Header Ads

วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2561

บทความหมออมรา วัฏฏะ

บทความหมออมรา
วัฏฏะ


ชื่อผู้เขียน       พญ อมรา มลิลา
วันที่              วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2546
ณ                 ชมรมพุทธธรรม โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
หมวด
อันดับที่     

   หัวข้อที่เราจะพูดในวันนี้คือเรื่อง วัฏฏะ วัฏฏะนี้ ความหมายก็คือ การหมุนเวียนไป วัฏฏะคืออะไรที่หมุนเวียนเป็นวงกลม ส่วนใหญ่พอพูดถึงวัฏฏะ เราจะนึกไปถึงสังสารวัฏ หรือการเวียนว่ายตายเกิดทำไมเราถึงมาพูดเรืองวัฏฏะกัน ก็เพราะ ว่าชีวิตของเรา ที่เราทุกข์ เราเกิด เราตาย เรา เป็นอยู่กันทุกวันนี้ ท่านว่าทังหมดเหล่านั่นคือวงที่จะเรียกว่า สงสารวัฎ ก็ได้ เรียก ไตรวัฏ ก็ไดเป็นวงเวียนที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจของกิเลสที่เรารู้ไม่เท่าทัน ตัวสำคัญกิคือ อวิชชากับอุปาทาน มาบดบังจิตใจ ทำให้เราเกิดความยึดมันสำคัญผิด แล้วไปคิดปรุงเป็นจิตสังขาร เวียนวนซ้ำ แล้วซ้ำอีก เหมือนกับว่า ชีวิตของเรา จิตใจ ของเรา เกิด-ตาย เกิด-ตาย ไม่รู้จบรู้สิ้น เรา เลยไปทึกทักเอาว่า เราเวียนว่ายตายเกิดแต่ถ้ามองให้จริงจัง มองในแง่ของใจ ใจ ไม่ได้เวียนว่ายตายเกิด ใจอุบัติขึ้นแล้วก็คงอยู่ ถึงร่างกายจะหมดลมหายใจ ตายไป ใจก็ไม่ได้ ตาย ใจยังรู้อยู่ ยังรับรู้ รับทราบ เคยทุกข์อยู่ แค่ไหนก่อนหมดลมหายใจ หมดลมหายใจแล้ว กายหยาบผุสลายไป กายละเอียดที่เป็นใจก็ยังรู้ เท่าเดิม ไม่มีขาดตกบกพร่องไปเมื่อกายละเอียดหรือ ใจ ยังรู้อยู่เท่าเดิม สุขแค่ไหน ทุกข์แค่ไหน เหมือนเราทำงานยัง ไม่เสร็จ เหมือนเมื่อคืนนี้เราทำๆอยู่เราง่วงนอน ก็เข้านอน หลับไป ถ้าดูจากแง่ ร่างกายก็ว่าเราตายไป ขณะที่ใจรู้สึกเหมือน หลับไป รุ่งเช้าตื่นขึ้นมา คือใจไปก่อร่างใหม่ สร้างกายหยาบใหม่ ก็เหมือนเกิดใหม่ถ้ามองในแง่กายหยาบ เราก็ว่าเจ้านี่เกิด ใหม่ ชีวิตของคนเราล้วนเวียนว่ายตายเกิด แต่ ความจริง ใจไม่ได้เวียนว่ายตายเกิด เพียงแต่มัน้ปลี่ยนเสื้อผ้า เปลี่ยนบ้านที่อยู่อาศัย แล้วเราก็ไปหมายตามบ้านที่สร้างขึ้นใหม่หรือผุพัง ไป แต่จริงๆ คนทีอยู่ในบ้านเป็นคนเดิมทีเคย ทำอะไรเอาไว้ ยังไม่แล้วใจเรื่องอะไร ก็ยัง รู้สึกอย่างนั้นอยู่ไม่รู้ลืม ถ้าเข้าใจตรงนี่เราจะได้ระมัดระวัง เพราะ หลายท่านไม่ยอมเชื่อว่าใจไม่ตายไปพร้อมๆ กับ ลมหายใจที่หมดไป ร่างกายผุสลายไป ใจก็เลยเหมือนนักเสียงโชค ใครว่าบาปมี นรกมี มันก็.. มีที่ไหนกัน เราจะไปงมงายให้เขาหลอก ให้เรา ขาดผลประโยชน์ทําไม ไม่ได้ด้วยเล่ห์เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์เอาด้วยคาถา ไม่ดีกว่าหรือผู้คนจึงได้กล้าที่จะทำอะไรซึ่ง...ถ้าเผือเรา เชื่อว่าใจเป็นสิ่งไม่ตาย อะไรที่เราทำเอาไว้จะต้องกลับมาให้เราเจอะเจอ เหมือนเด็กเอาลูก ฟุตบอลขว้างไปที่กำแพง กำแพงแข็งแค่ไหน มันก็จะเด้งลูกฟุตบอลกลับมากระแทกเราแรง เท่านั้น ไม่ใช่ว่าเราเด้งลูกฟุตบอลใส่กำแพงแล้ว ลูกฟุตบอลสูญหายไป แรงที่เราเด้งไปใส่กำแพง ทำให้คนอื่นล้มแล้วก็จบกัน เราไม่ต้องได้รับผล ไม่ใช่ ตามหลักธรรมที่พระพุทธองค์ทรงพบจาหความเป็นจริงที่ปรากฏ อะไรที่เราทำลงไปย่อม กลับมาเป็นผลตอบสนองเราเท่านั้น ถ้าใจใคร เห็นตรงนี้ ยอมเชื่อตรงนี้ ใจนั้นก็จะไม่ประมาท ไม่ทำร้ายตัวเองด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์การที่เราถี่ถ้วนกับการกระทำ คือกรรม ของเรา ให้เป็นแต่กุศลกรรม จะไม่ทำอกุศล กรรมเป็นอันขาด เพราะว่าที่เรานึกว่าเราได้ เปรียบ ความจริง กลับเป็นว่าเราไปโกงตัวเรา เอง เสร็จแล้ววันหนึ่ง เราก็ต้องชดใช้สิ่งที่เรา เอาไปโดยไม่ชอบธรรมเมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้ว เราจะได้มาพิจารณา ว่า วัฏฏะ...สังสารวัฏ ที่พาเราเวียนว่ายตายเกิด นั้น บริหารใจของเราอย่างไร ท่านอาจารย์สิงห์ทองท่านเปรียบเทียบใจคนเราเอาไว้เหมือนที่สวน ใจแต่ละคน แต่ละคน เปรียบเหมือนที่สวนคนละฝัน ๆ เราแต่ละคนต่างก็เป็นเจ้าของสวน ก็จะหาเม็ดพันธุ์ต่างๆ มาปลูกในสวนของตนถ้าเรารอบคอบ เราเป็นชาวสวนทีเข้าใจ ธัมมะเราก็จะเชื่อว่าเม็ดพันธุ์แต่ละเม็ดที่เลือกมาหว่านตัองเป็นเมิดที่เป็นกุศล สิ่งที่ทำไป...การกระทำคือกรรมที่เราประกอบนัน จะ เป็นกุศลกรรม เป็นเสบียงของเรา เราก็จะใฝ่ ใจรักษาศีล ทําทาน พยายามให้ใจมีสติรักษา เพื่อใจจะได้อยู่เป็นปัจจุบัน ไม่ฟุ้งซ่านไปในอดีต ไปในอนาคต อะไรทีเราทำ ก็จะอยู่ในลู่ทางที่ดี ทำให้ใจผ่องใส ใจเบิกบาน ต่อไปก็เริมคม ไวอะไรที่ทำถ้าจะผิดพลาด สติก็จะเตือนให้ฉุกใจ ว่า เอ๊ะ...ควรทําหรือเปล่า วันเวลาทีผ่านไปก็จะพัฒนาชีวิตของเราไปเรื่อยๆอย่างทีได้เรียนให้ทราบ เราเป็นเจ้าของสวนแปลงนี้แหละ และเราก็ขยันหว่านเม็ดพันธุ์ ลงไป ทําไมดิฉันจึงใช้คําว่าเราขยันหว่านเม็ดพันธุ์ลงไป เราจะยังไม่พูดถึงการกระทำหรือคำ พูด มาดูแค่ความคิด ปกติถ้าเราไม่ได้ภาวนา ไม่ได้จดจ่ออยู่กับสิ่งเฉพาะหน้า มีเวลาไหนบ้าง ทีเรามองเข้าไปในใจ แล้วพบว่าใจของเราอยู่ นิ่งๆ เฉยๆ ถ้าไม่ใช่เวลาหลับความจริงเวลาหลับ เราก็ไม่มีสติจะเห็นใจของเรา มันก็มีดวีบไปเลย เหมือนชักม่านดำมาปิดแล้วก็ไม่รู้อะไร มารู้ตัวอีกทีเมื่อตื่น ขึ้นมา ตื่นขึ้นมานี้ ไม่มีใครหรอกที่จะมีใจนิ่ง อยู่เฉยๆ มันจะคิดโน่น คิดนี่ บางคนตื่นเช้า ขึ้นมายังไม่ทันจะลุกไปล้างหน้าเลย ใจไปถึงที่ทํางานแล้ว ไปถึงที ๆ นัดกับคนนี่ คนนั้น ไว้แล้ว มันวุ่นอย่างนี้ ใจกับตัวเรานี้ ไม่เคยอยู่ ด้วยกันเลยเมื่อเป็นอย่างนี้ มโนกรรมที่เราหว่านอยู่ ตลอดเวลา หว่านแล้วจึงจําไม่ได้ว่าตัวเองหว่าน อะไรไป แต่จะจำได้หรือจําไม่ได้ ทีสวนอันนี่ก็เป็นสวนที่อุดมสมบูรณ์ หว่านเม็ดอะไรลงไปด้วยตังใจหรือไม่ตังใจ จะงอกทั้งนัน เกิดเป็นต้น ไบ แล้วออกดอกออกผล ออกดอกออกผลมาเป็นอะไร ก็มาเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต ในแต่ละเวลานาทีที่เราประสบอยู่ถ้ามองให้ดี ใจที่รู้ไม่แจ้งไม่จริง กิเลส ด้วยอวิชชา รู้ๆ หลงๆ รู้ด้วยอุปาทาน ความยึดมันสำคัญผิด ก็เป็นสาเหตุให้ใจอยู่นิ่งไม่เป็น เหมือนเรามองอะไรก็มองไม่ชัดเจน เพราะมีเงา ใจเราด้นเดาเอ๊ะ...มันงูหรือสาหร่าย หรือท่อนไม้ ใจที่ด้นเดาปรุงคิดไปนี้ เราก็เรียกจิตสังขาร ตกลงกิเลสกับสังขารนี้เกี่ยวเนื่องกัน เมื่อมีกิเลสมีความรู้ไม่จริง ใจก็นิ่งไม่ได้ ต้องปรุงคิดไปเรื่อย ก็หว่านเม็ดไปเรื่อย เป็น กรรม กรรม กรรม เป็นเหตุให้เกิดผลต่อไป ในอนาคต ให้เราต้องเจอะเจอ ขณะปัจจุบัน เมื่อ ใดที่เราคิด คิด คิด สักพักหนึ่งต่อมา ขณะ ปัจจุบันก็กลายเป็นอดีต เป็นเมื่อวานนี้ วันนี้เม็ดพวกนั้นก็งอกขึ้นมาเป็นลำต้น เป็นเหตุการณ์ทีเราจะเจอะเจอในวันนี้ถ้าเมื่อวานนี้เรารู้ว่าเราควรจะต้องทำงาน ให้เสร็จเพราะวันนี้มีประชุมแต่เราเถลไถล เอาผลงานที่เราทำนั้นมาเสนอในทีประชุม แต่ เราเถลไถล ไม่ได้ทำ อดีตเหตุเราไม่ทำตามที่ควรมัวแต่ว้าวุ่น คิดเอาเอง แต่ไม่ได้ลงมือ ประกอบเหตุจริงๆ ถึงวันนี้ เหตุทีเราเถลไถลไม่ได้ลงมือทำ ก็ออกผลให้พอถึงที่ประชุม ผู้คน ซักถามเราถึงงานทีเตรียมมาเสนอ ไปเก็บผลมาเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งเราไม่ได้ทำ ถ้าเรายอมรับ ตามจริงว่าไม่ได้ทำ เขาอาจจะโกรธเกรียวตำหนิติเตียน เสร็จแล้วก็ว่า ไปทำเสียให้เรียบร้อยเรื่องก็จบแค่นั้นแต่คนบางคน จะรับว่าไม่ได้ทำ ก็จะเสีย หน้าต้องปั้นน้ำเป็นตัว หรือไปแอบดูของคน โน้นคนนี้ เอามาผัด ๆ ยำ ๆ ปะติดปะต่อกันเข้าแล้วก็เสนอประหนึ่งเป็นเรื่องจริงเรืองจัง ทำไป อย่างนั่น เกิดมีคนรู้ว่าจริงๆ เราไม่ได้ทำ เขาก็วิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาเมื่อใจของเราไปรับผัสสะทีเขาวิพากษ์วิจารณ์ ก็เกิดอารมณ์ ไม่พอใจ เป็นกรรมใหม่ที่เรากระทำ จากเหตุเมื่อวานนี้ เหมือนกับลูกบอลที่ขว้างไปที่กำแพง แล้วมันกระเด้ง มาใส่หน้าเรา ผลที่เกิดขึ้น ทำให้ใจ ของเราได้รับแล้วไม่หยุดนิ่ง ต้องเดั้งไปปันเหตุ ใหม่ขึ้นมา เพราะคนเราพอมีอะไรมากระทบหูกระทบใจ กระทบตา เราไม่อยู่เฉย จะต้องมี ปฏิกิริยาโต้ตอบ ตกลงผลของเหตุที่เรากระทำเมื่อวานนี้...เมื่อดีต ก็เป็นลูกโซ่ ทำให้ขณะ เดียวนี้เราถูกกระทบ แล้วเราก็ผลิตเหตุใหม่ ขึ้นมาอีกทั้งผลทั้งเหตุที่อยู่ด้วยกัน ในขณะนี้ ขณะปัจจุบันนี้ คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับเรา แต่ละ เวลานาที ถ้าเราอยู่กับความเป็นจริง เราเถลไถลไป เราไม่ได้ทำงานจริงอย่างที่ถูกตำหนิ เราควรจะรับผิด แล้วเอาสติมาสอนตัวเองให้จำ เอาไว้ อย่าเผลอสติทําอย่างนี้อีกตรงนี้ก็เป็นการเรียนรู้ เป็นการสอนตัวเอง เป็นการปรับเปลี่ยนนิสัยตัวเอง เป็นกุศลกรรม เป็นเหตุที่ดี ต่อไปในอนาคตเราก็จะประสบกับ ผลดี เพราะเราได้ปลูกต้นกุศลลงไปแต่ถ้าไม่มีสติ รู้ว่าผิดแต่ยอมรับไม่ได้ เสียหน้า ฉันจะต้องรักษาศักดิ์ศรีของฉันไว้ เราก็ไปเถียงกับเขาขุนๆ ดีไม่ดี เราก็ยืนยันตาใส เชียวว่า ผลมันเป็นอย่างนีจริง ๆ คนบางคนในทีประชุมนั้นก็หลงเชื่อเรืองทีเราปั้นขึ้นโดยไม่มีหลักฐานอะไรเลย เราก็ประกอบอกุศลเหตุใน ขณะปัจจุบันนี้ เป็นเม็ดที่เราหว่านลงไปใหม่ ซึ่ง จะมีผลให้เราเสวยในอนาคตนั่นคือ แต่ละขณะ...แต่ละขณะ อยู่ในปัจจุบัน เรากำลังยืนอยู่บนทางแพร่งที่เราเลือกหว่านเม็ดกุศลลงไปก็ได้ เม็ดอกุศล ลงไปก็ได้ อันนี่เป็นสิทธิเด็ดขาดของเรา 100% เลย ไม่มีใครมาบังคับเราได้การที่เลือกระกว่างเม็ดกุศล หรือเม็ดอกุศลนี่ถ้าเราฝึกเราให้เราระลึกรู้ อยู่กับความ จริง ฝึกจนสติของเราคมไวพอ ที่เรากระดิกตัวทำอะไรลงไป อย่าให้อัตโนมัติของความเคยชินเร็วกว่าสติของเรา ให้สติเป็นตัวเลือกเฟ้นกรรมที่เราจะประกอบลงไป ถ้าเราทันท่วงทีอย่างนี้เราก็ประกอบแต่กุศลกรรม ชีวิตของเราก็ปลอดภัยอยู่บนมรรค หนทางสู่ความสินปัญหา เราก็เหมือนอย่างกับว่าปฏิบัติตามคำสอนของ พระพุทธเจ้า มรั้วกันภัย ทำให้แน่ใจมั่นใจว่า สิ่งที่ทำลงไปนั้นจะมีผลดีกับตัวเรา เพราะว่าสิ่งที่ทำลงไป เรามีสติระลึกรู้ถ้าใจของเราขณะนั้นยังไม่คมไวพอที่จะมี ปัญญาเห็นชอบที่ถูกต้องแท้จริงทั้งหมด มันก็ ใกล้เคียงกับความจริง จะผิดจะพลาดไปบ้าง หว่านลงไปแล้ว ผลเกิดขึ้นมายังไม่ดีสมใจเรา แต่สติที่ฝึกฝนไว้จะรักษาคุณภาพใจ ให้สงบอยู่ ไม่เหมือนเมื่อเราทำไปโดยสติตามไม่ทัน พอ ผลไม่ดีมากระทบ อัตโนมัติก็กระเด้งไปตามกิเลสเลยเหมือนบางขณะ เราไม่ได้คิดที่จะไปทำ ร้ายใคร แต่เราเจ็บเพราะเขามาทุบโดนหลังเราเข้า เราก็เตะผางออกไป โดยทีสติยังไม่ทันรับรู้รับทราบ ถ้าเป็นอย่างนั้น เมื่อผลเกิดขึ้น จะแก้ตัว จะไม่ฟัง แล้วก็จะไม่เรียนรู้จากผลที่เกิดขึ้นชีวิตเราก็ถูกเวลากลืนกินไปโดยเปล่า ประโยชน์ เพราะอะไรทีเราผิดแล้วก็จะยังผิดอีกอยู่อย่างนั้น ก็จะแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ เพื่อให้เรา ปลอดภัย ซึ่งความเป็นจริงนันคือ ปลอดภัยแบบทีกิเลสยิ่งพอกเราให้หนายิ่งขึ้น ถ้าเป็นอย่างนี้ วันเวลาทีผ่านไป ก็เหมือนเดินวนอยู่ใน วัฏฏะ พายเรือวนอยู่ในอ่าง ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น ไม่มีอะไรที่จะพัฒนาขึ้นแต่ถ้าเราทำไปด้วยมีสติ และเข้าใจตอน ที่ทำไปนันว่า สิ่งที่เราทำดีแล้ว เป็นวิชชาแล้วไม่ใช่อวิชชา แต่ใจของเรายังไม่มีกําลังของ ปัญญาเห็นชอบ ที่ถูกต้อง พอผลเกิดขึ้น มีคน มาตำหนิหรือวิพากษ์วิจารณ์ ใจที่มีสติรักษาอยู่ ก็จะเปิดหูฟัง เปิดใจฟัง เหมือนเราเป็นถ้วยน้ำ ที่ยังว่างเปล่าอยู่ ใครเอาอะไรมาเติม เราก็รับเอาไว้ ไตร่ตรองทบทวนทีเ่ราได้ทำลงไป เรา ว่ามันถูกด้วยเหตุผลอย่างนี้...อย่างนี้... เขาว่ามาเขาว่ามีเหตุผลอย่างนี้...อย่างนี้ มันสอดคล้องกันไหม อ้อ...ตรงนี่นี้เองที่เรามองพลาดไป ถึงได้ทำแล้วเกิดความบกพร่อง ใจก็ปีติ โอ...เราได้รู้ที่ผิดแล้ว แทนที่จะไปโกรธที่เขามาตำหนิ เตียน โอ...ขอบคุณนะครับ ขอบคุณนะคะ ที่คุณช่วยชี้แจ้ง ทำให้เราได้เห็นที่ผิดพลาดเราก็จำเอาไว้ แล้วเอามาพิจารณาไตร่ตรองอีก จนแน่ใจ มันใจว่า ถ้าพรุ่งนี้หรือต่อไปในอนาคต มีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นอีก เรา จะไม่เผลออย่างที่เคยเผลอ เราจะทำตามวิธี ใหม่ที่ได้รู้ได้เข้าใจ ชีวิตก็มีพัฒนาการขึ้นไปเพราะประสบการณ์ที่เกิดขึ้นได้สอนให้เราเรียน รู้จากความผิดพลาด ใจก็ไม่หมองเราเอาความผิดเป็นครู พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ตราบเท่าที่เรายังมีอวิชชา อุปาทานอยู่ในใจ ตราบเท่าที่เรายังเป็นมนุษย์ปุถุชน การทำผิดเป็นของธรรมดา แต่อย่าเผลอทำผิดๆซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะเมื่อผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก มันจะเป็นอาจิณกรรม กลายเป็นนิสัยที่ไม่ดีไม่งามผิดครั้งที่หนึ่ง ถ้าเก่งจริง เพียงครั้งเดียว ตาย้สียดีกว่า ที่จำผิดซ้ำอีกครั้ง ถ้าเราเด็ดเดี่ยวอย่างพระโพธิสัตว์ อย่างพระพุทธองค์ ชีวิตของเราก็จะพัฒนาไป จนในที่สุด พระโพธิสัตว์ก็ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ใจกลับไปเป็นธาตุรู้ที่บริสุทธิ หมดสินวัฏฏะท่านอาจารย์บ อกว่า เอาเถอะ อย่างพวกเรานี่อย่ามุ่งมันถึงว่าผิดครั้งแรกครั้งเดียวเป็นครูเลย อาจารย์อนุญาตให้ผิดได้ ทุติยัมปี ตติยัมปิคือเหมือนอย่างเราสวดมนต์ ยังต้องย้ำแม้ครั้งที่ 2 แม้ครังที่ 3 เราจะไม่หลงตามใคร l ยังจะยึดในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เพราะฉะนัน ผิดแม้ครังที่ 1 เผลออีกครังที่ 2แม้ครั้งที่ 3 ก็จะจําใส่ใจเอาไว้ ไม่ให้ผิดอีกเป็นอันขาด เราก็ค่อยมีกำลังใจขึ้น ไม่อย่างนั้นมันเกร็งไปหมดว่า ผิดครั้งแรกได้ครั้งเดียวเป็นครูถ้าผิดอีกต้องฆ่ากันให้ตายไปเลย เราคงตายไม่ เหลือซากแน่ เพราะขนาดตั้งในใจ ท่านอาจารย์ บอกว่า อย่างนี้...อย่างนี้...เราก็เห็นจริงว่า เออ..เราผิด เราผิด เราผิด ตั้งสติเอาไว้ บางทีท่าน อาจารย์ยังไม่ทันลงจากศาลาเลย ปรากฎว่าสติ หลุด ผิดอีกแล้ว มันเป็นอย่างนี้กันทั้งนั้นแต่ท่านอาจารย์ท่านก็ให้กำลังใจว่า เมื่อสมันที่ท่านฝึกภาวนา ท่านก็เป็นเหมือนกับพวกเราอย่างนี้แหละยิ่งว่าจะไม่ให้ผิดยิ่งรู้สึกเหมือนกับ ว่ามีนิ้วงอกขึ้นมาอีก 2-3 นิ้ว เกะกะยุ่มยามไปหมด ทำอะไรได้ไม่คล่อง แล้วก็ผิดทุกทีแต่อย่าไปท้อใจ บุคคลจะล่วงทุกข์ได้ เพราะความเพียร ผิดแล้วก็ลุกขึ้นมา ผิดแล้ว ไม่ต้องไปคร่าครวญ ไม่ต้องมัวอธิบาย ไม่ต้องแก้ตัว ผิดแล้วก็.. ของมันผิดกันได้ การทำผิดเป็นวิสัยของมนุษย์ เราเป็นมนุษย์ปุถุชน เพราะฉะนั้นมันต้องผิดกันบ้าง ใครไม่ผิดเลยถือว่าผิด ปกติ นึกอย่างนี่เอาไว้ ทีเครียดทีเกร็งจะได้น้อยลง จะได้ไม่เกร็งกับชีวิตของเรา จะได้ตั้งหน้าตั้งตาเกิบประสบการณ์แล้วเรียนรู้วันหนึ่งเราก็พบว่า สติของเราเริมมีประสิทธิภาพ พอจะ เผลอ สติก็มาหัามล้อเราได้ทัน หยุดได้กึกก่อน ที่จะทำอกุศลกรรมลงไปเมื่อเป็นอย่างนี้ ปัจจุบันกรรมที่เราจะ ประกอบเป็นปัจจุบันเหตุตอบสนองผัสสะซึ่งเป็น ผลของอดีตเหตุที่ปลูกเอาไว้ ด้วยความรู้เท่าถึงการณ์บ้างก็เริ่มเป็นกุศล ทั้งนั้น เพราะเหตุจะดีช่วยประคองใจเราให้ทำ ดีหรือเหตุจะไม่ดี แทนที่เราจะหงุดหงิดแล้วถูกพัดตกทะเลไป เราก็เอาสิ่งไม่ดีนั้นมาเป็นหินลับ ปัญญา หมุนปัจจุบันกรรมของเราให้เปลี่ยนทิศทางเป็นกุศลเสีย เราก็แก้ไขอนาคตได้ เราเริ่มต้นทำเหตุที่ไม่ดีเอาไว้ มันออกลูกมาเป็น อกุศลผล สติจะรักษาให้เราไม่หงุดหงิดใจ l เอาใจไปเป็นเขียงให้อกุศลผลนั้นมาทุบให้ชอกช้า แต่เอามาเป็นหินลับสติปัญญา หมุนให้สิงทีเรา จะทําในปัจจุบันเปลี่ยนทิศทางเป็นอโหสิกรรม เป็นอภัยทาน เป็นการเข้าใจถูกต้อง เป็นกุศลเราเปลี่ยนวัฏฏะให้เป็นมรรค อดีตเราประกอบอกุศลเหตุไว้ พอปัจจุบันได้อกุศลผลขึ้น แทนที่เราจะขาดสติทำอกุศลเหตุใหม่ เราเอาอกุศลผลอันนีมาเป็นครู ให้เราประกอบกุศลเหตุ ในปัจจุบัน ทางของเราเปลี่ยนทิศ จากที่เดินเข้ามาเข้ามรรคถูกแล้วเพราะฉะนั้น ปัจจุบันตรงนีเราขยับขึ้นมาสู่มรรค ใจเราก็สบาย เพราะเมดพนธุทหวาน ลงไปใหม่ เป็นเม็ดพันธุ์ที่เลือกสรรแล้วด้วยสติ ระลึกรู้ตามเป็นจริง เราก็ไม่กังวลว่า
เจอเรื่องร้ายหรือเรื่องดีถ้าเจอเรื่องร้ายแปลว่ายังเป็นเม็ดของเก่า ซึ่งจะเบาบางลงไปเรื่อยๆ เพราะเราได้เริมประกอบเหตุที่ดีแล้ว ถ้าโชคดีเหตุดีทีประกอบไว้สด ๆ ร้อนๆ งอกเร็ว ออกดอกออกผลเป็นเรื่องที่พรุ่งนี้เราจะเจอะเจอเราก็ชื่นใจ เห็นไหม ทำดีได้ดี แต่ถ้าทำดีแล้วพรุ่งนี้เราเจอผลชั่วๆ เราก็ไม่ท้อใจเพราะว่าเหตุ ไม่ดีเก่าๆ ที่ทําไว้ยังไม่หมดไป ก็ยังส่งผลตกค้างตามมา แต่ใจเราก็มีกำลังใจแล้วว่า ยิ่งโผล่มาบ่อยก็จะเหลือน้อยลง ๆ โอกาสที่จะเจอสิ่งดีมีเพิ่มขึ้นใจอันนี้ก็มีกำลังใจ มีความมั่นใจหนทางที่จะไปก็เริ่มเป็นหนทางที่ใจไม่ระส่ำระส่ายไม่ฟัง ปรุงเป็นจิตสังขารที่ก่อกวนตัวให้วุ่นวาย เราก็ เริ่มมีใจทีสบาย ๆ ถึงไม่ตั้งสติคอยกำหนดให้ เป็นปัจจุบันอยู่กับคำบริกรรม หรือจ่ออยู่กับ หน้าที่การงาน ใจก็สงบ สบายๆ มีความเบาใจว่า ฉันก็รู้วิธีเลี้ยงใจเลี้ยงกายให้สบาย เพราะได้พบ ได้ลองทำแล้วเมื่อเป็นอย่างนี้ ถึงไม่ได้ตั้งใจภาวนาก็ เหมือนภาวนา เพราะสติที่คอยพยายามให้ระลึก ให้ตัวกับใจอยู่ด้วยกัน ใจก็เป็นปัจจุบันโดยไม่รู้ตัวกรรมที่ประกอบเป็นกุศลกรรมเพิ่มขึ้น….เพิมขึ้น...เพิมขึ้น เกิดความเบาสบายของใจ ใจ เป็นธาตุรู้ แม้เราทำสิ่งที่เป็นอกุศลลงไป แล้ว เราบอกไม่รู้. ไม่รู้ ถ้าเพ่งมองลึกลงไปในส่วน ที่เป็นจิตใต้สำนึก จิตไร้สำนึก มันรู้ แตสติยังเบาบาง ยังไม่ตื่นตัวทีจะรู้ชัดแจ้ง มันรู้คล้ายๆมีอะไรเตือน มีอะไรกระซิบบอก ...มันไม่ดีนะถ้าเราคมไว เราไม่ปฏิเสธความรู้สึกอย่างนี้ ก็จะเป็นการช่วยให้สติมารักษาใจได้รวดเร็วขึ้นมีหลวงปู่ท่านหนิง ท่านอ่านหนังสือไม่ออกแต่ศรัทธาในพุทธศาสนา บวชแล้ว ท่านก็พยายามรักษาองค์ท่านให้อยู่ในธรรมวินัย
ไม่ให้ผิด ไม่ให้อาบัติ ช่วงสงครามโลกครังที่ 2สบู่เป็นของหายากมาก ขณะที่ธุดงค์ไป วันนั้นท่านจะสรงน้ำที่ลำธารซึ่งตลิงเป็นทราย ท่านก็ เสียดายว่า ถ้าเอาสบู่วางลงไป มันจะติดเม็ดทราย ต้องไปล้างน้ำให้เสียเนื้อสบู่โดยใช่เหตุก็คิดว่า เราเด็ดใบไม้มารองสบู่ จะได้ไม่เปื่อนเก็บไว้ใช้ได้ทนขึ้น ขณะที่ท่านกำหนดจะเด็ด ใบไม้ พอมือแตะใบไม้ ท่านรู้สึกเหมือนถูกไฟ ช้อต ท่านก็รู้ละ สิ่งที่กำลังจะทำคงไม่ถูกต้อง ตามธรรมวินัย ท่านจึงเปลี่ยนไปหาอะไรที่พอ จะเอามาใช้รองสบู่แทนพอจบกิจวันนั้น ท่านจะจำวัดคือจะนอน ท่านทำสมาธิแล้วเอาเรื่องจะเก็บใบไม้มาพิจารณาเมื่อใจลงรวมเป็นสมาธิ ก็เกิดความรู้ขึ้นมาในใจจะเป็นเสียงหรือเป็นความรู้ ท่านแยกไม่ได้ชัดเจนแต่เป็นความรู้ขึ้นมาว่า พระภกษุพราก ของเขียวจากต้นไม่ได้ ซึ่งท่านก็คลับคล้ายคลับคลาขึ้นมาว่าเคยได้ยิน เคยรู้จากที่ไหน จะเอา หนังสือพระวินัยมาอ่าน ท่านก็อ่านหนังสือไม่ออก ก็เก็บความสงสัยอันนี่เอาไว้จนกระทังธุดงค์เข้าไปในเมือง แล้วไปพบครูบาอาจารย์องค์ที่แม่นในพระวินัย ก็ไปขอ โอกาสเล่าถึงเหตุการณ์ทีเกิดขึ้น ขออาจารย์ ช่วยอธิบาย พระองค์นันก็สอนพระวินัยว่า พระภิกษุพรากของเขียวจากต้นไม่ได้ เป็นอาบัติท่านก็ได้ความมันใจขึ้นมาว่า แม้นจะไม่รู้ เรามี
อวิชชาครอบงำใจอยู่ แต่ถ้าตั้งใจปฏิบัติจริงๆ จิตผู้รู้อันนี่มันรู้ แต่สติที่ยังไม่เต็มบริบูรณ์ ทำให้เราไม่สามารถเอาความรู้นี้มาป้องกันตัวเองได้ทันท่วงที แต่ถ้าเราเอื้อเฟื้อกับสิ่งที่แวบขึ้นมาหรือมีปรากฏการณ์อะไร ที่อยู่ดีๆ รู้สึกเหมือนแขนถูกไฟช้อต ก็อย่าไปคิดว่า... บ้า แล้วดึงด้ ด้วยอุปาทานยึดมั่นทำไปตามที่เราว่าจะทําให้จง ได้เราหยุดไว้ก่อน ธัมมะก็สามารถคุ้มครองให้เรารอดปลอดภัยจากการจะทําสิงที่ผิด แล้วเป็นหนีสินกับตัวเองได้ถ้าทุกคนเอื้อเฟือต่อจิตไร้สำนึกซึ่งพยายาม อย่างยิ่งที่จะเตือนเรา ปลุกเรา ให้รู้ ให้แสวงหา ค้นคว้า พิจารณา ไตร่ตรอง หรือไปหาผู้รู้ทีจะ อธิบายให้เราเข้าใจ เราก็จะประหยัดการที่จะ ต้องเรียนรู้จากความผิด และชดใช้หนีสิน กระทั่งหลังอ่านไปเลยเวลาที่ถูกกิเลสครอบงำอยู่ตัวดิฉันเองก็ที่หนึ่งเลย ทั้งๆ ที่รู้ว่าวันจันทร์กับวันศุกร์เป็นวันที่คนไข้เยอะ ออกตรวจคนไข้ในวันเหล่านี บางทีเรากลายเป็นหมาบ้า เป็นนางยักษ์นางมารไปโดยไม่รู้ตัว ก็ตั้งใจเอาไว้แล้วว่า ตั้งแต่นีต่อไป วันจันทร์กับวันศุกร์นี่จะพยายามอย่างยิ่งที่จะใส่เกราะให้ตัว ถ้าไม่จำเป็นก็รูดซิปปากเอาไว้ ยิมท่าเดียวแล้วฟังคนไข้พูด ก็ซ้อมกับกระจกเอาไว้เป็นอันดิบอันดีว่าไม่ยากหรอกทำได้แต่พอถึงเวลาเข้าจริง ๆ รายที่หนึ่งก็ยิ่ง ยิ้มไหว พอรายที่ 10 นี่น๊อตซักหลวมแล้ว แม่คนไข้บ่นว่าเข้าหน่อย เป็นทำนองว่า เฮ้อ..ยาที่คุณหมอให้ไป สงสัยเป็นยาหมดอายุแล้วกระมัง ลูกฉันกินเข้าไปจนหมดแล้วก็ยังไม่เห็นดีขึ้น เราก็ซิปแตก แลวคุณำตามี่ทัฉนบอก หรือเปล่า ก็จัดการไล่เบียเขา อย่างโน้นอย่างนี้พอเขาขึ้นเสียงกับเรา เราก็บรรเลงเลย นคุณจะ มาเป็นหมอหรือฉันเป็นหมอกันนี ท้าทายเขาอีก แล้วก็ส่งเสียงกำหราบสำทับเขาต่อ ฟังสิ คุณ ฟัง.. ถ้าคุณจะมาเอาตามที่คุณต้องการ ก็อยู่ที่บ้านกับลูกคุณสิ มากวนเวลาฉันทำไม เพราะโมโหหิวข้าวด้วย บ่ายโมงจะครึ่งแล้วคนไข้ก็ยังไม่หมด ฤทธิเราเลยเป็นอย่างนี้บางทีกำลังทำเสียงไม่น่ารักอย่างนั้น สติก็ขึ้นมาว่า อ้าว... ไหนกับกระจกบอกว่าเราจะเรียบร้อย เราจะยิ้ม เราจะฟังเขา จะไม่ไปก่อ วิวาทกับเขา แต่กิเลสมันเสียมว่า ไหนๆ ก็ก่อ แล้ว หยุดตอนนี้ไม่ได้ เสียศักดิศรี ต้องก่อต่อ ให้จบมันเป็นอย่างนี้กันทั้งนั้น เพราะฉะนั้น แรกหัดใหม่ ๆ อย่าได้คิดเลยว่าทำแล้วจะสำเร็จทันที คราวนี้รู้ตัวเ่มือก่อไปครึงหนึงแล้ว ก็หยุด เสียตรงนั้น ท่านอาจารย์สอนว่า คนที่ชนะตน เองได้นั้น วิเศษกว่าชนะคนอื่นเป็นหมื่นแสนแพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร หยุดเสียตรงนั้น ถ้าขอโทษยังไม่ออก ก็หยุดเฉยๆ เหมือนกับอยู่ ดีๆ หนังขาดกลางคัน แล้วตังสติฟังเขาต่อไปฟังท่านอาจารย์แล้วรู้สึกยาก.. คงทำไม่ได้ แต่หลังจากที่มีประสบการณ์ว่า เมื่อบรรเลงต่อจนกระทั่งจบแล้วนี้ ผลเสียหายมันมากมาย มหาศาลแค่ไหน เราเองก็เหนือยสะบักสะบอมเพราะฉะนั้น ลองหยุดให้ได้สักทีแต่….ขณะที่ปากหยุดนี ใจไม่ได้หยุดหรอก มันปรุงไปต่างๆ นานา นี้จะเสียหน้าไปแค่ไหนนะ คนไข้จะดูถูก ดูหมิ่นเราหรือเปล่า ล้วนเป็นจิตสังขารทั้งนั้น กิเลสวัฎหมุนอยู่ในใจเราเป็นลูกข่างเลย ครั้น เราหยุดได้ คนไข้ซึ่งกำลังตังท่าว่า ถ้าคุณหมอแผดเสียงขึ้นมา ฉันจะวางลูกลงแล้วสู้กันเลย เขาก็ชะงัก แล้วกลับขอโทษ... ขอโทษหมอด้วย เออ...ได้ผลตรงกันข้าม เราก็..เอ้าว เขาเริ่มต้น ขอโทษก่อน เรก็เริ่มอาย ...เออ ฉันก็ต้องขอ โทษคุณด้วย ที่เหนือยแล้วเลยเหลวไหลไปตกลงก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันเมื่อเป็นอย่างนี้เราก็ชื่นใจว่า จริงๆ แล้ว คนทุกคนอยากทำดีกันทั้งนั้น อยากให้คนอื่นรัก ตัวด้วยกันทั้งนั้น แต่เราแปลผิด ไปคิดว่าการ ที่เรารักตัวเรานี้ ไม่ได้ เราต้องเป็นพันธมิตร กับกิเลสเอาไว้ จะต้องมีศักดิศรี มีอย่างโน้น อย่างนี้ ซึ่งล้วนแต่บ้าทั้งนั้น ก็เลยทําให้เจ้าตัวเหนื่อย เพราะแบกกิเลสเอาไว้หนักหน่วงไปหมด พอเราเริมอยู่กับความจริง อยู่กับสติ และเป็นตัวของเราที่แท้จริง ไม่ใช่ตัวของกิเลส ใจก็นุ่มนวล ไม่ต้องเอาของแข็งชนกัน แล้วก็ค่อยประนีประนอมต่างคนคนก็ต่าง...ฉันผิดเองขอโทษนะ ต่างก็ถอยออกจากกัน เกิดความโล่งโถงโปร่งสบาย จะมองอะไรก็เห็นได้ชัดเจน และแก้ปัญหาได้ตรงตามความเป็นจริงขอให้เริมปฏิบัติกันเถอะ อย่าอ่านแต่ ทฤษฎีหรือฟังแต่เรื่องของคนอื่นอย่างเดียว จะ ไม่เป็นผล เป็นอาหาร ให้ใจเรามีกำลังเมื่อทำอย่างนี่ได้ พฤติกรรมก็เปลี่ยนไป ทีแต่ก่อน เคยเหวี่ยงออกไปทีไร เป็นต้นอกุศลทุกที คราวนี้เหวียงออกไป กลายเป็นตันกุศลขึ้นมาแล้ว เมื่อเอาชนะใจของเราได้หนหนึ่งนี่ ผลทีเกิดขึ้น เป็นเหมือนอาหารให้ใจเกิดปีติสุขและสงบ l รสของอาหารใจตรงนี่คอยเตือน อย่าให้เราเผลอทำอย่างทีกิเลสเคยพาทำ เราก็เลิกปลูก ต้นอกุศลตัวดิฉันเอง ที่ครูบาอาจารย์ว่า อวิชชาคือความผ่องใสอย่างยิ่งนี้ ถนัดนักเชียว พอมีเรื่องอะไรที่เขาจะว่าเราผิดนี้ จะต้องอธิบาย ในใจ ของเราคิดว่า เรากำลังอธิบาย เพราะมนุษย์มีภาษาที่สือความหมายกันได้ เพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดให้เป็นความเข้าใจถูก แท้ที่จริง ท่านอาจารย์บอก นั่นแหละ มันเรียกตั้งต้นแก้ตัว เราอธิบายว่า เพราะอะไร... อะไร... อะไร แต่ พูดแล้ว คือฉันถูกทั้งนั้น ทำให้อีกฝ่ายกัดฟัน กรอดว่า คุณพูดอย่างนี้แปลว่าคุณปรักปรำว่า ผมผิดขั้นหรือ เราก็ว่าเรายังไม่ได้ล่วงล้ำก้ำเกิน เข้าไปถึงเรื่องของเขาเลย เราพูดแต่เรื่องของ เรา แต่...ก็เหมือนยกตนข่มท่าน เพราะฉะนั้น พูดเท่าไหร่.. เท่าไหร่.. เท่าไหร่ ฉันก็ถูกไปหมด คู่กรณีนั้นมีอยู่ 2 คนเมื่อคนหนึ่งถูก อีกคน
ก็ต้องผิดไปโดยปริยายกิเลสทีครอบครองหัวใจเรา จะพาให้เรา ทําอย่างนี้ ท่านอาจารย์ท่านจึงบอก ไม่ต้องพูดมีอะไรเกิดขึ้นแล้ว ให้สงบ ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งพูด เราก็เปิดหูฟัง เพราะถ้าเราเป็นนก เราบินไป เราว่ามันถูกต้อง แต่ที่เราปรักปรัาว่าเขาผิดนี่ เขาเป็นปลา เขาก็ต้องว่ายน้ำ เขาอธิบายให้ฟังเขาก็ถูกต้อง ถ้าเราเปิดหูฟัง เราจะได้เรียนรู้เพิ่ม การฟังคนอื่นเราไม่ขาดทุนหรอก มันว่าขาดทุน เพราะเขาจะมีบทบาทสำคัญกว่า เรา ตัวเรานี หงุดหงิด งุนง่านไปหมดเลยพอเราเริ่มเปลี่ยนทิศทาง ถ้าเมือก่อนเราเป็นโรงงานผลิตทุกข์ เลี้ยวไปทางซ้าย ส่วนมรรคเลียวไปทางขวา เพราะฉะนั้นเราต้องกลับทิศทาง อะไรที่เคยทำ ถ้ามันผลิตแต่ทุกข์ เราต้องหันกลับ ไปทางตรงข้าม ช่วงแรกนี้ หันหลังกลับทีไร สติหลุดทุกทีทำให้เรากลับไป
อีกรอบหนึ่ง จนกระทังเป็นโรงงานผลิตทุกข์ไป อีกแล้ว แต่ถ้าเราเข้มแข็งต่อตัวเองจริง ๆจนกระทัง เข้าสู่มรรคได้จริงๆ ผลที่เกิดขึ้นเป็น ความซินใจ จนเราติดใจในรสชาติของมรรคคราวนี้ เรากหลุดจากวัฏฏะ กิเลสวัฎ กรรมวัฏ ที่หมุนเป็นไตรวัฏ ส่งผลไปเป็นวิบากวัฏ ซึ่งกิเลสเป็นเหตุพาให้เราประกอบกรรมม่ดี เป็นอกุศล แล้วผลิตลูกที่เป็นอกุศลวิบากออกมา กระแทกให้เราตกเป็นขี่ข้าของกิเลส อีก ประกอบอกุศลกรรมใหม่อีก มันหมุนใจเรา เป็นวัฏฏะ วนอยู่อย่างนี้เปรียบเราเป็นเหมือนลิงที่คนเขาทอดแห แล้วสำคัญว่าฉันก็ทอดเป็นเหมือนกัน พอชาวประมงไปธุระ ลิงก็ไต่ลงไปในเรือ และ เอาแหกางอย่างชาวประมง แต่ลิงทําไม่เป็นเลยถูกแหพันตัวตกลงไปในน้ำกับแห แหแทนที่จะกางออก กลับรวบพันตัวลิงที่ดินขลุกขลักๆ อยู่จนจมน้ำตายเราก็เหมือนกัน ถูกกิเลสวัฏ กรรมวัฏ วิบากวัฏเป็นแหคลุมเรา วิ่งขลุกขลักๆ ในนี้ ไม่ไปไหน อยู่ในสังสารวัฏอันหาที่สิ้นสุด ไม่ได้ เกิด-ตาย เกิด-ตาย วนอยู่อย่างนี้ แต่ถ้า เราเริ่มปฏิบัติอย่างที่คุยกันมา สติเริ่มมีผลมี ประโยชน์ เริ่มแรกเราก็ถูกกิเลสหลอกให้ปรุง คิด ทําแต่อกุศลกรรม เกิดเป็นต้นอกุศลขึ้นมา มีลูกอกุศลออกมาให้เราต้องทุกข์เดือดร้อน แต่ เราก็ฝึกสติไว้ดีแล้ว ก็นี่มรดกที่เราทําให้ตัวเรา เอง จะไปบ่นกับใคร จะไปว่าใครอยุติธรรม เอา ตรงนี้มาเป็นหินลับสติปัญญาเรา เรากลับทิศทาง แทนที่จะวนอยู่ในโรงงานผลิตทุกข์ เราก็ ออกไปสู่มรรคได้เหตุใหม่ที่เราจะประกอบในปัจจุบันเพื่อตอบ สนองลูกอกุศลที่มากระแทก เรายั้งมือไว้ ไม่ทําไปตามอัตโนมัติ แต่ทําตามทีได้คิดไตร่ตรอง จนเป็นปัญญาเห็นชอบแล้ว เรากิหว่านเม็ดกุศล ลงไป ต้นที่ขึ้นมาก็เปลียนคุณภาพ เป็นต้นกุศล ลูกที่จะออกมาเป็นผลในอนาคตให้เรา ก็เปลี่ยนทิศทางกลายเป็นสิ่งที่เราชื่นชอบ เราเบาเนื้อเบาใจราก็ตัดวัฏฏะให้มีทางออกแล้ว ถ้าสติยัง เข้มแข็งอยู่เรื่อย ๆ วัฏฏะที่หมุนวนพาเราเวียนว่ายตายเกิดอยู่ไม่รู้จบ ก็จะถูกสติง้างเส้นรอบ วงออกเป็นเส้นตรงของมรรค ชีวิตก็เบาสบายขึ้นเรื่อย ๆ อะไรที่เคยคิดว่า ทําไมถึงต้องเป็นเราแล้วก็ไปอิจฉาตาร้อนคนอื่นว่า ที่เขาไม่เห็นทําอะไร ทําไมเขาถึงสบาย เราก็เลิกมองเขาให้ เสียเวลา เรามามองเราดีกว่า สำรวจใจของเรา เรายังมีต้นหญ้าคาอยู่ตรงไหน มีต้นหนามอยู่ ตรงไหน เราจำเอาไว้ว่า เราไม่ปลูกอีกแล้ว ต้น หญ้าคา ต้นหนาม ส่วนทีมีอยู่ ทําอย่างไรเรา ถึงจะเปลี่ยนให้เป็นต้นบณต้นกศลได้ จะไปแลกกับใคร หรือไปทําอย่างไร หรือว่าหาวิธีเดินโดยที่ถึงมีต้นหญ้าคา ตนหนามอยู่ เราก็ไม่ไปถูกมันเกี่ยวถูกมันบาด นี่ก็คือการอยู่ในโลกนี้ด้วยความมีสติ สัมปชัญญะ ปัญญา เพราะว่าเราไปแก้ไขโลกนี้ ไม่ได้ แต่เราก็ไม่จําเป็นต้องเอาตัวเราไปเป็น เขียงให้โลกนีมาสับ หรือมาทับเราจนกระทัง เราแหลกไปเลย เราใช้สติปัญญาที่มีอยู่นั้นมาคุมครอง มาเป็นเครื่องที่จะทําให้เราอยู่ในโลก โดยที่โลกนี้ไม่สามารถมาทําให้เราทุกข์เดือดร้อนเราอยู่อย่างไร เราก็อยู่โดยที่ว่า โลกนี้จะดี จะร้าย จะน้ำขึ้น น้ำลง อย่างไรก็ตาม พระพุทธองค์ตรัสว่า โลกธรรมเป็นเหมือนอย่างกับลมพายุเป็นไปไม่ได้ที่เราจะอยู่ในโลกนี้ แล้ว ลมจะพัดอ่อนๆ เย็นสบายทั้งวันทั้งคืน ทุกอย่างเป็นไตรลักษณ์ ต้องมีดีบ้าง เลวบ้าง มีสลาตันบ้าง มีลมดีๆ ให้เราชื่นใจบ้างลมสลาตันคืออะไร คือคำวิพากษ์วิจารณ์ นินทาว่าร้ายทําให้เราทุกข์ ให้เสือมลาภ เสือม ยศ อนิฏฐารมณ์ทั้งหลาย เหมือนระดับน้ำที่ลดลง จนกระทั่งถึงขี้เลนขี้ตม ตอทั้งหลายผุดโผล่ ขึ้นมา ส่วนเวลาที่ดี ที่มีคนชม คนสรรเสริญ เราสุข เรามีลาภ เรามียศ ก็เหมือนน้ำเต็มตลิ่ง จนเอ่อล้นฝั่งถ้าปล่อยให้โลกธรรมทั้งหลายมาทําให้ใจเราวูบขึ้นวาบลงอย่างนี เราทุกข์ ทั้งๆ คําสรรเสริญ เราก็ทุกข์ เพราะวิตกไปแล้วว่าตอนนี้เขาสรรเสริญเรา แล้วเขาจะถล่มเราเมื่อไหร่ ใจคอยกังวล ฟุ้งปรุงไปแต่ถ้าเราปรับใจเสียใหม่ว่าเราจะไม่กระฉอกกระเพื่อมไปกับระดับน้ำที่ขึ้นๆ ลงๆ อย่างทำใจของเราให้เป็นลูกโป่งแตะอยู่บนผิวน้ํา น้ําจะขึ้น น้ําจะลง ก็ช่างมัน ตราบเท่าที่มีผิวน้ําให้ลูกโป่งแตะอยู่ได้ เราก็สบาย เขานินทา เรา เราพิจารณาแล้ว ไตร่ตรองแล้ว ไม่เป็น ความจริง ไม่เป็นไร เวลาเป็นเครืองพิสูจน์ เราก็ก้มหน้าก้มตาทำของเราต่อไปเม็ดที่เราหว่านลงไป ประเดียวก็จะงอกตันขึ้นมา พอต้นอ่อนแตกใบเลียง ก็รู้เองว่าต้น อะไร เราบอกว่าปลูกต้นมะม่วง เขาบอกไม่ใช่ เธอปลูกต้นฟักทองต่างหาก พอมันออกใบมาคนที่เป็นคนจริง ก็ต้องรู้ว่าใบนี้เป็นใบมะม่วง หรือไบฟักทอง เราไม่ต้องอธิบาย ไม่ต้องไปเสีย เวลา เราก้มหน้าก้มตาเอาเวลาของเราไปทําสิ่ง ทีเ่ป็นมรรคต่อไป เราก็สบายเราก็เหมือนลูกโป่งที่แตะอยู่บนผิวน้ำจะขึ้นน้ําจะลงก็ช่างมัน ตราบเท่าทีมีผิวน้ําให้เราแตะอยู่ได้ เราก็สบายใจ อย่างนีใจของเรา ถึงจะอยู่ในโลกได้อย่างรู้เท่าทัน แล้วตัดวัฏฏะไตรวัฏ หรือสังสารวัฏ ให้เป็นมรรคเสีย
แต่ก่อนเราไปคิดว่า ถ้าเราอยู่ในโลก วุ่นอยู่อย่างนี้ต้องหาอยู่หากิน เราจมอยู่ในสังสารวัฏ ต้องออกไปวัด ไปหาครูบาอาจารย์ จึงจะ เจอมรรค ถ้าคิดอย่างนั้น เราขาดทุนสูญกำไร เพราะจริงๆ ทั้งวัฏฏะ ทั้งมรรค อยู่ในใจของเรา ไม่ได้อยู่ที่วัด หรือที่ไหนในโลกนี้ มันอยู่ในใจ ของเราถ้าใจของเราขณะที่กำลังอยู่ในโลกนี้ เรามีสติคิดได้ เราตัดวงกลมของวัฏฏะให้กลาย เป็นเส้นตรงปุ๊บ เราก็ปีติอิ่มเอิบ ใจเป็นสมาธิ ได้ ทั้งๆ ที่อยู่กลางตลาด อยู่กลางกองไฟอัน ร้อนแรงเมื่อตัวเราไปถึงวัดเข้าจริง แต่เราแบก ความแค้นติดใจของเราไปด้วย ไปถึงแล้วไป กราบเรียนท่านอาจารย์ หวังว่าท่านจะปลอบใจ เรา ท่านกลับดุว่า ก็เราทําผิดเอง เราโง่เซ่อ ก็ ดีแล้วที่ถูกเขาถล่มทลายอย่างนั้น เราก็เลยไป ก่อกองไฟขึ้นในวัด ดีไม่ดี นอกจากจะไหม้เราแล้ว ยังลามไปไหม้ท่านอาจารย์ด้วย ฮี... ท่านอาจารย์นึกว่าเป็นอาจารย์ของเขาแทนที่จะ ปกปักรักษาเรา แน่ะ... เอาใจออกห่างไปเข้าข้างไฟกองนี้เลยกลายเป็นไฟมหานรกขึ้นมา เพราะไหม้ไม่เลือกหน้า พอได้สติคิด... คราวนี้ก็เดือดร้อน ตายจริง... จะต้องทําอย่างไร หาดอกไม้ธูปเทียนไปกราบขอขมาท่าน แล้วเราจะ รอดพ้นจากนรกไปได้ไหมใจที่ยังรู้ไม่จริงนี้ มันพลิกคว่าพลิกหงาย สร้างความปรุงคิดที่ล้วนแต่ทําให้เราว้าวุ่น ก่อ ภพก่อชาติ เดียวก็เป็นภวภพ อยากอยู่ อยากมี อยากเป็นเดี๋ยวก็เป็นวิถวภพ ไม่อยากทุกข์ ไม่อยากจน ไม่อยากใน่น ไม่อยากนี เดียวก็ ไปติดในรูป รส กลิน เสียง สัมผัสเข้า เป็นกามภพเวียนอยู่ในภพโนันชาตินี่ อยู่นันแล้ว ไม่รู้จบรู้สิ้น กระโดดจากภพนันไปภพโนัน โดย ไม่ต้องใช้จรวด ใช้อะไรเลย ใช้แต่ความไร้สติ
ก็ทะลุทะลวงไปทัวจักรวาลเห็นอย่างนี่แล้ว เราจะได้มาคอยระมัด ะวังใจ รักษาใจเอาไว้ แต่ก่อนพอใครบอกให้ พยายามรักษาใจไว้ ดูใจของตัวไว้ มันน่าเบื่อ ไม่ชวนดู พอดูเข้าก็วูบหลับไป ท่านอาจารย์ท่าน เปรียบเทียบใจของเราว่า มีหมาไล่เนื่ออยู่ 2 ตัว ตัวหนึ่งคือกิเลส ตัวหนึ่งคือสติ สตินี่ยังงุ่มง่ามอยู่เพราะไม่เคยงาน แต่กิเลสคล่องแคล่ว ว่องไว ตอนแรก 2  ตัวก็หมอบกันดีอยู่ ตัว สติคอยชำเลืองดูตัวกิเลส อ้อ...ยังเรียบร้อยดี อยู่ เฝ้าดูไป ดูไป สังเกตเวลาที่เราตั้งใจทำ อะไรมากๆ ดูไปๆ หนังตาเราซักค่อยๆ หย่อนเสร็จแล้วก็วูบหลับในไป ขณะที่เจ้ากอเลสสังเกตอยู่พอเจ้าสติวูบไปอย่างนี้ กิเลสก็พุ่งปรีดไป ก่อความเสียหายรอบจักรวาล จนบางที่เราล้มละลายไปจากความเป็นมนุษย์ แล้วมันก็กลับมานอนเรียบร้อยอยู่ที่เดิม เจ้าสติเพิงรู้ตัว ผงกหัวมาดู กิเลสยังเรียบร้อยอยู่ ครันเขาเอาไบ แจ้งค่าเสียหายมาให้ เราก็โวยวาย เป็นไปไม่ได้ ก็จ้องกิเลสอยู่ตาไม่กระพริบ มันนอนอยู่ตรงนี้แต่ตรงทีสติวูบหลับไป แล้วกิเลสไป ก่อความเสียหาย จนกระทั่งทำหนีสินล้นพ้นตัวเราไม่เห็น เมือผลเกิดขึ้น เขามาเรียกค่าเสียหายเราจึงรับไม่ได้อวิชชาในใจของเราเป็นทำนองนี้ มันทำให้เรารู้ แต่รู้ไม่รอบ เราก็เลยรับไม่ได้ จะว่าเรา หลับ เราก็ไม่ได้หลับตลอดเวลา แต่ตรงที่เรา ตกภวังค์ เราวูบไปนัน เรารับไม่ได้ เราไม่รู้ตัวจริงๆ ไม่ใช่แกล้ง ครูบาอาจารย์ถึงได้เตือน สตินี่เร่งเจริญไปเถอะ ไม่มีมากเกินไป ไม่มีพิษมีภัย ยาบางอย่างกินมากเกินไปจะเป็นอันตราย แต่สติ ท่านบอก ไม่ต้องกลัว ทําไปเถิด ไม่มี วันที่จะมากเกินพอ มีแต่ว่ามากยังไม่เพียงพอเมื่อรู้อย่างนี้ หน้าที่ของเราก็คือ รู้ตัวเมื่อ ไหร่ว่าสติขาดไป ซึ่งต่อใหม่ทันที แค่นัน ไม่ต้องมาแก้ตัวว่า มันเพิงหายไปเมื่อกี้นี้เอง มันจะ หายไปเมือไหร่ก็ช่าง ถ้ามองดูแล้วเห็นมันหาย ไป จัดแจงกําหนดใหม่ แล้วทำไปเรื่อยๆ อย่างนี่ อย่าให้ขาดวรรคขาดตอนใจทีมีสติมารู้อยู่ มารักษา จะทําให้วัฏฏะที่พาเราพายเรือวนในอ่างตลอดเวลา ก็เริมถูก สติง้างออก ถึงจะเป็นเส้นตรงของมรรคเพียงชั่วขณะเดียว ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย ถึงมันจะมัวน กลับเข้ามาใหม่ แต่ของอะไรก็ตาม ถ้าเราคอยง้างอยู่เรื่อยๆที่มันจะม้วนกลับเป็นอัตโนมัติก็ ชักจะช้าลง หรือม้วนแล้วก็ไม่สนิทเหมือน อย่างเดิม มันเริ่มยืดออกเป็นเส้นตรงน้อยๆ ถึงจะตรงงอ ๆ ก็เถอะ เราก็มีกำลังใจแล้วว่า อย่างน้อยที่สุด วงวัฏฏะที่มัวนมัดเราไว้อย่างหาประตูกลไม่เจอนัน บัดนีเริมเจอแล้ว เพราะฉะนั้น โอกาสที่สติจะไปง้างวัฏฏะออกเรื่อยๆ จนในที่สุดเราสามารถรักษาให้เป็นมรรคที่เที่ยง ตรงและถาวรได้การปฏิบัติก็มีผลอย่างนี มันทําให้วัฏฏะที่เราเคยกลัวว่าจะมาผูกเราเอาไว้กับภพชาติทั้งหลาย โดยไม่มีวันจะถลอกปอกเปิก หรือเปิดออกนั้น มันสามารถเปิดได้ ถ้าเราเพียรจริงจ์ วันหนึ่งเราก็จะล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียรเพราะฉะนั้น การปฏิบัติ ไม่ใช่ว่า เมื่อนั้น เมื่อนี้ เราจะไปปฏิบัติอย่างเป็นทางการ วินาที นี้ นาทีนี้ ตรงนี้ ปัจจุบันนี้ เอาตัวกับใจไว้ ด้วยกัน ก็เป็นการปฏิบัติแล้ว อยู่บนมรรคแล้ว เอ้า... เผลอสติ มันกลับไปเป็นวัฏฏะใหม่ ก็ ไม่เป็นไรเรารื้อวัฏฏะออก เพราะเรารู้แล้ว ธรรมชาติของวัฏฏะกับมรรค จริง ๆ มันเป็น เส้นตรงเส้นเดียวกัน แล้วอยู่ในใจของเรานี่เอง ไม่ได้ไปอยู่ที่ไหน ไม่ได้เอาไปฝากใครไว้ หรือต้องไปซื้อไปหาจากที่ไหนเลย เพียงแค่ว่าสติ อยู่กับเรา หรือสติเผลอไป เท่านั้นเองการปฏิบัติไม่ยาก โปรดทำเถอะ แต่ก็ ไม่ใช่ของง่ายที่ว่า เราหลับตา กำหนดบุ๊บ ก็จะ ได้โดยอัตโนมัติ มันต้องการความเอาใจใส่ คอย อนาทรร้อนใจ ดูแลสติอยู่เป็นประจำแต้ถ้าเผลอ
ก็. ชำเลืองตามองเอาไว้ อย่าทอดทิ้งไปนาน สตินี่มันเจ้าเล่ห์แสนกล เผลอประเดียวเดียวกลายเป็นอย่างอื่นไปแล้ว แต่ถ้าคอยชําเลืองเอา " อย่าให้คลาดหลุดออกไปจากสายตา อย่างน้อยที่สุดมันจะไหลหายไปไหน เรากยงตะครุบ กลับมาได้ แล้วอีกหน่อย... อีกหน่อย... อีกหน่อย มันก็จะเชื่องขึ้นเราอยู่ตรงไหน ทำอะไร ใจก็ จะมีสติรู้อยู่ช่วงที่ดิฉันปฏิบัติได้ดี พอรู้สึกตัวเหมือนจะตื่น จะเห็นเลยว่าใจของเรากำลังตามลมอยู่ ตลอดเวลา แทบจะเรียกว่า ถ้าเราฝัน ฝันของเราก็จะเป็นลมหายใจ พุทโธ อยู่ตลอดเวลา ตรง นั้นใจจะสงบเบา ใครทําเรื่องอะไรให้เราโกรธ ให้เราหงุดหงิด ใจก็จะมีเหตุผล เห็นเป็นเรื่อง ไปโกรธเขาทำไมให้เราทุกข์เดือดร้อนแต่ถ้าสติหลุดไป พุทโธไม่อยู่แล้ว ขนาด เราตั้งใจจดจ่อ... หายใจเข้า ยังไม่ทันหายใจเข้า สุดเลยใจไปเรื่องอื่นแล้ว กำหนดกลับมาใหม่ หายใจออก กลายเป็นเรื่องอะไรปนเข้ามา หา ลมหายใจไม่เจอแล้ว เพราะฉะนั้น อย่าว่าเลย ว่าฝันแล้วจะมีพุทโธ ใจฟุ้งปรุงตั้งแต่ลืมตาจน กระทั่งหลับตา จนกระทั่งกลายเป็นหนังเรื่อง ยาวไม่รู้จบ แล้วเราก็วนติดร่างแหของมันกลิ้ง ไป เราบอกว่าเราจะหยุด ใจก็ไม่หยุด เหมือน บางครั้ง ดิฉันตั้งสติ กําหนดพุทโธ เราก็ว่า พุทโธ แต่พอมองดีๆ พุทโธ อยู่แค่ผิว เหมือน อย่างกับนกแก้วนกขุนทองพูด แต่ในใจนั้นมี ความคิดฟุ้งปรุงไป อีกหลายเรื่อง ไม่ใช่เรื่อง
เดียว อีกหลายเรืองเลย ซึ่งสติแยกแยะไม่ทันก็นึกในใจ ถ้าเราขาดใจตายไปตรงนี้นี เราจะ ไปอยู่ตรงไหน จะไปตรงพุทโธผิวๆ หรือไปตรง ที่ยึกยักอยู่ข้างใต้ เป็นคลีนใต้น้ำอีกไม่รู้ก็คลื่นมันก็เริ่มกลัวขึ้นมา เอา...คราวนี้ ก็เริ่มเอาจริงขึ้นมาอีกหน่อย แต่ประเดี๋ยวเดียวกระจายไปอีกแล้วครูบาอาจารย์ท่านถึงเตือนแล้วเตือนอีกว่ามันเป็นอย่างนี้ของอะไรทีเป็นของดีนี้มันอายุสั้น ความจำเสื่อม แต่ของไม่ดี ทั้งทีว่าไม่ได้นึกถึงเลย แต่ปรากฎกําลังทําอยู่โดยอัตโนมัติ เป็นเรื่องสนุกเพลิดเพลินไปเลย เราถึงต้องพยายาม ใส่ความจงใจ ตั้งใจเข้าไปเป็นตัวเจตนา จะได้เป็นมรรค แล้วต่อไปธัมมะก็จะมารักษาเรา ถ้าเรานึกถึงว่า จุดเล็กๆ แต่ละจุดนี้ เอามาเรียง กันเข้า ก็จะติดต่อเกิดเป็นเส้นที่มีความยาววัดออกมาได้
อย่าไปนึกน้อยใจว่า ทำไมสติของเราถึงสั้นนักทำทีไรว่าจะลากให้เป็นเส้นตรง มันก็ เป็นแต่จุดๆ ไม่เป็นไร จุดเอาไว้ อย่างน้อยมี จุด เอามากระแทกๆๆ เข้า ก็ยังต่อเป็นเส้นได้บ้าง อย่าโลภว่า ฉันจะขีดทีเดียวให้เป็นเส้นตรง ตลอดบรรทัดเลย ถ้าคิดอย่างนันจะ ม่มีวันบรรลุความสำเร็จ แต่ถ้าเราจุดไปเรื่อยๆ อย่างนน้อยป็นการสร้างนิสัย อีกหน่อยความเคยชินอันนี้ สติอันนี้ ก็จะมาเตือนเราให้ไม่เผลอ.. ต้องจุด เข้าไว้ จุดเข้าไว้ จนจุดถี่ๆๆๆ กระทั่งติดต่อเป็นเส้นขึ้นมาเราต้องเพียรกันอย่างนี้ แล้วเพียรเท่าไรๆเกิดแผลอ เกิดมีเหตุขัดข้องทำให้สะดุดหยุดไปผลที่ได้ก็ไม่เสื่อมอายุ อย่างเราเรียนเก็ยคะแนนยังมีว่า ถ้า 3 ปี 4ปีไม่จบก็ต้องเลิก แล้ว มาลงเครดิตใหม่ แต่ท่านอาจารย์บอกว่า วิชาปฏิบัติจิตใจนี่ไม่มีการหมดอายุ ไม่มีการเสื่อมทำได้เท่าไหร่ๆ หยุดไป พอระลึกนึกได้ ก็มาต่อได้ ค่าของมันก็ไม่เพิมขึ้น หรือลดลง เหมือน ราคาเงินสกุลต่างๆ อย่างเงินบาท ประเดียวก็ 25 บาท แลกได้ 1 เหรียญสหรัฐฯ เดียวก็ 40 ถึงจะแลกได้ 1เหรียญ ค่าของเงินสกุลมรรค จะไม่เป็นอย่างนัน มีค่าแค่ไหนเมือครั้งพุทธกาลเดียวนีก็ยังมีค่าแค่นั้นอยู่ มรรคมีองค์ 8 ก็ยังมีองค์ 8 อยู่เท่าทีพระพุทธเจ้าประทานเอาไม่มีเทคโนโลยีสูง หรือเทคโนโลยีต่ำ แต่ อยู่ตรงที่ว่าเราตั้งใจพากเพียรจริงแค่ไหนการปฏิบัตินั้น ให้เราถามตัวเอง เราคนจริงหรือคนปลอม ถ้าตอนไหนเราเป็นคนจริง ปฏิบัติไปแล้วจะมีมรรคผล แต่ถ้าเราเป็นคน ปลอม กําลังคิดหากําไรเกินควร ท่านผู้รู้ปราม อย่าทำ เพราะทำตรงนั้นแล้ว ก็ได้แต่ผลปลอม จะเอาอย่างทางโลก เหมือนเอาของปลอมไปลอกเป็นของจริง แล้วก็ได้กำไรนี้ ไม่มี...ไม่มีในหนทางสายมรรค ใครทําอย่างไหน ก็จะได้รับผลอย่างนั้น เพราะเรามีกรรมเป็นของเรา มีกรรมที่เป็นพึ่งพาอาศัยเป็นเงาตามตัว ถ้าเรื่อเชื่อเรื่องิย่างนี้หมดหัวใจเราก็มีทางที่จะทำวัฏฏะของเราให้เป็นมรรค แล้วชีวิตของเราก็ จะไปถึงจุดหมายปลายทางได้ ก็ฝากเอาไว้เป็นกําลังใจในการปฏิบัติ
พิมพ์โดย        ปภัสสร   มีพงษ์
แหล่างที่มา    http://web.krisdika.go.th/buddha/55_watta.pdf

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Back To Top