขวาง โลกเท่าไรให้ขวางไป แต่อย่าขวางธรรม
ถ้าเราแน่ใจมั่นใจในสิ่งที่กระทำว่าถูกต้องเป็น ธรรม ก็เหมือนเราเอาเม็ดพันธุที่ดีหว่านลงไป ให้ เราอดทนคอยจนต้นอ้นนั้นงอกขึ้นมาเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์บุคคล ระหว่างนี้เราก็รักษาใจให้มั่นคง เยือกเย็น ทบทวนเหตุผลที่กระทำ ถ้าเหตุผลดีงาม ถูกต้อง ใครจะพูดวิพากษ์วิจารณ์จนปากฉีกไปถึง ท้ายทอย ก็ปล่อยให้เขาพูดไป เวลาจะเป็นเครื่อง พิสูจน์เอง เมื่อเม็ดพันธุที่หว่านไปผลิใบงอกขึ้นมา ก็ จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ที่เราทำนั้นถูกต้องเพราะฉะนั้น ภูมิคุ้มกันที่เราจะต้องสร้างให้ กับตัวเอง เพื่อให้ไม่เป็นเอดส์ใจ ก็คือผัสสะอะไรมา กระทบ โลกธรรมอะไรมากระทบ อย่าให้เราถูกลาก จูงกลิ้งตามไป เราต้องมิหลักของใจ มีภูมิคุ้มกันว่า ถึงความคิดของเราจะแตกต่าง เป็นความคิดเดียว ท่ามกลางความคิดที่ผิด เราถึเป็นธรรมาธิปไตย ให้ ยืนหยัดทำอย่างนั้นไป ด้วยความระมัดระวัง มีสติ รอบคอบ ไม่ดึงดื้อถือรั้น พินิจพิเคราะห์แล้วค่อย ทำไป แล้วคอยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
ผลที่เกิดขึ้นจะเป็นเครื่องรับรองให้เรามั่นใจ และเรียนรู้ ถ้าสิ่งที่เราคิดเราทำยังไม่ถูกต้องเที่ยงตรง ผลที่เกิดขึ้นย่อมมีความบกพร่อง ให้เราเก็บเกี่ยวมา พินิจพิจารณาสอนตัวเอง ให้เกิดความรู้ความเข้าใจ แน่ชัดขึ้น รอบคอบขึ้น คำวิพากษ์วิจารณ์ นินทา สรรเสรีญที่จะมาลากจูงหรือหวั่นไหวจิตใจของเรา ก็ จะค่อยๆ อ่อนแรงลง ต่อไป ความมีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ สุข ทุกข์ ก็ค่อยๆ จางคลายอิทธิพล ที่จะท่วมท้นจิตใจเราไปได้เราก็เริ่มรู้ว่า เราเลี้ยงตัวเองท่ามกลางความแปรปรวนของโลกได้เวลาที่ใครนินทาเรา แต่ก่อนนั้น เราทุกข์ เดือดร้อน กังวลไปต่างๆ นานา.. นี่เขาพูดต่อๆ ไป คนอื่นเชื่อเขา เราก็คงหน้าแตกยับยี่ยับเยิน ไม่ได้ จะต้องชี้แจงแถลงไข...ท่านอาจารย์กลับบอกว่า ที่เขาพูดไป เขาไม่ได้จะปั้นน้ำเป็นตัว หรือเจตนาใส่ไคล้เราแต่เพราะ เขายึดมั่นสำคัญผิด เชื่อสิ่งที่พูดว่าเป็นจริงเป็นจัง อย่างนั้น
ถ้าลำพังคำพูดสามารถแก้อุปาทาน ความ ยึดมั่นสำคัญผิด ให้เป็นความเห็นชอบได้ เจ้าชาย สิทธัตถะท่านฉลาด แหลมคมกว่าเรามาก ท่านคง ประกาศศาสนาตั้งแต่ครั้งเป็นเจ้าชายสิทธัตถะแล้ว ไม่ต้องเสียเวลาออกบวช ไปตกระกำสำบาก จนใจ ของท่านบริสุทธ หลุดพ้นจากกิเลสแล้วจึงมาประกาศพระศาสนาท่านทรงรู้ชัดว่า อุปาทาน ความยึดมั่นสำคัญ ผิดที่ครอบงำไจของพวกเราทุกๆ คนนั้น เหนียว แน่นมาก ไม่สามารถแก้ไขกันได้ด้วยคำพูด ถ้าคัว เรายังไม่มีกำลังเข้มแข็ง ไม่มีภูมิคุ้มกันเพียงพอ พอ เราไปพูด ไปชี้แจงให้เขาเข้าใจตามความเป็นจริง ชี้แจงแล้ว เขาโต้เถียงหรือแสดงความคิดเห็น ภูมิ คุ้มกันที่ไม่เพียงพอของเราก็เลยพาให้เอดส์ใจทะลัก ทลายออกมา เราก็ทะเลาะวิวาทกับเขาไป แล้วก็ไม่ มีใครได้ดิบได้ดีชี้นมา ผลที่เกิดขึ้นเป็นความเสียหายหลายแสน ต่างคนก็ต่างมีหนี้สินล้นพ้นตัวถ้าเราเงียบเสีย แล้วให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ บุคคล รอจนสิ่งที่เราทำลงไปงอกขึ้นมา แล้วผลนั้น
จะบอกเองเหมือนเราเอาเม็ดมะม่วงปลูกลงไปในดิน เรา บอกเขาว่าเราปลูกต้นมะม่วงนะ แต่เขาว่าไม่ใช่ ฉัน เห็นเธอเอาเม็ดมะละกอหย่อนลงไปต่างหากล่ะ เรา ก็ไม่ต้องไปเถียงกับเขา ไม่ต้องเอาเสียมไปขุดตรงที่ เราเอาเม็ดใส่ลงไป เพราะถ้าเม็ดเริ่มงอกเป็นต้นขึ้น มาแล้ว ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ที่เราเอาเสียมขุดลง ไป ก็อาจจะไปสับให้ยอดขาด แล้วเลยไม่มีต้นอะไร งอกขึ้นมาก็ได้
เหมือนสมัยโบราณ ผู้หญิงตระกูลพราหมณ์ ในอินเดีย แต่งงานแล้วยังไม่มีลูกชาย สามีตายไป ทรัพย์สมบตที่สามีและเราหาไต้ด้วยกัน จะต้องตกไปเป็นของพ่อแม่พี่น้องสามีหมด ตัวเองกลายเป็น คนอนาถา ไม่มีสมบัติเลี้ยงตัวมีนางพราหมณีคนหนึ่งเพิ่งแต่งงาน ตั้งห้อง ได้ 5-6 เดือน สามีก็ตายไป น้องชายของสามีคิด จะโกงสมบัติพี่สะใภ้ จึงรีบมาบอกพี่สะใภ้ว่า เจ้ารู้แล้ว ไม่ใช่หรือว่า ถ้าเจ้าไม่มีลูกชายสืบสกุล ทรัพย์สมบดิ ทั้งหมดของเจ้าก็ต้องตกมาเป็นของพ่อแม่พี่น้องของสามีนางพราหมณีก็บอกว่าฉันกำลังท้องอยู่ น้อง ผัวก็ว่า เจ้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าลูกของเจ้าจะเป็น ผู้ชาย มันอาจจะเป็นผู้หญิงก็ได้นางพราหมณีถาม แล้วจะให้ฉันทำอย่างไรล่ะ น้องผัวก็บอก อ้าว.. เจ้าก็ไปให้หมอเขาผ่าท้องเอา ออกมาดูสิ มันเป็นลูกสาวหรือลูกชายแน่นางพราหมณีไม่มีภูมีคุ้มลันใจที่จะพิจารณาว่า เราเพิ่งท้อง 5-6 เดือน ขืนผ่าเอาลูกออกมาตอนนี้ ลูกเราก็ตาย ก็ยอมให้น้องสามีพาไปหาหมอผ่าท้อง เอาลูกออกมา พอผ่าดู ลูกก็เป็นผู้ชายจริง ๆ แต่ไม่รอด เพราะยังไม่ครบกำหนด เล็กเกินไป
น้องสามีก็จะเอาทรัพย์สมบัติทั้งหมด นางพราหมณีประท้วง ก็ลูกฉันเป็นผู้ชายนะ น้องสามีก็ว่าเธอโง่เซ่อเอง ทำไมเธอไม่เก็บลูกเอาไว้จน กระทั้งครบกำหนดคลอด เมื่อคลอดแล้วเป็นลูก ชายก็จะได้สืบสกุลและรักษาทรัพย์สมบัติไว้ได้นี่เธอไปผ่าท้องเอาเด็กออกมา แล้วตอนนี้ถึงเด็กจะ เป็นผู้ชายก็เป็นศพไปแล้ว มีก็เหมือนไม่มีเวลาที่ไม่มีหลักของใจ เราหวั่นไหวตามโลก ธรรม แล้วก็ปล่อยให้โลกธรรมพัดพาเราไปจนเสีย ผลประโยชน์ แล้วใครทุกข์เดือดร้อนล่ะ ก็เราเองทุกข์เดือดร้อน เจ็บตัวด้วย อยู่ดีๆ ให้คนเขาเอามีด มากรีดท้องเรา ทั้งเจ็บตัว ทั้งเสียทรัพย์สมบัติ คือ ลูกชาย รวมทั้งทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ก็พลอยวินาศไป ทั้งหมด แล้วจะไปโทษใครได้ ก็ต้องโทษตัวเรา ที่ ไม่รู้จักแกใจให้เป็นแสงส่องไปในทิศทางถูกต้อง มี ชีวิตที่ประเสริฐ และมีตนเป็นที่พึ่งแห่งตนการจะระรังรักษาเราไม่ให้เป็นเอดส์ใจ อันดับ แรกคือระมัดระรังกับโลกธรรมที่พัดอยู่ในชีวิตประจำ รันเราทุกเวลานาที เอาสติปัญญาพิจารณา หมุนมาเป็นแบบฝึกหัด ให้เราได้สร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเอง ให้ใจเราไม่เป็นเอดส์ถ้าใจเป็นเอดส์แล้วเดือดร้อน เราไม่สามารถ เก็บงำรักษาคุณงามความดีเอาไว้ได้ คนเราเมื่ออับ ปัญญา ทรัพย์สินทางโลกมีเท่าไรก็วินาศสูญหายไป หมด เหมือนอย่างกับนางพราหมณี เพราะอับปัญญา เพราะขาดภูมิคุ้มกัน เพราะไม่รู้จักการอยู่ในโลก
อย่างปลอดกัย ทุกอย่างเลยแย่ไปหมด เราจะได้จำ เอาไว้ และไม่ปล่อยให้ตัวเองเผลออย่างนี้เป็นกัน ขาดเห็นอย่างนี้แล้ว จะได้จัดการกับโลกธรรมให้ ดีๆบางทีโลกธรรมก็ไม่ได้มาในรูปลักษณ์ที่เป็นของไม่ดี มันมาในรูปลักษณ์ที่แลดูเหมือนดี แต่เรา ดูมันไม่เท่าทันเอง เหมือนอย่างที่อาจารย์ดาราวรรณ ว่า เวลาเรามาปฏิบัติกันเป็นหมู่ จะเอาตามใจแต่ละ คนย่อมเป็นไปไม่ได้คนบางคน ให้นั่งหรือให้เดินจงกรมเงียบๆ นี่ ใจก็ฟุ้งซ่าน ถ้ามีเสียงเทปเล่าชาดก หรือว่าเป็นคำ เทศน์ เป็นเรื่องอะไร ก็จะผูกใจให้จดจ่อแทนคำบริกรรมได้แต่คนบางคนใจเริ่มสงบแล้ว พอมัเสียงอย่าง นี้ ก็จะสู้กัน เรากำหนดของเรา ..พุท..โธ หรือว่า ..ข้าย..ขวา หรืออะไร เป็นคำบริกรรมของเรา เสียง เทปก็เข้ามารบกวน ใจเลยไม่สงบ
คราวหนึ่ง ตัวดิฉันว่างเว้นจากการไปวัดท่าน อาจารย์สิงห์ทองเสียนาน พอมีโอกาสว่าง กำหนด
ดูแล้วเราจะไปอยู่ได้ 3 วัน ก็มีความหวังมากมายว่า พอไปถึง วัดจะต้องเงียบสงบ ไม่มีผู้คน เรามีทาง เดินจงกรม มีที่ที่จะปฏิบัติได้อย่างเป็นเอกเทศ เรียก ว่า 3 วันนี่ ไปติวเข้มให้ตัวเองได้กำลัง กลับมาตั้ง หลักต่อสู้กับโลกที่บ้าๆ บวมๆ นี่ต่อไปได้พอไปถึงวัด คืนนั้น ชาวบ้านเพิ่งเก็บเกี่ยว ข้าวเสรีจ ก็มีหมอลำกัน ใจเราก็หงุดหงิด เพราะไป ตั้งความหวังไว้มาก ว่าวัดจะเงียบสงบ ครั้นมีเสียง หมอลำ เราเลยรู้สีกว่า เสียงหมอลำนี่ดังสนั่นเข้า มาก้องอยู่ในใจ เหมือนอย่างกับว่าเขาเอาลำโพงหัน เข้ามาที่ทางจงกรมเราพอเริ่มเดินจงกรมจะกำหนดพุทโธ เสียงหมอ ลำก็ขึ้นมา เราก็แผด พุท..โธ.. ในใจให้ตังกว่าเสียง หมอลำ ประเดี๋ยวเดียว เสียงหมอลำก็ตังกลบขึ้นมา อีก ใจก็ปลิวตามเสียงหมอลำไป ตกลงไม่เป็นอันได้ ภาวนาหรอก เพราะมัวแต่ทะเลาะเบาะแว้งกับหมอลำ จนกระทั่งเหนื่อยหอบไป ในที่สุดก็คลานไปนอน
ยอมพ่ายแพ้หมอลำด้วยความเจ็บชํ้านํ้าใจและแค้น เคือง ใจไม่เป็นบุญเป็นกุศล มาวัดเพื่อสร้างหนี้ให้
ตัวเองแท้ๆพอรุ่งเช้า ก็กราบเรียนท่านอาจารย์ว่า ท่าน อาจารย์เจ้าขา ท่านอาจารย์เมตตาปรามซาวบ้านให้ หน่อย กว่าศิษย์จะมาวัดได้แต่ละทียากลำบากหนัก หนาสาหัส ขอเขาอย่าเพิ่งมีหมอลำไม่ได้หรือ หรือ ถ้าจะมีหมอลำจริงๆ ก็อย่าใส่ลำโพง
ท่านอาจารย์ทำท่าฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ แล้ว ท่านก็ทำท่าไตร่ตรอง เราก็นึก เดี๋ยวท่านอาจารย์คง จะบอก เออ..อาจารย์จะไปดุให้ แต่พอได้ฟังคำตอบ ของท่านแล้ว เราแทบสลบเลยท่านบอก.. อาจารย์และพระเณรอยู่วัดมา ทุกวันๆ เขาก็เงียบสงบกันดีนี่ พอเขารู้ว่าศิษย์จะมา เขาก็ทำหมอลำต้อนรับศิษย์ อาจารย์และพระเณร ก็ต้องอดทนฟังหมอลำไปด้วย อาจารย์และพระเณร ยังไม่บ่นสักคำ แล้วศิษย์บ่นทำไม ก็เขาลำต้อนรับ ศิษย์นะ กลายเป็นรูปนั้นไปทำไมเราจึงคิดอย่างนี้ไม่เป็นคิดแล้วเรา
เบียดเบียนตนเองทุกครั้งไป คิดแล้วจิตใจขาดทุนสูญ กำไร กว่าเราจะมาได้ แต่ละครั้งแสนจะยาก แล้ว
เรื่องอะไรต้องมามีหมอลำตรงกับที่เรามา บ้าจริง ๆ ใจเราก็ไปทะเลาะกับเขา ท่านอาจารย์ก็บอกเราอยู่ เสมอๆ ว่า ก็วาสนาตัวเองน่ะ ต้องภาวนากลางตลาด มาบ่นอะไรให้หนวกหูอาจารย์ มิหนำซํ้าคราวนี้ยังมี คดีติดตัวอีก เพราะตัวเองมา เขาเลยทำหมอลำ ต้อนรับตัว อาจารย์และพระเณรก็ต้องอดทนฟังไป ด้วยถ้าคิดอย่างนี้ใจมันเบาไปเยอะเลย มีความรู้สึกว่าเราเป็นตัวแสบ คือมาแล้วทำให้ท่านเดือด ร้อนทั้งรัด แต่กอนนี้เราเพ่งโทษว่าชาวบ้านนี่ตัวแสบ เจ้ากรรมนายเวรอะไรของเรากันนักนะ ไปทางไหน ทำไมเจอแต่เสียงหนวกหู อยู่กรุงเทพฯ ก็เจอแต่ ตลาดสด ท่านอาจารย์ก็เตือนสติให้แล้วว่า ก็ตัวเอง น่ะวาสนาต้องภาวนากลางตลาด มาพูดมากทำไมกันคราวนี้เอาใหม่ เย็นนี้เราต้องภาวนากลาง เสียงหมอลำให้ได้ เวลาเราขึ้นศาลาฟังเทศน์ ท่าน อาจารย์ก็ให้กำหนดอยู่กับเสียงท่าน ไม่ใช่กำหนดอยู่ กับคำบริกรรมหรือลมหายใจ กำหนดเสียงเทศน์ ท่านเป็นอารมณ์ ถ้าจิตลงรวมเป็นสมาธิ ก็ปล่อยให้ลงรวมไปวันนี้เราก็กำหนดกับเสียงหมอลำสิ จะเป็นอะไรไป ก็เสียงเทศน์เหมือนกันแหละ ไม่ต้อง ต่อสู้กันแล้ว
พอหมอลำขึ้น เราก็เอาใจจดจ่ออยู่กับเสียง หมอลำ ประเดี๋ยวเดียวเสียงหมอลำก็เงียบหายไปหมด มีแต่ลมหายใจ แล้วใจก็ลงรวมเป็นสมาธิแต่พอเผลอไปสงสัย.. เอ๊ะ เสียงหมอลำหายไปไหน แน่ะ ไปยุ่งกับเรื่องเขา เสียงหมอลำก็ดังขึ้นมาใหม่เราก็เตือนสติตัวเองว่า กำหนดอยู่กับเสียง หมอลำ เพราะวันนี้เราจะฟังหมอลำเทศน์ ตกลงก็ ได้ประโยชน์ ได้สมาธิ ใจก็ไม่ไปเพ่งโทษ ไปทะเลาะ เบาะแว้งให้เหนื่อยหอบอย่างกับคืนแรกเราก็ได้ความรู้ขึ้นมาว่า จริงๆ แล้วไม่ใช่เสียง หมอลำที่ทำให้เราทุกข์เดือดร้อน แต่ใจของเราเอง ที่คืดไม่เป็น รักษาตัวเองไม่เป็น เบียดเบียนตัวเอง โดยเอาสิ่งกระทบมาเร้าให้กิเลสในใจของตัวแตก กระจายเป็นขี้ฝุ่นขี้ผงฟังขึ้นมา แล้วก็รู้ไม่เท่าทันไป โทษว่าโลกข้างนอกนี่ร้ายกาจ หนักหน่วง มาท่วม ทับเราจนหายใจไม่ออกครั้นได้อุบาย ได้วิธีคิดที่ท่านอาจารย์ท่าน สอนให้เราคิด เราจึงเห้นว่า ใจเราไม่มีภูมิคุ้มกันเลย เรื่องที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้มาเบียดเบียนเราหรอก แต่ เพราะใจของเราที่ถูกอวิชชากับอุปาทานครอบงำเอาไว้ เราถึงคิดทีไรก็หลงผิด คิดแล้วเบียดเบียนตัวเอง ไป ยึดมั่นสำคัญผิดตามความคิดที่ไม่แยบคายนั้น ถล่ม ทลายตัวเอง ปล่อยใจให้ตะครุบเงากระเซอะกระเซิง ไป
ถ้าคิดเป็น ตั้งสติให้มั่น มองเข้ามาในใจของ ตัว แล้วหาทางแก้ไขปัญหาให้ลุล่วงไปเหมือน
อย่างที่เรียนให้ทราบ เราก็ไม่อยากมีปัญหา เมื่อมี หมอสำมา ใจที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน จะขาดสติ เพ่งโทษ ผู้อื่นโดยอัตโนมัติ ก็ไปคิดว่า ชาวบ้านเรื่องอะไรจะ ต้องมาลำวันที่เรามา ถ้าฝึกให้ใจมีภูมิคุ้มกัน เราจะ คิดอย่างที่ท่านอาจารย์แนะ เรานี่เป็นคนมีบุญนะ เขาอุตส่าห์ลำต้อนรับเรา พอคิดแบบนี้ ใจเป็ดรับ พยายามหาแง่ดีเข้ามาหล่อเลี้ยง ใจก็มีสุขวิหารธรรม เป็นเครื่องอยู่ ก็ร่มเย็นเป็นสุข ใจที่มีสัมมาสติ แม้สิ่งกระทบจะเป็นความไม่ พอใจ เป็นความทุกข์เดือดร้อน ก็จะนำปัญหาเหล่า นั้นมาพิจารณา จนเกิดปัญญาเห็นชอบ เป็นมรรค ไม่ติดให้เป็นอารมณ์ เป็นสมุทัย ตกลงเรื่องเดียวกัน แทนที่เราจะเอามาเป็นหนามเกี่ยวใจเราให้เลือดตก ยางออก เราพลิกเอามาเป็นหินสับปัญญา จนกระทั่ง เราได้ปัญญาเห็นชอบ มาทำให้ใจเกิดกำลังที่จะอยู่ กับปัญหาอย่างที่เอามาปรับใช้ให้เป็นประโยชน์กำหนดกับเลืยงหมอลำ เราก็ได้ประโยชน์ พอได้ประโยชน์ ใจเราก็อนุโมทนากับเขา เออ.. เขา ทำงาน เกี่ยวข้าวเสร็จ เขามาชุมนุมสังสรรค์กัน ทำให้เขาสามัคคีรักใคร่กันแทนที่จะไปกินเหล้าแล้วก็ทะเลาะเบาะแว้ง ก่อวิวาท ทำให้ศีลขาด ศีล ด่างพร้อยใจที่อนุโมทนากับเขา ก็เหมือนเราสนับสนุนให้เขาหันมาในทางที่ดี มีคุณมีประโยชน์ ชีวิตเขาจะได้มีคุณภาพขึ้น ชีวิตเราก็มืคุณภาพขึ้น เพราะเราก็ภาวนาได้ ไม่ปล่อยใจไปทะเลาะตบดีกับ
ถ้าเราพยายามฝึกใจเรา เอาทุกสิ่งๆกอย่างที่ เกิดข,นในชีวิต มาเป็นหินลับสติป้ญญา มาเป็นแบบ ฝึกหัดอย่างนี้ เราก็จะอยู่ท่ามกลางโลกธรรมที่ เปลี่ยนแปลงอย่ตลอดเวลาได้อย่างผาสุก
อย่างเมื่อคืนนี้ ท่านอาจารย์ที่พาทำสมาธิ ท่านบอก ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป จริงๆ ไม่ได้หมายความว่า ชีวิต ของเราอับเฉา มีแต่ทุกข์ ทุกข์ๆๆ เท่านั้น อะไร ก็ตามที่สุขน้อยหน่อย ที่เรารู้สึกว่าทำไมต้องเป็นเรา ด้วย ด้ฉันก็นิยามมันว่าเป็นทุกข์หมดร่างกายเราก็คือ ก้อนทุกข์ กองทุกข์ รอบๆ ตัวเราก็มีทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไปถ้าเราคิดอย่างนี้ แล้วคิดไม่เป็น.. ชาวพุทธนี่ มีความคิดที่เบียดเบียนตัวเอง คิดแล้วทำให้ใจต้อง เป็นโรคจิตโรคประสาท เพราะว่าทุกข์ ทุกข์ๆๆ จน กระที่งโลกนี้กลายเป็นสีดำมีดมีดไปหมดแต่ถ้าเราคิดว่า จริงนะ ด้วยธรรมชาตของเรา เราก็เป็นก้อนทุกข์ กองทุกข์ เพราะว่าเราถูกกิเลสครอบงำอยู่พอจะตั้งสติให้ดีๆ กิเลสก็มาซักพาให้สติของเราเผลอ แล้วก็ปลิวตามกิเลสไป แล้วเราก็ เบียดเบียนตัวเองทุกที เพราะฉะนั้น ไม่ได้ ไม่ได้ เราจะต้องตั้งสติให้ดีว่า อะไรที่เราจะคิด แล้วยอมให้ กายวาจาใจของเราปฏิบ้ติตามไป ต้องให้เป็นแยบ คายอุบาย ให้เป็นโยนิโสมนสิการ คือ คิดแล้วเป็น อุบายประคองใจให้เกิดกำลัง ให้ใจเป็นบุญกุศลอยู่ได้ ไม่เบียดเบียนตัวเองถ้าเราเจอผู้คนที่อิจฉาริษยาเรา หรือพูดจา ส่อเสียดกระแนะกระแหน ให้เราขุ่นเคืองเจ็บชํ้านํ้าใจ ถ้าคิดไม่ทัน เราก็นึก ทำอย่างไรถึงจะหนีย้ายจาก แผนกนี้ไปแผนกอื่น หรือย้ายงาน หรืออะไร เรา ก็คิดกระจุยกระจายไปหมดถ้าจะเอาตรงนี้มาเป็นหินลับสติปัญญา ..ดีนะ ถ้าเจอแต่เพื่อนที่รักเราไปหมด เราคงเผลอหลงตน หลงตัว แล้วอีกหน่อยก็กลายเป็นคนปัญญานิ่ม เจอ อะไรเข้าหน่อยก็คิดไม่เป็นขอบคุณที่เขามาทำให้ชีวิตเรามีรสชาติ เราจะได้ฝึกลับปัญญาเราทุกวี่วัน พอคำพูดเขาตังมาเข้าหู เราอย่าเอาใจเราเป็นเขียง
ให้คำพูดเขามาสับเราเอาคำพูดเขามาเป็นหินสับปัญญาเรา ให้เราคิดแล้วมีแยบคายอุบาย อยู่กับมัน อย่างผาสุกร่มเย็นช่วงหนึ่ง ดิฉันมีเพื่อนแบบนี้ คือเขามีความ รู้สึกอยู่ว่าทำไมภาษาอังกฤษของดิฉันถึงดีกว่าเขา บังเอิญพ่อแม่ส่งดิฉันไปเรียนโรงเรียนแม่ชีฝรั่ง ตั้งแต่เด็ก เพราะฉะนั้น ภาษาอังกฤษเราก็ต้องดีกว่า นักเรียนที่เริ่มมาเรียนภาษาอังกฤษเมื่ออยู่ชั้นมัธยม แล้วเขาก็ใช้วิธีว่า เมื่อไรที่เขามีอะไรดิดขัดเรื่องภาษาอังกฤษ เขาจะไม่สนใจว่าดิฉันมีงาน หรือจะ ทำอะไรอยู่ เขาก็มาคอยควบคุมตัวดิฉันแจ แล้ว ให้ดิฉันช่วยทำงานภาษาอังกฤษของเขา จนลุล่วงครั้งแรกดิฉันก็หงุดหงด นึกในใจว่า ทำไม วันนี้เขาไม่ป่วยเสียบ้าง ทำไมเขาไม่รู้จักมีธุระอะไร บ้าง คือคิดแต่เรื่องไม่ดีใส่เขา เพื่อให้เราหลุดรอด จากเขาพอต่อมาก็ได้คิดว่านี่เราไปคิดเบียดเบียนเขานะ เราเองก็คงมีคนอื่นที่หมั่นไส้เราและคิด เบียดเบียนเราอย่างนี้ อยู่ดี ๆ เราก็อาจจะปวดหัวตัวร้อน ปวดท้องเป็นอะไรขึ้นมา เหมือนเราที่ไปคิด ให้โทษเขา ทำไมเขาไม่เป็นโน่น เป็นนี้ เป็นนั่นจะ ได้พ้นๆ จากเราไป เราทำเสบียงอย่างนี้ ไม่ดี มัน อันตรายกับตัวเองดิฉันก็นึก ทำอย่างไรดี เราถึงจะชื่นชมที่เขา มากวนเราทุกวี่วันได้ ในที่สุดก็ได้ความคิดว่า ว่าไม่ ได้นะ อักอันหนึ่งเราอาจจะต้องใช้ภาษาอังกฤษเยอะ มาก ๆ ก็ได้ นี่มีเขามาช่วยให้เราได้ปัดขี้ฝุ่นภาษาของเรา คราวนี้พอเขามา เราก็ตั้งอกตั้งใจต้อนรับ เต็มอกเต็มใจช่วยเลย สติจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ ก็ได้ ทบทวนภาษาอังกฤษของเราไปในตัวแล้วก็มีผลดีกับเราจริงๆ เพราะต่อจากนั้นอีกไม่นาน ก็มีรายการวิทยุรายการหนึ่ง ซึ่งมีการ สนทนาเกี่ยวกับธัมมะเป็นภาษาอังกฤษ ท่านพิธีกร พูดจาหว่านล้อมเสียจนดิฉันหลงใหลได้ปลื้มว่า ไม่มี ใครจะเหมาะเท่าดิฉันหรอกเราก็เลยนึก ถ้าไม่มีคุณคนนั้นมาให้เราได้ซ้อม ได้ปัดขี้ฝ่นภาษาอังกฤษ ของเรา พอออกอากาศ เราอาจตายกลางเวทีเลย แต่นี่ปรากฏว่า เรากพอกระท่อนกระแท่นไปได้ ไม่ ถึงกับฉีกหน้าตัวเองนักของทุกอย่างในโลกนี้มีคุณมีประโยชน์ทั้งนั้น เป็นของดี วิเศษสุดกับเรา ชั่วแต่ว่าเรายังไม่มีสติ ปัญญาจะดีดได้เท่าทันโยนิโสมนสิการจึงสำคัญอย่างยิ่ง ที่จะทำให้ใจเกิดภูมิคุ้มกัน แล้วสามารถตั้ง สติรักษาใจให้มีเหตุมีผล ได้คำตอบที่ประคองใจให้ เป็นกุศลอยู่ได้ตลอดเวลาถ้าใจของเราแก้ปัญหาให้คลี่คลายเป็นกุศลได้ กิแปลว่า อะไรที่เราทำไปย่อมเป็นมรรคเพราะมรรคเท่านั้นที่จะทำให้ปัญหาหมดสิ้นไป มรรคเท่านั้นที่จะทำให้เราสะสมบุญกุศลให้กับตัวเองได้ ถ้าเราหลุดลงไปในพงหนาม ในทางแห่งความทุกข์ คือสมุทัยแล้ว ใจจะเป็นกุศลไม่ได้ มันต้องร้อนขึ้น เรื่อยๆ
แล้วใครทุกข์เดือดร้อนเล่า ก็ตัวเราเอง เรา เบียดเบียนตัวเรา เพราะกว่าเราจะทำไฟในใจของ เราให้ร้อนพอที่จะเผาคนอื่นได้ มันต้องเผาเรา จน กระทั้งเนื้อตัวของเรากรอบเกรียมไปหมด ใจของเรา
ย่ำแย่ ไหม้ถลอกปอกเปีกไปหมดแล้ว มันถึงจะแผ่ รังสีลุกลามออกไปเผาคนอื่นได้ถ้าเราคิดเท่าทันอย่างนี้ จะไปโกรธเคืองคน อื่น หรือจะไปแช่งชักจองเวรทับใคร ก่อนที่เขาจะ ได้ผลอันไม่ดี เราก็ถลอกปอกเปีกย่ำแย่ไปหมดแล้ว เข้าไอซียูไปแล้ว
มีตัวอย่างเรื่องหนึ่ง กระทาชายนายหนึ่งทำ งานที่บริษัทฝรั่ง นายคนนี้เป็นคนใจน้อย แล้วก็เจ้า อารมณ์ ทันที่เกิดเหตุ คือ ทันที่ 1 เมษายน ซึ่ง ธรรมเนียมฝรั่งเขาเรียก April fool คือใครจะพูด หลอกล้อเล่นตลกหรือเย้าแหย่ทันอย่างไร เขาก็ไม่ ถือสาทั้งนั้น เพราะถือเป็นทันเล่นสนุกทัน
นายคนนี้มีพ่อเจ็บเป็นโรคหัวใจอยู่ห้องไอซียู ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เขาบังเอิญมีกิจที่จะต้องออก ไปติดต่อทับลูกค้า ก็บอกเพื่อนๆ ไว้ว่า ช่วยรับ โทรศัพท์ด้วยนะ อาจเป็นโทรศัพท์จากโรงพยาบาล แจ้งอาการของพ่อพอเขากลับมา เพื่อนคนหนึ่งสนุกมาก ก็ไป ชี้หน้าเขา.. เฮ้ย เอ็งไปทำอะไรอยู่ โทรศัพท์จาก โรงพยาบาลมาตั้งเกือบ 2 ชั่วโมงแล้วจนป่านนี้น่ะ เอ็งรีบไป ไม่รู้จะทันได้เห็นใจพ่อหรือเปล่านายคนนี้กลับเข้ามา ร้อนเหงื่อโซก ยังไม่ทัน ได้ลงนั่ง พอได้ยินอย่างนี้เข้า ตกใจจนกระทั่งเป็นลม ไปเลย แต่ความจริงไม่ใช่เป็นลม ตัวเองก็ไม่เคยรู้ว่า ตัวมีความตันสูง ตกใจตรงนั้น เลยเส้นเลือดในสมอง แตก เพื่อนๆ ช่วยกันเยียวยา พื่นขึ้นมาได้ ปรากฏ ว่าซีกขวาครึ่งซีกกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ต้องเรียกรถพยาบาล เอาไปไว้โรงพยาบาลเดียวกับพ่อจริงๆ น่ะ พ่อไม่ไต้เป็นอะไรหนักหนา อาการ ดีขึ้นแล้ว แต่เพื่อนล้อเล่นเพราะนึกสนุก ไม่ได้คิดว่า เราสนุกนี่ เพื่อนไม่มีภูมิคุ้มกัน แย่ไปเลยเขาไปอยู่ในไอซียู หมอดูแลจนรู้สึกตัวดี เขา ก็ทบทวน ที่เราเป็นอย่างนี้เพราะเส้นเลือดแตก แหม เพื่อนคนนี้ทีเดียวเชียว เล่นอะไรก็ไม่รู้จักประมาณ นึกน้อยใจว่า เพราะเพื่อนคนนี้ทีเดียว.. แทนที่จะ คิดให้เป็นโยนิโสมนสิการว่า เพราะเราทีเดียวเชียว ที่ไม่รู้จักรักษาใจเราให้มีรั้วรอบขอบชิดดีๆเพื่อนคนนี้รู้ข่าวว่า ที่เราล้อเพื่อนสนุกๆ นี่ เขาตกอกตกใจจนกระทั่งเป็นลมไป แล้วก็ไปอยู่โรง พยาบาล ก็ตามเพื่อนคนอื่นๆ ไปเยี่ยม นายคนนี้ก็ กำลังคิดอยู่พอดีว่า เพราะเพื่อนคนนี้ทีเดียวเซียวทำ เรา ไอ้นี่ก็โผล่เข้ามาถึง ก็ไม่รู้เรื่องว่า เพราะเราไป เตะระเบิดเวลาถอดสลักของเขา ระเบิดบรรลัยวาย วอดไปหมดแล้ว ก็เข้าไปถาม คุณเป็นอย่างไรบ้าง จะให้ผมช่วยอะไร
คนไข้ก็เลยน้อยใจขึ้นมาอีก มันทำเราจน กระทั่งอัมพาตไปครึ่งซีก ยังทำเป็นมาห่วงใยสงสาร เส้นเลือดอีกเส้นเลยแตกอีกโพละหนึ่งคราวนี้อัมพาตสองซีกเลยแต่ก่อนนั้น ดิฉันก็นึกไม่ออกว่า เรานี่จะทำ ร้ายตัวเองอย่างไร เวลาท่านอาจารย์สอนก็แย้งในใจ ไม่มีใครในโลกนี้หรอก ที่จะโง่เซ่อทำร้ายตัวเอง เบียดเบียนตัวเองพอได้เห็นกรณีนายคนนี้ เข้าใจซึ้งเลย พอจะโกรธใคร สติเตือนว่า ถ้าโกรธเขาแล้ว เส้นเลือดเปีอยๆ ของเราแตกไป คนที่เราโกรธทุกข์ เดือดร้อน หรือเราทุกข์เดือดร้อน ปรากฏว่าหาย
โกรธได้
แต่ก่อนนั้น หาแยบคายอุบายเท่าไรๆ ก็ยง ด้องโกรธให้ตัวเองทุกข์เดือดร้อน แต่พอเห็นคุณคน นี้ เราจะเป็นอย่างคุณคนนี้ เอาไหม ไม่เอา ถึงหนัก หนาสาหัสตายไป เราก็บังต้องไปเกิดเจอะเจอกับเขา อีก เพราะท่านอาจารย์สิงห์ทองบอกว่า อารมณ์ อะไรที่อยู่ในใจเรา ตอนที่เราหมดลมหายใจไป นั้น ล่ะ ดือภพภมิใหม่ของเราเราคงไปเกิดเป็นเล็นเกาะขากางเกงเขาอยู่ ไม่ไหวแน่เมื่อมีวิธีคิดวิธีเข้าใจที่ดีอย่างนี้ ภูมิคุ้มกันมัน เกิดขึ้นแล้ว ไม่ต้องยากลำบากไปบีบบังตับใจ เพราะ หลายคนถามว่า คิดอย่างนี้แล้วไม่แย่บ้างหรือ ที่จะ ต้องกัดฟันทน จะต้องบังคับเราให้ทำแต่ในสิ่งที่ เหมือนเบียดเบียนตัวเอง
ถ้าใจเกิดความเข้าใจ คือแยบคายอุบายมันถึง ใจ แบบท่านอาจารย์สิงห์ทองเล่า ตอนที่ท่านเริ่ม ปฏิบัตใหม่ๆ ท่านก็ตั้งท่าเลยว่า ต้องเอาสติจ่อให้ เห็นตัวข้าศึกดือกิเลสก่อน แล้วจะได้ตั้งท่ารบกับมัน เอาให้อยู่มือเลย แต่ท่านบอก พอเห็นว่านี่เรากำลัง บ้านะ กำลังถูกกิเลสต้มตุ๋น พอมองอีกที ไม่เหลือ กิเลสแล้ว
คล้ายๆ กับว่า ปัญญานี่เหมือนแสงสว่าง กิเลสคือเงา เวลาเราเข้าไปในห้องสลัว ๆ แล้วยังหา สวตช์ไฟไม่เจอ เห็นเงาโน้นเงานี้ เราก็ไม่รู้ว่ามันเงา หรือมันของจริง เราก็ตั้งท่าจะชกมันให้ควํ่าหมดเลย แต่พอกดเจอสวิตช์ จะไต้ดูหน้ากันให้กระจ่าง เงาก็ หายไปหมดกิเลสก็คือใจของเรา ที่คืดไม่ถูกไม่ต้อง เมื่อใจ เป็นปัญญา เป็นเหตุเป็นผล อยู่กับปัจจุบัน เหมือน พระอาทิตย์อยู่ตรงกลางศีรษะ ไฟสว่างโร่ มองไป ทางไหนก็ไม่มีเงาท่านเล่า แหม.. เราตั้งท่าจะชกกับมัน อ้าว กิเลสหายไปหมดแล้ว เพราะจริง ๆ กิเลสนี่ไม่มีตัว ไม่มีตน มันคือใจของเรา ที่ปรุงคิดหลอกตัวเอง ให้ หกคะเมนตะครุบเงาไป ความจริงมันไม่มี
ถ้าตั้งสติมองให้ดีๆ แล้วก็เกิดปัญญาเห็นชอบ มันไม่มี เราทำตัวของเราเอง เบียดเบียนตัวของตัว เอง แล้วหลงไปใส่ไคล้คู่กรณีเป็นจำเลยเหมือนดิฉันเคยยกตัวอย่างว่า ดิฉันเองกำลัง ดิดอะไรหมกหม่นอยู่ โต๊ะวางอยู่ตรงนี้ วางอยู่อย่าง นี้ทุกวี่วัน ดิฉันไม่ได้มอง เพราะกำลังหมกหม่นคิด อะไรไปเรื่อย เดินชนโครมเข้า แทนที่จะรู้ตัวว่า เออ เวลาไม่มีสตินี่นะ ถึงลืมตาอยู่ โต๊ะตัวตั้งเบ้อเริ่ม ก็มองไม่เห็น แล้วยังชุ่มซ่ามเดินไปซนเข้าอีก จะได้ บอกตัวเองให้ตั้งสติให้ดี
แต่ถ้าอยู่ในอารมณ์อย่างนั้น ดิฉันก็จะพาล อาจารย์ดาราวรรณนี่ ไม่ได้เรื่อง รู้อยู่แล้วว่าตรงนี้ ทางคนเดิน ก็เอาโต๊ะมาตั้งขวางอยู่ได้ ขอให้ได้ป้าย ความผิดไปให้คนอื่น แล้วก็สบายใจขึ้น
ความจริงนั้นใจไม่สบายขึ้นหรอก เหมือนเรา มีไฟอยู่ แต่ยังไม่ดับให้สนิท แล้วเราก็โกยแกลบใส่ลง ไป ก็ภูมิใจว่าไฟดับแล้ว แต่ประเดี้ยวต่อมา แกลบร้อนระอุได้ที่ ก็ลุกโซนขึ้นมา ถ้ามืลมช่วยกระพือไฟ ก็อาจจะลุกฮือขึ้นมา แล้วลามไปไหมอะไรเสียหาย เป็นหลายแสนก็ได้ใจที่เราปล่อยให้ไปโทษซ้ายป้ายขวา เพ่งโทษ คนอื่นนั้น เป็นใจที่เป็นอกุศลยกตนข่มท่าน เบียดเบียนตัวเองด้วย เบียดเบียนคนอืนด้วย คลืน ความคิดที่กระเพื่อมออกไป มีแต่ประจุบวกรายล้อม เต็มไปหมด ใจเราเองก็สะดุ้งผวา เพราะพุทธะ ใจ ตัวแท้ที่อยู่ลึกจนสคิเราหยั่งไม่ถึง รู้ตามจริง เตือน เราอยู่ เจ้าคิดอย่างนี้คิดไม่ถูกนะ คิดเบียดเบียนตัว เอง เบียดเบียนคนอื่นพุทธะของทุกชีวิตรู้ตามเป็นจริง รู้ ตื่น เบิกบาน แต่เราปล่อยให้สติเผลอไผล ขาดการฝึกฝนจึงดุ้มครองเราได้ไม่เต็มที่ ทำให้เราหลงเห็นผิดเป็น ชอบ ใจละเมอหลับไปทั้งที่ลึมตาตื่นอยู่ เลอะเทอะ เป็นไสยะ ไม่ใช่พุทธะ พุทธะพยายามเตือนให้เรารู้ สติ ตื่น อยู่กับความจริง ใจของเราจึงหงุดหงิดขึ้น มา ทั้งๆ ที่เสร็จเรื่องไปเรียบร้อยแล้ว เราน่าจะ สบาย แต่จิตสำนึกกับจิตไร้สำนึกกวนกันเอง เพื่อ เตือนให้เราระลึกรู้ตัว จะได้แก้ไข ไม่ก่อหนี้อีก
แต่เราก็รู้ไม่เท่าทันมัน อ่านใจตัวเองไม่เป็น ก็มัวโทษท้ายป้ายขวาต่อไป หนี้อันแรกก็ยังชำระไม่ หมด ไปทำหนี้ต่ออีก ในที่สุด แต่ละวัน แทนที่จะได้ กำไร ก็ขาดทุนวุ่นวี่วุ่นวาย หนี้สินล้นพ้นตัว ทุกวันๆ
ถ้าเราปล่อยให้เราเป็นเอดส์ใจอย่างนี้ เราก็ ทำร้ายตัวเอง เบียดเบียนตัวเองเรื่อยไป กว่าเราจะ ตาย คิดดูก็แล้วกันว่า เราจะเอาตัวรอดไหม ยิ่งอยู่ นานไปเท่าไร ก็ยิ่งขาดทุนหนักเข้าไปเท่านั้น ที่ร้าย ที่สุด คือ ใจเลยคิดผิดทาง แล้วฝึกให้ตัวเองเคยชิน ในทางที่ผิดๆ ครั้นรู้ตัว หรือใครมาเตือนให้ตื่นขึ้น มาได้ ก็หมดกำลังใจที่จะแก้ไขตัวเองดิฉันเคยไปพยาบาลผู้เฒ่าท่านหนึ่ง ตอนเจ็บ หนัก ท่านเริ่มได้สติว่า ท่านควรจะปฏิมัติภาวนา จะ ได้มีเสบียงติดตัวไป ครั้นพยายามจะภาวนา ก็เมื่อย ตรงนั้น เจ็บตรงนี้ ท่านก็พ่ายแพ้
ในที่สุด ท่านว่า อย่ามายุ่งกับท่านเลย ท่าน เหมือนพระอาทิตย์ที่คล้อยจะตกดินอยู่แล้ว พยายาม เท่าไรๆ ไม่ได้ผล ยังไงๆ ก็ต้องตาย จะไปตกนรก อเวจีก็ช่างมันเถอะท่านเลยหงุดหงิดใส่เรา กลายเป็นว่าเรามาเคี่ยวเชิญบีบคั้นจิตใจท่านธรรมชาติของใจนั้นเหมือนนั้า ที่จะไหลขึ้นสู่ ที่สูงเอง เป็นไปไม่ไต้ แต่ไหลลงสู่ที่ตื่าทำง่าย เพราะ ก็เลสมีแรงดึงดูดเหมือนกับเราเทนํ้าจากที่สูง ชั่วพริบตา นํ้าไหลลงข้างล่างหมดเกลี้ยงแล้ว แต่ถ้าจะ ทำทำนบทดนํ้าขึ้นยอดเขา เราต้องค่อยๆ ทดขึ้นที ละนิ้วทีละคืบ
ถ้าทำนบรั่ว ยิ่งสูงขึ้นไปเท่าไร แรงที่จะพุ่ง กลับลงมายิ่งมากเท่านั้น รอยรั่วนิดเดียว ทำนบก็แตก กระจายไต้ เหมือนที่เราฟังข่าว เขื่อนพังๆ เพราะ กำลังนํ้าช่วยดันด้วยการสร้างกำลังของใจเรา ก็ทำนองเดียวกับ สร้างทำนบ การจะฝึกใจให้มีสติสัมปชัญญะ ปัญญา มาประคองความนึกคิดให้อยู่ในทางที่ถูกที่ชอบ ก็ เหมือนค่อยๆ ทดนั้าขึ้นภูเขา ทีละนิดๆๆ ถ้าเผลอ นิดเดียว ทำนบร้าวทำนบรั่ว ก็พร้อมที่จะพังโครม ทุกอย่างหมดเกลี้ยงเลยเวลาเราพ่ายแพ้กิเลส ทำความชั่วลงไป ก็ เหมือนเทนํ้าจากยอดเขา นํ้าไหลลงสู่พื้นดิน หรือบาง ทีเลยลงไปถึงก้นเหวอย่างรวดเร็ว ขนาดกระพริบ ตายังไม่ทันเสร็จด้วยซํ้าไปด้วยเหตุนี้เราจึงต้องระมัดระวังทีเราเหนือยยาก ทีเราลำบากพากเพียรฝึก ปฏิบัติ ไม่ใช่ว่าเราโง่รู้ไม่เท่าทันคนอื่น เป็นเหยื่อ คนมือยาวสาวได้สาวเอา แต่เรากำลังสร้างบุญสร้าง กุศลเพื่อเป็นเสบียงเลี้ยงตัวได้จริงๆ ไม่ใช่เป็นแบงก์ เก๊ เมื่อไรที่เราควักออกมาใช้ก๊ได้ประโยชน์ทุกโอกาส ทำนองเดียวกับซาวสวนที่เหนื่อยยาก อาบ เหงื่อต่างนํ้าก่อร่างสร้างตัวเอาไว้ พอด้นไม้ถึงเวลา ออกดอกออกผลแล้ว คราวนี้เก็บเอาไปขายเลี้ยง ตัวได้สบาย สามารถตั้งเนื้อตั้งตัวได้ในนิทานอีสป มีเรื่องเล่าถึงซาวสวนที่มีลูก หลายคน ล้วนแต่ขี้เกียจขี้คร้าน พ่อกลัวว่า เผื่อตัว ตายไปแล้ว ลูกจะไม่มีอะไรเลี้ยงตัว ครั้นจะบอกให้ ลูกไปพรวนดิน ถอนวัชพืชทิ้ง ลูกก็คงไม่ทำเลยออกอุบายบอกลูกว่า พ่อเจ็บคราวนี้ คงจะไม่รอด หรอกนะ ทรัพย์สมบีตที่มีอยู่ พ่อกลัวคนจะมาขโมย ไป เลยฝังเอาไว้ในสวน พอพ่อตายไปเจ้าไปขุดหา เอาเถิดพอพ่อตาย ลูกทุกคนก็กระวีกระวาดถือจอบ ถือเสียมเช้าไปในสวนแบ่งพื้นที่ขุดคุ้ยกันเป็นการ
ใหญ่ ก็เท่ากับพรวนดิน เอาวัชพืชออกต้นไม้ได้ดินดีจากการพลิกดิน ไม่ใช่ดินเก่าที่อัดเหนียวแน่น ก็ออกดอกออกลูกกันเต็มเม็ดเต็มหน่วยตอนแรกพวกลูกก็ผิดหวัง พ่อหลอกเรา ฝัง ไว้ที่ไหนกัน หาไม่พบเลย ขุดกันชนิดที่ไม่มีตรงไหน จะรอดสายตาไปได้แต่พอผลไม้ออกผลเต็มเม็ดเต็มหน่วย เอาไปขายได้ราคาดี ลูกก็เกิดเฉลียวใจ ขึ้นมาว่า อ๋อ มรดกของพ่อก็คือผลไม้ ผลิตผลใน สวนนี้แต่พ่อก็รู้ว่า ถ้าบอกให้เราขยันขันแข็งไปพรวนดิน ดูแลต้นไม้ในสวน เราคงขึ้เก็ยจขี้คร้าน พ่อเลยใช้อุบายทำให้เราไต้เรียนรู้ด้วยตัวเองการแกใจก็เหมือนกัน ถึงใครมาบอกเรา มี ตำราเท่าไรๆ ฟังแล้วเราก็ว่า เออ..ใช่ ซาบซึ้ง แต่ รอไว้พรุ่งนี้ก่อนนะ คืนนี้ขอนอนก่อน แล้วมีนก็พรุ่ง นี้ไปเรื่อย ไปไม่รู้จบ แต่ถ้าเราได้มาลงมือปฏิบตอย่าง นี้ แล้วเห็นผลขึ้นมา เหมือนลูกๆ ชาวสวนที่ไปขุด เพื่อค้นหาสมบตกัน แล้วในที่สุดก็ไต้สมบ้ดิจริง คือ ต้นไม้ออกลูกเต็มที่ เก็บเอาไปขาย ได้เงินมาเป็นทุน รอนตั้งเนื้อตั้งตัว พอปีต่อไป รู้วิธีแล้ว ลูกๆ ก็พา
กันขวนขวายทำ ตกลงมรดกที่พ่อให้ก็คือสิ่งนี้นี่เอง เราต้องธีเกเราว่า อะไรที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา ไม่ว่าจะดีจะชั่ว อย่าไปคิดว่า ไม่อยากได้ ไม่อยาก ทำ ทำไมสิ่งนี้ต้องมาเกิดกับเรา ใจที่ไปคิดไม่อยาก นี่ ปิดกั้นตัวเองแล้ว ปัญญาเราที่ถ้ามองดีๆ จะเห็นวิธีแก้ไข เลยนิ่งอั้นไปหมด ตาลืมอยู่ก็เหมือนตา บอด หูฟังอยู่ก็เหมือนหูหนวก ไม่ได้ยินแล้ว ตกลง โอกาลอันนี้ก็พลาดไปถ้าทำในใจไว้ว่า อะไรที่เกิดขึ้นกับเรา เป็นสิ่ง ที่ดีที่สุดสำหรับเรา ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เราปรารถนา หรือไม่ปรารถนาก็ตาม สิ่งนั้นดีที่สุดสำหรับเรา ทำไมถึงเป็นสิ่งดีที่สุดสำหรับเรา ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ละเวลานาที ไม่ใช่ ใครดลบันดาลให้เกิดขึ้น แต่เป็นผลของการกระทำที่ เราได้ทำเอาไว้แต่เก่าก่อน อาจจะเมื่อวานนี้ เมื่อกี้ นี้ เมื่อชาติภพไหนมาแล้วก็จำไม่ไต้ แต่เป็นผลที่เรา ได้กระทำลงไปด้วยตัวของเรา แล้วมันก็ทยอยกัน งอกขึ้นมา ออกลูกออกผลเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราแต่ ละเวลานาทีถ้าเราพบว่าเราไม่อยากได้ผลอันนี้ จะได้ตั้ง สติคอยทบทวนว่า ตอนที่เผลอสติ เราเอาเม็ดอะไร หว่านลงไปจึงงอกขึ้นมาเป็นผลอันนี้ เราจะได้เก็บ มือของเราเอาไว้ ไม่หยิบเม็ดนี้หว่านออกไปอีก แต่ นี้ต่ อไป เราจะเลือกหว่านแต่เม็ดที่เราพอใจกับผล ของมันเราจะจดจำเอาไว้ว่า เหตุการณ์ที่เราชอบ ใจคราวนี้ มาจากการกระทำอะไรของเราสติความระลึกรู้ จะช่วยให้เราคอยตามรู้อิริยาบถของเรา ตามรู้พฤติกรรมของเรา ตามรู้ใจของ เรา จนกระทั่งตามรู้วาระจิตของเรา รู้ว่าที่กำลังทำ นี่นะประเดี๋ยวจะเกิดเป็นผลอย่างนี้ๆ อีกหน่อยพอ เกิดเรื่องอะไรที่ใจสะดุด เราไม่ชอบ เราก็รู้ ไม่ใช่ ใครแกล้ง เราเผลอสติทำเอาไว้เอง เพราะฉะนั้นก็ ยอมชดใช้ค่าเสียหายแต่โดยดีใจที่ฝึกให้เห็นตามเป็นจริงและรับสภาวะจริง ที่เกิดขึ้น จะรู้จักให้อภัย รักษาใจให้เป็นป้จจุบัน ไม่จดจำจองเวรให้ใจเป็นสนิมแม้ลู่กรณีจะยังจองเวรเราอยู่ เราก็ไม่เดือดร้อนเหมือนตัวอย่าง บ้าน 2 บ้าน อยู่ประชิดติด ตัน บ้านหนึ่งคอยเอารัดเอาเปรียบอีกบ้านหนึ่ง ขณะ ที่บ้านที่ถูกเอารัดเอาเปรียบก็ตั้งอยู่ในความสงบ เพราะใจของฝ่ายนี้ฝึกปฏิบ้ติ มีหลัก มีกำลังตั้งมั่นมีไรจะถูกอีกฝ่ายแกล้งสารพัดสารพัน เป็นต้นว่า สร้างชายคาบ้านให้ยื่นคร่อมรั้ว เวลาฝนตก นํ้าก็ ไหลกระเชนเข้ามาต่อมาต้นไม้ที่ปลูกไว้ชิดรั้วก็แตกกิ่งก้านยื่นเข้ามาในบ้านฝ่ายนี้เจ้าของบ้านขอร้องให้ช่วยตัดก็ไม่ตัดวันหนึ่ง บ้านติดตันออกไปธุระกันหมด ฝ่าย นี้ก็แกล้งตัดกิ่งไม้ ให้เหมือนอย่างกับว่ามันถูกลมพัด หักลงมาเองโดนหลังคากระเบื้องแตกไปเป็นแถบเพื่อนบ้านก็มาบอกว่า เจ้าของบ้านเกเรแกล้งตัดให้ หล่นลงมาบนหลังคา ถ้าจะสืบสวนเอาเรื่อง เพื่อน บ้านก็จะเป็นพยานให้เขานึกถึงคำสอนของท่านอาจารย์ที่ว่า ของ อะไรก็ตาม ถ้าไม่ได้เห็นด้วยสองตาของเรา หรือ ไม่ได้ยินด้วยสองหูจากต้นตอนี่ ถือว่าฝัน เราอย่า เป็นนักทำนายฝัน ท่านอาจารย์จะสอนเราว่า ถ้าอะไรก็ตาม เรา ไม่ได้เห็นด้วยตัวของเราเองคาหนังคาเขา อย่าไป เพ่งโทษ อย่าไปปรับโทษใคร ยกผลประโยชน์ให้ จำเลยไปถ้าลมพัดกิ่งไม้ตกลงมายังไงๆ เราก็ต้องซ่อมหลังคาเราอยู่แล้ว นี่เราก็ไม่ได้เห็นตอนมัน หล่นลงมาด้วยตาของเราเอง อย่าให้เป็นเวรเป็น กรรมกันเลย ถ้าเขาแกล้งเรา ก็ให้เป็นอโหสิกรรม กันไป ใครทำกรรมอย่างไหนไว้ เขาย่อมได้รับกรรมอย่างนั้น ใจคุณคนนี้เธอก็สบายแล้วเธอก็จัดการซ่อมบ้านของเธอเองเพื่อนบ้านที่จงใจแกล้ง เมื่อแกล้งแล้ว ก็คอย ดูว่ารายนี้จะโกรธจะเกรี้ยวเพียงใด ปรากฏว่ารายนี้ ไม่โกรธไม่เกรี้ยว ตัวเองก็ยิ่งแค้นหนักเข้าไปอีกเหมือนเรา เวลาที่โกรธใคร แล้วเราแกล้ง เขา ปรากฏว่าเขาไม่มีปฏิกิริยาอย่างที่เราตั้งใจ เรา ก็แค้นใจตกลงยิ่งทุกข์หนักเข้าไปอีก เดือดร้อนหนักเข้าไปอีก ท่านจึงได้ว่า เราไม่ต้องไปโต้ตอบเขาหรอกความชั่วที่เขาทำไว้ จะทำให้เขาทุกข์เดือดร้อนเอง เพราะใครทำเหตุอย่างไรไว้ ก็จะต้อง ไต้รับผลของเหตุอย่างนั้น
เมื่อค่อยฝึกไปแล้วเห็นจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับ ชีวิตเราอย่างนี้ ใจจะเกิดความเชื่อ เลื่อมใส แล้ว อดทนอดกลั้น แต่ไม่ใช่กัดฟันอดทนอดกลั้น มันจะ อดทนอดกลั้นขึ้นมาเอง ด้วยความเข้าใจเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์จะรอจะคอยจนกระทั่งเม็ดที่หว่านมันงอกขึ้นมา เป็นด้น ใบ มีดอก มีผล ให้เราแน่ใจ มนใจว่า สิ่งที่เราคิด เหตุผลที่ เรามีนี้ ใช้คุ้มครองใจเราให้ไปในทิศทางที่ถูกต้องได้ ต่อไปปัญญาที่ฝึกอยู่เรื่อยๆ จะคล่องแคล่วขึ้น พอมี อะไรที่จะเป็นปัญหามากระทบ ใจที่ฝึกให้ตั้งสติเอา ไว้ให้ต่อเนื่องกัน จะพิเคราะห์พิจารณาปัญหาให้ กลายเป็นปัญญา จบเรื่องไปเราไม่ไต้ภาวนาแต่เฉพาะเวลาที่เดินจงกรม หรือนั่งสมาธิ เหมือนที่เรามาทำกัน 7 วันบนวะภูแก้ว นี้ แต่เราถือว่า เมื่อไรก็ตามที่เรามีสติกำกับอยู่กับ ใจ เวลาเหล่านั้นเป็นเวลาของการภาวนาทั้งสิ้น ไม่ ว่ากายจะอยู่ในอิริยาบถอะไร เพราะตัวที่ทำภาวนา คือใจ ไม่ใช่ร่างกายร่างกายเป็นแต่เพียงเครื่องมือ เพราะนั่งนาน เกินไปร่างกายก็เมื่อยขบ นอนนานเก็นไปก็เมื่อย ต้องเปลี่ยนอิริยาบถบ้างอิริยาบถเป็นเพียงเครื่องบดบังทุกข์ของกาย มันอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานๆ ก็ แย่ จึงต้องเคลื่อนไหวไปมาใจต่างหากที่เป็นตัวปฏิบัติ รักษาสติให้อยู่ต่อเนื่องกันตลอดเวลาถ้าสติต่อเนื่องกันไต้ ภูมิตุ้มกันก็เก็ดขึ้น เอดส์ ย่อมหายไป เพราะได้วัคซีนชนิดดีแล้ว ถ้าระลึกนึก อย่างนี้ได้ กิเลสที่เคยมีอิทธิพลต่อจิตใจเรา เคย ครอบงำเราได้ ก็จะค่อยๆ เสื่อมฤทธเสื่อมเดชไป แล้วพุทธะที่อ่อนเปลี้ยเพลียแรง ถูกกิเลสเตะไปสลบ เหมือดอยู่ ก็ค่อยมืกำลังขึ้นมา คอยสะกิดเตือนให้ เราได้ติดจดจ่อตงสติเอาไว้ ท่าให้ผลเริ่มต่อเนื่อง กันตลอดเวลาที่เราลืมตาตื่นอยู่ จึงปฏิบัติได้ทุกเวลานาทีถ้าไปยึดผิดว่า ปีหน้า ฉันจะเอาตอนเดือน เมษาขึ้นมาปฏิบัติอีก แล้วตลอดเวลา 11 เดือน เรา ก็ปล่อยใจให้กระเซอะกระเซิงไปตามแรงประกับทรง ของกิเลส กว่าจะถึงเมษายนปีหน้า หนี้เราอาจจะ เพิ่มขึ้นมาอีกหลายร้อยล้านก็ได้ เราก็ท้อใจ เดี๋ยวนี้ ให้ตื่นตีสี่ก็ยังตื่นไหว พอปีหน้าเราแก่ลงไป ถึงตีสี่ แล้วก็ลุกไม่ไหวแต่ถ้าเราผิกของเราอยู่เรื่อยๆ ทุกเวลานาที ที่ลืมตาตื่นให้มีสติอยู่กับใจ ในชีวิตประจำวัน เมื่อมี ปัญหาอะไรตั้งสติกำหนดฟังลู่กรณี ฟังคำพูดเขาให้ดี เมื่อสติอยู่กับใจต่อเนื่องกัน ใจที่กระเพื่อมคิดฟุ้งซ่าน ไป เหมือนผิวนํ้าที่เป็นระลอก ก็สงบนิ่ง เมื่อใจสงบ นิ่ง ตัวรู้จะแวบขึ้นมา เหมือนเราปรายตามองไปใน บ่อนํ้าที่ผิวนํ้านิ่ง อะไรอยู่ที่ก้นบ่อก็เห็นได้หมดปัญหาทุกปัญหาที่เกิดขึ้น ถ้าเราตั้งใจฟังตัว ปัญหาให้ชัดเจน มันมีคำตอบอยู่ในนั้นแล้วเราจะสะดุดว่า ตรงนี้แหละ เริ่มด้นแกะที่ตรงนี้ แล้วปมจะ หลุดเมื่อตั้งใจฟังอย่างนี้จนเป็นอุปนิสัย ปัญญา พัฒนาเพิ่มพูนขึ้น เพียงแค่ฟังเท่านั้น คำตอบจะชัด ขึ้นมาในใจ เราเกิดความมั่นใจ เมื่อนำไปแก้ปัญหา แล้ว ผลที่เกิดขึ้น ดีกว่าที่เราไปเสียเวลาคิด เอา อย่างนี้ดีหรือเอาอย่างนั้นดีความคิดนั้นไม่ใช่พุทธะ ไม่ใช่รู้ตื่นเบิกบาน เป็นอาการของใจที่กระเพื่อมไป ปรุงคิดไป เป็นเงา ของใจ ซึ่งปรุงไปตามที่จำจากได้ยินได้ฟังมา จาก ประสบการณ์ที่ยังมีผิดๆ พลาดๆ ล้วนเป็นสถิติของ กิเลสการรู้แจ้งรู้จริงจากการกำหนดให้ใจของเราสงบ แล้วเถิดรู้ขึ้นมาในใจนั้นไม่เหมือนกัน ความ ปรุงคิดไม่คมชัด ไม่เดีดขาดเท่า
ถ้าพากเพียรผิกตัวเองจนเห็นเป็นขึ้นมาในใจ สักครั้งหนึ่ง ใจจะหมดความสงสัย อันที่จริงพวกเรา กิคงเคยเป็นกันมาแล้ว เวลาจะทำอะไร เป็นด้นว่า เขียนแผนงาน คิดจนปวดทัวไปหมดก็ยังไม่ได้เรื่อง ยอมแพ้ เราไปพักก่อน ไปนอนก่อนดีกว่าความเหนื่อยเพลียทำให้หลับได้เต็มอิ่ม ตื่นขึ้นก็มีคำตอบ แวบขึ้นมาชัดเจนเหมือนมีใครมาบอกนั้นแหละ ช่วงที่เรานอน ใจได้ความสงบ เหมือนเราได้ทำสมาธิ พอตื่นมา เรายังไม่ทันได้คิด ฟังซ่านอะไร ความรู้ก็เกิดขึ้นมา ใจของเราที่ครุ่น คิดอยู่กับงานก่อนไปนอน เป็นเสมือนตัวบริกรรม ใจ จดจ่อค้นหา นี่อะไรนะ ครั้นตื่นขึ้นมา ก็ได้คำตอบ เพราะใจสงบลงรวมรู้เห็นเป็นขึ้นในใจแล้ว
ถ้าเราไม่ดีเก เราก็ไม่รู้ไม่เข้าใจ พอมีปัญหา ก็เข้านอนเถอะแต่เราไม่ได้เตรียมใจให้นิ่งอย่างที่
เราเข้านอนคืนนั้น ถึงเข้านอนไป ใจก็ยังหมกมุ่น ซัดส่าย เออ.. จะได้คำตอบไหม ตื่นขึ้นมาใจก็ยัง
ไม่นิ่งพอ มันก็ไม่ได้คำตอบ เราก็หงุดหงิดอีกจะเอายังไงดี..ใจที่เป็นนิวรณ์ก็พาให้หลงผิด ไปหา
หมอดูหมอเดา ไปอย่างโน้นอย่างนี้อย่างนั้นใจที่ไม่มีสติระลึกรู้ว่า เมื่อคราวก่อนที่เกิด ผลขึ้นมาอย่างนั้น มาได้อย่างไร เราก็เดาไปว่า เป็น ความบังเอิญ เป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้แต่ที่จริงนั้นไม่ได้เป็นความบังเอิญ หากเป็นสิ่งที่เราดีกับตัวเราได้ ถ้ายังไม่ได้ดีฝึกให้ใจรู้ชัดถึงเหตุว่า เราจะต้อง ทำอย่างนี้ๆ ๆ แล้ว จึงสัมฤทธิ์ผลทุกครั้งไป ใจก็กังวล มีนิวรณ์ขึ้นมากลุ้มรุม เลยยิ่งไม่รู้ไม่เห็น เราปล่อย ใจให้สบายๆ ว่างๆ เพลินๆ ความรู้ก็แวบขึ้นมาอีก แต่ถ้าสติไม่คมพอ ความรู้ที่เกิดขึ้นนั้นก็เกิดแล้วดับ ไปโดยเราไม่ระลึกรู้
ถ้าเราคอยฝึกให้ตลอดเวลาที่ลืมตาตื่นอยู่ มี สติตามระลึกรู้ ดีกิรู้ ชั่วก็รู้ คือทำเหมือนสติเป็น พี่เลี้ยงที่คอยตามรู้ว่า ใจของเรา กายของเรา ซัดส่าย ไปอย่างไร คู้เคลื่อนไปอย่างไร โดยไม่ให้คลาดสายตา แล้วเอามาทบทวนทุกคืนๆ ก่อนนอน จนในที่สุด ไม่ ว่าเราจะทำอะไร สติจะตามรู้ไป จนเข้าใจว่า เหตุ ปัจจัยอั้นใดที่ส่งให้เป็นผลอั้นนี้อั้นนี้ใจเกิดความแน่ใจ มั่นใจ มีกำลังใจที่จะฝึก ตัวไปเรื่อยๆ อยากก็ทำ ไม่อยากกิทำ ที่งที่ครั้งแรก ต้องฝึกฝืนตัวเองให้ลัดฟันทนทำไป เพราะรู้จำว่า ทำแล้วเราได้ดี ต่อไปเมื่อรู้จริงแล้ว ถึงไม่อยากกิมี กำลังที่จะฝึกฝืนเราให้ทำอย่างดี ไม่ใช่ทำชุ่ยๆ เพียง ให้พ้นหน้าไปใจที่กวัดแกว่งปลิวไปตามอารมณ์เริ่มมีฐาน รองรับ เกิดความหนักเอาเบาสู้จะชอบจะไม่ชอบเมื่อรู้ว่านี่เป็นหน้าที่ที่เราต้องทำ เรากิทำแล้วทำโดยมีสติคอยควบคุมคุณภาพ ให้ไม่นํ้าขึ้นน้ำลงตาม อารมณ์ไป เรากิเริ่มเป็นคนเสมอต้นเสมอปลายใจที่มีความเสมอต้นเสมอปลาย คือใจที่มีศีลเพราะอะไรเพราะศีลคือความเป็นปกติของกาย วาจา ไม่อย่างนั้น เวลาเราชอบใจ เท่าไรเท่าก้นได้ เราทำ ได้ทั้งนั้น พอไม่ชอบใจขึ้นมา ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ทั้ง นั้น หรือชอบใจขึ้นมา เสียงก็อ่อนก็หวาน ครั้นไม่ ชอบใจ เปลี่ยนเป็นมะนาวแล้งน้ำเลย
เมื่อเราแกฝนตัวเราแล้ว สติจะคอยเตือนให้ เรารักษาคุณภาพของเราให้คงเส้นคงวา กาย การ กระทำของเรา วาจา คำพูดของเรา เริ่มเป็นปกติทั้ง ยามรักยามซัง ตกลงศีล ความเป็นปกติของกายวาจา ก็มาเป็นสมบัติของใจใจที่มีสติรักษาอยู่ จะทำให้กายวาจาของเรา เสมอด้นเสมอปลาย ไม่มีอคติ ต่อไป เมื่อศีลมีอยู่ อย่างนี้ เราทำอะ ไรไปแล้ว ก็ไม่ต้องสะดุ้งว่า วันนี้ เสียงของเราเครียดกับเขา เขาจะไปเข้าใจเราผิด หรือเปล่าเราไม่ได้โกรธเขาหรอก แต่หงุดหงิดเรื่องคนอื่นมาต่างหาก บังเอิญเขาเคราะห้ร้าย เข้า มาตรงจังหวะที่เรานอตหลุด ลานขาดกระเด็นแทนที่จะได้พักผ่อนนอนหลับ หรือรักษาใจ ให้เป็นปัจจุบัน เราก็ไปนั่งกังวลถึงเรื่องนี้อยู่ พอพบ เขารันรุ่งขึ้น ลืมอธิบายให้เข้าใจ ลืมขอโทษเขาอีก ใจก็เลยพะรักพะวนว้าวุ่นอยู่กับสิ่งที่แล้วไปแล้วถ้ากายวาจาเป็นปกติ ใจของเราจะเป็นอิสระ ทำอะไรไปแล้ว เราก็พอใจ เราก็เต็มใจแล้วก็ไม่ไปสะดุ้งห่วงกังวลใจที่จะมีนิวรณ์ ฟุ้งซ่าน คิดเบียดเบียนตัวเอง ก็ไม่มีทำอะไรไปแล้วก็แล้วกันจบกัน ใจถึงจะไม่ได้ภาวนา ไม่ได้บริกรรมอยู่ ก็ เหมือนบริกรรม เพราะจดจ่อรู้อยู่กับปัจจุบันต่อเนื่อง กันได้มากขึ้นๆ เป็นใจที่มีสุขภาพใจแข็งแรง ใจที่ มีสุขภาพดี แข็งแรง มีอะไรมากระทบ จะเจ็บหนัก เจ็บหนา ก็กลายเป็นเจ็บน้อยเหมือนเรา ถ้าสุขภาพกายเราแข็งแรง ถึงไป ลำบากตรากตรำมา ก็ไม่เป็นอะไร แต่ถ้าเรากำลัง ทรุดโทรม พอไปลำบากตรากตรำนิดหนึ่ง เป็นหวัด ปวดบัวตัวร้อนนิดหนึ่ง ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต ไป ดีไม่ดีเลยตายไปก็มี
ใจก็เหมือนกัน ถ้ารักษาให้สุขภาพแข็งแรงดี มืสติเป็นภูมิคุ้มกันเอาไว้ เอดส์ใจก็เป็นไม่ได้ ไม่ว่า กิเลสอะไรจะพัดพาเข้ามา ผัสสะอะไรจะมากระทบ เราก็ร้เท่าทัน แล้วสามารถหมุนให้เป็นหินลับปัญญา ได้ เราก็ปลอดภัยเราเชื่อมั่นในตัวเอง ไม่ต้องไปคอยกังวลเว้าวอนว่า เจ้าประคุณเอ๋ย พรุ่งนี้ขออย่า เกิดเหตุโน้นเหตุนี้ อย่าเจอคนโน้นคนนี้คนนั้น เมื่อ มืข้อแม้มาก โอกาสที่จะผิดหวังก็มีมากเมื่อใจมีความเบา มีความสบาย พอถึงพรุ่งนี้ เข้า.. เออ ขอบตุณที่เรายังมืชีวิตอยู่ แข็งแรง มี โอกาสจะได้สร้างบุญสร้างกุศลเป็นเสบียงให้ตัวเอง อีกใจชนิดนี้เป็นใจที่เป็นอิสระ ไม่ไปพะวักพะวนกลัวโน่นอยากนี่ คอยหนีหนี้ตรงนั้นตรงนี้ มีความ แน่วแน่เด็ดเดียวจริงจัง พูดคำไหนเป็นคำนั้นมีอะไรมากระทบ ถือเป็นหน้าที่ ก็ตั้งใจจดจ่อ ทำให้เสร็จลุล่วงไป ไม่ใช่ผัดผ่อน เดี๋ยวก่อนๆ แล้ว เลยลืม ไม่ได้ทำเพราะฉะนั้น เกิดอะไรขึ้น ก็จะทำให้เสร็จลุล่วงไปใจก็ยิ่งเบาสบายเพิ่มขึ้น ไม่มีความกังวลอะไร ที่จะทำให้เดี๋ยวก็ไปห่วงหน้าพะวง หลัง
ใจเป็นใจปัจจุบัน เป็นปัจจุบันขณะ เลี้ยงตัว เองอยู่ได้สบายต่อเนื่องกันเรื่อยไปเมื่อใจเป็นอย่างนี้ มีคุณภาพอย่างนี้แล้ว จะ ปฏิบติหรือไม่ปฏิบติก็เหมือนกัน เพราะเหมือนปฏิบัติ โดยธรรมชาติอยู่แล้ว มีอะไรมากระทบ ที่จะทำให้ ใจกระเพื่อมกระฉอกไป สติก็ตามเตือนตามรู้ ตาม แก้ไขเหมือนท่านที่มาปฏิบติท่านหนึ่ง เล่าให้ฟังว่า ปกติท่านเป็นคนปากไวมาก ใครพูดอะไรมา ท่านจะ ต้องเสียบกลับไป แล้วมืความภูมิใจลึกๆ ว่า ฉันตอบ เขาได้สาแก่ใจเหลือเกินกันหนึ่ง ท่านกำหนดของท่านอยู่ตามปกติ กล่าวคือ ถ้าไม่มีอะไร ท่านก็อยู่กับลมหายใจ ถ้ามี งานหรืออะไรก็ไปกำหนดอยู่กับสิ่งนั้น แต่ละขณะ แต่ละขณะกันนั้น ก็มืคนที่มีเรื่องไม่ถูกกันกับท่าน มาพูดจาเสียดสีท่านต่อหน้าธารกำนัล พอได้ยิน ใจ ก็กำหนดรู้อยู่กับลม แล้วท่านก็เฉย ไม่ตอบไม่โต้ อะไรพอตกกลางคืนจะเข้านอน สติไม่ได้จดจ่อ
ต่อเนื่องอย่างกลางกัน ท่านเกิดเสียดายขึ้นมาว่า ตาย แล้ว วันนี้ทำไมฉันถึงปล่อยให้ เขาเสียดสีเอาๆ แล้ว ไม่โต้ไม่ตอบอะไรเลย นี่เขาไม่คิดว่าฉันโง่เซ่อ หรือ ฉันเป็นอะไรไปแล้วหรือ
ท่านมาถามดิฉันว่า ท่านควรจะตามไป เสียดสีโต้ตอบกับคู่กรณีดีไหม เพื่อให้ผู้คนเห็นว่ายัง มีฤทธิ์มีเดชอยู่ดิฉันเรียนท่านว่า ถ้าท่านตายไปตอนเกิดเรื่อง ท่านไปดีแน่ๆ เพราะใจของท่านอยู่กับปัจจุบัน เป็น พุทธะ รู้ ตื่น แต่ถ้าท่านตายไปตอนกลางคืน ท่าน เอาตัวไม่รอด ไปเกิดอยู่กับคู่กรณีเต็มจอเลย เพราะ สัญญาที่เคยปะทะกับเขายังฝังอยู่ในใจ ทำให้เสียดาย ที่ไม่ตอบโต้ ยังอยากจะไปก่อหนี้ให้เป็นเวรกรรมกับ เขาอีก เลยหลุดจากมรรคจะไปว่าเขาให้สาแก่ใจเท่ากับไปข่วนตอบเขาคราวนี้เขาข่วนเรามาเรานิ่ง ก็เป็นอโหสิกรรม จบ หลุด เราเป็นอิสระไปถ้าการปฏิบัติไม่ต่อเนื่อง สัญญา สังขาร ซึ่ง เป็นเงาของใจ มาทำให้เราไปเสียดาย อยากกระโจน กลับไปเข้ากรงขังเขาใหม่ ทำให้เรื่องไม่รู้จบขณะที่เราปฏิบิติต่อเนื่องอยู่ เราเอาตัวรอด แต่ถ้ามีเวลายาวนานไป ความเคยชินของกิเลสยัง มาเย้ายวน มาทดสอบใจถ้าปัญญายังไม่เท่าทันเราก็ตกหลุมของกิเลสไปอีก อย่างคุณคนนี้เราทำดี เราทำถูกแล้ว แต่พอมีเวลาคิดนานๆ แทนที่จะเป็นคิดพิจารณาให้เกิดปัญญาเห็นชอบ เรา คิดไปด้วยอวิชชาอุปาทานเป็นอารมณ์ เห็นผดเป็น ชอบ ถ้าเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องตกหลุมกิเลส ก่อทุกข์ ก่อโทษไห้ตัวเอง ให้รักษาคุณงามความดีของเราไว้ ต่อไป เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์บุคคลเองพูดแล้วเรายิ่งขาดทุน เพราะพูดไปแล้วภูมิ คุ้มกันเรายังไม่เข้มแข็งจริง โดนเขาก่อกวนเข้าหน่อย ปรากฏว่าเราเลยเก่งกว่าเขา เอากิเลสไปถล่มเขา หนี้สินเลย เบิกบานเกินเขาไปอีกยาที่จะรักษาเอดส์ใจของเราคือสติ ระวังอย่า ให้หลุดพลาดจากใจไปเป็นอันขาดถ้ายังไม่แน่ใจไม่มั่นใจ เงียบเข้าไว้ รูดซิปปากเอาไว้ก่อน ตั้งสติให้ ดี เป็ดหูเป็ดตาให้กว้างขวาง เก็บข้อมูลเอาไว้ให้เดิมที่พิจารณาไตร่ตรองตอนนั้นยังไม่ละเอียดถี่ถ้วน ก็ทำเหมือนถ่ายวีดีโอเอาไว้ อย่าให้ขาดตกบกพร่อง ไม่ต้องไปคิดโต้ตอบ ไม่ต้องไปเถียงเขาตอนนั้น ตั้ง สติเก็บแต่ข้อมูลเอาไว้ ข้อมูลเหล่านี้คือความจริงที่ จะมาสอนใจเรา ให้รู้เห็นเข้าใจปัญหาตามเป็นจริง ทุกแง่ทุกมุม หมดสิ้นข้อสงสัยแต่ถ้าเราข้อมูลขาดตกบกพร่อง กระท่อน กระแท่น แก้ปัญหาออกมาแล้วใจไม่ยอมลงให้ เพราะ ใจเป็นของจริงของแท้ ถ้าข้อมูลยังเว้าแหว่งอยู่ ใจ จะรับไม่ได้ ไม่ยอมลงรวม ยังวุ่นคิดไม่ยอมจบสักที ถ้าข้อมูลครบถ้วนถึงใจ ไม่ทันต้องคิด ใจลง ให้ราบคาบทันที เหมือนที่ท่านอาจารย์สิงห์ทองว่า ตั้งท่าทะทัดทะแมง เรามีกำสังแล้ว กิเลสหน้าไหน มา สิบตัวกิสู้ไหวทั้งสิบตัว กิเลสกลับหายไปหมด เพราะความจริงกิเลสคือเงาในใจของเรานั้นเองขณะที่เราหวั่นไหว กิเลสก็เหมือนยักษ์สับ ตะเกียงอาลาดินในนิทานอาหรับ อาลาดินมีตะเถียง อยู่อันหนึ่ง ขณะที่เช็ดถูตะเกียงเพื่อทำความสะอาด ยักษ์ก็ออกมาจากตะเกียง แล้วขยายตัวใหญ่ขึ้นๆ พลางถามว่า นาย.. นายจะให้ฉันทำอะไร ทีนี้เราไม่ รู้จัก ไม่เคยหมุนเอากิเลสมาเป็นมรรคของเรา เราก็ กลัวจนขาดสติ ถูกกิเลสพัดเราตกทะเลไป แต่ถ้าเรา รู้ว่ากิเลสนี่ เอาหนามบ่งหนาม
หลายคนมาปฏิบัติแล้วเข้าใจว่าต้องไม่คิด ถ้า คิดแล้วจะฟังซ่าน ท่านอาจารย์อธิบายว่า ไม่ใช่ คน เราที่ยังมีอวิชชาอยู่ในใจ ย่อมมีความสงสัยอยู่รํ่าไป ถ้าคิดไม่ได้ แล้วเราจะไปเอาปัญญามาจากที่ไหน เราคิดได้ คิดให้เป็นมรรค เวลาคิด ให้เอาสติคอย กำหนดดูใจเรา คิดแล้วใจเราจะค่อยๆ สงบลง เกิด ความรู้ที่ดีงาม เป็นเหตุเป็นผล เป็นกุศลเรากำลังนี่งงอยู่ตรงนี้ดี ๆเกิดคิดจะไปข่วนเขาให้บรรลัยวายวอด ความคิดอย่างนี้ผิด คิดแล้ว เป็นอารมณ์ เป็นสมุทัย ต้องหยุด มาตั้งฐานใหม่ มา บริกรรมอยู่กับลมหายใจ จนใจสงบ ตั้งมั่น มีกำลัง ขึ้นมา จึงลองคิดพิจารณาในสิ่งที่ไม่เป็นพิษเป็นภัย กับการปฏิปัติ
ถ้าไม่ฝึกคิดให้เป็นมรรค คิดให้ไต้เหตุผลเป็น ปัญญาเห็นชอบ เราจะไม่สามารถกลับคืนสู่พุทธะได้ คิดทีไรก็เป็นจึตตสังขาร เป็นสถิติของกิเลส เราก็ ติดตนอยู่ตรงอวิชชาคือความผ่องใสอย่างยิ่ง คิดทีไร ก็เป็นหนี้ทุกทีไปเราปฏิบติแล้ว เราต้องคิดให้เป็น คิดให้ถูก คิดให้เป็นเครื่องผ่อนแรง ให้เกิดความรู้ความเข้าใจ ถ้าใข้แต่สติแล้วกัดฟันทนอย่างเดียว เหมือนเราจับ กิเลสหรือเสือซังไว้ในกรง แล้วบอกว่าเราจะไม่ให้ อาหารมันเลย ยากมากที่เราจะเอากิเลสให้อดจน กระทั่งผอมโซ เราเอามือไปบีบคอมันตายได้
เราเผลอสตินิดเดียว เราเองนั่นแหละเอาเนื้อ โยนเข้าไปในกรง ไม่ใช่ทีละก้อนน้อยๆ ทีหนึ่งเป็น สิบๆ กิโลเลยแหละ ตกลงเสือก็มีกำลัง เพราะเรา ไม่รู้ตัว ขาดสติ ใจซัดส่ายฟังซ่านเป็นกิเลสไปอีก แล้วการจะเอาเสือซังให้อดโซจนตายนี่ ทฤษฎีมันมีได้ แต่ภาคปฏิบีติเป็นได้ยากยิ่งท่านอาจารย์ว่า กิเลสเหมือนไฟที่เผาผลาญ เรา ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย ไม่เอานํ้าไปดับ ไม่จัดการ อะไรเลย ตั้งอยู่ในความอดทนว่า ของทุกอย่างเกิด ขึ้น ตั้งอยู่ แปรเปลี่ยน แล้วก็ตับไป เพราะฉะนั้น โกรธขึ้นมา เราดูไป มันโกรธได้ เดี๋ยวมันก็แปรเปลี่ยนแล้วก็ดับไป เป็นไตรลักษณ์อย่างนี้เองแต่ใจของเรานี่ ไม่เที่ยง ตรงที่ไม่สามารถ รักษาสติตามดูจนกระทั่งโกรธดับไปเรามักไปคลุก
กับโกรธ จนกระทั่งโกรธมาไหม้เราถลอกปอกเปิก หมดทุกที เราจึงต้องเอาปัญญาเป็นมีดไปดัดให้ขาด กำลังของสมาธิเหมือนนํ้าหนักของดาบ คน ที่พูดว่า ฉันไม่ต้องทำสมาธิ ฉันฝึกแต่ปัญญาอย่าง เดียวก็พอ เหมือนมีดที่เป็นอะลูมิเนียม คมจริง แต่ เบาหวิวพอเหวี่ยงลงไปดัดหญ้า มันก็ลู่ตาม แต่หญ้าไม่ขาด เพราะมีดไม่มีนํ้าหนักส่วนคนที่บอก ฉันจะเอาแต่สมาธิอย่างเดียว ก็เหมือนมืดที่หนักแต่ทื่อ เรายกจนหัวไหล่คลอน ฟาดลงไป หญ้าชํ้าแหลกก็จริง แต่มันทื่อ หญ้าก็ไม่ ขาดอีกเพราะฉะนั้น สมถะกับวิปัสสนา สมาธิกับ ปัญญา จึงต้องได้สัดส่วนกัน มีดต้องมีความหนักพอ สมควร ใจจะต้องนิ่งพอสมควรก่อนจะคิดพิจารณา ไม่อย่างนั้น คิดแล้วกลายเป็นอารมณ์ฟังซ่าน คิด แล้วไม่เป็นโยนิโสมนสิการ คิดแล้วเป็นกิเลสคิด เป็น ความรู้มาก เอาเปรียบ เห็นแก่ตัวถ้าใจสงบเป็นฐานแน่นพอสมควร ความคิด จึงจะเป็นปัญญาเห็นชอบ พาเราไปในทางที่ถูกต้อง ใจไม่ต้องฮึดฮัดตัดฟันทน เพราะปัญญาพาให้เข้าใจ เสียแล้วเหมือนคราวหนึ่ง ดิฉันมืคนงานในคณะที่หูหนวกแต่พวกเราไม่ทราบว่าเขาหูหนวก เราก็โกรธเขาได้ทุกวันเราสั่งให้เอาหนังสือไปที่สำนักงานส่วนกลาง ก็เอาไปทิ้งเสียบอกให้ปิดหน้าต่างก็ไปเปิดประตู เป็นอะไรทำนองนี้ ทุกคนก็บ่นตัน เจอตันทีไร ก็นินทาเจ้าคนงานคนนี้ว่า จะต้องฆ่า มันให้ตายเสียสักวันหนึ่ง แต่แล้วก็ใช้เขาทุกทีวันหนึ่ง ดิฉันมีธุระกับเพื่อน พอไปถึงห้องพัก เขา เพื่อนกำลังสั่งงานกับคนงานคนนี้อยู่ เราก็นึ่งดู อยู่เฉยๆเวลาสั่งงานคนงานคนนี้ เราไม่เคยเห็นกิริยานี้ของเขาเพื่อนสั่งไปก็รื้อของไป คนงานก็ตามคอยดูปากเพื่อน แล้วขมุบขมิบปากตัวเองตาม ที่เพื่อนพูด พอเพื่อนก้มลงไปหยิบของ เขาก็ก้มลง ไป แล้วแหงนหน้าดูปากเพื่อนใจเราก็นึกขึ้นมาว่า เอ๊ะ หมอนี่น่ากลโวหูหนวก แฮะ พรุ่งนี้จะต้องส่งไปตรวจหู พอส่งไปตรวจ ผล กลบมาก็จริงๆ แก้วหูข้างขวาขาด หูขวาหนวกสนิท ไม่ได้ยินเลย ข้างซ้ายเป็นนํ้าหนวกเรื้อรัง แก้วหู หนา ได้ยิน 30 % พอไต้เห็นรายงานอย่างนี้ ไม่มี ใครโกรธนายคนนี้อีกต่อไปเวลาจะสั่งงานกับเขาเราก็ไม่ออกคำสั่ง แต่เขียนโพยเหนึบไป ก็ได้ผลดี เต็มเม็ดเต็มหน่วย
นายคนนี้เป็นคนขยันขันแข็ง รับผิดซอบดีมาก แต่ไม่ยอมบอกเราว่า เขาหูหนวก ฟังไม่ได้ยิน ครั้น ถูกพวกเราถาม ทำไมถึงไม่บอกว่าเธอหูหนวก เรา จะได้เขียนโพยสั่ง เขาก็ยิ้มแล้วบอก ถ้าอาจารย์รู้ ว่าหูหนวกแล้ว ผมกกัวจะถูกไล่ออกจากงานครับ เราเลยสำทับ เธอไม่กลัวบ้างหรือว่า ที่เธอฟังคำสั่ง ไม่รู้เรื่อง จะถูกฆ่าตายเสียก่อน เขาก็ยิ้มนี่แหละคนเราต่างมีจุดยึดกันคนละแห่งเขาคิดแต่เพียงว่า ถ้าเขาพิการหูหนวก อาจจะรับราชการไม่ได้ แต่เขาไม่ไต้คิดว่า ความบกพร่องของ เขานั้นยั่วโทสะพวกเรา จนกระทั่งคิดจะฆ่าเขาวันละ หลายครั้งแลวอะไรก็ตามที่เป็นปัญหา แล้วเราสามารถหมุน เหตุการณ์นั้นมาเป็นหินลับปัญญา จนกระทั่งได้คำ ตอบที่เที่ยงตรงตามความเป็นจริง ปัญหาจะหลุดไป เลย เพราะเกิดความเข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้ว วิธีแก้ปัญหามาเองอย่างแยบคาย เช่นเรื่องนี้ เมื่อเข้าใจ ก็จบกัน นายคนนั้นก็มีความลุข เราก็มีความสุขไม่อย่างนั้น นายคนนั้นคงนึก ทำไมอาจารย์ พวกนี้ยังกับหมาบ้า ไม่อยากเข้าไปหาเลยยิ่งไม่อยากก็ยิ่งงันงกใหญ่ เราพูดแล้วเขาไม่ได้ยิน ไม่รู้ เรื่อง เราก็หงุดหงิด กรรมเวรอะไรเราถึงมีคนงาน อย่างนี้ จะฆ่าทิ้งเราก็ต้องไปติดคุก ทุกข์เดือดร้อน กันไปหมดเมื่อเหินอย่างนี้แล้ว อะไรที่เป็นปัญหา เรา จะได้เอาใจของเราไปพยายามด้นหา จนกระทั่งพบ สาเหตุ ใจจะหลุดโล่งเป็นอิสระ อันนี้ก็เป็นคำตอบ ไปในตัวเลยว่า ใช่แล้ว ถูกต้องแล้วแต่ถ้าคำตอบยังไม่ถูก เราหลอกตัวเอง เราคิดได้แล้ว แต่ความจริงเป็นอวิชชาคือความผ่องใสอย่างยิ่ง ตอนที่คิดได้ ใจโล่งเบา แต่ประเดี๋ยว ก็เริ่ม กระสับกระส่าย เป็นนิวรณ์ใหม่ จะใช่หรือไม่ใช่นะ คนอื่นเขาจะว่าเราว่าอย่างไรถ้าเป็นอย่างนี้ รีบพิจารณาใหม่ ลับปัญญาของเราใหม่แปลว่าที่ลับแล้วยังไม่คม ยังไม่ใช่คราวแรกๆ ใจก็ยังมีทิฐิมานะ เราถูกแล้วน่า คนอื่นอิจฉาเรา หาเรื่องเราต่างหาก ครั้นทำไปสัก พักหนึ่ง เราก็เจ็บตัวเอง แล้วก็รู้เองแหละว่า เราจะ ยอมแก้ไขที่เรา หรือจะยังตันทุรังต่อไปอีก ให้ตัวเอง ทุกข์เดือดร้อนการปฏิบตินั้นไม่ใช่อะไรเลย นอกจากการมาฝึกสร้างนิสัยเราเองเมื่อรู้ว่า เราเป็นเอดส์ใจ เราไม่มีภูมิคุ้มกัน ตรงไหนที่เป็นจุดอ่อนของเรา อัดตา เราใหญ่มาก ใครว่าไม่ได้ เสียศักดิ์ศรี ตายก็ไม่ว่า แต่ขอให้เอาคำขอขมาจากมันได้ก็แล้วกัน ถ้าเป็น อย่างนี้ ต้องรีบขตัดนิสัยนี้ทิ้งให้ได้ เพราะภูมิคุ้มกัน เราย่อหย่อนตรงนี้ เราก็ต้องเสริมตรงนี้ให้แข็งแรงเรามาเรียนรู้จักใจของเราเอง แล้วแก้ที่ผิดที่ บกพร่องของเรา เติมภูมิคุ้มกันให้แน่นหนามั่นคงไม่ว่าสิ่งกระทบจะมาแบบไหน อย่างไร เรารู้เท่าทน แล้วแก้ที่เรา อย่าไปคิดแก้โลก แก้คนอื่น ถ้าคิดแก้ ที่โลก เราไปผิดทิศแล้ว ส่งใจไปตามตะครุบเงา เรา เองบรรลยวายวอดการแก้โลกนั้นหนักหนาสาหัสนัก แต่ถ้าแก้ที่ เรา เรามีคนเดียว ประเดี๋ยวเดียวก็แก้เสร็จถ้าตั้งใจ จริงแต่ถ้าเราไม่ตั้งใจจริง งานนี้ก็หนักยิ่งกว่าแก้โลกนี้อีก เพราะกิเลสทั้งหมดมารวมอยู่ในตัวเรา
เราอย่าไปยกตนข่มท่านว่า เขาเป็นเอดส์ใจ แต่เราไม่เป็นเอดส์ใจ ท่านอาจารย์สอนว่า ตราบเท่า ที่เรายังไม่ใช่พระอรหันต์ กิเลสทุกตัวที่โราไปนึก ดูหมิ่นนินทาว่าคนอื่นมีนั้น ก็มีอยู่ในหัวใจเราครบ ถ้วนด้วย เพียงแต่มันยังไม่แตกกิ่งก้านสาขาออก มาให้น่าเกลียดน่าชัง แต่ก็มีศักยภาพครบถ้วน ถ้า ได้ปุ๋ยได้เหตุป๋จจัยพอเหมาะพอดี ก็โตเป็นต้นไม้ สามคนโอบได้เลยวิธีที่จะรอดปลอดภัยคือ เห็นที่ผิดที่บกพร่อง ของคนอื่น ย้อนมาดูตัวเรา แล้วตั้งใจด้นหาในตัวเรา ให้พบ กิเลสตัวนี้ ถ้าเราคอยเอาสติสอดส่องมองหา
จริงๆ เราก็จะเห็นมันตั้งแต่ยังเป็นต้นอ่อนๆ พอดึง ขึ้นมา เวลาที่ฝนเพิ่งหยุดตกใหม่ๆ ดินยังนุ่มอยู่ เรา ก็ได้ขึ้นมาหมดทั้งรากทั้งโคน คือเราสามารถแก้นิสัย ยันนี้ได้อย่างเด็ดขาด ถอนรากถอนโคนแต่ถ้าเราคิดว่า เขาเป็น เราไม่เป็นหรอก วันหนึ่ง เราเกิดเห็นเข้า มันกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ รากลึกแผ่กว้างไกลแล้ว เราถอนขึ้นมา รากก็ขาด ติดอยู่ในดิน ประเดี๋ยวได้นํ้าฝนก็งอกขึ้นมาใหม่อีก ทำให้เราตกใจ ทดท้อว่า ที่ปฏิบัติอยู่นี่ เป็นของเก๊ ของเสื่อมคุณภาพแล้วหรืออย่างไร เพราะเมื่อกี้นี้ เราก็ทำเสร็จแล้ว แล้วทำไม เดี๋ยวนี้ผีดิบถึงคืนชีพ อาละวาดขึ้นมาอีกก็เพราะเรายังทำไม่ถึงใจ ถอนยังไม่หมดราก หมดโคน มันก็งอกขึ้นมาอีก ทำให้เราทำแล้วทำซํ้า ทำซากไม่จบไม่สิ้นสักทีหนึ่งเราต้องรู้จักแปลผลของเราให้เที่ยงตรง เพราะถ้าแปลไม่ถูกต้อง กิเลส ก็มาถล่มเราอีก ว่าเราเป็นคนไม่มีบุญ ไม่มีวาสนา อย่าปฏิบดิต่อไปเลย
เราก็ทำร้ายตัวเองด้วยการปล่อยเวลาให้กลืน กินชีวิตเราไปเปล่าๆ ถ้าเรารู้จักคิด แล้วตั้งใจทำดีๆ คอยเอาสติตามดูพฤติกรรมของตัวเอง ตามดูความ ปรุงคิดของใจเราเอง เราก็จะเห็นที่ผิดที่บกพร่อง แล้วค่อยๆ สร้างเสริมภูมิคุ้มกันขึ้นมาจนในที่สุดภูมิคุ้มกันของเราก็จะแข็งแกร่งใจมีฐานแน่นหนารองรับอยู่ อะไรมากระเทือน กระฉอกแค่ไหน ผัสสะจะร้ายแรงแค่ไหน สิ่งที่เกิด ขึ้นจะเป็นจากลู่กรณีที่จองเวรจองกรรมกับเรามา เราก็ไม่ย่นย่อท้อถอย เพราะรู้แล้วว่า เราสามารถ เปลี่ยนกรรมเวรให้เป็นอโหสิกรรมได้ เราสามารถนำ สิ่งที่เขากลั่นแกล้งให้มาเป็นหินลับปัญญา จนเรารู้ แจ้งรู้จริง ปลดวางออกไปจากใจได้
เมื่อปฏิบ้ติไปๆ ใจของเราจะค่อยเบาสบาย เป็นอิสระขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าปฏิบ้ติแล้ว เราเที่ยวไปถาม คนอื่น คุณปฏิบติแล้วได้อะไร หรือคนอื่นมาถามเรา ว่า คุณปฏิบติแล้วเห็นอะไร เป็นอะไร รู้อะไร แสดง ว่ายังปฏิบัติไม่จริง เพราะปฏิบัติแล้ว มีแต่ว่าเราจะ แกะกิเลสออกไป ใจจะเบาขึ้น เป็นอิสระขึ้น
ถ้าปฏิบติแล้ว ยังหาบหาม ยังหนักหน่วง มี แต่ขยะโน่นขยะนี่ เขาไม่เรียกปฏิบติ แต่เรียกภาวนา สะสมกิเลส เอดส์ใจยิ่งกำเริบเสิบสานหนักขึ้นไปอีก เราไม่เอาอย่างนั้น เราจะรักษาใจของเรา ทำไปแล้ว อะไรๆ ที่เคยห่วงหวง เอาให้เป็นสาธารณะ เพราะ ธรรมเป็นสาธารณะ และธรรมนั้น มีคุณกับ,ใครก็มี คุณกับทุกคนทั่วหน้ากันหมด มีโทษกับใครกิมีโทษ กับทุกคนทั่วหน้าหมด ไม่เลือกที่รักมักที่ซังถ้าคิดได้เท่ามันอย่างนี้ เราจะเพียรพยายาม รักษาสติให้อยู่กับใจเรื่อยไป เวลาลืมตาตื่นอยู่ ถึง
ไม่ใช่ตอนกำลังเดินจงกรมหรือนั่งภาวนา ก็เหมือน เราภาวนาอยู่แล้ว ถ้าทำงาน เราก็ย้ายจากอิริยาบถ หรือลมหายใจไปอยู่กับงาน จนเกิดเป็นนิสัยปกติ กายมีลมหายใจเป็นอาหารหล่อเลี้ยง เพราะตั้งแต่เกิดจนตาย เราไม่เคยหยุดหายใจเลย นอนหลับเราก็ยังหายใจกัน หรือใครจะบอกดิฉันว่าปิดลมหายใจได้ แล้วมาเปิดใหม่เวลานั้นเวลานี้ได้ คนเราหายใจกันเป็นอัตโนมัติ มีลมหายใจเป็น อาหารหล่อเลี้ยงกาย
ใจของผู้ที่มาปฏิบัติก็จะฝึกให้มีสติเป็นอาหาร หล่อเลี้ยงใจเป็นกัตโนมิติ ตลอดเวลาที่ลืมตาตื่นอยู่ อะไรมากระทบเรา ให้กระทบสติด้วย ให้สติระลึกรู้เท่าทันความเป็นจริงสติจับผัสสะมาพินิจพิจารณาไตร่ตรอง จนกระทั่งจบลงด้วยปัญญาเห็นชอบ เมื่อ เป็นอย่างนี้ อะไรที่มากระทบเรา ทั่งดีทั้งร้าย เรา สามารถตอบสนองผัสสะนั้น ด้วยสิ่งที่เป็นบุญเป็น กุศลทุกครั้งไปมาถึงแค่นี้แล้ว ใจเราก็มีเสบียงเลี้ยงตัวเต็มที่ ปลอดกัยหายจากเอดส์เด็ดขาดก็หวังว่า วันนี้เราได้แยบคายวิธีมากมาย ไป สร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเอง กลับไป เอาไปทดลองทำดู วิธีไหนถูกใจ ทำคล่องมือ เราก็เอาวิธีนั้นไว้ใช้เรื่อยๆ ถ้าปีหน้าเราได้มาพบกันอีก ก็จะได้ลูว่าผลเป็น อย่างไรบ้าง เอาไปทำแล้วมีผลเติมเม็ดเด็มหน่วยไหม หรือว่าเอาไปทำแล้วเอดส์ยิ่งกำเริบใหญ่เลยวันนี้ก็สมควรแก่เวลาแล้ว จึงขอยุติแต่เพียง นี้ สวัสดีค่ะ.
พิมพ์โดย ปภัสสร มีพงษ์
แหล่งที่มา http://web.krisdika.go.th/buddha/50_aidjai.pdf
วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2561
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น