ธรรมปฏิบัติ
ชื่อผู้เขียน พญ อมรา มลิลา
วันที่ วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2529
ณ ห้องสันติภูมิ ชมรมพุทธธรรม โรงพยาบาลศิริราช
หมวด
อันดับที่
วันนี้เราจะพูดกันถึงเรื่อง "ธรรมปฏิบัติ” การที่เราจะปฏิบัติกันก็ให้เข้าใจว่า เรา เอา “ใจ" ของเราไปปฏิบัติ เพราะบางทีคนเราสับสน คิดว่าการปฏิบัติหมายถง การละทิ้งหน้าที่ ละทิ้งภาระที่เราทำยังไม่เสร็จไป การทำอย่างนี้เป็นการกระทำที่ผิดจากทตัวเอง เคยพิจารณา และปฏิบัตมาเห็นว่าเป็นเรื่องของร่างกายที่เกี่ยวพันกับภาระหน้าที่ จะเป็นในด้านครอบครัวหรือด้านการงานก็ตาม ไม่ใช่สิ่งที่พอเราคิดอยากไปปฏิบัติ ก็สลัดทิ้งไปได้เลย ถึงเราทำอย่างนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่า เราเป็นอิสระมันมีเหตุอยู่ว่า คนที่ไปโดยที่ความรับผิดชอบทั้งหลาย อะไรต่อมีอะไรก็ยังไม่ได้ทำให้เสร็จจิตใจของคนอยู่หลัง ก็ไม่เต็มใจ ไม่โมทนากับการไปถ้าเป็นอย่างนั้น ถึงกายเราจะไปอยู่ในที่ สงบสงัด ในที่วิเวก การปฏิบัติก็ไม่ราบเรียบ มันเหมือนกับเราพายเรือไป แล้วมีกระแสนาต้านทิศทางที่เรากำลังจะไปทาให้ใจไม่สงบสงัด ตัวอยู่ที่วัดก็จริงหรือตัวไปอยู่ในสถานที่ที่นึกว่าสงบสงัด แต่จิตใจกลับไปนึกถึง กลับไปห่วงกังวลถึงสิ่งที่ละทิ้งมา เมื่อเป็นอย่างนั้นการปฏิบัติเราขาดทุน เพราะว่า เราจัดสรรให้กายไปได้ แต่เราไม่ สามารถบังคับและจัดสรรใจของเรา ให้อยู่ในสภาวะที่พร้อมจะปฏบัติ ก็เหมือนเราขาดทุนจึงขอทำความเข้าใจกันเสียกอนว่า การ
ปฏิบัติมุ่งลงที่ใจ ถือใจเป็นสาคัญ เพราะถ้าเราสับสน แล้ว เราจะยึดเอาที่กาย เมือใจนึกอยากจะทาอะไร ก็มุ่งดึงกายไปจัดสรรให้เป็นอย่างใจ โดยไม่พิจารณา ให้รอบคอบว่า เราเหมาะสม พร้อมที่จะทาอย่างนันได้หรือยัง แล้วด้วยความไม่รอบคอบ แทนที่จะเป็นการปฏิบัติธรรม กลับกลายเป็นการก่อหนี้ก่อสินเพิ่มขึ้นทำให้จิตใจไม่สงบไม่สงัด มีแต่ความรู้สึกที่ต้องแก้ต่าง ให้ตัวเอง เลยกลายเป็นคนหงุดหงิดคับข้องตลอดเวลา ถ้าเป็นอย่างนี้ แสดงว่าสิ่งที่เราทาเป็นโมหะ ความเข้าใจผิด โปรดอย่าดึงดันคิดว่า วิธีนีเป็นวิธีบางคน ครอบครัวไม่เต็มใจ ไม่พอใจ ก็ยิงดึงดันปฏิบัติถือเคร่ง มีภรรยาท่านหนึ่ง ซาบซึ่งในธรรม สมาทานอุโบสถศีล สามีเผลอถูกต้องเนื่อตัวก็ โกรธ ลูกชายอายุสามขวบวิ่งมากอด หรือกระโดดมา นั่งตัก ก็เอะอะโวยวายว่า เป็นผิด เป็นบาป สามีขอร้องให้รักษาเพียงเบญจศีล ก็ไม่ยอมลูกชายเริ่มมีปัญหา เวลาเห็นพระ จะแสดงความก้าวร้าว เพราะเชื่อว่า พระมาแย่งแม่ของตัวไปเมื่อเกิดเรื่องร้าวฉานกันในครอบครัว ไปแปลความหมายว่า การที่ตนเข็มแข็งไม่ยอมตามที่ อีกฝ่ายหนึ่งต้องการ คือการยกฐานะของใจ ยกกำลังใจให้สูงขึ้น ไปคิดว่า อีกฝ่ายหนึ่ง เป็นมารมาผจญ
การคิดอย่างนั้น จะยิ่งทาให้ตัวตนของ เราหนาขึ้น แทนที่จะปฏิบัติเพื่อทำให้คนรอบข้างร่มเย็นเป็นสุข กลับจะไปทาให้รอบข้างร้อน แล้วเห็นผิดไปว่า การปฏิบัติของตนคือการเสียสละ จาคะกิเลส เป็นการพิสูจน์ว่า ศรัทธาของเราต่อธรรมะลึกซึ่งแน่นหนาขัน ขอเรียนเติอนวา ขอนติองรอบคอบให้ถ้าสิงที่กระทาเป็นธรรมจริง ทำแล้วจิตใจของเราอ่อนโยน เมตตา สงบ ร่มเย็นทำแล้วจิตใจของผู้ที่ถูกเราขัดผลประโยชน์ ถ้าเขาไปพิจารณาด้วยสติปัญญา ให้เห็นลึกลงไปด้วยเหตุผลเขาก็ต้องสงบร่มเย็นด้วย ไม่ใช่เขารู้สึกว่า เราเห็นแก่ตัว ตัดช่องน้อยแต่พอตัว ทิ้งลูกทิ้งสามีให้เดือดร้อน ถ้าการปฏิบัติธรรม ทำให้เราไม่สนใจ ครอบครัว ไม่สนใจงานการ ขาดความรับผิดชอบละ ทิ้งงานไป พอไปแล้ว แรกๆ จิตใจเบิกบาน เข้มแข็ง ปฏิบัติได้ดี แต่พออยู่ไปๆ จิตใจที่ยังเป็นไตรลักษณ์ ไม่เที่ยง ก็เบื่อ หรือไม่สงบเสียแล้ว ตัวอยู่วัด แต่ใจ มานึกถึงที่บ้าน นึกถึงงานการ นึกถึงความเคยชินเก่าๆ เกิดความฟุ้งซ่านลังเล สงสัยขึ้นมาจิตใจเริมคลอนแคลน พอคลอนแคลน อีกหน่อยก็ทนไม่ได้ หวนกลับมา ทำนองเดียวกับตอนทิ้งไป ซึ่งอะไรต่อมิอะไรก็ไม่เป็นอย่างใจเหมือนแต่เดิม ก็หงุดหงิดขัดข้อง เลยกลายเป็นคนที่อยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ ได้ อยู่ที่ไหนก็ไม่มีความสงบ เพราะใจไม่สงบ อยู่บ้านก้หาว่าทุกคนที่บ้านหนวกหูເทำให้สถานที่ไม่น่าอยู่ เหมือนอย่างที่หวังเอาไว้ ก็ไปบีบบีงคับผู้คนรอบข้างเลยกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวไป ถ้าเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่เป็นการปฏิบัติธรรม แต่เป็นการปฏิบัติกิเลสเข้าใจอย่างนี้แล้ว เราจะเตรียมพื้นฐาน ของใจอย่างไรการปฏิบัติจิตใจของเรา ประการแรกที่สุดที่ควรฝึก คือให้มีความจริงใจกับตัวเอง คนทุกคน
โดยไม่รู้ตัว มักเข้าข้างตัวเอง บางที่ทั้งที่เห็นว่าเรามีความบกพร่อง เราสมควรถูกตำหนิ จริงอย่างที่ เขาตำหนิ แต่ความรักตัว รักตนของเรา ทำให้แก้ต่างกับตัวเองว่า ไม่จริงหรอก เราไม่ได้เบียดเบียนใครเราอยู่ในฐานะที่ตามใจตัวเองอย่างใดๆ ก็ได้ถ้าไม่จริงใจกับตัวเอง ไม่ยอมมองตัวเอง อยางที่คนอื่นเขาวิพากษ์วิจารณ ด้วยความใจกว้าง ถ้ายังทำอย่างนี้ไม่ได้ ยากนักที่การปฏิบัติของเราจะเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้อง
หลักของพระพุทธองค์มีอยู่ว่า จุดประสงค์แรกของการปฏิบัตธรรมก็เพื่อละ "อัตตา" ละ ที่สักกายทิฐิต ออกไปเพราะความยึด ยึดในตัวตน ยึดในความเห็นของตนว่า ความเห็นอันนี้ ดีกว่าความเห็นอีกอันหนึ่ง ตัวเรา ดีวีเศษกว่าคนอื่น สักกายทิฐินีเป็นรากเหงาของความทุกข์ ความลำบาก ความไม่เข้าใจกัน ในระหว่างหมู่ ขนที่อยู่ด้วยกันการปฏบัติ คือการทำความรูจักกับราเหง้าอันนี้แล้วถอนมันออกมา เหมือนกับมันเป็นหนามที่ ตำอยู่ในใจของเรา เราต้องการถอนมันออกมาให้ได้ เราจึงต้องพยายามอย่างยิ่ง ที่จะให้มีสติ อยู่กับใจ และมีความจริงใจกับตัวเอง ที่จะมองดูข้อบกพรองอันนี้ ให้เห็น เห็นแล้วเมื่อไร ก็พยายาม
อย่างยิ่ง ที่จะถอนมันออกมา ด้วยปัญญา ถ้าปัญหาของเรายังไม่เข้มแข็งพอที่จพถอนมันออกมาได้ ก็ให้รู้ว่าเรามีหนามอันนี้ ทิ่มตำอยู่ในใจของเราทำอย่างไร เราถึงจะพยายามถอนมันได้ ไม่ใช่ไปกลบมันการกลบมันเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงบางคนจะใช้วิธิทาสมาธิ ขมเอาไว้ แล้วหลอกตัวเองว่าทำสำเร็จแล้ว บางครั้งในใจยังโกรธยังไม่พอใจ แต่เราอยู่ในฐานะที่ไม่สามารถจะแสดงความรู้สึกอย่างนั้นได้ เพราะคู่กรณีเป็นผู้ใหญ่กว่าเราเป็นผู้บังคับบัญชา อำนวยเราได้ด้วยความบีบคั้นทางเหตุผลต่างๆ นานาเหลานี้ ทำให้เราจายอมแล้วเราก็ทากิริยาเหมือนเรายอม ยอมรับคาวิพากษ์วิจารณ์อันนั้นของเขา แต่จริงๆ ในใจ เรายังไม่ยอม แล้วก็ไม่ได้เอาสติมองดูใจให้รอบคอบ ละเอียดถี่ถ้วน เราไปหลงเอาตาม กิริยา ที่ทำท่าทางสงบเสี่งยม ไม่ได้โกรธขังออกไป ออ...ตัวตนของเราเบาบางลงแล้ว น้อยลงแล้ว แล้วก็ประมาท คิดว่าเดี๋ยวนี้เราดีแล้ว ถ้าอย่างนี้เป็นอันตรายเพราะหลายๆ คนจะทำกิริยาเหมือนว่า เราไม่ใช่คนก้าวร้าว ไม่ใช่คนมีปัญหา แต่ใจจริงๆ ยังไม่สงบ ยังไม่หมดปัญหา เราหลงว่า เราจัดการกับใจของเราได้สะอาดสะอ้านเรียบร้อยแล้ว
การปฏิบัติมีปัญหายุ่งยากมากตามมาทีหลัง เพราะครูบาอาจารย์ เพื่อน หรือใครก็ตาม ที่เขาเห็น เขาชี้ความผิดของเราให้ดู เราก็โกรธ หงุดหงิด ถ้าเป็นคนยึดมันถือรัน เราจะไม่ฟังเขา หรือถึาเป็นคนที่จิต
จระแวง ไม่ไว้ใจใคร ก็จะไปเห็นว่าเขาอิจฉาเราใส่ร้ายป้ายสีเรา ยิ่งเป็นอันตรายอย่างมาก เพราะทำให้เราหลงตน หลงตัว แล้วก็เลยบิดกันไม่ฟัง คำเตือนของคนอื่นท่านอาจารย์ ท่านบอกว่า เวลาใครเขา มาเตือนเรามาวิภาควิจารณ์เราเขาเอาขุมทรัพย์มาให้เรา เมื่อเขาเอาขุมทรัพย์มาให้เรา เราต้องหนักแนนที่จะฟังไตร่ตรองตามว่า มันมีความจริงแค่ไหน เพราะคนที่บอกว่า รู้จักตัวเอง จริงๆ แล้วไม่รู้จักเลย เพราะว่าจิตของเราไม่ใช่ของที่เป็นแห่งโบร่งใส ที่มองแล้วจะเห็นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ตังแต่จิตสานึกไปจนจิตสานิก ที่มีสติมิปัญญารักษานั้น ฉาบเคลือบอยู่เพียงผิวน้อยๆ เปรียบเหมือนแผ่นกระดาษห่อของ แต่จิตแท้ๆ ที่เป็นพลังให้เรากอกรรม ก่อความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ให้แก่ตัวเอง เป็นส่วนที่สติยังหยังไม่ถึง มีปริมาณเหมือนของที่ถูกกระดาษห่อไว้นึกถึงเวลาที่เราโกรธ ไม่มีสติ เวลาที่อยากอะไรจนกระทั่งไม่สามารถรั้งใจตัวเองได้ หรือเวลาหลับ แล้วเราละเมอฝันไป นั่นแหละ...คือตัว ตนจริงๆ ของจิตส่วนที่เป็นประจุกรรม ที่มันแสดงตัวให้เราเห็น
เมื่อไรก็ตาม ทีเราอยู่ในสภาวะที่รั้งตัวเองไม่ได้ ช่วยตัวเองไม่ได้ นั้นแหละตัวตนแท้ๆ ของเราท์เราจะตองทาความรูจักมัน และปราบความเถือนความคะนองของมันให้สงบราบคาบ จนกลายเป็นสัตว์ที่เชื่อง ที่ถูกเจ้าของฝึก จนกระทั่งเอามาใช้งานได้ เมื่อนั่นแหละ... เราจึงจะปลอดภัย ไม่อย่างนั้น เราไม่สามารถกาหนดวิถีของเราได้เพราะมันจะลากจูงเราไป ขนซ้ายปายขวา ก่อความเสียหาย ต่างๆ นานาขึ้น
วิธีทาความรู้จักกับตัวเอง คือในขณะวิกฤตอย่างนั้น เราต้องคอยตั้งสติให้ดี เวลาเผลอหรือเวลาที่เราถูกอะไรไม่พึงปรารถนา มากระทบใจ แล้วใจเราพุ่งออกไปในทิศทางไหน นันแหละ...พยายาม...พยายามตั้งสติ รู้ทิศทางที่มันพุ่งออกไปให้ถ่องแท้ รู้แล้วยังแก้ไขไม่ได้ เพราะไม่มีแรงพอก็พยายามบันทึกรายละเอียดของความเป็นจริงเอาไว้ให้ถี่ถ้วนที่สุด รู้ สติที่เป็นตัวรู้ จะได้รู้ตามที่เป็นจริง
รู้แล้วยังแก้ไขไม่ได้ ก็ไม่เป็นไรขั้นแรก ฝึกให้รู้ ละเอียด เท่าทันตาม เป็นจริง เพราะตัวรู้ตัวนี้ ถ้าไม่ฝึกให้ดีพอ มันจะรู้ทั่งหลง ก็กลายเป็นอวิชชามาบังอีกแล้ว รู้ไปด้วยความคิดเอาเอง คือสังขารจิตมาปรุง ครอบคลุมตัวรู้ไปอีกแล้ว ต้องเอากระจกส่องให้เห็นชัด เอาสติตัวนี่ส่องต้องพยายาม….พยายามแล้วไม่ใช่รู้แต่เฉพาะภาวะที่ฉันอยากจะรู้เพราะในภาวะที่เราสร้างขึ้นมา เหมือนนักมวยที่เข้าไปในค่ายซ้อม ผู้ฝึกบอกว่า เอานะ...ฮุคซ้ายฮุคขวา เราก็ฮุคตามที่เราต้องการ เราตั้งใจ เรา พรอมแล้ว อันนั้นเป็นภาวะที่ปรุงแต่งที่หลอกลวงแต่ภาวะจริงๆ คือ เวลาที่เราไม่ได้คาต ไม่ได้คิด เวลาที่เราจวนตัว เวลาที่เราไม่พร้อมที่จะทำ แต่ว่า เหตุการณ์บีบบังคับให้เราติดร่างแหเข้าไปเวลาอย่างนั้น พยายามเอาสติมองใจของเราว่า มันกระ เพื่อมไปอย่างไรบ้าง มันเราร้อน มันไมได้อย่าง ใจ คับอกคับใจอย่างไรบ้าง แล้วมันอยากตอบสนองออกไปอยางไรบาง ตรงนั้นแหละ . . . คือตรงที่ตัวตน
จริงๆ ของเรา ออกมาสาแดงให้เห็น เอาสติตามรู้ให้ละเอียดถี่ถ้วนที่สุดเมื่อไรก็ตามที่เรามีเวลา ได้ตั้งสมาธิ จนรู้สึกว่าจิตมีกำลัง ยกความรู้นั้นกลับมาค่อยๆ พิจารณาใหม่ เราจะได้เห็นที่บกพร่องขัดขึ้น บางที่ใจในขณะนั้นจะไม่แรง พอที่จะเกิดปัญญาว่า ออ... เพราะอย่างนี้นี่เอง เราจะได้แก้ไขตัวเองได้ จริงๆ แล้วใจของเราหลอกเราอยู่ตลอดเวลาดิฉันจะยกตัวอย่างคนๆ หนึ่ง ปกติในชีวิตจริงๆ ท่านเป็นคนมีความกตัญญสูงมาก จะอบรมสั่งสอนทุกคนที่เกียวข้องให้เป็นคนกตัญญู ท่านไปได้เด็กคนใช้ปัญญาอ่อน มีความพิการทางกายหลายอย่างเด็กคนนี้เวลาที่ถูกจ้ำจี้จ้ำไช หรือสอนให้ทำอะไรแล้วทำไม่ได้ จะเกิดความโกรธมาก เมื่อท่านจ้ำจีจ้ำไช เพราะความรักความหวังดี อยากให้หาถูกทำดี เด็กก็โกรธแล้วพูดจาโอหังหยาบคาย ใช้คำด่าทอ คือลืมว่า ตัวเองอยู่ในฐานะคนใช้ กลับใช้ภาษาไทยเดิมบริภาษเจ้านายเราดูแล้ว ก็เกิดความพิศวงสงสัยว่า ท่านถูกอบรมมา ในยุคสมัยที่คนต้องรู้จักที่ต่ำที่สูง คนใช้ก็ต้องเป็นคนใช้ นายก็ต้องเป็นนายนี้ไม่ เพราะฉะนั้นทานทนฟังอย่างนี้ไม่ได้ ต้องกำราบแล้วลงโทษกันวันหนึ่ง เกิดแวบขึ้นมาในใจของดิฉันว่า
เป็นไปได้ไหมว่า เด็กคนใช้คนนี้ ด้วยเหตุประการใด ก็ตาม เคยเป็นแม่ของท่านมา เพราะคนเรา เวลา
จะใช้หนี้กรรมหนี้เวร มันจะมาในรูปที่นึกไม่ถึง ในรูป ที่เราคิดว่า เราไม่มีทางบกพร่องในเรื่องนั้นเป็นอันขาด ท่านเองเป็นคนกตัญญสูง ท่านดูแลพ่อแม่บรรพบุรุษของท่านอย่างดีที่สุด มันจึงมาในรูปที่นึกไม่ถึง คือมาในรูปของเด็กคนนี้ด้วยอะไรๆ ทุกประการ ทำให้ทานเชื่อว่า เขาอยู่ในสภาพที่ท่านอุ้มชู แล้วยังบังอาจแสดง กิริยาอย่างนี้ ก็ม่ความผิด ที่ต้องปราบการาบกันให้ลงตัวให้ได้ แต่เด็กคนนี้ก็แปลก ยิ่งถูกปราบถูกการาบ ก็ยิ่งแสดงฤทธิต่อต้าน ท้าทายต่างๆ ยิ่งขวนให้สงสัยว่าเอ๊ะ... เห็นที่จะเคยเป็นบรรพบุรุษกันมาจริงๆ ก็ไมรู้ไม่อยางนั้น ทำไมจึงได้กลาลิ่มตัวได้ถึงอยางนั้น
ดิฉันเลยนักวา ออ... . . ถึาเราไมรอบคอบ ไม่มีสติ เวลาจะใช้หน่ เราปลดหนไม่สาเร็จหรอเพราะมันจะมาในรูปแบบที่เราไม่คาดคิด ถ้าไม่มีสติอยู่กับใจ เราก็ตกร่องเก่า แล้วยิ่งทำหนี้สินมากขึ้น หลายเท่าทวีคูณถ้ารายนี้ เด็กคนนั้นเป็นแม่ของท่านจริงคิดดูซิ มันก็เหมือนกับว่า ท่านไม่มีความกตัญญู มันก็ เหมือนกับว่า ท่านทำอย่างที่ค่อนว่าคนอื่นๆ ทั้งหมดจิตใจของท่านไม่มีความสุข นิสัยเริ่มกลายเป็นคนมักโกรธและวางอานาจ มุ่งมาดอาฆาตที่จะจัดการเด็กคนนี้ให้อยู่มือให้ได้ ซึ่งเป็นการสร้างเวร สร้างหนี้สินกันต่อไปถ้าเรานึกอย่างนี้ หลายคนอาจแย้งว่าเอ๊ะ...ถึาอยางนันเราปฏิบัติแล้ว ไม่สามารถระลึกถึงอดีตได้ ก็ขาดทุนซิ เพราะเราอาจจะไปทำเวรทำภัยให้กับตัวเองโดยไม่รู้ตัว ก็ไม่จริงอีก เพราะว่า ของทุกอย่างเป็นของกลางๆ มันอยู่ที่เราจะเอวสติ เอาปัญญาไปใช้อย่างไรต่างหากมีผู้ปฏิบัติรายหนึ่ง ปฏิบัติแล้วมีญาณระลึกรู้อดีตของตนเอง ท่านเป็นผู้ชาย มีครอบครัวแล้ว ก่อนหน้านั้นทุกคานิยมชมชอบมากกว่าเป็นคู่ผัวตัวเมียที่น่ารัก ลูกๆ ก็มีความสุขความสงบ กลมเกลียวกันวันหนึ่งทานมินิมิตว่า ในอดีตชาติภพหนึ่ง
ท่านเป็นพราหมณ์บาเพ็ญพรต กินมังสวิรัติ ภรรยาพราหมณ์ชาตินั่นก็คือภรรยาปัจจุบันของท่าน ปองร้ายพราหมณ์ ด้วยการแอบเอาเนื้อสัตว้ใส่ลงไปในอาหาร ทำให้ฌาณสมาบัติเสื่อมถอยไป พอทีนิมิตอย่างนี้ ก็เชื่อนิมิตหมดหัวใจเคยปรองดองรักใครปฏิบัติดีมา ก็เกิดความระแวงแคลงใจภรรยา เริ่มพูดจาไม่น่ารัก แล้วก็ทาปฏิกิริยา กับภรรยาต่างๆ นานาต่อมาเกิดมีนิมิตชิ้นใหมว่า เลขานุการที่ที่ ทำงาน เป็นผู้หญิงที่เคยอุปัฏฐากในการปฏิบัติและมีความจงรักภักดี เกิอหนุนด้วยประการต่างๆ เลยไป ยึดเป็นจริง ทำให้ไขว้เขว ทาให้ชีวิตครอบครัววุ่นวายไปหมดจากตัวอย่างทั้งงสองเรื่องนี้ การจะรู้หรือ ไม่รู้อดีตนัน ไม่ใช่จุดสำคัญ มันอยู่ที่ว่า เมื่อรู้แล้วเรามีสติและบัญญา ที่จะเอาความรู้นั้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์ หรือเราเอาอารมณ์ เอาอุปาทาน เอาอวิชชาของเราไปบริหาร จนกระทังบุญกุศลจริงๆ
ที่เรากาลังสะสม พังไปหมดถึงเราจะไม่รู้อดีต แต่ถ้าเราตั้งสติให้ดี และคิด อย่างที่ดิฉันเคยพูดเสมอๆ ว่า เหตุการณ์อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นกับเราทุกๆ ขณะ อย่าไปยึดกับตัว
เหตุการณ์ ให้นึกเสียว่า เหตุการณ์อันนั้นเป็นนิมิตเพราะว่ามันเป็นเงา ที่ช่วยสะท้อนให้เราได้เห็นจิต ของเราเองว่า ยังมีตะกอนอะไรอยู่ พอเหตุการณ์อัน นั้นมากระทบแล้ว จิตของเราไหวตัว กระเพื่อมขึ้นไป รับด้วยความรู้สึกอย่างไร ด้วยกิเลส อุปาทาน อวิชชาตัวไหน เราจะได้ค่อยๆ เอาสติเอาปัญญาไปกรอง ไปกลันมันทิ้งเสีย ถ้าคิดอย่างนี้ การปฏิบัติของเราจะก้าวหน้า จิตใจจะสงบ ร่มเย็นลงโดยลำดับอะไรก็ตามที่เป็นอดีต เกิดขึ้นมาแสว ไม่ใช่สิ่งควรยึดควรถือ ถ้ามันเป็นความสุข ความดีความสำเร็จ เราไม่มาลำบากตรากตรำ เวียนว่ายตายเกิด ทุกข์ร้อนกันอยู่อย่างนี้ดังที่กล่าวไว้แล้วว่า จิตอันนี้เป็นสิ่งที่ไม่ ตาย เปนพลังรู้ ที่เหมือนคอมพิวเตอร์ ประสบการณ์ อะไรก็ตามที่เคยผ่านพบมาแล้ว จิตสำนึกของเราลืม ได้ แต่จิตไร้สานึกที่เป็นประจุกรรมไม่เคยล่ม มันยังจำได้ทั้งนั้น
ทุกวันนี้ นักวิทยาศาสตร์ นักจิตวิทยาทั้งหลาย สนใจค้นคว้าเรื่องนี้กันมาก โดยไขการสะกดจิต เอาคนไข้มา...แล้วก็สะกด...สะกด...สะกด ลึกลงไปโดยลำดับ แล้วซักถามคนไข้ จากวารสารที่ตีพิมพ์ออกมารายงานว่า จากการสะกดจิต คนไขบางคนสามารถระลึกถึงอดีตของตัวเองได้ จะบอกชัดเจนว่า ตัวเองในอดีตที่ระลึกได้ชื่ออะไร นามสกุลอะไร เกิดที่เมืองไหน เคยเป็นอย่างไรมา และจากบันทึกที่จดได้ เมื่อเอาไปคืนหลักฐานก็พบวา มีคนชื่ออย่าง นั้นจริงๆและมีหลายอย่าที่เมื่อสอบเหตุการณ์กันแล้วก็ตรงกับตวามเป็นจริง
เพราะฉะนั้น ฝรั่งเอง นักวิทยาศาสตร์เอง ก็เกิดความเชื่อว่า เราเวียนว่ายตายเกิดจริง เมื่อมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ มาสนับ สนุนคำของพระพุทธองค์เช่นนี เรากหมดข้อแก้ตัวว่า
การเวิยนวายตายเกิดไร้สาระจิตอันนี้ ตราบเท่าที่ยังไม่สิ้นกิเลส จะถูกแรงของกิเลสเหล่านัน ดูดหรือผลักให้ยังสัมผัสสัมพันธ์ กับโลกทั้งสามอยู่ มันอยู่นิ่งไม่เป็น สงบไม่เป็น เป็นอิสระไม่ได้ ต้องถูกเหวี่ยงไปตามแรงดูดหรือแรงผลัก ของสิ่งรอบข้าง ให้ไปตอบสนอง เกิดแรงประยุกต์กันอยู่อย่างนี้มักจะเลี้ยงตัวอิสระไม่ได้สักที่ มันยังติดพันกันหรือพลักกันอยู่อย่างนี้รัก ก็อยากจะมาพบกัน ก็เป็น "ภวตัณหาต เกลียด ไม่อยากพบกัน ก็มาพบกันด้วยความไม่อยากพบ ก็เป็น "วิภวตัณหาที่ ตกลงภพน้อยภพใหญ่ก็เวียนกันอยู่อยางนี้เห็นอย่างนี้แล้ว การปฏิบัติคืออะไร การ ปฏิบัติก็คิอ การที่เรามาทำความรู้จักกับใจของเราแล้วทำให้ใจพ้นจากการที่เดี๋ยวก็แยกตัวเองเป็นประจุบวกทีหนึ่ง เป็นประจุลบที่หนึ่ง เดียวก็ไปดูดกับตรงนั้นเดียวก็ไปผลักกับตรงนี้ ทำใจของเราให้รู้รอบตาม
สภาพเป็นจริงเสียจึงได้ย้ำว่า เหตุการณ์อะไรที่เกิดขึ้นใน ชีวิต แต่ละขณะๆ เอาสติจดจ่อใจเอาไว้ ตังสติเอาไว้ให้ดี อย่าไปตะครุบตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อย่าไปปรุงคิดแก้ไขเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ให้มองดูใจของ เรา ใจหวั่นไหว ใจออกไปรับผัสสะนันอยางไร รับด้วยความเป็นธรรม หรือรับด้วยอารมณ์ถ้ารับด้วยความเร่าร้อน รับด้วยความทุกข์ ด้วยความเฉเกออกไปจากฐาน จากความเป็น ปกติของเรา เราขาดทุน ถ้าเราขาดใจตายไปตรงนั้น เราช่วยตัวเองไม่ได้ ก็จะกลิ้งไปตามบุญตามกรรม ไม่รู้ว่ามันจะพัดพาเราไปถึงตรงไหนแต่ถ้าเราสามารถเอาสติปัญญา มาคุมใจของเรา และปรับตัว หลังจากถูกชนกระเพื่อมไปแล้วเรายังมีแรงที่จะดีดตัวเอง กลับเข้าสู่ฐานของความ เป็นปกติได้ มีสติรักษาใจอยู่ได้ เราก็พอจะเลี้ยงตัวได้ถ้าตั้งเข็มของการปฏิบัติไว้อย่างนี้ จิตสภาพเป็นจริงเสียจึงได้ยาว่า เหตุการณ์อะไรที่เกิดขึ้นใน ชีวิต แต่ละขณะๆ เอาสติจดจ่อใจเอาไว้ ตังสติเอาไว้ให้ดี อย่าไปตะครุบตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อย่าไปปรุงคิดแก้ไขเหตุการณ์ที่เกิดขิน แต่ให้มองดูใจของ เราใจหวั่นไหว ใจออกไปรับผัสสะนันอย่างไรรับด้วยความเป็นธรรม หรือรับด้วยอารมณ์ถ้ารับด้วยความเร่าร้อน รับด้วยความทุกข์ ด้วยความเฉเกออกไปจากฐาน จากความเป็น ปกติของเรา เราขาดทุน ถ้าเราขาดใจตายไปตรงนั้น เราช่วยตัวเองไม่ได้ ก็จะกลิ้งไบตามบุญตาม
กรรม ไม่รู้ว่ามันจะพัดพาเราไปถึงตรงไหนแต่ถ้าเราสามารถเอาสติปัญญา มาคุมใจของเราและปรับตัว หลังจากถูกชนกระเพื่อมไปแล้วเรายังมแรงที่จะดูดตัวเอง กลบเขาสู่ฐานของความ เป็นปกติได้ มีสติรักษาใจอยู่ได้ เราก็พอจะเลี้ยงตัวได้ถ้าตั้งเข็มของการปฏิบัติไว้อย่างนี้ จิตของเราจะเจริญงอกงามขึ้นไป จนในที่สุด เป็นเหมือนต้นไม้ที่ลำต้นแข็งแกรง เเลัวพึ่งตัวเองได้แต่ถ้าเราไม่ตั้งเอาไว้อย่างน่ เราไปยึดว่า ต้องนั่งสมาธิให้ได้คืนละหกช้วโมง หรือว่านั่งแล้วจิตต้องลงรวมถึงฐาน จะต้องเห็นโน่น จะต้องรู้นี้ จะต้องอย่างโน้น จะต้องอย่างนี้ จะต้องอย่างนั้น อันนั้นไม่ใช่สัมมาปฏิบัติ อันนั้นเป็นการปฏิบัติด้วยความหลงด้วยการให้ปุยกับอัตตาของเรา ให้มันยิ่งฝังรากลึกลงไป ยึดมั่นถือมั่นมากขึ้น
เพราะปฏิบัติไป เรามี "เรา" เป็น แกนอยู่ตลอดเวลา เราจะต้องได้สมาธิ เราจะต้องรู้อดีต เราจะต้องรู้อนาคต "เรา" เป็นตัวกาหนด อยู่ตลอดเวลาถ้ามี "เรา" เป็นตัวกำหนดอยู่ตลอด เวลาแล้ว มันจะเป็นอิสระได้อย่างไรจิตอันนี้ ด้วยสภาพบริสุทธิ์ เปนธาตุรู้ มันรู้เฉยๆ มันไม่ได้รู้ว่า ฉันเป็นผู้วิเศษ ฉันอยู่ตรงนี้เธอไปอยู่ตรงนั้น มันไม่มีการเปรียบเทียบ ไม่มีการคิดว่า ฉันดีกว่า เธอเลวกว่า ฉันถูก เธอผิด มันไม่รู้ อย่างนั้น มันมีหน้าที ที่รู้” อย่างเดียว รู้แต่ว่า... ฝนตก พระอาทิตย์ขึ้น ร้อน หนาว มืด สว่าง รู้ตามที่ เป็นสัจธรรม ตามธรรมชาติ แต่ไม่ได้รู้ว่า เฮ้อ... ร้อน ทำอย่างไรถึงจะมีห้องแอร์ มันไม่รู้ว่า เฮ้อ...ข้าเก่งออกอย่างนี้ ทำไมคนเขาถึงไม่มาชมเชย หรือ มาแสดงความเคารพ มันไม่ได้รู้วุ่นวายอย่างนั้น
เครื่องเคลือบแฝง คือโรงงานผลิตทุกข์ทังหลายให้มา ทับถมบนใจของเรา แล้วทาให้เรายุ่งวุ่นวายไปต่างๆนานา แล้วก็เอาตัวของเราเป็นเครื่องมือ ไปสร้าง ความยุ่งวุ่นวายให้อุตลุดไปหมดเลย เพราะมันคิดเอาเองว่า มันมความสุข จากการวุ่นวายอย่างนั้น แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ถ้าเราเห็น แล้วคอยคู่ใจของเราเอาไว้ ให้ดีอย่างนี้ เราจะค่อยๆ รักษาใจของเราให้สงบ ถึงจะไม่ได้ทำสมาธิ แต่ถ้าเรามีสติอยู่กับใจ ระลึกรู้อะไรก็ตาม ที่เรากำลังคิด เรากำลังพูด เรากำลัง
ทำอยู่ ตามที่เป็นจริง แล้วคอยแนะสอนตัวเอง ให้ทา ไปตามเหตุตามผลที่ควรจะกระหา ก็ถือได้ว่า ชีวิตของเราทุกๆ ขณะเหล่านั้น เป็นการปฏิบัติธรรมทั้งสินท่านพระอาจารย์มหาบัวท่านบอกว่า เมื่อ เมื่อไรก็ตามที่เรามีสติระลึกตัวอยู่ ถือเป็นการภาวนาทั้งสิ้น ถือเป็นการปฏิบัติธรรมทั้งสิ้น ไม่ว่าเราจะกาลัง ยืน เดิน นัง นอนหรือทำกิจกรรมอะไรอยู่ก็ตาม ท่านถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมทั้งนั้นดังที่ดิฉันบอกตังแต่แรกแล้วว่า “จิต” คือตัวปฏิบัติ กายก็หาไปตามหน้าที่ ตามความรับผิดชอบ ของมัน มันจะไปทางไหน มันจะทำอะไร เราระวังรักษาจิตของเราให้มีสติกากับ รู้อยู่อย่างนี้ งานทางโลก ซึ่งเป็นเรื่องของกาย ที่เคยเป็นหนี้เป็นสินกับ ใคร เคยไปทำสัญญากับใครไว้ เคยว่าจะมาทำงานตรงนี้ ก็ทำของมันไปแต่ตลอดเวลาที่ทาไปนั้น อยาให้เวลา เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ เอาสติมองคู่ใจเอาไว้ ที่เราทำไป ใจของเรากระเพื่อมออกไปนอกทางเท่า
ไร ใจของเราเผลอไปยึดติดกับตรงโน้น เผลอไปผลักกับตรงนี้ ทำให้มันเสียสมดุลไปเท่าไหร่ พยายาม ปรับมันกลับเข้าสมดุลให้ได้ถ้าเราทำอย่างนี้ เราไม่ขาดทุนสูญกำไรเวลาไม่ได้กินชีวิตเราไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะ อะไรก็ตามที่เป็นความผิดพลาดเก่าๆ ที่เป็นหนี้เป็นสิน เอาไว้เก่าๆ มันไม่ได้มากมายหนักหนาหรอก ความ หนักหนาจริงๆ อยู่ตรงที่ว่า เราเผลอทาใหม่ทุกวันๆ นี่แหละเวลาที่อะไรมาชนเรา แลวเราไม่ สารวมระวัง เราปล่อยให้ใจของเรา ออกไปกระแทก ออกไปชกไปต่อยกับเขา เราก่อหนีใหม่ ก่ออกุศลกรรมใหม่ขึ้นมาเรื่อยๆ เหมือนกับเราหว่านเม็ดลงไปเรือย แล้วก็เป็นเม็ดที่เราไม่พึงปรารถนาในที่สุด ใจของเราจะเต็มไปด้วย ต้นไม้ที่ไม่พึงปรารถนา เต็มไปด้วยหญ้าคา เติมไปด้วยดอกอุตพิดเต็มไปด้วยของทิทาให้จิตใจของเรารุ่มร้อน กระสับกระส่าย จนนังก็ไม่มีความสุข ยินก็ไม่มีความสุข
แล้วเราก็หาทางออกไม่ได้แต่ถ้าทุกๆ ขณะเรามีสติสารวมใจเอาไว้จะหาอะไร ถามใจตัวเองว่า เมือทาไปแล้ว ผลเกิดขึ้นมา เราจะพอใจไหม ถ้าถามตัวเองแล้ว แน่ใจ มันใจว่าพอใจ จึงทำลงไปถ้าเราบอกตัวเองว่า เราจะไม่พอใจ ถึงอยากทา ก็ให้ฝืน...ผืนตัวเองเอาไว้ ถึงจะลำบากยากเย็นแค้นเข็ญใจอย่างไร ที่ไม่เกินความ พยายามของเรา ไม่มีใครเคยตายจากการฝืนใจของตัวเองเมื่อเรารู้เหตุรู้ผลแล้วว่า การฝืนไม่ใช่การกดเก็บ บีบบังคับตัวเองให้เป็นโรคจิต เพราะทำให้เราอัดอันตันใจ ไม่ได้อย่างใจ แต่มันเป็นการฝืน เพื่อฝึกหัด ดัดนิสัยที่ไม่ดี ที่มันชอบตามกิเลส ให้ เปลี่ยนทิศทางเสีย ให้กลับมาเป็นธรรมเสียเรามีความหวัง เหมือนการเหน็ดเหนือย เมื่อเราอยากกินมะม่วง เราก็หาเม็ดมะม่วงมาปลูกแล้วคอยรดน้า ครันงอกเป็นต้นเล็กๆ ก็คอยดูแลไม่ให้ใครมาชนยอดหักไป ไม่ให้แดดมาเผา ทำบังแดดบังลมไว้ให้ ตอนแรก เราก็ต้องเหนื่อย ก็ต้อง เป็นภาระแต่พอต้นค่อยๆ งอกโตขึ้น ในที่สุด มันออกช่อครั้งแรกโอย...ใจเราฟู ใจเราปิติ พอมันติดเป็นลูกเป็นผลให้เรากินแล้ว คราวนี่ถึงเราจะไม่รดน้ำ ไม่ดูแลมันมันก็ดูแลตัวเองได้ไม่ตาย พอถึงฤดูของมัน มันก็ออก ลูกให้เรากินทุกปีๆใจของเราก็เหมือนกัน ถ้าหมั่นฝึกหมันฝืนเอาไว้ ไม่เผลอ จนติดเป็นอุปนิสัย มีสติกากับรักษา มีปัญญาแนะสอน พอใจจะกระเพื่อมออกไปทาอะไรปุ๊บถามตวเองทันที ที่ท่าน มีเหตุมีผลหรือเปล่าทำแลวตัวเองจะได้ดีมีสุข หรือทำแล้วเราจะเดือดร้อนทีหลัง เหตุผลมา เราเห็นลู่ทางขัดเจน เราก็เกิดกาลังใจที่ฝืนมันแล้ว จะฝืนมันเอาไว้ ฝืนมันแล้ว ผลดิที่ติดตามมา จะเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่า เห็นไหม... เราอดเปรียวไว้กินหวานแล้วมันมความสุขจริงๆ เป็นความสุขที่จีรังยั่งยืน เป็นความสุขที่ร่มเย็น ไม่ใช่สุขประเดี๋ยวเดียว แล้วก็เดือดร้อน เพราะว่ามันไม่ทุกข์ตามหลังมา
เหมือนเราไปติดเบ็ด ที่เขาเกี่ยวเหยื่อ เอาไว้ ครั้งแรกงับเข้าไปก็รู้สึกตื่นเต้นพอใจ แต่พอ เบ็ดมันเกี่ยวเอาปาก หรือเกี่ยวเอาไส้เราเข้าไปคราวนี้เราก็เจ็บ ก็เดือดร้อน แล้วดีไม่ดี อาจเป็นอันตราย จนกระทั่งถึงชีวิตก็ได้การที่เราฝืนใจเรา ฝึกใจเราตามแนว พุทธศาสนา ตรงกันข้ามกับการที่ทางสมัยใหม่บอกว่า โอย...การไปบังคับข่มขี่ใจ อยากได้อะไรก็ต้องข่ม เอาไว้ ต้องอดทนเอาไว้ จะเป็นเหตุให้เป็นโรคจิตรคประสาท อันนั้นคนละแบบกัน เราไม่ได้ไปกดขี่ข่มมันเอาไว้ ด้วยความไม่เข้าใจ หรือขาดเหตุผลสมควร การฝึกฝืนใจตนของพระพุทธเจ้านั้น เราทำ เพื่อความดีเหมือนเราอยากกินมะม่วง เราก็ต้องลงทุนปลูกมะม่วง เราก็ต้องเหนื่อยยากหาเม็ดพันธุ์ที่แน่ ใจว่าดี ไม่ใช่ปลูกสุ่มสีสุ่มห้าไป พอออกลูกมาปรากฏว่าไม่ได้ความเลย เราก็ต้องโค่นต้นทิ้ง ต้องปลูกใหม่ ทำให้เหนื่อยไม่รู้จบรู้สิ้นถ้าเราวางเข็มการปฏิบัติจิตของเรา ปฏิบัติธรรมของเรา เป็นทานองที่กล่าวมานี้ การปฏิบัติกิจะพาใจให้เริ่มมีความสงบ มีความรมเย็นเป็นระเบียบเรียบร้อยไปโดยลำดับชีวิตของเรา ซึ่งแต่ก่อนนั้น เคยลุ่มๆดอนๆ เคยประเดียวก็ไม่สบายใจ ประเดียวก็คับแค้นใจ ก็จะค่อยๆ สงบขึ้น ใจอันนี้จะเป็นใจที่ ถึงแม่จะ ไม่ได้ทำภาวนา ก็รู้อยู่กับปัจจุบัน ไม่ไปคิดฟุ้งซ่านเพราะมันถูกฝึกให้สติอยู่กับใจ จนกระทั่งถึงอยู่เฉยๆ ก็ไม่ออกไปเที่ยวกินอารมณ์โนนอารมณ์นให้เหน่อย ให้เกิดเป็นความปรุงคิด เป็นสังขารจิต ทำให้เกิดความ
วุ่นวาย เกิดนิวรณ์ เกิดความฟุ้งซ่านราคาญใจ เกิด ความลังเลสงสัย เกิดความหดหู ท้อถอย ง่วงเหงาเกิดความรัก ความชัง แล้วก็ไปติดอยู่ในอารมณ์เหล่านั้น เป็นพิษเป็นภัยกับใจของเรา
มันจะสงบ รู้อยู่ เป็นใจที่ว่องไว อะไรมากระทบ "ใจที่มีพลังเติมที่นี่ จะออกไปรับด้วยสติปัญญา ทําให้บัญหาที่เกิดขึ้น ได้รับการแก้ไขไปในทางที่ถูกที่ควร แล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามที่ควรจะเป็นเมื่อเข้าใจอยางนี้ เราก็ไม่เบื่อที่จะคอย ระวังรักษาสติของเราไว้ ไม่ให้หลุดไปไหน พอมันเผลอหลุดไป รู้เข้าก็ตั้งต้นกำหนดใหม่ ให้สติมาอยู่กับใจเอาไว้ ใจอันนี้ก็จะเป็นใจที่ผ่องใส เป็นใจที่มี กำลัง ไม่เบื่อหน่าย ไม่เข็ง ไม่ง่วงเหงาหาวนอนเป็นใจที่อ่อนโยน เพราะว่าใจที่มีปัญญารักษา จะเป็นใจที่มีเหตุมีผล มีความเข้าใจ อ่อนโยนและมีเมตตาไม่เหมือนใจที่กดเก็บเอาไว้ ด้วยกำลังสมาธิอย่างเดียว การปฏิบัติโดยใช้กำลังสมาธิอย่างเดียวนั้น เหมือนเรามีหม้อต้มน้ำหม้อใหญ่ ใส่นาไว้ ปิดฝา ขันสกรูเอาไว้อย่างแน่นหนา ไม่มีช่องทางระบายไอน้ำเดือดที่เกิดขึ้นให้ถ่ายเทออกไปได้ เดือดขึ้นๆ แรงดันของไอน้ำหาทางออกไมได้ ก็จะสมรวมตัวเป็นพลังดัน ถ้าเมื่อไรก็ตาม สกรูเกิดหลวม หรือมีรูทีจะรั่วออกได้ มันก็จะดันตรงนั้น ตรงที่เป็นจุดอ่อน จนกระทั่งระเบิดพังไปเลย แล้วไอก็พวยพุ่งออกไปใจที่ใช้แต่สมาธิข่มอย่างเดียว ครั้งแรก ก็ยังทนไหว แต่พอต่อไปๆ แรงที่มาปะทะหนักเกินกว่าที่กาลังสมาธิจะเข้าที่ได้ มันก็ระเบิดไปแล้วเหมือนมีระเบิดเวลา ที่ถอดสลักเอาไวแล้วเราไม่กู้มันออก แต่ไปคิดเอาว่า ไม่เป็นไร เราสามารถไปเลื่อนเวลาที่เขาตั้งไว้ได้ทัน สมมติเขาบอกว่า อีกสิบนาทีมันจะระเบิด เราก็เข้าสมาธิข่มทับไว้ เหมือนเราไปเขยื่อนเวลาออกไป แต่ไมกู้ระเบิด ทิ้งเราไม่เอาปัญญามาแก้ไขว่า เพราะอะไรใจของเราจึงกวัดแกวงออกไปนอกฐานอย่างนั้น...เพราะโลภหรือ ...เพราะเขามากระแทกอัตตา เราหรือเราไม่เอาปัญญาไปช้อนมันทิ้ง ไม่กู้ระเบิดลูกนั้นไปทิ้งคอยแต่เอาสมาธิทับไว้ มันยังไม่ระเบิดก็จริง แต่อันตรายของมันยังอยู่ต่อไปอีกอย่างครบครันวันหนึ่งปรากฏว่า สัญญาแวบให้เรานักขึ้นโดยไม่ทันตั้งสติ มันจวนตัว เราทำสมาธิไม่ทันแรงที่มากระทบ เร็วเกินกว่าที่จะต้งสมาธิเข้าที่ได้
มันก็ระเบิดตูมขึ้นมา เลยวินาศกันไปหมด จิตใจของ คนที่ใช้แต่อำนาจสมถะอย่างเดียว จึงน่ากลัวอย่างนี้ยิ่งสมาธิมีกำลังมากเท่าไร ก็จะหลงตัวเอง เกิดความเชื่อมันในตัวเองจนกลายเป็นคน ไม่ฟังเหตุผลของผู้อื่น เพราะสติคมไม่พอ ปัญญาไม่ เคยถูกฝึกปรือให้มีกาลัง ตัวตนของเราซึ่งเป็นเหมือนแรงศูนย์ถ่วงโลก ก็เข้มข้นขึ้นโดยลาดับ ทำให้ “เรา” ยิ่งพองมากขึ้น ยึดมันถือรั้นมากขึ้นเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว การปฏิบัติกเขว ถ้า ยิ่งมีอำนาจพิเศษ เช่น มีตาทิพย์ มีหูทิพย์ ล่วงรู้ใจคนหรือลวงรู้อดีตอนาคตได้ ก็ยิ่งติดลิก แทนที่จะคิดเพื่อไถ่เพื่อถอน ก็กลับไปหลงติดสิ่งเหล่านี้ จนตัวเองหลุดออกไปจากมรรค หนทางปฏิบัติที่ถูกที่ควร
ถ้าเรายึดสติเป็นแกนของการปฏิบัติ จิตจะลงรวมเป็นสมาธิหรือไม่เป็นสมาธิ ไม่ใช่ข้อวัดความสำเร็จชองการปฏิบัติ ตราบเท่าทีมีสติระลึกรู้อยู่ใจสงบอยู่กับปัจจุบัน อะไรเกิดขึ้น สามารถเอาปัญญามาไตร่ตรองหาเหตุผล แล้วรักษาใจให้หลุดละจาก
อารมณ์ผูกพันนั้น กลับมาเป็นปกติอยู่บนฐานเดิม การปฏิบัติอันนี้ถูกต้อง เป็นการพัฒนาใจของเราให้มีกำลังขึ้นโดยลำดับ ทำให้ใจของเราเบา. . . เบาจากกิเลส ตัณหา อวิชชา อุปาทานที่เคยกดถ่วง บีบรัดใจของเรา ให้ไม่มีอิสระและเสรีภาพกับตัวเองได้ถ้าปฏิบัติอย่างนี้อยู่เรื่อยๆเราจะพบว่า พออะไรมากระทบ ซึ่งแต่เดิมบางที่เรายังไม่สบายใจเรายังหงุดหงิด ไปคิดถึงมัน ปล่อยวางยังไม่ได้ อาจจะเป็นวันหรืออาจจะเป็นอาทิตย์ ฝึกอย่างนีอยู่เรื่อยๆการปล่อยวางจะค่อยๆ ชานาญขึ้น
พออะไรมากระทบปุ๊บ สติปัญญาจะน้อมเขามาหาเหตุหาผลแก้ต่าง จนในที่สุดใจเห็นจริงตามมันก็จะพิจารณาลงไปด้วยสัจธรรม คือ ไม่มีอะไรเลย ที่เป็นสาระแก่นสาร พอที่เราจะเอาใจของเราไปยึดไปผูกพันเข้าไว้ จริงๆ แล้วมันมีแต่เงาที่เราไปปรุงคิด เขาใจผิด ยึดมั่นถือมั่นไปเรื่องจริงๆมีแต่เหตุ เหตุมีแต่ว่าอย่างไร เราเอาเม็ดอะไรหว่านลงไป เราก็จะได้ต้นอันนั้น เราทำเหตุเอาไว้อย่างนี้ ผลมันก็ต้องเป็นอย่างนี้
ถ้าหาแล้ว เราไม่ชอบผลอย่างนี้ จำเอาไว้ เมื่อมี โอกาสจะประกอบเหตุทำนองนี้ใหม่ อย่าไปประกอบเข้า เอาสติเตือนใจตัวเองไว้ ให้ประกอบเหตุอย่างที่เราต้องการผลพอเราเอาสติตั้งไว้ในใจอย่างนี้ มันก็ไม่เผลอไม่ลืม เมื่อวาระโอกาสมี ที่เราจะทำอะไรเราก็เตือนตัวเองให้ทำอย่างที่คิดเอาไว้ว่าเราอยาก การรักษาใจของเราให้อยู่กับปัจจุบัน ไม่ได้หมายความว่า เราจะเป็นคนที่ไม่มีความรับผิดชอบในหน้าที่การงาน เรามีหนาที่ที่จะต้องคิติการลวงหน้า เรามีหน้าที่ที่จะต้องทำอะไร เราก็ทำ หาไปเติมที่ตามหน้าที่ เมื่อคิดด้วยเหตุด้วยผลแล้วก็วางมันไม่เอาไปนอนกังวลถึงนั่งกังวลถึง จนไม่เป็นอันทำอะไรอย่างอื่นการที่บอกไม่ให้ไปคิดถึงอดีต ถึงอนาคตนั้น หมายความถึงในหานองนี้ ไม่ให้เอามครุ่นคิดกังวล จนไม่เป็นอันอยู่กับงานที่กำลังทำเฉพาะหน้า
แต่ถ้าจะต้องคิดวางแผน จะต้องกำหนดโครงการเอาไว้ ก็คิดให้เป็นขั้นตอนให้เรียบร้อย ศึกษาให้เข้าใจรายละเอียดทางหนีที่ไล่ ทาแล้วพอมีอะไรเกิดขึ้นมา เรารู้ว่า อ้อ...เมื่อเป็นอย่างนี้เราจะต้องแก้ไขอย่างไร บ่ายเบนอย่างไร เรารู้เราเตรียมพร้อม ถ้ามันไม่เป็นอย่างที่เรากำหนดเอาไว้ เราก็ไม่ปล่อยใจให้หงุดหงิด จนกระทังไม่ยอมรับความจริง ใจที่มีสติอยู่ จะเปันใจที่ปรับตัวเองให้รับความจริงที่เกิดขึ้น ไม่ว่ามันจะสมใจหรือไม่สมใจเพราะเราจะไม่ยึดกับสิ่งที่คิดเอาไว้ คาดหวังเอาไว้ถ้าใจไหนเป็นใจที่ไม่ได้ฝึกสติให้อยู่กับตัว พออะไรเกิดขึ้นผิดจากที่ใจคาดหวังเอาไว้ จะหงุดหงิดมาก และไม่สามารถถอนใจให้มารับสภาพความ
เป็นจริงได้ จะยังบ่นคร่ำครวญว่า มันน่าจะเป็นอย่างนั้น มันเป็นอย่างนี้ไปได้อยางไร ไม่ได้ จะต้องเป็นถ้ามีอาการอย่างนี้เกิดขึ้น ให้รู้เอาไว้เถอะว่า สติของเราไม่เพียงพอคุ้มตัวเอง จะต้อง
เร่ง เร่งพัฒนาสติให้มากขึ้น เพราะถ้าสติมีกาลัง ใจจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับปัจจุบันได้โดยอัตโนมัติสติ เป็นเครื่องบ่งชี้ให้รู้ว่า ใจกับกายจะแนมอยู่ด้วยกันกับปัจจุบัน ไม่ฉีกออกไปยึดติดอยู่กับอดีต หรืออนาคต เมื่อไรที่สติหลวม ก็จะเกิดอาการอย่างนี้ คือจะคร่ำครวญหวนอาลัยถึงอดีต ถึงอนาคตอยู่เรื่อย ไม่อยู่กับปัจจุบันเพราะกายกับใจของเรา เหมือนของที่เลื่อนไหลต่อกัน ไม่ค่อยอยู่ด้วยกัน แต่ถ้าเมื่อไรก็ตาม เราเอาสติมาเป็นกาววิเศษ เกี่ยวใจและกายไว้มันถึงจะผนึกอยู่ด้วยกัน และเมื่อไหร่ที่อยู่ด้วยกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ตรงนั้นแหละ... เราเพราะว่า สิ่งที่เราทำไป จะเป็นสิ่งที่เราทาลงไปด้วยความมีสติสัมปชัญญะ มีปัญญาคุ้มครอง จิตอันนี้ ไม่ใช่ทำไปด้วยความละเมอ ด้วยความพอใจ ตามอารมณ์รัก อารมณ์หลง อารมณ์ยึด แล้วพอผลเกิด ขึ้นมาก็โวยวายว่า อะไรกัน ไม่ได้ทำสักหน่อย ใครมาแกล้งเรา ตอนนั้นไม่มีสติ เราจาไม่ได้ แล้วไประแวงคนอื่น ไปกล่าวหาเขาว่า คนโน้นแกล้งเรา
คนนี้แกล้งเรา เป็นอกุศลต่อไปอีกนี่แหละ...ถ้าเราค่อยๆ ฝึกอย่างนี่ กายของเราก็ยังหาหน้าที่ความรับผิดชอบไปตาม เมื่อไรมันสิ้นเหตุปัจจัยแล้ว ถึงตอนนั้น นี้ก็ได้ หรือเราจะไปไหนก็ได้ เราจะไม่ไปเดือดร้อน กับเรื่องของกาย แต่เราจะมุ่ง...มุ่งปฏิบัติขัดเกลา รักษาใจของเราอันนี้ ไม่ให้ไปก่อหนี้ ก่อสินใหม่ขึ้นมา โดยไม่จาเป็น แล้วเราก็จะได้ย่นระยะการเดินทาง
ของเรา ให้สั้นลงโดยลำดับถึงเราจาเป็นจะต้องเดินไป เราก็ไม่ เดินไปบนขวากบนหนาม เราจะเดินไปโดยมีเครื่องมือครบครัน เพราะธรรมะเป็นเหมือนเครื่องมือ ที่ช่วยให้การเศินทางไปในวัฏสงสารของเรา เป็นการ
เดินทางที่ราบรื่น สะดวกปลอดภัยถ้าจะต้องไปในที่ที่มีหนามเราก็จะมีรองเท้าใส่ไม่ให้หนามตำเท้าเรา ถ้าจาเป็นจะต้องไปในที่ที่เป็นทะเล ก็จะมีเรือให้เราไม่ต้องลอยคอว่ายน้ำไป แล้วก็ไม่รู้ว่าจะถึงหรือไม่ถึง ถ้าตั้งอกตั้งใจปฏิบัติจริงจังอย่างนี้ ผลก็จะปรากฏให้เราเห็น เห็นที่ไหน เห็นที่ใจ... เห็นที่ใจ อย่าไปเผลอไขว้เขวว่า ความสุขที่เกิดขึ้น จะ ต้องเป็นความสาเร็จทางกาย หรือความสำเร็จทางวัตถุ ถ้าอย่างนั้นบางที่จะสิ้นศรัทธา เพราะบางครั้ง
ผลจะไม่เกิดขึ้นเป็นความสำเร็จทางวัตถุบางคนที่มาปฏิบัติ เลือมใสศรัทธาในบุญในทานมาก เพราะว่าทำบุญตรงนี้ไป ก็จะได้กุศลกลับ คืนมาเร็วเห็นทันตาท่านผู้ใหญ่ที่นับถือท่านหนึ่ง เคยเล่าให้ฟังว่า ท่านเชื่อว่า ถ้าทำบุญอะไรไปแล้วเราจะได้ อย่างนั้นคืนมาครั้งหนึ่งมีคนมาขอเสื้อผ้าเก่าๆ ของท่าน ไปทำบุญให้คนยากจน ท่านมีโสร่งไหมอยู่ตัวหนึ่ง ซึ่งไม่ได้ใช้แล้ว มันยังอยู่ในสภาพที่ดีพอสมควร ท่านรักมัน เพราะคนที่รักนับถือเอามาฝาก ท่านนึกหาเหตุผล
ว่า ถ้าใครเอาไปใช้คงได้ประโยชน์ เพราะผ้าไหมหน้าหนาวมันอุ่น หน้าร้อนก็เย็น ท่านก็สละให้ไปอีกไม่เท่าไร ปรากฏว่ามีคนเชิญท่านไป เป็นเถ้าแก่ปูที่นอน และของขวัญที่เขาให้มาคือ โสร่งไหม และจะมีเหตุการณ์หลายๆ อย่างในชีวิตของท่าน ที่เกิดขึ้นทำนองนี้ จนกระทั่งท่านบอกว่า ถ้าใครเห็นการทำบุญเป็นการทำให้ยากจน ท่านจะเถียงคอเป็นเอ็นเลย เพราะยิ่งท่านให้อะไรไป ท่านกลับได้สิ่งนัน หรือดีกว่านั้น กลับคืนมาอีกมากมายคนบางคน จะประสบเหตุการณ์ทำนองนี้หล่อเสียงจิตใจให้ปีติอิ่มเอิบในบุญในกุศล จนใจเกิด ศรัทธาเชื่อมัน ไม่คลอนแคลนแต่คนอีกพวกหนึ่ง จะมาในรูปตรงกันข้าม ยิ่งทำบุญทำกุศล มาประพฤตปฏิบัติแลดูเหมือนว่าขาดแคลนไปหมด แลดูเหมือนว่าเจอแต่ความผิดหวัง เจอ
แต่การถูกกลั่นแกล้ง ใส่ร้ายป้ายสียุ่งไปหมด จนชักไม่แน่ใจว่า เอ๊ะ...นี่อะไรกัน เราทำดีแล้วได้ชั่ว หรืออย่างไรเกิดความลังเลสงสัยเพราะจิตของท่านเหล่านี้ เป็นจิตที่จะต้องหมุน ให้เกิดปัญญาขึ้นมาถ้าจิตอันนี้ไหวทัน ก็จะนิก...ดูประวัติพระพุทธองค์ สมัยที่ท่านเป็นเจ้าชายสิทธัตถะท่านไม่เคยทำความชั่วความเลวอะไร เท่าที่เรารู้ ท่านทำแต่คุณงามความดี ยิ่งท่านสาเร็จเป็นพระพุทธเจ้าแล้วเป็นไปได้ไหม อะไรที่ท่านทาจะเป็นความบกพร่อง เสียหาย เพราะจิตที่บริสุทธิแล้ว ย่อมเที่ยงตรง ส่องสว่างกระจ่างแจ้ง ด้วยพลังสติปัญญา ไม่มีอะไรที่จะเป็นของไม่ดีไปได้ แต่เราก็พบว่าพวกเดียรถีย์หักล้าง ท่าน พระเทวทัตพยายามแย่งชิงอานาจท่าน สารพัดที่ ท่านจะโดนใส่ร้ายป้ายสี ในชีวิตเรา ที่เราว่าโดนร้ายๆ นั้น ก็ยังไม่โดนถึงเท่าที่ท่านโดนพอนึกอย่างนี้ เราจะสิ้นความคลางแคลง ถ้าของดีของวิเศษจะต้องได้แต่ลาภสักการะและวัตถุที่เป็นอามิสมา พระพุทธเจ้าก็เป็นตัวอย่างให้เราเห็น แล้วว่า ไม่ใช่อย่างนั้นท่านต้องการให้เราพิสูจน์ว่า ใจที่เชื่อมั่นศรัทธา ในคุณงามความดี ในธรรม ได้หยั่งรากแน่น หนาแล้วหรือ ศรัทธาอันนี้เป็นอจลศรัทธาแล้วหรือยัง ความลังเลสงสัยในธรรม ยังมีหลงเหล่อเป็นจุดดำเล็กๆ ในใจของเรา เหมือนกับเรามี
ถ้วยน้ำที่กลันจนเกือบบริสุทธิแล้ว แต่บังเอิญมีผงหมึกจีนดำ ก้อนหนึ่งกระเด็นลงไป มองดูเหมือนกับว่า เอ้อ . . . เรื่องขี้ผง แต่ว่าเมื่อปลอยไปหมึกจีนนัน ค่อยๆ ละลาย ละลาย ทำให้น้ำใสของเราเริ่มเป็นสีดำเรื่อยๆ และเป็นสีดำมากขึ้นโดยลาดับถ้าเรายังไม่สามารถทำ ศรัทธาของเรา ให้เป็นอจลศรัทธาได้ เมื่อมีเหตุการณ์ที่เย้ายวน หรือว่ามีอะไรที่ทำให้เราลังเลสงสัย เราจะเปลี่ยนแปลงไปได้ ทาให้ถอนรากถอนโคนไปอีกแล้วเพราะฉะนั้น เมื่อถึงจุดนี้ การปฏิบัติของเราจะเจอข้อทดสอบ เพื่อให้เราเอาปัญญา มาหยั่งรากลงไปจนแน่ใจ มั่นใจสามารถแยกใจกับวัตถุออกจากกันได้ว่า จริงๆ แล้วเรื่องของการปฏิบัติเรื่องของธรรมะ เป็นเรื่องของใจโดยตรง เป็นอาหารของใจกายก็เป็นเรื่องของกาย เราไปแก้ไข อะไรไม่ได้ เพราะกายเป็นเศษตกค้างมาจากเหตุเก่าๆ อย่างที่พระพุทธองค์ทรงอธิบายว่า พระสิวลีไปทางไหน ผู้คนหลั่งไหลมาทำบุญ จนพระสิวลีรับไม่หมด แต่พระอรหันต์บางองค์ ไปทางไหน แม่กระทั่งบิณฑบาต วันนี้ไปถึง อ้าว... เขายังไม่ตื่นนอน หุง ข้าวยังไม่สุก ตกลงเดินบิณฑบาตตั้งแต่หัวบ้านจรดท้ายบ้าน ไม่ได้ข้าวสักเม็ดเดียว วันรุ่งขึ้น เอ้า...ไปให้สายหน่อย เขาเกิดมีงานการกัน รับทำแต่เช้า ใส่บาตรเสร็จหมดแล้ว ไม่มีเหลือใส่ท่าน คราวนี้อย่า
กระนั้นเลย เราคอยกลุ่มเพื่อน เดินระคนไปตรงกลางเขาเถอะ เขาขุลมุนกัน ใส่องค์หน้าใส่องค์หลัง ข้ามท่านไปอีก มีคนสงสัยไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ท่านองค์นี้มีบุญวิเศษเป็นพระอรหันต์ แล้วหาไมถึงได้อับโชคลาภอย่างนี้ ท่านเป็นพระอรหันต์จริงหรือพระ อรหันต์ปลอมกันแน่
พระพุทธองค์ตรัสว่า พระอรหันต์จริง จิตใจของท่านบริสุทธิ์จริง แต่ในชาติภพเก่าๆ ท่านไม่เคยทำบุญทำทานเอาไว้ เหมือนเราไม่เคยใสกระปุกออมสินไว้ แงะออกมาก็ไม่มีอะไรเลย คนเขาก็มีจิตใจเลือมใสศรัทธาท่าน แต่เพราะเหตุเก่าเป็นปัจจัยให้มีเหตุบังเอิญ เหลือเชื่ออย่างนี้ เกิดขึ้นเรื่อยๆ แต่จิตใจของท่านก็ไม่ได้ทุกข์ร้อน เพราะท่านเข้าใจเสียแล้วว่า เหตุเรามีอย่างนี้เหมือนกับพระองคูลิมาล ตอนที่ท่านมา บวช สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านไปบัณฑบาตที่ไหน คนก็ยังกลัวทาน ไม่วางใจว่ามาบวชเป็นพระจริง สงสัยเอาผ้าเหลืองคลุมหลอกลวง เขาก็กลัวไม่ใส่บาตร แตกลับขว้างปาทาน หรือบางที่ทานเดิน ไปธรรมดาๆ เขากำลังขว้างปากันอยู่ ก้อนหินและไม้เกิดลอยปลิวมาถูกท่าน ไม่ถูกคู่กรณีเขียว เลือดตกยางออกทุกครั้งไปแต่ท่านเข้าใจแล้วว่า ร่างกายอันนี้ เป็นเศษกรรม เพราะเราเคยทำกรรมไว้ไม่ดี ตอนนี้ผลมันกำลังงอก เราจะไปเถียงอะไรกับมันเล่า มันก็ต้องเป็นไป เมื่อหมดเชื่อหมดเหตุแล้ว ผลก็จะดับตามไป แต่ตอนนี้ผลยังไม่ดับ เพราะเหตุเก่าๆ ที่ท่านใส่ไว้ ยังไม่หมดปุ๋ย ยังไม่หมดเชื้อยังงอกอยู่ ก็ให้มันงอกไปท่านก็พิจารณาไป
ถ้าเราเห็นตามนี้ เราสามารถหมุนสติบัญญาของเราขึ้นมา ให้เป็นธรรมะสอนใจได้ ศรัทธาของเราหยังรากลงไปถึงที่มั่นคง เป็นอจลศรัทธาเราขจัดวิจิกิจฉาเรื่องบุญมีไหม บาปมีไหม มรรคผล นิพพานมีไหม การทำดีได้ดีจริงไหม ทำดีได้ชั่วมีหรือเราสอนตัวเองได้ เป็นที่ประจักษ์แจ้งแก่ ใจอย่างนี้แล้ว เราจะไม่ลูบคลาการปฏิบัติอีกต่อไบไม่ใช่ว่าถึงเวลา วันนี้ฉันจะต้องนังหนึ่งชั่วโมงนะ นั่งสามชั่วโมงนะ ไม่เอาแล้ว วิธีเด็กเล่นอย่างนี้เมื่อไรที่เราหายใจอยู่ ทุกๆ ลมหายใจ เข้าและออกของเรา ไม่ว่าเราจะทางานทาการ อะไร เราสามารถกาหนดสติให้อยู่กับลมหายใจเราได้ กายก็ทาไปตามหน้าทีของกาย เหตุปัจจัยมีอย่าง
เพื่อมตามอะไรไปอีก อะไรมากระทบ เหตุมันมี เราก็จัดการไปตามเหตุนั้นๆ ตามสมควรแก่เหตุ ไม่เกิด
ความลังเลสงสัย ไม่เกิดความหวาดหวั่น ไม่ไปยึดมันถือมันว่า ข้าแน่ ข้าวิเศษอะไรอีกต่อไปทุกอย่างมีมาแต่เหตุ เมื่อมีเหตุมันก็ต้อง เป็นไปอยางนั้น ใจอันนี้ ก็จะไม่มีวันเดือดร้อน จะไม่มีวันไปก่อหนี้ก่อสิน หรือไปทำร้ายให้เป็นพิษเป็นภัยแก่ ใคร จะสงบ ร่มเย็น ผาสุก ทั้งกับตัวเองและ กับผู้ที่มาเกี่ยวข้อง
ถ้าเรามันคงต่อการปฏิบัติอย่างนี้ วันหนึ่งผลก็จะเป็นความสงบร่มเย็น ตามที่ได้อธิบายให้ฟังเมื่อรู้แล้ว ที่นี้ก็ถึงบทของเราว่า เราจะเป็นคนจริงแค่ไหน เราจะมีความพากเพียรแค่ไหน ถ้าเราเพียรมาก เราเด็ดเดียว เอาจริงเอาจัง ผลก็งอกเร็ว เพราะ...ที่ของเรา เราดูแล ใส่ปุ๋ย ขุด เอาวัชพืชที่จะมาแย่งอาหารของพืชพันธุ์ธัญญาหารที่ดีที่เราปลูกฝังออกไป ดูแลไม่ให้มีแมลง นก หนูอะไรมาแอบเอาเม็ดดีๆ ที่เราปลูกไปกิน ผลของเราก็ต้องเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ถ้าเราขี้เกียจขี้คร้าน ทำบ้างไม่ทำบ้าง เฝ้าบ้างไม่เฝ้าบ้าง ก็อาจมีเหตุบังเอิญ นก หนูมาคาบเอาไปกินบ้าง หรือเรานึกว่ารดน้ำแล้ว แต่
แล้วเผลอไม่ได้รด อะไรอย่างนี้ มันก็ฝอไปบาง ลีบไปบ้าง ไม่ขึ้นบ้าง ก็อย่าไปโทษว่า โอย…..ทำดีแล้วได้ดีไม่เห็นมีเลย ทำดีแล้วเห็นไหมได้ชั่วถ้าอย่างนั้นก็เป็นความเขลาของเราเอง ที่ไปทาให้ใจของเราหมดกำลัง แล้วปิดกั้นทางของคุณงามความดีของเราเอง อย่าให้เป็นอย่างนั้นการที่เราได้รู้จักธรรมะ ผักใฝ่ประพฤติปฏิบัติมาถึงขั้นนี้ ก็นับว่าเรามีทุนรอนสะสมมามากที่ เดียว อย่าไปประมาท อย่าไปปล่อยให้เวลากินชีวิตของเราไปเปล่าๆ ตั้งใจพากเพียรทำต่อไปพระพุทธองค์ตรัสเสมอๆ ว่าบุคคลจะล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร ท่านไม่เคยตรัสว่าบุคคลจะล่วงทุกข์ได้เพราะเป็นเศรษฐี หรือบุคคลจะลวงทุกข์ได้เพราะมีปัญญา ท่านตรัสแต่ว่า บุคคลจะล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียรเพราะอะไร ถ้าเราพากเพียรค่อยเอาสติรักษาใจไว้ ปัญญาย่อมเกิดตามมา เมื่อมิสติอยู่กับใจ อะไรมากระทบ มันจะสาวหาเหตุผล ทาไมถึง เป็นอย่างนั้น ทำไม... เมื่อเราคอยถามตัวเองอยู่เรื่อยๆ มันต้องมีคำตอบ ไม่มีใครหรอก ที่มีคาถาม ทำไม...ทำไม...แล้วนอนหลับสบาย ถ้ายังทำไมอยู่มันคัน มันต้องอยากรู้คำตอบจนได้ คำตอบรู้เมื่อไร นั่นแหละ...ปัญญาเกิดขึ้นมาแล้วถ้ารู้นั้นยังไม่ใช่เป็นปัญญา ยังเป็นกิเลสพอรู้แล้วประเดียวมันก็...ทำไม...ต่อไปอีก เพราะมันยังไม่สิ้นสงสัย คล้ายๆ กับว่า มันค้นอยู่ตรงนี้ แต่ไปเกาอีกทีหนึ่ง มันไม่ยอมสงบหรอก มันต้องเอาจน สิ้นสงสัย พอเป็นปัญญา อ้อ...คราวนี้จบ สงบเรียบร้อยถ้าเราคอยปลูกฝังสติ เพียรไม่ย่อหย่อนรับรอง ปัญญาต้องมีมา ในที่สุด เราก็สามารถกลั่นกรองเอาสิ่งที่เป็นของแปลกปลอม ออกไปจากใจเรา
จนได้ ใจเราจะค่อยๆ เป็น "ธาตุรู้" ที่บริสุทธิผุดผ่องขึ้นมาถ้ายังไปไม่ถึงตรงนั้น เพียงแค่เราสามารถหาให้ใจของเรา ไม่เจ้าอารมณ์ ไม่ไปโกรธซ้ายปายขวา น้อยใจไอ้โน้น แหนงใจไอ้นี่ เราก็จะ
เราก็จะพบว่ามีความสงบสุขขึ้นตั้งเยอะถ้าใครเป็นคนขี้งอนจะเห็นจริงเลย เพราะตัวเองเมื่อเด็กๆ ขี้งอนมาก ถ้าใครที่เราคิดว่า เขาจะต้องทำอย่างนั้น อย่างนี้ให้เรา เขาเกิดลม ฮุย...ปรากฏว่างอนกับเชาเปนวันๆ เลย นอยใจว่าเขาไม่สนใจใยดีเราต่อมาจงรู้ว่า...จริงๆ แล้ว ไม่ใช่เขาไม่ไยดีหรืออะไร เพราะช่วงที่ตัวเองไปเรียนหนังสืออยู่ที่เมืองนอก ความที่โดนสอบเสียจนกระทั่งไม่เป็นอันได้คิดถึงอะไร ปรากฏว่า...วันเกิดของแม่เรา เองแท้ๆ ลืมไปเลย ไม่ได้เขียนจดหมายมาถึงท่านหรอก นิกชีนได้อีกที่ โนน . . . เลยไปตั้งเดือนกว่าแล้วก็เลยนึกว่า ที่เราเที่ยวไปงอนกับคนโนนคนนี้เป็น
วรรคเป็นเวรนี่น่ะ บ้าแท้ๆ เขียว ไม่ได้มีเหตุมีผลเลยเมื่อมาปฏิบัติ ก็ยิงเห็นว่า การปล่อยใจให้เคว้งคว้างไปยึดเกาะในอารมณ์โน้นอารมณ์นี้ เป็นการทาความทุกข์ให้กับตัวเองโดยใช่เหตุพอค่อยๆเห็นอย่างนี้ ใจ มีปัญญารักษา ให้เหตุผล ให้มันปล่อยไปทีละเรื่องๆ เราก็เห็นใจเราว่า โอ…..มันสบาย มันสงบใครเขาจะว่าอะไร ก็เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น เราทำดีที่สุดแล้ว คอยระแวดระวังดูใจของเรา เราก็ไม่เดือดร้อนไม่อย่างนั้น เราว่าเราทำดีแล้ว แต่พอคนเขานินทา เราก็เต้น เที่ยวได้ไปโวยวาย ไปหา
คนสนับสนุนว่า มันดีจริงหรือมันดีไม่จริง เหนื่อยเปล่า
สรุปแล้วเราก็ไม่มีความสุข เพราะคนนี้ว่าเราดี เราสบายใจ เดียวออกไปทางโน้น เขาว่าไม่ดี ตกลงเราบ้าอีกแล้ว ประสาทอีกแล้ว ไม่เป็นอันทำมาหากินอะไรถ้าเรารู้จักเลี้ยงใจของเรา รู้จักให้อาหารใจ ให้มันไต่พัก ได้มีกำลังขึ้นมา มันก็สบายคร เขาจะว่าอะไร ก็เรื่องของเขา เขาไม่เหน่อย ปากเขา ก็ช่างเขาเป็นไรไปเขาไม่เหนื่อยปากเขา ก็ช่างเขาเป็นไรไป พอเราสงบสงัดได้อย่างนี่แล้ว เราก็มี เวลาที่จะไปหาอะไร ที่เป็นสาระประโยชน์ได้มากขึ้นตั้งเยอะตั้งแยะ แต่ก่อนเคยบ่นว่า เวลาไม่มี เดี๋ยวนี้ เวลามีเกินพอ
นี่แหละ….ถ้าเราเห็นและเราตั้งใจปฏิบัติจริงจัง เป็นลำดับตามที่พูดมา ก็จะเห็นว่าใจของเรามีการเปลี่ยนแปลง ให้เราเองมีกำลังไม่ท้อถอย ไม่เบื่อที่จะทำไปเรื่อยๆ พอทำไปแล้ว ใจอันนี่ก็จะค่อยๆ เห็นว่า อ้อ...เหตุมันมีนะ เขาไม่ได้แกล้เรา เคยไประแวงคนโน้น โกรธคนนี้ อภัยให้ไม่ได้ ก็ค่อยๆ หมดไปโดยลำดับใจที่เป็นภาชนะรับธรรมะ เป็นใจที่รู้จักอภัยรู้ถึาไม่รู้จักอภัย ใจนั้นจะคับแคบ แคบเหมือนขวด
ปากแคบๆ ที่เราเพียรกรอกนําอะไรเข้าไปก็หกหมดธรรมะไม่สามารถลงไปชาระล้างจิตใจให้ชื่นฉ่ำ ร่มเย็นเป็นสุขขึ้นได้เพราะพิษของการอาฆาตพยาบาทจดจาความผิดของคนอื่นไม่รู้ลืม ทำให้ใจนั้น หนัก แล้วก็ไม่ยอมรับคุณความดีอะไรทั้งนั้นทำไปๆ . . . มันก็เหมือนกับที่ดิฉันเรียนไว้ แล้วมื่อกี้นี้ มันมีสีสกปรก ไปตกอยู่ที่ก้นแก้ ประเดียวมันก็ค่อยๆ ละลายเป็นสายสีอะไรต่อมิอะไรทําให้น้ำไม่สะอาดสักที ทำไปเท่าไร มันก็พังไปหมด ทุกทีเพราะใจที่ไปยึด ไปเคียดแค้น ผูกใจเจ็บกับ เขาเป็นเหมือนกับรูรั่ว ทำไปเท่าไรๆ ก็ไปโดนสีสกปรก มันก็สกปรกไปอีกทุกที่ไป ไม่มีวันที่จะใสที่จะสะอาดให้ชื่นใจได้
จุดแรก ถ้ายังคิดว่า เราไม่มีสติ ไม่มีปัญญาพอ เอาแค่นี่แหละ อะไรก็ตามที่เป็นความฝังใจที่เป็นความคับข้องไม่ได้อย่างใจ อภัยต่อกัน เลิกแล้วต่อกันเสีย อยู่กันด้วยปัจจุบัน ตัวเราเมื่อวานนี้ ก็ตายไปพร้อมกับ
เมื่อวานนี้ มาอยู่กันด้วยปัจจุบันตรงนี้ และอยู่ด้วยปัจจุบันทุกๆ วันขณะที่มันเคลื่อนไป เอาสติเป็นกาวชั้นดีประกบใจกับตัวเราให้เคลื่อนเป็นอันหน่งอันเดียว ไปกับเวลาแตละขณะที่เคลื่อนไปราจะเห็นว่า รางกายเปลี่ยนแปลงไปตามวันเวลาที่ผ่านไป เราไม่มีทางปฏิเสธว่า ไม่จริงตัวฉันเมื่อสิบปีใน้นยังอยู่ ถ้าไปเอารูปเมื่อสิบปีโน้นมามาเปรียบเทียบกับเดี๋วนี้จะเห็นว่าเป็นคนละคนชัดเจนเลยเอาสติคิบใจของเราไว้ ให้รู้อยู่กับกายที่ แปรปรวน เกิด-ดับ เกิด-ดับ ตามกาลเวลาแต่ละขณะๆ อย่าให้พลัดพรากจากกันไปถ้าอยู่ด้วยปัจจุบันอย่างนี้ได้จริงๆ การ ปฏิบัติจะมีผลให้เห็น เป็นความรมเย็นที่ใจของเราแล้วสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียรอันไม่ย่อหย่อน ก็จะเกิดเป็นสมบัติของใจ พาให้เราก้าวต่อไปอย่าง สม่ำเสมอ หนักแน่น มันคง บนมรรค ตราบจนบรรลุ จุดมั้นหมาย
" ใจ " ที่มีสติเป็นตัวรู้คือ “พุทธะ”
ปัญญาที่คอยหมุนเป็น “ธัมมะ” สอนใจเรา
ก็จะเป็น เหมือนตู้พระไตรปิฎกที่อยู่ในใจ
ใจดวงนี้ ที่เมื่อกันมีสติเป็น “พุทธะ”
มีปัญญาเป็น “ธัมมะ”
ขณะจดจ่อปฏิบัติ ก็เป็น “สังฆะ” ด้วย
ตกลงรัตนตรัยก็คือ “ใจ” ดวงนี้
พิมพ์โดย ปภัสสร มีพงษ์
แหล่งที่มา http://web.krisdika.go.th/buddha/tampatibat.pd
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น