Header Ads

วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2561

บทความหมออมรา ทิฐิ

บทความหมออมรา  ทิฐิ

ชื่อผู้เขียน       พญ อมรา มลิลา
วันที่            วันที่ 22  มีนาคม 2529
ณ                 จากหนังสืออนุสรณ์ นายแพทย์ คำทอน ท.ช. อดีตแพทย์ผู้อำนวยการโรงพยาบาลร้อยเอ็ด
หมวด
อันดับที่         


โลก คือ หมู่สัตว์ หรือจะย่นย่อเข้ามา ก็คือ กายและใจ ของเราแต่ละคนใจ มีหน้าที่เป็นตัวรับรู้ และเป็นตัวแปรสําคัญ ที่ไปให้ความหมายกับสิ่งทั้งหลายทั่งปวงที่เกิดขึ้น ถ้าความหมายที่ใจให้ ถูกต้อง เที่ยงตรง ตามสภาพ เป็นจริง ก็ไม่เกิดปัญหา แต่โดยทั่วไป ใจมักให้ ความหมายเปลี่ยนแปรตามอารมณ์ที่บังเกิดในใจ แต่ละขณะๆ ไม่คงเส้นคงวา หาสาระแก่นสารมิได้ อะไรคือสาเหตุให้ใจเปลี่ยนแปลงเช่นนั้น? ใจเป็นธาตุรู้ หากไม่มีสิ่งเคลือบแฝงแปลกปน เห็นสิงต่างๆ ที่เกิดขึ้น ตามสภาพเป็นจริง โลกก็ หมดปัญหา แต่เพราะใจมีสิงเศร้าหมองเคลือบบัง อยู่ ทำให้ความเห็นหรือทิฐิบิดเบือนไปจากความจริง ปัญหาจึงเกิดขึ้น
ทิฐิที่บิดเบือนไปนี้ มีรากเหง้ามาจากความรู้ ไม่รอบ รู้ไม่เท่าทันสภาพเป็นจริง แล้วไปยึดมัน สําคัญหมายว่าถูกต้อง ดีงามแล้ว หรือจะอุปมากับ การทำโจทย์เลข โจทย์ให้คูณ ความที่เรามีทิฐิบิดเบือน จึงเห็นคลาดเคลือนไปว่า โจทย์ให้คูณ กับ 5เราก็ใส่คําตอบไปว่า 40 ทั้งๆ ที่ 8 คูณ 5 ได้ 40 จริง แต่ในกรณีนี้ คําตอบ  40 เป็นคําตอบที่ผิด เพราะในกาลเทศะนี่ เหตุทีเป็น ปัญหาถามว่า 3 คูณ 5 ไม่ใช่ 8 คูณ 5 วิกฤตการณ์ต่างๆ ในชีวิตของแต่ละคนก็มี มูลเหตุมาทํานองนี อุปาทาน หรือความยึดมันถือรัน เป็นตัวแปรให้เหตุการณ์ทรุดโทรมหนักเข้า โดย เรารับไม่ได้ว่าตัวเองผิด เรายึดว่า 8 คูณ 5 ได้ 40 แล้วทําไมเราจึงผิด มิไยใครจะชี้แจงว่า ปัญหา ไม่ได้ถามว่า 8 คูณ 5 ได้เท่าไร ปัญหาถาม ต่างหาก แต่เราก็ดับทวารรับรู้ทังปวงจาก ความเป็นจริง พยายามหาเหตุผลต่างๆ นานามา สนับสนุนความยึดผิด เห็นผิด ของเรา เพื่อให้โลก ยอมคล้อยตามเราพยายามเปลี่ยนความจริงให้เป็นไปตาม ความคิด ความต้องการของเรา เราปฏิเสธสัทธรรม เพื่อธำรงไว้ซึ่งมายา แล้วเราจะสมหวังได้อย่างไร
เพราะมายาเป็นสิ่งไม่มีอยู่ เป็นเงาที่เกิดจาก การปรุงแต่งของจิต แล้วจิตสำคัญผิด หลงไปยึด ทุ่ม จิตใจเชื่อว่าเป็นของจริงจัง ของมีอยู่ ดังนิทานเรื่อง ฉลองพระองค์ชุดใหม่ของพระราชา
ดังได้ยินมา กาลครั้งหนึ่ง มีพระราชาองค์ หนึ่งโปรดการทรงฉลองพระองค์ชุดใหม่อยู่ตลอดเวลา ครั้งนั้น กระทาชายนายหนึ่งไปเฝ้าพระราชา อ้าง ตนเป็นช่างทอและตัดเย็บฉลองพระองค์ที่งดงามหา ที่เปรียบมิได้ โดยใช้ไหมทองคำแท้มาถักทอเป็น ผืนผ้า พระราชาทรงสนพระทัย รับสั่งให้เสนาบดี จัดหาใยไหมทองคําและสถานที่ในพระราชฐานให้ ชายนั้นทอฉลองพระองค์ชุดใหม่ถวาย
เมื่อก์ระทาชายนายนั้นได้ใยไหมทองคําแล้ว ก็นําไปเก็บไว้ แล้วทําท่าสาวอากาศ ประหนึ่งสาว เส้นไหมอยู่ในมือ นำไปสอดใส่หูก แล้วลงมือทอหูก เปล่านั้นอย่างขะมักเขมัน2-3 วันต่อมา พระราชาเสด็จมาทอดพระ
เนตรพร้อมข้าราชบริพาร เขาทำท่าประคองผืนผ้า
จากชายหูกขึ้นมาถวายพระราชาให้ทอดพระเนตรพร้อมทั้งบรรยายถึงคุณสมบัติว่า ผ้านั้นบางเบา เนื้อ
เนียนนุ่มมือ สีสันเป็นประกายเหลือบดุจแสงจันทร์ ทรงกลด สมกับบุญญาธิการของพระราชายิงนัก
พระองค์พอพระราชหฤทัยหรือจะโปรดให้เปลี่ยนแปลง แก้ไขอย่างไร พระราชาและข้าราชบริพารมองหน้ากันอย่าง งงๆ ชายนั้นก็ขัดขินอย่างรู้ที่ว่า ผ้านี้เป็นผ้าวิเศษ เฉพาะผู้มีบุญญาธิการเท่านันจะแลเห็นความงดงาม ตระการตา มิเช่นนันจะเห็นผ้านี่โปร่งแสง ใส กลืน หายไปกับอากาศรอบๆ สิ้นเสียงอธิบาย ทุกคนต่างแย้มยิ้ม แย่งกัน ชมถึงความมหัศจรรย์งดงามหาที่เปรียบมิได้ของผ้า ผืนนั้นกันเซ็งแซ่ ทั้งที่จริงๆ แล้ว ทุกคนแลไม่เห็น อะไรเลย กาลเวลาล่วงเลยไป จนครบ 1 เดือน ช่าง ทอสะสมไหมทองคำที่เบิกจากท้องพระคลังจนเป็น
ที่พอใจแล้ว ก็ประกาศว่าผ้าวิเศษผืนนั้นยาวพอจะ ตัดเป็นฉลองพระองค์แล้ว จึงปลดออกจากหูก แล้ว นำมาทำท่าตัดเย็บ จนสำเร็จเรียบร้อย จึงทูลเชิญ พระราชาให้ทรงฉลองพระองค์ชุดใหม่เพื่อเสด็จรอบ พระนครให้ประชาชนชื่นชมบารมี ผู้คนทั่วไปได้ยินกิตติศัพท์ความวิเศษของผ้า ต่างก็ต้องการเป็นผู้มีบุญกันทั้งสิ้น ไม่มีใครยอมรับ ความจริงว่าตนแลไม่เห็นฉลองพระองค์ของพระราชา จวบจนขบวนแห่เสด็จผ่านเด็กน้อยวัย 2 ขวบที่ยืน รอรับเสด็จอยู่กับแม่ หนูน้อยผู้ไม่เดียงสาเงยหน้าขึ้น มองแม่ แล้วอุทานอย่างแปลกใจว่า แม่จ๋าพระราชาทรงลืมชุดฉลองพระองค์หรือจ๊ะ? เราทั้งหลายก็ไม่แตกต่างจากผู้คนในนิทานเรื่องนี้ ขลาดกลัวที่จะยอมรับความจริง ปล่อยให้อวิชชาและอุปาทาน เจ้าจอมจักรพรรดิของกิเลส พัดพาใจให้ปรุงคิดไปต่างๆ นานา ผลิตความเชื่อผิด เห็นผิด ซึ่งเป็นรวงรังของทุกข์ ขึ้นทับถมจิตใจของ เรา จนแยกแยะไม่ออกว่าตรงไหนเป็นความจริง ตรง ไหนเป็นความผิดเรามองกันเพียงผิวเผิน ติดอยู่แค่อาการหรือ เปลือก แล้วด่วนลงความเห็น ตัดสินคุณภาพของ สิ่งนั้นว่า ดี ชั่ว ถูก ผิด
ทุกวันนี้เราหงุดหงิดคับข้องกับระบบเศรษฐกิจ ที่ซวดเซ เดือดร้อนกับปัญหาอาชญากรรมที่เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะผู้คนอดอยากตกงาน เมื่อกระเพาะ หิวโหย ศีลธรรมจรรยาก็ระเหยหายไปกับความแห้ง แล้งขาดแคลนของพลังกาย ผู้คนดิ้นรนเพื่อความ อยู่รอดของตนโดยไม่สนใจว่าสังคมรอบข้างจะเป็น อย่างไร อีกส่วนหนึ่ง ความทะยานอยากอันไม่รู้อิ่ม
รู้พอ ทำให้ดิ้นรนไขว่คว้า เบียดบัง ฉัอราษฎร์บัง
หลวงมาเป็นของตน โดยไม่ใส่ใจว่าผู้อื่นจะเดือดร้อน ลําเค็ญอย่างไร
บ้างก็โทษระบบ โทษจริยธรรม ว่าสอนให้คน คับแคบเห็นแก่ตัว เพราะทุกคนต่างมุ่งเอาตัวรอด ไปแปลคําสอนของพระพุทธองค์ ที่สอนให้มองตน แก้ไขตน ไปว่าท่านสอนให้เห็นแก่ตัว ขาดความรับ ผิดชอบต่อสังคม และไม่ได้เคยฉุกคิดว่า ทิฐิหรือ ความเห็น ของเราถี่ถ้วนถูกต้องตรงตามความเป็น จริงแล้วหรือยัง
ถ้าอุปมาใจของแต่ละบุคคลเป็นผืนดิน ละแปลงๆ ความชั่วในกาย วาจา ใจ เปรียบได้กับ ขยะ ที่ส่งกลิ่นเหม็นเน่าไประคายประสาทของผู้คน ในที่ดินใกล้เคียง ถ้าเจ้าของที่ดินไม่รับผิดชอบดูแล กำจัดขยะในที่ดินของตนให้สะอาดเรียบร้อย จะเป็นอย่างไร หรือยิงกว่านัน ถ้าในที่ดินข้างเคียง แต่ละแปลงมีพันธุ์ไม้ที่แตกหน่อออกรากชอนไชเป็น หางไหล ข้ามเขตรัวเข้ามาโผล่ในที่ของเรา แล้วงอกเบียดดันทรัพย์สินในที่เราให้เสียหายพังไป เรา จะรู้สึกอย่างไร ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี พระพุทธองค์จึงทรง สอนหลักเบื้องต้นว่า การแก้ปัญหาที่ตรงเป้าคือแก้ไข ที่ตนเอง ปรับทิศทางให้ถูกต้อง ด้วยการมองเข้าตน พิจารณาตน เมื่อกำจัดขยะคือละความชัวได้แล้วตนไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อผู้อื่นแล้ว จึงเริ้มฟื้นที่ดินนั้น ให้เป็นดินที่อุดมสมบูรณ์ด้วยปุ๋ย ร่วนซุยดี เหมาะ ที่จะนำพืชพันธุ์ธัญญาหารมาเพาะปลูกบางท่านฉลาด เกิดแยบคายอุบายนำขยะไปแปรสภาพเป็นปุ๋ยหมัก แล้วใช้ผลิตผลที่ได้นั้นมา ฟื้นดินของตนซึ่งอุปมากับการใช้สติปัญญาหมุนกิเลสคือความชั่วและความทุกข์ในจิตใจ ให้มเป็น แยบคายอุบายสอนตน เกิดเป็นคุณธรรมงอกงาม ขึ้นในจิตใจ เฉกเช่นพืชพันธุ์ธัญญาหาร เมื่องอก งามจนถึงวาระเกิดดอกออกผลให้เราได้นำมาบริโภค ใช้สอย กล่าวคือ คุณงามความดีที่หมันปลูกฝังจน ติดเป็นอุปนิสัย ยังความผาสุกร่มเย็นให้เกิดเป็นเครื่องอยู่อาศัยของจิตใจ ทำให้จิตใจเหล่านื่อวย ประโยชน์ต่อโลก ต่อผู้คนข้างเคียง เป็นละอองฝน ชุมนำเป็นที่พักพิงอาศัย เกิดความร่มรื่นอบอุ่น มั่นใจ ถ้าเราผลีผลามรีบด่วน เพื่อรับผิดชอบต่อสังคม โดยที่ความเห็นของเรายังบิดเบี้ยวไปด้วย อคติ 4 กล่าวคือ รัก ชัง เขลา หรือหวาดกลัว เราก็เป็นพิษเป็นภัยมากกว่าจะเป็นคุณเป็นประโยชน์ เช่นเดียวกับการอุปโลกน์ตัวขึ้นเป็นผู้แนะนำ ชักพา ผู้อื่นไปยังที่หมาย แล้วจูงเขาเลี้ยวผิด ไปทางซ้ายแทนที่จะเลี่ยวไปทางขวา ยิงเพียรมากเท่าใด ก็ยิง พากันหลง ห่างออกจากจุดหมายมากขึ้นทุกที ในกรณีนี้ การเป็นคนขี้คร้าน หยุดนอนพัก ตรงทางแพร่ง ยังปลอดภัยเสียมากกว่า ความเพียร ที่ปราศจากปัญญาหยั่งรู้ทิศทางที่ถูกต้อง จึงเป็น อันตรายอย่างใหญ่หลวงใจที่ปราศจากการฝึกฝนจะแกว่งกลับไปกลับ มา สมัยหนึ่ง เราเบื่อสี่แยก จึงทุบสี่แยกทิ้ง แล้ว สร้างวงเวียนน้ําพุ อีกไม่นานเกินรอ เราก็เบื่อวงเวียน ลุกขึ้นทุบวงเวียนทิ้งแล้วสร้างสี่แยกขึ้นมาใหม่ สมัย หนึ่ง เรากระตือรือร้นที่จะใช้ ม. 17 ยิงเป้าผู้ทําผิด เพื่อไม่ให้เอาเป็นเยี่ยงอย่าง อีกสมัยหนึ่งต่อมา เรา วุ่นวายใคร่จะยกเลิกกฎหมายลงโทษประหารชีวิตเราเพ่งติดที่อยู่เงา มองออกนอก วุ่นวาย สิ้นเปลืองเวลาเพื่อแก้ไขโลก เปลี่ยนกลับไปกลับมา ระหว่างสองปลายของโลกธรรม ฆ่า - ไม่ฆ่า บังคับ- เสรี มืด - สว่าง ชั่ว - ดี ฯลฯ แทนการพร่า เวลาไปกับระบบอันไม่มีวันสมบูรณ์ เราหมุนทิศ กลับมาเพ่งเล็งที่ใจ ถ้าใจละเอียด มีศีลมีธรรม บท ลงโทษจะมีว่าอย่างไร ก็ไม่จำเป็นต้องนำออกมาใช้ เพราะแต่ละคนรู้หน้าที่ ความรับผิดชอบ ไม่ละเมิด
สิทธิเสรีภาพของกันและกัน แต่ถ้าใจของบุคคลหยาบ ไม่รู้จักบาปบุญคุณ โทษ การสอนด้วยคําพูดย่อมไร้ผล ต้องอาศัยการ กระทำที่รุนแรงเพียงพอ เพื่อชะงักความหยาบนั้น เมื่อกิเลสมีความหยาบ ความละเอียดได้ ธรรมซึ่ง เป็นเครืองปราบปรามกิเลสก็ย่อมต้องเปลียนแปลง ให้หยาบละเอียดเท่าทันกับกิเลสคู่ต่อสู้ จึงจะกำราบ กันได้ราบคาบ เป็นต้นว่า เรามีไม้กระดานที่หยาบ ขรุขระ จะทำให้เรียบได้ ย่อมต้องใช้กบไส ไม่ใช่เอา ผ้าแพรมาขัดถู นอกจากผ้าแพรจะขาดโดยเปล่า ประโยชน์แล้ว เสี่ยนยังต่ามือให้เป็นอันตรายได้อีกศีลอยู่ที่ใจ ใจที่มีศีลคือใจที่เมื่อมีสิ่งกระทบ แล้วสามารถรักษาสถานภาพให้เป็นปกติอยู่ได้ กระเพื่อมหวั่นไหว เกิดระลอกแล้วระลอกเล่าของ การปรุงคิด เป็นรอยพิมพ์ติดอยู่ในจิตไร้สํานึก ชักพาจิตให้ดิ้นรน หาลู่ทางเคลื่อนไหว ด้วยวาจา ด้วยกาย เพื่อให้สําเร็จผล ดังที่รอยพิมพ์คิดหวัง ปรารถนา
พระพุทธเจ้าทรงเห็นความจริงที่เป็นแกนหมุนจักรวาลให้ดำรงอยู่ท่ามกลางวิกฤติครั้งแล้วครั้งเล่าสิ่งทั้งปวงมาแต่เหตุ ดับเหตุได้แล้ว ทุกสิ่งย่อม ผาสุกจิตที่กระเพื่อมสูงๆ ต่ำๆ ลุ่มๆ ดอนๆ ไปตาม แรงของความรัก ความชัง ความหลงผิด ที่ครอบงำจะถูกอิทธิพลที่ครอบงำเหล่านี้ชักพาให้ทำร้าย ตัวเอง ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ สําคัญผิดว่าเป็น การป้องกันตน เป็นสิทธิที่จะหวงแหน ยื้อแย่งสิ่งน่า พอใจใคร่ปรารถนามาเป็นของตนเด็กวัยรุ่น 3-4 คน กำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน งูตัวหนึ่งเลื้อยผ่านมา ด้วยสัญชาตญาณของ การปกป้องตน เด็กๆ ช่วยกันตีจนงูตาย สายตา ของงูที่มองค้าง คล้ายจะสะท้อนความฉงนฉงาย ไม่ เข้าใจว่าการเลื้อยมาอย่างธรรมชาติธรรมดานั้นเป็น ความผิดอะไร จึงต้องประสบโทษร้ายแรงถึงเข่นฆ่า กัน
กลุ่มสุนัขกําลังกินชิ้นเนื้อที่เจ้าของผึ้งแดดไว้ อย่างเอร็ดอร่อย ชายผู้หนึ่งบังเอิญเดินผ่านมา
เจ้าของเนื้อร้องตะโกนให้ช่วยไล่สุนัขให้ด้วย พอชายผู้นั้นเดินเข้าไป กลุ่มสุนัขก็กลุ้มรุม กระโดดเข้ากัดเป็นบาดแผลฉกรรจ์จนถึงแก่ชีวิต พระพุทธองค์ทรงเห็นถึง เหตุ รากเหง้าที่ฝัง รกรากอยู่ในจิตแต่ละดวง แล้วชักพาแต่ละจิตให้เห็น ผิดเป็นชอบ ก่อความเดือดร้อนระสำระสายต่อผู้อื่น เพียงเพราะ ตีนเงา ในใจของตัวเอง ปรุงคิดเป็นคุ้ง เป็นแคว แล้วหลงเชื่อ เห็นเป็นจริงเป็นจังตามไป

โดยขาดสติยับยังไตร่ตรอง กระทำเวรภัยต่อกัน ดัง ตัวอย่างที่กล่าวแล้ว เกิดเป็นสายโซ่อันไม่รู้จบ เงา เหล่านี่คือความยึดมันสําคัญหมายในตัว ตน หรืออุปาทานขันธ์ เป็นเหมือนแรงดึงดูดโลกที่ดูด ทุกอย่างให้ตกเข้าหาตัวเอง สิ่งใดที่กระทบกระเทือน สวัสดิภาพของตน ความยึดมันสําคัญผิดตัวนี้ก็จะ ผลักดันเราให้ทําทุกอย่าง บดขยี ทําลายฝ่ายตรงข้าม เพียงเพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของตน ต่อไป เมื่อตัวเรา เข้มข้น เป็นศูนย์ถ่วงใหญ่เหนียวแน่นแล้ว ของเรา ก็ค่อยๆ ขยายขอบเขต กว้างใหญ่ไพศาล ตามไปด้วย ตาสัมผัสอะไรก็อยากได้ไปหมด ได้ยินเสียงอะไรก็เป็นความเย้ายวนน่าปรารถนา ประสาท สัมผัสทั้งห้า คือ ตา หู จมูก ลิ้น และกายสัมผัส กลายเป็นทวารแห่งความร้อนรุ่มกลุ้มคิด กลายเป็น กองไฟ เผาผลาญความสงบผาสุกของจิตใจตนเอง เมื่อเผานานๆ เข้า ไอร้อนจากใจของเราก็รำเพย พัดไปเผาลนสิ่งรอบข้างให้ปราศจากสุขตามไปด้วย ผลที่สุด เรากลายเป็นตัวอันตรายสำหรับทุกชีวิตที่ บังเอิญ ผ่านมาเกี่ยวข้องด้วย ธรรมของพระพุทธองค์สอนให้ดับที่เหตุ ฝึก เจริญสติให้เร็วเท่าทัน เพื่อกั้นกางจิตออกจากความ ยึด ความหลงผิด ถ้าสติไม่เพียงพอ เราจะขาดภูมิคุ้มกัน ทำตัวเป็นกระจกสะท้อนการกระทำที่เราคิดว่าผู้คนรอบข้างกระทำต่อเรา ผลที่สุด ตัวเองเลยกลายเป็นความชั่ว ความผิด ความบกพร่องเหล่านั้นไปโดยไม่รู้ตัว เกิดเป็นห่วงอันใหม่ของปฏิกิริยา ลูกโซ่ ไม่รู้จบ เมื่อเป็นเช่นนี้ จิตของเราก็กลายเป็นส่วน ประกอบของโลกคือผู้คนรอบข้างไปโดยไม่รู้ตัว เมือ โลกกระทบกระเทือน เราก็เดือดร้อน หวั่นไหวตาม
ไปเหมือนดาวนพเคราะห์แปรตามระบบสุริยจักรวาลสติที่ได้ฝึกจนเจริญถึงระดับหนึ่งจะพาใจให้เกิด ปัญญา เบือหน่ายต่อการปล่อยตัวเองให้กระดอน
กลิ่งไปกลิ่งมาตามกระแสของสิ่งแวดล้อมรอบตัว ไม่ ว่าเราจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ เสียเปรียบ ถูก ผิด ดี หรือซัวก็ตาม เราไม่เป็นไทแก่ตัว สิ่งสมมติทั้งหลายที่เป็นรูป ปรวนเสื่อมสลาย แล้ววนกลับ เกิดขึ้นใหม่ เหมือน น้ำพอได้ยินคําว่า น้ำเราเกิดภาพพจน์เป็นของเหลว ใส บรรจุในภาชนะ หรือไหลอยู่ตามแม่น้ำ ลำคลอง ทะเล มหาสมุทร น้อยคนที่จะคิดต่อไปว่า น้ำเหล่า นี้ เมื่อถูกลมและแดดพัดเผา ย่อมระเหยเป็นไอลอย ขึ้นไปในท้องฟ้า ครันไอนำสะสมรวมตัวมากขึ้นๆ จนในที่สุดอิ่มตัวกลั่นเป็นหยด น้ำ ตกกลับมาสู่แม่น้ำ ลําคลอง มหาสมุทร เป็น หมุนเวียนอยู่ดังนี้เรื่อยไป ไม่เพียงน้ำที่หมุนเวียนเช่นนี่ สสารทั้งหลายทั้งปวงก็แสดงอาการเช่นว่านี้เช่นกัน แม้สิ่งมีชีวิต ทั้งหลายรวมทั้งตัวเรา ก็ไม่ผิดแผกแตกต่างออกไป
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วขณะ แลัวแปรปรวน เสื่อมสลาย ไปสู่สภาวะดังเดิม แล้วก็ควบคุมเป็นรูปร่าง ถือ กำเนิดขึ้นมาใหม่ ตังอยู่ เสื่อมสลาย รอบแล้ว รอบ เล่า เป็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เทียงแท้แน่นอนอยู่ ใจที่เห็นตามความเป็นจริงดังนี่ จะคลายความ ยึดมั้นสําคัญหมายใน ตัวเรา ของเรา อภัย อโหสิ ต่อกัน เพราะทุกชีวิตล้วนไม่มีสาระแก่นสาร ทุกข์ เพราะการแปรปรวนเสื่อมสลายด้วยกันทั้งสิ้น แม้ ร่างกายของตนก็ไม่สามารถรักษาให้คงสภาพอยู่ ได้ ผลสุดท้ายก็ต้องคืนให้แผ่นดิน แผ่นน้ำ เจ้าของ ดังเดิม เท่าเทียมกันทุกผู้ทุกคน ไม่มีข้อยกเว้น ไม่มี อภิสิทธิ สภาพสังคมที่มนุษย์สร้างขึ้นก็เช่นกัน บาง ขณะสังคมร่มเย็นเป็นสุข ผู้คนมีศีลธรรม พืชพันธุ์ ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ สภาพแวดล้อมร่มเย็น น่าอยู่อาศัย ความสมบูรณ์พูนสุขเร้ามนุษย์บางกลุ่มให้ เริ่มฟุ้งเฟ้อมัวเมาไปตาม รูป รส กลิ่น เสียงสัมผัส และโลกธรรม ปล่อยจิตใจให้ต่ำช้าไปตามอำนาจของ
กิเลสเครื่องเคลือบแฝง กระแสจิตใจที่สั่นสะเทือน ไปตามความถี่ของกิเลส สามารถทำให้เกิดฝนแล้ง ทุพภิกขภัย แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิดได้ เกิดเป็น ภาวะวิกฤตขึ้น สังคมก็เสื่อมโทรมจนพินาศ
และแล้วบุคคลที่เหลือรอดจากหายนะก็ได้สติ ตั้งกายตั้งใจ ประพฤติตัวถูกต้องตามทำนองคลอง ธรรม กระแสของใจที่เป็นธรรมมีอิทธิพลเหนี่ยวนำ สิ่งแวดล้อมภายนอกให้เริ่มร่มรื่น อุดมสมบูรณ์ เกิดความร่มเย็นเป็นสุขขึ้นใหม่ วนกลับมา ณ จุดแรก เริ่ม
ถ้าเราไม่ลืมแก่นคําสอนของพระพุทธองค์ที่ ว่า สิ่งทั้งปวงมาแต่เหตุ และสาวจนพบต้นเหตุใหญ่ คือใจแล้ว เราก็สามารถควบคุมคุณภาพของ เหตุ ที่จะกระทํา ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ให้ยังผล เป็นความปกติ ร่มเย็นเป็นสุข ด้วยการเอาสติ เอามาเป็นเครื่องคุ้มครองแนะสอนใจ ให้เกิด สัมมาทิฐิ เห็นตามสัทธรรม ตามความเป็นจริงที่ ปรากฏอยู่ วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า เป็นความ เที่ยงแท้แน่นอนในความหมุนเวียนแปรปรวนแห่งโลกสมมติ เป็นวิมุตติธรรมที่ซ้อนทับ สงบ เร้นอยู่ ในท่ามกลางสมมติธรรม ที่ฉุดลากสัตว์โลกให้สุข ทุกข์ระคนปนเป เปะปะไปด้วยความยึดมั่นถือรั้น เห็นผิดเป็นชอบ สร้างห่วงของอกุศลกรรมห่วงแล้ว ห่วงเล่า ขึ้นมาเป็นโซ่ตรวนร้อย รัดจองจําจิตใจตน เองให้ตกเป็นนักโทษถูกกักขัง ติดอยู่ในสังสารวัฏฏ์ อันหาที่สุดมิได้ คุณหมอพีร์ได้ใช้คุณธรรมคําสอนของพระ
พุทธองค์เป็นแกนดำเนินชีวิต ทั้งในด้านส่วนตัวครอบครัว และการงาน สมดังคําฉันท์ กฤษณาสอนน้อง ที่ว่า
“พฤษภกาสร      อีกกุญชรอันปลดปลง
โททนต์เสน่งคง    สําคัญหมายในกายมี
นรชาติวางวาย   มลายสิ่นทังอินทรีย์
สถิตทั่วแต่ชั่วดี    ประดับไว้ในโลกา”

หรือจะกล่าวโดยสรุป ก็ว่า เมือมีชีวิต พีร์อยู่ ที่ไหน ใครๆ ก็รักใคร่พอใจ จากไปแล้ว ผู้คนก็อาลัย ร่าไห้ถึง
ชีวิตใคร ใครก็รัก ก็หวงแหน การเลือก ระหว่างหน้าที่ความรับผิดชอบกับความสุขส่วนตัว และครอบครัว เป็นโจทย์ทีต้องการพลังใจและสัมมา ทิฐิอย่างแข็งแกร่ง หนักแน่น เพื่อตอกย้ำให้ใจสงบ ร่างับ เห็นตามเป็นจริงโดยไม่คลอนแคลนว่า สิ่งทั้ง ปวงมาแต่เหตุ ถ้าใจเห็นสภาวะแท้จริงของพุทธะที่ แปดเปื้อนกิเลส ว่าเป็นสารพิษร้ายแรงเพียงใดแล้ว ใจนันจะพากเพียร พยายามทุกวิถีทาง เพื่อขจัด ชำระล้างกิเลสให้หมดสิ้น หลุดตกไปจากใจของตน เพื่อความร่มเย็น ไร้พิษภัยแห่งพุทธะ ได้แผ่พลัง ออกไปเป็นคุณประโยชน์ต่อโลก ต่อสังสารวัฏฏ์ ดุจ แสงหิ่งห้อยในคำคืนมืดมิด สามารถส่องประกาย ฉายทิศทางที่ไปให้แลเห็นได้ หากข้อเขียนนี้ช่วยจุดเปลวแห่งสัมมาทิฐิและ วิริยะในหัวใจดวงใด ที่ได้อ่าน ได้ยิน ได้ฟัง ขึ้นได้ แม้น้อยนิดก็ตาม รวมเข้ากับกุศลผลบุญที่ตัวเองได้ กระทำมาทั้งหมด ขออานิสงส์เหล่านันได้เป็นพลวปัจจัยให้จิตของคุณหมอพีร์ คําทอน เข้มแข็ง แน่วแน่ มันคง ดำเนินต่อไปบนมรรค ตราบจนลูสุขอันเกษม

พิมพ์โดย  ปภัสสร  มีพงษ์
แหล่งที่มา  http://web.krisdika.go.th/buddha/12_died.pdf

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Back To Top