ที่พักใจ
ชื่อผู้เขียน พญ อมรา มลิลา
วันที่ _
ณ _
หมวด
การพักใจ
คนเราก็ต้องมีการพักใจเหมือนกับพักร่างกาย หลาย ๆ ท่านอาจคิดพิศวงว่า แล้วเราจะพักใจ ของเราอย่างไร ถ้าสังเกตใจของคนเราดูจะเห็นว่า ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรมากระทบ เราก็ปรุงคิด ความ คิดมีทั้งที่มีเหตุผล เป็นความคิดสร้างสรรค์ หรือ บ่อย ๆ ครั้งเป็นความคิดที่ยุให้รำตำให้รั้ว แล้ว เปียดเปียนตัวเอง เป็นต้นว่า คิดอิจฉาริษยาคนอื่น คิดยกตนข่มพ่าน คิดไปไม่มีฝั่งไม่มีฝา ฟุ้งซ่าน ความคิดเหล่านี้ทำให้ใจของเราเครียด เหนื่อย หรือไม่ไต้ผลไต้ประโยชน์อะไรเลย ทีนี้ชีวิต ประจำกันของเราก็แสนจะยุ่งกับภาระหน้าที่ มากมาย จนกระทั้งไฝสามารถจะมาใส่ใจสนใจ ตามเห็นความคิดของตัวเอง
ถ้าเราจะทำให้ชีวิตของเรามีความเบา ไต้ พักผ่อนไดชีวิตที่มีคุณภาพขึ้น เราก็ต้องเริ่มมารู้ จักกับความคิดของตัวเอง ทำอย่างไรเราจึงจะ ตามเห็น ความคิด หรือ วาระจิต ของเรา เพื่อจะ ไต้เลือกพักเป็นครั้งเป็นคราวที่เหน็ดเหนื่อย สิ่งที่จะช่วยให้เราตามเห็นความคิดก็คือการมีสติ ระลึกรู้
หลาย ๆ ท่านก็จะขบขันว่าดิฉันพูดถึงเรื่อง อะไรกัน เพราะเราเป็นคนปกติ มีสติกันอยู่ทุก คนแล้ว คนไม่มีสติก็คือคนบ้าที่อยู่โรงพยาบาลบ้าเมื่อดิฉันไปห้ดปฏิบัติเพื่อรู้จักใจตัวเอง ท่านอาจารย์สิงห์ทองท่านเปรียบเทียบโลกนี้ เหมือนโรงบ่มบ้า ถ้าพระพูทธเจ้าขังมีพระชนม์ ชีพอยู่ แล้วมองเรา ท่านก็จะว่าพวกเราคือคนบ้า เพราะที่เราว่าเรามีสติ มีสติกัน เรามีขาดเป็น ช่วง ๆ โดยที่เราไม่เห็นว่ามีนขาดไปเมื่อไรบ้าง คนธรรมดาก็มีสติแบบเรา แล้วก็ขาดแบบเรา เรา ก็เลยเอาสภาวะนี้เป็นมาตรวัดว่านี่คือความปกติ
การจะฝึกให้ระลึกรู้ ก็ต้องค่อย ๆ ค่อย ๆ ระหว่างที่กำลังทำอะไรอยู่หรือมีความนึกคิดอะไร ให้ระลึกรู้ไม่ใช่ว่าใจคิดอะไรก็ตามมันไปไม่มีฝั่งมีฝา มันจะไปทางไหนก็แล้วแต่มัน เหมือนอย่างกับว่า เราเป็นผักตบลอยอยู่ในกระแสน้ำ น้ำจะพัดไปทางไหนก็ปล่อยให้มันพัดเราไปประเดี๋ยวเราก็ขึ้นเหนือ ประเดี๋ยวเราก็ลงใต้
ถ้าเป็นอย่างนั้นถึงเวลาเย็นเสร็จงานเสร็จ การกลับบ้าน มีเวลาว่างจากกิจกรรมทั้งหลาย เราก็เริ่มระลึกรู้ เอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาเรียง ลำดับทบทวน แล้วจะพบว่าเราเบียดเบียนดัวเอง เราไม่ได้พักใจเลย พอคิดถึงสิ่งที่ทำไปแล้ว ตรง โน้นก็ตายจริง รู้อย่างนี้ไม่ทำจะเข้าท่ากว่า ตรงนี้ ก็ตายจริง รู้อย่างนี้ไม่พูดก็จะดีหรอก แล้วเราก็ เสียใจเสียดายเวลาที่ผ่านไป ตกลงวันทั้งวัน เหนื่อยก็เหนื่อย เราคิดว่าได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ ได้ทำสิ่งที่เป็นสาระแก่นสาร ครั้นตกคามาคิด บัญชีเหมือนอย่างลับเราคิดบัญชีเงินในธนาคาร ของเรา เราพบว่าตรงโน้นก็ติดตัวแดง ตรงนี้ก็ติด ตัวแดง เพราะว่าเราไม่ได้พอใจลับสิ่งที่ทำลงไปเลย ถ้าเราสามารถหมุนเวลากลับไปได้ ฉันไม่ ทำอย่างที่ทำไปแล้วหรอก ฉันจะทำอีกอย่างหนึ่ง เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ใจของเราจะพักได้อย่างไร เพราะเวลาว่างแทนที่จะได้พักผ่อน ได้เติมพลัง เพื่อวันต่อไปเราจะได้สดใส มีความมั่นใจที่จะเดิน ต่อไปด้วยกำลังที่แข็งแกร่ง เราเกิดความลังเลไม่ แน่ใจ เมื่ออายุมากขึ้น หรืองานการเหน็ดเหนื่อยขึ้น เราก็อดที่จะเปรียบเทียบกับคนข้างเคียง กับ เพื่อนร่วมงาน กับเจ้านาย กับลูกน้องไม่ได้ ทำไมเราถึงเป็นคนไม่มีบุญไม่มีวาสนา ทำไมทุก อย่างถึงด้บเครียดอย่างนี้ ก็เป็นเพราะว่าเราไม่มี หลักในวิธีคิด ในการที่จะปฎิอัติกับตัวของเราเอง ถ้าเห็นอย่างนี้แล้ว เราก็ตั้งในใจเอาไว้ วันนี้ ทั้งวัน อะไรที่จะทำลงไป เราจะพยายามไม่ให้ ต้องมาเสียใจในภายหลัง เราจะต้องไม่เกิดความรู้ สึกว่า อะไรที่ทำไปแล้ว ถ้ามีโอกาสเราจะเปลี่ยน ไม่ทำอย่างที่ได้ทำ เราตั้งปณิธานเอาไว้อย่างนี้ แล้วก็พยายามให้ความระลึกรู้คือตัวสติ สติของ เราเป็นเหมือนพี่เสี้ยงที่คอยประคองตามติดเราไป อะไรที่จะเผลอทำโดยอัตโนมัติ ด้วยความเคยชิน ที่พาให้ทำไปจนกระทั้งไม่ต้องฉุกคิด เราก็ สามารถเตือนตัวเองว่า ถ้าเผลอทำอย่างนี้โปอีก แล้วคาลงก็จะมาเสียดาย เสียใจ เพราะฉะนี้นไม่ เอาแล้ว เราจะไม่ยอมทำอย่างนี้นเป็นเด็ดขาดเมื่อเป็นอย่างนี้ เราก็จะรู้ตัวของเรา คอยห้ามล้อ ตัวของเราอยู่ไต้เรื่อย ๆเมื่อรู้ที่จะห้ามล้อให้โต้อย่างนี้ ความพินิจพิเคราะห์ตรึกตรองก็จะเข้ามาทำให้คุณภาพของ ความนึกคิดหรือวาจาหรือการกระทำที่เราจะตอบ สนองออกไปมีสาระแก่นสารขึ้น ดิฉันไม่ได้ หมายความว่า แด่นี้ต่อไปเราทำอะไรจะไม่มีที่ผิด พลาดเลย มันยังมีที่ผิดที่พลาด เพราะว่าเรามา จากความไม่รู้ คือ อวิชชา พระพุทธองค์ก็ตรัสไว้ แล้วว่า เราต้องเรียนรู้จากความผิดพลาด ผิดครั้ง ที่หนึ่งเป็นครู อย่าให้ผิดซ้ำอีก
ถ้าปลงใจว่า เราต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดแล้วเมื่อผิดพลาดไป เราก็สงบเต็มใจที่จะรับความผิดอันนั้นมาสอนตัวเอง เตือนตัวเองไม่ให้ผิดซ้ำอีก ถ้าทำถูกเราก็ไต้ความมั่นใจ ปีติอิ่ม เอิบว่า การผิกปฏิบตตัวอย่างนี้ใข้การได้แล้วถ้าเป็นอย่างนี้พอเสร็จภารกิจถึงเวลาพักผ่อน ย้อนนึกถึงสิ่งที่เราทำไปว้นนี้ทั้งรันเราก็ชื่นใจ ถึง ถูกตำหนิเราก็ไม่เกิดอารมณ์ทุกข์โทมนัส น้อยใจ เสียใจ แต่จะเอามันมาพินิจพิเคราะห์ มองให้ รอบคอบ แล้วเตือนตัวเองว่าดี ที่เรารู้ที่ผิดที่พลาด แต่นี้ต่อไปจะไดไม่ทำผิดอย่างนี้อีก
ใจของเราก็เบาสบาย ผิดเราก็สงบ ถูกเราก็ มั่นใจภูมิใจ ใจของเราก็มีเวลาพ้ก ได้อาหารคือ ความปีติอิ่มเอิบหล่อเลี้ยง ได้ความรู้ที่สอนให้เรา เฉลียวฉลาดขึ้นชีวิตประจำวันของเรา ก็เหมือนได้ถึงพระถึง วัดเราได้ปฎิบติของเราอยู่ดลอดเวลา เป็นกำลังใหใจอยากอยู่อยากทำต่อไป
พักคืออย่างไร
เราว่าเราพกใจก้น ปกติถ้าพกกาย เราก็จะ อยู่เฉย ๆ พักผ่อน แต่วิธีพักใจของเรา ฟ้งดูแล้ว มันกลับเป็นการทำงาน แล้วอย่างนี้จะได้พักกัน อย่างไรใจเราแปลกอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าปล่อยไปตาม ความสบายของมันแล้ว แทนที่มันจะพัก แล้ว ทำให้เรามีความสบายทั้งขณะเดี๋ยวนั้น และขณะ ด่อไปข้างหน้า มันกลับทำให้เราสำนึกผิด หรือ มาเสียดายว่ารู้อย่างนี้เราทำอีกอย่างหนึ่งก็ดีหรอก หรือว่า รู้อย่างนี้เราไม่ทำอย่างที่ทำก็จะดี หรอกเพราะใจของคนเรานี่ ถ้าเราปล่อยให้มัน สบาย...สบาย ปล่อยให้ปลิวไปโดยไม่มีทิศมีทาง แล้ว มันมักจะหลง ทำให้ตัวเองทุกข์เดือดร้อนใจถ้าไม่มีสติเป็นพี่เลี้ยง มันก็จะเผลอตาม กิเลส ซึ่งเป็นเหมือนแขกจรที่เข้ามาคอยยุให้ รำตำให้รั่ว แล้วพาเราไปในทิศทางที่ผิดพลาด ครั่นรู้ตัวทิหล้ง เราก็เกิดความเสียดายเสียใจ แล้วต้องกลับมาแกไขสิ่งที่ผิดพลาดไปแล้วเพราะฉะนั้น การพักใจคือการคอยฝึกฝน ใหใจไม่พลัดพรากจากสติ ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงที่คอย คุ้มครองเราให้ปลอดภัย เมื่อเรามีพี่เลี้ยงดีคอย คุ้มครองให้ปลอดภัยแล้ว เราก็ต้องปีกใจให้มี พลังใจมีธรรมชาติเหมือนน้ำ น้ำนี่ถ้าไม่มีทำนบ กั้นไว้ มันมีอยู่ก็จริงแต่จะไหลไปแล้วแต่ตรงไหน เป็นที่ลุ่มที่ลาดก็ไปนองขังอยู่ตรงนั้น ครั้นพอ ถึงเวลาที่จะเอามาใช้สอยก็ไม่สามารถเอามาใช้ได้ประโยชน์เต็มที่ กำลังของใจจะมีขึ้นได้ ก็ ต้องมีทำนบกั้นไม่ให้โหลฟ้งปรุงไปทวทุกทํศทาง เมื่อกี้นี้ เราบอกว่าสติเป็นเหมือนพี่เลี้ยง ถ้าจะคิดในแง่ของกำลัง สติก็เป็นเหมือนทำนบอีก เพราะถ้าใจไม่มีสติมันก็เผลอ พอเกิดความโลภ ขึ้นมา ใจก็วิ่งตามความโลภ เหมือนกับนั้าที่ ไหลลงไปที่ลุ่มใจถูกความโลภชักจูง มันก็โลภไปไม่มีขีด จำกัด สามารถทำให้เราอยากไต้ เมื่อไม่มีปัญญา หาได้ตามทำนองคลองธรรม ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็เอาด้วยคาถา ตกลง ทำนบรั่ว รู้ตัวขึ้นมา เราก็ถูกตำรวจจับ หรือถูก เจ้าของปรับไหมจนกระทั่งไม่มีสตางค์จะใช้เขาก็ได้ ถ้าเราเป็นอย่างนี้ จะได้มาดูว่า สติที่ว่าเป็น เหมือนทำนบกั้นใจไม่ให้รั่วไหล หรือเป็นเหมือน พี่เลี้ยงที่คอยประตับประคองเราไปในทางที่ถูก ไม่หลงทิศหลงทางนี้ มันคออะไรกันแน่
ถ้ามองในระนาบของความเป็นมนุษย์ปถุชน เราก็ว่า เรามีสติพอบริบูรณ์แล้วละ ใครโม่มีสติ ก็ต้องเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา เป็นคนบ้าไปแล้ว ตัวติฉ้นเองก็เคยหลงตัวหลงตน ว่า เรามีสติพอบริบูรณ์แล้วเหมือนกันเมื่อไปฝืกอบรมใจตัวเองที่วัดป้าแก้วของ ท่านอาจารย์สิงห์ทอง ท่านอาจารย์ก็แย้บว่า ใคร ที่เข้ามาอยู่ในวัดกับท่านก็ต้องบ้าๆบอๆเพราะ ว่าอาจารย์เป็นคนบ้าๆบอๆ
ความจริงนั้น ท่านจะบอกเราว่า ในระนาบ ของเรานี่ สติของเรายังไม่เพียงพอจะระวังรักษา ใจของตัวเอง
ท่านอธิบายต่อไปว่า ถ้าพระพุทธเจ้ายังทรงมีพระชนม์าอยู่ แล้วมานั่งมองพวกเรา ดำเนินชีวิตประจำวันกันอยู่อย่างนี้ท่านก็จะ
สลดสมเพชในพระทัย เหมือนอย่างกับเราไปดู คนไข้ในโรงพยาบาลโรคจิตดิฉันฟังท่านแล้ว ก็มองไม่เห็นว่า สติของเราขาดตกบกพร่อง ทำนองนั้นเมื่อเริ่มฝึกต่อเนื่องก้น จึงเห็นว่า บางทีเรา เอาพวงกุญแจวางไว้ที่หนึ่ง มีคนมาขอให้ไปช่วย ทำอะไร ทำเสร็จเรียบร้อย เราก็หาพวงกุญแจ ไม่เจอดิฉันเริ่มที่จะตาสั้นก็ไม่สั้น ยาวก็ไม่ยาว ปกตินั่น ตัวเองเป็นคนตาสั้นต้องใส่แว่น จะ มองอะไรไกลๆ ก็มองผ่านแว่น แต่เวลาอ่าน หนังสือ ถ้าใส่แว่นแล้วจะเห็นยาวเกินไป เวลา จะอ่านหนังสือเลยเอาแว่นขึ้นไปไว้บนศีรษะ เพราะถ้าวางเอาไว้เดี๋ยวลืมหาไม่เจอทีนี้บาง ครั้ง ขนาดขยับขึ้นไปไว้บนศีรษะแล้วก็ยังลืม อ่านหนังสือเสร็จจะมองไกลก็เที่ยวได้หาแว่น เป็นการใหญ่
ถ้ามีสตินึกรู้ได้ เราก็จำได้ว่าก่อนที่จะได้ ใกล้ ๆ นี่เราขยับแว่นขึ้นไปไว้บนกระหม่อม ของเราเอง เราก็ขยับแว่นกลับลงมา ไม่เสีย เวลาไปโทษคนโน้นคนนี้ ว่าใครหยิบของเราไป ถ้าค่อย ๆ คอยเอาสติตามรูใจของเราอยู่ อย่างนี้ จะพบว่า วันทั้งวัน เราเหมือนคนไข้ โรงพยาบาลโรคจิตไม่มีผิดมีเพี้ยน แต่เพราะ คนทุกคนต่างก็มีความบกพร่องในสติทำนองนี้ทั้ง นั้น พอเอามาหาสถิติกันแล้ว เราก็เลยว่าเรา ปกติดี คนอื่นก็เลอะเทอะเท่า ๆ กับเรา
แต่พระพุทธองค์ท่านไม่ถือว่าอย่างนี้ปกติท่านถือว่ากันตราย เพราะเราประกอบมโนกรรม วจีกรรม หรือกายกรรม อะไรไปแล้ว เราจำไม่ได้ ว่าทำอะไรลงไปเมื่อผลเถิดขึ้น เจ้าหนี้มาทวงกาม เราก็โวยวายว่า ใครมาใส่ความเรา เราไม่ได้ทำลักหน่อยท่านอาจารย์เปรียบเทียบเวลาที่เราทำอะไร ลงไป แล้วไม่มีสติระลึกรู้ มันก็เหมือนเรานอน ละเมอ เอามือซ้ายมาทุบมือขวาของตัวเอง พอ ตื่นขึ้นมาเห็นมือขวาฟกชาดำเขียว เราก็ประกาศ ว่า ดูสิระหว่างที่เราหลับนี่มีคนใจร้ายมาทบเรา แต่ถ้าถ่ายวีดิโอเอาไว้ คือเอาสติมาขึงดู เราก็จะ พบผู้ร้าย คือ มือซ้ายของเราเองฟังดูอย่างนี้ก็น่าขำ แต่ถ้าลองไปฝึกดู เรา จะเห็นตัวเราเลอะเทอะแล้วน่าขำอย่างนี้จริง ๆ นี่แหละ การพักใจก็คือ การที่เราฝึกใจของ เราให้รู้เท่าทัน อย่าให้เจ้าผู้ร้ายมันแอบมาเอามือ ซ้ายของเราไปทุบมือขวาได้เป็นเด็ดขาด
พิมพ์โดย ปภัสสร มีพงษ์
แหล่งที่มา http://web.krisdika.go.th/buddha/39_teepakjai.pdf
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น