มนุษยสมบัติ
ชื่อผู้เขียน พญ อมรา มลิลา
วันที่ วันที่ 21 พฤษภาคม 2551
ณ ห้องประชุมชัน 2 ตึกวชิรญาณวงศ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
หมวด
อันดับที่
วันนี้ หัวข้อที่เราจะสนทนากัน คือ มนุษย์สมบัติ จริงๆ แล้ว เราก็อาจจะไม่เคยไปสงสัยว่า อะไรเป็นมนุษยสมบัติ เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ ย่อมมีสมบัติเป็นมนุษย์กันอยู่แล้ว แต่ท่านผู้รู้ กล่าวไว้ว่า การที่เราได้รูปร่างกายเป็นคนมายังไม่ เรียกว่าเรามีมนุษยสมบัติ เพราะร่างกายก็เป็นส่วน ของร่างกาย แต่ส่วนของจิตใจนั้นยังมีพัฒนาการ เป็นภพภูมิที่แตกต่างกันออกไปเป็น 5 ภพภูมิ คือ เป็น มนุสสนิรโย มนุสสเปโต มนุสสติรัจฉาใน มนุสสมนุสโส มนุสสเทโว และมนุสสอริโย เรามาเริ่มด้วยภพภูมิของ มนุสสมนุสโส คือตัวก็เป็นมนุษย์ ใจก็เป็นมนุษย์ มมนุษยสมบต คือ มีศีล ปกติ ศีล 5 คือมนุษยสมบัติของเรา ฉะนั้น ใครที่ไม่ได้รักษาศีล 5 ไว้ให้เป็นนิจศีลถึงร่างกายเป็นมนุษย์ก็จริงอยู่ แต่จริงๆท่านว่า ไม่ใช่หากใจผู้ใดปฏิสัมพันธ์กับใครๆ ก็ไม่รู้เรื่อง เอะอะอะไรก็ขวางโลกไปหมด ก็เรียกว่า มนุสสติรัจฉาโน เพราะเดรัจฉานนั้น แทนที่จะตั้งตัวตรง ไว้อย่างมนุษย์ กลับเอาตัวขวาง คือ เป็นสัตว์ที่มี ร่างกายเจริญโดยขวาง ท่านจึงว่า ตัวนั้นเป็นมนุษย์ แต่จิตใจไม่ใช่เหมือนเราเลี้ยงลูกหมา ลูกแมวไว้ พูดกับ มันว่า นี่นะ เท้าเจ้าสกปรก อย่าย่าขึ้นมาบนบ้าน นะ มันก็กระดิกหางดิกๆ เป็นทำนอง ครับๆ แต่ พอเราคล้อยหลัง มันก็ย่าไปทั่ว ตอนแรกเราก็ โกรธ แต่พอนึกขึ้นมาอีกที ก็... จะไปโกรธอะไรกันกับหมากับแมว...เราก็จบเรื่องไปแต่ถ้ามันสวมร่างคน แล้วจิตใจยังเป็นหมา เป็นแมว เรา บอก นี่นะ อย่าย่าขึ้นไป ฉันยังทำไว้ไม่เรียบร้อย มันก็เหมือนรับคำว่าค่ะๆครับๆ แต่มันก็ย่ำเหมือนตัวอย่างเพื่อนดิฉัน สามีเขาเป็นคนที่เวลามีอะไรไม่ดีไม่งามในบ้านก็จะลงมือปรับปรุงทําเอง พื้น หน้าต่าง มุ่งลวด ก็จะทำเอง เพราะถือว่าเป็นกิจกรรมในครัวเรือนทำให้เกิดความสมัครสมานสามัคคีกัน พอดีช่วงนันเป็นช่วงวัน หยุดยาว สามีเพื่อนก็ขัดพื้นและลงน้ำมันชักเงาไว้พอจะไปกินข้าวกลางวันก็สังเสียสาวใช้ว่า ตรงห้องนี้นะเจ้าอย่าเพิ่งเดินเข้าไปเพราะมันยังเปียกอยู่ให้เดินอ้อมไปเข้าอีกห้องหนึ่ง สาวใช้ก็รับปากว่า ค่ะ..ค่ะ..แต่พอสามีกินข้าวกลับเข้ามา ปรากฏรอยเท้าของสาวใช้ย่ำจนทั่วไปหมด ก็โกรธมากบอกแล้วใช่ไหมว่าพื้นยังเปียก อย่าเพิงย่ำสาวใช้ก็ ลอยหน้าว่าเปียกที่ตรงไหน คือเธอมีความเข้าใจว่า ถ้าเปียกก็ต้องเหมือนเปียกน้ำ ซึ่งต้องเอาไม้ม๊อบไปเช็ด แต่เธอมองน้ำมันชักเงาที่ยังไม่แห้งมันก็ไม่เปียกอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ถึงเธอเดิน เข้าไปแล้วน้ำมันจะเหนอะติดเท้า เธอก็ไม่เข้าใจว่าทำไมนายผู้ชายถึงโกรธเป็นวรรคเป็นเวรอย่างนั้น ทำไมการที่มีรอยเท้าเธอประทับไปทั่วทั้งห้อง นายจะต้องคอยจนพื้นแห้งสนิท แล้วจึงลงมือขัดใหม่ลงน้ำมันใหม่ สำหรับเธอก็ว่ามันแห้งดีอยู่แล้ว เจ้านายยังจะมาโกรธอะไรอีกเล่า นายก็โกรธมากเพราะอุตส่าห์เสียเวลาไปทั้งวันหวังไว้ว่าบ้านจะสวยงาม ปรากฏกลับเหวอะหวะไปกว่าเดิม ก็พาล เอากับภรรยาว่าคุณเลือกเอาจะเอาสาวใช้ไว้หรือจะเอาผมคราวนี้วิกฤตก็เกิดขึ้นความจริงภรรยา ก็มีเรื่องกับสาวใช้เนืองๆ เป็นต้นว่า เคยบอกให้เตรียมอาหารนี่นะเย็นนี้ฉันกลับมา จะทำสลัด ผักสด ให้เธอเตรียมเลือกมะเขือเทศสุกๆ เอาไว้นะหมายถึงสุกแดง จะได้หัน พอกลับมาถึง ยัง ไม่ทันลงนั่งเลยสาวใช้ก็เอาหม้อที่ต้มมะเขือเทศจนสุกเละมาถามว่า สุกพอหรือยังหรือจะให้ไปเคียวต่ออีก นายก็แทบจะเป็นลมเลยทีนี้สามีมาให้เลือกว่า จะเอาสาวใช้หรือจะเอาสามี จริงๆ ก็ไม่อยากเอาสาวใช้ แต่หากไม่มี สาวใช้เฝ้าบ้าน ออกไปทำงานกันทั้งคู่ กลับมาถึงบ้าน ก็อาจจะมีใครมาถอนเอาเสาเรือนไปแล้วก็ได้ก็กําลังอีกๆ อักๆ
พอดีดิฉันโผล่เข้าไป ทั้งคู่ก็ดีใจมาก ทั้ง สามีและภรรยารุมกันฟ้องดิฉันใหญ่เลย แล้วก็ให้ ดิฉันช่วยตัดสิน ว่าควรจะเลือกสามีเอาไว้หรือ เลือกสาวใช้เอาไว้ดิฉันก็...ตายละสิ เพราะรู้ว่า ถ้าตอนนี้มีอะไรหล่นใส่สามีลงไปอีกนิดละก็ หลัง หักแน่ พอดีนึกขึ้นมาได้ว่า เขามีลูกหมาตัวเล็กๆอยู่ตัวหนึ่ง ดิฉันก็หันไปถามเพื่อนเขยว่า คุณๆ ถ้าลูกหมาของคุณมันย่ำพื้นจนเลอะไปทั่วอย่างนี้คุณจะโกรธไหม คุณจะให้เพื่อนฉันเลือกระหว่าง ลูกหมากับคุณไหมสามีก็นิ่งไปพักหนึ่งแล้วตอบว่า คุณจะบ้าหรือเราจะไปเอาเรื่องอะไรกับลูกหมามันได้ ไม่รู้เรื่องดิฉันจึงบอกคุณก็คิดเสียใหม่สิ ที่จริงสาวใช้คุณก็ลูกหมานั่นแหละ แต่เขาไปเอาเสื้อคลุมคนมาใส่คุณก็เลยเข้าใจผิดว่าเขาเป็นคนถ้าคุณมีตาทิพย์มองเข้าไปนะ ใจเขาก็เท่าๆ กับ ลูกหมาแหละ เขารู้เรื่องเท่านัน คุณจะไปเอาเรื่อง อะไรกับเขา สามีก็สะบัดเดินออกไป ทั้งภรรยา และดิฉันนึกว่านี่คงบ้านแตกแน่ แต่สักพักสามีก็กลับเข้ามาบอกว่า เออ... ผมยอมรับเหตุผลของคุณ ศึกครั้งนี้เลยระงับไปได้ใจของคนเรา ถ้าไม่ล้างเอาอุปาทาน ความยึดมันสำคัญผิดออกไป อวิชชาที่มีอยู่ในใจ โดยเราไม่รู้ว่าเรามีอวิชชาอยู่ เราก็นึกว่าเรามองเห็น ตามความเป็นจริงแล้ว แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเราเห็นแค่เปลือก ดังนั้น การประพฤติปฏิบัติธรรม จึงเป็นการฝึกตัวของเราเพื่อให้รู้เห็นตามความเป็นจริงตอนแรกที่ทราบ ดิฉันก็นึกว่า สบายมากดิฉันจะทำอะไรก็ต้องให้รู้เห็นตามความเป็นจริงเสีย ก่อนทั้งนั้น แต่พอค่อยๆ มองไป... มองไป... เรา เห็นแต่เปลือก แล้วกำเริบว่าเรารู้เห็นตามความเป็น จริงแล้ว อุปาทานของเรายังเต็มไปหมด แล้วเราก็ไม่รู้ว่าทำอย่างไรจึงจะเห็นทะลุเปลือกที่เราว่า เราเห็นแล้วนี้เข้าไปได้ เหมือนตัวอย่างเรื่องสาวใช้คนนี้ถ้ามีผู้รู้มาชี้แจงให้เราเห็น การณ์ที่ทำให้เราต้องพยายามหาอุบายจนแก้ปัญหา ตรงนันตก คล้ายๆ กับว่ามันยังมีเปลือกบางๆ ซึ่ง
เราจะต้องค่อยๆ ลอกมันออก เราจึงจะเห็นความ จริงข้างในเพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรม คือ การที่ เราค่อยๆ ลอกอุปาทาน ความยึดมั่นสำคัญผิด ของเราออกไปทีละน้อยๆ ตามความนิ่งของใจ จน เราสามารถเห็นประตูกล. แล้วเปิดประตูกลเข้า ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง เราก็เห็นได้อย่างที่ พระพุทธเจ้าทรงเห็น หรืออย่างที่ครูบาอาจารย์ เราที่เป็นพระอรหันต์เห็น มนุสสมนุสโสก็เป็น อย่างนี้ กายเป็นมนุษย์ ใจมีศีลเป็นมนุษยสมบัติ ส่วนพวกเบื้องใต้ก็เป็นมนุสสติรัจฉาโนอย่างที่พูด เมื่อสักครู่นี้มนุสสเปโต คงไม่ต้องอธิบาย กายก็เป็น มนุษย์นี่แหละ แต่สามารถกินได้ทุกอย่าง ไม่ว่า กรวด หิน ดิน ทราย ประเทศทั้งประเทศ หรือ โลกทั้งโลก เขมือบได้หมดเลย เพราะใจนี้หิวไม่มี ที่สิ้นสุด มนุสสนิรโย ตัวเป็นมนุษย์ แต่ใจเป็นสัตว์ นรก ที่เราเห็นในข่าวหนังสือพิมพ์เยอะแยะมากมาย
ทําได้สารพัดสารพันอย่าง จนเราบอก โอ้ย... นี่มันทำไปได้อย่างไร... เพราะใจของมันเป็นสัตว์นรกนั่นเอง
ที่นี้ระหว่างเปรตกับสัตว์นรก ก็ยังมีอสุรกายซึ่งจริงๆ แล้วท่านบอกว่า มันเป็นครึ่งเปรต ครึ่งสัตว์นรก พวกนี้จะมีความกลัว แต่ความกลัวนี้ ไม่ใช่กลัวประเภทหลบลีหนีหน้า มันกลัวแล้วดุร้าย คือตัวเองมันไม่ยอมสู้ความจริงอะไรๆ ก็ปัดออกหาแพะรับบาปไปหมด ในความกลัวนั้น มันจะปกป้องตนเอง ทำร้ายผู้คนกระจุยกระเจิงไปหมด อสุรกายมีธรรมชาติเป็นอย่างนี้
คราวนี้ก็ถึงพวกทิกายเป็นมนุษย์ก็จริงแต่จิตใจท่านสูงอยู่ในสุคติภูมิเป็นมนุสสเทโว คือ นอกจากท่านจะมีมนุษยสมบัติคือศีลแล้ว ยังมี หิริโอตตัปปะซึ่งเป็นเทวธรรม แม้ใครไม่รู้ใครไม่ เห็น ฉันก็เกรงบาป กลัวความผิด ฉันจะมีความ ซื่อตรงต่อตัวเอง ก็เป็นมนุสสเทโวหากท่านเหล่านี้ปฏิบัติธรรมและปรารถนา ในทิพยสมบัติ จะไปเกิดเป็นเทวดาจริงๆ ชีวิตที่เป็นเทวดานั้นยาวนาน เพลิดเพลินอยู่ในสุขซึ่งครูบาอาจารย์ท่านใช้คำว่า รื่นเริงในธรรม เวลาพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ในโลกมนุษย์ เทวดาเหล่านี้จะมาฟังธรรมของท่าน เมื่อฟังแล้วก็รื่นเริง แต่ไม่คิดที่จะปฏิบัติจริงจัง เพราะยังติดในความสุข...ไว้พรุ่งนี้ค่อยปฏิบัติเถิด ก็ผัดวันประกันพรุ่งไป เรื่อยท่านทิปฏิบัติธรรมแล้วเห็นตรงจุดนี้ ก็จะอธิษฐานว่าถึงเราจะมีทิพยสมบัติ มีสวรรคสมบัติก็ไม่ขอไปเกิดเป็นเทวดา จะขอมาเกิดเป็นมนุษย์จากบุญกุศลที่มีทิพยสมบัติก็จะพาให้มาเกิดเป็น คนที่รํารวย ปรารถนาอะไรก็จะเหมือนดังธรรม จัดสรรให้ได้สมดังประสงค์ เหมือนเป็นเทวดาที่ไม่ต้องหาอยู่หากิน คิดปรารถนาอะไรทุกอย่างก็สำเร็จได้ด้วยทิพยสมบัติดังประสงค์ทั่งสิ้นถัดไปก็เป็นพรหม คือ มีพรหมวิหาร 4 มี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา พวกที่ไปเกิดใน พรหมโลก อายุขัยยิงยาวนานกว่าเทวดาอีก เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ทรงนึกถึงว่าจะไปโปรดใครก่อนดี ก็ทรงนึกถึงอาฬารดาบสกับอุทกดาบสแต่พอทรงเล็งพระญาณ อ้าว... ตายไปแล้วไปเกิด ในพรหมโลก ซึ่งอย่างไรๆ ทั้ง 2 ท่านก็ไม่กลับมา เกิดทันในสมัยของพระองค์ที่กล่าวไว้ว่ายาวนานถึง 5,000 ปี... และจะยาวนานไปถึงสมัยไหนก็ไม่รู้พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่าไม่มีทางแล้วที่จะโปรดอุทกดาบสและอาฬารดาบส จึงทรงนึกถึงปัญจวัคคีย์ ก็ได้เสด็จไปแสดงปฐมเทศนาโปรดปัญจวัคคีย์ด้วยเหตุนี้ เหล่าท่านผู้ปฏิบัติ แม้ว่าท่าน จะมีบุญกุศลพอที่จะไปเป็นเทวดา เป็นพรหมได้ท่านก็ไม่ไปภพภูมิเหล่านั้น จะลงมาเป็นมนุษย์ อย่างเดิมแล้วจิตใจของท่านก็ทรงคุณธรรมเหล่านั้น และก็เร่งปฏิบัติต่อไปเหมือนพระพุทธเจ้า สมัยที่ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านมีเพื่อนซึ่งปฏิบัติสมาธิติดอยู่ในฌานเป็นสุขวิหารธรรม แต่พระโพธิสัตว์ทรงเห็นว่า ถ้า เราเจริญสติแล้วกลับมาเกิดเป็นคนเพื่อที่จะปฏิบัติ ไปเรื่อยๆ โอกาสที่จะบรรลุธรรม ได้มรรค ผลนิพพาน ก็จะเร็วกว่าไปติดในฌาน ในสมาธิ แต่
เพื่อนของท่านไม่เห็นด้วย เมื่อตายไปก็ไปเกิดใน พรหมโลกเป็นท้าวสหัมบดีพรหมเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะบรรลุธรรมแล้วทรง พิจารณาว่า ธรรมที่เราได้นี้ลึกซึ่งละเอียดลออจนกระทั่งว่าไม่น่าจะมีใครเข้าใจได้ ก็ทรงท้อพระทัยคิดจะไม่สั่งสอนแล้ว เพื่อนของท่านคือท้าวสหัมบดีพรหมก็เห็นว่า ถ้าพระพุทธเจ้าท้อพระทัยแล้ว จะไม่ยอมสั่งสอน อย่างนี้โลกก็แย่ ท่านจึงลงมา ทูลอาราธนาว่า เจ้าชายสิทธัตถะไม่ใช่มนุษย์หรือ ทั้งที่ไม่มีใครสั่งสอนท่าน ท่านยังสามารถพิจารณา พัฒนาสติ เกิดสัมมาสมาธิ สัมมาทิฐิ ปฏิบัติจน ได้บรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ถ้าท่าน เอาธรรมที่ท่านตรัสรู้มาเรียบเรียงให้ง่ายเป็นหมวด เป็นหมู่ มีหรือที่จะไม่มีมนุษย์สักคนหนึ่งได้รับ ประโยชน์พระพุทธเจ้าทรงเห็นจริงตามนั้น จึงรับอาราธนาของท้าวสหัมบดีพรหม เราจึงเห็นว่า คําอาราธนาธรรมขึ้นต้นด้วย พรัหมา จะ โลกาธิปะติ….เพื่อให้เราระลึกนึกถึงบุญคุณของ
พรหมองค์นี้ หากไม่มีท่าน เราคงไม่ได้ธัมมะไว้เป็นเครื่องช่วยให้จิตใจของเรามีที่พึ่ง มีหลักที่จะประพฤติปฏิบัติแก้ไขปัญหาทั้งหลาย เปลี่ยน ปัญหาเป็นปัญญา เปลี่ยนอุปสรรคให้กลายเป็นโอกาส อย่างที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้เพราะฉะนั้น เราก็ได้เห็นแล้วว่า มนุสสนิรโย มนุสสเปโต มนุสสติรัจฉาใน มนุสสมนุสโส เป็นชุมทางไปสู่ภพภูมิต่างๆ โดยเฉพาะภพภูมิ ที่สูงขึ้นไป คือ มนุสสเทโว มนุสสพรหโม จากนี้ ถ้าเราปฏิบัติจนกระทังใจของเราพลิกจากจิตบุถุชน ไปเป็นอริยบุคคล เราเรียกว่า มนุสสอริโย มนุสสอริโยนี้มุ่งต่อโลกุตรธรรม จะไม่เอาโลกิยฌานมีฤทธิ์ มีฌานสมาบัติทั้งหลาย จะตั้งใจมุ่งปฏิบัติ เพื่อมรรคผลนิพพานมนุสสอริโย ประกอบด้วยบุคคล 4 ประเภท เริมต้นประเภทแรก คือ โสดาบัน ในภาษาอังกฤษ ว่า stream-enterer ผู้ที่ตกกระแส คือตกกระแส ที่จะไม่ไหลเวียนวกกลับมาสู่วังวนที่เป็นวัฏสงสารอีก ขั้นแรกนี่ก็เป็นพระโสดาบันถัดมาเป็นสกทาคามี ภาษาอังกฤษว่า Once returner คือ จะกลับมาเกิดในกามภพนีอีกเพียงครั้งเดียวแล้วก็จบสินไปประเภทที่ 3พระอนาคามี ภาษาอังกฤษ เรียก non-returner พวกนี้แม้ยังไม่บรรลุเป็นพระอรหันตัก็จริง เมือสินชีวิตจากความเป็นมนุษย์ ในโลกนี้แล้ว จะไปเกิดบนสวรรค์ชั้นสุทธาวาสแล้วปฏิบัติต่อจนสำเร็จเป็นอรหันต์ในชั้นสุทธาวาสนั้นประเภทสุดท้ายนี้ ปฏิบัติได้ทั้งสติสมาธิเต็ม รอบ ปัญญาเต็มรอบ ปัญญาตัดกิเลสได้หมด เป็น อรหันต์ ภาษาอังกฤษเรียกว่า perfected One ท่านหมดสิ้นภพชาติ ไม่กลับมาเกิด คือจะไม่มาสู่ กายหยาบนี้อีกแล้ว เป็นใจที่บรมสุข อยู่ในสภาพ พลังรู้ที่ทรงตัวเป็นอิสระ ไม่ไปดูดไปผลักหากาย เนื้อซึ่งเป็นเหมือนเครื่องมือที่สนองให้ใจที่ยังไม่ สิ้นกิเลสได้สมปรารถนาของกิเลสที่ดิ้นรนอยู่ในใจเหล่านี้ ก็เป็นการเดินทางของจิตใจของเราอย่างคร่าวๆจากนี้เราก็มาดูว่าในความเป็นมนุษย์ที่เรา ควรมีมนุษยสมบัตินี้ เราควรปฏิบัติอย่างไรบ้าง ธรรมชาติของใจของสิ่งมีชีวิตที่มีใจครองทั้งหลาย เป็นธาตุรู้ ตื่น เบิกบาน แต่เป็นเพราะความที่เรา ไม่รู้ในคุณค่า แล้วไม่มีใครมาสอนให้ระแวดระวัง ให้ดี สติของเราจึงไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ทําให้ กิเลสเข้ามาฉาบทาได้เหมือนเราเป็นใบบัวที่เคลือบผิวของใบถลอก ปอกเปิก เพราะฉะนั้น พอใบบัวนี้มีขี้โคลนหรือ สิ่งสกปรกมาถูกต้องเข้า มันก็ฉาบติดได้ ใจของ เราจึงได้ถูกโลภ โกรธ หลง มาเกาะติด แล้วเรา ก็ไปเข้าใจผิดว่า โลภ โกรธ หลง เป็นส่วนของใจเราจริงๆพอครูบาอาจารย์ดูเราเพื่อที่จะให้เราล้าง โลภ โกรธ หลง ออกจากใจ เราก็ไปเข้าใจผิดว่า พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านร้าย มาตีหัวใจเรา ความจริง ท่านตีกิเลส แต่เราเข้าใจผิดว่าท่านตีเรา มันจึงได้ เกิดการต่อสู้ เกิดยึดมั่นสำคัญผิดตามอุปาทานที่ เป็นกาวเคลือบใจไว้ฉะนั้น ด้วยอำนาจของอวิชชาและอุปาทาน แทนที่เราเกิดมาเพื่อแก้ไขข้อผิดข้อบกพร่องของเรา เพื่อจะได้กลับไปสู่สภาพเดิมแท้ รู้ ตีน เบิกบานอย่างที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงทำปากเราก็ว่า โอ๊ย.. เราเหนื่อย เราอยากพ้นทุกข์ เรามุ่งแสวงหาครูบาอาจารย์เพื่อละกิเลส แต่จริงๆ เรากลับภาวนาเพื่อ สะสมกิเลสเพราะพอสติเกิดกะพริบไป เราก็เห็น กิเลสเป็นเนื้อตัวเรา ครูบาอาจารย์ทีหวังดีต่อเรา กลายเป็นมาทำร้ายเรา เพราะท่านไปทุบกิเลสให้ เกิดรอยแยกให้เราเห็น เราก็ไปปกป้องกิเลส ว่า ท่านมาทุบเราจนกระทั่งเลือดสาดในชาติที่พระพุทธเจ้าทรงเป็นพระโพธิสัตว์เป็นพญาช้างชื่อว่าฉัททันต์ท่านเห็นสิ่งมีชีวิตใน โลกนี้ที่อยู่กันด้วยขันธ์ 5 เป็นกายกับใจ ต่างเป็น ธรรมชาติเสมอกันหมด ครั้นมีอุปาทานเข้ามาเป็น ตัวแทรกแล้ว ของที่ไม่มีอยู่ก็ไปคิดสร้างให้มันมี ขึ้นมาเหมือนกับนางช้างเชือกหนึ่งของท่านที่มี
ท่านมีนางช้างอยู่ 2 เชือก กับโขลงบริวาร วันหนึ่ง ดอกสาละบานเต็มป่า ท่านก็พานางช้าง และบริวารไปเที่ยวชมป่า แล้วเอาตะพองที่นูนเป็น ปุ่ม 2 ข้างศีรษะเขย่าต้นสาละให้ดอกร่วงลงมา ท่านเองก็ไม่รู้ว่านางช้างเชือกไหนอยู่เหนือลมและ เชือกไหนอยู่ใต้ลม นางตัวขี้อิจฉาที่อยู่เหนือลม มองไปเห็นดอกสาละโปรยปลิวไปถูกหลังถูกไหล่ ของนางช้างอีกเชือกหนึ่ง แล้วก็ตกลงไปบนพื้น ดูสวยงามแต่เมื่อก้มดูบริเวณของมันบ้างไม่มี แม้สักดอกหนึ่ง เพราะมันอยู่เหนือลม ลมได้พัด เอาไปทางใต้ลมหมด ขณะที่กำลังหงุดหงิดด้วย ความอิจฉาอยู่ กิ่งไม้ที่มีน้ำหนัก ลมพัดไม่ไป ก็ ตกลงมาที่หลังมัน เท่านั้นยังไม่พอหมู่มดแดงมดดำที่อยู่บนกิ่งไม้ก็พรูกันมากัดเข้าไปในงวง ก็โกรธมาก กล่าวหาว่าพระโพธิสัตว์ลำเอียงความจริงพระโพธิสัตว์ท่านไม่ลำเอียงจะ ให้อะไรก็ให้สลับกัน คราวนี้ให้เชือกนี้ คราวต่อไป ก็ให้อีกเชือกหนึ่ง สลับอยู่อย่างนี้เป็นประจำแต่ เรื่องดอกสาละนี่ไม่ได้อยู่ในใจท่านว่าท่านให้ใคร
เพราะถือว่าเป็นสาธารณะกับฝูงบริวารวันรุ่งขึ้น บริวารได้ดอกบัวแดงมาถวายท่าน ท่านจำได้ว่า ก่อนที่จะไปชมดอกสาละ นางตัว อิจฉาได้ไปแล้ว ท่านจึงส่งดอกบัวแดงให้นางที่ไม่ขี้อิจฉาตกลงที่นางตัวอิจฉาเคยได้อะไรไป ตอนนี้ มันไม่รับรู้แล้ว รู้แต่นางช้างอีกเชือกได้อีกแล้วครั้นถึงวันพระ ช้างโขลงนี้ก็เหาะไปใส่บาตร
ทำบุญกับพระปัจเจกพุทธเจ้าที่ป่าหิมพานต์นางตัวขี้อิจฉาก็ไปด้วย เราก็คิดว่ามันจะไปอธิษฐาน ให้รู้จักคิดดี กลับเนื้อกลับตัว แต่มันอธิษฐานว่าด้วยบุญกุศลที่มันเคยทำมารวมทั้งครั้งนี้ที่ตั้งใจเอาน้ำผึ้งน้ำอ้อยมาใส่บาตร ขอให้มันมีกำลังใจเข้มแข็งที่จะอดหญ้าอดน้ำจนตายเมื่อตายไปก็ขอให้จำความแค้นนี้ได้ แล้วให้ไปเกิดเป็นธิดาเจ้าผู้ครองแคว้นเจริญวัยขึ้นแล้วให้ได้ไปเป็นมเหสี ของพระเจ้ากรุงพาราณสี ซึ่งสมัยนั้นเป็นใหญ่อยู่ในชมพูทวีป แคว้นทั้งหลายต่างก็กลัวเกรงกัน และขอให้มันได้เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้ากรุงพาราณสี จะขออะไรท่านก็ประทานให้ทั้งสิ้น เมื่อจำความแค้นนี้ได้ จะได้ทำการแก้แค้น แล้วมันก็ ทำได้จริงๆเมื่อพญาช้างฉัททันต์ถูกพรานยิงด้วยลูกศร อาบยาพิษ ท่านรำพึงว่า ท่านมั่นใจว่าท่านปฏิบัติ ต่อนางช้างด้วยความยุติธรรมมาโดยตลอด แต่ นางช้างอาจเข้าใจผิดถึงกับเอาชีวิตเป็นเดิมพัน อด หญ้าอดน้ำจนตาย ในเมื่อครั้งนี้นางมาทวงคืนแล้ว ว่า ฉันเดิมพันด้วยชีวิตฉันไว้ ฉันจะเอาชีวิตเธอ แล้ว ชีวิตท่าน ท่านก็รัก แต่ความปรารถนาใน สัพพัญญูตญาณมีเกินกว่า หากท่านไม่ยอมให้งา ของท่านกับพรานไปถวายพระมเหสี ก็จะต้อง จองเวรกันไปไม่รู้จบ ไหนๆ ท่านก็ต้องตายเพราะ ถูกลูกศรอาบยาพิษแล้ว เพื่อให้เวรได้ระงับดับไป ท่านจึงให้พรานเลื่อยงาของท่านไปท่านได้อธิษฐานว่า ด้วยบุญที่ท่านได้ทำมา ทั้งหมดนี้ ขอให้ท่านบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ สามารถสั่งสอนให้มนุษย์ได้เห็นพิษภัยของอุปาทาน ว่าร้ายอย่างไร ทำให้โลกนี้ทุกข์ เดือดร้อนอย่างไร มนุษย์ทั้งหลายจะได้อยู่กันด้วยรูปกับนามตาม
ธรรมชาติ ไม่ใช่ด้วยอุปาทานขันธ์ 5 แล้วก็คิดเอาเองเชื่อเอาเอง ทำเรื่องไม่เป็นเรื่องให้เป็นเรื่องให้เป็นทุกข์เป็นโทษกันอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ทำ ให้โลกระส่ำระสายไปหมดเราก็เห็นแล้วว่า ถ้าเราปฏิบัติธรรมจริงๆ เอาแค่มนุษยสมบัติ แค่ศีล 5 อย่างน้อยในโลกมนุษย์ก็อยู่ด้วยกันอย่างร่มเย็นเป็นสุข เพราะอะไร ทุกวันนี้มนุษย์อยู่กันด้วยกฎหมาย มีทั้งกฎหมาย ของประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศ มีสหประชาชาติเพื่อทำหน้าที่รักษากฎหมายโลก แต่ไม่ว่าจะมีกฎหมายอะไรก็ตาม กิเลสก็ทําให้คนมีเล่ห์เพทุบายที่จะหลีกเลียง กฎต่างๆ ที่ตั้งขึ้นมามาเฟียที่ไม่ทำตามกฎ แล้วไม่มีใครกล้าจะทำอะไรด้วย เพราะความยิ่งใหญ่ของอํานาจเงินก็ดีของลูกปืนหรือว่าขีปนาวุธก็ดี ทำให้กฏไม่เป็นกฎผู้ร้ายก็ยังซิกแซ็กเลี่ยงหลบไปได้เรื่อยๆ
ถ้าเราเชือพระพุทธเจ้า เอาศีล 5 มาเป็น กฎหมายสำหรับแต่ละปัจเจกบุคคล รับรองเลยโลกจะร่มเย็นเป็นสุข เพราะทุกคนจะเป็นตำรวจเฝ้าผู้ร้ายในใจของตนไม่ให้เข้ามาประทับทรง ให้กายกรรม วจีกรรมของเรา เป็นสิ่งไปเบียดเบียน คนอื่น คนที่มีพาลปัญญาจะเห็นการเบียดเบียน คนอื่นเป็นเรื่องกระจริด แต่ผลที่สุดแล้ว มันก็จะ กลับมาเบียดเบียนเขาเอง เพราะเราทำอะไรหรือหว่านเมล็ดอะไรไว้ เมล็ดนั้นก็จะงอกงามขึ้นมา เราเอาเม็ดหญ้าคาหว่านลงไป ประสงค์ให้มันงอก ไปบาดเท้าคนอื่น ประเดียวมันก็งอกเป็นหญ้าคามาบาดเท้าเราเองเราเอาต้นหนามไปปลูกให้เกี่ยว ชาวบ้าน พอเราเดินผ่าน มันก็เกี่ยวหลังเราเลือด ซิบๆ ไปถ้าเรามีปัญญาเห็นอย่างนี้ เราทุกคนจะ เคารพในศีล จะไม่ฝ่าฝืนศีลเลย
แต่ก็ยังมีคนคิดว่า ศีลนี่เหลือเกินเพราะ พุทธเจ้าคงเป็นอะไรไปถึงได้บัญญัติศีลไว้ มีคน ดิฉันเชื่อหรือว่าพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติศีลขึ้นมา เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครรักษาศีลขึ้นมา เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครรักษาศีลไม่ให้ด่างพร้อยเลยได้แสวงว่าเขาไม่เคยคิดที่จะฝึกอบรมจิตใจตนเอง และไม่เคยเห็นคุณ ประโยชน์อันละเอียดอ่อนนี้ว่า ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะตั้งกฏขึ้นบังคับคนอื่นได้ดีเท่าเราบังคับใจของ เราเอง เราชื่อตรงต่อตัวเราเอง เราถือว่าอะไรที่เป็นกฎให้คนอื่นทำ เราก็จะเคารพกฎนั้นไม่ปู้ยี่ปุ้ยำในสมัยพุทธกาลผู้คนมีศีลสูง บ้านเมืองจึงร่มเย็นเป็นสุข แม้กระทั่งเมืองไทยเมื่อประมาณ 20 ปีมาแล้ว ดิฉันได้รับเชิญไปพูดที่ แม่ฮ่องสอน ดิฉันไม่เคยไปแม่ฮ่องสอนมาก่อนเจ้าภาพขอให้ดิฉันบินไป ดิฉันก็ปฏิเสธ เพราะ อยากนั่งรถดูว่าถนนที่พับคดเคียวนั้นมีกี่พับดิฉันเคยไปพัทลุงมาแล้ว เห็นถนนที่เหมือนพับผ้านั้นแล้ว จึงอ้อนวอนขอขึ้นรถทัวร์ไป เขาก็ท้วงว่ารถ มักจะถึงไม่ตรงเวลา ดิฉันก็ว่าไม่ว่ากัน แล้วดิฉันก็ไปซื้อตั๋วที่นั่งข้างหน้ด้านซ้าย คนขับอยู่ด้านขวา จะได้ดูถนนหนทางแบบพานอราม่าให้เต็มตาแล้วก็จริงอย่างเขาว่า รถควรจะถึงเวลา 9 โมงเช้า ปรากฏว่าไปถึงเอาบ่าย 2 โมง พอไปถึงไม่มีใครเลยที่สถานีรถทัวร์ ไม่มีใครมารับดิฉัน เกิดมาดิฉันไม่เคยไปแม่ฮ่องสอนก็ตื่นเต้น คนขับรถก็บอกว่า คุณไม่ต้องกลัวไปหรอกเดินตรงไปแม่ฮ่องสอนมีถนนสายเดียว รับรอง ประเดียวก็ต้องเจอสำนักศึกษาธิการจังหวัด อย่างไรๆ คุณก็ไม่หลง ให้ถามเขาไปเรื่อยเถิด ดิฉันก็คิดว่าจะไหว หรือ พอดีมีผู้โดยสารชาวแม่ฮ่องสอนเขามีรถมา รับเขาว่าไม่เป็นไร เขาจะพาไปส่งให้
เราจึงได้พบว่า บ้านเมืองแม่ฮ่องสอนไม่มีรั้วบ้าน ประตูก็ไม่ต้องมีกลอน เขาอยู่กันแบบเป็น พี่เป็นน้องกันทั้งเมืองแม่ฮ่องสอนใครไปใครมา เขาจะต้อนรับเหมือนเป็นแขกผู้มีเกียรติของเขาทั้งนั้นจึงเป็นเมืองที่น่ารักมากเราก็รู้สึกชื่นใจ ติดใจ อยากไปแม่ฮ่องสอนอีกสัก 5-6 ปีต่อมา ดิฉันได้มีโอกาสกลับไปแม่ฮ่องสอน ก็ฝันหวานว่าแม่ฮ่องสอนคงยังเป็น อย่างนั้น แต่ปรากฏว่าแม่ฮ่องสอนเริ่มมีพวกติดยาเสพติด มีพวกนักท่องเที่ยวที่สะพายแปักแพ็ค ไปแล้วก็เที่ยวไปลักไปขโมยเพื่อเอาสตางค์ไปซื้อยาเสพติด มาคราวนี้เมืองแม่ฮ่องสอนต้องมีรั้ว ต้องมีกลอนใส่ประตูแล้วพอเรากระเซอะกระเซิงไปถามเจ้าถิ่นก็ไม่แน่ใจว่าจะพูดกับเราดีหรือจะเปิดประตูให้เราดีไหม เราจะเป็นผู้ร้ายหรือคนดีกันแน่ เราก็รู้สึก โอย. ความน่ารักของจิตใจที่ทำให้เราประทับใจ ไปทาง ไหนก็มีความรู้สึกอบอุ่น ยิ้มแย้มแจ่มใส มันหาย ไปไหนหมด มีแต่ความระแวงไม่แน่ใจ เขาเองก็ สับสน ไม่แน่ใจว่าที่กำลังทำนั้นมันเกินเหตุเกินผล ไปหรือเปล่า ..แล้วถ้าฉันไม่เชื่อคนที่ความจริงเขา เป็นคนดี เขาจะลำบากและเสียใจหรือเปล่า... ใจของชาวแม่ฮ่องสอนที่เคยมีความสุข มีปีติ อิ่มเต็ม มีอาหารใจ ก็เริ่มพร่องไปเมื่อมนุษย์เราไม่มีศีลหรือ มนุษยสมบัติเสียแล้ว คุณภาพจิตใจของมนุษย์ก็เลยกลายเป็นผู้ร้ายบ้าง เป็นสัตว์บ้าง ใจเหล่านั้น ก็เริ่มมีนิวรณ์ พอจะนอน... เอ. ที่เราทำมันเกิน เหตุเกินผลไปหรือเปล่านะ จะไปทำอย่างไรจึงจะ แก้ตัวได้ ไปทำบุญอุทิศให้เขาหรืออย่างไร มันจึง ทำให้ความเป็นปกติสุขที่เป็นอาหารใจอย่างดีเลิศ ค่อยๆ พร่องไปๆแล้วใครทeให้เป็นอย่างนี้ ใจของเราเองที่ไม่มีฐานที่แน่นอน จึงไม่เคยคิดที่จะฝึกมนุษยสมบัติให้แข็งแรงจนเป็นนิจศีลขึ้นมา
การรักษาศีล ไม่ใช่ว่าจะรักษาได้เฉพาะวันพระหลายคนจะคอยดู วันไหนเป็นวันพระ ถ้ากาปฏิทินพลาดไป ตายจริง... ฉันจะไปรับศีลชดเชยวันรุ่งขึ้นได้หรือเปล่า หรือจะต้องเก็บเอาไว้จนวัน พระหน้า... อะไรทeนองนี้ มันเหมือนเด็กเล่น มี การเปิดฉากละคร ปิดฉากละคร แต่พอถึงวันโยมนะ...ดิฉันเคยเจอผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง วันพระจะไม่ด่าไม่ว่าใคร แผะหนึ่งก็ไม่เคยตบยุงเลยแต่พอรุ่งขึ้นเท่านั้นแหละอย่างกับอัดเทปไว้แล้วเปิด ไม่มีหยุดเลย เพราะถูกเก็บอัดอันตันอยู่ในใจ เป็นอย่างนี้ก็ไม่ได้ประโยชน์ เพราะสิ่งที่ท่านให้ทำให้เราอดทนอดกลั้น ในช่วงวันพระซึ่งมี 1 วันใน 1 สัปดาห์ ก็เพื่อที่ว่า 1 วันพระนั้นจะได้มีอิทธิพลทำให้วันโยมที่เหลือ 6 วันค่อยๆ สงบร่มเย็นขึ้น ต่อไปๆ วันพระก็จะขยายมามีทุกวันๆหรืออย่างการอธิษฐานพรรษาอดเหล้าก็กาปฏิทินไว้ พอออกพรรษาก็กินชดเชยหนักข้อไปอีก ท่านอาจารย์ว่าอย่างนั้นก็ไม่มีอานิสงส์อะไร ท่านให้อดตลอดพรรษา 3 เดือน จะได้เกิดความ เคยชินเป็นอุปนิสัย เมื่อออกพรรษาแล้วก็ภูมิใจเดียวนี้ฉันเป็นคนใหม่ ฉันไม่แตะเหล้าแล้ว แต่นี่ต่อไปตลอดชีวิตฉันก็จะไม่แตะเหล้าอีกเลย เพราะได้ถวายพระพุทธเจ้าไปแล้ว แต่คนโดยมากมักไม่ เข้าใจ ได้แต่กาที่ปฏิทินไว้เหมือนมีครูท่านหนึ่ง ดิฉันไม่ทราบว่าท่าน มีคดีอะไร ท่านได้อ่านหนังสือดิฉันที่ส่งเข้าไปใน เรือนจําแล้วเขียนจดหมายมาขอบคุณ เพราะตอนแรกท่านกาปฏิทินไว้ทุกวันเลยว่า พ้นโทษวันไหน กลับออกไปจะไปฆ่าพยานเสีย เพราะพยานทำให้ท่านต้องติดคุก ไหนๆ ก็ได้ชื่อว่าเป็นคนขี้คุกแล้ว ฉะนั้น จะยอมติดคุกอีกครั้งจากความผิดจริงๆ ถึงไปฆ่าเขาก็ไม่เสียหายอะไร เพราะเป็นคนขี้คุก ไปแล้ว เมื่อท่านได้อ่านหนังสือดิฉัน ท่านก็เกิด ความคิดขึ้นมาว่า ...ถ้าเรายังทำงานอยู่ เราก็ต้อง
ทำงานทุกวัน จะไม่มีเวลาว่างอย่างนี้ นีโชคดีแล้วได้มีเวลาว่าง ไม่ต้องทำงานทำการ แล้วก็มีข้าวเลี้ยงถึง 3 มื้อ อย่ากระนันเลย เราก็มุ่งปฏิบัติ ธรรม เราก็รักษาศีล 8 ภาวนาถวายพระพุทธเจ้า ก็แล้วกัน เพราะว่ามันพอดีกับเข้าพรรษา จากการทำอย่างนี้ ท่านจึงเป็นนักโทษที่ประพฤติดี ผู้คุมก็ เลยคัดท่านให้ออกมาช่วยสอนหนังสือในคุก แล้วได้ลดโทษลงท่านบอกว่า จากการที่ท่านภาวนา ก็ได้คิด ว่า เราจะไปแบกหามการจองเวรเขาทำไมถ้าฆ่าเขาแล้ว ชาติหน้าเขาก็จะมาฆ่าท่าน ตกลงมันก็เหนื่อย กันไปไม่รู้อีกนานเท่าไร ท่านจึงอโหสิกรรม และ เขียนหนังสือมาบอกให้ดิฉันอนุโมทนาบุญ ดิฉัน ชื่นใจ ไม่เคยนึกเลยว่าหนังสือเราจะเป็นประโยชน์ต่อคนที่เป็นทุกข์สาหัส เพราะเขาบอกว่า แต่ก่อนนี้ เผ้าดูแต่ปฏิทิน แล้วก็คอยนับวัน แต่พอมาภาวนาอย่างนี้แล้ว สบายใจขึ้นมาก คนเราจงหมุนวกฤต ให้เป็นโอกาสได้ธรรมชาติของใจนั้น รู้ ตื่น เบิกบาน อยู่แล้ว เราจะได้ประคับประคองมนุษยสมบัติ คือศีลให้เจริญอยู่ในใจของเรา ศีลข้อ 1 ถึงข้อ 5 นั้นเป็นข้อปลีกย่อย จริงๆ แล้ว ศีลจะบริสุทธิหรือไม่บริสุทธิ์ อยู่ที่กาย วาจา เราต้องรักษาให้มีความ เป็นปกติ เสมอต้นเสมอปลาย
เรากำลังหงุดหงิดเป็นภูเขาไฟระเบิด หรือ อารมณ์เราดีเหมือนลมโชยชายเขา ไม่ว่าอารมณ์ ภายในใจของเราจะเป็นอย่างไร เราต้องรักษากาย และวาจาของเราให้เสมอต้นเสมอปลาย เพื่อผู้คน ที่มาติดต่อกับเราจะได้สบายใจ หายใจได้ทัวปอด ไม่ใช่ต้องจับยามสามตา เอ….วันนี้จะพูดได้หรือเปล่านะ แล้วพอพูดออกไป.. ถูกตวาดแวัดเข้าให้ เขาแทบสลบไปเลย ทำให้จิตใจของเขาระส่ำระสาย ไม่เป็นปกติแม้ว่าศีล 5 ข้อของเราจะไม่ถลอกปอกเปิกเลยพระพุทธเจ้าก็ไม่ถือว่าศีลของเราดีครบถ้วนหากกายและวาจาของเราไม่มีความเป็นปกติ เสมอ ต้นเสมอปลาย ศีลจะครบถ้วนก็ต่อเมือกาย วาจา ของเราเสมอต้นเสมอปลาย เรียกว่าอารมณ์ของเราไม่สามารถจะทำให้พฤติกรรมของเราแปรเป็น คลื่นพายุสลาตันได้ ทำให้ใครที่มาใกล้เราสบายใจ รู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจ มีทุกข์ร้อนอะไรก็สามารถเอ่ย ปากปรึกษาหารือได้เมื่อกายวาจาเราเป็นอย่างนี้ถึงแม้ว่าใจจะขึ้นจะลงบ้าง ดีบ้างไม่ดีบ้าง อีกหน่อยมันก็ต้องดี เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่า ใจเป็นของที่ บังคับไม่ได้ พระสงฆ์ที่คิดอะไรไม่ดีไม่งาม ท่าน ไม่ปรับอาบัติ ท่านอาจารย์อธิบายว่า ใจของเราจะสงบเรียบร้อยได้เองก็ต่อเมือเป็นพระอรหันต์ เท่านั้น เป็นใจที่ไม่มีตะกอนอะไรแล้ว ใส บริสุทธิ์หมดจดบางทีเราก็รู้สึกว่า ทำไมใจของเราเป็นผู้ร้าย ใจฉกรรจ์อย่างนี้ มิไยว่าจะฟังครูบาอาจารย์เทศน์ อย่างไร ใจก็ยังจะบ้าอยู่อย่างนั้น ก็ไม่เป็นไรตราบที่ยังรูดซิบปากติดซิปมือเอาไว้เรียบร้อย ถึงไฟกองนี้จะใหญ่มหึมาแค่ไหน ถ้าเราไม่เติมเชื่อ ไฟเข้าไป วันหนึ่งมันต้องมอดและดับได้เมื่อเราเข้มแข็ง รักษาปกติของกาย วาจา ของเรา ไม่เติมเชื่อไฟเข้าไป สักวันหนึ่ง ใจของเราจะค่อยๆ เชื่องขึ้น และค่อยๆ มองเห็นสิ่งที่เป็น กุศล ไม่ดึงดันไปตามความยึดมันสำคัญผิด ใจเราก็จะค่อยๆ พัฒนาต่อไป จะรู้เห็นเป็นขึ้นมาในใจ เพิ่มขึ้นๆ
เมื่อเราทำอย่างนี้ให้ต่อเนื่องกัน ก็เหมือน บ่มผลไม้ให้สุกตามธรรมชาติ ใจก็จะได้กำลัง มีอาหารที่ดีหล่อเลียง แต่ถ้าไปบ่มแก๊สเหมือนทุกวันนี้ ผลไม้ก็ไม่อร่อย ใจของเราก็ครึ่งๆ กลางๆ เรารู้สึกเหมือนเราปฏิบัติดี แต่ลึกๆ เข้าไป ใจกลับ แห้งแล้ง เพราะใจตัวแท้ของเรารู้ว่าเรายังไม่ได้เป็น อย่างนีจริงๆ แต่ไปคิดเอาว่าฉันดีแล้ว ซึ่งจริงๆ มันยังไม่ดีหรอก ข้างในยังเป็นตะปุ่มตุป่าอยู่ ถ้า เผลอสติเมื่อไรละก็.. เหมือนระเบิดลงเลย พอระเบิดลงแล้ว จะขอโทษเขาก็ไม่ได้... เสียหน้า ก็ เกิดความประดักประเดิด ดีไม่ดีก็เข้าหน้ากันไม่ได้ทำให้เราถูกขีดเส้นพรมแดน แต่ก่อนจะไปไหนก็ ไปได้รอบ 360 องศา แต่ตอนนี้ ตรงนี้จะไปก็
ไม่ได้ ตรงโน้นจะไปก็ไม่ได้ ท่านอาจารย์บอก ในที่สุดจะหาที่พลิกตัวก็ไม่ได้ ตรงโน้นก็ชนกําแพง ทางนี้ก็ชนไอ้โน่น ไอ้นี แล้วใครทำ... เราทำตัวเองแท้ๆถ้าไม่มองให้รอบคอบ แล้วไม่ปฏิบัติให้ถูกต้อง การถือศีล ศีลห้ามฆ่าสัตว์ ไม่ให้ลักขโมยไม่ให้.. ห้าม..ใจก็เกิดการต่อต้าน นึกถึง...เคยเลี้ยงเด็กหรือไม่ ดิฉันเป็นหมอเด็ก หลายครั้ง...เราอยากให้เด็กทำอะไร ดิฉันจะบอกไม่ให้ทำอย่างนั้น แล้วก็ได้ผล เด็กจะทำตรงกันข้าม คือ ทำอย่างที่เราอยากให้ทำ แต่ถ้าเราบอก นี่ทำอย่างนี้ นะ โอย... ดินพราดๆ เลย จนบางครั้งเราก็ชักจะ ติดนิสัย กลายเป็นคนอยากได้อย่างหนึ่ง พูดอีก อย่าง ไปเสียแล้วทีนีใจของเรานี่... ถ้าไอ้ใน่นก็อย่า ไอ้นี่ก็อย่าไอ้นั่นก็ห้าม มันก็คลุมคลั่ง แต่ถา้หาแยบคายอุบายคิดเสียใหม่ ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า ศิลเปรียบเหมือนเสื้อผ้า เวลาเราจะออกจากบ้านไปไหนมาไหนถ้าแต่งตัวไม่เรียบร้อย แล้วไปในที่ๆ คนเขาแต่งตัวเรียบร้อยเป็นพิธีรีตอง เราก็จะเคอะเขิน ไม่รู้จะเอาเท้าไปไว้ตรงไหน เอามือไปไว้ตรงไหน แต่ถ้า เราแต่งตัวเรียบร้อย ถึงที่นั่นเขาจะแต่งลําลองกัน เราก็สบายใจ แล้วถ้าเขาเรียบร้อยกัน เราก็รู้สึก ไม่เคอะไม่เขินฉะนั้น ให้เรานึกเสียว่า การรักษา ศีล 5 ข้อนี้ ก็คือการดูแลกายของเราให้เรียบร้อย ถูกกาลเทศะ ไปที่ไหนๆ เราจะได้ไม่รู้สึกว่าเราไป ผิดงานเมื่อเราทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เราจะรู้สึกว่าศีลทำให้เรามีความมั่นใจยิ่งขึ้น แทนที่จะไปกังวลว่า เดี่ยวเราจะไปเหยียบชามใครเขาแตก เราจะผิดศีล เราจะไปทำให้ศีลปริหรือเป็นอะไรไป ถ้ามัวกังวล อย่างนั้น การรักษาศีลจะไม่เป็นการปฏิบัติธรรม หากเป็นการทำให้เราเกิดความเครียด ความกังวล
และเกิดความผิดปกติการปฏิบัติธรรมคืออะไร ก็คือการที่เราทำตัวให้กลมกลืนกับธรรมชาติ เพราะจริงๆ คนเรา ก็คือธรรมชาติอันหนึ่ง มองดูให้ดีๆ สมมุติโลกนี้ เหมือนอย่างกับลูกบอลใบใหญ่ เราแต่ละคนก็ เหมือนลูกบอลเล็กๆ ที่มีขั้ว 2 ขั้วเสียบติดอยู่กับโลก ขั้วหนึ่งก็เอาอาหาร น้ำ อากาศ จากแผ่นดิน แผ่นน้ำ แผ่นฟ้า เข้ามาสู่ตัวเรา และอีกขั้วหนึ่งก็ ขับของเสียออกไป มันจะเป็นอย่างนั้จริงๆ แล้ว โลกกับเราก็เป็นอันเดียวกัน ถ้า โลกวิปริตแปรปรวน เราก็อยู่ไม่ได้ เราก็วิปริต แปรปรวนไปด้วย ถ้าโลกนี้เป็นพิษเป็นภัย อาหาร ที่เรากินเข้าไป อากาศที่เราหายใจเข้าไป ก็เป็นพิษ ทั้งนั้น ตกลงเราก็เป็นมลพิษไปเหมือนกับโลกนี้ ถ้าเห็นอย่างนี้ เราก็จะเอื้อเฟื้อต่อธรรมชาติ แล้ว ยิ่งจะทำตัวเราให้เป็นธรรมชาติมากขึ้นแต่ทุกวันนี้เรายึดมั่นสําคัญผิด เอาอุปทานมา.. ฉันแน่ ฉันจะเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้เป็นอย่าง กิเลสฉันให้ได้ ยิ่งเราไปเปลี่ยนแปลงมันมากเท่าไร เราก็ยิ่งเดือดร้อนมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งเราทําเขื่อน มากขึ้น น้ำที่จะไปตามธรรมชาติก็ไปไม่ได้ เขื่อนก็ พัง แล้วอะไรเกิดขึ้น อย่างที่เราเห็น แผ่นดินไหว สึนามิ ไซโคลน อะไรต่อมิอะไร เพราะเราพยายาม จะให้มันผิดธรรมชาติ ด้วยความที่สติปัญญาของ เราเองก็ยังไม่รู้แจ้งแทงตลอด มันก็เหมือนเรา
เอาแกลบไปดับไฟด้วยความไม่รู้ แกลบก็กลาย เป็นเชื้อเพลิง ไหม้เสียจนเราเดือดร้อนถ้าเรามองให้เห็นตามความเป็นจริง เราจะ เห็นว่าศีลเป็นสิ่งที่ทําให้ใจเราอ่อนโยน กลมกลืน กับธรรมชาติ กับสิ่งอื่น ของอื่น ด้วยการมอง อย่างนี้ศีลข้อที่ 1 ไม่ให้เราเบียดเบียนสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ถ้าเราถือศีลจนใจเราละเอียดเป็นศีลปรมัตถ์ เรา จะไม่เบียดเบียนลมหายใจของเราเอง เพราะลม หายใจของเราก็คือสิ่งมีชีวิตที่เราจะต้องทะนุถนอม เป็นอันดับแรก พอเรามีอารมณ์ขึ้นมาบุ๊บ ลม หายใจของเราจะหยาบขึ้นมาทันที ถ้าเรารักษาลม หายใจของเราให้เป็นลมละเอียดอยู่เสมอ ใจของ เราก็จะมีทุ่นเกาะเป็นปัจจุบันจิต มันก็เป็นธรรม เป็นธรรมชาติ เพราะฉะนั้น ศีลข้อที่ 1 เราจะไม่ เบียดเบียนลมหายใจของเราและของใครข้อที่ 2 ไม่ไปขโมยของใคร ร่างกายอันนี้ ไม่ใช่ของเรา มันเป็นของแผ่นดิน อาหารที่เรากิน เข้าไปก็มาจากปุ๋ยจากพืชจากสัตว์ จากอะไรต่างๆซึ่งคิดดูแล้วก็คือจากแผ่นดินและแผ่นน้ำ เมื่อไร ลืมตาขึ้นมา... ผมหงอก เขาส่งใบเตือนมาแล้ว เรา อย่าพยายามโกง อย่าพยายามหลอกลวง หรืออย่พยายามหนีหนี้ ให้เราเตรียมตัวไว้... ฉันเป็นผู้ รักษาการ ไม่ใช่เจ้าของร่างกายนี้ ฉันรักษาการแทน เจ้าของจะเอาคืนเมื่อไร ส่งคืนเขาเร็วๆ เลยไม่ต้องไปดึงหน้า ไม่ต้องไปทำอย่างโน้นอย่างนี้ ถ้าคิดอย่างนี้ ใจก็เป็นธรรม ถึงไม่ปฏิบัติมันก็เป็นธรรมข้อที่ 3 จะไม่เอาของรักหรือของที่มีเจ้าของ แล้ว ที่เราบอกว่าเราจะไม่ไปยุ่งกับคู่ครองของคนอื่น นั่นคือสุดยอดของศีลข้อนี้ แต่ถ้าจะว่ากันให้ ละเอียด ทรัพย์สินทังหลาย กามวัตถุทั้งหลายที่ ตา หู จมูก ลิน กาย ของคนเราไปสัมผัส แล้ว
เกิดชอบ นึกอยากได้ขึ้นมา ไม่เป็นไร. สมบัติของ โลก เขามีเจ้าของอยู่แล้ว ก็ขอยืมเขามาชั่วคราว เพราะฉะนั้น ถ้าเรารักษาไม่ดี ถูกขโมยไป ก็ไม่ เป็นไร สมบัติของโลก ผลัดกันครอง ไม่ไปโกรธ แค้น ไปฆ่าฟันเขา ไม่ไปอาฆาตพยาบาทเขา ใจนี้
เราจะสงบขึ้นเยอะข้อ 4 เราจะไม่พูดปดกับตัวเอง บางทีเรา ตั้งใจเอาไว้ เสาร์อาทิตย์นี้จะสะสางงาน เพราะว่าดินจะพอกตัวหมูแล้ว ถึงเราไม่ได้พูดกับใคร เมื่อ เราตั้งใจไว้ ถ้าศีล 5 ของเราเป็นปรมัตถ์จริงๆ นี ก็ถือว่าเราพูดกับตัวเองแล้ว หากไม่ทำตามคำพูดนี้เราก็ไม่มีสัจจะ ศึลของเราด่างแล้ว ถ้าเราซื้อตรง ต่อที่เราคิด เราตั้งใจไว้ แล้วทําให้สําเร็จ เราจะไม่ โกหกใคร จะไม่ไปพูดจาเลื่อนเปื้อนกับใครเป็น ข้อ 5 สุดท้าย เราจะไม่เสพสุราเครื่องดอง ของเมา จริงๆ แล้วไม่ใช่เพียงเครื่องดองของเมา อะไรที่ทำให้เราไม่สามารถรักษาสติไว้กับใจเราได้ เป็นต้นว่า เช้านี้ถ้าเราไม่ได้ดื่มชาเขียว โอย... รู้สึก เราจะไม่ตีน ชาเขียวนีก็ถือเป็นสุราเครืองดองของ เมาทำให้สติของเราคลาดเคลื่อน อะไรที่ทำให้ ใจของเราตกเป็นประเทศราช ถ้าไม่ได้กิน ไม่ได้ทำเราคลาดเคลื่อนจากความเป็นปกติ สิ่งเหล่านี้ถือเป็นศีลข้อ 5 ทั้งสิ้นเพราะฉะนั้น ให้เราเพียงรักษาศีล 5 ข้อเท่านี้ ยังไม่ต้องนึกถึงไปปฏิบัติที่จะต้องไปธุดงค์ ไปอย่าง โน้น อย่างนี้ อย่างนั้น เพียงแค่ทำให้สติอยู่กับใจ ให้ศีล 5 เป็นปรมัตถ์เรียบร้อยอย่างนี้ สติก็มาอยู่ กับใจ ความสำรวมระวังก็ต้องมี ต้องชื่อตรงกับ ตัวเอง สติ สมาธิ และปัญญา ก็จะค่อยๆ พัฒนา ขึ้นมา เพื่อให้ศีลอยู่กับเราได้ เป็นสมบัติของเรา จนเสมือนเป็นเสื้อผ้าของเรา จนเราไม่รู้สึกว่า เอ... วันนี้วันพระหรือเปล่า หรือไม่ใช่วันพระ มันจะไป เรื่อยๆ จนเป็นอัตโนมัติ และเราก็จะเฝ้าดูพัฒนาการของเราเหมือนเราปลูกต้นไม้ แล้วเราเห็นมันผลิใบ อ่อนออกมา เห็นมันกำลังมีช่อดอก ลูกผลแรกกำลังออกมา เราจะรู้สึกชื่นใจมาก เหมือนกับครั้ง หนึ่ง มีคนเอาต้นมะม่วงน้ำดอกไม้มาปลูกถวาย ท่านอาจารย์ ท่านก็ดูแล ทำให้คนอื่นๆ ก็ต้องช่วย ดูแลด้วย พอมะม่วงออกลูกแรกมานี่ ท่านทำถึงขนาดให้หาตาชั่งมาชั่งดูว่ามันหนักเท่าไรปรากฏว่ามันหนักถึง 2 กิโล 9 ขีด พอชาวบ้านใส่บาตรท่าน ท่านก็ถามว่า มะม่วงน้ำดอกไม้ในสวนเจ้ามัน หนักเท่าไร ของที่วัดหนัก 2 กิโล 9 ขีด เพราะ อย่างนี้จึงทําให้ทุกคนคอยไปดูว่ามะม่วงน้ำดอกไม้ ของตัวจะหนักเท่าไร และพยายามจะให้มันหนักกว่าของท่านอาจารย์ นีก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ท่านใช้ กระตุ้นให้ลูกศิษย์ท่านขวนขวายขยันทำมาหากิน
ถ้าทุกคนเริ่มด้วยมนุษยสมบัติ เริ่มด้วยศีล มันก็แตกหน่อออกดอกออกช่อเรื่อยไป แล้วในที่สุด ใจก็จะเป็นธรรม กลมกลืนกับธรรมชาติทุกอย่างโลกนี้ก็ร่มเย็นเป็นสุขอานิสงส์ของศีลคืออะไร ในชาดกบอกไว้ว่าถ้าผู้เป็นใหญ่ทั้งหลายในแผ่นดินหรือผู้เป็นหัวหน้า ครอบครัวทุกครอบครัวมีใจที่มีศีลธรรม โลกนี้ ก็จะอยู่เย็นเป็นสุข ฝนฟ้าจะตกต้องตามฤดูกาลผลหมากรากไม้ก็อุดมสมบูรณ์ ซึ่งก็เป็นความจริงเวลาเราสมาทานศีลจบ พระสงฆ์จะสรุปอานิสงส์ ของศีลให้ฟังว่า
สีเลนะ สุคะติง ยันติ
ศีลเป็นทีมาของความสงบสุข
สีเลนะ โภคะสัมปะทา
ศิลเป็นทิมาของความสมบูรณ์แห่งทรัพย์สิน
สีเลนะ นิพพุติง ยันติ
ศีลเป็นที่มาของการพันทุกข์ทั้งปวง
ปัจจุบันนี้ เราเห็นเหตุผลต่างๆ ทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้แล้วว่าความคิดของคนเรานั้น เป็นคลื่น และคลื่นนี้ก็กระเพื่อมไปในบรรยากาศ เหมือนกับทีเราอัดเสียงออกอากาศทางวิทยุ เราไม่ได้ยินคลื่นหรอก ได้แต่บอกกันว่า นี่นะ คุณ ไปเปิดวิทยุคลื่น เอเอ็ม... เอฟเอ็ม…. คลื่นที่เท่านั้นเท่านี้ เราก็จะได้ยินเสียง แต่ระหว่างนัน คลื่นที่ ส่งออกไป มันกระจายกระเพื่อมอยู่ในบรรยากาศ ตลอดโดยเราไม่ได้ยินเลย
ส่วนคลื่นโทรจิตนี้กระเพื่อมไปเรื่อย และนักวิทยาศาสตร์ก็พบแล้วว่า มันไม่ได้กระเพื่อม ไปเฉยๆ ถ้ามันเป็นคลื่นของสมาธิ เป็นเหตุเป็น ผล เป็นกุศล เป็นสิ่งที่ดี มันจะไปดึงดูดประจุลบ ในบรรยากาศให้มาห้อมล้อมเป็นกลุ่มรังสี แล้ว ประจุลบเคลื่อนไปทางไหน สิ่งมีชีวิตทั้งที่มีใจครองและไม่มีใจครองก็จะอุดมสมบูรณ์ ถ้าเป็นต้นไม้ก็จงอกงามแข็งแรงดี ถ้าเป็นคนที่กําลัง หงุดหงิด ท้อถอย ก็จะรู้สึกมีกำลังใจ... ลองอีกสักตั้งหนึ่งเถอะลุกขึ้นมาสู้กับเขาหรือบางทีก็มีความคิดดีๆขึ้นมาแต่เดิมเราคิดว่าคลื่นความคิดจะมีผลแต่ เฉพาะกับสิ่งมีชีวิตเท่านั้น แต่เดี่ยวนี้ญี่ปุ่นพบว่า แม้แต่สสาร สิ่งไม่มีชีวิต โดยเฉพาะน้ํา ก็มีผลมาก
น้ำจากแม่น้ำที่ไหลผ่านป่าสงบร่มเย็น หรือ อารามที่มีพระอาศัยอยู่สวดมนต์ภาวนา เมื่อนํามา แช่แข็งแล้วตัดออกดู ผลึกน้ํานั้นจะสวยงาม มี 6 เหลี่ยม และมีลวดลายเหมือนกับนักวาดรูปไปทํา ให้สวยงาม แต่ถ้าผ่านเมืองหลวง เช่น กรุงเทพฯ กรุงลอนดอน กรุงปารีส หรือโรงเหล้า โรงเบียร์ ปรากฏเป็นผลึก 6 เหลี่ยมที่เหมือนเอาฟูกันแตกๆ ไปเขียน ไปป้ายให้เลอะ หรือเหมือนกับว่าเอา 6 เหลี่ยมนี้ไปบิดให้โย้แย้ บางทีก็แตกหลุดออกมา แล้วข้างในกลวงโปเหมือนมีตาผีอยู่ด้วยตอนแรก นักวิจัยคิดว่าเป็นความบังเอิญเขาก็ลองเอานeผลึกน่าเกลียดนัhนมา แล้วเขียนคำว่า ฉันรักเธอ ฉันเมตตา ไปติดไว้ที่แก้ว หรือให้ คนไปสวดมนต์ต่อหน้าแก้วน้ำนี้ แล้วเอาไปแช่แข็งใหม่ แล้วตัดผลึกมาส่องกล้องดู ผลึกก็เปลี่ยนเป็นสวยงาม
เราลองนึกถึงว่า อิธิพลที่คลื่นความคิดมีต่อสภาพแวดล้อมภายนอกนั้นปานไหน เดือดร้อนกัน ภัยธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวง ทุพภิกขภัย ข้าวยากหมากแพง นี้ก็เพราะแบบนี้ ฉะนั้น หากเราตั้งใจให้คิดดี มันก็จะลดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมได้
หลวงปูองค์หนึ่งเล่าว่า ตอนท่านเป็นหนุ่มท่านธุดงค์ไปพบหมู่บ้านแห่งหนึ่ง แล้งมา 3 ปีแล้ว พอท่านไปอยู่จำพรรษา ชาวบ้านก็ขอร้องให้ท่าน ช่วยขอฝนให้ ท่านได้แต่บอกว่าท่านพระอาจารย์ มันไม่เคยสอน เมื่ออยู่มาทุกวันๆ เห็นพวกเขาก็ ตั้งใจทำบุญกันเป็นอันดี ทำอย่างไรดี ...แผ่เมตตา ฝนตกทั้งคืนเลย ชาวบ้านก็ดีใจกันมาก พอเช้า ท่านออก ไปบิณฑบาต ดินก็ยังชุ่มชื้น ท่านก็นึกดีใจว่าฝน คงพอแล้ว ที่ไหนได้ พอสายๆ ดินแห้งไปหมด อีกแล้วเพราะความที่มันแล้งมาถึง 3 ปี ก็ให้ท่านขอฝนอีก... ขอฝนอีก... ท่านก็แผ่เมตตาๆ คราวนี้ฝนตกถึง 7 วัน 7 คืน จนท่านคิดว่า ถ้า ชาวบ้านมาบอกให้ท่านหยุดฝน ท่านจะทำอย่างไร เพราะฝนที่ได้มานี้ ก็ด้วยความบังเอิญ แม้ครูบา อาจารย์ไม่เคยสอน แต่พอฝนตกได้ 7 วันแล้ว ก็หยุด ท่านเลยรอดตัวไป ท่านบอกว่า ใจเราที่มีเมตตานั้นก็ทำความอัศจรรย์ขึ้นมาได้ถ้าใจของเรามีศีลต่อกัน เอื้ออาทรต่อกัน มีน้ำใจไมตรีต่อกัน อะไรๆ ที่รุ่มร้อน ที่ย่ำแย่ก็จะกลับคืนดีได้ โดยเฉพาะที่เราพูดถึงน้ำ ไม่ต้อง ไปดูถึงน้ำในโลกนี้ มาดูเฉพาะน้ำในตัวเรานี้ 70 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักในตัวเราคือน้ำทุกวันนี้เราเสียสตางค์ไปซื้ออาหารเสริม อาหารสุขภาพแพงๆ มากิน แต่ถ้าระบบขนส่งในร่างกายเราติดขัดตัดขบวนเสียแล้ว มันก็ไปไม่ถึงเซลล์ต่างๆ ถ้าเราทำระบบน้ำของเราให้ดี ไม่แห้งไม่ขอด ลื่นไหลสะดวกดี และเป็นน้ำที่มีผลึกงดงาม ของธรรมดาๆ ก็กลาย เป็นของวิเศษ กลายเป็นอาหารวิเศษ เพราะธรรม โอสถช่วยเสก ดูครูบาอาจารย์และชาวบ้านที่อยู่ตาม ชนบท ...แก้มใส ไม่เห็นต้องกินอาหารเสริมอะไร แต่เราที่อยู่ในกรุงนี่ สารพัดจะบํารุง แต่หน้าตาก็ แห้งแล้ง เพราะจิตใจฝ่อห่อเที่ยวด้วยมลพิษ ด้วยขยะความคิดของตัวเอง
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้คือมนุษยสมบัติเราอย่าลืมอนุรักษ์มนุษยสมบัติกัน โลกนี้จะได้ร่มเย็น เป็นสุข ก็ฝากไว้เป็นกำลังใจค่ะ
พิมพ์โดย ปภัสสร มีพงษ์
แหล่างที่มา http://web.krisdika.go.th/buddha/76_manudsombut.pdf
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น