ธรรมทำให้งาม
ชื่อผู้เขียน พญ อมรา มลิลา
วันที่ 20 มิถุนายน 2543
ณ ชุมนุมพุทธธรรมคิริราช โรงพยาบาลคิริราช
หมวด
ธรรมทำให้งาม เป็นหมวดธรรมที่ประกอบ ด้วยหลักธรรม 2 หัวข้อ ได้แก่ ขันติ และโสรัจจะขันติ ในพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวล ธรรม ของท่านเจ้าประคุณพระธรรมป็ฎก อธิบายว่า เป็นความอดได้ ทนได้เพื่อบรรลุความดีงามและความมุ่งหมายอันชอบในที่นี้เรามอง ขันติ เป็นความอดทน เป็น ความข่มใจของเรา เพื่อต่อสู้กับความยากลำบากให้ ถึงจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ คนเราถ้าไม่มีขันติเสีย แล้ว ถูกอะไรกระทบนิดกระทบหน่อยเป็นไม่ได้ เลิก ไม่เอาแล้ว ไม่ทำแล้วขันตินี้ ถ้ามีอย่างเดียว กทำให้คนทุกคนที่ อดทน ไปไม่รอดเข้าทำนองกัดฟันทนจนฟันหัก หมดปาก ท่านเลยจัดธรรมคือ โสรัจจะ มาช่วยให้ ความอดทนนุ่มนวลขึ้นโสรัจจะ แปลว่า ความเสงี่ยม ความสงบเสงี่ยม อัธยาศัยงาม รักความประณีตเรียบร้อย หมดจด งดงามคือถ้าเราเห็นอะไรที่ยากเข็ญ ที่เขารุกรานเรา แล้วเราต้องนิ่ง อดทนอดกลั้น กัดฟันทน เออ.. คราว นี้เป็นทีของเจ้า.. ในใจมันรุ่มร้อน มันเจ็บ มีความ รู้สึกว่า ประเดี๋ยวฉันก็คงหมดลาน ฟังไม่เป็นท่าแต่ถ้าเรามีโสรัจจะ มีความอ่อนน้อม เสงี่ยม ประณีต เออ.. ไหนๆ กายเราก็ต้องทำอยู่แล้ว เพราะ ฉะนั้น นอบน้อมใจเข้าไปทำเสียด้วยวันนี้เราเหน็ดเหนื่อย เราลำบาก เหมือนอย่าง กับเราเป็นซาวสวน ต้องคอยดูแล ขุดดินเอารัชพืช ออก รดน้ำ หาปุ๋ยมาใส่ แต่พอต้นไม้โตขึ้นมามีดอก มีผลแล้ว คราวนี้เราก็จะสบายชื่นใจโสรัจ จะจึงคล้ายๆ กับเป็นนั้ามัน หล่อลื่น เครื่องยนต์ที่เดินไม่สะดวก เสียงดังเอี๊ยดอ๊าดๆ
เพราะเครื่องฝืด เฟืองเข้าไปขบกัน เราหยอดนํ้ามัน หล่อลื่นเข้าไป เครื่องหายฝืดฟันเฟืองเลยหมุน ประสานกัน สมํ่าเสมอ เรียบร้อยดี เครื่องอะไรที่ ทำงานไม่สะดวก ย่อมเกิดความร้อนและสึกหรอเร็ว ซึ่งไม่ดี สิ้นเปลืองเกินเหตุขันติและโสร้จจะ จึงเป็นธรรมทำให้งาม งาม ในกรณีที่กิจการที่เราทำจะค่อย ๆ ดำเนินไปจนกระทั่ง บรรลุจุดที่วางเอาไว้ โดยระหว่างที่ทำ ในใจของเจ้า ตัวผู้ทำก็ไม่ได้ถูกครูดถูกฝืดบังคับจนเป็นทำนอง .. โอ้ย นี่กัดฟันทน จนกระทั่งฟันจะหักหมดปาก แล้ว จะเอาบังไงกันอีก.. ซึ่งอย่างนี้ ใจก็สึกหรอ เกินความจำเป็นไปธรรมทำให้งามนี้จะเอามาใช้ในชีวิตของพวก เรา มีกรณีไหนบ้างที่เราจำเป็นต้องมีขันติและโสรัจจะ ท่านผู้รู้แนะว่า เวลาที่เรานึกถึงตัวเองเป็นที่ตั้ง เรา จะไม่มีขันติ อะไรๆ เราก็จะไม่อดไม่ทน เมื่อเราเอา ตัวเราเป็นที่ตั้งแล้ว เราจะเห็นว่า เราอยากได้อะไร เราจะทำอะไร เราก็จะทำตามอำเภอใจของเรา ก็ไม่ ต้องอดต้องทน
เมื่อไรที่นึกถึงส่วนรวมเป็นสำคัญ นึกถึงว่า คนเราอยู่ด้วยกันก็ต้องรักษาผู้อื่นเสมอด้วยรักษาคัว เรา มีการข่มใจ อดทน อดกลั้น เพียรพยายาม อยู่กันหลายๆ คน จริตนิสัยย่อมไม่เหมือนกัน เมื่อต้องทำงานด้วยกัน นกก็จะบิน ปลาก็จะว่ายนํ้า หมีก็จะเดินไป ถ้าจำจะต้องทำงานกับคนเหล่านี้ เรา ก็ต้องมีขันติธรรม ที่จะค่อยๆ พูดให้ทุกคนๆ ถึงจะ บิน จะว่ายนํ้า หรือจะเดินไปบนพื้นดิน เข้าใจถึง วัตถุประสงค์ แล้วไปเจอะเจอกันที่จุดนัดหมาย ไต้ งานไต้การโดยพร้อมเพรียงแต่ละคนทำส่วนของตนอย่างเต็มเมีดเต็มหน่วย ไม่มีการเอารัดเอาเปรียบ เพ่งโทษ คัดพ้อต่อว่า กิน แหนงแคลงใจกันการรักษาผู้อื่น คือ การอดทน อดกลั้น ประนีประนอม เออนะ.. เธออดทนนิดหนึ่ง ฉันอดทนหน่อย หนึ่ง เพื่อจะได้บรรลุวัตถุประสงค์ ใจขณะที่ทำ ต้อง เป็นใจที่มีเมตตา เพราะถ้าไม่มีเมตตา ใจจะไม่อด ไม่ทน จะเอาแต่เอะอะโวยวายว่า โอ้ย.. ฉันอึดอัด ใจจะตายอยู่แล้ว ไม่ใช่เธอหรอกที่อึดอัดใจอยู่ข้าง เดียว.. มันก็พังกันเท่านั้นเพราะฉะนั้น ขนติ นอกจากมีโสรัจจะแล้ว จะ ต้องมีเมตตาเป็นฐานด้วย เพื่อให้กลมกลืนไปด้วย กันอย่างดีเมื่อมีเมตตา ใจเผื่อแผ่เอื้อเฟ้อ เอ็นดูต่อผู้อื่น ที่มาเกี่ยวข้องด้วย รักษาผู้อื่น รักษาตัวเรา นั้นคือการเอาขันติมาใช้เมื่อเป็นอย่างนี้ เราจะเห็นว่าการเป็นอยู่ของ เราเหมือนทวนกระแสกับผู้คนรอบข้าง เริ่มจากคน ใกล้1ชิดคือพี่น้อง ถึงจะเป็นพี่น้อง ก็ไม่ใช่ว่า ถ้าเป็น นก จะเป็นนกเหมือนๆ กัน แม้กระทั่งลูกแฝดกังไม่ เหมือนกันแล้ว ดังนั้น การอยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเรา จะต้องมีขันติเป็นพื้นฐานอยู่ในใจ ไม่อย่างนั้นเราอยู่ กันไม่ตลอดรอดฝัง จากตรงนี้ เราก็เริ่มเอาขันติมา ใช้ จากพี่น้อง ต่อไปก็มีเพี่อนฝูง ไปโรงเรียนมืครู มีอาจารย์ มีรุ่นพี่ รุ่นน้อง มีเพื่อนร่วมงานชีวิตที่ต้องอยู่ในสังคม คลุกคลีอยู่ในหมู่ชน ถ้าไม่ฝึกใจให้มีขันติเป็นพื้นฐานมีโสรัจจะเป็นเหมือนนํ้ามันหล่อลื่นเอาไว้ ย่อมประกอบกิจการ งานไม่รอด และชีวิตก็ไม่ประสบความสำเร็จ พระ พุทธองค์ทรงจำแนกเอาไว้ในธัมมะของคฤหัสถ์ หรือ ที่เรียก ฆราวาสธรรม ว่า คฤหัสถ์ทั้งหลายจะประสบ ความสำเร็จ มีชีวิตที่เป็นสุขได้ ต้องอาศัยธัมมะ 4 ข้อ คือ
(1) มี สัจจะ ความจริงใจ
(2) มี ทมะ บางคนแปลว่า การข่ม การบีบ บังคับใจ แต่ดิฉันแปล ทมะ ว่า คือการที่เราหมั่น ฟ้กฝนปรับใจศัวเองให้อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้โดยไม่เบียดเบียน ตัวเอง
(3) มี ขันติ
(4) มี จาคะ คือใจที่เอื้อเฟ้อเผื่อแผ่แบ่งบัน ให้แก่กัน เพื่อความร่มเย็นเป็นสุข
ถ้าฆราวาสมีหลักธรรม 4 ประการนี้ คือ มี สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ การอยู่ในสังคมก็จะเหมือน มีเครื่องกันกระเทือน ช่วยให้ไม่ทุกข์เดือดร้อน โลก นี้จะพร่อง โลกนี้จะเต็ม เราก็สามารถปรับสภาพให้ เหมาะพอดี ๆกับเราได้ แล้วเราก็อยู่โดยไม่ทุกข์ เดือดร้อนทมะ ที่เมื่อกี้นี้ดิฉันบอกว่า เราจะต้องแกฝน เราจะต้องปรับใจของเรา ท่านผู้รู้อธิบายไว้ว่า ทมะ ไม่ใช่การที่เรากัดฟันทนเหมือนอย่างกับเอาหินไป ทับหญ้า ถ้ามองทมะในแง่นั้น ฆราวาสธรรมจะไม่ ทำให้ใจของเรามีความสุขมีความอิ่มเต็ม ให้เรามอง ทมะเป็นไวพจน์ของปัญญา ซึ่งปกติเราไม่เคยมอง กันอย่างนี้เลยท่านผู้รู้กล่าวว่า ถ้าเรามองทมะเป็นไวพจน์ ของปัญญา เราจะไต้ประโยชน์ของฆราวาสธรรมเต็ม ที่ เพราะเราจะกระตือรือรันเอาเรื่องที่จะแกจะปรับ ใจของเรามาคิดพิจารณาปัญหาที่เราเห็นเป็นอุปสรรค ที่จะต้องข่มใจ จะต้องแกแน อดทนอดกลั้นเข้าไว้ คิดในแง่เอาหิน ไปทับหญ้า ทับเอาไว้.. ทับเอาไว้ วันหนึ่ง ใจเราก แตกกระจุย เพราะทนไม่ไหวอีกแล้วเราเปลี่ยนวิธีคิด แทนที่จะมองเป็นหินทับ หญ้า เรามองเป็นหินลับปัญญาเราฝักใฝ่เพ่งพิเคราะห์.. ทำไมนะ ทำไมถึง ได้มีอุปสรรคอย่างนี้ เอามาเป็นหัวข้อพิจารณาเพื่อปรับเปลี่ยนที่ตัวเรา แต่ก่อนนั้นเราก็ว่าเราดีแล้ว แต่ ถ้าเราดีแล้วจรัง ๆ เราก็ไม่ควรจะต้องเดือดร้อนกับ ปัญหาตรงนี้ นี้แสดงว่าใจของเรายังมองไม่เห็นความ จรังเต็มรอบ เราถึงตัน เราถึงรู้สึกว่าตรงนี้เป็นปัญหาเราพิจารณาอย่างนี้ ค้นหาจนกระที่ได้คำตอบ ได้ตัวปัญญาเห็นชอบ ใจยอมลงให้ว่า อ๊อ.. อย่างนี้ นี้เอง ก็จบเรื่อง เราก็แก้ไขเราได้ เราก็ปรับตัวปรับ ใจ ฝึกฝนเราให้อยู่กับสิ่งนี้โดยไม่เผลอเอาใจไปแบก หาม หรือคำรามในใจ เออ.. คราวนี้เป็นทีเขาก็ช่าง เขาไปเถอะ อย่าให้ถึงทีเราบ้างก็แล้วกัน ซึ่งอย่างนั้น โดยไม่รู้ตัว เราจองเวรกับเขาเข้าแล้ว แล้วมันก็ผลัด กันแพ้ผลัดกันชนะ เราก็มีความสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ก็คิดว่า.. ธรรมดา แต่จริงๆ มันไม่ธรรมดา เรา เบียดเบียนตัวเองโดยไม่รู้ตัวขอให้มองทมะให้เป็นปัญญาอย่างนี้เอามาเพื่อที่จะพิจารณาไตร่ตรองหาเหตุผล ให้เราเต็มใจ พร้อมใจที่จะสืกฝนและปรับตัวเราให้อยู่ในเหตุการณ์ นั้นๆ โดยที่เราเก็บเกี่ยวเรียนรู้มันมาเป็นประสบการณ์ และเป็นปัญญาเห็นชอบเมื่อเราเห็นทมะเป็นแง่ที่กระตุ้นให้เราเกิด ปัญญาเห็นชอบแล้ว ขันติโนที่นี้ก็เลยกลายเป็น อิทธิบาท เป็นวิริยะ เป็นความเพียรไปเราอดทนอดกลั้นเพื่ออะไรเพื่อที่เราจะ
พากเพียรทำภารกิจของเราให้ลุล่วงไปด้วยดีพากเพียรนี้ ตอนแรกเราทำเหมือนไฟไหม้ ฟาง ครั้นทำไปเกิดเหนื่อยมาก ไม่นึกว่าจะเป็นเรื่อง ยุ่งยากอย่างนี้ เราก็ชักท้อ.. เลิก เลิก เลิกเถอะ ไม่ เอา แต่ถ้าเรามีขันติ.. ไม่ได้.. ของอะไรตั้งด้นแล้ว ต้องทำต่อจนสำเร็จ ต้องฝึกเราไม่ให้เป็นคนจับจด ไม่อย่างนั้น พอเรามาปฏิบัติใจ มรรคหยาบบ่งบอก อุปนิสัยก็จะทำให้มรรคละเอียดพลอยเป็นอย่างนี้ ด้วย พอทำ ทำ ทำ กำลังจะได้ดี.. เฮ้อ เบื่ออีกแล้ว ไม่เอาแล้ว เลิกแล้วตกลงปลูกต้นไม้ย้ายอยู่เรื่อยไม่ได้เรื่องขันตินี้ ถ้าเราเห็นเป็นวิริยะ เป็นตัวของอิทธิบาท ที่เป็นฐานให้เราทำอะไรแล้วจะต้องทำจนสำเร็จ คือเริ่มต้นเราเอาใจของเราไปฝักใฝ่ มีฉันทะ แล้วก็ ต้องมีวิริยะ ถ้าไม่มีวิริยะ วงล้อของอิทธิบาทก็หมุน ไปจนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทางไม่ได้เพราะฉะนั้น ขันติดัวนี้ ถ้าเรามองเห็นใน รูปนี้ ก็จะทำให้เราเป็นคนที่มีนํ้าอดนํ้าทน เริ่มอะไร แล้วอย่าเอาแค่ไฟไหม้ฟาง เอาไฟไหม้ฟางอันนี้ไป ต่อให้ลุกในถ่านหินเสีย เพราะไฟที่ลุกในถ่านหินจะ ไม่ลุกวูบวาบโชติขัซวาลอย่างไฟไหม้ฟาง แต่ค่อย ลุกกรุ่นๆ ไปอย่างสมาเสมอ ไม่ดับง่ายๆ ขณะที่ไฟ ไหม้ฟาง ประเดี๋ยวเดียวก็ดับหมดแล้ว หมดไม่เหลือ อะไรเลยเราจึงต้องเปลี่ยนให้เกิดเป็นขันติ เป็นวิริยะเสีย ให้กลายเป็นไฟไหม้ในถ่านหิน เพื่อจะให้ ความร้อนที่อบอุ่นเสมอต้นเสมอปลายไปเรื่อยๆเมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้ว พอเราเริ่มต้นทำงาน อะไรก็ตาม จะชอบจะไม่ชอบ จะอยาก จะไม่อยาก เราพร้อมเราทำใจของเราให้มองงานในแง่นี้ คือเปลี่ยนให้เป็นไฟที่ลุกในถ่านหินเสีย ตกลงงานทุกชิ้นของเรา เราก็จะมีความเพียรทำไปจนกระทั่งงาน บรรลุจุดหมายปลายทาง ขันติก็บรรลุวัตถุประสงค์ ที่ว่า อดได้ทนได้เพื่อให้ถึงความมุ่งหมายอันชอบ ทีนี้ ก็ติดเป็นนิสัยที่ว่า ไม่ว่าอะไรที่เราหยิบสับทำ ขึ้นมาแล้ว จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม เมื่อมา เป็นภาระหน้าที่แล้ว เราจะต้องพากเพียรทำจนถึง จุดหมายทุกครั้งไปชีวิตคฤหัสถ์จึงประสบความสำเรืจ เมื่อพร้อม ด้วยสัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ และเป็นความสำเร็จ ที่ใจก็ได้ปีติหล่อเลี้ยงเป็นอาหารไปด้วย ได้ปัญญา เห็นชอบด้วย เพราะขันติที่เป็นความเพียรนี้เอง เรา เพียรด้วยความพอใจ ด้วยความเต็มใจ ด้วยความรู้ ความสนุกกับงาน ใจก็เป็นสมาธิ ก็ชื่นใจปีติอิ่มเอิบขณะทำใจก็นิ่ง จดจ่อเพื่อจะให้เสร็จไปด้วยดีเราได้อาหารใจเป็นของตอบแทนแล้ว เราจึง ไม่รู้สึกเหนื่อยเหมือนเมื่อคอยวิตกกังวลว่า โอ๊ย.. ฉันทำถึงปานฉะนี้ แล้วนี่จะได้สองขั้นไหมหนอ จะ ได้ไอ้โน่นไหม จะได้ไอ้นี่ไหม ใจไม่ไปคาดคอยอีก แล้ว เพราะอิ่มเอิบด้วยปีติอยู่ตรงเดี๋ยวนี้แล้ว แช่มชื่น อยู่ในใจเต็มบริบูรณ์แล้วถ้าได้ของพวกนั้นเป็นผลพลอยได้.. ก็ดี ถ้าไม่ได้ ก็ไม่เป็นไรเราก็ฝึกใจของเราให้มีมุทิตากับคนอื่นที่เขาได้ ฝึกใจของเราให้รู้ว่า คนเรานี่ บางทีเรารู้ไม่เท่าทัน ใจของเรานะ เราว่าเราทำเพราะว่าเราสนุกของเรา แต่แท้ที่จริงไม่ใช่หรอก เราทำเพราะว่าเราหวังผล ต่างหากเหมือนเดกเล็กๆ ที่พอทำแล้วแม่จะต้อง
ให้รางวัลนะ จะต้องให้ขนมนะ ถ้าไม่ให้ก็กระทืบเท้า ทุกข์โทมนัสเมื่อเราค่อยๆ เห็น ค่อยๆ รู้จักใจของเรา เราก็แกะแก้ เราก็ปรับตัวเรา เราก็ฝึกฝืนตัวเรา เกิด เป็นวงจรที่จะพาเราให้ไปสู่จุดหมายปลายทางได้เร็ว ขึ้นเข้าใจตรงนี้แล้ว การจะดำรงชีวิตของเราให้ งอกงามก็ไม่ใช่เรื่องทุกข์เดือดร้อน ไม่ใช่ภาระหน้าที่ ที่กดถ่วงบีบคั้นจิตใจ ให้คิดซัดส่าย.. ทำไมฉันถึงไม่ สบายอย่างคนอื่น ที่เขาทำไมไม่เห็นต้องเหนื่อยยาก เลย อะไรๆ ก็พร้อมพรักไปหมดเราก็เกิดมนสิการว่า เป็นเพราะเราเองไม่ได้ ตระเตรียมเสบียงเอาไว้ก่อน เราถึงต้องมาเตรียม ตอนนี้.. ก็ดื เราจะไต้เตรียมให้ถี่ถ้วนรอบคอบ เพื่อว่าต่อไปเรามีอะไร เป็นอะไร จะได้มีได้เป็นอย่าง ชื่นใจของเราไม่เหมือนคนบางคนที่เราดูเขาแล้วเราอิจฉาว่าคนอะไรมีบุญอย่างนี้แต่เขากลับบอกว่าฉันไม่เห็นอยากได้อย่างนี้เลย ฉันอยากได้อย่าง โน้น คือกลายเป็นมีแล้วเป็นทุกข์ มีแล้วก็ไม่ถูกใจ ไปทั้งนั้น ขณะที่เรารู้สึกว่า ถ้าเรามีอย่างเขานี่ เรา คงบรมสุขเลยคนเราอยู่ที่ใจ ไม่ได้อยู่ที่ข้าวของปริมาณที่มี แต่อยู่ที่ว่าใจเรารู้จักมีรู้จักใช้ของนั้นหรือเปล่า บาง คนมีแล้วกลับกลายเป็นทุกขลาภ กลับทำให้เขา ยิ่งทุกข์เดือดร้อนหฉักเข้าไปอีก เพราะรู้สึกว่าประดา สิ่งที่มีอยู่นั้นทับถมทำให้เขาอึดอัด ทำให้เขาไม่ได้ อย่างใจอันนี้เป็นอันหนึ่งที่เราได้ประโยชน์จากการ เอาขันติมาเป็นหลักในการครองชีวิตคฤหัสถ์ ให้ ประสบความสุขความสำเรืจดังใจปรารถนา ขันติยังมีที่ใข้ที่ไหนอีกบ้าง พบว่า ขันติ จัดเป็นองค์ประกอบอันหนึ่งใน หมวดธรรมที่เรียกว่า สังวร 5 สังวร 5 คืออะไร สังวร 5 คือการที่เราจะ ปีดกั้นบาปอกุศลไม่ให้๓ดขึ้นในจิตใจ สังวรคือการ ระมัดระวงสำรวมเอาไว้การที่เราจะสังวรไม่ให้บาปอกุศลเกิดขึ้นใน จิตใจนั้น มีสิ่งไหนบ้างก็มี ปาฏิโมกขสังวร สติสังวร ญาณสังวร ข้นติสังวร และ วิริยสังวรการปิดกั้นบาปอกุศลด้วย ปาฎิโมกขสังวร ได้แก่ การสำรวมรักษาสิกขาบทเคร่งครัดตามที่ทรง มัญญตไว้ในพระปาฏิโมกข์สติสังวร ปิดกั้นด้วยสติ ทำให้มีความระลึก รู้ตัว สำรวมอินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ ไม่เผลอให้บาปอกุศลเข้าครอบงำ เมื่อตาเห้นรูป หูได้อินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายถูกสัมผัส และใจเสวยอารมณ์เมื่อสำรวมระวังดีแล้ว บาปอกุศลจะเข้ามาทำร้ายจิตใจเราไม่ได้ญาณสังวร คือมีตัวปัญญาที่จะรู้เท่าทัน แยก ออกว่าอะไรเป็นคุณ อะไรเป็นโทษ ตัดกระแสกิเลส เสียได้ ตลอดถึงฝึกฝนพจารณาเมื่อใช้สอยปัจจัย 4 คืออาหาร เครืองนุ่งห่ม ทีอยู่อาศัย และยารักษา โรควริยสังวร คือมีความพากเพียรที่จะคอยกำจัด ละเลิก เมื่อใจไปหมกมุ่นครุ่นคิดถึงสิ่งที่เป็นอกุศล ระวังพากเพียรที่จะตัดสิ่งอกุศล มีความพากเพียรที่ จะเอากายปฎิบ้ติแต่สิ่งที่เป็นสัมมาชีพ เพราะฉะนั้น อกุศลก็เข้ามาในชีวิตไม่ได้ขนติสังวร คือสำรวมจิตใจของเราด้วยขันติ ความอดทน อดทนต่อถ้อยคำที่คนบางคนวิพากษ์วิจารณ์เรา ถูกบ้างผิดบ้าง กระทบกระทั่งทำให้ใจ ของเราเกิดทุกข์ เกิดความชอกชํ้า แล้วหมดกำลัง ใจที่จะไปถึงเบ้าหมายบางครั้ง เวลาทำงาน เราไม่ได้คิดว่างานอันนี้ จะต้องไปเจอะเจอคำวิพากษ์วิจารณ์ของคนอื่น คน อื่นเหล่านี้ มีทั้งที่เขาหมั่นไส้เรา อิจฉาเรา ไม่เป็น มิตรกับเรา เขาก็สามารถที่จะ.. นอกจากมือไม่พาย แล้วยังเอาเท้ารานั้น คือไม่ช่วยเราแล้วยังทุบถองใจ ของเราอีก ถ้าไม่เข้าใจ ไม่มีขันติสังวร เราก็แพ้ภัย ตัวเราเองการมีคนมาว่าเรา แล้วเราทำใจของเราให้ ห่อเหี่ยว ทำใจของเราให้หมดกำลัง จนอยู่ดีๆ ก็ล้ม หมดเรี่ยวแรงลงไป เขายิ่งชอบใจ เพราะไม่ต้องทำ อะไรเลย อยู่ดีๆ เราก็เอาตัวของเราออกจากลู่แข่งขัน เสียเฉยๆท่านถึงว่าว่า เราต้องมีขันติสังวร คือมีความ อดทนอดกลั้น เพื่อที่จะระวังรักษาใจของเรา ไม่ให้ ถูกสิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นเหมือนลมพายุ เป็นเหมือนโลก ธรรมที่มาสั่นคลอนเรา ไม่ให้สามารถฉุดเราให้ถอน รากถอนโคนจากคุณงามความดี จากกุศลธรรมทั้ง หลายขันติจึงเป็นเหมือนอย่างลับรั้วที่กั้นไม่ให้อกุศล มาบีฑาเรา มาเป็นหนอนบ่อนทำลายจนกระทั้งเรา ยืนต้นตายไปจากคุณงามความดีชีวิตคนเราย่อมต้องทำงานเป็นต้นว่า เราเป็นพยาบาล เราก็ต้องเหน็ดเหนื่อย บางทีถึงเวลา ก็นข้าว ก็ปรากฏว่ามีคนไข้หนักหนาสาหัส ก็ต้อง อดทนต่อความหิวความกระหาย รวมไปถึงความ หนาวความร้อน อะไร อะไร ที่เป็นสภาวะแวดล้อม
เราจะไปเลือกก็ไม่ได้ เราจะไปกำหนดว่า ตอนนี้ฉัน ยังไม่อยากทำงาน เดี๋ยวก่อน.. อีกชั่วโมงค่อยมา นะ.. ความเจ็บไข้ก็รอคอยไม่ได้ถ้าไม่มีขันติอยู่ในใจ เราก็คงแล้งนํ้าใจ และ ปล่อยให้ตัวเราทำบาปอกุศลเนืองๆ เพราะมัวนึกถึง แต่ความสะดวกสบายของตัวจนเกินไป เราไปคิด เอาว่า เรื่องไม่เห็นจำเป็นเลยแต่ความจริงเขากำลังจะเป็นจะตาย ถ้าเราขักข้าสักนิดหนึ่ง เขาอาจ ตายไปจริงๆ ก็ได้เป็นต้นว่า คนไข้ประสบอุยัติเหตุมา เลือด ออกไม่หยุด ถ้าเราบอกว่าอีกชั่วโมงหนึ่งฉันจะมาดู ให้ อีกชั่วโมงหนึ่งต่อมาปรากฏว่าคนไข้หยุดหายใจ ไปแล้ว เพราะว่าความตันล้มเหลวจากเสียเลือด แต่ ถ้าเรารีบลูเสียเดี๋ยวนั้น คนไข้ก็ไม่ตายดิฉันเคยเจอะเจอคนไข้แบบนี้ เขายังเป็นเด็ก นักเรียน แต่คิดอยากหารายได้ให้ครอบครัว เพราะ ว่าพ่อเพิ่งตาย ตัวเขาเป็นลูกคนโต ก็ไปสมัครเป็น นักมวยสมัครเล่น ขึ้นชกมวย
ขึ้นชกครั้งแรก ต้วก็คงยงไม่มีความชำนาญ เพียงพอ ก็ถูกคู่ต่อสู้ซกตรงข้างหูที่เรียกทดดอกไม้ ปรากฏว่าเส้นเลือดดำแตก ตกเลือดในสมอง หมอ ที่สนามก็คงไม่ได้ดูถี่ถ้วน ลงความเห็นว่าเจ้านี่เมา หมัด ก็ฉีดกลูโคสให้ แล้วให้กลับบ้านไป
เมื่อกลับบ้านไป แม่ลังเกตว่า ทำไมเด็กเอา แต่ซึม ..ซึมมากขึ้น ก็เอามาโรงพยาบาล ซึ่งเวลา ผ่านไป ตั้งแต่ชกเสร็จราวๆ 5 โมงเย็น จนเอามา โรงพยาบาล เลยเที่ยงคืนไปแล้ว เลือดที่ออกมา
เซาะซึมไปกดเนื้อสมองมากขึ้นๆ จนเด็กไม่รู้สึกตัว ดิฉันเป็นแพทย์เวรคืนนั้น พอเอาไฟฉายส่อง ลูกตา ม่านตาขยายหมดแล้วดิฉันปรึกษาท่านผู้อำนวยการ รีบเปิดห้องผ่าตัด ก็ปรากฏว่าไม่ทัน การ คนไข้ตายหลังผ่าตัดไม่กี่ชั่วโมง ถ้าเขามา ตั้งแต่ชกเสร็จทันที แล้วทำผ่าตัด หยุดเลือดที่ออก ได้ จัดการเอาเลือดที่ไปกดเนื้อสมองออก เขาก็อาจ รอดชีวิตเราถึงได้ยํ้าอยู่เสมอว่า ถ้าขาดขันติ ไม่อดทน อดกลั้น ถี่ถ้วนรอบคอบ ต่อสู้กับความยากลำบาก ในอันจะแกฝึกตนให้ทำภาระหน้าที่อย่างดีที่สุด สุด สติกำลัง ปัญญาความสามารถของเราแล้ว เราก็ ทำร้ายตัวเราเองโดยไม่ตั้งใจตลอดเวลาในกรณีแพทย์สนามมวยทำนนี้ ถ้าท่าน รอบคอบ ไม่เอาความเหน็ดเหนื่อยส่วนตัวเป็นสำคัญ ท่านก็จะไม่ลงความเห็นง่ายๆว่าเดกเมาหมัด เพราะ ไม่เคยถูกชก เลยแพ้แรงยาแย่แต่จะเอาเด็กไปที่คลินิกของท่านเพื่อลังเกตอาการ หรือเก็บไว้ที่ห้อง พยาบาลประจำสนามมวย เสียสละ ไม่รีบกลับเมื่อ การชกจบหมด แล้วดูอาการเป็นระยะๆ หรือถ้า ไม่มีขันติถึงขั้นนั้น ท่านก็ควรส่งเด็กมาโรงพยาบาล ไม่ควรเชื่อเอาง่ายๆ อย่างไร้ความรับผิดชอบ จน เป็นผลให้ชีวิตของคนๆ หนึ่งจบสิ้นไปอย่างไม่สมควร เรื่องนี้เป็นตัวอย่างให้เห็นว่า เหตุใดท่านถึง ว่า ขันติ เป็นสิ่งที่อาจจะแลลูเหมือนเล็กน้อย เหมือน เรื่องเล็กๆ แต่ถ้าขาดหายไปแล้ว เพ้ออื่นๆ ก็หมุน ไม่ได้ เพราะขาดตัวรับช่วงจังหวะ ให้เฟืองทั้งหลาย หมนไปอย่างสม่ำเสมอขันติสังวร จึงเป็นเรื่องของความระมัดระวัง ที่จะปิดกั้นไม่ให้บาปอกุศลมาเกิดกับใจ
นอกจาก 2 ความหมายนี้แล้ว ขันติกังเป็น สิ่งสำคัญอีกอันหนึ่งสำหรับการปฏิบติเพื่อสั่งสมบารมี ที่เรียกว่า บารมี 10 หรือ ทศบารมี ถ้ามุ่งอย่าง สูงสุด กิคือการที่พระโพธิสัตว์มาเสวยพระชาติ 10 ชาติสุดท้าย ที่เรียก ทศชาติ เพื่อสั่งสมบารมีสูงสุด เหล่านี้ให้ครบถ้วน แล้วจึงมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระพุทธเจ้า 1 ใน 10 บารมีนี้ กิคือขันติทำไมขันติจึงมีความสำคัญถึงเพียงนั้น ผ้ที่จะกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ คือไปเป็นพระพุทธเจ้า เพื่อช่วยรื้อขนสัตวโลกทั้งหลายให้พ้นสังสารวัฏ.. คนเราไม่ใช่ว่าพอมาฟังธรรมกิสำเร็จในอาสนะนั้น หมดทุกคน กังมีประเภทดื้อด้าน อธิบายแล้วอธิบาย อีกก็ไม่ฟังอย่างนี้ก็ยังไม่เหนื่อยเท่ากับประ เภทที่เรียกว่า นอกจากไม่ฟังแล้ว กังเฉไปอีกทางหนึ่ง หักล้าง บอกให้ทำอย่างนี้ จะทำอีกอย่างหนึ่ง ให้ วุ่นวายไปหมด แล้วพระพุทธเจ้าก็ต้องตามแก้ไขสิ่ง ทีเสียหายหลายแสนนั้น
หากท่านไม่มีขันติอยู่ในพระทัย หรือไม่ได้ฝึก มาจนกระทั่งได้ขันติบารมีเติมเปียม เมื่อมาเป็น พระพุทธเจ้า ความเมตตาหรือว่าพระจรืยวัตรที่จะ นุ่มนวลและเป็นประโยชน์ไพศาลไปทั่วโลกทั่วสงสาร ก็จะไม่ได้เติมเม็ดเติมหน่วยอย่างนั้นลองนึกถึงภารกิจพระพุทธเจ้า เราเอง พอ เหนื่อยมากๆ เรากิไม่ไหวแล้ว ใครจะเป็นจะตาย อย่างไรฉันไม่รู้แล้ว ฉันนอนแผ่แล้วพุทธกิจประจำวัน 5 อย่าง มีอะไรบ้าง เวลา เย็นทรงแสดงธรรมให้ประชาชน รวมทั่งพระราชา และเสนาอำมาตย์ เวลาคํ่าประทานโอวาทแก่พระภิกษุ เที่ยงคืนทรงตอบบ้ญหาเหล่าเทวดา ใกล้สว่าง ทรงตรวจพระญาณพิจารณาสัตวโลกที่จะเสด็จไป โปรด เช้าเสติจออกบิณฑบาตเพื่อโปรดสัตว์ มองดู แล้วไม่รู้ท่านเอาเวลาที่ไหนพิโกผ่อน ตั้งแต่เย็นไปจน กระทั่งเช้าออกบิณฑบาต เสวยแล้วก็ยังมีธรรม ปฏิสันถารกับอาคันตุกะ ถ้าเราเป็นอย่างนั้น เราคง ไปแล้ว ไม่เอาแล้ว ขันติแตกกระจุยไปแล้ว
บารมี 10 หรือ ทศบารมี ได้แก่ ทาน การเสียสละ คือชาติที่เป็นพระเวสสันดร ศีล การรักษากายวาจาให้เป็นปกติ เสมอต้นเสมอปลาย คือชาติที่เป็นพญานาค พระภูรีทัตต์ เนกขัมมะ การไม่ข้องแวะกับสิ่งล่อเร้าเย้ายวน ไม่สนใจในโลกสมบติ คือ พระเตมีย์
ปัญญา ความรอบรู้ เข้าใจสภาวะของสิ่ง ทั้งปวงตามเป็นจรืง คือพระมโหสถ
วิริยะ ความเพียรไม่ทอดทิ้งธุระหน้าที่ เป็น พระมหาชนก ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ห้วทรง พอพระทํย นำมาดัดแปลงเป็นพระราชนิพนธ์
ขันติ ความทนทานของจิตใจ สามารถใช้สติ ปัญญาควบคุมตนให้อยู่ในอำนาจเหตุผลและแนว ทางความประพฤติที่ตั้งไว้ เพื่อจุดหมายอันชอบ ไม่ ลุอำนาจกิเลส เป็นพระดันทกุมาร
สัจจะ ความพูดจริง ทำจริง จริงใจ เป็น พระวิทุร
อธิษฐาน การดัดสินใจเด็ดเดี่ยว วางจุดหมาย แห่งการกระทำของตนไว้แน่นอน และดำเนินตาม อย่างแน่วแน่ เป็นพระเนมิราช
เมตตา ความคิดเกื้อกลใหัผู้อื่นและเพื่อนร่วม โลกทั้งหมดทั้งสิ้นมีความสุข ความเจริญ เป็นพระ สุวรรณสาม
อุเบกขา การวางใจสงบราบเรียบสมาเสมอ เที่ยงธรรม ใม่เอนเอียงไปด้วยความยินดียินร้าย ชอบชัง เป็นพระนารทคราวนี้เรามาพิจารณาเรื่องของพระจันทกุมาร กันว่า พ่านทรงปฏิบิตเพื่อสะสมขันติบารมีให้เต็ม บริบูรณ์อย่างไรพระจันทกุมารเป็นโอรสของเจ้าผู้ครองแคว้น แคว้นหนึ่งแคว้นนี้มีเสนาบดีซึ่งเป็นคนทุศีล โลภเห็นแก่อามิสสินบน ไม่มิความเที่ยงธรรมเวลาจะพิจารณาคดีความ ถ้าใครให้สินบนก็จะว่าความ ให้คนนั้นชนะเมื่อพระจันทกุมารเจริญวัย พอจะเป็นรัชทายาท พระราชบิดาโปรดให้มาช่วยงานแผ่นดิน ดูแล ทุกข์สุขของราษฎรวันหนึ่ง ทรงพบชาวบ้านที่มีคดีความ ตัวเองเป็นฝ่ายถก แต่ไม่มีเงินให้เสนาบดี
ซึ่งถูกฝ่ายคู่ความติดสินบนเอาไว้ เสนาบดีเลยว่า ความให้ชายคนนั้นแพ้หมดเนื้อหมดตัว
นายคนนี้เสียใจ เดินร้องไห้ออกมาจากศาล มาพบกับพระตันทกุมารเข้าพระตันทกุมารตรัส
ถามว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร นายคนนื้ก็เล่าให้ฟัง ท่านทรงรื้อค้นคดีนื้ขึ้นมา สืบสวนสอบสวนตาม ความเป็นจริง ทำให้ชายคนนี้ได้รับความยุติธรรมพระเจ้าแผ่นดินทรงเห็นพระโอรสปฏิบติภารกิจเที่ยงธรรม เป็นที่แซ่ซร้องสรรเสริญของประชาชน จึงแต่งตั้งให้พระตันทกุมารขึ้นมาดูแลคดีความ ตั้งหลายแทนเสนาบดี เสนาบดีก็ตั้งแค้นใจ เพราะ เท่ากับว่าไปทุบถุงเงินกุงทองของเขา ทำให้เขาขาด รายได้ก้อนงามเสนาบดีคอยโอกาส วันหนึ่งพระเจ้าแผ่นดิน ทรงพระสุบินว่าไปได้ทิพยสมบิต พอตื่นบรรทมก็ ตรัสเล่าให้เสนาบดีฟังว่า ทิพยสมบิติวิเศษทำให้ พระทิยปีติสุขอย่างไรเสนาบดีเห็นเป็นโอกาสที่จะได้แก้แค้น ก็ตอบ ว่า ท่านมีบุญญาภินิหาร สามารถได้ลิ้มรสทิพยสมบัติขณะยังมีชีวิตเป็นบุคคลธรรมดานี้แหละ เพื่อ รักษาบุญญาภินิหารนี้ไว้ ขอให้พระองค์ทำพิธีบูชายัญ สิ่งที่ใช้เพื่อบูชาก็คือ เลือดของพระโอรส พระมเหสีช้างแก้ว ม้าแก้ว คือ ของคู่บ้านคู่เมืองทั้ง หลายต้องเอามาบูชายัญให้หมด รวมทั้งประชาชน และสัตว์ต่างๆ อีกเป็นจำนวนมากพระเจ้าแผ่นดินพระกรรณเบา เชื่อเสนาบดี โปรดให้สร้างโรงพิธีขึ้นเพื่อบูชายัญ เสนาบดีทูลว่า คนแรกที่ต้องบูชาคือพระสันทกุมารพิธีนี้จึงจะศักดสิทธิ์และสัมฤทธิ้ผลโดยแน่นอน ถึงวันพิธีก็เอา พระสันทกุมารมัดขึ้นกองใฟเผาบูชา แล้วตัวเสนาบดี จะเป็นผู้เอาดาบเช้าไปฟ้นพระศอ รองเอาเลือด มาถวายพระเจ้าแผ่นดินเพื่อใช้ประกอบพิธีพระมเหสีของพระสันทกุมารเสียพระทัยที่ เสนาบดีเป็นคนไม่ดี จะมาแกล้งฆ่าสวามีของตัว ก็ ภาวนาอธิษฐาน ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยให้พระสันทกุมารรอดพ้นจากวิบัติครั้งนี้ และขอให้เสนาบดีซึ่ง เป็นคนผิดคนชั่วได้รับโทษทัณฑ์ใจของพระมเหสีทรงมุ่งมั่น แน่วแน่ ผนวก กับคุณความดีของพระจันทกุมาร ทำให้อาลนะของ พระอินทร์เกิดร้อนไปหมด พระอินทร์เล็งทิพยเนตร ดู ก็ทราบเหตุการณ์ จึงเหาะไปในอากาศ ถือฆ้อน ที่เป็นไฟลุกแดงเข้าไปฟันปะรำพิธีพระอินทร์ตรัสว่า พระเจ้าแผ่นดินไม่ใคร่ ครวญคนเราจะได้ทิพย์ลมปิติ ก็ต้องอยู่ในศีลในธรรม มาทำอย่างนี้ได้อย่างไรพระอินทร์สอนให้พระเจ้าแผ่นดินครองพระองค์ปฏิบัติอยู่ในศีลในธรรม เลิกล้มพิธีนี้ให้หมด พระเจ้าแผ่นดินทรงได้สติขึ้น มาประชาชนซึ่งทนเสนาบดีไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อ เห็นเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น ก็ช่วยกันรุมจับเสนาบดี ประชาทัณฑ์จนกระทั่งตายไป แล้วพากันจะไป จับพระเจ้าแผ่นดินประชาทัณฑ์ด้วย แต่พระจันทกุมารเสดีจไปกั้นเอาไว้ ตรัสว่า เป็นพระราชบิดา ไม่ว่าจะอย่างไรท่านก็กตัญฌูร้คุณต่อพระราชบิดา ไม่ยอมให้ประชาซนเข้ามาทำร้าย ถ้าจะทำร้ายก็ต้อง ทำร้ายท่านเสียก่อน
ประชาชนก็เลยไม่ทำร้ายพระเจ้าแผ่นดิน แต่ มีประชามติถอดถอนออกจากพระเจ้าแผ่นดิน และ ยกพระจันทกุมารขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ปกครอง ไพร่ฟ้าประซาแผ่นดินด้วยความยุติธรรมพระจันทกุมาร ตอนที่เสนาบดีทูลพระเจ้า แผ่นดินและเอาท่านไปเผาเพื่อฆ่าบูชายัญ ท่านก็ ไม่มีความหวาดหวั่น ท่านไม่ได้ต่อสู้หรือโต้เถียง เพราะท่านเห็นว่าเมื่อเสนาบดีกับท่านมีความกิน แหนงแคลงใจกัน การทำสิ่งที่ถูกสิ่งที่ควรเพื่อช่วย ประชาชนของท่าน กิเลสของคนชั่วก็เห็นไปว่าท่าน ไปรังแกเขา
ท่านก็ยอมว่า เมื่อท่านเหมือนไปทำร้ายเขา เขาก็ต้องขบกัดตอบท่านเป็นธรรมดา ท่านจึงอดทน อดกลั้น รับเอาภัยอันนี้ หากบุญกุศลของท่านมีพลัง ก็คงจะมืเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เวลาจะเป็นเครื่อง พิสูจน์เอง ท่านจึงไม่โต้แย้งหรือขัดขืนอะไรเลยท่านยอมให้คนจับเอาท่านไปอยู่ในปะรำพิธี และจุดไฟเผาท่านเพื่อบูชายัญ ท่านทำสมาธิภาวนา ไม่ปล่อยใจให้หวั่นไหว มีขันติธรรม สงบอยู่จนกระทั้งเหตุการณ์เกิดขึ้นว่าพระอินทร์เหาะลงมาอันนี้เป็นตัวอย่างให้เห็นว่า ก่อนที่จะมาเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ต้องเพียรบำเพ็ญบารมีนี้ จนเต็มบริบูรณ์ แม้พวกเราๆ ก็เช่นกัน ทั้งที่เราทำสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่เป็นธรรม เพื่อประโยชน์ของ สาธารณซน ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตัวด้วยซํ้าไป แล้วผลเกิดขึ้นมาเป็นความทุกข์เดือดร้อนของตัวเอง ก็ไม่หวั่นไหว ก็อดก็ทน ยอมเข้าใจว่า สิ่งที่ว่าดีนี้ ถ้าผิดกาลเทศะ ไปขัดผลประโยชน์ของคนชั่ว ก็ถูก คนชั่วขบกัดเอาได้ใจที่มีขันติ จะรักษาเราให้ยังมั่นคงเพียรทำ คุณความดีเรื่อยไป เพราะเชื่อว่าชีวิตนี้ไม่ตายเดี๋ยว นี้วันหนึ่งถึงเวลามันก็ต้องตายแต่ใจจะต้องให้มีความเด็ดเดี๋ยว มีความอดทนอดกลั้น เพื่อรักษา ให้เราบรรลุถึงจุดหมายปลายทางของเรา ไม่ มีวัน หรอกที่จะถอยหสังกลับไปเป็นเครื่องมือให้กับความ ชั่ว เพียงเพราะว่าเรารักชีวิต เรากลัวเราเกรงต่อ อิทธิพลที่จะมาทำให้กายของเราทุกข์เดือดร้อนเรื่องที่เล่ามานี้ ก็เป็นตัวอย่างให้เห็นว่า การ ที่จะมีขันติจนบริบูรณ์ เติมรอบได้ เราจะต้องอดทน อดกลั้นอย่างพระตันทกุมารนอกจากนี้ ขันติยังมีเป็นองค์ประกอบใน หมวดธรรมที่เรียก ทศพิธราชธรรม คือธรรมสำหรับ ผู้เป็นใหญ่เป็นจอมคน คือพระเจ้าแผ่นดิน หรือเป็น หัวหน้าแต่ก่อนเราไปติดว่าทศพิธราชธรรมไม่ใช่เรื่อง ของพวกเรา เป็นเรื่องของพระเจ้าแผ่นดิน เพราะ ราชธรรมก็ต้องเป็นธัมมะของพระราชา ท่านต้องมี ธรรม 10 ข้อนี้ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่พระพุทธเจ้าประทานทศพิธราชธรรมไว้สำหรับ ใครก็ตามที่เป็นใหญ่ จะเป็นใหญ่ในหม่บ้าน เป็น ผู้ใหญ่บ้าน ก็ต้องมีทศพิธราชธรรม หรือพ่อเป็น ใหญ่ในบ้าน พ่อบ้านก็ต้องมีทศพิธราชธรรม หัวหน้า งานก็ต้องมีทศพิธราชธรรม คือใครก็ตามขึ้นไปเป็น ใหญ่แล้ว ไปปกครองคนอื่น ถ้าไม่มีทศพิธราชธรรม ก็มีโอกาสเอาอำนาจที่ตัวเป็นใหญ่นั้นไปรังแกหรือ ไปแสวงหาผลประโยชน์โดยการเบียดเบียนคนอื่นได้ทศพิธราชธรรมมีอะไรบ้าง ธรรม 10 ข้อนี้ ได้แก่ ทาน ศีล ปริจจาคะ อาชชวะ มัททวะ ตปะ อักโกธะ อวิหิงสา ขันติ อวิโรธนะ
ทาน คือ ท่านที่เป็นใหญ่ พระราชา นัก ปกครอง นอกจากจะสละจาคะอย่างทั่ว ๆ ไปแล้ว ท่านยงต้องสละทรัพย์สิ่งของส่วนตัวเพื่อช่วยเหลือ บำรุงเลี้ยงประซาราษฎร์ บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ใครก็ตามที่เป็นใหญ่ในชุมชนไหนต้องสละส่วนของตัวเองช่วยชุมชน เพื่อประโยชน์หมู่พวกที่เรา ปกครองดูแลอยู่ ไม่ใช่เราไปเก็บกวาดเอาของเขา มาสมัยนี้ ท่านที่เป็นใหญ่ทั้งหลายจัดส่งริ้วขบวน ลูกน้องไปรีดไถชุมชนเพื่อจะเอาส่วย อย่างนี้ไม่เรียก ว่าทศพิธราชธรรม ทศพิธราชธรรมมีแต่เราจะต้อง เอาของเราให้ออกไป เพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขของ คนที่อยู่ใต้ปกครอง แผ่นดินจะไต้ร่มเย็นเป็นสุขศีล เมื่อเป็นใหญ่ บางทีเราก็ไม่ระวังสำรวม กายของเรา ไม่สำรวมวาจาของเรา นึกอยากจะบ่น อยากจะว่า อยากจะใช้อยากจะทำอะไร ก็ว่าไปตาม อำเภอใจ ถ้าเรามีศีล เราจะระวังสำรวมกายทวาร ของเรา วจีทวารของเรา ให้เป็นที่เคารพของผู้ใต้ บังคับบัญชา กระทำแต่การสุจริต เที่ยงตรง รักษา เกียรติยศ ซื่อเสียง ไม่ให้มีข้อบกพร่อง ที่คนจะคิด แหนงใจหรือดูแคลนไต้ว่าทำไมเป็นใหญ่แล้วจึงใช้ กิริยาอย่างนี้ วาจาอย่างนี้ ประพฤติตัวอย่างนี้ เรา จะไม่ทำเป็นอันขาด ที่จะไปเชือดเฉือนหรือไปบั่นรอน ความเคารพเลื่อมใสที่เขามีต่อเรา จริยาวัตรเหล่านี้ คือคีลปริจจาคะ บริจาค หรือ ทาน นั้นดูใกล้เคียง กัน แต่ในความหมายของปริจจาคะ หมายถึง เรา ต้องเสียสละความสุขความสบาย ตลอดจนชีวิตของ เรา เพื่อประโยชน์ของประชาซน ความสุขความ เรียบร้อยของบ้านเมืองเพราะฉะนั้น เราเป็นพยาบาล เราเป็นหมอ เราจะแกฝนทศพิธราชธรรมข้อปริจจาคะ บางทีถึง เวลาที่เราควรจะได้พัก ถึงเวลาที่เราควรจะได้เลิก งานแล้ว แต่บังเอิฌมีคนไข้หนัก หรือมีเหตุสุดวิสัย
เราก็ต้องเสียสละ ไป ดูแลช่วยเหลือคนไข้ให้เขา ปลอดภัยก่อน แล้วเราจึงจะมานึกถึงความสุขส่วน ตัว ไปพักหรือเลิกงานไต้อาชชวะ แปลว่า ซื่อตรง เราจะต้องมีความ ซื่อตรง มีความจรืงใจต่อผู้ใต้บังตับบัญชา ต่อ ประชาชนอะไรที่จะพูดที่จะบอกเขา เราจะต้องบอกตามความเป็นจริงให้เขารู้ ไม่ใช่ว่าซ่อนเร้น ปิดบังเอาไว้.. ไม่ได้ ลับเฉพาะ ลับเฉพาะ แล้ววัน หนึ่งเขารู้เข้า ปรากฏว่ากลายเป็นอะไรไปแล้วก็ไม่รู้ คือเราไม่ให้โอกาสเขาจะได้รับรู้รับทราบ แล้วฝึกการ ใช้สิทธิในการดูแลผลประโยชน์ของการเป็นประชาชน อันนี้คืออาชซวะเราจะต้องมีความซื่อตรง มีความ จริงใจ ไม่ว่าเขาจะเป็นคนเล็กคนน้อยอย่างไร เรา ก็ต้องเคารพในสิทธิมนุษยชนของเรามททวะ คือความอ่อนโยน ความอ่อนโยน อันนี้ใม่1ใช่ความอ่อนแอคนที่มีมัททวะ กิริยาจะนุ่มนวล ไม่หยาบกระด้าง แต่ก็มีความงามสง่า ที่ ทำให้ถึงเราจะอ่อนโยน จะเป็นกันเองอย่างไรก็ตาม เขาก็ยังยำเกรงเรา มีความรักมีความภักดีกับเราตรงนี้ต้องระวังให้ดี บางคนไปคิดว่ามัททวะ คือความไม่มีนี้ายา ความอ่อนแอ.. ไม่ใช่.. เราไม่ หยาบคาย เราไม่เย่อหยิ่ง เราไม่กระต้างแต่ในความนุ่มนวลเป็นกันเองนั้น ก็มีอำนาจให้เกิดความ เคารพยำเกรง ตรงนี้ต้องอาศัยการสืกฝน คือเรามี ความจริงใจกับเขา เรามีความเด็ดขาด แต่เราก็ไม่ ยกตนข่มท่านตปะ คือแผดเผากิเลส แผดเผาตัณหา ในที่นี้ หมายความถึงว่า ถ้าเรามีดปะ เราต้องสามารถที่จะ กับยิ่งข่มใจของเราให้ไม่หลงใหลหมกมุ่นไปกับความ สุขสำราญ เพราะคนเราเมื่อเป็นใหญ่แล้ว โอกาสที่ คนจะมาพินอบพิเทาเอาใจนั้นมีมากเราต้องไม่หลงใหล เราต้องไม่หมกมุ่นไปกับความสุขสำราญ เหล่านี้จนกระทั่งเราบกพร่องในการที่จะทำภารกิจ หน้าที่ของเราให้ลุล่วงไปสมัยโบราณพระราชาทำอย่างไร บางโอกาสปลอมพระองค์ ตั้งต้นไปตามถนนตรอกซอกซอย ตามชนบทหมู่บ้าน เพื่อใกล้ชิดคลุกคลีกับประชาชน พูดคุยชักถามทุกข์สุข หรือไปค้างอ้างแรมในบ้านเขา เพื่อจะได้รู้ว่าชีวิตจริงๆ ของพวกเขา อยู่ดีกินดี ตามฐานะ หรือว่าถูกข้าราชการมาขูดรีด มาข่มขู่ ข่มเหง
ท่านทรงลำบากตรากตรำ ไม่ใช่จะอยู่แต่ใน รั้วในวัง คอยฟังแต่ที่เสนาอำมาตย์เอามากราบทูล เท่านั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นโอกาสที่จะถูกต้มตุ๋นก็มีมาก เมื่อผู้ไม่เป็นธรรมรู้ว่าผู้มีอำนาจหูเบา เชื่อคำคนใกล้ ชิดแล้ว เขาจะหาหนทางชี้นกให้เป็นไม้หรือเป็น อะไรก็ได้ทั้งนั้นเพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีตปะ ไม่คอยข่มตัวเอง ให้ไม่หลงใหลไปกับความสุขความสบาย เราก็จะ พลาดท่าได้ถ้าคนรอบข้างเป็นคนไม่ชื่อ ขาดความ มุ่งมั่นตั้งใจใฝ่งาน นึกถึงแต่ประโยชน์ส่วนตนอักโกธะ คือไม่ลุอำนาจความโกรธจนกระทั้ง ทำให้เราวินิจฉัยความต่างๆ ด้วยอคติ ใจคนเรา เมื่อมีความโกรธครอบงำแล้ว ย่อมเอนเอียง เลือก ที่รักมักที่ชัง.. คนนั้นไม่เป็นพวกฉัน น่าหมั่นไส้จริง มันไม่จงรักกักดี.. ใจก็เป็นอคติถ้าเรามีธรรมข้ออักโกธะ ใจคนเราจะให้เห็น เสมอหน้า เป็นเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยอัน ทั้งหมดนั้น ก็ยังมีกระเพื่อมกระฉอกอยู่ แต่ถึงจะ กระเพื่อมกระฉอก เราก็ไม่ยอมปล่อยไปตามความ กระเพื่อมกระฉอก จนกระทั่งใจของเรามีอคติขึ้นมา ได้ สิ่งใดที่เราจะทำจะวินิจฉัยออกไป จะต้องเอา เมตตาเป็นเครื่องถ่วงดุลเอาไว้ แล้วระงับความ ขุ่นเคืองที่เป็นส่วนตัว ชั่งตวงวัดให้เป็นความยุติธรรมจริงๆ ตรงนี้ต้องคอยแกฝน ระแวดระวังอยู่ เสมอ
อวิหิงสา คือไม่เบียดเบียน หรือกดขี่บีบคั้น เป็นด้นว่า ขูดรีดเก็บภาษีทั้งๆ ที่ราษฎรยาแย่อยู่ แล้ว ใช้สอยสมบติของแผ่นตินอย่างสุรุ่ยสุร่าย สิ้น เปลือง เสียหายโดยไม่สมควร แล้วมาขูดรีดเอาจาก ประชาชน ไม่หาเหตุเบียดเบียนลงโทษราษฎรเพราะ เกลียดชัง อาฆาต พยาบาท หรือนึกสนุกขึ้นมา ก็ ออกกฎลิดรอนเสรีภาพประชาชนโดยไม่เป็นธรรม ใครชัดขืนก็เอามาโบยมาตี เพียงเพราะใจหลงระเริง อำนาจ จะทำอะไรเราก็ทำได้
ถ้ามีอวิหิงสาอยู่ในใจจะไม่ทำอย่างนั้น จะ ต้องพยายามฝึกหัดดัดใจของตนให้ไม่หลงในอำนาจ ไม่ไปทำอะไรที่จะไปเบียดเบียนกดขี่บีบคั้นประชาราษฎร์อวิโรธนะ คือวางตนเป็นหลักที่หนักแน่นใน ธรรม ประพฤติอะไรไม่ให้เคลื่อนไปจากแบบฉบับ ไม่หวั่นไหวเอนเอียงไปตามคำพูด ลาภลักการะ หรือ อารมณ์ ระมัดระวังให้ตัวเองเป็นเสมือนแก่นของ ธรรม หรือเป็นหลักที่น่าเชื่อถือและไว้วางใจไต้ สิ่งที่ ประพฤติออกมาต้องไม่คลาดเคลื่อนไปสู่ความวิบัติขันติ คืออดทน ถึงงานที่เราดูแล ผู้ใต้บังคับ บัญชาของเรา หรือประเทศชาติของเรา จะทำให้ ลำบากตรากตรำแค่ไหนในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน เราก็อดทน ไม่เหินแก่เหน็ดแก่เหนื่อย ถึงจะถูกคน พูดจาเสียดสีถากถางอย่างไรก็ไม่หมดกำลังใจ ใน ยามบ้านเมืองมีปัญหา มีข้าศึกศัตรู หรือเกิดข้าว ยากหมากแพง โรคระบาด ก็เป็นไปไม่ได้ที่ผู้คนจะ สงบเป็นนั้าหนึ่งใจเดียว บางคนก็ไม่พอใจ เป็น ชนวนให้มีวิกฤติการณ์เกิดขึ้นได้เมืองญี่ปุ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อ แพ้สงครามแล้วรัฐบาลจำเป็นต้องหาตลาดเพื่อส่ง สินค้าออกไปขายให้มีรายได้กลับเข้ามาเลี้ยงประเทศ ชาติ เขาพบว่าราคาข้าวของที่เขาทำออกมาขายได้ ขณะนั้น ต้นทุนสูงกว่าราคาที่ชาติอื่นๆ ส่งมาขายอยู่ ในท้องตลาดถ้าเขายืนยันขายตามราคาจริงก็ไม่ได้ตลาด เมื่อไม่ได้ตลาด ประชาซนชาวญี่ป่นก็จะไม่มีรายได้ รัฐบาลจึงตัดสินใจขอลดราคาลงเพื่อให้ได้ตลาด ชาติ อื่นขาย 10 บาท ญี่ป่นยอมขาย 9 บาท 80 สตางค์ หรือ 9 บาท 40 สตางค์ ที่งๆ ที่ขาดทุน ญี่ปุ่นก็ยอมสู้แบบนี้แล้วการขาดทุนจำนวนนี้ญี่ปุ่นทำอย่างไร เขาเอาภาระลันนี้มาให้ประซาชน ขอร้อง ประชาชนให้ช่วย เพราะถ้าไม่เสียสละตรงนี้ เรา ก็จะไม่ได้เม็ดเงินเข้ามาเป็นรายได้ ผู้คนจะไม่มีงาน ทำ แล้วเราจะเอาอะไรมากินมาอยู่
เพื่อให้เรามีงานทำ มีเงินมากินมาอยู่ได้ เรา ต้องเสียสละด้วยการส่งของออกไปขายในราคาขาดทุน
แต่ขายในเมืองเราต้องแพงกว่านั้นเพื่อเอามาเฉลี่ย ชดใช้ที่ขาดทุนไป ราคาอาจสูงถึง 15 บาทชาวญี่ปุ่นก็เห็นดีเห็นงามด้วย ให้ความร่วมมือ อย่างหน้าชื่นตาบานวิญญาณของความรักชาติเสียสละเพื่อประโยชน้สุขของชนส่วนใหญ่เช่นนี้ คือ ทางรอดของกลุ่มซน ตลอดไปถึงประเทศชาติถ้าผู้เป็นใหญ่ที่รับหน้าที่เป็นผู้นำแน่ใจว่า นโยบายที่นำมาปฏิบ้ติเป็นทางสุจริตและเป็นทางที่ได้ ไตร่ตรองด้วยบ้ญญาแล้วเห็นชอบว่า หนทางนี้เป็น การแก้บ้ญหาที่แลดูเหมือนไม่มีทางออกในตอนแรก ให้คลี่คลายไปจนได้ด้วยดี เราก็ต้องอดทนอดกลั้น ใครจะวิพากษ์วิจารณ จะต่อนว่าด่าสาดเสีย เทเสียอย่างไร กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ ปรากฏ ว่า เมื่อญี่ปุ่นทำอย่างนี้ บ้านเมืองก็พื่นคืนสภาพ ขึ้นมา
เมื่อบ้านเมืองดีขึ้นแล้ว รัฐบาลก็ให้ผลตอบ แทนกับประชาชน ด้วยการให้สินค้าที่ทำขายในเมือง ญี่ปุ่นเอง ทั้งๆ ที่ยี่ห้อแบบเบอร์รุ่นเดียวกัน ถ้าวาง ขายในเมืองฌี่ป่นจะมืคณภาพดีเป็นพิเศษกว่าของ
ที่ส่งออกไปขายนอกญี่ปุ่น เพื่อเป็นผลตอบแทนที่ ประชาซนร่วมมือช่วยกันเสียสละซื้อของในราคาที่ แพงตลอดมา สินค้าที่วางขายในเมืองญี่ปุ่นแต่ละอันๆ จะทนทาน ได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน คุณภาพเป็นเยี่ยม ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของคน ญี่ปุ่นเรื่องนี้เป็นความจริง คราวหนึ่ง สามีเพื่อน ดิฉันไปดูงานที่ญี่ป่นและซื้อเครื่องอัดเทปเล็กๆ มา ฝากดิฉันเครื่องหนึ่ง มองลูท่าทางมันเทอะทะไม่น่า พกพา แต่เมื่อใช้แล้วก็ประกับใจ ใช้ง่าย สะดวก มี คุณภาพ และไม่เคยมีปัญหาเลย
ภรรยาเห็นคุณภาพจากการใช้ของดิฉันก็ติดใจ แต่สามีไม่ได้ไปญี่ปุ่นอีก คราวหนึ่ง เธอได้ใปลูงานที่ สิงคโปร์ เห็นเครื่องเทปยี่ห้อนี้ เบอร์นี้ รุ่นนี้เพราะ จดเอาไป ก็ซื้อมา หน้าตาก็เหมือนกันไม่มีผิดเลย เมื่อใช้ไปพอสมควร มันก็เริ่มมีปัญหาเป็นจริงอย่างคำรํ่าลือ ของอะไรที่วางขายอยู่ เมืองญี่ปุ่น รับรองร่าคุณภาพจะดีประณีตเป็นพิเศษ ขณะที่ของส่งออกก็ดีตามเกณฑ์ปกติ แต่ไม่ได้ดียอด เยี่ยมอย่างในญี่ปุ่นถ้าทุกเรื่องพวกเรามีขันติกันอย่างนี้ แม้ว่าสิ่ง ที่หัวหน้าพาทำ จะแลดูเหมือนสร้างความลำบาก ตรากตรำ ทำให้ลูกน้องทุกข์เดือดร้อนแต่เราก็ช่วยกัน ทำนองอดเปรี้ยวไว้ก็นหวาน ปัญหาถึงจะ หนักหนาสาหัสแค่ไหนก็สามารถแก้ไขให้ลุล่วงไปได้เหมือนอย่างกรณีของบ้านเมืองเราตอนนี้ เป็นหนี้เขาไม่ร้ว่ากี่หมื่นกี่แสนกี่ล้านล้าน ถ้าเรามี ขันติกันอย่างนี้ เราอดทนอดกลั้น เมื่อเราเป็นหนี้ เขา เราก็ยอมใช้หนี้ ใครเขาจะมาว่าเราว่า.. ไอ้คน หนี้ท่วมหัว.. เราก็ยอมรับ เพราะเป็นความจริงแล้วอดทนอดกลั้น ประหยัดมัธยัสถ์ เพื่อแก้หนี้สินให้ หมดไปเหมือนอย่างที่ท่านอาจารย์พระมหาบัวเคยเทศน์ให้ประหยัดมัธยัสถ์ คนละบาทเอาใส่กระปุก ออมสินไว้ทุกรันประเทศชาติเรามีคน 62 ล้านคน รันหนึ่งเราก็ได้ 62 ล้านบาท ถ้าเราเอาขันติ มาใช้ เราก็จะค่อยๆ ลืมตาอ้าปากได้ นี่เราก็ไม่เอา ต้องคอยว่ารันไหนท่านจะมารับผ้าป่า วันนั้นเราค่อยเอาดอลล่าร์ไปถวาย เอาทองไปถวายท่านจะมารับผ้าป่า 365 วันได้หรือ แค่นี้ท่านก็เหนื่อยจะแย่ แล้วถ้าเราทุกคนทำผ้าป่าโดยใส่กระปุกออมสินไว้ ถวายท่านอาจารย์ทุกวัน.. ทุกวัน.. ทุกวัน วันละ 1 บาทหรือถ้าเผื่อเราเห็นว่า 1 บาทจะน้อยไป
เราทำวันละ 10 บาทก็ได้ แทนที่จะเป็น 62 ล้าน บาทต่อวัน เราก็ได้ 620 ล้านบาท ถ้าลงมือทำกัน จริง ซึ่งต้องอาศัยความอดทน อดกลั้น มีขันติและพากเพียร ทำด้วยความสม่ำเสมอ เราก็ไม่เอา ทำไป หน่อยหนึ่ง เราก็ .. เฮ้อ ... ขี้เกียจแล้วไม่อย่างนั้นเราก็มืข้อแม้ว่า ไม่เป็นไร ถึงวัน อาทิตย์ค่อยจ่ายทีเดียว ถ้าใส่วันละบาทๆ แหม .. ขี้เกียจ พอวันอาทิตย์ใส่ 10 บาทเลย แต่เปล่า หรอก หลายๆ อาทิตย์ก็ไม่ได้ใส่สักบาทหนึ่ง นี่แหละ วันเวลามันก็กลืนกินชีวิตเราไปอย่างนี้ติฉนเคยจะเก็บหอมรอมริบ ตอนนั้นไม่ใช่ เรื่องหนี้สินของประเทศ เก็บหอมรอมริบไว้ซื้อของ ตอนแรกก็ใส่ทุกวันดีหรอก.. เฮ้อ.. ยุ่งยาก ครบ
อาทิตย์ค่อยใส่ทีหนึ่งก็แล้วกัน แล้วก็ลืมไม่ได้ใส่เสีย เป็นส่วนใหญ่ ครั้นคำนวณวันเวลาดู ก็ว่าน่าจะมีทุน ครบแล้ว เอากระปุกมาเปิดนับ เอา.. ทำไมถึงยังไม่ ครบสักที ก็เพราะเราไม่มีขนติ ใจแล้งน่าอดนํ้าทนฝึกฝึนทำให้สม่ำเสมอทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องของทศพิธราชธรรม แต่ ให้เราจำไว้ว่า ไม่ใช่ธรรมของพระเจ้าแผ่นตินเท่านั้น เราสามารถน่ามาทำกับตัวเราเองได้ทุกคน ในบาง สถานะ เราก็เป็นพี่ของน้อง ๆ เป็นหัวหน้าครอบครัว หรือรักษาการแทนเจ้านาย ให้เรานึกเอาไว้ว่า เรา ก็ ใหญ่ คนหนึ่ง แต่อย่าใหญ่แบบกิเลสพาใหญ่ ให้ เราใหญ่อย่างชนิดที่ใหญ่อย่างมีคุณธรรม มีคุณค่า ถ้าฝึกให้มีทศพิธราชธรรมเอาไว้ในใจแล้ว เราจะสามารถปกครองตัวของเราได้เป็นอย่างดี แล้ว ไปปกครองคนอื่นได้อย่างดีด้วยทุกคนจะสามารถทำงานของตนได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย มีประสิทธิภาพ เต็มที่ เพราะต่างมีวินัยกับตัวเอง และจะมีวิธีทำงาน อย่างชนิดที่เรียกว่า ทำจนกระทั้งต้องประสบความ สำเร็จ ไม่มีท้อไม่มีถอย ไม่มีขี้เกียจขี้คร้าน ไม่ใช่วันนี้ขยันก็ทำดีหน่อย พรุ่งนี้ขี้เกียจก็ทำพอให้พ้น หน้า คุณภาพของเราจะเสมอต้นเสมอปลาย ไม่มีชนิดสุกเอาเผากิน ปัดสวะให้พ้นหน้าคราวนี้ก็มาถึงหมวดธรรมชุดสุดท้ายที่มีขันติ เป็นส่วนประกอบ ได้แก่ มงคล 38มงคล 38 ประการนี้ คือ ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอน เพื่อจะนำมาซึ่งความสุขความเจริญ เวลาสวดมนต์ขึ้นบ้านใหม่ หรือสวดมนต์ในพิธีมงคล ต่างๆ มักจะใช้มงคล 38 เป็นบทสวดร่วมอยู่ด้วย บทที่ว่าด้วยขันติ เป็นคาถาที่ 8 ซึ่งประกอบด้วยขันติ การมีความอดทน เป็นมงคลอันสูงสุด ใสวจสสตา การเป็นผู้ฟังเหตุผล พูดกันง่ายสอนง่ายว่าง่าย เป็นมงคลอันสูงสุดสมณานฌฺจ ทสฺสนํการพบเห็นสมณะเป็นมงคลอันสูงสุดกาเลน ธมุมสากจุนา การได้พ้งธรรมในเวลา อันควร เป็นมงคลอันสูงสด
เพราะฉะนั้น การที่เรามีความอดทนนี้ เป็น สิ่งจำเป็นที่แทรกอยู่ในข้อธรรมหลายๆ ข้อ หลาก หลายในชีวิตของเราถ้าเราระลึกทบทวนถึงข้อธรรมเหล่านี้ และนำมาใช้ในชีวิตให้ครบถ้วน เริ่ม ตั้งแต่ฆราวาสธรรม เพราะเราล้วนเป็นคฤหัสถ์ ต่าง ก็ครองเรือนเป็นฆราวาสด้วยกัน เพียรระลึกนึกถึง หกักธรรมเหล่านี้เอาไว้ แล้วฝึก ฝึก ฝึกเราแกในฆราวาสธรรม แกในสังวร แกใน ทศบารมี แกในทศพีธราชธรรม แกในมงคล 38 ประการ ฝึก ฝึก ฝึก ความจริงก็คือ ขันติ ตัวเดียว กันนั่นเอง เลยเหมือนกับช่วยให้เรามีชั่วโมงบินเพิ่ม ขึ้น เพราะถ้าเราจะแกแต่ฆราวาสธรรมอย่างเดียว ใจเราก็เบื่อ แล้วหลอกตัวเองว่า.. รู้แล้ว.. แต่รู้แบบ มีวิชาท่วมหัว เอาตัวไม่รอดในทางกลับกัน ถ้าเรานึกถึงหมวดธรรม เรื่องนั้น เรื่องนี้ แล้วมาลงที่ขันติอยู่เรื่อยๆ ก็ได้นำ มาแกปฎิบิตในการแก้ปัญหาบ่อย ๆ จนกลายเป็น อุปนิสัยไป พอจะทำอะไร เราจะเอาสติมาจดจ่อ.. รักยาวให้นั่นรักสั้นให้ต่อ.. อย่าไปมีเรื่องกันเลย เรา ค่อยๆ คิด ทำอย่างไรให้เราอดทน เพียรพยายาม ปรับที่ใจเรา แก้ไขที่ใจเรา
เมื่อฝึกในใจของตัวเองอยู่อย่างนี้โดยสมํ่าเสมอ ปัญหาต่างๆ ก็คลี่คลายไปในทางดี และคุณสมปัด นี้จะกลายมาเป็นพื้นนิสัย เป็นบารมีของเราไปโดย ไม่รู้ตัว พอเราตั้งหน้าจะทำอะไร ใจจะมีขันติในแง่ที่ เป็นวิริยะ ซึ่งจะพาให้เรามีความเสมอต้นเสมอปลาย หนักเอาเบาสู้ ไม่ใช่ว่าทำแล้วจดๆ จ้องๆ แล้วอีก ประเดี๋ยวก็ย้ายไปเป็นเรื่องอื่น ในที่สุดเราก็เบื่อตัว เราเอง เพราะว่าทำอะไรแล้วไม่เคยสำเร็จสักทีหนึ่ง เมื่อเราทำถูกแบบแผนอย่างนี้แล้ว ผลที่เกิด ขึ้นมา ก็มีส่วนมาเป็นกำลังใจอย่างมาก เหมือนตัว ดิฉันเองตอนแรกที่เข้าไปปฏิบ้ติกับท่านพระอาจารย์ สิงห์ทอง ไม่ใช่เพราะเห็นคุณของการปฏิปัติว่า จะเอามาขัดเกลาจิตใจของเราให้ดี ให้หมดจากกิเลส เพราะไปโง่เซ่อหน้าแตก เป็นซาวพุทธที่ทำสมาธิ ไม่เป็น แล้วนึกว่าตัวเองเป็นชาวพุทธที่สมบูรณ์แบบ แล้ว พอถูกซักถามเรื่องสมาธิเข้าก็ไม่รู้เรื่อง กลับ
มาบ้านเรา จะมาฝึกหัดปฏิบ้ติเพื่อทำสมาธิให้เป็น ก็ คิดง่ายๆ แค่นั้น
เมื่อลงมือปฏิบ้ติแล้ว ท่านพระอาจารย์ค่อยๆ สะกดสะเกาให้เราได้เห็นว่า จริง ๆ แล้วการทำสมาธินี่ ไม่ใช่ทำเพียงเพราะว่าเราจะทำสมาธิให้เป็น เหมือน กับไปสมัครเรียนวิชาอะไรวิชาหนึ่ง เมื่อเรียนจบเรา ก็มืความภูมิใจว่า เราทำเรื่องนี้เป็นแล้ว ก็ไปหาวิชา ใหม่เรียนเรื่องของการปฏิบ้ติ เพื่อจะรู้จักใจของตัวเอง แล้วฝึกหัดขัดเกลากิเลสให้หมดสิ้นไปจากใจ โดย อาศัยสติ สมาธิ บ้ญญา เป็นเครื่องมือนั้น เป็นสิ่งที่ เราจะต้องทำด้วยความอดทน ทำด้วยความพากเพียร ที่สม่ำเสมอ และต่อเนื่องกันไปไม่รู้จบ เพื่อสิ่งที่เรา ฝึกปฏิบติเหล่านี้จะได้ติดอยู่เป็นพื้นนิสัยของเราจน กระทั่งเป็นอัดโนมัติ เป็นบารมีเพื่อพาเราไปให้ถึงที่ หมายปลายทางแรกๆ นั้นมิความรู้สึกเหมือนไส้เดือนถูกขี้เถ้า ท่านพระอาจารย์ท่านมีกฎเหล็กว่า เมื่อท่านลงนั้ง เวลาที่ท่านมาเทศนี่ที่ศาลา หากท่านยังไม่ลุก ใคร นั่งท่าไหนก็ต้องนั่งอยู่ท่านั้นขยับไม่ได้ ท่านอธิบาย ว่า ถ้ามัวแต่ขยับอยู่เรื่อยๆ เราก็ไม่เห็นธรรม เพราะว่าอิริยาบถจะไปบดมังทุกข์เอาไว้หมด ..พออาจารย์ ลงนั่งนะ ศิษย์จะเอาท่าไหนจัดให้ดี แล้วหมายความ ว่า ระหว่างที่อาจารย์ยังไม่ลุกนี่ ศิษย์จะต้องเป็น ตุ๊กตาปันนะ ขยับไม่ได้เลย..บางทีเราเผลอขยับ ท่านจะดุ ..นี่บาปกรรม เวลาเราขยับไม่ว่าจะเบายังไง ผ้านุ่งเรามันส่งเสียง ท่านบอก ..นั่นแหละ ใจคนบางคนเขาละเอียด เขา กำลังเป็นสมาธิดี ๆ ก็เหมือนเราทำเสียงอะไรตก โครมคราม อีกหน่อยเวลาศิษย์ปฏิบติก็จะมีเสียงมา รบกวนอยู่อย่างนี้ เพราะว่ามันเป็นวิบากเราก็กลัว ไม่กล้าขยับเลย แรกๆ ไม่เป็นอัน ภาวนาหรือฟังเทศน์ท่านหรอก ... ท่านอาจารย์เลิก เถอะเจ้าค่ะ ท่านอาจารย์เลิก เลิก เลิก ...ได้ยินแต่ เสียงใจตัวเองบ่นอยู่อย่างนี้เพราะว่าใจขาดขันติมันเลยสติแตก จะขยับก็ไม่ได้เพราะว่าอายเขา แต่ ในใจมีความรู้สึก.. โอ๊ย เมื่อไหร่จะสิ้นสุดเสียที
ความจริงตรงนั้นก็เป็นขันติโดยไม่รู้ตัว เพราะ ว่าถูกบีบขังตับให้ต้องทำ วันหนึ่งใจก็ลงรวมใต้ทั้ง ๆ ที่มันเจ็บจะตายอย่างนั้น เพราะใจของเราที่บอก.. ท่านอาจารย์เลิกเถอะ เลิกเถอะ เลิกเถอะ ... มันก็ หนึ่งเดียวเหมือนกัน ไม่ใช่พุทโธ แต่มันก็ ... ท่าน อาจารย์ เลิกเถอะ เลิกเถอะ เลิกเถอะ.. ก็จดจ่อ เป็นหนึ่งเดียว ไม่วอกแวกไปไหนเลย ใจก็ลงรวมเมื่อลงรวมแล้ว ที่ปวดเมื่อย ที่รู้สึกว่ากระดูก ทิ่มตำออกมานอกเนื้อ กลับเบาสบายคราวนี้พอท่านอาจารย์ลงนั่ง ถึงใจจะนึก.. โอ๊ย ท่านอาจารย์.. แต่เสียงก็เบาลงแล้วคราวนี้ใจก็ขักสงบและเป็นสมาธิได้ต่อไปๆ เราก็นั่งได้สบาย บางทีท่านอาจารย์ ลุกแล้วก็ยังไม่ขยับ เพราะไม่ได้มีความรู้สึกว่า.. โอ๊ย.. คอยอยู่เมื่อไหร่ท่านอาจารย์จะลุก แต่บางครั้ง ท่านอาจารย์ยังไม่ทันลุกเลย ขาเราเด้งไปเองแล้ว นึ่ก็เป็นธรรมสอนเราให้เห็นเรื่องไตรลักษณ์ ดูเอาเถอะ ตัวเราแท้ๆ ก็สั่งไม่ได้ บังคับไม่ได้ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราตรงไหนเลยเมื่อใจเห็นผลอย่างนี้มันชื่นใจ ต่อไปก็มีกำลัง ท่านอาจารย์ลงศาลาก็ไม่ใปคิด.. โอ๊ย เลิกเถอะๆ.. ใจเราสบายๆท่านอาจารย์จะคุยอะไรเราก็ได้ยินที่ท่านคุย เราก็รื่นเริงบังเทิงกับสมาธิของเรา การนั่ง อย่างนี้ก็สนุกดี
เมื่อฝึกไปจนกระทั่งเห็นผลแล้ว คราวนี้มัน ไม่ทุกข์เดือดร้อนแต่ตอนแรกที่ยังไม่ได้ผล มิไยท่านจะบอกว่า ขันติไม่ใช่กัดฟันทนจนฟันหักหมด ปาก เราฝึกตัวเรา เราปรับตัวเรา เพื่อคุณงามความ ดี เพื่อเป็นอุปนิลัย.. ใจมันไม่ได้ยินหรอก เพราะ มัวแต่เถียงว่า อะไรจะปานฉะนี้หรืออย่างที่หลวงพ่อซาท่านสอนพระเณรว่า หลวงพ่อจะพานั่งข้ามเวทนา เราฟังแล้วสยดสยอง.. ข้ามเวทนา.. จะข้ามไปกี่แม่นํ้ามหาสมุทรกันมันถึง จะข้ามพ้น ท่านพาพวกพระเณรลูกวัดนั่งสมาธิที่ศาลา ซึ่งหน้าร้อนทางอีสานก็ร้อนจะแย่อยู่แล้ว พระก็นึกว่า ห่มแต่อังสะตัวเบาๆ เล็กๆ ตัวเดียวก็พอ ท่าน บอกไม่ได้ ต้องครองจีวรให้เติมภาคภูมิ แถมปิดหน้าต่างหมด แล้วนั่งท่านอาจารย์ท่านไม่ได้นั่งประเดี๋ยวเดียว บาง ทีนั่ง 2-3 ชั่วโมง ทุกคนเหงื่อโชกกันหมด ท่านบอกว่า นั่นแหละ.. เอาจนกระทั่งมันเย็น เพราะว่า เมื่อเหงื่อออกมากๆๆ แล้ว เราจะเย็นสบาย จะข้าม เวทนา ทุกองค์รอคอยหน้าหนาวอย่างใจจดใจจ่อเพราะห่มจีวรอย่างนี้ ปีดหน้าต่างอย่างนี้ จะได้ค่อย อุ่นหน่อยปรากฏว่าหลวงพ่อเปลี่ยน พอถึงหน้าหนาว เข้า เปิดหน้าต่างหมด ซํ้าร้ายไม่ต้องครองจีวรแล้ว อังสะตัวเดียวตกลงก็ต้องข้ามเวทนาอีก เพราะหนาวจนจะแย่แล้วตอนร้อนก็ร้อนจนไม่รู้จะว่า
อย่างไร หลวงพ่อกอับว่า ในนรกมันร้อนกว่านี้อีกนะถ้าเราอดทน เรามีขันติ เราก็จะข้ามเวทนา ไปกับหลวงพ่อได้แล้วเราจะรู้สึกว่า เวลาจะตายหรือเวลาเข้าที่คับขัน ใจจะไม่กลัว แต่ถ้าเราโกง ไม่ยอมทำจนเห็นผล ถึงเวลาที่เราเจอะเจอวิกฤติเข้า จิตใจก็จะระสาระสายการมาฝึกตัวฝึกใจของเรา ก็คือการมาเสาะ หาเครื่องมือแต่ละชิ้น แต่ละอัน ที่เป็นเหมือนกำลัง มาช่วยให้เราลามารถพาใจไปจนถึงจุดหมายปลาย ทางได้ เราจึงต้องมีนํ้าอดนํ้าทน เพียรพยายามหา เครื่องไม้เครื่องมือที่จะช่วยเราให้เราพากันตั้งใจเสาะแสวงหาไป จนเรามีขันติ เรามีความเพียร เรา มีปัญญาเห็นชอบ เราค่อยๆ เก็บเกี่ยวสิ่งเหล่านี้ไป
ถ้าเราไม่มีความอดความทนมุ่งมั่นเอาจริง เอาจัง ถึงเราจะมีปัญญา แต่สติที่ยังไม่ต่อเนื่อง บาง ทีก็คม พุ่งเหมือนกับว่าวติดลมบน แต่บางทีไม่ได้ เรื่องก็ดิ่งพสุธาเหมือนอย่างกับตกหล่มแล้วโดนโคลน ดูดอีก สภาวะอย่างนี้พาจึตใจให้เสียกำลัง แต่ถ้าเรา มีขันติเป็นเครื่องกันกระเทือนเอาไว้ เมื่อใจจะดิ่ง พสุธา เราก็.. ไม่เอาน่า อดทนทำต่อไปอีกหน่อย..ท่านพระอาจารย์สิงห์ทองเคยออกกฎไว้ว่า ถึง ขี้เกียจก็ต้องทำ ก่อนนอน ถ้าเรารู้สึกง่วงจนกระทั่ง จะทำไม่ไหว ก็ต้องแนเดินจนกระทั่งหายง่วงจึงไป นอนได้ตอนแรกดิฉันก็เถียงท่านอาจารย์ ถ้าไปเดินจนหายง่วงแล้วลงไปนอน จะนอนหลับได้หรือ ก็มันหายง่วงไปแล้ว
ท่านเอ็ดว่า ก็ไปท่าดูก่อนสิ แล้วก็อธิบายต่อ พอง่วงป้บก็ซุกหัวลงนอน เขาเรียกนอนเหมือนหมู เหมือนหมา ไม่มีคุณภาพคราวนี้.. ถึงง่วงจนกระทั่งเดินตกทางจงกรม ข้างซ้าย เลยตื่นขึ้นมาหน่อยไปตกทางจงกรมข้าง ขวาแทน คือเดินเหมือนคนเมา ก็ยังกัดฟันเดิน เพราะท่านบอกให้เดินจนกระทั่งตื่นดี คราวนี้ท่านจึงให้ไปนอน เราก็ไปนอน แต่ไจก็นึก.. ก็มันตื่นจน อย่างนี้แล้วจะนอนหลับได้ยังไงครั้นลงนอนเข้ากำหนดอยู่ที่ลมหายใจ ประเดี๋ยวเดียวก็หลับท่านอาจารย์สอนถึงเรื่องนอนว่า ไม่ปล่อยใจ ให้ฟังซ่านไป ตัวลงนอนแล้ว ก็ต้องกำหนดอยู่กับ ลมหายใจ จนกระทั่งจะหลับตรงไหนก็ปล่อยให้หลับ ไปเราก็หลับ และหลับดีด้วย เพราะว่าเราหลับไปกับลมหายใจ ไม่อย่างนั้นเราจะฟังซ่าน คิดโน่น คิดนี่สนุกไปเรื่อย พอหลับก็ฝัน ใจไม่ได้พัก แต่เมื่อ ทำอย่างนี้ พอหลับใจเหมือนเราเข้าสมาธิรู้ตัวตื่นเมื่อไร ท่านอาจารย์ให้กำหนดอยู่กับ ลมหายใจ กระโจนลงทางจงกรมเลย คือ ให้สติต่อเนื่องกับก่อนหลับ เราก็พบว่า ถ้าทำได้อย่างนี้ สติ จะอยู่รักษาให้ใจสงบเป็นปัจจุบันขันติที่จะคอยรักษาใจให้พากเพียรปฏิบัติก็ดูง่ายแต่ถ้าตอนไหนเราโกง.. วันนี้เหนื่อยเหลือเกิน ขอนอนอย่างหมูอย่างหมาลักรันหนึ่งเถอะ มันไม่รัน เดียวสิ ตื่นเช้าขึ้นมา ก็ยังเป็นหมูหมาต่อ เพราะ ว่าสติชักหลวม ลุกขึ้นมาแล้วก็ไม่ลงทางจงกรม ลุกขึ้นมาแล้วก็ยังนั่งสัปหงกอยู่บนที่นอนต่อ พอ ลงทางจงกรมก็.. โอ๊ย ไม่ไหว ใจไม่มีความสดชื่น และรู้ติวคมเหมือนอย่างกับที่ทำอย่างท่านสอน ที่ ว่าถึงจะง่วงยังไง ๆ ก็ต้องบังกับให้เตินจนกระนั่ง มีสติรู้ตัว ตื่นดีแล้วจึงลงไปนอน ซึ่งมันแปลก เรา เคยคิดแต่ว่า ถ้าเราตื่นอย่างนั่นแล้วไปนอน ก็ต้องนอนตาค้างอีกนั่งนานกว่าจะหลับ เราก็เสียดายเวลา ของเราแต่ถ้า เราทำอย่างนั่น เราจะนอนอย่างมีคุณภาพ เพราะพอหลับไปใจจะเหมือนเช้าสมาธิ ท่าน อาจารย์อธิบายว่า ถ้ารู้สึกง่วงจนสติไม่เป็นอันอยู่กับ ใจ เราจะต้องฝืนเดิน เดิน เดินจงกรม จนกระทั่ง สติมาอยู่กับใจ แล้วจึงลงนอนพร้อมกับกำหนดอยู่ กับลมหายใจจนกระทั่งหกับไปพอรู้ตัวตื่น อย่าเพิ่งไปติดอะไร ให้กำหนดอยู่ กับลมหายใจ คล้ายกับจะเอาไปต่อเนื่องกับลมเมื่อ ก่อนหลับ เหมือนเราฟังเทปก่อนนอน ฟังไป ฟังไป ... เราจะหลับ เราก็หยุดเทปเอาไว้ พอรู้ตัวตื่นเรา ก็กดป่มให้เทปเดินต่อ คือใจเป็นปัจจุบัน ไม่ปรุงคิด วอกแวกไป เมื่อรู้ตัวทั่วพร้อมสติคมชัดดีแล้ว เรา จึงค่อยลุกขึ้น ไปเข้าห้องนํ้าขณะจะลุกนี้ ใจก็เปลี่ยนจากรู้ลม มากำหนดที่อิริยาบถแทน
ท่านสอนว่า ถ้าทำได้อย่างนี้ ช่วงที่เราหลับ จะกี่ชั่วโมงก็ตาม เหมือนเราได้สมาธิแค่นั้นชั่วโมง ท่านทำให้เรารู้สึก โอ้.. ก็ดีเหมือนกันนะ เรานั่งทำ สมาธิจริง ๆ ก็นั่งไม่ได้หรอก เท่าเวลาที่เรานอน เพราะเราไม่นอนแค่ 4 ชั่วโมง บางทีก็นอนตั้ง 5 ชั่วโมง 8 ชั่วโมง แล้วเราก็ได้โบนัสทุกวันเลย นอน 8 ชั่วโมง ก็เหมือนได้สมาธิ 8 ชั่วโมง แต่ข้อสำคัญ คือต้องอย่าเผลอตอนจะหลับและตอนจะตื่น เพราะ ท่านบอกถ้าตื่นแล้วใจฟุ้งซ่านเป็นนิวรณ์ มันก็ไม่ เหลืออะไรเลยเราไปลองทำกันดู แล้วจะพบว่าใจของเรา วันนั้นทั้งวันคมแล้วก็นิ่ง ค่อนข้างจะเป็นปัจจุบัน ได้ดีมากๆ อะไรเกิดขึ้นก็มีสติระลึกรู้อยู่ อารมณไม่ วูบวาบหวั่นไหวมาก แต่ถ้าวันไหนเรานอนเหมือน หมูเหมือนหมา วันนั้นอุบติเหตุจะเกิดขึ้นเยอะมาก ประเดี๋ยวก็ไปแขวะคนโน้น แล้วพอแขวะเขาจบไป แล้วถึงได้สติว่า.. ไม่น่าจะพูดเลย ซึ่งก็ไม่น่าจะพูด จริง ๆ เพราะว่าที่พูดไปกลับมืผลตามมาให้เราต้อง ปวดหัว ต้องมืบัญหาเยอะแยะโดยไม่จำเป็นถ้าสติอยู่กับใจทั้งขณะจะหลับและเริ่มตื่น ขันติ จะเป็นเหมือนเกลียวที่คอยรั้งเราเอาไว้ พอมีอะไร เกิดขึ้น เราไม่ต้องเตรียมกัดฟัน ใจจะมืความอดทน อดกลั้นอย่างสงบเสงี่ยม คือ ทั้งขันติ ทั้งโสรัจจะ จะมาผสมกลมเกลียวกันเองพอเฟืองเริ่มจะขบกันนิดหนึ่ง โสรัจจะก็เข้ามาเป็นเหมือนนํ้ามันหล่อลื่น ทำให้เฟัองหมุนไปไต้สมาเสมอไม่เกิดการเสียดลี ไม่ร้อนไม่เหนื่อย แล้วใจเราก็สบาย ที่จะพากเพียร ทำงานอันนั้นไปจนกระทั้งบรรลุผลแต่ถ้าเราไม่ฝึกอย่างนี้เอาไว้ มันทำได้เหมือน กัน แต่ด้วยความรู้สึกสะมักสะบอมหมดลาน เพราะ กายทำไปใจก็ต่อด้านไป กัดฟันทนไปช่วงแรกๆ ที่ไปปฏิบัติกับท่านอาจารย์ บางที เราก็อดเปรียบเทียบไม่ได้ ท่านอาจารย์สอนว่า ถ้า จะเปรียบเทียบ ให้เปรียบเทียบเราเมื่อวานนี้กับวันนี้ หรือเราเมื่อชั่วโมงที่แล้วกับชั่วโมงนี้ อย่าไปเปรียบ เทียบกับคนอื่นตอนแรกที่เข้าไปอยู่ในวัด ท่านอาจารย์ให้ เพื่อนกับดิฉันอยู่กุฏิเดียวกัน ซึ่งปกดิแล้วเวลาที่เรา เข้าไปอยู่ในวัดกรรมฐาน ท่านจะให้อยู่กันคนละกุฏิ เพื่อจะได้ไม่คุยกัน เราจะได้ตงหน้าตั้งตาภาวนา ไม่ มัวแต่เพ้อเจ้อเสียเวลาพูดกันเป็นดิรัจฉานกถาเพื่อนเสนอว่า เรามาสกับกันก็แล้วกัน วันนี้ เธอเช็ดบ้าน พรุ่งนี้ฉันเช็ดบ้าน เราจะได้ไม่ด้องมา เจอะเจอกัน แล้วกันปากอยากคุยก็ตกลงกันว่าสี่โมงเย็นใครที่เป็นเวรจะมาเช็ดบ้านปรากฏว่า ช่วงสี่โมงเย็นเป็นเวลากัปปายะ ท่าให้เพื่อนภาวนาเพลินไปจนเย็นจนคํ่าทุกที เราก็ประเภทไม่ได้.. สี่โมง สัญญาว่าสี่โมงก็ต้องสี่โมง พอเลยเวลาไปสักชั่วโมง เอ๊ะ.. ประเดี๋ยวมาเช็ดบ้าน มันก็มืดแล้วมองไม่เห็น ตกลงเราก็เลยเช็ดวันที่เป็นเวรเราเราก็เช็ดตั้งแต่สี่โมง วันที่ไม่ใช่เวรเรา เราก็เช็ดเย็นหน่อย แต่เช็ดไปในใจก็เริ่มกัดฟันบ่น.. นี่ยังไงกัน ปฏิบัติธรรมแล้วยังมารู้มากเอาเปรียบกัน อีกหรือเพื่อนออกจากภาวนา มาเห็นเราเช็ดแล้ว เขาก็.. ตายจริง ก็บอกแล้ว ยังไงๆ ก็จะออกมา เราก็รู้สึก.. ก็ไม่ตรงต่อเวลานี่ สัญญาว่าสี่โมงก็ต้อง สี่โมงสิ ในใจก็กระเพื่อมริบๆ อย่างนี้
วันหนึ่งมีความรู้สึกว่า อาทิตย์นี้เราเช็ดทุกวัน จนวันนี้นับเป็นวันที่เจ็ดแล้วนะ ขณะซักผ้าเช็ดบ้านไป ก็เอาแปรงถูไป เพราะเกิดความหงุดหงิด หงุดหงิด แล้วไม่รู้จะทำอย่างไรก็เอามันระบายลงไปบนผ้าเช็ดบ้าน เอาแปรงถูแรงขึ้น..แรงขึ้น ท่านอาจารย์ ท่านมาจากไหนไม่ทันเห็น ได้ยินเสียงท่านถามว่า ผ้าขี้ริ้วมันมีความผิดอะไรน่ะสติทันเห็นเลยว่า ใจของเราที่เป็นพาลอยู่นี่ ที่กำลังขันติขันแตกเพราะกัดฟันข่มไว้ มันขวับใส่ ท่านอาจารย์เลย.. เรามีสาเหตุของเราสิ แล้วยงมา เข้าข้างผ้าเช็ดบ้านอีก.. ในใจโวยวายต่อ.. มันเรื่อง อะไรของท่านส่ะ ถ้าเราจะเอาแปรงแปรงผ้าเช็ดบ้าน แรงไป ผ้าเช็ดบ้านก็ไม่ได้เจ็บนี่นา..แต่ก็ไม่ได้ตอบท่าน เพราะตามจ่อดูใจติวเอง ใจที่กำลังลุกพรึบ คล้ายๆ กับว่าถ้ากัดท่านได้นี่ก็จะ กัดเสียเลยพอท่านพูดต่อไปว่า ที่อาจารย์ถามน่ะเพราะเป็นห่วงหัวไหล่ศิษย์ มันเห็นเลยว่า ใจที่ลุก พรึ่บเมื่อกี้นี้ คล้ายๆ กัดได้กัด ขวิดได้ขวิด มัน เปลี่ยนไปอีกแล้ว ท่านไม่ได้ห่วงผ้าเช็ดบ้าน ท่าน ว่าท่านเป็นห่วงหัวไหล่ลูกศิษย์ ประเดี๋ยวพอไปทำ ความเพียรเข้า มันก็จะเมื่อย มันก็จะปวด...สติพาให้เห็นขัดว่า ใจคนเรานี่นะ ถ้าเราไม่ ระวังรักษาให้ดี เราไม่กำหนดมันให้มันเป็นปัจจุบัน แล้ว มันเสวยอารมณ์อยู่ทุกๆ กระพริบตา ขนาด เราก็ว่าเราภาวนาอย่ ตอนที่เราเช็ดบ้านเราก็อยู่กับผ้าเช็ดบ้าน เราเอาแปรงแปรงลงไป เราก็รู้อยู่ เรา มีสติอยู่นะแต่เห็นหรือไม่ อารมณ์ยังลุกพรึ่บขึ้นมาอย่างนี้ เพราะใจไม่เป็นปัจจุบันจริง ที่เราว่าเรา ขันตินี่ เราขันติไม่ถูกวิธี เราปฏิบัติกิเลส เราไม่ได้ ปฏิบัติธรรม
เราเปรียบเทียบ แต่เราไม่เปรียบเทียบกับเรา เองว่า ทำไม ทำไมถึงเบียดเบียนตัวเองอย่างนี้ นี่ เราจะบ้าหรือเราจะดี เราเข้าวัดมานี่ เรามาเอาบุญ กุศลต่างหาก แล้วเรามัวไปค่อนขอดเขา.. คนปฏิบัติธรรมรู้มากเอาเปรียบไม่ตรงต่อเวลา.. คิดทำไมให้ เสียอารมณ์ แน่ะ ไปวิพากษ์วิจารณ์เขา ใจก็ลุกพรึ่บ พรึ่บ ขึ้นไปเรื่อยเรามาวิพากษ์วิจารณ์ตัวเราดีกว่า.. เราว่าเรา เป็นผู้ใหญ่เข้าวัดแล้ว แต่เรากิมาทำเป็นทารกอมมือ แน่ะ อยู่ดีๆ ก็มานั่งเกี่ยงงอนกัน ก็ที่เราเช็ดเราเช็ด ทำไม เราเช็ดเพราะว่าเราอยากจะสบายเท้า เวลา เราเดินขึ้นบ้าน จะได้ไม่รู้สึกว่ามีขี้ฝุนใช่รึเปล่าล่ะ เราทำเพื่อความสบายของเราเอง แล้วเราไปคิดให้ บ้าทำไมถ้าเราไม่อยากเช็ด เราเสียดายแรงงานของเรา เราก็อย่าไปรำคาญว่า บ้านมันถึงเวลาเช็ด ไม่มีใคร เช็ดสิ เราก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ พื้นจะมีชี้ฝ่นไม่มีชี้ฝ่นเราเฉย เสียก็สิ้นเรื่อง เขาไม่ได้มาบังคับให้เราทำสักหน่อย เราพิจารณาไม่ถูกจุดเอง
เราไปเปรียบเทียบออกนอก ไปยกตนข่มท่าน ตามที่อกุศลจิตพาให้ปรุงคิดขึ้นมาเป็นนิวรณ์วุ่นไป หมด แล้วเราก็ไม่รู้จักห้ามล้อมัน ไม่รู้จักจะคิดให้ถูก ไปคิดว่า แหม.. เรามีขันติเต็มที่ แต่ที่จริงไผ่ใช่ขันติ หรอก เราเบียดเบียนตัวเอง วุ่นวี่วุ่นวายไปหมด กัด ฟัน กัดฟัน เราทำตัวเราทั้งนั้นเลยเมื่อเราคิดถูกวิธี.. ถ้าไม่อยากเช็ดก็อย่าเช็ด เขาไม่ได้บังคับให้เราเช็ด เราจะภาวนาก็ไปภาวนา เสียสิ เขาจะเช็ดหรือไม่เช็ดก็เรื่องของเขา วันของ เขา วัวคอกใครก็คอกมัน วันของเรา เราก็ทำของ เรา เราก็ชื่นใจ ถ้าจะเป็นเจ้าหญิงเม็ดถั่วเขียว เดิน แล้ววันนี้สากเท้ามากก็เช็ดเสีย เช็ดเพื่อความสบาย ใจของเราเอง ใจเราจะได้มีความสงบ มีความปีติ อิ่มเอิบ แล้วจะได้ภาวนาได้เวลาที่เราคิดไม่เป็น เวลาที่สติรู้ไม่เท่าทันนี่ ตะกอนในใจเรากิเลสที่พัดอื้ออึงอยู่ จะพัดพาเราไป ภาวนาสะสมกิเลสทุกครั้งไปแล้วเราก็ว่า โอ๊ย..เราอดทนอดกลั้นฝึกฝืน จริงๆ ไม่ใช่อดทนอดกลั้นฝึกฝืนเลย เราก่อวินาศกรรมให้ตัวเองด้วยความรู้ ไม่เท่าทัน จนตัวเองก็ป่นปี้ไป แล้วก็ไปเพ่งโทษคน อื่น ไปจองเวรคนอื่นให้เกิดเป็นหนี้สินล้นพ้นตัวเมื่อเราได้เห็นเท่าทันใจของเราที่เป็นอันธพาล แล้ว ทุกอย่างจะค่อยๆ ดีขึ้น แล้วเราก็เข้าใจเลยว่า ... ธรรมทำให้งาม ทันอย่างนี้เอง เมื่อข้นติ โสริจจะ เข้ามาช่วยกันแล้ว สติสัมปชัญญะปัญญาทันไปคล่อง แต่ก่อนนั้น เราคิดว่านั้นเป็นปัญญาเห็นชอบ แต่ที่ จริงไม่ใช่ทันเป็นปัญญาเห็นผิด เป็นอวิชชาคือความผ่องใสอย่างยิ่งที่งนั้นที่เรายกขึ้นมาพินิจพิจารณานั้น ไม่ใช่พินิจ พิจารณาแต่เป็นให้ร้ายเขา เพ่งโทษเขา ไปหาเรื่อง สงสารตัวเอง อัตตา อัตตา อัตตาทั้งนั้นเลย นี่ตัวฉัน ของฉันเมื่อไปที่วัด คุณแม่ชีบอกว่า ทางจงกรมนี่ เราต้องคอยดูแล ถ้าฝนตกทางแห้งแล้วต้องไปหา ทรายมาเกลี่ยให้เรียบ เวลาเดินจะไต้ไม่ปวดเมื่อย เพราะถ้าทางจงกรมเป็นหลุมเป็นบ่อ ใจก็กระเพื่อม อยู่เรื่อยๆ แล้วตัวของเราเองก็จะปวดเมื่อย เพราะ ว่าเดินไปบนทางที่ไม่เรียบคุณแม่ชีท่านนี้ค่อนข้างเข้มงวด เพียงท่าน ปรายตา ท่านจะเห็นแล้วว่าทางจงกรมของเราเริ่ม ทรุด ฝนตกมาเป็นหลุมเป็นบ่อ ท่านจะบ่นว่า แน่ะ คุณหมอไม่ซ่อมทาง เอ้า.. เราไปซ่อมทาง ซ่อมไป ใจที่ไม่อยากจะทำ ก็.. โอ้โฮ มือของเรานี่นะ เราไว้ คอยตรวจคนไข้ ถ้าไปขนทรายขนดินมันก็สากหมด สิ เป็นเรื่องไปเลยแทนที่จะดิดให้เป็น ว่าเรามีโอกาสได้มาทำ ทางจงกรม ไม่ใช่ทำให้ตัวเองนะ เผื่อคนอื่นเขามา ใช้เราก็ได้บุญด้วย ต่อไปเราจะไปที่ไหนเราก็จะ ไต้หนทางที่ราบรื่น ไม่คิด ไพล่ไปสงสารตัวเอง มือจะพังเสียหมด เรื่องอะไรถึงจะต้องเอาตัวมาทุกข์ ทรมานอย่างนี้มันหาเรื่องปริวิตกไปได้สารพัดห้า
ร้อยเรื่องคิดไม่เป็น คิดแล้วเบียดเบียนตัวเอง คิดแล้ว ทำให้ใจมีความทุกข์เดือดร้อนไปหมดแล้วก็คิดว่า
นี่ฉันกำลังมีขันติอันยอดเยี่ยม แต่ไม่ใช่หรอก มัน นึกเอา จริงๆ แล้วมันเป็นความคิดที่เราไปบีบบังตับ ตัวเองทำให้เกิดความทุกข์ทรมาน เพราะยังคิดไม่ เป็น เลยตกไปเป็นเหยื่อของอวิชชาคือความผ่องใส อย่างยิ่งถ้าเราค่อยๆ ดูให้รู้ตามวาระจิต คือความ ปรุงคิดของเราไป เราก็จะค่อยๆ แกะแก้สิ่งเหล่านี้ ได้ แล้วการปฏิบัติของเราก็จะค่อยๆ ราบรื่นขึ้น ไม่ อย่างนั้นทุกอย่างเป็นต้องอัดฟันทนทั่งนั้น อัดจน กระทั่งฟันหักหมดปาก อัดอย่างเอาเป็นเอาตาย อะไรก็ไม่ได้อย่างกิเลสทั่งนั้นเลยเมื่อใจเริ่มเป็นมรรค เริ่มเห็นตามความเป็น จริง คราวนี้ใจจะรู้สึกเบาสบายขึ้น มีปีติหล่อเลี้ยง จะทำอะไรนี่ เหตุผลที่คิดขึ้นมาล้วนเป็นเมตตา ไม่ ไปคิดเบียดเบียนใคร แต่จะคิดในแง่ว่ามีอะไรที่เราจะทำให้ตรงนี้ราบรื่น ตรงนี้ดีงาม เมื่อเห็นคนอื่นมีความสุข ใจเราก็พลอยมีความสุขด้วยถ้าเป็นแต่ก่อนที่ใจยังมาไม่ถึงตรงนี้.. ยุ่งอีก แล้วทำไมต้องมาเป็นเรา ทำไมไม่เกิดก่อนหน้าหรือทีหลังเรามา พอเราโผล่เข้ามา มันจะต้องมีเรื่อง ทุกที คือรู้สึกเสียดายแรงงานตัวเอง มันถนอม มัน ห่วงหวงรูปกายก้อนทุกข์นี่แต่เมื่อใจเกิดพอเหมาะพอดี เป็นธรรม อะไรๆ ก็จะดีไปหมด แล้วขันติแทนที่จะกลายเป็นว่าต้องอด ต้องทนต้องกัดฟันทน ก็เลยกลายเป็นความเพียร เป็นไวพจน์ของความเพียรไป มีขันติเพื่อที่เราจะ ได้ไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง ถึงไม่มีใครบีบบังคับ เขาบอกว่าให้ไปพัก เราก็มีความรู้สึกว่าเรายังมีแรง อยู่ เรายังอยากทำให้เสร็จ เร่งให้ได้มากที่สุดเท่าที่ จะมากไต้ มันก็เป็นความต่อเนื่องกัน หรือถึงเวลา ต้องพักบ้าง เราก็พัก เมื่อพักแล้วก็จะมาคอยจดจ่อ คอยเพียรที่จะรักษาลมหายใจเอาไว้ไม่ให้คลาดไปไหน หลับไปก็หลับไปด้วยกัน พอรู้ตัวตื่นก็กำหนดเอาไว้ ชำเลืองคอยดูเอาไว้ไม่ให้คลาดสายตาไปไหน ถ้ายังไปไม่ถึงตรงนี้.. อะไรกันนักกันหนานะ แหม วางทิ้งไว้สักประเดี๋ยวไม่ได้หรือ จะได้หายใจ ให้โล่งอกเสียหน่อย มันไม่เข้าใจ นอกจากไม่เข้าใจ ยังเกิดความเบื่อ พอเบื่อแล้วก็ไปคิดเอาว่า นี่ฉันกำลังกัดฟันทนอยู่นะ อดทนนะ แหม ฉันนี่มีขันติ ยันยอดเยี่ยม ยังไม่เห็นอีกแน่ะ ยังจะมาว่ากันอีก แน่ะ มันจะเป็นรูปนี้ แต่จริงๆ นั้นไม่ใช่ขันติเลย คือ ความเบียดเบียนตัวเองทิ้งนั้นเมื่อเป็นขันติตัวจริงแล้ว ใจจะดี ราบรื่น แล้ว ปิติชุ่มชื่นอยู่ข้างในก็หยังว่าธรรมทำให้งาม จะช่วยทำให้ทิ้งกาย ทิ้งวาจา และทิ้งใจของเรา โดยเฉพาะใจ มีกำสัง มี เมตตา และชุ่มเย็น ทำให้อะไรๆ ที่ออกมาจากเรา งดงามไปหมด เหมือนละอองนํ้าตกที่ทิ้งชุ่มชื่นและ ร่มเย็นหยังว่าแต่นี้ต่อไป การปฏิบตของเราคงจะ งดงามทิ้งกับตัวเราและกับคนอื่น
พิมพ์โดย ปภัสสร มีพงษ์
แหล่งที่มา http://web.krisdika.go.th/buddha/51_tamtamhaingam.pdf
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น