โลกมายา
ชื่อผู้เขียน พญ อมรา มลิลา
วันที่ วันที่ 15 ตุลาคม 2530
ณ ชุมนุมพุทธธรรม โรงพยาบาลศิริราช ห้องสันติภูมิ
หมวด
อันดับที่
วันนี้ เราจะพูดกนถงเรอง โลกมายา คําว่า โลก หมายถึงสิงมีชีวิตทังหลาย โลกก็คือหมู่สัตว์ ทําไมเราจึงเรียกว่าโลกมายา เพราะว่าโลกที่เราเห็น กันอยู่นี้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเป็นสมมติ ทำไมจึงเป็นสมมติ เพราะไม่ใช่ของที่เป็นสาระแก่นสาร จริงจัง เป็นแต่เพียงสภาวธรรม เป็นแต่เพียงเหตุปัจจัยที่มาประชุมกันขึ้น เกิดอยู่ชั่วขณะ แล้วก็แปรเปลี่ยน แตกสลายไป แล้วก็เกิดขึ้นมาใหม่ถ้าเราจะยกสภาวะธรรมอะไรสักอย่างหนึ่งมา พิจารณา เป็นต้นว่า น้ำ เราดูน้ำในแม่น้ำลำคลองน้ำอันนี้ก็ไม่ได้เป็นน้ําที่อยู่ในสภาวะของเหลวตลอด พอถูกแดดเผาก็ระเหยเป็นไอไปบางสภาวะ หน้าแล้งมากๆ น้ำที่เคยเต็มฝังก็แห้งขอต จนกระทั่งเหลือกันบ่อเป็นเลนเป็นทราย แล้วถ้าเราไปยึดว่าน้ําหายไป เราก็เดือดร้อน ทุกข์โศก หรือพยายามไปหาน้ำมาทดแทนแต่ถ้าเราพิจารณาตามเป็นจริง ไม่ได้ไปติดอยู่กับ มายา ที่อยู่ในใจของเรา น้ำที่เปลี่ยนสภาพจากของเหลวเป็นไอไม่ได้หายไปไหน ตาเรามองไม่ เห็นก็จริงแต่ไอพวกนี้ขึ้นไปสะสมปนอยู่ในอากาศพอรวมตัวมากขึ้นๆ เราก็เห็นเป็นเมฆ มีสีเทา สีดำหนัก เพราะเริมเป็นหยดน้ำขึ้นมาแล้ว พอรวมตัว กลันตัวเป็นหยดน้ำ ด้วยอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงพอเหมาะ ก็ตกลงมาเป็นฝน กลายเป็นหยดน้ำใหม่ กลับไปขังอยู่ในดูในคลองในบึงในบ่อที่เมือก่อนหน้า นั้นเคยมีน้ำอยู่ ถ้าบ้านเมืองเราอากาศหนาว ถึงขั้นที่น้ำเหล่านี้แข็งตัวกลายเป็นก้อนน้ำแข็งได้ บางสภาวะเราก็เห็นน้ำพวกนี่กลายเป็นก้อนน้ำแข็งขึ้นมาเราก็ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของน้ำในสภาพต่างๆ กัน เพราะเรารู้แล้ว น้ำเป็นของไม่คงรูปอยู่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กบอากาศ ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ เหตุ ปัจจัย ที่จะทำให้มันเป็นก้อนน้ำแข็ง หรือเป็นของเหลว หรือเป็นไอน้ำถ้าเราเข้าใจตามสภาพเป็นจริง เรารู้จักโลกตามเป็นจริง เวลาน้ําแปรเปลี่ยนสภาพอย่างนี่ไป เราก็ไม่ตื่นตระหนกตกใจหรือว่าไปทุกข์เดือดร้อนแต่ถ้าเราหลงติดอยู่ในโลกมายา ไปคิดอยู่ว่า ถ้ามีอยู่ ต้องเต็มคูคลอง ไปเมื่อไร สมมติเราเป็นเจ้าของบ้านเมืองนี่ เจ้าของคูคลองนี้ และเราไปยึดมันถือมันว่าน้ําของฉันมีเต็ม อยู่เราไม่เข้าใจว่าเวลาแดดร้อน หน้าแล้ง ไม่มีฝน ตกลงมา มันแห้งขอดหายไปได้น้ําลดระดับไป เราก็จัดแจงไปประกาศกล่าวโทษว่าประชาชนแถบนีมาขโมยน้ำไป ใครฉ้อโกงหรือแอบขโมยไป อะไรต่อมิอะไร สุดแตความหลงผิดจะพาให้คิดไป เราก็ไปลงโทษผู้บริสุทธิ์ ด้วยยึดแต่ว่าน้ำของเราเติมดูเติมคลอง เมื่อมันหายไป เพราะเราไม่รู้ตามสภาวะความเป็นจริงของธรรมชาติ เราก็ไปลงโทษเขา เดือดร้อนทุกหัวระแหงไปหมดนี่เป็นเพียงตัวอย่าง จริงๆ ในชีวิตประจำวันของเรา ทุกคน ทุกคน เราถูกมายาอันนี้ทำพิษทำภัย ทำให้เราก่อเวร ก่อทุกข์ ก่อโทษให้กับใจเราอย่างไรบ้างเราก็ ยึด เริมต้นเอาจากสิงของนอกกายก่อน เพราะถ้ามาพูดถึงตัวเราจะละเอียดไป โดยมากคน เราถ้ายังไม่ปฏิบัติธรรม บอกให้มองตัว มองลำบาก มักจะเห็นของอื่นข้างนอกก่อนเริ่มต้นด้วยการยึดว่า คนนี้เป็นพ่อแม่ของเรานี้เป็นบ้านของเรา เราไปยึดบุคคล ไปยึดวัตถุ นั้นสิ่งนี้เป็นของของเรา มีการแบ่งสรรปันส่วน นี้ เขตบ้านของฉัน ใครอย่ามาล่วงลํากําเกิน ถ้าล่วงล้ำ ก้ำเกินถือว่าเป็นขโมย เป็นผู้บุกรุก จะต้องฆ่ากัน จะ ต้องทำร้ายกันถ้ามองดูต่อไปพ่อแม่ของเราเป็นของเราจริงเพราะว่าในรูปร่างที่เป็นพ่อเป็นแม่ของเรานี้ จริงๆ ประกอบไปด้วย ๒ ส่วน ประกอบไปด้วยรูป ร่างกายกับจิตใจ รูปร่างกายนี้ท่านให้กำเนิด เราออกมา เราออกมาจากท้องแม่เรา โดยสมมติบัญญัติบอกว่านี้เป็น แม่ คนที่อยู่กับแม่ก็เป็น พ่อ เรา เรารู้แค่นั้นแต่จิตใจที่อยู่ในรูปร่างกาย เราไม่เคยไปหยัง รู้จักเขา เพราะเรายังไม่มีเครืองอะไรที่จะไปจับวัด จิตใจได้ อย่างถ้าเรามีปรอท เราก็ยังวัดไข้ได้ แต่ จิตใจของมนุษย์ยังไม่มีเครื่องจับวัดได้ว่า จิตใจคนนี้เอื้อเอ็นดูเรา รับเราเปินลูกเป็นเตัาหรือว่าเขาคิดว่าเราเป็นอะไรที่มากวนใจเขา เราไม่รู้ ถ้าเรายังม่เข้าใจอย่างนี้ เราก็ไปยึดว่านี่พ่อแม่ของเราสมมุติเรามีพี่น้อง 5 คนเรายึกอีกแล้วว่าด้วยหลักยุติธรรม ของอะไรก็ตาม มีกันจำนวน กี่คน ก็ต้องเอาจำนวนนั้นหาร พ่อแม่มีอะไร ก็ ต้องแบ่งให้ลูก 5 คนเท่าๆ กัน บังเอิญเราไปเห็นว่า ท่านมีน้ําใจกับพี่หรือน้องเรา แต่ไม่ได้นึกถึงเราน้อยใจแล้ว แหม ทําไมพ่อแม่ถึงใจร้ายใจดําอย่างนี้กับเรา หรือบางทีเราไป คิดเอาเอง ว่า พ่อแม่จะต้อง ทำอย่างนี้ อย่างนี้ ให้เรา พอท่านไม่ทําให้ เราก็ ไปน้อยอกน้อยใจตัวเองเคยมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง เขาคิดเอาว่าพ่อแม่นี้ ทรัพย์สมบัติมีเท่าไรก็ต้องยกให้เขา ที่นี่เกิดพ่อแม่ไม่ยกให้ เขาก็โกรธแค้นมาก แล้วก็ผูกอาฆาตพยาบาทว่า พ่อแม่อะไรใจร้ายใจดําอย่างนี้ดิฉันก็ถามเขาว่า ทำไมเขาถึงคิดว่าพ่อแม่จะ ต้องยกให้เขา เขาตอบว่า อ้าว ก็เขาเป็นลูก เมื่อเป็นลูก อะไรที่เป็นของพ่อของแม่ ก็ต้องตกเป็นของนี่แหละ เวลาที่เราไปหลงกับมายาของใจไปยึด แล้วเราไปตั้งไม้วัตขึ้นมาเอง แท้ทีจริงแล้ว ไม่ได้มีกฎหมายหรืออะไรเลยทีบอกว่าพ่อแม่มีอะไรเท่าไร ก็จะต้องยกให้ลูก เพราะว่าเพียงท่านให้ชีวิต แก่เรา แค่นั้นบุญคุณก็ท่วมท้นล้นฟ้าแล้ว เพียงแค่ให้ลมหายใจกับเรา แล้วจะเลี้ยงหรือไม่เลี่ยง ก็หมด แล้ว ไม่ได้มีสนธิสัญญาข้อไหนเลยว่า ถ้าพ่อแม่ไม่เลี้ยงลูก มีความผิด จะต้องจับไปเข้าคุกเข้าตะรางแล้วไปดูสิว่า สัตว์ทั้งหลาย ก็ไม่เห็นมีตัวไหนบอกว่า พ่อแม่จะต้องอุ้มชูประคบประหงมลูกเอาไว้จนกระทั่งอายุเท่านั้นเท่านี้ จะต้องหาบ้านช่องให้อยู่หรือว่าให้มรดกสัตว์ทั้งหลาย อย่างเต่าอย่างนี้ พอออกไข่ เสร็จก็ไปเลย แล้วพอลูกออกจากเปลือกไข่มา ก็หากินของมันไปเอง ไม่เห็นลูกเต่าตัวไหนฟ้องร้องว่า พ่อแม่ไม่กกมันอย่างนี้ ต้องว่ายน้ำอย่างนี้ ต้องทำอย่างนั้น อย่าง โน้น ใช่ไหมสภาวะธนรรมชาติของการมีชีวิตก็เพียงแค่นั้นเอง แต่เราเอาอุปาทาน เอามายา เอาเงาของจิตที่เราปรุงคิดไปกำหนดเป็นมาตรวัด อย่างนี้ อย่างนั้น อย่างโน้น เอาไว้ แล้วก็ตีอกชกหัว โกรธแค้นอาฆาต พยาบาท คับข้อง ไม่ได้อย่างใจขึ้นมาลูกบางคนก็ไม่รักพ่อแม่แล้ว มีเด็กนักเรียนมัธยม พอโดนแม่ดุเข้า ปรากฏว่ามีปฏิกิริยา จะหอบ ข้าวหอบของออกจากบ้าน ไปนอนกับเพื่อน แล้วกับแม่ พอแม่ถามว่า ทำไมไม่ใช่ นี่ไม่ใช่แม่ ยักษ์มารต่างหาก แม่จริงๆ เขาไม่ดุลูกหรอกแม่ก็ถามว่า ใครเป็นคนบอกอย่างนี้ ลูกตอบว่า เพื่อนทุกคนแหละ ลงความเห็นเหมือนกันหมด พอเล่าให้ฟังว่าถูกแม่ดุ ทุกคนบอกเลยว่า แล้วเธอจะไปทนอยู่ด้วยได้อย่างไรกัน ยักษ์มารอย่างนี้น่ะไม่มีหรอก แม่ที่ไหนก็ดุลูกไม่ได้ ตีลูกไม่ได้เห็นหรือไม่ ยุคสมัยเปลี่ยนไป เราเคยมีภาษิต รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี เราตีลูกของเราอบรม ลูกของเราให้ดีได้ แต่เราไม่ให้คนอื่นมาตี มาตำหนิลูกเรา แต่เดียวนึกลายเป็นว่า แม่ดุหรือตีลูกไม่ได้ เป็นยักษ์เป็นมารไปแล้วสมมติ หรือ มายา ทั้งหลาย ทำให้ไม้วัดของ ความเป็นแม่เป็นลูกกันเปลี่ยนไปตามแฟชัน ตามยุคสมัย จึงทําให้คนเราเดียวก็ดี เดียวก็ไม่ดี เพราะ เราไม่รู้จะปรับใจอย่างไรถูกเราถึงต้องพยายามหาหลักธรรมมาสอนใจเรา ให้รู้ว่าเวลาที่ปรุงคิดอะไรขึ้นมาสักอย่างหนึ่งนั้น ปรุงคิดไปด้วยความหลงผิด หรือเราปรุงคิดไปตาม เหตุผล ไปตามกาลเทศะ ไปตามความควร ความไม่ ควร คิดแล้วทําให้ใจของเราได้สติได้ปัญญาสามารถ ปลดปล่อยเมฆหมอกของความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความยึดผิดเห็นผิด ความลังเลสงสัยไม่แน่ใจ ให้ ค่อยๆ เบาบาง ให้ค่อยๆ หมดไปจากใจ ใจของเราจะได้เป็นใจที่ร่มเย็นเป็นสุข ไม่ไปเบียดเบียนใครไม่เบียดเบียนตัวเอง ไม่ก่อทุกข์ก่อโทษให้โลกนี้ให้เริ่มต้นรู้จักคนใกล้ชิดก่อน พ่อแม่โดยสถานภาพที่เป็นจริงนั้น เพียงแค่ท่านให้ลมหายใจ เรามา เราก็มีหน้าทีต้องกตัญญูรู้คุณแล้ว ถ้ายิ่งฟูมฟักรักษาเลียงดูเรา ให้ทรัพย์สินเงินทอง ให้ที่ออาศัย ให้ความสุข หน้าที่ที่เราจะต้องทดแทนรู้บุญรู้คุณก็ยิ่งทวีสัดส่วนขึ้นไเหมือนอย่างสมัยพุทธกาล มีเรื่องเล่าถึงพระเถระองค์หนึง ขณะท่านไปบิณฑบาต ก็ได้ยินเสียงเด็กร้องอยู่ในกองขยะ ท่านเข้าไปดู พบว่าเป็นเด็กผู้ชายแรกเกิด ก็เอามาเลียงไว้เด็กคนนี้ปรากฏว่าเป็นลูกของผู้หญิงงามเมือง ในสมัยพุทธกาล ผู้หญิงงามเมืองในอินเดีย ถ้ามีลูกออกมาเป็นผู้หญิง เจ้าสำนักจะอนุญาตให้เลี้ยงเอา ไว้ได้ เลี้ยงอย่างดี เพราะโตขึ้นก็อบรมให้เป็นผู้หญิงงามเมืองต่อไป นับเป็นเกียรติเป็นศักดิ์ศรีของประเทศว่าเรามีผู้หญิงมีความสามารถให้ความบันเทิงแก่ผู้ชายทั้งชาวเมืองนั้นและต่างเมืองได้ แต่ถ้าลูกเกิดออกมาเป็นผู้ชาย เจ้าสํานักไม่เลี้ยงไว้ให้เสียข้าวสุก ให้เอาไปโยนทิ้งถังขยะเสียเด็กคนนี้บังเอิญเป็นผู้ชาย แม่ก็เอาทิ้ง พระเถระท่านก็เอามาสำนักสงฆ์เลี่ยงเอาไว้ เด็กก็เติบโตขึ้นมาแม้จะมาอยู่ในสํานักสงฆ์ ท่ามกลางผู้ทรงศีล แต่เด็กแถวนันชาวบ้านแถวนั้นก็รู้ว่าเด็กคนนีมีประวัติมาอย่างไร พอโตขึ้น ไปเล่นกับใคร ก็ถูกล้อว่า ไอ้ลูกหญิงงามเมือง ไอ้ลูกไม่มีพ่อ หรืถ้อยคำที่ทำให้เด็กเกิดความคังแค้น เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจจิตใจของเด็กก็เต็มไปด้วยความเคียดแค้นพยาบาทแม่ ว่าทำไมเราจึงมีแม่อย่างนี้ โกรธเกลียดมากพระเถระท่านก็ไม่ว่าอะไร เพราะท่านรู้ว่ากำลัง สติปัญญายังไม่สามารถรู้สภาวธรรมตามเป็นจริงได้ ก็ปล่อยให้เด็กเป็นไปอย่างนันก่อน พอได้อายุสมควร ประมาณ 7-8 ขวบ ท่านเห็นว่าสติปัญญาเริ่มรับรู้ สิ่งเหล่านี้ได้วันหนึ่ง พระเถระก็ถามเด็กว่า สมมติมีใคร เอาเงินมาให้ 1 กหาปนะ คือ 1 เหรียญของอินเดีย สมัยนั้น เจ้าจะว่าอย่างไร เด็กก็บอกว่า จะรู้ในบุญในคุณและกตัญญูต่อเขา พระเถระถามว่า ทําไม ต้องไปกตัญญกับเขาด้วย เด็กก็ตอบว่า อ้าว ก็เขา ไม่ได้มีความจำเป็นอะไรจะต้องเอาเงินมาแบ่งปัน ให้เรา เขามีจิตเมตตา มีน้ำใจกับเรา เอาเงินตัง1 กหาปนะมาให้เรา เราก็ต้องกตัญญูรู้คุณ เขาจะใช้ ให้ทําอะไร หรืออย่างไร เราก็ต้องตอบแทนบุญคุณเขาพระเถระถามต่อไปว่า ถ้าหากเขาเอาเงินมา กองให้สูงยิงกว่าตัวเราอีก แต่ขอแลกว่าขอเอาชีวิตของเจ้า เจ้าจะยอมแลกให้ไหมเด็กก็บอก ไม่ให้ ท่านก็ว่า อะไรกัน ทีเมื่อกี้นี้ 1 กหาปนะ ดีอกดีใจ รู้ในบุญคุณ ถึงขั้นเขาใช้ ให้ทำอะไร ทำทั้งนั้น นี่เขากองให้ท่วมตัวเลยนะ เพียงแค่ขอชีวิตเท่านั่นแหละเด็กก็แย้งว่า โอ๊ย ชีวิตของเรานี้มีค่ายิ่งกว่า อะไรทั้งนั้น ต่อให้มากองเท่าฟ้าก็ไม่ให้ ไม่รู้บุญคุณด้วย ไม่เอาด้วย ไม่ตกลงด้วยพระเถระต่อรองว่า เอ้า เขาไม่เอาถึงชีวิตหรอกขอแค่แขนข้างหนึ่ง ก็ไม่ให้ ขอแค่อวัยวะ ในที่สุดเกี่ยงงอนลงมาเหลือว่าขอแค่ปลายนิ้วก้อยนิดเดียวก็ไม่ให้อีก จะเอาสตางค์มากองท่วมฟ้าก็ไม่เอาพระเถระจึงถามว่า ชีวิตของเจ้า เจ้ารัก เจ้า หวงแหนถึงอย่างนี้ แล้วเจ้าได้ชีวิตนี่มาจากใครเล่า ถ้าไม่มีแม่อุ้มท้องมา แล้วเขาไม่ได้ฟูมฟักจนกระทั่ง คลอด จนกระทั่งเจ้าได้ลมหายใจมานี้น่ะ เจ้าจะมีชีวิตอันนี้อยู่ได้หรือเด็กก็ฉุกคิด แล้วใจเห็นจริง เออ ชีวิตของรา เรารัก ดูสิ เมื่อกี้พระเถระถาม ขนาดเอาเงิน ท่วมฟ้ามาแลกกับปลายนิวนิดเดียว เรายังไม่ให้เลยแล้วชีวิตของเราทีเราหวงนี่ เราได้มาแต่ไหน จริงสิ นะ เราได้มาจากแม่ของเราพระเถระจึงสอนต่อไปว่า นี่แหละ ถ้าเราไม่ รู้จักเอาสติปัญญาไว้กับใจ เรามัวแต่เอาใจไปเกาะเกี่ยวอยู่กับเสียงลมพัด เสียงคนพูด ยุให้รำตำให้รัว แม่ใจร้ายใจมาร แม่เป็นผู้หญิงงามเมือง เอาเรามา ทิ้ง อันนั้นมันไม่ใช่ของจริง มันเป็นแต่เพียงเงาเพียงลมปาก พาให้เรายึดผิด ไปคิดเอาเองว่าแม่มี หน้าทีต้องอุ้มชู ตายแทนเรา หายใจแทนเราจริงๆ ไม่มี สภาวธรรมมีแต่ว่า การที่เราได้โอกาส ได้ลมหายใจมา แล้วก็ได้อัตตภาพร่างกาย เป็นมนุษย์ มีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ มีรูปร่างปกติไม่ได้พิกลพิการไปนี้ ถือเป็นมหากุศลแล้วหน้าที่ของเราคือกตัญญูรู้คุณต่อพ่อแม่ ยิ่ง ท่านฟูมฟักรักเรา นั้นเป็นเมตตาพิเศษของท่านเราก็ยิ่งซาบซึ้งหนักเข้าไปอีกพอเด็กคนนั้นหลุดจากความยึดผิด เห็นผิด จิตใจก็ผ่องไส ก็เบา ความเคียดแค้น ความคิดที่เผาผลาญจิตใจตัวเองหมดไป เติบใหญ่ขึ้นมาด้วยความ คิดถูกตัองเที่ยงตรง บำเพ็ญตนเป็นคนดีนี่ก็เป็นตัวอย่างอันหนึ่งว่า เวลาที่เรารู้ไม่เท่า ทัน แล้วไปติดหลงอยู่ในมายาของโลก มันทำให้ใจเราหมอง ใจเราเกิดความทุกข์ ทั้งทีเรืองจริงๆ ไม่มีทุกข์เลย เพราะเรื่องจริงๆ อย่างเด็กคน้นี แม่ก็ ไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ได้ทุบหัวอก ไม่ได้เมื่ยนตี หรือ ทำอะไร แต่ตัวเองที่ไม่รู้เท่าทันความเป็นจริง เอา ใจไปเกาะเกี่ยวไว้กับคําพูดของคนที่เป็นมิจฉาทิฐิแล้วก็เลยเกิดความอาย เกิดความยึดในตัวตนผิดๆว่า ถ้าเราเป็นคนปกติอย่างเขา เราต้องมีแม่อย่างนั้น อย่างนี้ อย่างโน้นเห็นหรือไม่ สังขารจิตที่ปรุงคิดไป ย้อนซ่อนเงือน แล้วก็ทําให้ตัวเราเองเป็นนักโทษของความคิดผิดๆ อย่างนี่ แล้วก็เจ็บช้ำระกำใจโดย ไม่มีสาเหตุเลยทีนี่ถัดจากเรื่องพ่อเรื่องแม่ไป ก็อีกนั้นแหละ วัตถุสิ่งของ บุคคลทั้งหลาย ที่เราไปสมมติ นี่พี่ของฉัน น้องของฉัน นีคู่รักของฉันพอคนนี่ทําอะไรให้เรา ถ้าเป็นที่ถูกใจ ใจเราก็ฟู เขาดีเหลือเกิน แต่ถ้าเขาทำอะไรทีผิดไป ไม่เหมือนทีเราหวังเอาไว้ โกรธแล้ว เขาน่าจะรู้ใจเราก็รู้อยู่แล้ว เราชอบของอย่างนี้ แล้วทำไมถึงเอาอีกอย่างหนึ่งมาให้หรือถ้าเราไปยึดผิดๆ เช่นตัวอย่างทีติกผู้ป่วย จิตเวช มีคนไข้วัยรุ่นเป็นโรคจิตมา ก็มีคุณหมอเพิ่งจบใหม่มาเป็นแพทย์ฝึกหัด คุณหมอได้ปฏิบัติธรรมระหว่างที่เป็นนักเรียนแพทย์ พอมาเป็นหมออย่างนี้ก็รู้สึกว่า คุณธรรมที่หมอทั้งหลายควรฝึกก็คือเมตตาธรรม ยิ่งคนไข้โรคจิตทั้งหลายเป็นคนหิว ความรัก ขาดความสนใจไยดี เพราะฉะนั้น เราจะต้องฟูมฟักรักษาดูแลเขา เช้าขึ้นมา ก็เอาน้ำเมตตา มารดคนไข้ทุกเตียงๆ ไปพูดจาปลอบโยน ให้กำลังใจ ถามไถ่ บางทีก็มีหนังสือพิมพ์มาฝาก มีขนมนิดๆ หน่อยๆ มาฝาก แล้วแต่บุคคลมาถึงคนไข้วัยรุ่นคนนี่ บางทีคุณหมอก็มีขนม หรือมีของเล็กๆ น้อยๆ ติดมือมาฝาก ถามไถ่เป็นอย่างไรบ้าง ธรรมชาติของจิตใจก็เริ่มยึดเป็นส่วนบุคคล เห็นไปว่าคุณหมอมาถึงจะต้องมายิมกับเรา ก่อน ไม่ทันมองว่าคุณหมอก็ยิ้มกับคนไข้ทุกเตียง เหมือนกันหมดคุณหมอขึ้นมาก็พูดทักทายอ่อนหวาน เยี่ยมเยียนทุกคนหมด ไม่เห็น ตรงนั้นไม่เห็น เห็นแต่ว่าคุณหมอคนอื่นๆ ไม่เคยทำอย่างนี้ มาถึงก็ดู สังยาแล้วก็เดินไป นี่คุณหมอก็.. เป็นอย่างไรบ้าง เมื่อคืนนอนหลับไหม อะไรต่อมิอะไร จิตที่ยึตก็เริมปรุงคิด เราก็สาวรุ่น คุณหมอก็ยังหนุ่มอยู่ คุณหมอคงชอบใจเรา ก็เริ่มคิดเข้าข้างตัวเองหนักเข้า ถ้าวันไหนคุณหมอกําลังเยียมเยียนอยู่ ที่เตียงของตัว คนไข้เตียงอื่นเกิดมาเรียกคุณหมอ เพราะเขาเองก็เห็นคุณหมอมีเมตตากับเขา เขาก็รู้สึกว่าคุณหมอกิเป็นของเขาเหมือนกัน ก็เล่าแทรกขึ้นว่าว่า ฉันเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ หรืออะไรอื่นๆความยึดอันนี่ ทำให้คิดแล้ว เรื่องอะไรเขามา แย่งหมอไปจากเรา ตำหนิเขาเลย ทำเป็นเจ้าข้าว เจ้าของ วาจาที่พูดออกไป คุณหมอก็เริมจับสังเกตว่า เอ๊ะ คนไขันีชักจะไม่ใช่คนไข้แล้ว คิดจะมาเป็น เจ้าของเรา คุณหมอก็ตกใจ จนกระทั่งเมตตาไม่เหลือแล้ว เราต้องเอาตัวรอดปลอดภัย ต้องทําให้ คนไข้รู้ว่า นี่ฉันเป็นหมอนะ ที่ทํานี้ก็ทำตามหน้าที่ หมอนะ ไม่ได้ล่วงล้ำก้ำเกินไปถึงอย่างนั้นตอนแรกคนไข้ไม่มีสติที่จะคิดได้ หงุดหงิดโกรธ เทียวได้ไปว่าคนอื่นๆ ที่คุณหมอยังไปพูดจา ทักทาย ปราศรัย หาว่าเขามายุให้รำตำให้รั่ว นี่นะ คงไปแต่งเรื่องอะไรพูดให้คุณหมอเข้าใจผิดจนต่อมาๆ เริ่มมองเห็นตามเป็นจริง พอเห็นw ตามเป็นจริง เธอเล่าให้ฟังว่า จริงๆ นะ จิตอันนี้เวลาที่ไปยึดอยู่กับเงา ยึดอยู่ บมายาของสิ่งปรุง แต่งนี่ มันน่ากลัว| “เพราะจริงๆ" เธอเล่า “สารรูปของหนูตอน นั้นก็คงดูไม่ได้ ก็คนไข้โรคจิต ผมเผ้ารุงรัง หน้าตา ยุ่งเหยิง หนูส่องกระจกดูตัวเอง หนูยังแห้งใจเลย แล้วดูเอาเถอะ กิเลสยังทําให้ใจหนูปรุงคิดไปได้ว่า หนูเป็นนางเอก เป็นซินเดอเรลล่า คุณหมอมาหลง รักหนู"เวลาที่เราลืมตา มองดูความเป็นจริง เราก็ เห็น เราก็รู้ สติมาอยู่กับใจ“แต่ตอนนั้นถ้าใครมาบอกอย่างนี้ หนูแน่ใจ เลยว่าหนูฆ่าเขาตายได้เลย แล้วหนูก็ยังจะอาฆาต พยาบาทเขาต่อไปว่า ไอ้นี่จิตสกปรก มาอิจฉาริษยา เรา ตอนนั้นหนูเห็นตัวหนูสวยเป็นเจ้าหญิงจริง ๆนี่แหละ เวลาที่ใจเราไม่อยู่กับความเป็นจริง แล้ว มันน่ากลัว และในสภาวะอย่างนั้น ใครเอา ความจริงไปพูดให้ฟัง ก็ไม่ฟัง โกรธด้วย หาว่าเขา อิจฉาเรา แกล้งเรา ทําร้ายเรา ตกลงเราสร้างเวร สร้างภัยให้ตัวเองหนักเข้าไปอีกทีนี้ทำอย่างไรเราจึงจะไม่ไปติดมายาเหล่านี้ หลุ่มพลางเหล่าานี้มีอยู่ทุกๆ กระพริบตา ทีนี้ทําอย่างไรเราจึงจะไม่ไปติดในมายาเหล่าไม่ว่าอะไรเป็นผัสสะมาสัมผัสใจเราปุ๋บ มายาดึงเราไป ก่อน ก่อนที่สติสัมปชัญญะเหตุผลจะมาเป็นหลักให้ ใจของเรามองตามเป็นจริงเราไปพบสิ่งของอะไรเข้า เราก็เอาใจไปแปะแล้ว นี่ของของเรา คนที่ฆ่าฟันกันตาย ก็เพราะยืด ว่านี่ของของเรา พอใครวับๆ แวมๆ เข้ามา ยิงโป้ง ถาม ... ทําไม? ผู้ร้ายมักจะบุกรุกเข้าบ้านเราหรือคนบางคน ทั้งๆ ที่รู้ว่าของนี้มีเจ้าของ แล้ว โดยสมมติของโลก มันเป็นของของเขา แต่ เราอยากได้เสียอย่าง ทําไมล่ะ เพราะฉะนัน ใครดี ใครได้ เสียงภัยเอา ถ้าเราโชคดี เราก็ได้สําเร็จ ถ้า โชคไม่ดี ก็ไม่เป็นไร เข้าคุกก็ไม่เป็นไร อีก 2-3 เดือนก็ออกมาระหว่างอยู่ในคุกหรือ ก็ดีเสียอีกมี ข้าว 3 มื้อกิน รัฐบาลเลี้ยง คนอย่างนี้ก็มีเหมือน กัน คิดอะไรประหลาดๆ
พอเรามีความคิดที่ไม่ถูกไม่ต้อง ไม่เป็นความ คิดที่เป็นสัมมาทิฐิแล้ว ก็เดือดร้อนกันไปทั้งหมด เพราะว่ามนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม เราต้องอยู่ด้วยกัน เราไม่สามารถจะอยู่โดดเดียวได้ เมื่อเราต้องอยู่ ด้วยกัน ก็ต้องมีกฎเกณฑ์ตามสมควรนึกถึงอย่างเราอยู่หอ สมัยตัวเองอยู่หอ ก้นห้องละ 4 คน สมมติเรา 4 คนนี้ เกิดคนหนึ่ง ติดหมาอยู่ที่ไหนต้องมีหมาอยู่ด้วย แล้วก็เอาหมาตัวเล็กๆหมากระเป๋ามาเลี้ยง เพื่อนอีกคนเป็นคนที่ถูกขนหมาไม่ได้ พอถูกขนหมาเข้าแล้วลมพิษขึ้นอีกคนเป็นคนติดแมว ไม่มีแมวอยู่ด้วยรู้สึก โลกนี้เงียบเหงา ฉันอยู่หอก็จะต้องเอาแมวมาอยู่ ด้วย อีกคนกลัวแมวเหลือเกิน พอแมวเฉียดเข้า ใกล้ สติหลุด ร้องกรี้ดกร้าดลองคิดดู ถ้าแต่ละคนยึตอยู่ในโลกมายา ของใจตัวเองว่า ไม่ได้ ฉันอยู่ที่ไหน ฉันต้องมีหมา ของฉัน มีแมวของฉันอยู่ด้วย เพื่อนจะเป็นอย่างไร ช่างหัว ก็เอาหมาเข้ามาไว้ในห้อง เอาแมวมาไว้ใน ห้องหมากับแมว ปกติก็อยู่ด้วยกันไม่ได้อยู่แล้ว จะกลียุคสักแค่ไหน เดียวมันก็กัดกัน เดียวแมวก็ปีนขึ้นไปเตะเอาแก้วน้ำเอาอะไรต่อมิอะไรตกลงมาแตกตกลงในห้องนั้น 4 คนมีศึกสงครามกันทุกวันแล้วก็ประสาทกิน หนักเข้า ดีไม่ดีหออาจจะถล่มคนที่อยู่ห้องข้างล่างก็อาจจะตกใจตื่นขึ้นมา เพราะศึกสงครามระหว่างหมา แมว และคนในห้องนี่อยู่ เรื่อยๆเรามีเรื่องกระทบกระทั่งใจกัน เดือดร้อนใจกัน ก็อย่างนี้ เพราะอะไร เพราะเราคิตแต่เพียง ว่า เราก็มีสิทธินี่นาหรืออย่างสมัยที่ไปอยู่เมืองนอกด้วยกัน ทุกคนก็มีเหตุมผล ถ้าไปเช่าหอพักที่เมืองนอก ต่างคนต่างอยู่ มันก็จะแพงเหลือเกิน เพราะ 1 เหรียญเมืองนอกก็ตก 20-30 บาทของเรา ราคา ทารุณเหลือเกิน อย่ากระนั้นเลย ช่วยกัน เพื่อนรัก กัน ไปอยู่ด้วยกัน พออยู่ด้วยกันแล้ว จะเกิดเรื่องทํานองเดียว กันทังนั้นเลย เพราะอะไร อยู่บ้านก็ล้วนแต่ลูกบังเกิดเกล้าทั้งนั้น จะกินน้ำถ้วยหนึงก็เรียกสาวใช้หรือไม่อย่างนั้นก็ แม่นั้นแหละ บริการลูก จะทำ อะไรก็มีคนคอยทำให้ทั้งนั้นพอไปอยู่ที่โน่น ไม่มีใครจะบริการใคร กินนํา เสร็จวางแก้วทิงเอาไว้ กินข้าวเสร็จวางจานทิ้งเอาตกลงในที่สุดหาแก้วหาจานใช้ไม่ได้ ใครจะเป็นคนล้าง หนักเข้าก็ อันนั้นของเธอนี ก็ ทุ่มเถียงกันว่าใครจะต้องล้างถ้วยใบนั้น ทุกคนต่าง ก็อันนั้นถ้วยของเธอทั้งนั้น ทั้งๆ ที่ไม่รู้หรอกว่าของ ใครกันบ้าง ในทีสุดก็ตีกัน อยู่ด้วยกันไม่ได้ ต้องไปหาบ้านใหม่อยู่เวลาที่เราไม่รู้สภาวะตามเป็นจริง ไม่ว่าอยู่ที่งไหนเป็นมีเรื่องที่ทําให้เกิดทุกข์ขึ้นมาทั้งนั้น เมื่อเกิดทุกข์ขึ้นมาแล้วก็ไม่ได้มีสติยังคิดว่า เหตุเกิดที่ในใจของเรา เหตุเกิดที่ความคิดของเรา เราคิด ไม่ถูกต้องเที่ยงตรง ต้องแก้ที่ตัวเรา ไม่ใช่จะไปแก้ ไปเที่ยวเล่าให้เพื่อนฝูงฟังนี้นะเธอ ฉันไม่เคยนึกเลยว่าเขาจะเป็นคนอย่างนี้ๆ อยู่ที่เมืองไทยก็เห็นดี อุตส่าห์ชวนมาอยู่เป็นเพื่อนด้วย” เอาบุญเอาคุณอีก“ไม่นึกเลยว่าจะมาทําฉันเจ็บแสบอย่างนี้”ต่างฝ่ายต่างก็ไปพูดต่อๆ กันตกลงเรื่องก็บานปลาย เรื่องจริงๆ เกิดขึ้น 1 ครั้ง 1 เรื่อง เล่า ไป เล่าไป เล่าไป ก็กลายเป็นว่าการไม่ล้างถ้วยล้าง ชามนี้ งอกเป็นร้อยครัง พันครัง มากมายระหว่างนี้คู่กรณีก็เริ่มได้คิด ต่างคนต่างอ่อนแรงลงทังคู่ เริ่มมองเห็นที่ผิดของตัว เออ เรา จะปรับใจของเรา ปรับตัวของเรา อย่างไรๆ เขาก็มีความดี เคยดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ พอความโมโหลด น้อยลงไป ความคิดที่จะแก้ไขตัวเอง ที่จะให้อภัยกันก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นครั้นไปได้ยินคนอื่นสะท้อนเอาเรื่องเก่ามาเล่า ให้ฟัง เหมือนไฟกําลังเริมจะมอดแล้ว กลับเอาน้ำมันเบนซินมาเทราด“นี่เธอเขาบอกว่าเธอนี่นะ กินแล้วก็ไม่ล้าง สุมชามไว้ให้เขาล้างตั้งร้อยครั้งพันครั้ง”ความโมโหก็ลุกโชนขึ้นมาใหม่ แหม ดูสิ เรา กำลังคิดแล้วว่าจะอดทนยอมไปขอโทษ ยังเอาเราไปนินทาเสียๆ หายๆ เราไม่ได้ล้างครั้งเดียวเท่านั่น แหละ มาเอาเราไปพูดว่าร้อยครัhงพันครั้งจริงๆ คู่กรณีที่พูด ก็พูดครังเดียวเอง แต่พอ พูดกบคนหนง คนที่หนึ่งไปพูดกับคนที่สองไปพูดกับคนที่สาม พอถึงคนที่ร้อย หนึ่งครังก็เลย กลายเป็นร้อยไปเวลาที่ฟัง ถ้าฟังไม่ดี เราแพ้ภัยตัวเอง แล้วก็หลงโกรธ ไปถึงเราก็จัดแจงไปซึ่หน้าว่าเขา คน อะไร โกหก ไม่มีศีลมีสัตย์เขาเอง ในใจก็กำลังอ่อนยวบลง เออ จะได้ มาประนีประนอม สมานสามัคคีกัน พอโดนเราไปชี้หน้าด่าเปิงๆ เข้าอีก ก็เกิดฮึดสู้ ตกลงก็เลยตีกันวินาศแตกหักไปการที่เราทะเลาะวิวาทโกรธแค้นกันจนมองหน้ากันไม่ได้นี้ ถ้าไปสืบสาวราวเรื่องดูให้ดีๆ แล้ว อาจจะไม่ได้มีเรื่อง แต่มีใครต้องการผลประโยชน์หรือไม่มีใครต้องการผลประโยชน์ แต่เพราะความ พูดเพ้อเจ้อจิตอกุศลกรรมบถ 10 ของเราบกพร่อง เรืjองไม่ควรพูด ไม่มีสาระประโยชน์ ผิดกาลเทศะ เราก็พูด พูดเพียงเพราะว่าอัดอั้นตันใจ ขอให้ได้พูดไป เถอะ พูดไปแล้วก็ไม่ได้คิดหรอกว่าจะมีผลอย่างไรหรืออย่างบางที่ คู่รักทะเลาะกัน สามีภรรยา ทะเลาะกัน แล้วมาเล่าให้เราฟัง เราฟังแล้วก็เชื่อ ตามหมด เราก็แนะนำเขา“เธอเอ้ย ถ้าเขาเลวอย่างน้ เธอตัดใจเสีย เถอะ หย่าเสียเลย อย่าอยู่กันต่อไปเลย เพราะว่า อยู่ไปก็รังแต่จะเจ็บใจเปล่าๆ”เวลาเขาเล่า เขาเล่าแล้วเขาก็สบายใจ กลับไปถึงเขาก็ไปดีกัน พอดีกัน เขานึกขึ้นมาได้ เขาก็ เล่าให้คู่รักหรือสามีเขาฟัง“คุณรู้ไหม เพื่อนฉันเขายุให้ฉันหย่ากับคุณเขาบอกว่าคนเส็งเคร็งอย่างนีน่ะ อยู่ด้วยทําไมกันอีกหน่อยก็เสียใจเปล่าๆ”ต่อมาเราไปเจอเอาคู่รักเขา สามีเขาเข้า เขา ะบัดไม่พูดกับเรา ทั้งๆ ที่เราก็ไม่รู้ว่าได้ไปทำอะไร เข้าไว้นี่แหละ เรื่องไม่เป็นเรื่อง เขาพูดก็ให้เขาพูด ไป เพราะเขากําลังต้องการถังขยะระบายอารมณ์เราก็ทําตัวเป็นถังขยะที่ดี ฟัง แล้วก็กองทิ้งเอาไว้ตรงนัน ไม่ต้องหอบเก็บมา หรือไม่ตัองทำตัวเป็น ผู้สันทัดกรณีไปให้คำแนะนำเขาเข้า เพราะธุระไม่ใช่ ธุระของเรา อย่าไปยุ่ง ถ้าเราไปยุ่ง ไปหลงสำคัญผิด คิดว่าเราเป็นปรมาจารย์แล้ว เราแหลกหรืออีกกรณีหนึ่ง ท่านอาจารย์เคยเล่าให้ฟังถึงเวลามีเหตุอะไรเกิดขึ้น แล้วจิตใจเราไม่หนักแน่น เราไปเชือหมด ใครพูดอะไร เราปลิวเป็นนุ่นตามไปเลย ก็เกิดผลเสียหายหลสยแสน อย่างเรื่องนี้ท่านเล่าว่า มีวัดๆ หนึ่ง มีพระอยู่กัน 2 องค์องค์หนึ่งทำหน้าที่เป็นเจ้าอาวาสอีกองค์หนึ่ง ทั้ง ๆอายุไล่เลี่ยกัน แต่ท่านปฏิบัติดีกันทังคู่ ท่านก็ถ้อยที ถ้อยอาศัย องค์ที่เป็นพระลูกวัดก็ปฏิบัติพระเจ้า อาวาสประหนึ่งเป็นพระเถระผู้ใหญ่ ถึงเวลาก็มา ปูอาสนะ เตรียมจัดตั้งเครื่องบริขารไว้ให้ ดูแลเป็นอย่างดีด้วยความสุภาพนอบน้อมทั้งสององค์ต่างก็ยกย่อง สรรเสริญซึ่งกันและ กัน ต่างองค์ต่างปฏิบัติจิตใจ มีภูมิธรรมสั่งสอน ชาวบ้าน หมู่บ้านนั้นก็ร่มเย็นเป็นสุข เพราะได้หลักธรรมจากพระเป็นที่หล่อเลี้ยงจิตใจให้ตั้งมันอยู่ในศีล ในธรรม ประพฤติปฏิบัติตนเป็นคนดีต่อมามีพระอาคันตุกะองค์หนึง เป็นพระนัก พูด ไม่ปฏิบัติ คารมคมคาย พูดจาถูกอัธยาศัยคนฟังมาก ท่านมาขอพักอาศัยอยู่ที่วัดนี้ และสังเกตเห็นว่าหมู่บ้านนี้อุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านเลื่อมใสศรัทธา ทำบุญเป็นอันดี ท่านเกิดจิตโลภอยากครอบครองวันนี้ท่านก็จัดแจงยุให้รำตำให้รัว พอพระผู้น้อยไป ทำข้อวัตร เป็นต้นว่าไปกวาดลาน ไปทําอะไร ท่าน ก็ไปหาพระผู้ใหญ่ แล้วก็พูดยุให้รําตําให้รั่ว เป็น ทำนองว่า พระผู้น้อยมาบ่นกับท่านว่าอึดอัดคับข้อง พระผู้ใหญ่ปกครองเอาแต่ใจตัวเองแล้วท่านก็ไปหาพระผู้น้อย ซุบซิบว่า พระผู้ใหญ่บ่นพระผู้น้อยว่าขี้เกียจขี้คร้าน คือวางเพลิงทางโน้นที ทางนี้ที จนในที่สุด ทั้งๆ ที่ทั้งสององค์ กลมเกลียวรักใคร่กัน ก็เริ่มแหนงใจกัน เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจอีกองค์หนึ่ง จนกระทั่งสุดทจะทนอยู ด้วยกันได้ แต่ก็ไม่คิดที่จะถามไถ่ซึ่งกันและกันต่างองค์ต่างก็คิดว่า เราจะเป็นฝ่ายเสียสละออกไป เสียเอง อีกองค์จะได้อยู่อย่างมีความผาสุกทั้ง 2 องค์จึงต่างหอบบาตร หอบอัฐบริขาร ธุดงค์ออกไปคนละทิศคนละทาง วัดนั้นเลยตกเป็น ของพระอาคันตุกะ สมกับที่ท่านมีจิตสกปรกวาง แผนเอาไว้อยู่ไปได้มิช้ามินาน กาลเวลาก็เป็นเครื่อง พิสูจน์บุคคล เพราะแต่เดิมมา ชาวบ้านได้ฟังธรรม ของจริงของแท้จากพระที่อยู่ก่อน ได้เห็นข้อวัตร ปฏิบัติที่เป็นสุปฏิปันโน อุซุ ญายะ สามีจิปฏิปันโน คือ ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติสมควร แก่ธรรม เป็นที่ร่มเย็นเป็นสุข อาคันตุกะซึ่งดีแต่พูดอย่างเดียว แล้วก็ดีแต่ยุแยง ตะแคงข้าง ชาวบ้านก็เริ่มระส่ำระส่ายในที่สุดก็จับความจริงได้ว่า ที่พระของเรา หายไปคนละทิศคนละทาง ก็เพราะพิษลมปากของ พระองค์นี้ ที่กำลังทำให้กิเลสในใจของพวกเราพัด ขึ้นมา จนกระทั่งจิตใจรวนเรระสําระสายกันไปหมด ก็เลยขับไล่พระอาคันตุกะไป แล้วพยายามติดตาม
หาพระของตัว ตามหาเท่าไรก็หาไม่พบ จนเวลา ล่วงไปเป็นปีๆฝ่ายพระทั้งสององค์นี้ไปอยู่ที่ไหนๆ ธุดงค์ไป จิตใจก็ยังระลึกนึกถึงกัน เพราะว่าเคยอยู่ร่วมกันมา มีน้ำใจเอื้อเฟื้อต่อกัน ในที่สุดทนไม่ไหว ต่างฝ่ายต่างก็กลับมาทีวัตนัน มาเจอกันเข้าก็ดีอก ดีใจ เล่าสุขทุกข์สู่กันฟัง จึงได้รู้ความจริงว่า ที่เราต่างน้อยอกน้อยใจ เสียใจ เพราะเราเข้าใจกันผิด ถูกพระอาคันตุกะยุแยง ทั้งๆ ทีไม่มีความจริงอย่าง นั้นเลย พอเข้าใจกันแล้ว ก็ขอโทษซึ่งกันและกัน กลับมาอยู่วัดนั่นร่วมกันอย่างเดิมด้วยความร่มเย็น เป็นสุขว่า ถ้าเราไม่วางใจของเราให้หนักแน่นเข้าไว้ ปล่อยให้ความยึดผิด มายา เงาของใจหรือกิเลสพัดขึ้นมาเวลาถูกลมปากหรือถูกเหตุการณ์อะไรที่ไม่จริง ทำให้ตะกอนในใจกระพือขึ้นมา และเราไม่เอาสติเอา ปัญญาเข้าไปสอบทานให้แน่นอน เราก็กลายเป็นข้าทาสของกิเลสเหล่านี เอาปากของเรา เอาร่างกายของเราเป็นขี้ข้ามัน กระทำผิดๆเกิดเป็น วิบาก ของเราไปเป็นขี้ข้ามัน กระทำผิดๆ เกิดเป็นอกุศล วิบาก ทำให้ตัวเราก็เดือดร้อน ผู้เกียวข้องกับเราก็ เดือดร้อนไปด้วยลองย้อนนึกไปเถอะ ว่าในชีวิตของเรา เราทำทุกข์ให้กับตัวเราด้วยเหตุอย่างนี้ก็ด้วยใจของเราเองไปยึดว่าเราจะพบว่า ทุกครังทีเรามีทุกข์ ถ้าจดจ่อมอง จริงๆ เราเสร็จมัน เราถูกเงาของใจเราเองลวงเราทุกครั้ง ถ้าไม่ใช่ด้วยความเข้าใจผิดอย่างนี้ ก็ด้วยใจของเราเองไปยึดว่า คนคนนเป็นของของเรา น่าจะรู้ใจเรา น่าจะต้องเป็นอย่างนี้ อย่างนี้ พอเขาไม่ เป็นเข้าก็โกรธแต่ไม่ย้อนคิดว่า เราเองใช่ไหม ที่ไม่รู้จักเขา จริง ๆ แล้วไปคิดเอาเองว่าเขาน่าจะเป็นอย่างนั้น ครั้นเขาเอาตัวจริงของเขามาแสดงให้เราดู เรากลับปิดหูปิดตา ไม่ดูความจริง แต่ไปยึดกับสิ่งที เราคิดเอาเอง แล้วก็คิดผิดด้วย ไม่ได้คิดถูกพอเราค่อยเห็นอย่างนี้ มีอะไรเกิดขึ้นปุ๊บ ของเราจะหงุดหงิด จิตของเราจะน้อยอกน้อยใจ เสียใจ ทุกข์โทมนัส ให้หยุดคิด แล้วถามตัวเองว่า เรา กำลังตื่นเงา อะไรที่เราทำหลอกตัวเอง แล้วจะเห็น แล้วเราก็จะเริ่มต้น แก้ไขที่ใจของเรา ไม่ไปแก้ของ อื่นข้างนอกคนบางคน ทั้งๆ ที่เห็นแล้วว่าสาเหตุมาจาก ใจของเรา แต่ก็ยังเกี่ยงงอน ก็เขาน่าจะรู้กิเลสของ เรา เอาอกเอาใจเราสักหน่อยจะเป็นไรไป จะใจไม้ ไส้ระกําไปถึงไหนกัน ถ้าเราไปคิดว่า โลกสมมติ คือ ของนอกกายนอกใจเรา น่าจะต้องเป็นอย่างที่เรา อยาก นี่แหละมายาทั้งนั้นเลย เพราะ น่าจะเป็น ไม่ ใซ่ เป็นจริงเราบอกตัวเราเลยว่า ถ้าคิดอย่างนั้น หยุดคิด ลืมตามองความจริง ความจริงเป็นอย่างไร รับเข้า มาไว้ แล้วเอาสติปัญญาไปแก้ไข ว่าของจริงที่เป็นนี้ ทำให้เกิดเหตุไม่ดีงาม ทำให้เกิดเหตุขัดข้องอย่างไร เราจะได้แก้ไขสติปัญญามีที่จะแก้ไขได้แค่ไหน ก็แก้ไขไป เท่าที่เราจะแก้ได้ ไม่เป็นคนหวังผลเลิศ ว่าแก้แล้วจะต้องดีสุดยอด เพราะบางที่กาลเทศะเอื้ออำนวยให้แก้ได้แค่นั้นเอง ก็พอใจแค่นั้นเราอยู่กับปัจจุบัน แก้ได้เท่านี้ เอาแค่นี้ก่อน แต่ไม่ได้หมายความว่าเรายอมแพ้แค่นี้ เรา อยู่ด้วย ปัจจุบัน ขณะนี้เราไปได้แค่นี้ เอาแค่นี้ พรุ่งนี้เรามี สติปัญญาเพิ่มขึ้นอีก เหตุการณ์แวดล้อมเปลี่ยนแปลง ไป เอื้ออํานวยให้เราแก้ได้อีก เราก็แก้ต่อไปอีก ชีวิตของเราก็คือแบบฝึกหัดของการปฏิบัติอยู่ ไม่ว่าผัสสะอะไรมากระทบ ให้เราจําเอาไว้ว่า เมื่อไรใจเราเดือดร้อน เมื่อไรใจเราไม่สงบผาสุก แปลว่า เงา มายา หลอกเราแล้ว เราหลงในฤทธิ์ ของอุปาทานอุปาทานคืออะไร คือยางของภพชาติ คอย หลอกให้เราเที่ยวได้ไปงอกตรงโน้น งอกตรงนี้ ตรงนั้นอยู่เรื่อย ไม่รู้จบรู้สิ้น ไม่เอาด้วยแล้วเราจะได้เอาสติจ่อดูใจตัวเอง มีอะไรเกิดขึ้น แก้ไขที่ตัวเอง ทําให้ยางอุปาทานค่อยๆ หายเหนียว หายเยิม มิฉะนั้น มีอะไรบุ๊บก็จะไปงอก จะไปยึดติด เอาไว้ทันทีอย่างสมัยพุทธกาลอีกนั่นแหละ คนหนึ่งไม่ยอมทำบุญทำทาน ตระหนี่ถี่เหนียวมาก ทีนี้เป็นลมปัจจุบันตายไป ตายไปแล้วจิตยังห่วงอยู่ใน สมบัติที่ไม่ทันได้บอกลูกว่าเอาไปซุกไปซ่อนไว้ตรงไหน ก็เลยมาเกิดในท้องหมาที่กําลังท้องแก่ในบ้านของตัว เองนั่นแหละ พอเกิดออกมา เพราะความที่เพิ่งตาย ไปแล้วมาเกิดทันที จิตที่ยังผูกพันกับลูกชายก็สัมผัส กับจิตลูกได้ลูกก็ พอแม่หมาคลอดลูกมา ให้ชื่อว่าเจ้าโทน รักลูกหมาตัวนี้มาก ถึงขั้นที่ทําจานข้าวทองคำให้ ฟูกให้นอน มีบ่าวให้คอยอาบน้ําดูแลอย่างดีวันหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จบิณฑบาตผ่านหน้า บ้านพราหมณ์ลูกชาย ก็รู้ว่าวาสนาของพราหมณ์ลูก สามารถรับธรรม เปลี่ยนความเชื่อจากพราหมณ์ มาเป็นพุทธบริษัทได้ พระพุทธองค์ก็ทรงแย้มพระ โอษฐ์ เพราะพราหมณ์พ่อที่มาเกิดเป็นหมาออกมาเห่า ตรัสกับหมาว่า“โตชยพราหมณ์เอ๊ย” โตชยพราหมณ์ คือซือ ของพราหมณ์พ่อ“โตชยพราหมณ์เอ๊ย สมัยเป็นคนเจ้าก็ตระหนี่ ถี่เหนียว ไม่เคยแม้กระทั่งจะใส่บาตรเรา บัดนี้เจ้า ตกต่ำ เสวยผลกรรมมาเกิดเป็นหมาแล้ว เจ้ายังไม่ สำนึกตัวอีกหรือ ยังมาเห่าเราให้เป็นบาปต่อไปอีก แล้วเดี่ยวจะไปเกิดเป็นอะไรต่อไปอีกเล่า”โตชยพราหมณ์ ภาษามนุษย์ได้ พอพระพุทธองค์ตรัสอย่างนั้นก็รู้สึก โศกเศร้าในใจ น้ำาตาไหล กัมหน้าวิ่งกลับเข้าบ้านไป แทนที่จะไปกินข้าว หรือนอนที่ฟูกของตัว ก็ไปซุก ในครัว นอนร้องไห้ต่อ บ่าวที่พราหมณ์ลูกให้ดูแลเจ้าโทน ก็เอาเรื่อง นี้ไปเล่าให้พราหมณ์ลูกฟังว่า พระพุทธเจ้าเสด็จมา แล้วตรัสอย่างนี้กับหมาพราหมณ์ลูกชายขุ่นเคืองในใจว่า ทำไมสมณโคดมจึงทำอย่างนี้ ปกติท่านก็ไม่ใช่คนก้าวร้าว ก่อ เหตุวิวาทกับใคร แล้วเรื่องอะไรท่านถึงมาล่วงเกิน เรา ว่าหมาเป็นพ่อเรา ก็เกิดความโกรธ แต่งเนื้อ แต่งตัวไปที่เชตวันมหาวิหาร ไปถึงก็ตั้งใจว่าจะเข้าไปต่อว่าพระพุทธเจ้า บังเอิญพระพุทธเจ้ากําลังทรงแสดงธรรมอยู่ พราหมณ์รู้กาลเทศะก็นังฟังจนจบ พอจบแล้วก็ตั้งใจจะต่อว่าพระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าท่านเล็งรู้ความในใจ ไม่คอยให้ พราหมณ์หนุ่มต่อว่า ท่านตรัสถามว่า“เจ้าเคยเห็นใช่ไหมว่า พ่อเจ้ามีถาดทองคํา ใบใหญ่อยู่ใบหนึ่ง แล้วเดี่ยวนี้ถาดทองคําใบนั้นไปอยู่เสียที่ไหน”พราหมณ์ก็นึก.. เออจริง..ทำไมพระพุทธเจ้าถึงมาล่วงรู้ ว่าสมัยที่พ่อมีชีวิตเคยมีถาดทองคำ ใบใหญ่ใช้ แล้วตั้งแต่พ่อตายไปก็ไม่เห็นถาดทองคํา ใบนั้นอยู่ที่ไหนพระพุทธองค์ตรัสต่อไปว่า แล้วเจ้าอยากได้ ถาดทองคํานั้นไหมล่ะ”พราหมณ์หนุ่มก็บอกว่าอยากได้พระพุทธเจ้าตรัสว่า “กลับไปนี เจ้าให้คนใช้ เอาหมาของเจ้าไปอาบน้ำให้สะอาด แล้วจัดหาข้าว ให้กินจนอิ่ม ปล่อยให้หลับตาบสบาย ตื่นขึ้นมา แล้วเจ้าไปบอกหมาของเจ้าว่า พ่อจำ ฉันอยากได้ถาดทองคําใบใหญ่ ให้พ่อพาไปหาหน่อย เจ้าจะทํา ได้ไหม”พราหมณ์หนุ่ม ใจหนึ่งก็อยากได้ถาด ก็นึก ที่ พระพุทธเจ้าตรัสนี่ก็ถูกทั้งนั้น ท่านมารู้ได้อย่างไร ว่าสมบัติในบ้านเรามีอะไรบ้าง อีกใจหนึ่งก็ยังขุนอยู่ เรื่องอะไรมาว่าหมาเป็นพ่อเรา แต่ลึกๆ ในใจก็นึก การทำตามพระพุทธเจ้าตรัสก็ไม่มีทางเสีย ถ้าสิงที ท่านตรัสเป็นจริง เราก็ได้ถาดทองคำคืนมา แต่ถ้า ท่านตรัสเท็จ เราจะได้ประกาศให้โลกรู้ว่าสมณโคดมตรัสเลื่อนเปื้อน ไม่น่านับถือ คนจะได้เลิก นับถือพระพุทธเจ้า หันกลับมานับถือลัทธิพราหมณ์พราหมณ์ก็รับคำ กราบลาพระพุทธเจ้ากลับ บ้าน มาบอกให้คนใช้ทำตามพอเจ้าโทนตื่น ก็ลงไปพูดอย่างนั้น ลูกหมาก็ พาวิ่งเข้าไปในสวน พอถึงต้นไม้ใหญ่ก็ตะกุยดินตรง นัน พราหมณ์หนุ่มสั่งคนใช้ให้ขุดลงไป พอขุดลง ไปพอสมควรก็ไปกระทบกับโลหะ ปรากฏว่าได้ถาด ทองคําขึ้นมาจริงๆจิตใจของพราหมณ์พ่อซึ่งห่วงถาดทองคําใบนี้อยู่ พอลูกชายได้ถาดทองคําแล้ว จิตที่ยืดห่วงหวงอยู่ต้องการให้ลูกรู้ ก็ปล่อยวาง ลูกหมาก็ขาดใจ ตายพราหมณ์หนุ่มเกิดความสลดใจว่า แต่เดิมเรา เชื่อในลัทธิพราหมณ์ คิดว่าคนเราเกิดเป็นคนแล้วก็ต้องเกิดเป็นคนเรื่อยไป พ่อเราเป็นถึงเศรษฐี มีคน นับหน้าถือตา ยังไปเกิดเป็นหมาได้ แล้วนี่ตายจาก หมา จะไปเกิดเป็นอะไรอีก ก็เกิดวิตกหวันใจ กลัวว่า ที่เรานึกว่าเรามีที่พักพิง เรารู้ เรามั่นใจในชีวิต จริง ๆ เราไม่รู้อะไรเลย พระพุทธองค์คงจะสามารถ ตอบคําถามเราได้ พอตกค่ำ พราหมณ์หนุ่มก็แต่งเนื่อแต่งตัวไป เฝ้าพระพุทธเจ้าอีก แล้วทูลถามปัญหาหลายข้อพระพุทธองค์ก็เทศน์โปรด ฟังแล้วพราหมณ์ก็เกิด ปัญญา บรรลุโสดาบัน ปวารณาตัวเป็นพุทธบริษัท เลือมใสปฏิบัติต่อไปจนสิ้นอายุขัยนี้ก็เป็นตัวอย่างอีกอันหนึ่งที่ซีให้เห็นว่า ถ้าไม่มี สติปัญญาฝึกจิตใจของตัวเอง เราก็ไปยึดใน อุปทานขันธ์ แทนที่จะเห็นสภาพร่างกายและจิตใจของเรา ตัวยความเป็น ขันธ์ ล้วนๆ ว่า ประกอบไปด้วยกาย และจิต กายคือ รูป จิตก็มีอาการอยู่ 4 อย่าง คือรับรู้ความรู้สึกเป็น เวทนา จำได้หมายรู้สัญญา นึกคิดได้เป็น สังขาร แล้วก็รับรู้ วิญญาณเมื่อ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส มากระททบอายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส ก็มีวิญญาณของแต่ละอายตนะไปรับรู้ เป็นต้นว่า รูปมา กระทบตา ใจก็ไปรับรู้เป็นจักขุวิญญาณ ทำให้เรารู้ ได้ เพราะคนตายแล้ว ถึงตาลืมอยู่อย่างนี้ก็ไม่เห็นเพราะว่าไม่จักขุวิญญาณอยู่อาการของใจก็เป็น เวทนา สัญญา สังขาร วิณญาณ ถ้าเป็นเฉยๆ อย่างนี้ เราก็ไม่มีทุกข์กัน หรอก แต่เพราะเราเอาอุปาทาน เอามายา เอาเงา ของใจไปยึดเป็นอุปาทานขันธ์ รูปร่างกาย เราก็บอก นี้ร่างกาย ของเรา พอมันเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ เราไม่ปรารถนา ชักจะปวดเมื่อยตรงนี้ตรงนั้น เราก็ เดือดเนื้อร้อนใจ เริ่มมีตีนกาขึ้น เราก็ชักกระสับกระส่าย เราไม่อยากแก่ จะต้องไปหาอะไรมาช่วย ประเทืองโฉมเอาไว้ เขาบอกมียาอายุวัฒนะ มีครีม อะไรมาทำให้ไม่แก่ เราก็จัดแจงไปหาไปทำทั้งนั้นใจก็เหมือนกัน พอรู้สุขรู้ทุกข์ขึ้นมา էแทนที่ จะรู้ว่า ตอนนี้สุขนะ ประเดี่ยวก็จะเปลียนไป ไม่ได้พอสุขแลว ทําอย่างไรเราจะยึดเอาไว้ ทำอย่างไรจึงจะให้ความสุขอันนี้เป็นนิจนิรันดร พอมความทุกข์ ขึ้นมา ก็ไม่ตั้งสติดูว่า ความทุกข์เกิดขึ้นแล้วย่อม แปรปรวนเปลียนไป โอ๊ย ทําอย่างไรจึงจะผลักไสความทุกข์อันนี้ไปได้ ดิ้นรนกระวนกระวาย ใครเขาบอกว่า มีอะไรวิเศษ มีอะไรๆ ก็จะไปทั้งนั้นด้วยความที่เรายึกผิด เราก็เลยเอาอิสรภาพของเราไปขาย เพราะแทนที จะเอาสติเอาปัญญาไว้กับใจ ดูให้รู้ตามเป็นจริง เขาบอกนี่นะ ผู้วิเศษคนนั้นสามารถทำให้คุณหายเจ็บ หายปวดได้ วิ่งไปเลย เขาบอกให้ทำอะไร ทำทั้งนั้นซึ่งเราก็ไม่รู้ว่า การไปทําตามทีเขาบอกนันจะเหมือน ไปทําสนธิสัญญาเป็นพันธมิตรกับโจรหรือเป็นพันธมิตรกับอะไรที่จะเป็นอันตรายร้ายแรงกับเราต่อไปในภายภาคหน้า เราก็รู้ไม่ได้จิตใจของเราทีแต่เดิมเป็นชาวพุทธ เชื่อในพระพุทธ พระธรรม ในเครื่องรางของขลัง ไปเชื่อในอิทธิฤทธิ์ ไปเชื่อในไสยศาสตร์ แล้วเราก็งมงาย เพราะจิตใจที่ไปกลัว ไปเชื่อในสิ่งไม่มีเหตุผลเหล่านั้น เป็นเสมือนมีเมฆหมอกของนิวรณ์มาบัง จนกระทั่ง สติปัญญาที่เห็นตามเป็นจริงไม่โผล่ออกมาเป็นแนว ทางให้เราคุ้มตัวรอด มีตนเป็นที่พึงแห่งตนได้เมื่อใจไปยึตเอาไว้อย่างนี้ อะไรเกิดขึ้นก็ทุกข์ ไปหมด อะไรที่จะทำให้เราหวาดหวั่นว่า สวัสดิภาพ ความปลอดภัยของธาตุขันธ์ของเราถูกกระทบกระเทือน เรายอมทั้งนั้นเราจะเห็น คนบางคน พอเจ็บเข้าหน่อย ไม่ ว่าใครบอกให้ทำอย่างไร จะไปทำพิธีเซ่น ทำพิธีบนทำพิธีสะเดาะเคราะห์ ทำอะไรๆ ทำทั้งนั้น โดยไม่เคยไตร่ตรองเลยว่าการทำอย่างนั้นถูกหรือผิด บางทีต้องไปฆ่าชีวิตโน้น ชีวิตนี้มา เพื่อเอามาให้ตัวเราปลอดภัย ทําไมไม่ฉุกคิดบ้างว่า ชีวิตเรา เรายังรักแล้วชีวิตคนอื่น สัตว์อื่น เขาไม่รักบ้างหรือ เรายัง ต้องการให้ตัวเราปลอดภัย แต่เราเอาความปลอดภัย ของเราจากความทุกข์ของคนอื่น มันถูกต้องสมเหตุ สมผลแล้วหรือเวลาที่เราหลงไปในความยึดผิดเห็นผิด ใจของ เรากลิงไกลออกไปจากการเอาตนเป็นที่พึ่งแห่งตนอย่างนี้เอง แล้วก็ทำทุกข์ทำโทษให้ตัวเองโดยไม่รู้ตัว ตอนทำเราไม่รู้ เราเหมือนคนหลับ แต่ทำไปแล้วผล
เกิดขึ้นมา คราวนี้เราบ่น ทำไมฉันถึงเจอแต่เรื่อง ร้ายทั้งนั้น ทำไมคนโน้นคนนี้เขาถึงมีความสุข ทำไม ฉันยิ่งทํายิ่งทุกข์หนักเข้าไป แต่ไม่ได้เอาสติมายังคิด เวลาท่า ว่าเราทําสิงมีเหตุผล หรือทําสิ่งที่เป็นเหตุ แห่งทุกข์ท่านจึงว่า ขันธ์แท้ ๆ เป็นสภาวะธรรมชาติ แต่อุปาทานขันธ์เป็นรวงรังแห่งทุกข์ พอยึดว่า นี่ก็กาย ของเรา นี่ก็ใจของเรา มันทุกข์ไปหมด เพราะมีของเรา นี่แหละ เราต้องไปกีดกันฟันสับคนอื่นออก ไป เพราะไอ้นีไม่ใช่ของเรา จะมาเบียดเบียน จะมาแย่งเรา เพราะฉะนั้น ต้องปัดมันออกไป ตกลง เกิดอะไรขึ้น เกิดอคติ เกิดความลําเอียง เกิดอกุศล เกิดสิ่งที่ทำให้เราเองหนัก เดือดร้อน เพราะเราทําแต่สิ่งเบียดเบียนคนอื่นแล้วมองอีกแง่หนึ่ง ก็เบียดเบียนตัวเองด้วย เพราะอะไร เวลาที่เราบอก นีของเรา เราหวงแหนความหวงแหนอันนี้ก็เป็นทุกข์ในตัวอยู่แล้ว เพราะเดี่ยวเกิดหายไป เดี่ยวใครมายื้อแย่ง ตกลงไม่เป็น อันกินอันนอนเหมือนอย่างเรื่องเศรษฐีเห็นขอทาน ตกคำก็มานอนเป่าขลุ่ยอยู่ที่ซุ้มประตูหน้าบ้าน เอ ขอทานคนนี้ทำไมจึงมีความสุขกว่าเรา เราเป็นเศรษฐีมีเงินเป็นร้อยล้านพันล้าน ยังกังวลเรื่องโน้นเรื่องนี้อยู่เรื่อยอย่ากระนั้นเลย เอาเงินชั่งหนึ่งไปไห้ขอทาน ปรากฏว่าเสียงขลุ่ยเงียบเลย ไม่ได้ไปไหนหรอกก็ยังอยู่ ซุ้มประตูนั่นแหละแต่เพราะว่าเงิน 1 ชั่งนี่ของฉันเอาฝังดินไว้ก็ห่วงเดี่ยวใครมาขโมยขุดไปฝังเอาไว้ เดียวสะดุ้งตีน ขุดเอาขึ้นมาเคียนพุงไว้ เคียนพุงไว้ นอนไปสักหน่อยชักหนักพุง คืนไม่เป็นอันทำอะไร เพราะความยึดว่าเงิน 1 ชั่งนี้เป็นของเรา ตกลงขลุ่ยก็ไม่มีเวลาเป่า นอนก็ไม่มี เวลานอน เพราะสะดุ้งกลัวว่าเดียวใครจะมาขโมยเงิน 1 ชั่งนี้ไปอุปาทานความยึดจึงเป็นรวงรังของทุกข้อย่าง นี้เอง แล้วคิดดู แค่ยึดเงิน1 ชั่ง ยังทุลักทุเลไม่เป็นอันกินอันนอนถึงแค่นั่น แล้วไปยึดร่างกายนีก็ของ เรา ไอ้นันก็ของเรา ไอ้โน่นก็ของเรา โลกทั้งโลก ของเราทั้งนั้น แล้วมันจะหนักกี่แสนตันกันล่ะ จะ ไม่ไหล่ลู่จนกระทั่งหัวอกหัวใจพังไปเลย แล้วจะเป็น อย่างไรนี่แหละที่มันหนัก ขันธ์ทั้งห้า พอเราไปยึด เข้าแล้วหนัก ภารา หเว ปญจกุขนุธา หนักจนแบก ไม่ไหว จนกระทั่งอกไหม้ไส้ขม จนกระทั่งเทียวได้ ไปก่อเวรก่อภัย อคติกับคนรอบข้างไปหมดเห็นอย่างนี่แล้ว จะทำอย่างไรดีล่ะ ค่อยๆ ปลด วางเสีย ค่อยๆ เอายางของอุปาทานไปตากให้ แห้ง เหมือนเวลาเราฟันไม้ที่ยังสด เอาไปเผาไฟก็ ไม่ติด เพราะยังชื่น ยังมียางอยู่ ให้เอาไปตาก ตาก ด้วยอะไร แสงของสติปัญญาเป็นเหมือนแดดหรือไฟ ที่เผายางของอุปาทาน ความหลง ความยึดในเงา ความเห็นผิด มายาทังหลาย ให้หาย ให้แห้งเหือดไป ถ้าเมื่อไรตะวันอยู่ตรงกลางศีรษะของเรา ไม่ มีเมฆ ไม่มีหมอก ไม่มีเงาหรอกแต่ถ้าเมื่อไร ครึมฟ้าครึ่มฝน สติปัญญาถูก เมฆหมอกของความอยาก ความลังเลสงสัย ความ กลัวนิวรณ์ทั้งหลายบังอยู่ มายาเยอะแยะไปหมด ไอ้: โน่นก็อยาก ไอ้นี่ก็อยาก คือเรียกว่าใจเราเต้นระบำ รำฟ้อน มีมือสักแสนมือก็คงคว้าหมด อะไรผ่านมา คว้าทั้งนั้น เพราะว่าอยากไปหมด หรือไม่อย่างนั้น ถ้าไม่คว้า ก็ทุบมันไป ถองมันไป สับมันไป เพราะนี่ ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่พวกเรา มีอยู่ 2 อย่างเท่านั้น แหละ ถ้าไม่ดึงเข้ามาด้วยโลภด้วยรัก ก็ผลักไสเข่น ฆ่าทําลายให้สิ้นไปเพราะโทสะ แล้วก็ยึดเอาไว้ทั่งรัก จนกระทังไม่รู้จะกระดุกกระดิกไปทางไหนแล้วคิดดูเถอะ จะไม่ทุกข์ได้อย่างไร ใจของ เราแท้ๆ แทนที่จะรักษาเอาไว้ให้เบาสบาย กลับเอา พอกลิงตกลงตรงไหนก็ไปติดตรงนั้นแตะตรงไหนก็ไปติดตรงนั้น จะถอนตัวออกมาก็ถอนไม่ได้ นึกดูเถอะ ตัวเราหรือก็ต้องเคลือนไปเรื่อยๆตามเวลาที่ผ่านไป เพราะตัวกายเป็นสมมติ ตกเป็น ข้าทาสของเวลา ก็ดึงกันไป ใจก็ยังไปติดกาวแปะอยู่ตรงโน้น กับวัตถุตรงโน้น บุคคลตรงนี้ หนืดกัน ไปหมด แล้วคิดดูสิ แรงที่จะต้องใช้ดึงกายกับใจเพื่อให้มารับรู้แล้วก็ตัดสินปัญหาในชีวิตที่เกิดขึ้นแต่ละจะทุลักทุเลสักแค่ไหน มันถึงวุ่นไปหมด น้อย ๆ ก็ยังดี แค่บันดาลโทสะเป็นครั้งคราว แล้ว ก็กลับฟื้นคืนดีขึ้นมาได้ เป็นโรคจิตโรค ประสาทจนบ้าไปเลย จนกระทังช่วยตัวเองไม่ได้ก็มีเหมือนอย่างในสมัยพุทธกาลก็มีเยอะไปนาง ปฏาจาราที่ไปยึด นี่ลูกเรา ผัวเรา พ่อแม่เรา วันหนึ่งปรากฏว่าลูกผัวพ่อแม่ตายเกลี่ยงในพริบตาเดียว บ้าเลย เพราะทำใจไม่ได้ จะไปอยู่กับใครล่ะ กระเซอะกระเซิงไปเลย นีก็เพราะฤทธิ์ของความยืดเงามายาของโลกนี่พอพระพุทธเจ้าเทศน์โปรดค่อยติดตามเป็นจริงใจแห้งจากความยึด โลกนี่ก็เป็นอย่างนี่เอง มีแต่กายกับใจเท่านั้น ไม่มีตัวสัตว์ มมบุคคล ทุกๆ ชวต เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น คือมีกายกับใจ แต่ที่ยุ่ง ระส่ำระส่ายกัน เพราะมีของแปลกปลอม คือกิเลส คืออุปาทาน แทรกเข้าไป แล้วก็เลยทำให้บิดเบียวกัน วุ่นวี่วุ่นวายกันไปหมด จนกระทั่งเราเวียนเกิดเวียนตายกันไม่รู้จบรู้สิ้นอย่างนี้ แล้วก็เอาตัวไม่รอด ทําให้เราก่อแต่ทุกข์ขึ้นมา ความทุกข์เหลือเกิน แต่ตัวเองก็ไม่หยุดก่อความ ทุกข์ให้กับตัวเองและกับผู้อื่นเวลามีอะไรมากระทบใจ เราจะอยู่กับความจริง เตือนตัวเองเอาไว้แค่นี้ เราจะอยู่กับความจริง พออะไรมากระทบลืมตาดูความจริงที่ปรากฏอยู่ อย่าไปคิดว่าน่าจะเป็นอย่างนี้ คำว่า น่าจะเป็นอย่างนี้ ตัดทิ้งไปจาก พจนานุกรม พอคิดขึ้นมา ย้อนถาม จริงๆ มันเป็นอย่างไร แล้วเอาใจไปจดจ่ออยู่กับความจริงที่กําลังปรากฏอยู่ ถ้าเรามีสติตังหลักได้แค่นี้แหละ เรามีทาง จะทะลวงจนกระทั่งเงานี้แตกกระจายไปหมดได้ ถ้าเราครู้าครวญ แหม กิมันน่าจะเป็นอย่างนี้ ละกิ รับรอง ทุกข์ระบมไม่มีจบไม่มีสิ้นหรอก คำว่า น่าจะ แล้ว ความจริงมันหายไปไหนไม่รู้เลย บางที่พูดกันเป็นวรรคเป็นเวร ไม่มีความจริงเลย เพราะทุกเรืองมันน่าจะ คิดเอาว่า มันน่าจะเป็นอย่าง นัน สังขารจิต นักแต่งนิทานหลอกเด็ก แต่งตังแต่ ต้นจนจบ ไม่มีความจริงเหลืออยู่เลยไม่เอา แต่นี่ต่อไปเราจะเป็นคนจริงกัน อะไร เกิดขึ้นเราบอกว่า อ้อ มันเกิดขึ้นอย่างนี้นะ จะทำ อย่างไรดี ถ้ายังคิดไม่ออก แก้ไขยังไม่ได้ หยุดไว้ก่อน ไปปรึกษาหาใครที่เป็นผู้รู้ช่วยแนะนำสั่งสอนปัญญาหาใครไม่ได้ ตั้งสติถามใจตัวเอง ตู้พระไตรปิฎกอยู่ในนี้ พุทธะอยู่ในใจของเราเอง ตั้งสติให้ดี เพราะถ้าตังสติดีแล้ว เงาทังหลายจะค่อยๆ จางไปถ้าเราไปคิดว่า โอย นี้จะทำอย่างไรกัน มันน่า จะเป็นอย่างนั้นนี่นา เมฆหมอกปลิวเข้ามาใหญ่เลยแล้วคราวนี้เราตกบ่อตกเหว แข้งขาหักบอกตัวเองเอาไว้อย่างนี ว่าไม่มีอะไรยาก เกินความเพียรพยายามของมนุษย์ไปได้ เราจะเกิดความอุ่นใจ ไม่ว่าตกไปอยู่ที่ไหน ไม่มีอะไรยากเกิน สติปัญญา ความเพียรของมนุษย์ไปได้ เราก็มนุษย์ คนหนึ่งเหมือนกัน เราก็มีสติปัญญาความเพียรเต็ม อยู่ในหัวใจของเรา ค่อยๆ เอาสติไข กุญแจก็จะอ้า ออกให้เราค้นเอาปัญญาไปใช้แก้ปัญหาได้อย่างนี้จึงจะเรียกว่าเราเป็นผู้ปฏิบัติกัน ปฏิบัติ เพื่อทําให้โลกมายาไม่สามารถมาหลอกเราให้เป็นโรค จิต โรคประสาท เป็นโรคอุปาทาน ระแวงหรือคิด ผิดๆ คิดเอาว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้น แต่นี้ต่อไป ไม่มีอีกแล้ว เพราะเราพบวัคซีนที่ฉีดแล้วมีภูมิคุ้ม กันตลอดชีวิต ไม่เป็นแล้วโรคนี้ ใครจะเป็นก็เป็นไป เถิด เราปลอดภัย ใครขู่ก็ไม่กลัว เพราะเรารู้ของ เราว่าสติเราใช้การได้ รับรอง ต่อให้มีเงาแค่ไหน โลกมายานี้จะไปหลอกใครต่อใครให้เป็นอย่างไรๆ เราไม่ตกเข้าไปในหลุมพรางของมันอีกแล้วการมาปฏิบัติธรรม ก็เพื่อให้เรามีสติปัญญา รู้ตามสภาวะเป็นจริงอย่างนี้ เราจะได้แยกเงากับของ จริงออกจากกันได้ แยกได้ว่าเวลาที่รู้ขึ้นมาในใจนั้น รู้อย่างไรเวลานึกคิด ปรุงขึ้นมาจากสังขารจิตเป็นเงา นั้น มีหน้าตาอย่างไร ระหว่าง ความรู้ กับ ความ นึกคิด อันหนึ่งเป็นตัวจริง อันหนึ่งเป็นเงา เหมือนกันอย่างไร ก็ไม่เหมือนจนกระทั่งสติปัญญาเราจับไม่ได้ เราส่องกระจก เราก็รู้ว่าเงาเป็นอย่างไรตัวจริงเป็นอย่างไรนี่ก็เหมือนกัน เราเอาสติเป็นกระจกส่องเข้าแล้วเราก็จะรู้ได้ว่าสิงทีกระเพื่อมขึ้นมาในใจเราเป็นมายาหรือตัวจริง เราก็ไม่ติดข้องเข้าไปให้โลกมายา มาเป็นพิษเป็นภัย ทําให้เราเอาตัวไม่รอดเมื่อแต่ละคนตั้งใจปฏิบัติไป แต่นี่ต่อไปเรา จะเห็นผล ถ้าเมื่อไรใจเราอยู่กับสติ อยู่กับความจริง ทิ้งเงา ทิ้งมายาไป สิงหนึ่งที่เราจะพบเห็นเป็นขึ้นในใจคือ ใจอันนี้จะเป็นปัจจุบัน ความคิด เอ๊ะ อย่างนั้น เอ๊ะ อย่างนี รักพี่เสียดายน้อง จะหมดไป มี อะไรมากระทบใจ เรารับรู้ว่า อย่างนี้นะ แล้วใจจะหนักแน่น อยู่กับ อย่างนี้นะ ให้เห็นผลขึ้นมาก่อนแล้วจึงพิจารณาจากผลว่า ที่ทำไป ใช้ได้ เป็นสัมมาทิฐิ หรือน่าจะมีอะไรทีเราควรแก้ไขได้ เพราะยังไม่ดีนัก เราก็ดูจากผลของจริงที่เกิดขึ้นแต่ละระยะๆ แล้วแก้ไข จนกระทั่งในที่สุดสิ่งที่เราทำแต่ละอย่างๆ จะใกล้เคียงกับเป้าที่ควรเป็นมากเข้าไป ตามกำลัง ของใจที่หลุดออกไปจากอุปาทานขันธ์เมื่อเป็นอย่างนี้ ถึงใจเราจะไม่ได้ลงรวมเป็น สมาธิ แต่ตลอดเวลาที่เราลืมตาตื่นอยู่ ท่านอาจารย์บอก จิตที่มีความสงบเป็นฐาน ของใจ ตลอดเวลาที่ลืมตาตื่นอยู่นี้ ถือว่าเป็นจิตที่ เป็นธรรม ไม่ต้องกังวลว่า จิตเราไม่ลงรวม หรือ ไม่ได้มีเวลาไปนั่งให้จิตรวมตลอดเวลาที่ลืมตาตื่น อยู่ในชีวิตประจำวัน รับผิดชอบทำหน้าที่ทุกอันของเราให้ลุล่วงไป ถ้ามี สติอยู่กับใจ แล้วเราอยู่กับความเป็นจริง ความสงบ จะมีเป็นฐานของใจ ใจจะอยู่กับปัจจุบัน เมื่อเราได้คุณลักษณะนี้ คือ ปัจจุบันจิต ความสงบ เป็นนี่ก็เป็นกำลังให้ใจอันนี้เจริญต่อไปเรื่อยๆ อะไรมากระทบ เราก็จะมองเห็นเท่าทัน ดังที่เคย เรียนให้ทราบแล้วว่าอย่าไปยึดในนิมิต เหตุการณ์ที่มากระทบเราคือนิมิตทั้งนั้น คือโลกมายา จิตของเราอย่าไปเผลอคิดตามกิเลส อย่าไปคิดว่า นี่มันของของเรา มันน่าจะเป็นอย่างนี้ ควรจะเป็นอย่างนี้การที่จิตกระเพื่อมเป็นอารมณ์ออกไป คือ เครืองบอกให้เรารู้ว่าเรายังมีงานที่ต้องชําระซักฟอก ใจเราอีกเท่าไร เพราะใจที่มุ่งปฏิบัติให้ถึง ให้เป็น อัตโนมัติ คือ ใจที่สงบ พร้อมอยู่ด้วยสติปัญญาเมื่อมีผัสสะมากระทบจึงออกไปรับรู้ แก้ไข ปัญหา ถ้าไม่มีอะไร ก็สงบเตรียมพร้อมอยู่เต็มที่ อยู่เป็นปัจจุบันขณะ ไม่เลือนไปในอดีต ไม่ไหลไปในอนาคต เพราะทั้งสองฟากนั้นคือมายา ไม่เป็นจริงอดีตก็ผ่านไปแล้ว อนาคตก็ยังมาไม่ถึง เงาทั้งคู่ โลกมายา
โลกจริงคือปัจจุบัน ที่กำลังอยู่เฉพาะหน้าเรา แต่ละขณะตรงนี้ อะไรที่เราประกอบ ตรงเดียวนี่แต่ ละขณะต่างหาก คือสาระ คือสิ่งที่จะทำให้เราพึงตน ได้ปลอดภัย เพราะอะไรที่เราทำตรงนี้คือ ปัจจุบัน เหตุ แล้วจะไปงอกเป็น อนาคตผล ให้เราเสวย นี้คือเสบียง นีคือมรดก ที่เราจะทำให้กับใจของเรา นี่คืออริยทรัพย์ทีเราจะใส่ ธนาคารใจ เอาไว้ ให้เกิดเป็นความอบอุ่นแก่ใจตัวเองแต่ถ้าเราหลงอยู่ในโลกมายา เราก็จะไปคิดว่า เมื่อวานนี้ ใจเราดิ์ดี เคยนั่งได้เท่านั้นๆๆ ตกลงก็ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะเรามัวแต่ไปนั่งคร่ำครวญถึง เงา จับเท่าไรก็จับไม่ได้ เหนื่อยเปล่า พอคร่าครวญ จบ เฮ้อ วันนี้ดึกแล้ว นอนเถอะ ตกลงไม่มีอริยทรัพย์อะไรใส่เข้าไปในธนาคารใจ มีแต่ลมใส่เข้าไป แล้วจะไปคุ้มตัวรอดได้อย่างไร ใครเขาจะยอมรับ เงินเก๊ๆ อย่างนั้นหรือไม่อย่างนั้นก็ไปคิด พรุ่งนี้ ปีหน้า จะเป็น อย่างนั้น อย่างนี้ แล้วไม่ลงมือทำอะไรเลย แล้ว พรุ่งนี้ปีหน้าอะไรจะงอกออกมาได้ถ้าเราไปติดอยู่ในโลกมายาอยู่อย่างนี้ อะไรๆ ในชีวิตเราก็เลยกลายเป็นมายาไปหมด จับต้องไม่ได้ ก็เลยไม่มีอะไรที่เราจะพึ่งตัวเราได้ แล้วเราก็ไม่รู้สึก อบอุ่นมันใจ หนักเข้าถ้าเราหลุดไปอยู่ในโลกมายา บ่อยๆ ของเราก็เลยกลายเป็นโรคหวาดระแวง วิตกกังวล ผวา กลายเป็นโรคจิต โรคประสาทไป เพราะสติแห้งกรากเหมือนดิน เอามาปั้นอะไรก็ปั้นไม่ได้ แตกกระจายร่วนเป็นผงไปหมดจิตของคนที่อยู่ในโลกมายามากๆ จะเปราะ อะไรกระทบหน่อยก็ อยู่ไม่ไหวแล้ว ตายดีกว่า เขาถล่มหัวใจเราอย่างนี้ ใครจะทนไหว แต่ไม่ได้คิดว่า เราถล่มหัวใจเราเองต่างหากจิตของคนที่อยู่กับความจริง คนที่มีธรรมเปิน แกนของใจ จะแกร่ง เหนียวแน่น สามารถรับอะไร ก็ตามทีมากระทบกระแทกชีวิตด้วยความคิดว่าอันนี้เป็นแบบสอบซ้อมให้เรารู้พลกําลังของเรา เราจะ: ต้องเสริมฐานของเราอีกเท่าไรจึงจะแน่ใจมันใจว่า คุ้มตัวรอด ปลอดภัยแน่ๆแต่ถ้าเมื่อไรก็ตาม เราหลงอยู่ในโลกมายาเรา ก็จะเปราะ อะไรกระทบนิด เรายุ่ยขาดแตกกระจายไปหมด อยู่ไม่ได้แล้ว โลกนี้โหดร้ายทารุณ ทุกคนทารุณหมด ถ้าไม่ได้อันนี้ ฉันตายแน่ๆโธ์เอ๋ย มีอะไรบ้างในโลกนี้ที่จะหายใจแทนเรา ลองตรองดู ใครที่บอกเขารักเรายิงกว่า ชีวิตของเขาอีก เขาตายแทนเราได้ เวลาเราเจ็บจริงๆ ใครมาตายแทนใครได้ ถ้ามี ช่วยเล่าให้ฟังหน่อย เถอะ ตัวเองก็เฝ้าคนเจ็บหนักมาเยอะแยะแล้ว ไม่เห็นใครตายแทนใครได้สักทีหนึ่ง มีแต่ตัวเราเองนี่แหละที่ต้องตายเอง และถ้าเราตังสติ ไม่ด เราก็ขาดทุนหมดเนื้อหมดตัว ถูกฟ้องล้มละลายแต่ถ้าเราตั้งสติได้ เราก็คุ้มตัวเรารอดเพราะ อริยทรัพย์ในธนาคารใจของเรามาเป็นปีติหล่อเลี่ยง มาเป็นสติปัญญาให้เราเกิดความอบอุ่น เชื่อมันในตัว เอง ทําให้เราเกิดความสงบ อย่างที่เคยฝึกให้สงบอยู่ได้ทุกวันนี้แล้วพอถึงตรงขณะจิตนั้น ทางที่เราจะไป ย่อมเที่ยงตรง ไม่มีหรอกที่เราจะหลุดเฉไฉออกนอก ทาง ไปเจอเอาเสือสิงห์กระทิงแรดที่ไหนเข้าสรุปแล้ว การที่เรามาปฏิบัติกัน ก็เพื่ออย่างนี้เพื่อที่เราจะได้อบอุ่นมั่นใจว่าเรารักษาตัวเรารอด ปลอดภัย ไม่หลงเข้าไปในเงาแดนสนธยาของสมมติ ใJญญติทั้งหลาย จนทําให้เราเอาใจของเราที่เป็น อมตธาตุ ไปคลุกกับสมมติบัญญัติ จนหลงเชื่อไปว่าใจเป็นสมมติบัญญัติ เป็นมายาไปด้วย เราจะได้ผาสุก ร่มเย็นกัน
เมื่อพึ่งตัวเองได้ คุ้มครองตัวเองได้แล้วเรา ก็เหมือนต้นไม้ที่มีร่มเงา แผ่ร่มเงาไปทำให้คนอื่น
ความอบอุ่นมันใจ แล้วสามารถตั้งตัวเขาขึ้นมา มีตัวเป็นที่พึ่งแห่งตนได้ ก็จะทําให้สังคมนี้เป็นสังคม ทีผาสุกร่มเย็นถ้วนทั่วหน้ากันก็เห็นว่าพอสมควรแก่เวลา ขอฝากไว้แค่นี่
พิมพ์โดย ปภัสสร มีพงษ์
แหล่งที่มา http://web.krisdika.go.th/buddha/23_maya.pdf
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น