มรรคหยาบ
ชื่อผู้เขียน พญ อมรา มลิลา
วันที่ วันที่ 18 พฤษภาคม 2537
ณ ห้องประชุมชัน 2 ตึกวชิรญาณวงศ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
หมวด
อันดับที่
ท่านอาจารย์ และท่านผู้สนใจวันนี้เราจะพูดเรื่องการทํางาน เพราะว่าพักนี้ เป็นระยะที่หลายๆ คนเริ่มห่วงว่า ที่เราทำงาน ตั้งใจ ทำไป ผลจะออกมาดีอย่างหวัง หรือจะถูกกินรวบ หายไปการทำงานนั้น ถ้าไปหวังตั้งใจเอาไว้ว่า เรา ทำแล้ว คนภายนอกหรือว่าระบบ จะต้องเอื้ออำนวย ผลให้เป็นที่พึงพอใจเรา ใจก็เป็นสุขได้ยาก เพราะ อะไร เพราะพระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่า เราจะไป จัดสรรโลกนี้ และจัดสรรผู้คนรอบข้าง ให้เป็นไปอย่าง ใจปรารถนาไม่ได้ ถ้าเราอยู่ในสังคมของคนดี สังคม ของคนที่มีธรรม อะไร อะไร ก็เป็นไปตามทํานอง คลองธรรม แต่ถ้าเราไปอยู่ในสังคมของคนเอารัดเอา เปรียบ คนเห็นแก่ตัว เห็นแต่ประโยชน์ตน ผลที่ออกมา ไม่มีกฎเกณฑ์อะไรที่เราจะไปกําหนด หรือไป หวังได้ถ้าตระหนักอย่างนี่ เราก็น้อมเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาเป็นกำลังใจว่า อะไร อะไร ที่เกิดขึ้น กับเราเราน้อมมาเป็นหินลับปัญญา ทำไมจึงน้อมมัน มาเป็นหินลับปัญญา เพราะว่าใจของเราจะสุขหรือจะทุกข์ ไม่ใช่จากสิงที่อยู่รอบข้างเรา แต่เป็นเพราะว่าเรามีตะกอนเหล่านั้นอยู่ในใจ แล้วรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ถ้าใจของเราใสเป็นน้ำกลั่น ใจของเราบริสุทธิ์อย่างใจ พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์แล้ว ไม่ว่าจะมีพายุ หรือ มีอะไรมากระทบกระทั่งทำให้ใจกระเพื่อมกระฉอกแค่ไหนก็ตาม มันก็ไม่มีตะกอนอะไรขึ้นมาทำให้เราทุกข์ เดือดร้อน ถ้าเมื่อไรที่สิ่งภายนอกมากระทบกระเทือนทำให้เกิดความหวันไหวขึ้นแล้ว ใจของเราขุ่นเคือง ใจของเราฟูฟูแฟบแฟบตาม ของใจเราเองยังไม่ใส ยังไม่เห็นตามเป็นจริง มันจึงตื่นเงา จึงเกิดภาวะที่แปรปรวนเป็นไตรลักษณ์ไปตามสิ่งกระทบถ้าไม่เห็นชัดตรงนี้ เราก็จะประคองรักษาใจเรา ให้เป็นสุขได้ยาก ท่านอาจารย์สิงห์ทองเคยสอนเอาไว้ว่า การดูแลใจ ประคองใจของเรา ให้อยู่บนมรรค ตลอดเวลานั้นเป็นของยากลำบาก ถ้ามุ่งเพียงว่า เมื่อ ไหร่ที่มาปฏิบัติจึงจะระมัดระวังรักษาให้ใจอยู่บนมรรค มันก็ไม่ได้ผลเท่าที่ควร เพราะการปฏิบัตินั้นคือการ สร้างนิสัย ถ้าเราฝึกสร้างนิสัยแต่เฉพาะเวลาภาวนา เวลานั่งสมาธิ หรือเวลาเดินจงกรม เวลาเหล่านั้น เมื่อ เทียบกับเวลาในชีวิตทั้งหมดแล้ว มันน้อยนิดเดียว ไม่ สามารถเกิดเป็นพื้นนิสัยได้เราหันมาสำรวจชีวิตประจำวันของเรา ไม่ว่าจะ เป็นการงานที่ที่ทำงาน หรือเป็นการงานส่วนตัวในชีวิต ครอบครัวแต่ละวัน แต่ละวันของเรา จะเห็นได้ว่า สิ่ง เหล่านี้ก็คือการปฏิบัติทั้งสิ้น ปฏิบัติอะไร ปฏิบัติใจ ของเราให้เป็นปกติ ดังนั้นเวลานาทีเหล่านี้ คือ มรรค เหมือนกัน แต่เป็น มรรคหยาบ เป็นมรรคที่กระเพื่อม กระเทือนอยู่กับโลก เห็นกันจริงจังชัดเจนเวลานั่งสมาธิหรือเดินจงกรม เราอยู่คนเดียว ถ้า ไม่อยู่คนเดียวก็อยู่ในหมู่คนที่ต่างคนต่างสำรวมระวังตัว ที่จะกระทบกระทั่งกันมันก็น้อย แต่ถ้าเราอยู่ในโลก โอกาสที่จะกระทบกระแทกกระเทือนกันมันมีมาก เพราะต่างฝ่ายต่างก็ไม่ได้ใส่ใจสนใจว่าคนอื่นจะทุกข์เดือดร้อนเพราะเราหรือเปล่า เพราะฉะนั้น ให้น้อมนึกเอาไว้ว่า เวลาทำงาน เรากำลังทำมรรค มรรคหยาบนี้จะช่วยชี้ให้เราเห็นตัวตนของ เราได้ชัดเจนขึ้นส่วนใหญ่ที่คนทุกข์เดือดร้อนกันเวลานี้ ก็คือหน้าที่มีกันอยู่ มีผู้ร่วมงานกัน สมมติว่า 10 คน แต่ ทําไมทุกคนไม่ทํางาน 1 ใน 10 ส่วนของตัว ทุกคนมุ่ง จะเอารัดเอาเปรียบ รู้มากเห็นแก่ตัว ถ้าใครทํา ก็จะ เป็นเหยื่ออยู่คนเดียว จะมีเสียงทำนองนี้อยู่เสมอ ถ้า คิดอย่างนี้ มิช้ามินานเราก็จะติดนิสัยเป็นคนเอารัด เอาเปรียบอย่างเขาไปด้วยขณะทำไป ใจเราก็นึก เอ๊ะ...เรื่องอะไร เงินเดือน ก็เท่ากัน แล้วทําไมเราต้องโง่เซ่อไปทำมากกว่าเขา ใจ ของเราจะหลอกตัวเองอย่างนี้ แล้วโดยที่เราไม่รู้เท่าทัน ในไม่ช้า..เมื่อเขาไม่ทำได้ เราก็ไม่ทำได้เหมือนกัน...ตกลงเราก็ติดเชื้อ กลายเป็นคนจับจด เป็นคน เห็นแก่ตัว เป็นคนหลบเลี่ยงหนึ่งานไป โดยที่เราไม่เห็น ตัวเราว่า จริง ๆ แล้วเรากําลังซึมซับ และเป็นกระจก เงาของเขาอยู่ตลอดเวลา ทีนี้ใครเดือดร้อน คนที่จะ ต้องรับผลของงานเหล่านั้น ถ้าเราเป็นหมอ เป็นพยาบาล... คนไข้นั่นแหละคือคนที่ทุกข์เดือดร้อน เขา ไม่ได้รู้ดีรู้ชั่วกับเราด้วยเลย เขามาด้วยความมุ่งหวังว่า จะได้รับการดูแล การเอาใจใส่ แต่ปรากฏว่า มาเจอะ เจอเอาหมอ เอาพยาบาล ที่กำลังมีปัญหา สุขภาพจิต เสื่อมโทรมเราลองถามตัวเองว่า ทำไม ทำไม เราถึงมาทำงาน เดิมทีเดียวเราก็คิดเพียงว่า เราทํางานเพราะต้อง หาเลี้ยงชีพ เราก็หวังจะได้เงินเดือนขึ้น ได้ตำแหน่ง ก้าวหน้า มีคนนับหน้าถือตา อันนี้เป็นของธรรมดา เมื่อได้คําตอบอย่างนี้แล้ว จะเห็นว่ายังปลีกย่อย เป็น โลกธรรม เราเอาใจไปยึดเอาไว้กับสิ่งภายนอก จริงๆ แล้ว เราทํางานเพื่อฝึกตัวของเราให้รู้ชัดว่า ที่เรามี ความรู้ ที่ร่าเรียนมานี่ ความรู้เหล่านี้เพียงพอจะเอา มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์กับตัวได้หรือเปล่าเพราะฉะนั้น ที่เราทำงาน เราไม่ได้ทำเพื่อให้ใครมานิยมชมชอบ หรือให้ใครมาวิพากษ์วิจารณ์ เรา ทําเพื่อจะได้รู้ชัดในตัวของเราว่า เรามีความรู้ ความ สามารถแค่ไหน เวลามีปัญหา ไปเจองานที่ไม่สันทัด เราสามารถตั้งสติจดจ่อ นึกหาวิธีแก้ไข ทำให้งานนั้น ลุล่วงไปได้หรือเปล่าถ้าเห็นตรงจุดนี้ ใจของเราเริ่มจะเป็นอิสระ ใจ ของเราเริ่มไปผูกพันกับงาน ทำให้ขณะทำไป เราไม่ใส่ ใจสนใจแล้วว่า... เอ๊ะ... งานนี้ใครควรจะทำแค่ไหนอย่างไร เราควรจะทำแค่ไหน เราไม่ใส่ใจสนใจแล้ว เราคิดแต่เพียงว่า อันนี้เป็นปัญหาที่ท้าทายความรู้ ความสามารถของเรา เราจะสามารถแก้มันให้ลุล่วงไป ได้ดีแค่ไหน รวดเร็วแค่ไหน คราวก่อนนั้น เราเคยเจอ ปัญหาทํานองนี้ แล้วกว่าเราจะทําให้ลุล่วงไปนี่ เราใช้ เวลามากน้อยกว่าคราวนี้แค่ไหนเราเริ่มจดจ่อเข้ามาในกายในใจของเรา ดูว่าตัว เราเองก้าวหน้าหรือว่าถดถอยไปในงานอันนี้ เมื่อใจ หมุนเข้ามาจดจ่ออยู่ข้างในแล้ว มันก็ไม่ใส่ใจสนใจแล้ว ว่าคนอื่นสิ่งอื่นจะมีความเห็นถึงเราว่าอย่างไร เพราะ ว่านั่นไม่สําคัญเท่าเราเองมีความเห็นว่าตัวเราเป็นอย่าง ไร เราพอใจกับผลของงาน กับพฤติกรรมของเราแค่ ไหน อย่างไรใจก็เริ่มเป็นใจที่มีสุขภาพดี เพราะว่ามันเก็บ เกี่ยวเอาผลจากการกระทำของตัวเราเองมาเป็นอาหาร หล่อเลี้ยงใจของตัว ให้เกิดความอิ่ม ความเต็ม ความ พอ ถ้าเราทำงานอันนี้ได้สําเร็จ บรรลุเป้าที่คิดเอาไว้เราก็ชื่นใจ พอใจกับตัวของเราแล้ว ใครจะชม ใครจะ ไม่ชม ก็เรื่องของเขา เราไม่ใส่ใจสนใจ ใจก็ได้รับผล ทันทีในขณะที่ลงมือทํางานนั้น เหมือนอย่างกับต้นไม้ พอมันโตถึงขนาด มันก็ออกดอกออกผลของมัน มัน ก็เต็มของมัน บริบูรณ์ของมัน ไม่ได้จําเป็นว่าเจ้าของที่ รดน้ำจะมาชื่นชม จะมาพออกพอใจมันหรือไม่ทำอย่างไรใจของเราถึงจะเห็นตรงจุดนี้ แล้ว ประคองเลี้ยงตัวเองให้จดจ่ออยู่อย่างนี้ได้ เพราะใจที่ ยังไม่ได้ฝึกจนกระทั่งมีกําลังเพียงพอ โดยอัตโนมัติ พอ ใครติใครชมเข้าหน่อยหนึ่ง มันปลิวตามไปแล้ว เราก็ ไม่ได้อยากจะปลิวตามไปหรอก บางทียังไม่รู้ตัวด้วย ซ้าไปว่าเอาหูไปรับฟังเขา ปรากฏว่าเสียงจื๊กเข้ามาใน ใจ แล้วก็มีอิทธิพลทําให้ใจของเราไปติดอยู่ตรงนั้น
บางทีทั้งๆ ที่รู้ว่าที่เขาวิพากษ์วิจารณ์มันไม่จริง แต่เราก็ทำใจให้หายหดหู่ หายหนักหน่วงวิตกน้อยอก น้อยใจไม่ได้ เพราะเราไม่มีภูมิคุ้มกันเพียงพอ เหมือน มีคนมาเล่าให้ฟังว่า เขาก็ทำงานของเขาอยู่ดีๆ ปรากฏ ว่าเจ้านายเกิดมาวิพากษ์วิจารณ์ ถ้าเจ้านายจะวิพากษ์วิจารณ์เขาเสียๆหายๆ ลำพังตัวต่อตัวกันนี เขาก็ไม่ว่ากระไร เพราะเป็นสิทธิของเจ้านายทีจะวิพากษ์วิจารณ์ใจก็เสวยอารมณ์อันนั้น ทุกข์สุขตามไปโดยที่เราไม่ทันมีภูมิคุ้มกัน ไม่มีสติรู้เท่าทันความเป็นจริงที่เกิด ขึ้น ผลเลยทำให้ใจทุกข์โทมนัสอุปายาส หรือหลงใหล ได้ปลื้มลืมตัวไป เป็นอนิฏฐารมณ์หรืออิฏฐารมณ์ ไม่ พอใจหรือพอใจ ทำให้ใจของเราผิดจากความเป็นปกติ ไป สติที่ไปกำหนดรู้ก็สั่นสะเทือน ไม่สามารถตามคุ้ม ครองใจได้เท่าทัน
ภาวะเช่นนี้คือภาวะอันตราย หากมีอะไรมา กระทบซ้ำเข้าอีก สติไม่สามารถตามรักษาใจได้ทันท่วงที ทำให้เหมือนเราอยู่ในบ้านที่ไม่มีรั้วรอบขอบชิด ไม่ รู้ว่าอันตรายจะเข้ามาถึงตัวเมื่อไร ถ้าเคราะห์หามยาม ร้ายระหว่างที่ใจยังปรับเข้าที่ไม่ได้ เปรียบเหมือนมอง อะไรยังเฉ บิดเบี้ยวอยู่ เกิดมีอะไรมากระแทกซื้าเข้า โอกาสที่จะเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามเป็นจริงก็หมด ไป ทําให้เรายิ่งหลุดออกไปจากความจริงมากขึ้น มาก ขึ้น ใจที่ตอบสนองสิ่งกระทบก็กลายเป็นอกุศล เป็น ความหลงไปทั้งนั้น เพราะหลุดไปจากความเป็นจริง เราทำมรดกที่เป็นหนี้เป็นสินให้ตัวเอง คนที่ทำงาน แล้วเกิดความทุกข์เดือดร้อน ก็เพราะเผลอใจอย่างนี้เมื่อเผลอใจไปแล้ว ลบเทปก็ไม่เป็นอีกพระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนันคือ ความจริง อะไรที่ล่วงไปแล้ว ฝัน อะไรทียังไม่มาถึงก็ฝัน แต่เรามักจะนอนฝัน แล้วก็ละเมอกันอยู่เรื่อย ๆพราะอะไรที่เกิดขึ้นจริง ๆ ตรงนี้ผ่านไปแล้ว เราก็ยังไปครุ่นคิดถึง คิดถึงแล้ว ก็เหมือนอย่างที่ท่านอาจารย์ว่า... อ่นแกงบดกิน... คือแกงเสร็จแล้ว กินอิ่มแล้ว หมดแล้ว ควรจะล้างหม้อให้สะอาด แต่ไม่ล้าง เมื่อย้อนนึกขึ้นมา ก็เหมือนลากเอาหม้อแกงที่ขอดก้น มาอุ่นกินใหม่ มันก็เน่าบูด อาหารเป็นพิษ กินเข้าไป แล้วเราก็เกิดความรู้สึกดีใจ เสียใจ อย่างตอนเหตุ การณ์จริงเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่เรื่องจริง คู่กรณีเราไม่ได้มา ทำอะไรเราเลย เขาไม่ได้ว่าเรา เขาไม่ได้ชมเราเราเอาเรื่องที่อัดใส่เทปใจเป็นความจํา คือความ ฝัน มาหลอกตัวเอง ให้ตื่นเงา แล้วเสวยอารมณ์นั้น เป็นจริงเป็นจังเหมือนมีเหตุการณ์เกิดขึ้นอีกจริงเรา ประกอบอกุศลมโนกรรมไปตามความยึดมั่นสำคัญผิด กล่าวคือ อุ่นแกงบูดกิน แล้วเราก็ทํามรดกที่ไม่ดีให้ ตัวเอง เพราะอกุศลมโนกรรมที่กระทำ ย่อมมีวิบาก ติดตามมาเป็นเงาตามตัวเรื่องจริงๆ เกิดขึ้นหนเดียว แต่เราเป็นคนช่างฝันเพราะฉะนั้นเราก็ทุบถองใจของเราอีก ร้อยครั้งพันครั้ง แล้วแต่เมื่อไหร่จะนึกขึ้นมาพระพุทธองค์ทรงเน้นให้เราอยู่กับความจริง อะไรที่ผ่านไปแล้ว หรือที่ยังมาไม่ถึง เอาสติไปกำหนด รู้ หยุด มันเสีย แล้วอยู่กับความจริง ตรงนี้ถ้าระลึก นึกได้ทันก็ดีไป เพราะอะไร ถ้าเราหงุดหงิดคับข้องมา จากที่ทํางาน พอก้าวเท้าเข้าบ้านแล้ว หยุด หยุด หยุด ความฝันเอากองไว้ที่ที่ทำงานแล้ว ไม่ยุ่งไม่เกี่ยว กันแล้วแต่เราไม่เป็นอย่างนั้น มันยังวนเวียนตามมา ก่อกวนอยู่ในใจ เผลอๆ เดี่ยวก็นึกไปอีกแล้ว ขณะที่ นึกใจก็เสวยอารมณ์หงุดหงิด น้อยใจ คับข้อง หาก คู่ครองหรือลูกมาพูดอะไรด้วย ถ้าเขาพูดเวลาอื่น เรา ก็เห็นเป็นเรื่องธรรมดา หรือเรื่องข้าขัน แต่ขณะที่ อารมณ์ของเราเหมือนไฟฟ้าลัดวงจรอย่างนั้น เขาพูด อะไรขึ้นมาก็เหมือนอย่างกับเอาน้ำมันเบนซินมาราด เราก็พาลหงุดหงิดใส่ โวยวายว่า โฮ้ย... เหนื่อยจนจะ ตายอยู่แล้ว ยังมากวนใจกันอีกปัญหาจริง ๆ ไม่มีเลย แต่เพราะเราปรับใจเรา ไม่เป็น อะไรใส่เข้ามาก็เป็นปัญหา ตกลงความทุกข์ จากที่ทำงานเลยงอกรากมาถึงในบ้านอีกทำให้เรายิ่ง หงุดหงิดทุกข์โทมนัสมากขึ้น รุ่งขึ้นไปที่ทำงาน ก็เกิดอารมณ์ค้างอีก เลย กลายเป็นวงจรทีทําให้อะไร อะไร อะไร ที่เข้ามาใน ชีวิต กลายเป็นความทุกข์เดือดร้อนไปหมด แล้วก็มองไม่เห็นทีผิดของเรา จึงแก้ไขตัวเราไม่ได้ ใจก็ยิงเซ็ง หนักเข้า หนักเข้า คุณภาพของงานก็ด้อยตามลงไป เพราะใจที่ขาดความจดจ่อ ใจที่ขาดความฉับไว ที่จะพินิจพิเคราะห์ตามความเป็นจริง ทําให้มองผิดมองพลาด เก็บข้อมูลบิดเบี้ยวไปตามทีใจคิดปรุงเอาทำให้ ผลออกมาไม่เป็นไปอย่างที่ควรเป็นสมัยนี้เป็นสมัยที่ชีวิตต้องแข่งขัน ต้องต่อสู้ช่วงชิง กัน ไม่ใช่สมัยที่พอเรางอนขึ้นมา เราน้อยใจขึ้นมา เจ้านายหรือเพื่อนร่วมงานจะมางอนง้อว่า ถ้าขาดคุณสียแล้ว ไม่มีใครทำแทนได้ สมัยนี่มันไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าเราไม่ทําตัวของเราให้มีประสิทธิภาพ เขาก็จะบอก ว่าตำแหน่งของคุณ มีคนมาสมัครคอยอยู่อีกตั้งสิบกว่าคน คุณจะหิ้วกระเป๋าออกไปเมื่อไร... เชิญเลยเพราะทันทีที่คุณออกไป ก็มีคนจะเข้ามาแทน.มันทำให้เราเจ็บซ้ําหนักเข้าไปอีก แล้วผลเป็นยังไง ถ้าเราประสบกับเหตุการณ์อย่างนี้ แล้วใจของเราไม่มีกำลังตังมันพอ ถึงเราไปสมัครงานใหม่ ได้ทำงาน
ใหม่ เราก็เกิดความไม่มั่นใจ เกิดความกลัวว่า เอ๊ะ.. แล้วพฤติกรรมอย่างนี้จะเกิดขึ้นกับเราอีกหรือเปล่ามีอะไรเกิดขึ้นนิด ใจก็ปรุงคิดไปแล้ว เพราะมัน ขาดความอบอุ่น ขาดความมั่นใจ เรากลายเป็นคนที่ไม่ แน่ใจในตัวเอง ต้องการกําลังใจ ต้องการคนประคับประคอง คอยปลอบประโลม ผู้ร่วมงานซึ่งไม่รู้ภูมิหลังว่าเรามีอะไร ก็รู้สึกว่าเราน่าเบือน่ารำคาญเหลือเกินทุกคนเวลานีก็ยุ่งกับปัญหาของตัว ปัญหาการจราจร ปัญหาสารพัด ล้วนแต่ ยุ่ง ยุ่ง ยุ่ง จนเรารู้สึกว่า ความอดทนของเราพร้อมที่จะขาดฝึงอยู่แล้ว อะไร เติมเข้าไปนิด อะไรเติมเข้าไปหน่อย มันทนไม่ไหว เหมือนฟางเส้นสุดท้าย มันพร้อมที่จะระเบิดใจของพวกเราทุกคนเหมือนอย่างกับเป็นระเบิด เวลาที่ถอดสลัก วางระเกะระกะเอาไว้ แล้วก็ไม่รู้ว่า ถ้าใครซุ่มซ่ามไปกระเทือนเข้านิด บางทียังไม่ทันไป กระเทือนเลย ลมพัดแรงหน่อย ก็ระเบิดโป้งขึ้นมาแล้ว ทุกคนจึงอยู่กันด้วยความ เครียด พอเครียดแล้ว โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุทางอารมณ์ขึ้นก็มี มาก มากทุกวันนี้ พอนึกว่าจะไปทํางาน ใจก็เครียด เครียดเสร็จเหนื่อย แล้วก็หดหู เพราะฉะนั้นมันมีเพียง สองภาวะ คือ เกร็งเหมือนเม่นที่เตรียมพร้อมจะสลัด ขนใส่เขา หรือสอง หดหู ง่วงเหงาหาวนอน หมดแรง แล้ว... อย่า อย่า อย่ายุ่ง คิดอะไรไม่ออกแล้ว ขืนเอา อะไรมาเติมเข้าไปอีกนิด ฉันบ้าเลือดได้เลย... ทำให้ อะไรต่อมิอะไรมัวซ้วไปหมดใจของคนเราถ้าเป็นอย่างนี้ไปนานๆ จะเป็น ยังไง... มันก็ขาดกำลัง วนอยู่กับความหลงผิด เห็นผิด เป็นชอบ เป็นอวิชชา เป็นอุปาทาน ก็ทำให้เรายิ่งตกลง ไปในทะเลวนลึกเข้าไปอีกทำอย่างไรเราถึงจะมีสติรู้เท่าทัน คอยคุ้มครอง ให้งานการที่เราต้องทำกล่าวคือ ชีวิตคนเรา ถึงไม่ ทำงานนอกบ้าน ก็ต้องทำงานที่ติดตามตัวมา ต้อง ดูแลกายวาจาใจของตัววันทั้งวัน เรียกว่าชีวิตคืองาน งานคือชีวิตเมื่อเป็นอย่างนี้ ทำอย่างไรเราจึงจะทำให้วัน เวลาที่ต้องทำสิ่งเหล่านี้เป็น มรรค ของเรา เป็น มรรค หยาบ ที่จะฝึกอุปนิสัยให้เราเกิดความมั่นใจใน ศักยภาพของเรา ให้สติมาอยู่กับจิตใจของเราต่อเนื่องกันมากขึ้น มากขึ้น จนในทีสด ถึงเราไม่ได้ตั้งใจที่จะประคองสติจดจ่อไว้ อุปนิสัยนี้ก็เริ่มเป็นอัตโนมัติอะไรมากระทบ สติจะรู้หน้าที่ ติดตามไปจดจ่อ ใจเคลือนไปถึงไหน สติจะเคลือนตามไปเป็นเหมือน เงาตามตัว อะไรมากระทบเรา สติจะรับรู้เท่าทันกับทีใจออกไปรับรู้ เพราะฉะนัน โอกาสที่อารมณ์จะมาพัด พาใจเราให้ตอบสนองไปตามกิเลส อวิชชา อุปาทาน ก็ ลดน้อยลง ลดน้อยลง
อะไรมากระทบ สติทีจะระลึกรู้ตามเป็นจริง ก็กระเพื่อมมารับรู้ พร้อมๆ กับที่ใจรับรู้ รักษาให้ใจ ตอบสนองออกไปด้วยเหตุผล ด้วยความเป็นจริงบางครังเราก็รู้นะว่า เราไม่ชอบ เราไม่อยากทำ
อย่างนี้ สติก็จะเตือนว่าหน้าที่ของเราความเหมาะควรมันเป็นอย่างนี้ ใจจะเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น มัน จะทำอย่างทีควรทำไม่ใช่ทําไปตามอารมณ์ ด้วยอัตโนมัติ หรือดึงดันตามกิเลสว่า "...ถึงจะเสียหายหลายแสน ตูกจะทำอย่างนี้แหละ..ทำเสร็จไปแล้ว ตูก็อยากเขกหัวตัวเอง แล้วว่า รู้อย่างนี้ไม่ทำก็ดีแหละ..
ขณะที่กําลังปรับไหมตัวเองว่า รู้อย่างนี้ไม่ทำก็ดี แหละ ใครเกิดมาวิพากษ์วิจารณ์ว่า ...นึกว่าเก่งสักแค่ ไหน ที่แท้ก็ไม่ได้เรื่อง ใจที่กําลังบอกตัวเองว่า เออ... เราก็เสียใจ ก็กําลังปรับไหมตัวเอง จะไม่ทําอีกแล้ว พลิกกลับไป ฮีดทำต่อไปอีก ...เรื่องอะไร ...ฉันจะทำอย่างนี้แหละ ใครจะทำไม... แล้วเราก็นึก เป็นตายร้าย ดี จะเสียหายอีกหลายแสนเท่าไหร่ ก็ไม่เป็นไร...ตอนนั้น อารมณ์โกรธ รวมทั้งตัวตนของเรา ทำให้เผลอไม่รู้จักประมาณตัว ก่อหนี้สินล้นพ้นตัว คน เราทำทุกข์ทำโทษให้ตัวเองก็เพราะตรงนี้ ในที่ทำงาน ที่ประสบปัญหากัน แล้วดูหน้ากันไม่ติด ก็เพราะตรงนี้ ถ้ามีสติอยู่ รู้ว่านิ่งเสียตําลึงทอง แต่ถ้าสติไม่อยู่กับตัว ปลาหมอตายเพราะปาก เราจะรู้สึกว่า ...ต่อให้ตูตายก็ ไม่เป็นไร แต่ขอให้ได้พูด พูดให้เขาเจ็บชั้าน้ําใจ พูดให้ เขาโกรธเล่นอย่างนั้นแหละ รู้ทั้งรู้ว่า พูดแล้วไม่ก่อ ประโยชน์ ก็จะพูด ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ความจริงเป็นสิ่งไม่ตายก็จริง ความจริงเป็นสิ่งที่เราทุก คนควรจะตั้งตนอยู่ก็จริง ท่านไม่ได้ตรัสว่า ความจริง ที่ไม่มีประโยชน์ ความจริงที่พูดแล้วเป็นพิษเป็นภัย ก็จำเป็นต้องพูด
ท่านทรงสอนไว้ว่า ทัง ๆ ทีสิงนันเป็นความจริง แต่ถ้าผิดกาลเทศะ หรือพูดไปแล้วไม่ก่อประโยชน์ ก็ไม่ ควรพูด ขึ้นพูดไป ท่านไม่ทรงสรรเสริญดิฉันเคยบ้าเลือด ไปเถียงท่านอาจารย์ว่า ดิฉันเป็นคนจริง พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราเป็นคนจริงนี่นา เพราะฉะนั้นเมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ ก็ต้องพูดท่านตอบว่า ใช่.. เหมือนอย่างกับตัวเราเองกำลังวังชา ไม่มี เกราะก็ไม่มี รู้ว่าข้าศึกเตรียมลูกธนูยิงเป็นห่าฝนมา พูดออกไป ก็เหมือนอย่างกับเดินแบะอกหรา ฝ่าเข้าไปท่ามกลางห่าธนู แล้วในที่สุดผลเป็นยังไง ก็ ถูกเขายิงตายเปล่า ไม่ใช่พระพุทธเจ้าจะทําอนุสาวรีย์ ให้นะ ท่านจะว่า ท่านไม่เคยสอนให้ลูกศิษย์เป็นคนโง่ เซ่อ บ้าเลือดอย่างนี้ เพราะฉะนั้นตายเปล่า แล้วยัง ถูกตำหนิอีกแรกๆ ดิฉันก็ไม่เข้าใจ มีความรู้สึกว่า ...อะไรกัน ก็เรากําลังประพฤติตนเป็นคนซื่อตรง เป็นคนจริง เมื่อ เรารู้ว่าความจริงเป็นอย่างนี้ ก็จะต้องพูดให้โลกรู้เอา ไว้ แต่จริงๆ ไม่ใช่หรอก พอสติของเราคมทันขึ้น ใจ ของเราเริ่มรู้จักตัวตนมากขึ้น อันนี้แหละคืออัตตาของ เรา เรามีความรู้สึกว่า ...ไม่ได้ เมื่อถูกเหยียบย่า เราก็จะต้องทำให้เขาเห็นว่า ตูก็หนึ่งในตองอูเหมือนกันเพราะฉะนันจะต้องประกาศให้โลกรับรู้ ประกาศออกไปแล้ว ใครจะยับยี่ยับเยินไม่รู้ไม่ชี้ทั้งนั้นแหละ ขอ ให้ได้ประกาศออกไปก็แล้วกัน มันสะแก่กิเลสของเราเวลาทีใจยังไม่มีสติตามรู้เท่าทัน ไม่มีความอดทนอดกลัน เราไม่ได้ ทํางานหรอก แต่เอาตัวตนออกไปตั้งรับทุกอย่างหมด อะไรมากระทบตัวตนของเรามันก็พร้อมที่จะเป็นระเบิดเวลาถอดสลักระเบิดขึ้นมาการทำงานจึงเป็นการประสานงามากกว่าประสานงาน แล้วก็เกิดการกระทบกระทั่ง ทำให้เกิดความทุกข์เดือด ร้อนถ้าเห็นอย่างนี เราวิเคราะห์ตัวตนของเราได้ โดย
ตั้งเป้าว่า เวลามีอะไรเกิดขึ้น มีปัญหาเกิดขึ้น เราจะ ย้อนเข้ามามองตัวเรา แก้ไขทีผิดที่บกพร่องของเรา ทำให้ใจอยู่บน มรรค ไม่หลุดออกไปก่อทุกข์ก่อโทษให้ ตัวเองถ้ามีสติเท่าทันระลึกรู้อย่างนี้ได้ งานการที่ทํา ก็ จะทําให้เราชีนใจทุกวัน ที่เคยหงุดหงิดกับผู้ร่วมงาน แทนที่จะไปหงุดหงิดกับเขา เราก็หันมามองว่า เมื่อปัญหาเกิดขึ้น จะแก้ไขปรับปรุงอย่างไรจึงจะทําให้งาน
ดำเนินต่อไปได้ ถ้าเรารู้ว่าเขาเป็นคนที่พูดกันหนเดียว แล้วก็ลืม เพราะความจำของเขาเสือม แทนที่เราจะไปปรับไหมเขาว่า นี่.. ฉันพูดเป็นครังที่เท่าไหร่แล้ว 999 แล้วนะ ถ้าอีกครั้งหนึ่งนี่..เกิดเรื่องแน่ๆเลยต้องเอากันให้แตกหักเรารู้ว่าต้องเกิดเรืองแตกหักกันแน่ๆ เราก็หันมา ปรับไหมตัวเองแทนว่า ..แล้วเราซึ่งเราว่าเรารู้ เราก็โกรธเขาได้ เป็นครังที่ 999 เหมือนกัน เขาคนไม่รู้ เราควรยกโทษให้เขา แต่เราคนรู้แล้ว แล้วก็รู้ว่าเกิด เรืองทีไรก็โกรธได้ทุกที เราไปเพ่งโทษเขาว่า ไม่รู้จักจํา ให้ฉันต้องว่าเป็นครังที่ 999 แล้วนะ แต่เราเองทำไมไม่หันมาว่าเรา ก็รู้อยู่ว่า จะโกรธเขาได้ทุกครังเลยแล้วก็ยังปล่อยให้โกรธอยู่ได้ถึงครังที่ 999 นี้... มัน น่าตีไหมล่ะถ้านึกได้อย่างนีทัน เราจะเลิกไปหงุดหงิดกับเขา แล้วหันมาตีตัวเองว่า ถ้าครังหน้าเจ้าเผลอสติไปโกรธขาอีกทีนะ คราวนี้ ...เลิกเถอะ อย่าไปปฏิบัติเลย ดีแต่ ปฏิบัติแต่ปาก แต่สติไม่ทันคุ้มครองใจตัวเอง ถ้าคิดได้อย่างนี้ คราวนี้ใจเราจะดีขึ้น พอครังต่อไป แทนที่เรา จะไปตังเป้าว่า... คอยดูสิ ประเดียวมันก็ต้องทำผิดอีกให้เราต้องดุเป็นครั้งที่ 1000 เราก็รีบทำตัวเป็นเทป บันทึกเสียงเสียก่อน เห็นเขาทำท่าว่าจะลืม เราก็รีบบอกว่า นีคุณทําอย่างนี่ อย่างนีนะคะ โดยไม่ยึดอยู่ใน อัตตาของเราไม่อย่างนั้น... บอกแล้วว่าเดียวจะต้องทำผิด... แต่แทนที่จะป้องกัน มันสาแก่ใจทีจะคอยจับผิดของ เขาให้ได้ แล้วจะได้ยกตนข่มท่าน ...ไม่รู้จักจำความจําเสื่อม งี่เง่า... อัตตาของเราจะเป็นอย่างนี้ ขณะที่สา แก่ใจที่ได้ยกตนข่มท่าน ก็ยังต้องขอโกรธเสียหน่อยตามระเบียบ ให้ใจขึ้นชีสนิมอีก ตกลงมันคือการทำร้ายตัวเองโดยไม่รู้ตัวปากก็บ่นว่า... ฉันเบือเธอเหลือเกิน เมื่อไหร่ จะหลุดพ้นจากกันไปเสียทีนะ ก็พฤติกรรมที่ทำมัน ตอกย่าเอาไปเกียวกันไว้อีกห่วงหนึ่งอีกแล้ว ...ฉันเบื่อ เหลือเกิน... แต่ปรากฏว่า เรากลับเอาตัวเราไปหนีบใส่ กับเขาเพิมอีกห่วงหนึ่งเข้าไปอีกถ้าเห็นชัดอย่างนี จะเริมมีกําลังใจว่า... พอ. พอ..พอ. เมื่อไหร่ปัญญาที่จะเห็นตามเป็นจริงเกิดขึ้นเมื่อนั้นการปฏิบัติจะง่ายขึ้น ไม่อย่างนั้นปากเราก็ว่า...ท่านอาจารย์ว่าไว้อย่างนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่าง
นั้น... มันเป็นสัญญา มีวิชาท่วมหัวเอาตัวไม่รอดทําอย่างไรใจอันนี้ถึงจะเห็นตามเป็นจริง อวิชชา ที่ครอบงําใจเราอยู่นี่ มันแสนจะฉลาดเฉียบแหลม ใคร มาบอกเราว่าอวิชชาคือความหลง เราก็นึกว่ามันโง่เซ่อ มันเฉิม แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ท่านพระอาจารย์มหาบัว ท่านจะบอกอยู่เสมอว่า อวิชชาคือความผ่องใสอย่างยิ่ง ดิฉันก็นึก อวิชชา แปลว่า ความหลง ความรู้ไม่รอบ ก็ ถ้ามันทั้งหลง ทั้งรู้ไม่รอบ โง่เซ่อ แล้วมันจะผ่องใส อย่างยิ่งได้อย่างไรเราคอยจับพฤติกรรมของเราเวลาที่หลงไปตาม อวิชชา แล้วนึกว่าเรารู้แล้ว อย่างที่ดิฉันเล่าเมื่อกี้นี้.. บอกแล้ว... อย่าลืมนะ ให้เตือนเป็นครั้งที่ 999 แล้วก็ยังไม่จำอีก...เราไปเกรี้ยวกราดเอากับเขา เพราะหลงว่าเรา วิเศษ เราจะต้องแก้ไขเขาให้จงได้ เราจะต้องตักเตือน ให้เขารู้จนได้ อัตตาทำให้..ตูแน่.. เพราะฉะนั้น ยังไง ยังไง ยังไง จะต้องเอาจนกระทั่งมันเป็นตามที่เราบอก ให้ได้ อวิชชาปิดหูปิดตาเราพระพุทธเจ้าท่านฉลาดรอบรู้ เป็นสัพพัญญ รู้รอบโลก ในบทสรรเสริญพุทธคุณยังกล่าวว่า ท่าน
ทรงสอนได้แต่เฉพาะบุคคลที่ควรแก่การฝึกเท่านั้นปุริสะทัมมะสาระถิ คือคนที่ฝึกได้เท่านัน ทั้งๆ ที่ท่านสอนทั้งเทวดา ทั้งมนุษย์ ทั้งอะไรต่อมิอะไรให้รู้ตาม ท่านยังรับรู้ตามเป็นจริงว่า สอนได้ ฝึกได้ เฉพาะผู้ที่ เปิดใจยอมรับให้ฝึกเราเป็นใคร เราถึงได้ดึงดือถือรัน ...บอกแล้วนะ อย่าลืมเชียวนะ ต้องทําให้ได้. อวิชชามันผ่องใสอย่างยิ่งอย่างนี้ ถึงทำให้เราเอาใจของเราไปวางเป็นเขียง แล้วกระทึบใจของตัวให้โกรธแค้น อาฆาต พยาบาท หลง โลภ เลอะเทอะเปรอะเปือนไปหมดไม่มีใครบีบบังคับเราเลย แต่ใจงีเง่าของเราที่ถูกอวิชชาซึ่งผ่องใสอย่างยิ่ง บริหารให้เป็นไปตามความรู้ ไม่รอบรู้ไม่จริง ทำให้เราก่อหนี้ก่อสินให้ตัวเองอย่างนี้ อยู่รําไป แล้วยังไปปรับไหมว่า เจ้านายไม่ดี ที่ทำงานตรงนั้นไม่ดี เพื่อนร่วมงานไม่ดี ทำให้ทรุดโทรมหนัก เข้าไปอีก นิสัยก็แย่หนักเข้าไปอีกถ้าเราค่อย ๆ พิจารณาจนกระทั่งเห็นอย่างนี้ ใจจะเริ่ม หยุด ไม่เอาแล้ว แค่นี้ก็ทุกข์เดือดร้อนสาหัส แล้ว พอจะส่งใจออกไปโกรธเขา สติจะแย้งให้เตือน เราเองดีกว่า อย่าไปโกรธเขา อย่าไปเผลอตกร่องเดิมแล้วต้องเจอะเจอกันอีก ถึงปากเราจะพร่าว่า... ฉัน เบื่อเต็มทน ฉันไม่อยากเกิด... แต่พฤติกรรมที่ทำ เป็น ยางให้พร้อมที่จะงอก เหมือนเม็ดข้าวเปลือกในยุ่ง บาง เม็ดยังไม่ทันลงดินเลย พอฝนตกชิ้นๆ งอกรากออกมา แล้วใจที่ถูกอวิชชาบริหารอยู่นี่ ยังไม่ทันตายเลย เตรียมเกิดภพเกิดชาติอยู่ร่าไปแล้ว เหมือนอย่างกับ - อุบาสิกาท่านหนึ่งในสมัยท่านพระอาจารย์มั่น มีเล่า อยู่ในหนังสือประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ที่ท่าน พระอาจารย์มหาบัวเป็นผู้เขียน อุบาสิกาท่านนี้ สามี ลูกเต้าตายหมดแล้ว มาฝึกปฏิบัติกับท่านพระอาจารย์ มั่น ฝึกปฏิบัติไปๆ ใจลงรวมเป็นสมาธิ ท่านจะมีนิมิต เห็นใจของตัวเอง ท่านพระอาจารย์มั่นก็สอนให้มองดู ใจที่เห็น ใสหรือว่าขุ่น เป็นยังไง จะได้รู้ถึงสภาพของ ใจตัวเอง แล้วปรับปรุงแก้ไขได้วันหนึ่ง ท่านมาใส่บาตรท่านพระอาจารย์มั่น ก็กราบเรียนถึงสภาวะใจว่า ตอนนี้ใจก็ใสดี รักษาเป็น ปกติดีอยู่ แต่เวลากําหนดดู มันมีคล้ายๆ สายใยยึด ออกไป แต่ถ้าไม่กำหนดก็เป็นปกติอยู่ แต่พอกำหนดมันเหมือนอย่างกับว่ามีติงยืนออกไป ถ้ากำหนดตาม
ติ่งนี้ก็ยึดออกไปเรื่อยๆ ท่านอาจารย์สอนให้ดูอยู่แต่ ในใจ ก็เลยไม่รู้ว่าควรจะตามสายอันนี้ต่อไป หรือว่า หยุดดูอยู่แต่ในใจท่านพระอาจารย์มั่นก็บอกให้กำหนดตามไปว่า มันไปที่ไหนคืนนั้นท่านก็ไปทําตาม รุ่งเช้ามากราบเรียนว่า สายนี้เข้าไปอยู่ในท้องหลาน ท่านมีหลานอยู่คนหนึ่ง ซึ่งรักห่วงใยมาก เพิ่งแต่งงาน ก็กราบเรียนถามท่าน พระอาจารย์ว่า ตัวเองจะไปเกิดเป็นลูกของหลานหรือ เพราะใจมีสายยึดไปเข้าอยู่ในท้องหลานแล้วท่านพระอาจารย์ก็บอกให้กำหนดตามไปดูเอง อุบาสิกาประท้วงว่าไม่อยากเกิดอีก ท่านพระอาจารย์ บอก... ใช่.... ใจที่สติตามไม่ทันมันบอกมันไม่อยากเกิด แต่จิตไร้สำนึกที่ห่วงหวงผูกพัน มันเตรียมแล้ว ไปเกิด แล้วใจที่เราไม่รู้จักนั่นแหละ ปากก็บอก.. เรารักพระ พุทธเจ้าสุดหัวใจ เราไม่ทําความผิดความชั่ว เราไม่ อยากเกิดอีกแล้ว แต่ทุกเวลานาที เราเชื่อพระเทวทัต เราทําตามกิเลส แล้วก็มีสายใยเข้าไปจับจองการเกิดตรงโน้นตรงนี้เปรอะไปหมดอุบาสิกาท่านนียืนยันว่า ท่านไม่อยากเกิดแล้ว ท่านจะต้องทํายังไง ท่านพระอาจารย์มันก็สอนให้ กำหนดตูจิตของตัวเอง แล้วพิจารณาเอาปัญญาตัด อะไรที่เป็นเหตุทําให้ใจของเรายึดไปอยู่ในท้องของหลาน ก็แปลว่าอันนันคือเหตุให้เราไปเกิดใหม่ ถ้าไม่อยากเกิด เราก็ต้องดับเหตุอันนั้นให้ได้ เพราะของทุกอย่างเกิดแต่เหตุ ถ้าดับทีเหตุได้ทุกอย่างก็ดับหมดอุบาสิกาท่านนั้นไปพิจารณา จนท่านตัดสายนัน ขาด ท่านกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ท่านปลอด ภัยแล้วใช่ไหม ไม่เกิดแล้วใช่ไหม ท่านพระอาจารย์มัน ตอบว่า เพียงภพชาติเดียวภพชาติทีนิมิตเห็นเป็นเพียงภพเดียว แต่ที่ใจ เผลอไปยึดตรงอื่น ตรงอื่น ตรงอื่นอีก ก็ต้องตามรู้ให้เท่าทันแล้วตัดให้ได้อย่างนี้ จึงจะหมดทุกเหตุ ไม่ใช่ว่าตัดอันนี่อันเดียวแล้วแปลว่า... ตูสบายแล้ว ไม่เกิดอีกแล้ว... ถ้าง่ายกันอย่างนี้ มันก็ดีสิ ความไวของใจมันปานฉะนิใจเป็นพลัง เป็นนาม มองไม่เห็นกันด้วยตาเนือ ถ้าเราไม่ฝึกจนสติคมไวพอที่จะสัมผัสได้ เราก็ไม่เชือการฝึกคือมาตามรู้ในงานการในชีวิตประจำวันของเราที่เรียกว่า มรรคหยาบ เมื่อไรที่สิ่งกระทบทําให้เราไม่ ได้ดังใจ เรามีปฏิกิริยาโต้ตอบออกไปอย่างไรบ้าง กาย วาจา ของเราเขยื้อนออกไปอย่างไร มีความสมควร หรือไม่เรายังไม่เห็นใจของเราเป็นใยยึดออกไป แต่เรา เห็น กาย วาจา ของเรา มันออกไปทั้งตู้นเลย รู้กันเลย พอเราคอยจับผู้ร้าย คือ กาย วาจา ของเราให้เท่าทัน แล้วคอยระงับปรับมันให้อยู่ในขอบข่ายของความเป็น ปกติได้ คราวนี้เราจะเริ่มเห็นที่ใจว่า ที่เราไม่พูดออก ไป กิริยาของเราเรียบร้อยสงบดี แต่ใจเรายังไปข่วน เขา ยังไปชกเขาอยู่นะ มันยังมีติ่งออกไป มีโซ่ออกไป พันกับเขาอยู่ เราจะค่อยๆ เห็น แล้วหยุดมัน กําราบ มันได้ถ้าเราฝึกตัวเราอย่างนี้ ทุกเวลานาที มีผลทั้งนั้น เราจะพบว่า งานที่แต่ก่อนเราเบื่อ เรามีความรู้สึกว่า มันไม่เป็นไปอย่างใจปรารถนา ก็เริ่มเป็นเรื่องสนุก เพราะไม่ได้ไปหวังที่ผลข้างนอกๆ อย่างที่แต่ก่อนนั้น เราถูกอวิชชาหลอกให้ไปตั้งเป้าหวังเอาไว้เราเห็นงานเป็นผัสสะ เป็นตัวช่วยทําให้เราได้ เห็นว่า เวลามีอะไรมากระทบใจแล้ว ใจเราเฉออกไป อย่างไร กระเพื่อมกระฉอกหวั่นไหวไปแล้วเราปรับให้
กลับเข้าสู่ความเป็นปกติได้อย่างไร อันนี่แหละคืองาน ตัวแท้ที่จะต้องทํา ถ้าเรารักตัวเรา เมตตาตัวเรานี้ แหละคือสิ่งที่เราต้องทำเป็นอันดับแรก แล้วทําให้ สำเร็จเรียบร้อย เราจึงจะสบายใจได้ว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราก็ไม่ทุกข์เดือดร้อนไม่อย่างนั้น เราไม่เคยมองตรงนี้เลย เราละทิ้งใจซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดไป แล้วไปเกาะอยู่กับงาน ไม่ได้...มันจะต้องเป็นไปอย่างที่ฉันหวังเอาไว้ ฉันจะต้องได้
2 ขั้น ฉันจะต้องได้อย่างโน้นอย่างนี้อย่างนั้น ขณะที่ใจจะตกห้วยตกเหวอย่างไรบ้าง เราไม่เคยไปใส่ใจ สนใจดูแลครั้นเรากำลังจะตาย หรือเข้าที่คับขัน ใจเห็นภาวะนี่ขึ้นมา เราก็ไปคร่ำครวญเสียใจอีกว่า ทำไมถึง ไม่มีใครมาเตือน มาสอนเรา ปล่อยให้เราเลอะเทอะเปรอะเปื้อนเสียเวลาไปเปล่า ๆ ทั้งชีวิต แต่ละเวลานาที ลมหายใจเข้าทีออกทีล้วนมีความหมาย รู้ทั้งรู้ เราก็ ปล่อยโอกาสทองให้พังไปอีกแล้ว เพราะมัวแต่ไปยึดติดอยู่กับความฝัน กับอดีต คร่ำครวญหวนไห้ แทนที จะจดจ่อตังสติให้ตามรู้อยู่กับตัว หนีสินล้นพ้นตัว ทำยังไง เราถึงจะไม่ทำหนี่เพิมขึ้นมาอีก อย่างน้อยที่สุดก็ป้องกันไม่ให้ทรุดโทรมลงไปอีก เราก็ไม่คิดอย่างนั้นถ้าไม่ค่อยๆ ฝึก ค่อยๆ สังเกต ตั้งสติให้เห็น เท่าทันอาการกระเพื่อมของใจอย่างนี้ทุกวี่วัน จาก งานที่ทําอยู่เป็นอาจิณ ก็ยากที่เราจะมาเข้าใจอย่าง ที่พูดกัน เวลาอ่านจากหนังสือก็ซาบซึ้ง. ใช่แล้ว. ใช่ แล้ว. ใช่แล้ว... พระพุทธเจ้าตรัสถูกต้อง แต่เวลามา ทำมันอีกเรื่องหนึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสไว้ถูก... แต่ที่เรา ทำไม่รู้ทําตามใคร ถ้าเรารู้เท่าทันว่า เราเผลอทํา ตามใครไปก็ไม่รู้มันก็ดี จะได้มาตามแก้ไขตัวเองเราทำตามพระเทวทัตไปหมดทั้งตุ้น พอใครมา ว่า... ที่คุณทํามันคนละเรื่องกับที่คุณพูดนะ... เราก็ไป โกรธเขาอีก เพราะไม่มีสติที่จะรู้เท่าทันว่า ที่ทําไป เราทําไปอย่างไหนบ้าง ก็เลยไปตั้งเป้าว่า ไอ้คนๆ นี้ ขี้อิจฉาตาร้อน มาใส่ไคล้เรา เราทําดิ์ดีดีแล้ว ก็มา วิจารณ์เราให้เสื่อมเสีย ตกลงอวิชชาคือความผ่องใส อย่างยิ่ง ทำไปตามอวิชชาแล้วยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองขาด ทุนหมดไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว ทำให้เราไม่สามารถรักษา ตัวให้รอดปลอดภัยได้เราจะพบคนหลายๆ คน ที่เวลาเขาสอนเรา.. น่าที่ง น่าเชื่อเลื่อมใส หาที่ตําหนิไม่ได้เลย. แต่อย่าไป
ดูที่เขาทํา ดูเข้าแล้วตกใจ เกิดความพิศวงสงสัย เอ๊ะ... คุณทำนี้ไม่เหมือนกับทีคุณสอนนะ เขาจะตอบ...อะไรกัน เหมือนกันเจียบ เธอหูฝาดไปแล้ว... เพราะ สติที่ไม่เห็นเท่าทัน เขาไม่ได้หลอก ไม่ได้เป็นผู้ร้าย ปากแข็ง แต่สติที่ไม่ไวทันพฤติกรรมของตัวเอง ทําให้ เขาไม่เห็นจริงๆเรารู้อย่างนี่แล้วจะได้ไม่ตกใจ ที่บางทีเราว่าเรารู้ชัด ๆ ว่าเราทําอย่างนี แต่ทําไมคนอื่นว่าเราไม่ได้ทำอย่างนี้ เราจะได้เปิดหูฟังเขา ค่อย ๆ ตั้งสติดูเราให้ชัดเจนขึ้น แล้วจะเห็น เวลาพูดกเหมือนกันเราว่าปากเราพูดอย่างนี้ แต่จริงๆเราไม่ได้พูดอย่างนี้หรอกราพูดไปอีกอย่างหนึ่ง เพราะใจของเราไปผูกพันกับ อะไรเอาไว้ดิฉันจับโกหกตัวเองได้ ตั้งแต่สมัยทียังสอน หนังสือนักเรียนแพทย์อยู่ที่คณะวิทยาศาสตร์ เป็นโครงการร่วมกับรัอกกีเฟลเลอร์ ที่สอนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด นักศึกษาจะเอาเทปเข้ามาด้วย คือตัวเอง กางหูฟังแล้ว ไม่แน่ใจว่าจะฟังออก ก็เอาเทปมาอัดไว้ ด้วย พอเราสอนจบแล้ว เขาก็จะไปเปิดเทปฟังกันอีกเพื่อให้แน่ใจว่าเขารู้เขาเข้าใจที่เราสอนทั้งหมด
ครั้งหนึง ดิฉันก็ว่าสอนเขาไปอย่างนี้ อย่างนี้ อย่างนี้ ตามทีตําราว่า แต่ปรากฎว่าดิฉันพูดผิด แทน ทีจะพูดว่ามันเป็นอย่างนี้ดิฉันพูดว่ามันไม่เป็นอย่างนี้เขาก็มาถามกันว่า อาจารย์ครับ ที่อาจารย์สอนมันเป็นอย่างนี้ หรือมันไม่เป็นอย่างนี้ ดิฉันก็บอก มันเป็นอย่างนี้ เขาประท้วงว่า แต่อาจารย์พูดอีกอย่างหนึ่ง ครับ... เป็นไปไม่ได้น่ะ... เขาเอาเทปมาเปิดให้ฟัง. ใช่.. เสียงดิฉันพูด มันไม่เป็น... เทปคุณไม่ดีน่ะ เพื่อน ก็เอาเทปอีกอันมาเปิด ปรากฏว่าเทปกี่อัน กี่อัน กี่อันก็เป็นอย่างนั้นเวลาที่เราพูดไป ใจแวบไปคิดถึงอะไร เราก็ตามไม่ทันคำพูดของเราเอง ทั้งๆ ที่ใจเราว่าเราพูดอย่างนี้.. อย่างนี้... แต่เสียงที่ออกมา มันอีกอย่างหนึ่ง... เวลา สติของเรากระพริบ มันน่ากลัวอย่างนี้เพราะฉะนั้นใครเขาทักท้วงเรา อย่าไปเถียงเป็น อันขาดว่า ไม่จริง ฉันรู้ตัวของฉัน ฟังเขาเอาไว้ ขอบ คุณเขา แล้วก็มาตั้งสติดูตัวเราในกาลข้างหน้าต่อไปเพราะจะมีภาวะอย่างนี้ สติที่เรานึกว่าเรามีอยู่ตลอดเวลา มันกะพริบหายไป ครึ่งชั่วโมงก็มี 6 ชั่วโมงก็มีเราก็ไม่รู้ มีตัวอย่าง สุภาพสตรีท่านหนึ่งไปที่วัด ปกติเราอาบน้ำกัน อาบน้ำเสร็จเราก็จะซักเสื้อซักผ้าด้วยแล้วเอาออกมาตาก ท่านนีมาฟ้องร้องกับดิฉันว่า
ตอนไปอาบน้ำ ถอดนาฬิกาไว้ในห้องน้ำ นึกขึ้นได้ว่าลืมนาฬิกาไว้ กลับไปดู นาฬิกาหายไปแล้ว บังเอิญ เมื่อท่านอาบน้ำเสร็จ ชาวบ้านที่ตามมาใส่บาตร ระหว่างที่พระฉันจังหันเขาก็ไปโยกน้ำจากบ่อน้ําบาดาล เอามาใส่ตามที่ในครัว ในห้องน้ําของพวกเรา เพราะ เขาถือว่าเขายังไม่มีเวลาจะมาปฏิบัติ ก็เอาแรงมา ทำงานช่วยเหลือเป็นบุญ ใจของสุภาพสตรีท่านนั้น คงระแวงว่าชาวบ้านคนใดคนหนึ่งต้องหยิบนาฬิกาของ ท่านไปดิฉันคุ้นกับวัดมานานพอที่จะรู้ว่าเขามุ่งมาเอาบุญ เขาไม่เอาหรอก นาฬิกาหนึ่งเรือน แลกกับบุญที่เขา สะสมมาเยอะแยะจะหมดไป แต่ดิฉันก็ไม่รู้จะอธิบาย ยังไง เพราะท่านยืนยันว่านาฬิกามันหายไป ดิฉันก็ ตามไปดู รื้อในห้องน้ำว่ามันตกลงไปตรงซอกโอ่ง หรือ อย่างไร ตรวจจนหมดก็ไม่พบถามท่านว่าท่านออกจากห้องน้ําแล้วเดินไปทาง ไหนบ้าง ก็พาเดินกันตามไป จนกระทั่งท่านชี้ว่า... นี่ไงมาตากผ้าอยู่ตรงนี้... ตอนแรกดิฉันคิดว่าท่านถือนาฬิกาออกมากับผ้า แล้วมันหล่นอยู่ที่พื้น มันก็ไม่มี ดิฉันก็มองอย่างหมดหวังไปรอบ ๆ สายตาไต่ไปตรง ระเบียงนอกชานที่หน้ากุฏิ นาฬิกาก็สิงสถิตอยู่ที่ตรง นั้น แสดงให้เห็นว่า เมื่อท่านถอดนาฬิกาออกก่อนอาบน้ำ สติมีครบ รู้ว่าถอดนาฬิกาวางเอาไว้ แต่ซักผ้า เสร็จแล้ว กำผ้าพร้อมทั้งนาฬิกาออกมา ไม่ได้มีสติอยู่ กับปัจจุบัน
เมื่อจะตากผ้า ท่านคงรู้สึกว่าการมีนาฬิกาอยู่ใน มือทําให้ตากผ้าไม่ถนัด ก็เอานาฬิกาไปวางไว้บนพื้น นอกชาน แต่ก็ไม่มีสติระลึกรู้ เพราะวางแล้วมาตาก ผ้าจนเสร็จ ท่านก็ลืม เดินไปไหนมาไหน จนกระทั่ง อยากรู้เวลา ก้มดูข้อมือ พบว่าไม่มีนาฬิกา นึกทวนไป ตรงไหนที่ไม่มีสติตามระลึกรู้ก็จะว่างไปหมด จึงระลึก ได้แต่ว่าถอดเอาไว้ในห้องน้ํา ตั้งแต่นั้นจนกระทั่งมา บอกดิฉัน มันนับเป็นชั่วโมงถ้าเราคอยติดตามตัวเองอย่างเรื่องที่เล่านี้ เราก็จะค่อยๆ เห็นที่ผิดพลาดของตัวเอง ถ้าอยู่เฉย ๆ แล้วนี่ มันยาก แต่ถ้าต้องทำงาน ต้องมีอะไรทำอยู่เรื่อย ๆโอกาสที่จุดเหล่านี้จะช่วยเตือนความจํา ให้เราฉุกใจได้ ว่า สติหลุดไปตั้งแต่ตรงไหน ก็มีมากขึ้น
เพราะฉะนั้น แต่นี้ต่อไป เวลาเซ็งกับงานการ หรือจะไปปรับไหมว่าเพื่อนร่วมงานเราเป็นตัวแสบ ให้ ย้อนกลับมาดูใจเราใหม่อย่างนี้ แล้วจะพบว่าเราเองนี่ แหละตัวแสบ จะได้แก้ไขตัวเราได้ เพราะถ้าไปเห็น เพื่อนร่วมงานเป็นตัวแสบ เราแก้เขาไม่ได้ แล้วยิ่งทุกข์ เดือดร้อนหนักเข้าไปอีก เพราะขัดเคืองใจว่า เรื่อง อะไรฉันจะต้องกัดฟันทนอยู่กับตัวแสบตัวนี้แต่ถ้าเราหันมามองที่ผิดที่บกพร่องของเราจนพบ แล้วยอมรับว่า... เราเองนี่แหละคือตัวแสบ คราวนี้เรา มีที่ที่จะแก้ไขได้ เพราะเราเป็นตัวของเรา จะแก้ยังไง ก็แก้ได้ ถ้าแก้ได้เร็ว เราก็ได้กำไร ถ้าแก้ช้า ถึงจะเสีย เวลาไป แต่เราก็ได้ฝึกให้ปัญญาของเราเห็นชอบขึ้นมา แล้วเราก็ภูมิใจอย่างน้อยที่สุดเราก็รู้แล้วว่า แยบคายอุบายที่จะแก้ที่ผิดที่บกพร่องของตัวเองเป็นอย่างนี้นะ เราก็มี กำลังขึ้น ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่า ศักยภาพ ของความเป็น มนุษย์นั้น ไม่มีอะไรยากเกินความเพียร พยายามไปได้ คราวนี้พอเราจะบอกว่า... นิสัยอันนี้ฉันแก้ไม่ได้... เราก็มีกำลังใจว่า... แก้ได้ ถึงจะยากลำบากก็แก้ได้เมื่อใจตั้งเป้าว่า แก้ได้ มันก็มีกำลัง ไม่อย่างนัน ถ้าใจว่า... แก้ไม่ได้... พอจะไปจดจ่อ ใจก็นึกแย้งว่า ไป ทํามันทําไม ก็ของแก้ไม่ได้ มันยุให้รำตำให้รัว ทำให้ เราเกิดความเกียจคร้าน ไม่เอาจริงเอาจัง กลายเป็น คนจับจด แทนที่จะจดจ่อแก้ไข เราก็จับจด แล้วไม่ได้เรื่องดีแต่จดๆ จ้องๆ แล้วถอยฉากไปทุกทีถ้าเราเห็นกันตามนี้ ดิฉันเชื่อแน่ว่า แต่นี้ไป การ ทํางานจะเป็นเรืองสนุก เป็นเรืองที่พาให้เราอยู่บน มรรค แล้วเราก็ได้ผล 2 ต่อ เพราะแต่ก่อนเราไปคิด ว่า เรืองอะไรเราถึงจะต้องมาเหนือยยากทํางานทาง โลก เพราะเราก็ไม่ตั้งใจจะเอาดิบเอาดีทางโลก เรา จะไปปฏิบัติต่างหากกิเลสก็หลอกเรา ให้เป็นคนจับจดอีกแล้ว แทนที่จะตังอกตั้งใจทำงานให้ดีตามหน้าที่ ...ก็เราไม่ได้คิดจะเอาดีทางนี้นี่... ถ้าไม่คิดจะเอาดีก็ออกไปเลย ก็ไม่ ยอมออก ...ไม่ได้ต้องทําก่อน เดียวพ่อแม่พีน้องจะว่า...มันเลยเป็นนิสัยว่า ทําอะไรก็ทำครึ่งๆ กลาง ๆ ทำพอ เป็นพิธีไปถึงตอนมาปฏิบัติธรรม นิสัยอันนี้ก็เป็นอัตโนมัติ ตามมาเราก็ปฏิบัติพอเป็นพิธีไปอีกนั่นแหละ ทั้งๆ ที่ ปากเราบอกว่า เราจะเอาทางนี้เป็นชีวิตจิตใจของเรา แต่นิสัยที่เราสร้างเอาไว้โดยไม่รู้ตัว ก็ตามมาบันรอน เพราะฉะนั้นถึงเราจะไม่เอาดีทางโลก แต่ขณะที่ตัวเรา อยู่ตรงนี้ เราก็ต้องทําตรงนี้ให้เต็มที่ เพราะการปฏิบัติ งานคือการปฏิบัติธรรม เราจะได้นิสัยที่ดีงาม ไม่ก่อ หนี้สินเราอยู่ที่ตรงไหนเราก็ทําตรงนั้นเต็มที่จากไปแล้ว ใครมาตำหนิติโทษว่า... ดูสิ ตอนที่เราทำ เราทำไม่เห็น ได้ความเลย... เราทบทวนถามตัวเอง ก็พบว่า ให้หมุน เวลากลับไปอีก เราก็จะทำได้ดีแค่นี้แหละ เพราะเรา ทำสุดสติปัญญาความสามารถของเราแล้ว ใจของเรา ก็ไม่ทุกข์เดือดร้อน นิสัยอันนี้จะเป็น อริยทรัพย์ ไม่ว่า เราจะไปทำอะไร ก็จะทำเต็มสติกำลังความสามารถ ไม่ไปคดโกง ไม่เป็นคนจับจด รู้มากเอาเปรียบไม่ว่าจะทำอะไร อย่าไปเสียดายแรง อย่าไปเข้า ใจผิดว่า โลกกับธรรมเป็นคนละเรื่องกัน โลกกับธรรม มันอันเดียวกัน มันอยู่ใน ใจของเรานี่เอง ใจอันนี้ ถ้า เราไปจับงานที่เป็นสมมติบัญญัติ เราก็เรียกมันว่า โลกถ้าไปจับงานทีเป็นเรืองของจิตใจ เราก็เรียกมันว่า ธรรม แต่แรงขับเคลือนเป็นอันเดียวกัน แล้วก็ใจอันเดียวกัน จะเป็นโลก จะเป็นธรรม ก็เหมือนกัน อย่าให้อวิชชา มาหลอกเราว่า นี้เรากำลังทำเรื่องโลก ๆ จะทำยังไง ก็ได้ มีเล่ห์เหลียมมีอะไรก็ทําไป เพราะทางโลกจะต้อง แข่งขันเอารัดเอาเปรียบกันถ้าเชื่ออย่างนั้นเราขาดทุน ไม่ว่าจะเป็นโลกหรือธรรม ก็เป็นใจอันนี้ด้วยกัน ถ้าทางโลกเราเป็นคนรู้ มาก เห็นแก่ตัว คดโกง นับถือตัวเองไม่ได้ มาปฏิบัติธรรม เราก็เป็นเราตัวนีแหละ แล้วต้องมานั่งแก้นิสัย กันใหม่ มันไม่คุ้มเพราะฉะนั้น จะเป็นโลก จะเป็นธรรม ทําตัวของ เราให้ เที่ยงตรง เป็นคนจริง เชื่อถือได้ เป็นใช้ได้ทั้งนั้น แล้วก็เข้า มรรค ทังนน จะเป็นมรรคหยาบ มรรค ละเอียด มันก็คือ มรรค ที่เป็นหนทางไปสู่ความสิ้นปัญหาทั้งนั้นขอให้เรายึดหลักอันนี้เอาไว้ แล้วจะรู้สึกว่า ที่เรา ยังต้องทำงานกันอยู่ ไม่ใช่เรืองกดถ่วงใจ หรือเป็น ความขาดทุนสูญกำไร เป็นความน่าน้อยเนื้อต่ำใจ คนโน้นคนนี้ทำไมเขาไม่ต้องมาเหนื่อยยากอย่างเรา เราไม่มองเขา เราไม่ทำใจของเราให้ขึ้นขี่สนิม เป็นคนขี้อิจฉาอย่างนั้นถ้าเราได้งานที่เป็นปัญหายุ่งยาก เราก็ให้กำลังใจ ตัวเองว่า ธัมมะคุ้มครองเรา นีธัมมะจัดสรร ให้เรามีแบบฝึกหัด ถ้ามีแบบฝึกหัดยาก ๆ อย่างนี้ แล้วเราสอบผ่าน เราจะได้กําลังใจไปอีกหลายช่วงตัว เพราะฉะนั้นเราก็จะเป็นคนหนักเอาเบาสู้ จะทำอะไรก็เป็น คน ทำจริง ผลทีได้มาก็น่าชื่นใจ ทำให้เราเกิดความ มันใจในตัวเอง เกิดความเต็มอิม สุขภาพใจก็เป็นปกติแข็งแรง เป็นธรรมขึ้นโดยลำดับหวังว่า ฟังกันแล้ว ทุกท่านคงเห็นงานการของ ตน เป็นแบบฝึกหัด เป็นเครื่องลับสติปัญญา เป็น มรรคหยาบ ฝึกให้ใจเป็นใจที อิม เต็ม ปีติ แล้วเป็นธรรมขึ้นมา
พิมพ์โดย ปภัสสร มีพงษ์
แหล่างที่มา http://web.krisdika.go.th/buddha/38_makyab.pdf
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น