Header Ads

วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2561

บทความหมออมรา ป่วยแต่กายใจสบาย

บทความหมออมรา
ป่วยแต่กายใจสบาย


ชื่อผู้เขียน       พญ อมรา มลิลา
วันที่              19 เมษายน พ.ศ. 2550
ณ                 ณ ห้องประชุมชัยนาทนเรนทร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
หมวด



ทุกคนคงเข้าใจแล้วว่า เรา ที่เราเรียกว่า ตัว เรา ตัวเรา นั้น ประกอบไปด้วย 2 ส่วน เหมือน เอานํ้าตับนํ้ามันมาเขย่าเข้าด้วยตันตลอดเวลา จน เราคิดว่าสารขุ่นๆ สีขาวที่เกิดจากการเขย่าเป็นสาร ละลายเราคิดว่ากายตับใจเป็นธาตุเดียวกัน แต่ความจริงไม่ใช่ถ้าสังเกตเราตัวแท้ และคอยทำความรู้จักตัวของเราจริงแล้ว เราจะพบว่ากายตับใจ เป็นคนละธาตุตันกายของเราเป็นดิน เป็นนํ้า เป็นลม เป็นไฟ อะไรที่เป็นของแข็งนั้งหลายในตัวเรา เราถือว่า เป็นดิน ส่วนที่เป็นของเหลว เป็นนํ้าเลือด นํ้าเหลือง นํ้าปัสสาวะ นํ้าเหงื่อ เราถือว่าเป็นนํ้า ลมก็คือ ลม ในปอด ลมหายใจ หรือลมที่เกิดจากอาหารย่อยไม่ทุกคนคงเข้าใจแล้วว่า เรา ที่เราเรียกว่า ตัว เรา ตัวเรา นั้น ประกอบไปด้วย 2 ส่วน เหมือน เอานํ้าตับนํ้ามันมาเขย่าเข้าด้วยตันตลอดเวลา จน เราคิดว่าสารขุ่นๆ สีขาวที่เกิดจากการเขย่าเป็นสาร ละลายเราคิดว่ากายตับใจเป็นธาตุเดียวกัน แต่ความจริงไม่ใช่ถ้าสังเกตเราตัวแท้ และคอยทำความรู้จักตัวของเราจริงแล้ว เราจะพบว่ากายตับใจ เป็นคนละธาตุตันกายของเราเป็นดิน เป็นนํ้า เป็นลม เป็นไฟ อะไรที่เป็นของแข็งนั้งหลายในตัวเรา เราถือว่า เป็นดิน ส่วนที่เป็นของเหลว เป็นนํ้าเลือด นํ้าเหลือง นํ้าปัสสาวะ นํ้าเหงื่อ เราถือว่าเป็นนํ้า ลมก็คือ ลม ในปอด ลมหายใจ หรือลมที่เกิดจากอาหารย่อยไม่ความยึดมั่นสำคัญผิดไปยึดมันไว้ด้วยกัน เขย่าเข้า ด้วยกัน ได้สารผสมขุ่นสีขาว ที่เราเชื่อว่าเป็นสาร เดียวกัน หลงผิดไปว่าใจกับกายเป็นธาตุเดียวกัน เพราะเอาอุปาทานเป็นกาวมาฉาบทามันให้ผนึกติด เข้าไว้ด้วยกันไม่ว่าอะไรมากระทบ เราก็เอามาผนวกกันเข้า เช่น มีอะไรตกลงมาคับมัวแม่เท้าเราแตก จริงๆ แล้วใจเราไม่กระทบกระเทือน ไม่เจ็บ แต่เราไปยึดไว้ผิดๆ ว่า ที่มัวแม่เท้าเราแตกนี่มันเจ็บ จนกระทั่งใจเราจะขาดแล้วนะเรื่องความยึดกันนี้ก็เป็นที่มาให้หมอที่เมือง นอกหลายๆ คนกลัวจะถูกคนไข้ฟ้องร้องถูกยึดใบประกอบโรคศิลป์ และชดใช้ค่าเสียหายให้คนไข้ จนถึงล้มละลายได้ จึงเกิดมีงานวิคัยชิ้นหนึ่งขึ้นมา เพื่อศึกษาว่า เวลาที่คนไข้โวยวาย เจ็บ..เจ็บ หมอ ก็ให้ยาแก้ปวดได้ถึงระดับหนึ่งเท่านั้น ถ้ามากกว่า นั้น ยาจะไปกดศูนย์หายใจ ศูนย์หัวใจ ทำให้เสีย ชีวิตได้นักวิจัยชาวยุโรปทำการทดลองชิ้นหนึ่งขึ้นมา ว่า ใจของคนที่บอกว่าปวดๆ นี้ มีหลักเกณฑ์อะไรเราจะเชื่อได้หรือไม่ว่าเมื่อให้ยาเต็มที่แล้วก็ไม่ควร จะปวดอีก เธอโวยไปเอง จริงเท็จแค่ไหนเขาจึงไปขอความร่วมมือจากทางราชการว่า นักโทษที่จะถูกนั่งเก้าอี้ไฟฟ้าเพื่อประหารชีวิตนั้น ถ้ายอมมาเป็นอาสาสมัครในการวิจัยนื้แล้วรอดตาย ไปได้ ทางการจะให้อภัยโทษจากการถูกประหาร ชีวิต ให้เป็นอิสระไปก็ได้อาสาสมัครมากพอที่จะทำการทดลองได้
การทดลองก็ง่ายๆ โดยแบ่งอาสาสมัครเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งบอกตามความเป็นจริงว่า เรา จะขอเอานํ้ากลั่นหยดลงไปกลางหลังอาสาสมัคร ติดต่อภันเป็นเวลาพอสมควร เพื่อดูว่าผิวหนังจะมี ปฏิกิริยาแบบภูมืแพ้อย่างไรบ้าง อีกกลุ่มหนึ่งบอก ไปว่า เราวิจัยได้กรดตัวใหม่ ที่สูตรเคมีของมัน เมื่อหยดลงไปบนเนึ้อคุณ มันจะละลายเนื้อบริเวณ นั้นให้กลายเป็นวุ้น แล้วซึมเข้าไปละลายกระลูกได้ ด้วย ในที่สุดตัวคุณนั้งติวจะกลายเป็นก้อนวุ้นกลมๆ กลิ้งไปกลิ้งมา ไม่เหลือแขนขา ไม่เหลืออะไรนั้งนั้น เราไม่รู้ว่าระหว่างที่กรดมหาประลัยของเราออกฤทธิ์
อยู่นี้ มันจะทำให้คุณรู้สึกเจ็บปวดหรือรู้สึกอย่างไร บ้าง เราขออาศัยให้คุณช่วยบอกความรู้สึกทุกอย่าง ที่เกิดขึ้น ตามความเป็นจริงถ้าคุณรู้สึกทนไฝได้บอกเราคำเดียว เราจะหยุดการทดลอง แล้วคุณก็ เป็นอิสระไปทันที
เมื่อบอกกล่าวอย่างนี้แล้ว เขาก็สลับคนที่ได้ รับข้อมูลจริงๆ มับคนที่ได้ข้อมูลปลอม ให้แต่ละคน อยู่แยกกันโดยมีม่านกั้นไว้เป็นช่อง ๆ แต่ละคนจะไม่ เห็นกัน ให้อาสาสมัครเหล่านี้คุกเข่าเอามือเท้าพื้นเหมือนยืนสี่เท้า แต่ละช่องมีท่อนํ้าไปหยดลงที่กลาง หลังของอาสาสมัคร ซึ่งเจ้าตัวไฝสามารถมองเห็น ได้ แต่รู้สึกว่ามีอะไรหยดแปะๆๆ มาที่กลางหลังการทดลองจริงๆ นั้น ผู้วิจัยใช้นํ้ากลนจากถัง เดียวกัน ต่อท่อออกมาแล้วแยกเข้าไปในแต่ละม่าน โดยแต่ละท่อมีก๊อกสำหรับปรับจำนวนหยดนํ้าให้เท่า กัน ตั้งแต่ม่านแรกจนถึงม่านสุดท้าย เพื่อว่าทุก อย่างจะได้เหมือนกันหมด นอกจากจิตใจของอาสา สมัครที่ถูกแบ่งเป็น 2 กลุ่มกลุ่มหนึ่งรู้ว่าเป็นนํ้ากลั่น แต่อีกกลุ่มหนึ่งรู้ว่าเป็นนํ้ากรดมหาประลัยหลังจากการทดลองเริ่มไปได้สักประมาณ 5 นาที ก็มีอาสาสสัครคนหนึ่งร้องโวยวายว่า กระดูก หลังของฉันกำลังยุบยวบเป็นวุ้นไปหมดแล้วฉันทรงตัวอยู่ท่านึ๋ไม่ได้แล้ว แล้วก็เริ่มรู้สึกเจ็บ.. โอ๊ย.. นํ้ากรดนึ่ไม่ได้เจ็บแต่ที่หลังแล้วนะ สันเหมือนลับ มืดเล็กๆ ตลัดมาถึงสัวไจด้วย สันเจ็บทั่วไปหมดเลย จนจะขาดใจตายอยู่แล้วในที่สุดเขาก็บอกว่าทนไม่ไหวแล้วหัวใจเขา เห็นท่าจะหยุดเต้นแน่แล้วผู้วิจัยบอกว่าผมหยุดนํ้ากรดแล้ว เสียงเขาก็ เงียบไปผู้วิจัยเข้าไปในม่านนึกว่าคงจะเรียบร้อยที่ไหนได้ นายคนนี้หยุดหายใจไปเรียบร้อยจาก นํ้ากลั่นทีหยดลงไปกลางหลังแท้ ๆช่วยกันผายปอดอย่างไรๆ ก็ไม่ฟ้นคืนดีขึ้นมา ในที่สุดนายคน นี้ก็ตายสนิท ก็ติดต่อญาติพี่น้องเพื่อขออนุญาตผ่า ศพตรวจสำหรับพวกที่ถูกทดลองไปจนจบการทดลอง นั้น กลุ่มที่ได้รับคำบอกเล่าว่าเป็นนํ้ากลั่น มีอาการ เหมือนผู้ที่เอามือแช่นํ้าอยู่นานๆ แล้วถูกนํ้ากัด
ผิวหนังบริเวณนั้นอกเสบ รู้สึกแสบๆ ค้นๆ บ้างพวกที่ได้รับคำบอกเล่าว่าเป็นนั้ากรด 84% มีลมพิษขึ้น ตงแต่ลมพิษน้อย ลมพิษใหญ่อีก15% ก็ไม่ เป็นปกติ มีตุ่มแดงๆ ขึ้น แต่ไม่ถึงกับ เป็นลมพิษ มีอาการคันๆ แสบๆ รู้สึกไม่สบายทุก คน มากบ้างน้อยบ้างพวกที่เป็นลมพิษก็มีไข้ มีอาการปวดส่วนอาสาสมัครที่ตายจากนํ้ากลั่นนั้นเมื่อตรวจดูที่หลังของเขา ปรากฏว่าลมพิษขึ้นช้อนๆ กันเหมือนผิวลูกมะกรูด ถ้ามาขึ้นที่หน้าก็จะไม่รู้เลย ว่าตรงไหนจมูก ตรงไหนตา มันบวมตะปุมตะป่ำช้อนกันจนกระที่แยกแยะอะไรไม่ออก นักวิจัยขริบ ชิ้นเนื้อบริเวณนั้นไปตรวจ สันนิษฐานว่าลมพิษคง ไปขึ้นอัดเต็มหลอดลมจนอากาศผ่านเข้า-ออกไม่ได้ ครั้นได้รับอนุญาตให้ผ่าศพตรวจได้ ผ่าเข้าไป แล้วพบว่า อรัยวะภายในทุกชิ้นทุกส่วน รวมที่ง หลอดลม เป็นปกติดี ไม่มีลมพิษขึ้นเลยผลจากการนำชิ้นเนื้อบริเวณที่เป็นลมพิษไปคัดย้อมและ ส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์พบว่า มีปฎกิริยาภูมิแพ้เหมือนโดนสัตว์มีพิษเช่นตัวต่อหัวเสือต่อยแสดงให้เห็นว่า ใจของอาสาสมีดรคนนี้คิดไปตามข้อมูลที่ ว่าเป็นกรดร้ายแรง แล้วสะกดจิตตัวเองจนร่างกาย เกิดปฏิกิริยาสนองตอบขึ้นมาใจที่ยึดเชื่อว่า สารทดลองจะทำให้ตัวของเขา กลายเป็นก้อนวุ้นกลม ๆ ก็สะกดให้เขาเกิดความกลัว ตับใจ จนช็อกตายได้ เหมือนสมียสงครามทหารถูกสะเก็ดระเบิดเป็นแผลฉกรรจ์ที่ต้องผ่าตัด แต่ ไม่มียาชายาสลบเพียงพอหมอก็ต้องผ่าตัดสด ๆเดี๋ยวนั้น คนไข้บางคนก็ตายเพราะทนพิษบาดแผล ไม่ไหวจากงานวิจัยนี้สรุปไต้ว่า ถ้าคนไข้โวยวายว่า ยังปวดไม่ทุเลา นั้งๆ ที่คุณให้ยาเต็มที่แล้ว ก็อย่าไป บอกว่าเขาคิดไปเอง เพราะคนไข้อาจจะตายทำนองนี้ใด้ แล้วคุณจะเดือดร้อนคุณต้องทำอะไรให้เขาเห็นว่าคุณกำลังช่วยเต็มที่ เพื่อให้ความปวดของเขา ทุเลาเบาบางลง จะเอาเม็ดแป้ง หรือเอาอะไรก็เอา ให้เขาเห็นว่า คุณอนาทรร้อนใจเดือดร้อนไปกับเขา ด้วย งานวิจัยชิ้นนี้ก็สอดคล้องคับเรื่องอุปาทาน ความยึดมั่นสำคัญผิดในพระพุทธศาสนาที่ว่า ถ้าใจ ไปยึดว่าความเจ็บไข้ได้ป่วยที่กายนั้นติดต่อไปถึงใจ ด้วย ก็ทำให้อาการของโรคทรุดโทรมสาหัสขึ้นปกติร่างกายของคนเราแก่ชราอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่คลอดจากท้องแม่ แต่เราไปมองเห็นเป็น ความเจริญงอกงาม เพราะฉะนั้นความแก่ช่วงนี้คนจึงชื่นชมยินดีเด็กแรกคลอด เดินไม่ได้ พูดไม่ได้ พอโตขึ้น เดินได้ พูดได้ ความแก่ช่วงนี้จึง เป็นที่น่าพอใจ แต่ถ้าเด็กเจริญเติบโตเรื่อยไปไม่หยุด กลายเป็นคนยักษ์ขึ้นมา คราวนี้เราไม่ชอบแล้วโดยธรรมชาติ ทุกสิ่งจะเจริญไปถึงจุดหนึ่ง เหมือนพระอาทิตย์ไปถึงเที่ยงวันแล้วก็เริ่มแก่จริงๆ ที่เราไม่ชอบ มีตีนกาขึ้น ตัวก็ค้อม เริ่ม กำตังวังชาถอย ไม่คล่องแคล่วเหมือนเด็กๆ ปวดตรงโนเจ็บตรงนี้ ความจริง ร่างกายของเราก็เมื่อยก็ปวดมาตั้งแต่เด็กนั่นแหละ แต่ที่เด็กไม่เคย บ่นว่าปวดว่าเมื่อย เพราะพอจะรู้สึกปวดเมื่อย เด็กก็เหนื่อย นอนแผ่หลับไปแล้ว จัดเป็นการเปลี่ยนอิริยาบถ ลุกขึ้นผาใหม่ก็หายเหมือนเราผู้ใหญ่นี่นั่งนานเราเมื่อย ลุกขึ้นไปเดินเสืย ก็หายเมื่อย ครั้นแก่เฒ่าลง เราขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่คล่องแคล่วเหมือนเด็กๆ หนุ่มๆ สาวๆ เมื่อยแล้วก็ ต้องทนนั่งต่อไป จะลุกก็ลุกไม่ขึ้น เนื้อตัวมึนหนัก... ก็เลยรู้สึกเมื่อยมากสนัยก่อนพอเมื่อยหน่อย ขัดหน่อย เราก็เด้งตัวไปแล้ว ไม่ยันไต้รู้สึกทุกขทรมาน พระพุทธองค์ทรงเปรียบความชราที่ปรากฏ ยับร่างกายของสิ่งมืชีวิตนั้นเสมือนการถูกยิงด้วย ลูกศรธรรมดา เราก็เจ็บก็ถ้าถือเป็นสิ่งปกติ แต่พอเรามีอุปาทานในใจเข้าไปสมทบด้วย แทนที่จะ เมื่อยอยู่แค่ตรงข้อศอก ข้อเข่า ข้อมือ มันเมื่อยจน กระนั่งใจทุรนทุราย ทนไม่ได้ จะขาดใจตาย
เราทำให้ลูกศรธรรมดา ปรากฏการณ์ธรรมชาติ อันนี้ใปเหมือนลูกศรอาบยาพิษ แล้วยาพิษก็กำซาบ ไป ทำให้ใจของเราเป็นเหมือนอาสาสมัครที่ยึดว่านํ้า ที่หยดลงบนกลางหยังเป็นนํ้ากรดที่จะทำให้ตัวเขา กลายเป็นลุ้นไป ใจก็พลอยถูกนํ้ากรดฟกชํ้าดำเขียวจนทนไม่ไหว ความเจ็บปวดที่เผชิญอยู่นี้ทำให้ใจ
ฉันจะขาดแล้ว ทุรนทุรายสติแตกจนตายไปจริง ๆเรื่องที่จะพูดกันวันนี้ ถ้าเรามองเห็นประเด็น แล้วแยกกาย แยกใจ ของเราได้ เราก็สามารถจะ รักษาใจให้ปลอดกัยส่วนที่เป็นร่างกาย ดิน นํ้า ลม ไฟ มาจากธรรมชาติ ดินและนํ้ามาจากอาหาร ที่เรากินเข้าไป เมื่อยังเป็นทารกอยู่ในท้องแม่ก็ได้ มาทางสายรก โดยเราดดเอาอาหารจากเลือดของ แม่ที่มาหล่อเลี้ยงผนังมดลูกบริเวณที่รกเกาะตัวอยู่ เราจึงเจริญเติบโตขึ้นมาดินนํ้าที่ทุกรันนี้เราได้จากอาหารก็ไปซ่อมแซม ส่วนที่สึกหรอส่วนที่เสียก็เป็นเหงื่อ เป็นปัสสาวะ
ออกไป เป็นคราบไคล เป็นกากอาหาร เป็นอุจจาระ ออกไปสารอาหารที่กินเข้าไปแล้วถูกร่างกายเผาผลาญให้เป็นไออุ่นและพลังเพื่อเราจะได้ทำการงาน และทรงชีวิตอยู่ได้ จึงร่อยหรอหมดไป ต้องบริโภค ใหม่เป็นระยะๆทำนองเดียวกับเมื่อกายหมดลมหายใจ เนื้อ หนังก็เริ่มเน่าเปีอย ดินคืนกลับไปสู่พื้นแผ่นดินของ โลก นํ้าไหลซาบซึมไปสู่ผืนนํ้า ลมกับไฟเป็นธาตุที่เราจับต้องไม่ได้ก็คืนกลับไปในบรรยากาศ ส่วน ใจไม่ถูกขังติดอยู่ในซากที่ตายแล้ว ใจเป็นพลัง ก็ หลุดเป็นอิสระจากร่าง พลังอันนี้เป็นอมตะไม่ตาย ถ้ามองในแง่ของพลังแล้ว เปรียบเทียบใจ เป็นนักเดินทางมาราธอน สนัยนี้จะเดินทางไปไหน มาไหนเราก็ใช้โรงแรมเป็นที่พักแทนศาลาริมทาง ใช้บัตรเครดิตชำระค่าบริการถ้าบัตรเครดิตของเรา มีบุญกุศลเป็นอริยทรัพย์ เอาไปใช้อับโรงแรมไหน เลือกไปเข้าท้องแม่คนไหนๆ ก็สำเร็จแต่ถ้าบัตรเครดิตของเรามีแต่บาปอกุศล จะเช้าโรงแรมไหน เขาก็ไม่รับบัตรยี่ห้อนี้ กระเสือกกระสนเข้าท้องไหน เขาก็แท้งเราออกมาแม้เราจะเถียงเขาว่า ฉันมีต้นทุนทรัพย์สินเงินทองเท่านั้นเท่านี้ เขาก็ไม่รับ เราต้องออกมาหาที่อื่นพัก กระเสือกกระสนหาที่เกิด ใหม่แถวๆ นี้ให้ได้ เพราะคนที่เรารักหรือขัง ที่เรา มีใจจะต้องชำระบัญชีด้วย มันอยู่ตรงนี้ เพราะฉะนั้น ใจก็วนเวียนหาที่ไปเกิดอยู่แถวๆ นี้ เข้าท้องนั้นก็ แท้ง ท้องนี้ก็แท้ง พบไข่ตุ๊กแกอยู่ข้างฝาก็ไปเข้าไข่ ตุ๊กแกการเกิดใหม่นั้นไม่ได้หมายความว่าเราเคย เป็นคนแล้วจะต้องเป็นคนอีกทุกครั้งไป ท่านผู้รู้สอน ไว้ว่า สิ่งใดที่ใจเรานึกคิดอยู่ในขณะที่ลมหายใจ สุดท้ายตับไป นั้นคือที่เกิดใหม่ของเราถ้าใจเรามีบุญกุศลเป็นอริยทรัพย์สะสมไว้มาก เมื่อคลอดออกมา แม้ทุกคนจะมามือเปล่าเท่ากันหมด แต่อริยทรัพย์คือด้นทุนบุญกุศลที่สะสมมาในใจ จะ ชักพาเจ้าตัวให้มีความเห็นชอบพ่อแม่ส่งไปเรียนหนังสือก็ตั้งใจเล่าเรียน คบหาสมาคมแต่กับเพื่อนฝูง ที่ดีงามเติบโตขึ้นมา ทำอะไรก็เกิดเป็นเงินทองทรัพย์สมบ้ติ ลาภสักการะ เกียรติยศซื่อเสียงขึ้น มาสิ่งเหล่านี้สำเร็จได้เพราะอำนาจเสบียงในใจที่เปรียบเหมือนบัตรเครดิตที่พกติดตัวมา ทำให้เกิดเป็นพรสวรรค์ เช่นนักดนตรีเอก เห็นไวโอลินก็หยิบขึ้นมาสีได้เป็นเพลงไพเราะจับใจ เพราะในภพชาติก่อนๆ เขาเคยราเรียนแกสีไวโอลิน เห็นไวโอลินบีบ ไม่ต้องมีใครไปสอน ใจที่รู้อย่างเชี่ยวชาญ ชำนาญเก็บบันทึกไว้ในประจุสัญญา ก็พาให้เขาสี ไวโอลินได้โดยอัตโนมัติ
ถ้าต้นทุนที่สะสมมาในใจเป็นบาปอกุศล พ่อ แม่ส่งไปเรียนหนังสือก็ไม่ตงใจเล่าเรียน ฟังไม่เข้าใจ ไม่อยากฟัง พอไปเจอเพื่อนเกเรก็ถูกใจนัดแนะก้น เวลาศรูเข้าสอน ขอลาไปเข้าห้องนํ้าแล้วพาก้นปีน รั้วโรงเรียนออกไปเที่ยวเสเพล นันช่างสุขใจแท้ เพราะเคยทำอย่างนี้สะสมมาจนเป็นอุปนิสัยติดอยู่ใน ใจ เปรียบเป็นบาปทรัพย์แม้การที่เราไม่มีต้นทุนบุญกุศลมา ก็ไม่ได้หมายความว่าพิมพ์เขียวนี้จะต้องเที่ยงตรงเสมอไป เมื่อเกิดมาแล้ว ใจของเราอาจจะมาผูกพันก้บพ่อแม่ หรือผู้ที่มารู้จักก้นในชาติภพนี้ ซึ่งเหนี่ยวนำให้เรา เกิดการใฝ่ดีขึ้นมาได้ เราก็เปลี่ยนพิมพ์เขียวได้มีเด็กผู้ชายคนหนึ่ง เป็นลูกคนกลางพ่อแม่มี ลูกชายหลายคน พี่น้อง 7 คนได้ เขารู้สึกว่าพ่อแม่ ต้องเหนื่อยทำมาหากินเลี้ยงลูก ๆถ้าเขาหายไปพ่อแม่คงไม่สนใจหรอกเพราะฉะนั้น พอเขาอยู่มัธยมปลาย เขาติดใจรุ่นพี่ที่เป็นนักเลง เลยหอบเสื้อกางเกงที่มีอยู่ 2 ชุด คือ ชุดที่ใส่วันนี้กับชุดที่ เปลี่ยนจะซักชุดหนึ่งนั้น ใส่กระเป๋านักเรียน ตัดสิน
ใจว่าวันนี้โรงเรียนเลิกแล้วจะไม่กลับบ้าน ไปอยู่วับ รุ่นพี่ที่เป็นนักเลง เขาก็ไปอยู่ หนังสือหนังหาก็เลิก เรียนวันหนึ่ง ลูกพี่กะจะไปปล้นวันเขาก็ตื้ออ้อนวอนลูกพี่ขอตามไปด้วย จนลูกพี่ยอมอย่างไม่สู้ เต็มใจนัก บุญกุศลเขาวังพอมีอยู่ พอถึงฤกษ์ที่ลูกพี่จะเคลื่อนขบวน เขาเกิดปวดท้องอย่างสาหัสต้อง ไปเข้าห้องนํ้า แล้วก็ท้องเดินไม่ยอมหยุด พอจะออก มาก็ถ่ายอีก ลูกพี่เลยไม่คอย ยกพรรคพวกไปวันเขาเสียดายว่าพลาดโอกาสวันดี ปกติลูกพี่จะ ทำอะไรสำเร็จทุกครั้งไป แต่ครั้งนี้ปรากฏว่าไปปะทะกับตำรวจ เพราะเจ้าทรัพย์ร้ตัว จึงแจ้งตำรวจให้มา คุ้มครอง ลูกพี่ถูกตำรวจยิงตาย พวกเพื่อนที่งหลาย ก็บาดเจ็บวันไป ถูกตำรวจจับบ้าง หนีหายไปบ้าง เขาก็ฉุกคิดได้ว่าการทำสิ่งไม่ดีก็ต้องได้รับผลที่ไม่ดี เขาก็เลยกลับตัวกลับใจ ไม่อยู่ตรงนี้ต่อไปแล้วเขาไปเจอเพื่อนรุ่นเดียววันชวนให้ไปอยู่ด้วย แล้วกลับไปเรียนหนังสืออย่างเดิม เพื่อนคนนี้ไปวัด ฟังธรรมและปฏิวัติอยู่สม่ำเสมอ เขาก็ตามไปด้วย ครั้งหนึ่ง เมื่อนั่งสมาธิ จิตลงรวม เกิดนิมิตเห็น ครั้งตัวเองไข้สูงเมื่อยังเด็กอยู่ พ่อแม่ผลัดกันเช็ดตัว ป้อนยาไม่ได้หลับได้นอนที่งคืน แต่ทีนี้ผันก็แปลก แทนที่จะเห็นเฉย ๆ ใจของเขากลับกลายเป็นใจพ่อ แม่ระหว่างที่พ่อแม่อุ้มเขาอยู่ ใจเขาก็ไปรู้ถึงความ ห่วงใยของพ่อแม่ที่มีต่อเขาเขาไม่ใช่ลูกหัวปี จึงไม่เคยได้เสื้อผ้าใหม่เลย พ่อแม่เอาเสื้อผ้าของพี่ๆ ที่โตใส่ไม่ได้แล้วมาให้เขา ใข้อยู่เสมอ เขาถึงได้คิดว่า จะมีเขาหรือไม่มีเขา พ่อแม่ก็ไม่สนใจหรอก แต่พอเขาระลึกนึกถึงตรงนี้ ในนิมิต ใจของเขาก็ได้เข้าใจว่า เมื่อพ่อแม่ไปเอา เสื้อที่พี่ใส่ไม่ได้แล้วมาปรึกษากันว่า ตัวนี้ยังดีอยู่นะ เด็กตัวโตเร็ว เสื้อก็ยังไม่เปีอย ไม่ดูซอมซ่อ เห็น พ้องต้องกันว่า ลูกเราใส่แล้วไม่เหมือนเอาของเก่า ของชำรุดมาใช้ มันก็เป็นของใหม่ที่เก็บรักษาไว้ ไม่ได้ใหม่จากร้าน ลูกคงไม่เสียใจหรือไม่เกิดปมด้อย หรอก เขาได้รู้ได้เข้าใจอย่างนี้เมื่อออกจากสมาธิ ใจเขาเปลี่ยนไปที่เคยรู้สึกว่า ชีวิตเขาจะไปหัวหกก้นขวิดที่ไหน พ่อแม่ก็ วันรุ่งขึ้นตอนเย็น เลิกเรียนแล้ว เขาก็ไปหา พ่อแม่ที่บ้าน พ่อมาเปิดประตู เห็นเขาก็ดีใจ เข้ามากอดแล้วนํ้าตาไหลถามว่าพ่อแม่ทำอะไรให้ลูก โกรธขึ้งเจ็บซํ้านํ้าไจหรือ ขอโทษด้วย ลูกช่วยบอก พ่อแม่จะได้แก้ตัว เขากิยิ่งตื้นตันใจ เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้พ่อแม่ฟัง แล้วกราบเท้าพ่อแม่ขอขมาที่ คิดผิดไป พ่อกับแม่ก็ขอโทษที่ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ทำตับ ลูกโดยไม่ได้อธิบาย จะทำให้ลูกน้อยเนื้อต่ำใจคิดไป ได้ถึงเพียงนั้น พ่อแม่ขอโทษจริงๆเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ให้เห็นว่า ใจของคนเรา ถึงแม้แลตูว่าจะไปไนทางชั่ว พิมพ์เขียวบ่งซี้ว่าจะ ไม่ดีแต่ถ้าเจ้าตัวฉุกคิดฝึกสติ สร้างกุศลขึ้นเป็นธัมมะจัดสรร เทวดารักษาตัวคุ้มครอง เขากลับตัว กลับใจออกจากทางชั่ว มาเจอเพื่อนดีที่พาไปในทาง ที่ดีงาม เขาก็ปลอดภัยเมื่อเข้าใจอย่างนี้ เห็นอย่างนี้ ก็อย่ามัวไป หวังให้เราโชคดีอย่างเจ้าหนุ่มคนนี้ ใจคนเราถ้าหนั้น ฝึกให้มีความระลึกรู้ จะทำอะไรให้ระลึกรู้ แล้วถาม ตัวเองว่า ถ้าทำอย่างนี้ผลจะดีไหม ข้อดีข้อเสียมี อย่างไรบ้างหารุ่นพี่หรือครูบาอาจารย์ที่เราลงใจ ไว้ใจได้ว่า สิ่งที่ถามจะได้คำตอบที่เหมาะควรตาม ความเป็นจริง แล้วนำคำตอบมาไตร่ตรอง มาเป็น แนวทางฝึกฝนตัวเองให้ทำแต่สิ่งที่แน่ใจว่าเป็นความ เห็นชอบเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ชีวิตของเราก็จะอยู่บน อริยมรรคมีองค์ 8 ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นหนทางไปสู่ความสิ้นทุกข์ลูกศรของข้นธมารที่ยิงถูกเราด้วยความแก่โดยธรรมชาติ ก็จะเป็นลูกศร ธรรมดา ปวดเมื่อยก็รู้ว่าปวดเมื่อย อะไรที่เป็นภาระ หน้าที่จะทำ เราก็กระทำไปท่านผู้รู้เปรียบร่างกายคนเราเหมือนบานพับ หน้าต่าง ถ้าเราปิด-เปิดทุกวน บานพับก็ไม่ขึ้นขี้สนิม ถ้าเราฝึกทำอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ เราก็สามารถใช้มีนได้ จนวาระสุดท้ายที่หมดลมหายใจแต่ถ้าเรา.. โอ๊ย..เมื่อย ให้คนโน้นทำแทน คนนี้ทำแทน พอถึงคราว จำเป็นจะต้องลุกขึ้น ปรากฏว่าเส้นเอ็นยึดฝืด ลุก ไม่ขึ้น พอไปง้างเข้า ก็เลยหัก เลยแตกชำรุด พังไปเลยถ้าเราระลึกไว้อย่างนี้ แกฝนตัวเองเอาไว้ว่า ความแก่ก็เป็นธรรมซาติอันหนึ่งเมื่อเกิด เติบโตแล้ว ก็จะต้องแก่ ต้องเจ็บ บางคนไม่เจ็บไข้แต่ เกิดอุบ้ติเหตุ อย่างไรๆ ก็ต้องตาย เพราะว่าที่สุด ของชีวิตคืคความตายเราแกเตรียมตัวเตรียมใจหัดทำความรู้จักหับความเจ็บให้ดี เพราะไม่รู้ว่าจะ เจ็บมากเจ็บน้อย นี่เป็นขนาดปวดเมื่อยธรรมดา ๆนั่งนานก็ยังเมื่อย นอนนานก็เมื่อย ท่องเอาไว้ให้ขึ้นใจว่า การปฏิป็ติคือการซ้อมให้รู้ว่า กายอันนี้มัน ป่วย แก่ เจ็บ มีความบกพร่องอยู่เป็นธรรมดาแยกใจออกไป เหมือนนํ้าหับนํ้ามัน อย่าเอา ไปเขย่าจนกลายเป็นของผสมขุ่นขาว เจ็บที่กายแล้ว กำหนดสติ ระลึกรู้ อย่าบ่น.. โอ๊ย.. มันเจ็บมาถึงใจ จนกระทั่งจะขาดใจตายแล้วเราพยายามให้ใจกับกายได้ต่างฝ่ายต่างอยู่เป็นอิสระจากหันมีสติ เฝ้ารู้ตามเป็นจริง ไม่เขย่ามัน คือให้มันอยู่กับปัจจุหัน ตัวอย่ตรงไหน ใจอยู่ตรงนั้นเหมือนพระอาทิตย์
เที่ยงวัน ไผ่มีเงาของอดีตของอนาคตถ้าไม่แกใจเอาไว้อย่างนี้ ใจของเราจะไป ตกหล่มของอดีต หล่มของอนาคตถ้าเราภูมิใจพอใจในอดีต ใจก็ไปนึกวนเวียนอยู่กับตรงนั้น อยาก ให้เป็นอย่างนั้นใหม่ ไม่รับรู้กับปัจจุบันที่เป็นไปแต่ ละขณะ แต่ละขณะ มีสภาพเหมือนคนละเมอ ถ้ามี อะไรเกิดขึ้น เราก็จ้ดการกับตัวเองได้ไม่ทันท่วงที เพราะใจไปหมกมุ่นรับรู้อยู่กับอดีต ใครพูดด้วยก็ไม่ รับรู้ ข้อมูลก็ไม่ได้ตามความเป็นจริง เราจึงตอบ สนองเหตุการณ์ไปผิดพลาด หรือบางทีคับแค้นใจกับอดีต ก็ไปสร้างฝันอยู่กับอนาคต ขอให้เป็นอย่าง นั้นอย่างนี้ เรื่องเกิดขึ้นตรงนี้ไม่ได้ยินอีกแล้ว เพราะ กายตรงนี้เป็นทุ่นอยู่เฉยๆ กันนี้กันตรายการปฏิบัติไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องไป วัด ไปอยู่ 5 วัน 10 วัน อะไรประมาณนั้น ถ้าเรา ระลึกได้ว่า สิ่งที่จะทำ เรามีสติรู้อยู่ว่า เรารับผิด รับชอบในแต่ละการกระทำนั้นๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามีสติแล้วเราจะทำถูกทุกครั้งไป เพราะเรา มาแต่อวิชชาถ้าประสบการณ์ยังไม่เพียงพอ เรายังต้องมีผิดพลาดให้ได้เรียนรู้จากความผิดเหล่านั้นแล้วจดจำไว้สอนตนไม่ให้พลาดอีกจะขออนุญาตยกตัวอย่างว่า การมีสติคือ อย่างไรมีอาจารย์ท่านหนึ่งได้หยุดพกร้อน ก็พา ภรรยาและลูกชายไปเที่ยวปักษ์ใต้ ช่วงเช้าตรู่ที่พา กันเดินชมเมือง ก็มีหนุ่มคนหนึ่งเดินเช้ามาแตะไหล่ อาจารย์ พี่ช่วยเอาห่อกระดาษนึ่ไปส่งให้เพื่อนผมที่ อยู่ถนนฝังโน้นหน่อย อาจารย์ก็นึกว่าน่าจะเป็นชอง ไม่ถูกกฎหมาย เพราะห่อกระดาษก็บางนึดเดียว เจ้าหนุ่มนั้นก็ลํ่าสันแข็งแรงกว่าเรา พออาจารย์ลังเล มองหน้าเขา เขาก็บอก ถ้าพี่เอาไปให้เพื่อนผมที่อยู่ ถนนฟากโน้นแล้ว เขาจะให้ค่าเหนื่อยพี่ 5 พันบาทใจแรกของอาจารย์ก็สงสัยแล้วว่าจะต้องเป็น ของผิดกฎหมายแน่แต่กิเลสในใจความโลภของ เขา ดั้ง 5 พันบาทแน่ะ ถ้าได้มาก็ซื้อของเล่นให้ ลูกหรือข้ามไปเที่ยวมาเลเซียใต้ อาจารย์มองซ้าย มองขวา ไม่เห็นมีตำรวจหรืออะไรผิดปกติเลย มือ ก็เอื้อมไปรับห่อมา กำสังจะส่งให้หน่มฟากโน้น ก็มีกุญแจมือสับลงมาที่ข้อมือ นายคนนั้นซึ่งแต่งตัว เหมือนคนธรรมดาก็แสดงบัตรให้ดูว่า เขาเป็น ตำรวจนอกเครื่องแบบ เมื่อแกะห่อออกดูก็พบว่า เป็นผงขาวอาจารย์ก็กลายเป็นผู้ต้องหา มีสิ่งผิดกฎหมายอยู่ในครอบครอง เจ้าหนุ่มหายไปหมดทั้งคนที่ยื่นซองให้และคนที่คอยร้บ เหลือแต่อาจารย์ ภรรยา และลูก ซึ่งจะยืนยันอย่างไรก็เป็นพวกเดียว กัน เอามาเป็นพยานให้กันไม่ได้อาจารย์ก็เลย ติดคุกเพราะไม่มืหสักทรัพย์พอจะประกันตัว แล้ว ยังต้องต่อสู้กับคดีที่ว่ามืผงขาวไว้ในครอบครองถ้ามีสติคุ้มครองใจ แว่บแรกที่อาจารย์นึก ว่าเป็นของผิดกฎหมาย แต่เงิน 5 พนก็เย้ายวนให้ น่าเสี่ยง ถ้าพลาดถูกตับเข้าคุก ก็ดีเหมือนกัน ถ้า เราขอเขาเข้าไปสังเกตการณ์ในคุกก็คงไม่ได้ เรา ได้โอกาสอย่างนี้ แล้วเอาชีวิตในคุกมาเขียนเป็น หนังสือออกมาสักเล่มหนึ่ง เราอาจจะรวยมากกว่า 5 พันบาทที่ชวดไปก็ได้ถ้ามีสติ เราจะมองสถานการณ์ทั้งสองต้านและหมุนวิกฤติมาเป็นโอกาส ทำของไม่ดีให้เป็น โอกาส โดยมองว่า การเข้าไปศึกษาชีวิตในคุกดี เหมือนก้น จะได้เขียนหนังสือขึ้นมาสักเล่มหนึ่ง พอ โดนกุญแจมือสับเข้าที่ข้อมือ ..สมความปรารถนา เราแล้ว สติเราก็ไม่แตก นึ่คือการมีสติ ไม่ใช่หมาย ความว่าเราทำอะไรแล้วจะต้องถูกจะต้องดีไปหมด แต่ อยู่ที่วิธีมองของเรา ถ้าเราเตรียมใจไว้ว่า เข้าคุกก็ ไม่เฟ้นเป็นไร ถ้าโชคดีไม่เกิดอะไร ได้ 5 พันบาท ผาใช้ เราก็ไม่ติดคุกการมีสติอยู่กับใจ ถึงไปอยู่ในคุกเราก็ไม่ไป หงุดหงิดคับข้อง ไม่อาละวาดฟาดงวงฟาดงา ไม่ด่า ว่าสองหนุ่มที่มาทำให้เราแพ้รู้ เราก็ใช้ความเป็น อาจารย์ของเราประพฤติตนดี เขาให้เราไปช่วยสอน ในคุก เราก็ไม่ต้องทำงานหนัก ก็สามารถทำความ เป็นอยู่ของเราให้สบายได้แต่ถ้าไม่มีสติอยู่กับใจ นันอาจจะไม่ใช่แค่นี้ ชีวิตครอบครัวอาจจะพัง เพราะภรรยาเรามาจาก ตระกูลที่ไม่มีใครติดคุก ทั้งๆ ที่เราทำอย่างนี้ไปด้วย ความรักลูกรักเมีย ลำพังตัวเองไม่ทำหรอก แต่พอ เป็นอย่างนี้ปุ๊บ ฉันไม่เอาเธอแล้ว เพราะเธอติดคุกเราแยกทางกัน เราก็แค้นเพราะฉันทำเพื่อเธอแท้ๆ ทีนี้ทำอย่างไรถ้าเกิดเราติดคุกจริงๆ ถ้าไม่มีสติ เราก็เพ่ง โทษสองหนุ่มนั้นมาทำให้เราวิบัติใจเตลิดติดก่อทุกข์ก่อโทษให้ตนเอง เรานับวันคอยกันที่จะพ้นโทษนั่งกาปฏิทินไว้ ไหนๆ ก็เสียชื่อว่าเป็นคนขี้คุกแล้ว รอดออกมาได้ไปยิงล้างแค้นเสียเลย คราวนี้ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ครังที่ 2 ทำ ให้เป็นผู้ร้ายฆ่าคนตาย ติดดูก็แล้วกัน เอาศีลซึ่งเป็นมนุษย์สมบัติไปทิ้งเสีย เปล่าๆ เพื่อแลกกับตัวตนครั้งแรกก็พลาดท่าไปเพราะความโลภของตนเอง แต่มองไม่เห็น คนเรา นั้น ความเจ็บมีหลายอย่าง เจ็บกาย เจ็บใจ เจ็บ เพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์เรื่องไม่เป็นเรื่องก็ทำให้กลายเป็นเรื่อง ล้มละลายพินาศหมด หมดทิ้งอาชีพ ชื่อเสียง เกียรติยศ รวมไปถึงความเป็นมนุษย์ด้วยถ้าไม่ตรึกตรอง ไม่ฝึกใจของตน พอเจ็บขึ้น มาก็แยกไม่ออก เจ็บใจเจ็บกายวุ่นวายทับถมปนเป กันไปหมด จนตัวเองพังจากคุณงามความดีพระพุทธองค์ตรัสว่า การได้อัตภาพร่างกายเป็นมนุษย์ นี้ ไม่ใช่ได้มาเฉยๆ มันมีศักยภาพ ไม่ว่าจะเป็นคนยากจน คนดีคนฉลาด คนโง่มนุษย์เป็นภพภูมิ ที่สามารถแกอบรมจิตใจของตนให้พลิกจากความ เป็นปุถุชนคนหนามาเป็นอริยบุคคลขนต้นที่เรียก ว่าโสดาบันได้ความเป็นโสดาบันนั้นจะปิดอุบาย ทุคติภูมิได้ รักษาให้เราไม่ไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรก คือปลอดภัยจากคติที่ซั่ว บางทีใจของเรา อยู่ดีๆ มีใครมาทำให้โกรธถึงจุดหนึ่ง เราก็สติแตกฆ่าได้ฆ่าเลย ถึงจะต้องตกนรกก็ไม่เป็นไร ตกนรก สักพักก็ตีตื้นขึ้นมาได้ ขอฆ่าให้สาแก่ใจสักหน่อย เพราะมันบังอาจมากระทืบพัวแม่ตีน มาหยาม ศักดิ์ศรีเรา ถ้าบ้าเลือดขึ้นมา ใจไม่มีสติยับยง เรา ก็คิดอะไรทำนองนี้ได้ แล้วก็ทำตัวเองให้เดือดร้อนถ้าไม่แกใจของตัวเอาไว้ เราเสี่ยงต่อการ ประสบอุบัติเหตุทางใจได้ทุกเวลานาที ผัสสะอะไร มากระทบก็เจ็บกายเจ็บใจได้ทั้งนั้น ยิ่งตอนจะตาย จะไปอธิษฐานขอว่า ถ้าบุญกุศลฉันมี ขออย่าให้ต้อง ทรนทราย เป็นนิดหน่อยก็ตายไปเลย มันขอกันไม่ได้ถ้าเราไม่ประมาทเจริญสติอยู่ จะต้องเตรียม ทางร้ายไว้ก่อน ขณะจะตายก็เหมือนต้นไม้ใหญ่ที่ ถูกพายุแรงๆ กระหนํ่าฟัดจนถอนรากถอนโคน เรา เคยเห็นต้นไม้ใหญ่ล้มใช่ไหม มันสะเทือนเลื่อนลั่น พื้นแผ่นดินกว่ารากจะถอนหลุดมาได้ กว่าไฟธาตุจะแตกดับ เราก็คงเจ็บไปทุกรูขุมขนทำอย่างไรเราจะรู้ถึงธรรมชาติของความเจ็บ ปวดแล้วแยกแยะมันออกจากใจได้ จะได้รักษาใจให้ สงบ ไม่ไปเกาะเกี่ยวดับความเจ็บปวดของกายที่ถูก โรคดัยไข้เจ็บคุกคามตัวเองเคยดูแลคนไข้ที่เป็นมะเร็งกระดูก ท่าน เปรียบเทียบให้ฟังว่าทุกรูขุมขนเหมือนมีเข็มแหลมๆ ทิ่มแทงอยู่ตลอดเวลาจนหลับไม่ได้มา 7-8 วันแล้ว หาทำที่สบายไม่มีเลยเมื่อเราไปพบ ท่านมีเหงื่อเม็ดโป้งๆ เต็มหน้า ปากก็เขียวเพราะหายใจไม่ได้ เต็มที่ ท่านร้องขอยาแก้ปวดแทบจะทุกชั่วโมง ซึ่ง ให้ไม่ได้ เพราะจะมีผลแทรกช้อนไปกดศูนย์หายใจ เราจะบอกให้ท่านภาวนารักษาสติก็กระไรอยู่ เลยชักจูงว่า การทำภาวนาท่าให้เราแยกกายกับใจ ออกจากเวทนาได้ จะได้บรรเทาความเจ็บลง ท่านผู้รู้เปรียบเทียบร่างกายเราเหมือนท่อน ไม้ที่ยังไม่แห้ง เมื่อเอามาเผาไฟ มนจะบิด จะดีดตัว ไม่เหมือนเผาไม้แห้ง มันทำเสียงเปี๊ยะป๊ะ เหมือน เราที่ถูกไฟของความเจ็บปวดไหม้เข้า ก็ดิ้นบิดงอตัว ร้องครวญคราง ถ้าใจที่เป็นตัวรู้เจ็บรู้ปวดนั่งดูกาย ที่ถูกความเจ็บปวดคุกคาม เหมือนลูไม้ถูกไฟไหม้ ใจก็ไม่เดือดร้อน ไม้จะบิดตัวดีดตัวจะส่งเสียงตัง เปี๊ยะป๊ะ ตัวอย่างไร เราก็ดูมันเฉยๆ แต่ถ้าใจเผลอ สติไปยึดว่าร่างกายที่เจ็บเป็นเรา เรากระโจนเข้า ไปนั่งตรงไม้ที่ไหม้ไฟ คราวนี้ใจเราก็พลอยไหม้ถลอกปอกเบิกไปด้วยการทำภาวนา การมาปฎิบัติ คือการฝึกเอา สติรักษาไจไว้ ให้ใจมองกายตัวเองเหมือนท่อนไม้ ท่อนหนึ่ง ไม่ใช่ส่วนเสี้ยวของใจเอาใจตัวนี้แหละนั่งมองท่อนไม้ไหม้ไฟอยู่ถ้าทำได้อย่างนั้นความเจ็บปวดที่เราทนไม่ไหว ..ใจจะขาดแล้ว จะถอยห่างออกไป เหมือนมืแม่นั้า มหาสมทรมาขวางนั้นเอาไว้ เรารู้สึกว่ายังเจ็บอยู่ก็ จริง แต่ก็เจ็บอยู่เพียงแค่กาย ไม่ผาทำให้ใจเราเจ็บ ทุรนทุรายใปด้วย สติทำให้เราเห็นกายเป็นกาย ใจเป็นใจเจ็บเป็นเจ็บ แยกออกจากกันระบบประสาทของมนุษย์เผื่อมีสิ่งเร้า ผันจะ สนองตอบอย่างฉับพลัน แต่ถ้าสิ่งเร้ากังอยู่ซํ้าซาก ผันจะไม่สนอง ที่เจ็บหนักหนาสาหัสก็จะเปลี่ยนเป็น ชา แล้วถึงที่สุดก็หายไปสังเกตได้จากกัวของเรา เวลานั่งทำอะไร นานๆ ขาก็ปวดจากเป็นเหน็บเป็นตะคริว ถ้าเรา ไม่ยอมขกับ อีกสักหน่อย ที่ปวดจะเปลี่ยนเป็นชา แล้วก็หายปวดหายชาไปเอง
เวลานั่งทำสมาธิ ครูบาอาจารย์ผักห้ามขยับ เพราะขยับแล้วก็เหมือนเปลี่ยนอิริยาบถเวทนาจะ หายไป แต่ถ้าทนไม่ไหวจริงๆ ให้พิจารณาว่า ถ้า เวทนาเป็นโรคอย่างปอดบวม ขยับให้ตายก็ไม่หาย แต่นี่ขยับขายังไม่หันเรียบร้อยเลย มันหายปวดหายเหน็บเป็นปลิดทิ้ง ใจก็เกิดความเชื่อว่าเวทนา ไม่ใช่ตัวใช่ตนเป็นแค่อาการที่มาหลอกให้เราไป ยึดมั่นสำคัญผิดมะเร็งก็เป็นเนื้อร้ายของร่างกาย ไม่สามารถ ลุกลามไปที่ใจได้หรอก อย่าเอานํ้ากับนํ้ามันไปเขย่า ผสมกันเข้า นั่งให้นิ่งๆ มีสติรักษาใจเอาไว้ นํ้ามัน ก็จะแยกตัวอยู่ข้างบน นํ้าอยู่ข้างล่าง เมื่อทำสมาธิ ใจเป็นสมาธิได้ ก็เหมือนกับเราเอาถ้วยที่มีนํ้ากับ นํ้ามันแยกตัวอยู่ มารินเอานํ้ามันออกไว้อีกถ้วยหนึ่ง เหลือนํ้าไว้ถ้วยเดิม เหมือนแยกกายแยกจิตออกจาก กัน
บางคนเมื่อใจรวมเป็นสมาธิ จะเห็นกายตัว เองนั่งทำสมาธิอยู่ตรงนี้ แล้วเห็นอีกตัวเหมือนเงาใน กระจก นั่งประจันหน้าอยู่ ถ้าสติไม่มั่นคงก็จะฉงน ว่านิ่อะไรกัน แต่เมื่อกำหนดก็จะเข้าใจกายกับใจของเราแยกกันอยู่อย่างนี้ เวลาจะ ตาย มันก็จะต่างกันต่างอยู่อย่างนี้ ไม่ได้เจ็บปวดทุรนทุราย เหมือนเอาผ้ามาฉีกให้ขาดออกจากกัน มันหลุดจากกันไปอย่างสบาย ๆเหมือนร่างกายคือห้องนี้ ถูกโรคร้ายเบียดเปียนประหนึ่งถูกระเบิดถล่ม ใจก็เป็ดประตูเดินออกไปสบายๆไม่ได้เจ็บได้ปวดเลย มีพยาบาลท่านหนึ่ง 4 ปีที่เป็นนักเรียนพยาบาล เธอเป็นสมาชิกชมรมพุทธ ฝึกทำสมาธิอยู่ เป็นประจำ เมื่อจิตรวมเป็นสมาธิแล้ว กายจะหายไป เหลือแต่ใจเป็นดวงสว่าง แต่ก็ไม่เคยแยกกายแยกใจ ได้ เวลาเหนื่อยมากๆ หรือไม่สบายมีไข้สูง ปวดหัว ปวดเนื้อตัว ถ้าทำสมาธิแล้วจิตลงรวม อาการ เจ็บไข้จะไม่ผากระทบจิตใจ ทำให้เธอสงบอยู่ได้
หนังจากแต่งงานและมีลูกเล็กๆ 1 ขวบ วันหนึ่งเธอนั่งรถไปกับสามี เหลือบเห็นรถที่เบียดแซง ซ้ายขึ้นผาก็รู้ว่าจะต้องเกิดอุบัติเหตุ แต่บอกสามี ไม่ทัน เลยกำหนดเข้าสมาธิ มารู้นัวอีกทีว่าออกมา ยืนอยู่ข้างสามี แต่ผู้คนชุลมุนกันอยู่ที่รถเต็มไปหมด ก็ไม่เข้าใจว่า ในเมื่อเราทั้งสองคนออกมาอยู่นอกรถ แล้วเหตุใดผู้คนจึงเข้าไปทำอะไรอยู่ที่รถเธอทันไปถามสามีสามีก็ไม่ตอบสะกิดถาม คนไหนๆ ก็ไม่มีใครสนใจตอบ เธอชิดใจขึ้นมาเลย แหวกผู้คนชะโงกเข้าไปดูในรถ สิ่งที่เห็นคือตัวของเธอนั่นแหละ ถูกอัดติดอยู่ในที่นั่ง ก็ตกใจ กลับมา ดูตัวเองที่ยืนอยู่ ทั้งกายทั้งใจสงบชุ่มเย็นทันไปดู  ที่รถ แล้วตัวที่ถูกอัดอยู่ในรถเล่า .. นี่เราตายแล้ว อย่างนั้นหรือ .. ลูกเล่า ลูกเราจะอยู่อย่างไรพอนึกห่วงลูกเท่านั้น ที่สงบชุ่มเย็นเบาสบาย อยู่กลายเป็นเจ็บรวดร้าวไปนั้งตัวเธอรู้ขึ้นมาขณะ นั้นว่า กระดูกสันหลังหักจากถูกที่นั้งกดทับอยู่ผู้คนก็กำลังชุลมุนจะดึงตัวเธอออกจากที่นั้งเธอร้องสั่งออกไปว่า พวกคุณไปหาแผ่นกระดานมาสอดรองตัว ฉันไร้ก่อน ถ้าขยับอย่างเดี๋ยวนี้ กระลูกสันหลังที่ หักจะทิ่มไขสันหลังขาด ฉันจะเป็นอัมพาตเธอได้ยินเสียงตัวเองพูดสั่งออกไปแล้วก็รู้สึก อัศจรรย์ว่า รู้ได้อย่างไร ปกติคนเราจะพูดอะไรออก ไป ใจต้องคิดบอกบทให้ปากพูดตามที่คิดไร้แต่ในสภาวะนั้น เธอได้ยินเสียงที่ตัวเองพูด จึงรู้ความ ว่าเราหลังหักนะ เศษกระดูกสันหลังที่หักกำลังจะ ทิ่มไขตันหลังอยู่แล้ว ต้องเอาไม้กระดานมาสอดรอง ลำตัวให้ตรึงติดกันเอาไร้ แล้วจึงค่อยดึงออกมาขณะนั้น กายเจ็บปวดจนอ่อนเปลี้ยไปหมด แต่ใจสงบนิ่ง รู้ และพูดกำกับให้อาสาสมัครจัดการ เคลื่อนกายของเธอออกมาจากรถได้อย่างถูกต้อง
เรียบร้อย พอดีรถพยาบาลมาถึงก็รับตัวไปเข้าห้อง ผ่าตัด เมื่อผ่าตัดเสร็จเรียบร้อย คุณหมอที่ทำผ่าตัด มาเยี่ยมดูอาการแล้วถามเธอว่าทำไมถึงมีสติดีอย่างนี้ ทำไมคุณถึงรู้ถึงสั่งให้เขาหาไม้มารองไม่ให้หลังคุณ งอ เพราะเศษกระลูกลันหลังที่ตักกำลังจะทิ่มเข้า ไปในเส้นประสาทหลังอยู่แล้วถ้าขยับนิดเดียวคุณเป็นอัมพาตเลยเธอหายเป็นปกติจากอุบัติเหตุครั้งนี้โดยไม่มีความพิการทุพพลภาพเลย เรื่องนี้เป็นตัวอย่างให้ เห็นว่า การฝึกใจของตัวจนนิ่งสนิทลงรวมเป็นสมาธิ จะแยกกายแยกใจได้ เหมือนเราแยกนํ้าจากนํ้ามัน ใส่ไว้คนละแก้ว เวลาเราจะตายก็จะเป็นอย่างนี้ ไม่ ทุรนทุราย ไม่มีอะไรแตกหักเสียหายแต่ถ้าเราเอากาวของอุปาทานมาทาใจของ เราให้เกิดความยึดมั่นสำคัญผิดว่า นี่ร่างกายของ ฉันเป็นมะเร็งมันเจ็บไปมั่วทุกรูขุมขนเจ็บจนเรา จะตายอย่างทุรนทุรายถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว เราไม่ไปดีหรอก เพราะใจที่ทุรนทุรายอย่างนี้จะไม่มีสติ ทำ ให้คุณความดีที่เรามีใส่ไว้ในตู้เซฟของธนาคาร ถึง วันเราจะเดินทาง ปรากฏธนาคารปิด เราก็ต้อง เดินทางไปตัวเปล่าเล่าเปลือย ยากจนอนาถาเราถึงต้องเอาสติมามองกายของเราแล้วฝึก ปฎิบัติ เริ่มต้นจากปวดหัวตัวร้อนนิดหน่อย มีงาน ทำ ทำไปก่อน ยังไม่ต้องวุ่นวายหาหมอหายาหรือ ลาพัก ตัวเองมีโรคประจำตัวอยู่โรคหนึ่งคือปัสสาวะ เป็นเลือด ไม่ได้ออกน้อยๆแต่ออกเหมือนท่อประปาแตก ถ้าเอานํ้าปัสสาวะดั้งทิ้งไว้ก็จะเป็นลิ่ม เลือดได้ เวลาเกิดอาการ จะไม่เจ็บปวด ไม่มีอะไร ผิดปกติให้เป็นที่สังเกต นอกจากปัสสาวะเสร็จ จะรู้สึกโหวงเหวง พอลุกจากโถส้วมก็หน้ามืดจะเป็น ลม มองลงไปที่โถส้วม นํ้าปัสสาวะจะแดงฉานครั้งแรกที่มือาการ อาจารย์หมอที่ดูแลไม่ทำ อะไร ให้นอนพักเฉยๆเพราะการที่ปัสสาวะเป็นเลือด ถ้าไปยุ่งสับมันมาก เกิดเลือดไม่ยอมหยุด ดี ไม่ดีต้องตัดไตทิ้ง เราก็หายมาด้วยการนอนพักเฉย ๆ 5 ปีต่อมา ขณะที่กำลังเรียนต่ออยู่ที่เมืองนอก ก็ปัสสาวะเป็นเลือดขึ้นอีกก็ตกใจเอาเรื่อง เพราะแสดงว่าพยาธิสภาพในไตเป็นเรื่องเรื้อรังที่เราจะต้องอยู่กับมันไปตลอดชีวิต คุณหมอที่นี่ไม่เข้มงวด เรื่องนอนพัก ปล่อยให้เราทำอะไรตามสบาย ขณะ เดียวกันก็ตรวจวินิจฉัยจนพบว่าเลือดออกจากไต ข้างข้ายกำลังจะฉีดสีเข้าไปดูว่าเลือดออกมาจากตรงไหน เครื่องที่จะใช้ตรวจก็เสีย ทำไห้ตรวจยัง ไม่ได้ กันนั้นเป็นกันพฤพัส กันคุกร์เครื่องก็ยังไม่ดีเราก็ได้สติว่า ถ้านอนนิ่งๆ เหมือนที่อาจารย์ ทำกับเราครั้งแรก เลือดอาจจะหยุดก็ได้ก็เลยพยายามนอนพักนิ่งๆ ตั้งแต่กันพฤหัส ถึงกันเสาร์ ปัสสาวะเริ่มสีจางลง พอกันอาทิตย์ก็ใสเป็นปกติ วันจันทร์เครื่องตรวจทำงานได้ตามปกติคุณหมอก็ ถามว่าอยากรู้มากไหมเราก็ถามกลับไปว่าคุณหมอ ล่ะอยากรู้ไหมก็อยากเหมือนกันแหละ แต่ไม่มากนัก ท่าน เป็นหมอรักษาเรา ก็แล้วแต่ท่านสิ ท่านว่าถ้าไปทำ การตรวจเกิดพลาดเข้า แรงกระแทกจากการฉีดสี เข้าไป ทำให้ลิ่มเลือดที่ปร ะสานรอยแผลในไตให้เริ่ม ดีหลุดออกไป เลือดออกอีกแล้วไม่ยอมหยุด ก็อาจ จะต้องตัดไตทิ้งนะ เราอยากจะเสี่ยงอย่างนั้นไหมแน่นอน ใครจะอยากเสี่ยง เราก็รักไตของ เรา เป็นอันสรุปว่า อย่างนั้นก็อย่าเสี่ยงเลย รู้แค่ว่า มีเลือดออกจากไตซ้ายเมื่อเป็นนักเรียนแพทย์ปีหนึ่ง อาจารย์ที่ดูแล สุขภาพว่าเราเป็นวัณโรคปอด เพราะพิเส์มเอ็กซเรย์ มีเงาที่ปอดขวากลีบบน ถึงการตรวจอื่นๆ จะปกติ อาจารย์ก็ไผ่เปลี่ยนใจ จัดการให้เรารับยารักษา วัณโรคต่อเนื่องอันตลอด ๔ ปีที่เป็นนักเรียนแพทย์ วัณโรคสมัยนั้นเป็นโรคร้ายแรง ประมาณมะเร็งหรือ เอดส์สมัยนี้เมื่อไปสหรัฐฯ เพื่อเรียนต่อก็หอบเอาฟิมส์เอ็กซเรย์นั้งหมดไปด้วย ครั้นปัสสาวะเป็นเลือด เรา ก็เอาฟิมส์มทั้งหมดไปให้คุณหมอ พร้อมทั้งเล่าความ เป็นมาให้ท่านทราบ ท่านก็ส่งให้ไปถ่ายเอ็กซเรย์ ปอดที่ตัดผ่านแต่ละระดับความลึกเพื่อศึกษาเงาที่ปอด กลีบขวา และพบว่าเงานั้นเป็นถงนํ้าที่เป็นความผิด ปกติมาแต่กำเนิดเอ็กซเรย์ที่เคยถ่ายเมื่อก่อนเป็นนักเรียนแพทย์ ไม่เห็นอะไร เพราะปอดยังสะอาด ครั้นโตขึ้น เราหายใจเอาขึ้ฝ่นขึ้ผงเข้าไปทำไห้ผนังของถุงนํ้าระคาย เกิดเยื่อพังผืดหนาขึ้น ขุ่นขึ้น จึงปรากฏในเอ็กซเรย์ คุณหมอแผนกรังสีเอาเอ็กซเรย์แผ่นที่เพิ่งถ่ายใหม่ ผาวางทาบกับแผ่นแรกของเราปรากฏว่าเงาในฟีล์มของที่งสองแผ่นทับกินสนิทเหมือนกินไม่มีผิดเพี้ยน
ตัวเรากินยารักษารัณโรคติดต่อกินมาโดยดลอด 4 ปีที่เป็นนักเรียนแพทย์ ถ้าเงานั้นเป็นรัณโรคจริง มันต้องกลายเป็นก้อนหินปูนแข็ง ควักออกผาขว้างทัวคนแตกไfh นี่มันไม่มuอะไรเปลี่ยนแปลงเลย เป็น ถุงนํ้าอยู่อย่างนั้น คุณหมอเลยอนุมานว่า เพราะตัวเรามีความผิดปกติตรงนี้ ไตขวาก็ผิดปกติเป็น ไตลอยเส้นเลือดที่ไตซ้ายคงโป่งพองเหมือนลูกเบอร์รี่เล็กๆ วันดีคืนร้ายมันก็แตกเสียทีหนึ่ง แล้ว ก็เกิดลิ่มเลือดมากพอทีจะอุดรูที่แตกได้ ก็กลับเป็น ปกติสิ่งที่ท่านอนุมานไว้ก็คงจะจริง เพราะทุก 4 หรือ 5 ปี บริเวณผิดปกติที่เส้นเลือดไตซ้ายคงแก่ ชรา ก็แตกเสียทีหนึ่งแล้วก็ดีขึ้นมา เราก็อยู่มากับสภาวะอย่างนี้ เหมือนผีระเบิดเวลาถอดสลักที่ยัง กู้ไม่ได้อยู่ในคัว ซึ่งก็ดี เราก็ยึดว่า ถ้าปัสสาวะเป็นเลือดเมื่อไร เราจะต้องนอนให้นิ่งให้ได้มาก ที่สุดงดกิจกรรมทุกอย่างคราวต่อมา ไปปัสสาวะเป็นเลือดที่วัด ท่าน อาจารย์ท่านก็รู้ ถึงจะไม่ได้กราบเรียนท่านก็เถอะ พอเราจะขอนอนพัก ไผ่ทำอะไร ท่านปรารภขึ้นมา ว่า เวลากรรมมาทวงหนี้น่ะ เราทำเป็นไม่รู้ไม่ขึ้นอน หลบหนี้ แล้วเมื่อไรมันจะหมดกรรมล่ะก็เท่ากับท่านบอกให้เรามีอะไรก็ทำไปตามปกติ กำหนด ดูไปแล้วก็ใช้หนี้ไปเราก็ได้สติว่า ถ้าเจ็บนิดหนึ่ง
เราฝ่อทำอะไรไม่ได้ เราคงต้องแบกหามกรรมกันนี้ แล้วก็เกิด-ตาย เจอะเจอกันอยู่อย่างนี้ ไม่มีวันตีตื้น ขึ้นมา เพราะฉะนั้น คราวนี้เป็นอะไรก็เป็นกัน เรา จะทำภารกิจของเราไปตามปกติปรากฏว่าเราไปซนเช้ากับคู่ปรับของเรา ถ้า ยามปกติเจอกันแล้วชดใช้เขา เราคงไม่รู้สึกกระไร แต่ขณะที่เราต้องประคับประคองไตของเราว่า เล้น เลือดจะฉีกไปถึงไหนแล้ว จนเราถึงกับหาภาชนะมา
รองฉี่เอาไว้ทุกครั้ง แล้วก็มาคลี่ดูลิ่มเลือดที่ออกมา ว่าใหญ่โตแค่ไหนแล้ว ปรากฏว่าม้นใหญ่เท่ากับกรวยไตข้าย รูปร่างสวยชัดเจน ใจเราหายเลย นี่ มันจะติดได้เองหรือเราจะต้องไปหาหมอให้ท่านตัด ไตเราทิ้ง สติก็ได้ตามดูตามเห็นถืงความรักตัวกกัว ตาย เห็นต่อไปว่าความรักตัวกลัวตายนี้เขย่าทำให้ สติเริ่มแตกออกจากใจ ไจพร้อมที,จะทำอะไรที่เป็น กิเลสได้ทั้งนั้นเพื่อให้ชีวิตอยู่รอดเมื่อเห็นอย่างนี้ เราก็บอกตัวเองว่า เราเชื่อ ว่าพระพุทธเจ้ามีอยู่ เป็นของจริงของแท้ เราเชื่อใน พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พื่งที่คุ้มครอง แล้วทำไม พอถึงคราวตับชัน เรากลับไปพึ่งกิเลส มันก็ได้สติ ค่อยกลับเข้มแข็งขึ้นมา เราก็นึกถึงว่า ถ้าเราเคย เป็นหนี้เป็นสินเขา แล้วเขามาทวงเรา เราก็ใข้เขา ไปสิก็เติมใจทำให้เขาอย่างที่เขาต้องการ มันจะได้จบกันไป ใจที่หวั่นไหวก็สงบ มีสติรักษา เราก็ ทำไปได้อย่างดี เรียบร้อย เขาก็พออกพอใจ ก็เหมือนเป็นอโหสิกรรมกันไป เราก็ชื่นใจถ้าไม่ถูกท่านอาจารย์ติง เราก็คงต้องนอน รักษาร่างกายอันนี้เอาไว้ ก็เท่ากับว่า ปากเราบอก ว่าเราอยากปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ แต่จริงๆ แล้ว เราอยากมาเกิดมาตายอยู่อีกรํ่าไป เพราะถึงเวลาที่ เราจะต้องใช้หนี้ให้หมดไป เรากลับเลือกทะนุถนอม ร่างกายเอาไว้ เวลาที่ไม่มีสติไม่เห็นตามเป็นจริง เราหลอกตัวเองอยู่ตลอดเวลา ปากก็ว่าเบื่อแล้ว ชีวิตนี้เป็นทุกข์เหลือเกินแต่จริงๆ แล้วก็ยังสนุกพอจะปฏิบัติเช้าจริง ๆ ก็ผลัดเอาไว้พรุ่งนี้ก่อนเถอะ เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว เราก็ไม่ต้องถึงขนว่าจะต้อง ลาพักร้อน 5 วัน 10 วันไปปฏิบัติหรอกเริ่มต้นด้วยเวลาเดิน ทุกคนเดินอยู่เสมอ แต่ เดินทิ้งไปเปล่าๆ ตัวเฮงเมื่อมีคนไข้เยอะๆ เดินไปก็ นึกถึงคนไข้เตียงนั้น ประเดี๋ยวนํ้าเกลือหมด แล้วจะทำอย่างนี้ต่อ ไม่ได้เห็นทางที่เดินไปหรอก เรียกว่า ละเมอเดินไป ถ้าไปสะดุดอะไรเช้าก็คงคุ้มครอง ตัวเองไม่ทันรู้อย่างนี้แล้ว เราก็ทัดเดินให้มีสติให้กายอับใจมาเดินด้วยอันเมื่อไรก้าวเท้า เดินให้ลืมทุกอย่างทันที ให้กายอับใจมาเดินอยู่ด้วยกัน
เหมือนเดินจงกรม ซ้าย ขวา พอเท้าแตะลงไป ใจ ที่กำหนดให้เป็นกังหวะเดียวกัน ถ้ามีกล้องวิเศษที่ ถ่ายใจกับกายของเราได้ มันจะต้องทับเป็นกันเดียวกันถ้าเป็นอย่างนี้ พอเดินเมื่อไรใจจะเป็นสมาธิทันที เพราะว่ามันอยู่กับปัจจุทัน แล้วเป็นเครื่องพัก ของเราด้วยที่เราเหนื่อย ยุ่งวุ่นวายทั้งกัน พอได้มาทำ อย่างนี้ ใจจะรู้สึกเหมือนได้อาหารใจ แล้วมีสติ จะคิดแก้ปัญหาอะไรต่อมิอะไร ก็เป็นปัญญาเห็นชอบ เมื่อทำอย่างนี้ใด้ ต่อไปเวลาทำงาน จะเขียนหนังสือ หรือฟังคนอื่นพูด ใจก็จดจ่อกับสิ่งเฉพาะหน้า ทำให้สติมาอยู่กับใจมากขึ้นๆโดยไม่รู้สึกอึดอัดที่จะต้องคอยรักษาสติเอาไว้ เหมือนเวลาไปปฏิบ้ติที่กัดเพราะเราค่อยๆ ทำของเราไป เผลอไปก็ไม่เป็นไร ระลึกได้ก็เริ่มใหม่ สติก็จะค่อยมีกำลังเพิ่มขึ้นรักษาให้เราไม่เผลอ ใจก็ร่มเย็น ไม่ถอยหน้าถอยหลังวุ่นวายสับสนอย่างเมื่อก่อนเมื่อเสร็จงานเสร็จการแล้ว ถึงเวลาจะนอน เอาตัววางบนหมอนให้เราดลมหายใจไว้ถ้าดูไม่ท้น เอามือแตะไว้บนท้อง ดที่ท้องพองออก ยุบเข้าพองออก ยุบเข้า หรือตามลมหายใจเข้า หายใจออกของเรา อันไหนก็ได้ แล้วหลับตรงไหนก็ให้หลับไปอย่างน้อยสติจะได้อยู่อับใจเราค่อนข้างเสมอต้นเสมอปลายเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยหรือเกิดความคัดเคืองใจ มันเจ็บกายเจ็บใจ แต่ก่อนเคยกังวลทุรนทุราย จะ เริ่มสงบลง มองเห็นเป็นสภาวะธรรมชาติอันหนึ่ง ต่อไปๆ ทั้งๆ ที่เราก็ยุ่งอยู่อับชีวิตประจำวันเหล่านี้ แต่ถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น สติจะมาคอยรักษา พอ เราคิดตามอัตโนมติเป็นกิเลสเหมือนเติม สติจะพาให้ นึกถึงทางตรงข้ามด้วย ปกติใจของเราอยู่บนทาง สองแพร่งทุกขณะ เลี้ยวขวาเป็นความเห็นชอบก็ เป็นมรรค เลี้ยวซ้ายตามความเห็นผิดก็เปิดโรงงาน ผลิตทุกข์เป็นสมุทัยอริยสัจของพระพุทธเจ้ามี 2 ทางเท่านั้น คือ ทางที่เป็นเหตุของทุกข์กับทาง ดับทุกข์ หรือสมุท้ยกับมรรคทุกๆ ขณะของเราอยู่บนทางแพร่ง ถ้ามีสติ เราจะเลี้ยวเข้ามรรค ถ้าไม่มืสติก็หันหลังไปทางตรง
กันข้าม ไปโรงงานผลิตทุกข์ ถ้ามีสติอยู่กับใจ พอ อัตโนมัติอะไรขึ้นมา แทนการเชื่อมนไปอย่างเคย เราจะคิดในทางตรงข้ามด้วยเพื่อเปรียบเทียบทำให้ มีโอกาสจะเข้ามรรคอยู่ได้เรื่อยๆ ต่อไปสิ่งเหล่านี้ก็ จะกลายเป็นกัดโนมืดขึ้นมาเมื่อเราเจ็บไข้ได้ป่วยหรือเข้าที่คับขัน สติที่ อยู่กับใจจะพาให้มองความเจ็บป่วยของตนเหมือน เราไปเยี่ยมไข้คนอื่นเวลาไปเยี่ยมคนไข้เราไปจับมือเขา ฉันช่วย เจ็บแทนเธอนะ แล้วก็รู้สึกเหมือนเราช่วยเจ็บแทน เขาจริงๆ แต่ความจริงเราไม่ได้เจ็บหรอก คนไข้ก็ ได้กำลังใจจากเรา ที่กำลังร้องครางอยู่ชื่นใจขึ้น มาแล้วบางทีด้วยกำลังใจที่จดจ่ออยู่กับเรา ที่เรา ปลอบใจเขา เล่าเรื่องดีๆ หรือเอานิทานชาดกมา เล่าให้ฟัง ใจที่เขาจดจ่ออยู่ก็เก็ดเป็นสมาธิขึ้น เขา ก็แยกความเจ็บปวดของเขาขณะนั้นออกจากกายได้ เกิดความเบาสบายหรือถ้าเขาทำได้ดี จะรู้สึกเหมือนหลับ แต่ จริงๆ นั้นเขาได้สมาธิ ทำให้ได้พักกายพักใจ ก็ชื่นใจ เวลาที่ผีเราไปเยี่ยมถ้าคนเยี่ยมไข้รู้จักประคองใจผู้ป่วยได้อย่างนี้ ต่อไปๆ เราก็บอก ถึงตัวเราไม่ได้มา ให้ใจเขาน้อม นึกว่าเราส่งกำลังใจมาช่วยอยู่อย่างนี้ เขาก็จะระลึก ถึงตรงนี้แล้วประคองใจไห้เป็นสมาธได้ สิ่งนี้ก็เป็น ธรรมโอสถที่ช่วยผ่อนแรงให้เขาผู้ป่วยทั้งหลายถ้าทำได้อย่างนี้ จะมีกำลังขึ้น แล้วมีใจสงบ เมื่อใจสงบ ลมหายใจก็จะละเอียดเมื่อใจเป็นสมาธิ ลมหายใจซึ่งเป็นกายสังขารจะสงบ ด้วย ใจกับกายจะขนานกันไป ใจที่เป็นสมาธิทำให้ กายสงบระจับลง ลมหายใจก็ละเอียดเบาลงๆ จน ไม่มีลมหายใจทางปอดผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งปอด หรือเป็นมะเร็งที่อื่น แล้วกระจายไปที่ปอด กระจายไปที่ช่องท้อง มีนํ้าในปอด มีนํ้าในช่องท้อง จะอึดตัดจนรู้สึกว่าหายใจไม่ เข้าหายใจไม่อิ่ม ก็ทุรนทุรายจนหอบเหนื่อย ถ้าให้ ผู้ป่วยแกทำสมาธิ จะสามารถบรรเทาความเจ็บปวด ได้ ดังเรื่องของอาจารย์ที่เป็นมะเร็งปอดแล้วลุกลาม จนท่านรู้สึกราวกับมีเข็มแทงอย่ทุกรูขุมขน เมื่อ อาจารย์ทำสมาธิได้ เราก็ชี้แนะให้อาจารย์สังเกตว่า เวลาอยู่ในสมาธิท่านไม่ได้หายใจทางปอด เรารู้ว่า ต่อไปมะเร็งจะกระจายไปที่ปอดอาจารย์ เมื่อมีนํ้าท่วมปอด อาจารย์จะสงบอยู่ได้ด้วยสมาธิเมื่ออาจารย์มีนํ้าท่วมปอดจริง คุณหมอเจาะด้วยเข็มใหญ่ที่สุดแล้วนํ้าก็ยังเป็นวุ้นตันรูเข็ม ผ่าเอาท่อแก้วใสใส่เพื่อให้นํ้าออกมาได้ ก็ยังเป็นวุ้นอุดท่อแก้ว อาจารย์ก็ไม่ทุรนทุรายเพราะถึงนํ้าจะเต็ม
ปอดอย่างนั้น อาจารย์ก็ประคองเลี้ยงใจให้อยู่ใน สมาธิ จนภรรยาเข้าใจผิดว่าอาการดีขึ้น ทั้งๆ ที่เราเตือนว่าท่านเหมือนใบไม้ที่เหลืองกรอบจนกระทั้ง แม้ไม่มีลมพัดก็พร้อมจะร่วงได้ทุกเวลา ภรรยาก็ยัง ไม่ยอมเชื่อ เพราะคนไข้สงบมากตอนแรกอาจารย์ยังไม่เข้าใจพอพยาบาลมา ฉีดยา ก็ไปจดจ่อตรงที่ถูกฉีดยาพอฉีดยาเสร็จคราวนี้เข้าสมาธิไม่ได้ ถึงจะพลิกจ้ดท่าทุกอย่างให้ เหมือนเดิม มันก็ยังเจ็บจนเข้าสมาธิไม่ได้ อาจารย์ เป็นคนช่างสังเกต ทีนี้พอพยาบาลจะเข็ดตัว จะ ฉีดยา อาจารย์ไม่สนใจ ทำตัวเหมือนเป็นท่อนไม้ พยาบาลจะพลิกควาพลิกหงายเช็ดอย่างไรก็ช่าง อาจารย์ จดจ่ออยู่แต่กับลมหายใจอย่างเดียว ไม่ให้ สมาธิกระฉอกออกไปเลย จนเมื่อเสร็จเรียบร้อย เป็นที่แน่ใจว่าจะไม่มีใครมายุ่งกับท่านอีก ท่านจึง ปล่อยลมหายใจมาดข้างนอกหน่อยหนึ่ง ใจก็ยังอยู่ กับสมาธิได้ ไม่เจ็บไม่ทุรนทุรายไม่อย่างนั้นพยาบาลมาเช็ดตัวหรือฉีดยาเสร็จ อาจารย์ก็หาท่าที่สบายไม่ได้ กว่าจะเอาตัวให้สงบก็ หมดเวลาไปดรึ่งค่อนวัน หรือหมดไปทั้งคืน ทุรน ทุรายสงบไม่ได้เลยเพราะฉะนั้น ท่านก็รู้วิธีแล้วว่าทำอย่างไรจึงจะปลอดภัยอยู่ในหลุมหลบภัย ไม่ โดนพายุกระหนึ่าจนเสียศูนย์ไป เวลาที่มีสติอยู่กับ ใจมันจะดีอย่างนี้ อาจารย์เห็นคุณค่าแล้วก็จะไม่ เผลอ เพราะเผลอเพียงชั่วกะพริบตายังไม่มันเสร็จเลย แต่กว่าจะทำให้ตัวกลับสงบสบายอย่างเติมได้ ต้องเสียเวลาไปเป็นครึ่งค่อนวันประสบการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ช่วยให้คนไข้แต่ ละคนที่ทั้งใจปฏิบ้ติแล้วเห็นผล เกิดกำลังใจ เลิก ครึ่าครวฌ มีความเชื่อนั้นคนไข้เหล่านี้จะจากไป อย่างสงบ ดีงาม ไม่ทุรนทุรายตัวเองเคยมีคนไข้มะเร็งที่รังไข่และมีนํ้าที่ช่อง ท้อง ตอนนั้นเพิ่งเข้ากรมการแพทย์และถูกส่งไป อยู่โรงพยาบาลต่างจังหรัด เข้าใจว่าคนไข้คงปฏิบ้ติ อยู่ เขาอยู่อำเภอห่างไกล ระยะสุดท้ายเขาคงรู้ว่า เขาจะตาย ก็คอยชะเง้อหาลูกสาว แต่ไม่มาสักที ลูกสาวเขาตัวคงใกล้เคียงกับเราเห็นคนไข้ผุดลุกผุดนั่งมาก ก็เลยบอกเขา คุณคิดว่าฉันเป็นลูกสาว ตุณก็แล้วกัน มีอะไรอยากจะบอก ก็บอกฉันแทน ลูกสาวได้ เราไม่รู้ว่าเขาจะฝากจะฝังจะสั่งเสียอะไร กัน เพราะมีนเป็นวาระสุดท้ายของเขาแล้วเราเห็นเขาปวดมากก็จะฉีดยาแก้ปวดให้ เขา ถามว่าเป็นฝันรึเปล่า รู้ด้วยว่ายาแก้ปวดคือมอร์หีเน เราก็พาชื่อ บอกว่ามีนก็ฝันทั้งนั้นแหละเขาไม่เอาทั้งๆ ที่เหงื่อโชกตัวเลย แล้วก็มีอไม้เย็นเฉียบ อ้อนวอนให้เอาสักนิดหนึ่งเถอะ เขาก็ไม่ยอม ตอน นี้มานึก เขาคงรักษาศีล จึงอดทนเอา เราก็ยังไม่รู้ ว่าเขาจะตายอยู่แล้ว รู้แต่ว่าคงเจ็บมาก แต่คนไข้รู้ ของเขาเขาชะเง้อแล้วชะเง้ออีก เราก็บอกเราจะ พัดให้ เอาเราเป็นลูกสาวก็แล้วกันนะ มีอะไรจะฝากบอกก็บอก แล้วเราจะไปบอกลูกสาวให้ เขาทำ ท่ากระสับกระส่ายอยู่นิด ในที่สุดก็ยอมหลับตาลงเราจับมือเขาไว้แล้วก็พัดให้ สักพักหนึ่ง เราก็ร้องโวยวายว่า หัวแม่มือของเขาที่เรากำเอาไว้ มันจิกเข้ามากลางฝ่ามือ เหมือนกับว่าจะเอาให้ทะลุ เพราะเขาเกร็งจากลมหายใจเฮือกสุดท้าย เสร็จแล้ว ก็สงบไปเหมือนรถที่นํ้ามันหมด คือไปอย่างสง่างาม มากเมื่อเราปฏิบ้ติแล้วถึงรู้ว่าเขาปฏิบติ ตอนนั้น เราไม่รู้ ถ้ารู้คงเป็นกำลังใจและปลอบโยนเขาได้มาก กว่านั้น แต่เขามาทำให้เราเห็นว่า ความตายนี่ถ้ารู้ วิธีก็จะไปอย่างสง่างามจริง ๆทำให้เราสนใจคนไข้หนัก คนไข้ที่กินยาตายจะไปคุย ถามถึงความ
รู้สึกของเขา ถ้าเรามีสติเสียอย่างหนึ่ง ทุกอย่างจะ สงบงดงาม ทั้งๆ ที่เจ็บเขาก็เจ็บอยู่ แต่อยู่ตรงเนื้อ ตัว ไม่ไปที่ใจ เขาแยกใจของเขาได้ตอนมีอีกรายหนึ่งที่ปฏิบติธรรม ท่านเป็นมะเร็งที่ ลำไล้ ผ่าตัดเอาอจจาระมาออกทางหน้าท้องแรกภรรยาเป็นคนดูแลทำให้ แต่ต่อมาภรรยาเป็น มะเร็งแล้วตายไปก่อน ท่านเลยต้องหัดทำเองและ พึ่งหัวเอง ท่านไม่ยอมให้ใครมาทำให้อีกแล้ว เพราะ ถ้าไม่ที่จะพึ่งหัวเองไว้ พอเกิดเหตุอย่างที่ภรรยา ตายหันเสียกำลังใจไปเยอะ ฑีนี้ท่านเกิดเป็นปอดบวมและมีนํ้าท่วมปอด ก็ไม่ยอมให้มีใครมาเฝ้าไข้ ท่านอยู่โรงพยาบาลและใช้บริการของพยาบาลธรรมดา เมื่อหายแล้ว ท่านไปเล่าถวายท่านอาจารย์ ว่าตอนที่ท่านแย่มากๆ มันมีความรู้สึกเหมือนจะ โคม่า ท่านพยายามเอาใจจับหัวสติมานั่งไว้บนหัว ไหล่ แล้วมองกายอันนี้ว่า ถ้าหันหมดลมหายใจ เมื่อไร หันก็เหมือนท่อนหืเนเมื่อนั้นแหละ จะไป ทุรนทุรายกับหันทำไมรักษากายใจให้เป็นอิสระอย่าเอาหันไปรวมเข้าด้วยกันเป็นอันขาดและพอสติดีท่านกิแยกได้ พอรู้สึกหัวก็เหมือนท่านออกมา นั่งมองหัวเองที่กำลังเจ็บป่วยอยู่ ท่านพบว่าใจเย็น สบาย ไม่ร้อนทุรนทุรายไปตามไข้ที่สูงอยู่ แต่ถ้าเผลอสติเมื่อไร หันไปคลุกเข้าด้วยกัน เวทนาก็โถมเข้ามา อย่างกับโลกจะทับอย่างนั้น เป็นอะไรที่ อลวนไปหมด ระลึกได้ มีสติ ก็ค่อยๆ แยกมันออก จากก้น เอามานั่งบนหัวไหล่ใหม่ แล้วมองดูกายไป แผ่เมตตาให้มันไปท่านถามท่านอาจารย์ว่าที่ฑำอย่างนี้ใช้ได้หรือ ยัง ท่านอาจารย์ก็บอกดีแล้ว ถูกต้องแล้ว ซ้อมไว้ เรื่อยๆ ทำไว้บ่อยๆ ให้เป็นอัตโนมัติถ้าเรานึกไว้อย่างนี้ ความเจ็บไข้ได้ป่วยก็เป็นของดีตัวเองจะพูดอยู่เสมอ อย่างพวกเรานี่แย่ เรา ไม่รู้ว่าจะตายตอนไหน แต่ถ้าเราเป็นมะเร็งหรือเจ็บ ไข้เป็นอะไร เขาส่งใบเตือนมาให้เรารู้ตัว เราได้มี เวลาว่าจะเตรียมตัวอย่างไร เรียนหนังสือยังมีสอบ ซ้อม นี่เราได้ซ้อมตายเล่นละครก็ยังต้องซ้อมละครก่อนที่จะเล่นจริงๆเพราะฉะนั้น การที่เราเจ็บไข้ได้ป่วยจึงเป็นของดี ได้มีโอกาสซ้อมว่า เจ็บ ครั้งนี้ตายแน่ ไม่รอดแล้ว แต่ถ้ารอด เราก็ได้โบนัส ทุกว้นที่ยังมีชีวิตอยู่ เราจะทำบุญกุศลอะไรอย่างไรๆ เราก็ทำได้แต่ถ้าไม่เตรียมพร้อมเอาไว้เลย พอรู้ตัวว่าจะ ตาย เดี๋ยวเราจะต้องตายในชั่วโมงนี้ ใจจะพล่าน จนตั้งสติไว้ไม่อยู่ จะทำอะไรก็ทำไม่ได้ เราจึงต้อฝึกซ้อมไว้วิธีซ้อมที่ดีคือทำตั้งแต่ยังไม่ไต้เจ็บไข้ได้ป่วย มีโรคภัยอะไร เมื่อเราเอาหัววางบนหมอนจะนอน แต่ละคืน ให้บอกภับตัวเองว่า เข้านอนคืนนี้ พรุ่งนี้ ไม่ได้ตื่นนะ มีอะไรอยากจะทำ อยากจะบอก ก็รีบจัดการให้เสร็จ เพื่อว่าถ้าคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายใจเราจะได้หมดกังวล อยู่เป็นปัจจุบัน แล้วจะทำอย่างไร เราก็อยู่กับใจที่มีสติรักษาอยู่ เพื่อจะได้เปลี่ยนภพภูมิ ไปอย่างดี ไม่ตกสะพานไม้หมากแข้งขาหักตอนที่ซ้อมนี่ บางวันใจสงบไม่ได้เลย เพราะ เรื่องนั้นสัญญากับเขาไว้ ยังไม่ได้ทำ ไอ้นี่ไปอยู่ตรงไหนวุ่นวี่วุ่นวายไปหมดแต่เมื่อฝึกต่อไปๆ ใจก็ค่อยดีขึ้น จะตายตอนไหนก็ตายได้แต่ไม่ใช่ว่าจะ
ดีอยู่ทุกวัน ให้หลงยินดีตายใจไปสัก 4-5 วัน แล้ว ก็รุ่นใหม่ เพราะไปนึกได้ถึงเรื่องที่เผลอลืมเอาไว้ยัง ไม่ได้ทำเลย ถ้าเขามาทวงจะทำอย่างไร เลยได้เห็นว่าการที่เราไม่อยู่กับปัจจุบันนี่อ้นตราย เพราะทำ ให้ใจเป็นกังวล เหมือนไปมีข้อตกลงกับใครเอาไว้ แล้วเราบังไม่ได้ทำให้เสร็จเรียบร้อยเราจึงต้องพยายามอยู่กับปัจจุบันถ้ามีใครมานิมนต์ท่านอาจารย์เดือนหน้าโน้นท่านว่างไหม ท่านก็จะดูตารางณ ปัจจุบันนี้
ยังว่างอยู่เราก็แปลกใจ ท่านอาจารย์ว่ายังว่างก็ว่างสิ แล้วถ้าท่านเมตตารับนิมนต์ ท่านก็ตอบ เออ..รับนิมนต์ ให้รู้ซัดเจนไปเลยแต่ท่านไม่พูดเป็นคำขาดอย่างนั้นท่านบอก เอาเป็นว่าตอนนี้เรารับนิมนต์ แต่ถ้ามีเหตุอะไรที่ท่าให้เมื่อถึงเวลา นั้นแล้วเราไม่สามารถจะไปได้ ก็ให้เข้าใจว่ามีเหตุ สุดวิสัยเกิดขึ้น ไม่ต้องคอยเรา จัดการกันไปตาม เนื้อผ้า คือท่านจะไม่ผูกมัดองค์ท่าน เพราะถ้าเรา ไปนัดเป็นคำขาดแล้ว มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น เราไม่ ตายอย่างสงบหรอกใจเราจะวิ่งไปตรงนั้นว่า ท่าอย่างไรเขาถึงจะรู้ว่าเราเป็นอย่างนี้ เราพยายาม อย่างที่สุดแล้วแต่ไปไม่ถึงแต่ท่านจะให้ความปลอดภัยกับตัวเอง เออ.. ตอนนี้อาจารย์ก็ว่าว่างอยู่รับนิมนต์ของเจ้าเอาไว้แล้วแต่ถ้ามีเหตุสุดวิสัยเกิดขึ้น ถึงเวลานั้นแล้วไม่โผล่ไป ก็แปลว่ามาไม่ได้ ตอนแรกเราก็ว่า ทำไมท่านต้องพูดเล่นตัว อย่างนี้ แต่แท้ที่จริงท่านสอนให้เราเห็นว่า การจะ รักษาใจเรา ท่าใจของเราให้มีภูมิคุ้มกันนี่ เราต้อง ท่าอย่างนี้ไม่ทราบว่าจะมีคำถามอะไรบ้างหรือไม่ เกี่ยว กับเรื่องเจ็บไข้ไต้ป่วย หรือจะเตรียมตัวเตรียมไจอย่างไรเรียนเชิญค่ะ
ถาม การที่เราจะแยกจิตกับกายออกจากกันได้นั้น เราจะต้อง?เกสมาธิถึงขึ้นอัปปนาสมาธิหรือเปล่า ถ้า แยกกายกับจิตออกจากกันไต้แล้ว เราสามารถท่าไต้ บ่อยแต่ไหน แล้วก็ท่าไต้ครั้งหนึ่งนานแต่ไหนคะ แล้วจิตเราจะไปอยู่ที่ไหน คือจิตเราสามารถรู้อนาคต ได้จริงหรือเปล่า แล้วก็มีไหผที่จิตออกจากร่าง แล้วกลับได้หรือไม่ได้คะ
ตอบ การที่เราจะแยกกายแยกจิตออกจากกัน เรา ต้องลงไปถึงอัปปนาสมาธิก่อน มันถึงจะแยกออก
จากกันได้ ถ้าเราทำไปจนชำนาญเรื่อยๆ รักษาสติ ให้อยู่กับใจต่อเนื่องกันเรื่อยๆถึงกายกับใจจะอยู่ด้วยกัน แต่มันก็อยู่ด้วยกันเหมือนกับว่า ถ้าเราไม่ ใส่ใจ สนใจกายที่มือยู่ มันก็ใสเหมือนไม่มือยู่ เรา ก็จะเห็นแต่ใจที่สงบ สว่างแล้วเราก็ตามรู้แต่ใจของเรา ไม่มาใส่ใจกับกายอันนี้ แต่ถ้าผีความจำเป็น มีผัสสะอะไรมากระทบ เราก็ตั้งสติไปดูกาย กาย อันนี้ก็จะกลับมาให้เรารับรู้เต็มที่รูบาอาจารย์ท่านอยู่ในสุขวิหารธรรม คือ รักษาใจให้ทรงสภาพเป็นสมาธิ มีสติรักษาใจให้เป็น ปัจจุบันจิตอยู่ตลอดเวลา ท่านไม่มีธุรกิจอะไรที่จะต้องผาเกี่ยวข้องกับผู้คน ทั้งๆ ที่ก็แลดูเหมือนอยู่ใน อิริยาบถประจำวัน แต่อย่างที่เรียนให้ทราบว่า มี กายก็เหมือนไม่มีกาย ท่านไม่ได้ไปใส่ใจสนใจกับมัน บางท่านที่ปฏิบัติท่านมองพวกเรา ตอน แรกก็เห็นเป็นคนดีๆ อยู่ แต่มองอีกทีกลายเป็นโครงกระดูก ไม่รู้เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายแล้วกระลูกเดิน แกว่งกันไปแกว่งกันมาหมด ก็แสดงว่าใจของท่านมี สติเป็นปัจจุบัน แล้วบังเอิญจริตนิสัยชอบพิจารณา
กระดูกทีนี้ถามว่า ถ้าแยกได้แล้วมันจ ะแยกได้ทุก ครั้งตามที่ต้องการหรือไม่ อันนี้แล้วแต่ ถ้าทำชำนาญจนเป็นวสีแล้วจะแยกเมื่อไรก็แยกได้แต่ถ้าอังไม่ชำนาญ แล้วเราเองอังไม่สามารถรักษาสติ ให้ต่อเนื่องกันได้สมื่าเสมอ มันก็ทำไม่ได้ก็เป็นไตรลักษณ์ บางครั้งก็ได้ บางครั้งก็ไม่ได้ยิ่งเราอยากมากก็ยิ่งไม่ได้ เพราะถ้ามีความอยาก ใจที่จะ จดจ่อประกอบเหตุ ทำบริกรรม ก็จะไปหวังที่ผลว่า แยกเสียทีสิเราจะไปกำหนดอยู่ที่ผล ทำให้ใจเราเองนี่แหละอัดขวางตัวเองที่ถามว่าถ้าแยกได้แล้วจิตจะไปอยู่ที่ไหน จะไปรู้อดีต รู้อนาคตหรือเปล่า จิตก็อยู่ตรงที่เราไปรู้ นั่นแหละ จะรู้อดีต รู้อนาคตหรือไม่ ก็แล้วแต่บุคคล จิตออกจากร่างได้ ก็กลับเข้าร่างได้
ถาม ก็อย่างที่อาจารย์เล่าให้ฟังใช่ไหมคะ ที่ว่า อับรถนั่งมาด้วยกัน 2 คน แล้วผู้หญิงถอดจิตรู้ว่า ด้านข้างนื่มีรถกำลังเบียดจะแซง
ตอบ เขาไม่ได้ถอดจิต เขามองเห็นว่ามันจะต้องเกิด อุบ้ติเหตุแน่ๆ นั่นเขาเห็นด้วยตาเนื้อสองตานี่แหละ เขารู้ด้วยตาเนื้อ ไม่ได้ถอดจิต ไม่ได้ทำสมาธิอยู่ก่อน เขานั่งรถมากับสามี แต่พอรู้ ณ วินาทีนั้นว่าจะเกิด อุบตเหตุ ถ้าฟ้งซ่านก็แก้สถานการณ์ไม่ได้ เขา กำหนดสติแล้วจิตก็ลงรวม แต่เขาไม่รู้ตัว เมื่อมารู้ อีกทีหนึ่ง ใจของเขาออกไปยืนอยู่ข้างนอกกับสามี แต่ร่างอยู่ข้างในรถ ถ้าเขาไม่นึกห่วงลูก ก็ตายสบายไปแล้ว ทีนื้อุปาทานความยึดว่า ลูกเรายังไม่ ถึงขวบ จะอยู่อย่างไร ใจเลยกลับเข้าไปอยู่ในกาย ด้วยกันใหม่ คราวนี้เจ็บหมดทุกรูขุมขนเลย
ถาม แล้วจิตไปได้ไกลแค่ไหนคะ
ตอบ มันไปได้ไกลทะลุสุดขอบจักรวาลจะไปในนรก บนสวรรค์ชั้นพรหมโลก มันก็ไปได้ทั้งนั้นแหละ แต่ข้อสำคัญ ไปแล้วหาทางกลับให้ได้นะคะ ถ้ายัง ไม่ชำนาญ อย่าไป อยู่ในนื้ ในกายในใจ อยู่ในอาณา บริเวณของหนังกำพร้าของเราก่อน
จะมีคำถามอะไรอีกไหมคะ
ผู้ดำเนินรายการ การที่จัดบรรยายครั้งนี้ เพราะว่าคน ใน อ.ย. เจ็บป่วยเยอะ แต่มองๆ แล้วคนที่ป่วยก็ ไม่ได้เข้ามา อย่างที่เป็นมะเร็งอะไรอย่างนี้ คือเรารู้ ตัวแต่บางคนอาจจะไม่ได้มาทำงาน ฟังอาจารย์แล้ว ก็รู้เหตุรู้ผลดี เพราะทุกคนก็ต้องฝึกซ้อมเตรียมตัว ก่อนตาย ตอนแรกจะเอาซื่อเรื่องเตรียมตัวก่อนตายด้วยซํ้า แต่รู้สึกมันน่ากลัวเกินไปช่วงนี้ตัวเองเจอแต่คนเป็นมะเร็ง หรือเจอ คนที่ดีๆ อยู่กับเรา แล้วตายจากไป ก็เลยมาคิดว่า คนที่ทำงานของเรา ถ้าได้ลองเตรียมตัว เขาจะไม่ ทุรนทุรายถึงจะเจอเวลานั้นก็เห็นคนที่กำลังเจ็บป่วยกลัวว่าจะตายหรือไม่ตาย บางคนก็บอกว่ากลัว มาก แล้วกลัวความตายไปเสียก่อนแล้ว มันควร จะต้องซ้อมๆ ไว้บ้าง มันไม่ใช่สิ่งที่ไม่ควรจะทำ
ถาม อยากให้อาจารย์บอกวิธีง่ายๆ สำหรับไปบอก คนอื่น วิธีปฏิป่ติเตรียมตัวเพื่อให้ไปถึงความสงบ ที่ บอกกันได้ง่ายๆ และก็ที่ลองปฏิบตกันไต้ง่ายๆอย่างที่อาจารย์ยกตัวอย่างว่า ให้มัดเวลาเดิน มีวิธี
อื่นอีกบ้างไหมคะอาจารย์
ตอบ เราพยายามว่า อะไรที่เราทำในชีวิตประจำวัน ให้เป็นของจริง คือ ถ้าเราผิด เราก็ยอมรับว่าผิด เราพูดเผลอไป เราก็ขอโทษ เราเผลอไป คือ อย่า พยายามกลบเกลื่อนหรือตีขลุมว่าฉันผิดไม่ได้ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว ลึกๆ ลงไปในจิตใต้สำนึก มันจะ มีความกังวล ถ้าเรารู้สึกอย่างไร ตายจริง เรา ตั้งใจจะทำอย่างนั้น แต้สิ่งที่ทำไปมันไม่ถูก เราก็ บอกตรงๆ เลย ขอโทษเขาเลย คืออะไรที่เกิดขึ้นให้ เราตรงไปตรงมากับคนอื่น ตรงไปตรงมากับกัวเอง ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว ถึงเวลาเจ็บหรือเวลากับขัน ใจ จะสงบได้ง่ายแต้ถ้าเรามืฟอร์มว่า ไม่ได้.. เดี๋ยวเสึยหน้า เขาจะไม่นับถือเรา ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว จิตสำนึกกับ จิตไร้สำนึกจะตีกัน เพราะลึกๆ ลงไป เราก็รู้ว่าสิ่ง ที่เราทำทั้งหมด เราไม่ได้พอใจ เราไม่ได้เห็นดีเห็น งามด้วยถึงยามกับขัน ตรงนี้จะมาก่อกวน แล้วทำให้หูเรากับจากสิ่งที่จะมาช่วยเหลือเรา มันจะวุ่น อย่กับอารมณ์กันนี้ จนเราไม่สามารถช่วยกัวเองได้เริ่มต้น ถ้าเป็นไปไต้ ให้พยายามทำศีลให้ บริสุทธิ์คืออะไรที่เราทำ เราจะไม่ไปทำกับคนอื่น อย่างที่เราไม่อยากให้ใครผาทำกับเรา เพราะใจเป็นธาตุที่เหมือนกันในทุกสิ่งมีชีวิต เรารักสุขเกลียดทุกข์แค่ไหนคนอื่นก็รักสุขเกลียดทุกข์เท่านั้นเหมือนกัน อย่าไปคิดว่าฉันมีโอกาสเพราะฉะนั้น ช่วยไม่ได้เขาอยากไม่รู้เท่าทันฉัน ฉันก็เอาผลประโยชน์มา ถ้า เป็นอย่างนี้แล้ว ตอนที่เราเจ็บ ตอนที่เราเข้าที่คับขน ใจเราคันนี้ ตะกอนคันนี้ จะมาก่อกวนใจของเราเอง ตรงตามที่กฎแห่งกรรมว่า ถ้าเราทำเหตุที่ไม่ดีแล้ว เราจะไต้ผลที่ดีเป็นไปไม่ได้ เราประกอบเหตุอย่าง ใดไว้ เราก็จะต้องชดใช้ เราก็จะต้องได้รับผลอย่าง นั้นเพราะฉะนั้น คนที่ทำแต่สิ่งดีงามทั้งๆ ที่เขา รู้สึกว่าทำแล้วก็ไม่ไต้ผลดีเลย เหมือนกับปิดทองฐานพระ แต่ก็ยังทำอยู่เรื่อยๆ ถึงวาระสุดท้าย คน อย่างนี้ ใจเขาจะใสและจะไปอย่างดีแต่ถ้าเป็นคนที่มีอะไรยึกๆ ยักๆ อยู่ ถึงวาระ สดท้าย เขาจะทำตัวของเขาเอง จะครํ่าครวญ แล้ว ใครจะพูดอะไรก็แปลบิดเบือนไปหมด เพราะเขาโกง กับตัวเอง ก็จะระแวงไปหมด ไม่ยอมเชื่ออะไร
เหมือนสมุห์บัญชีท่านหนึ่ง ตอนทำงานก็ เอาผลประโยชน์ของบริษัทมาเป็นของตัว ทำให้ รารวยจนส่งลูกไปเมืองนอกได้ตงแต่มัธยมต้น ซึ่ง ในสมัยนั้นข้าราชการชั้นเอกยังส่งไปไม่ได้ ต้องให้ จบปริญญาตรีเสียก่อนถึงส่งไปได้ รายนี้ส่งไปเรียน ตั้งแต่มัธยมด้นได้ 3 คนพร้อมกันเลยทุกคนรู้ว่าเขาไม่ใช่คนซื่อตรง แต่ก็ไม่มี หลักฐานที่จะไปทำอะไรเขาได้ ตอนสุดท้ายเขาเป็น มะเร็งที่นาโสฟาริงส์ หลังผ่าตัดแล้วต้องฉายแสงซึ่ง ทำให้หลอดอาหารเกิดการกักเสบระคาย ฉะนั้นเมื่อกินอะไรเข้าไป แม้กระทั่งนํ้าธรรมดา จะรู้สึก เหมือนนํ้ามีกรวดมีทรายปนอยู่ในนั้น มันจะคันระคาย คอ อาหารทุกอย่างก็กลืนไม่ได้เพราะเจ็บระคาย ไปหมดเพราะตัวเองไม่ซื่อไม่ตรง เขาก็ไประแวง ว่าภรรยาและลูกที่มาเฝืาไข้แกล้ง เพื่อให้เขาตาย เร็วๆ จะได้เอาทรัพย์สมบัติไปใช้ เขาก็เลยมีปัญหาทั้งๆ ที่ภรรยาและลูกก็ทุ่มเททำทุกอย่างให้เขา แต่ เขาจะระแวง ด่าทอ จากจิตใต้สำนึกที่ตัวเองก็ยัง ไม่ไว้ใจตัวเองมันเลยเป็นผลออกผา ทำให้บ้านเหมือนขุมนรก จนในที่สุดไม่มืใครอยากเข้าใกล้พยาบาลต้องเอานํ้าดื่มที่กลั่นจากเครื่องกลั่น บรรจุขวดนํ้าเกลือ แล้วให้คนไข้ปีดจุกเอง พ้น ด้วยเทปแล้วก็ห่อผ้าเอาไปนึ่ง จากนั้นก็เอากลับมา ให้เขาเก็บไว้ เมื่อจะดื่มก็รินใส่แก้วเอาเอง ถ้ายังบ่น ระแวงอีก ก็ถูกเตือนว่าการฉายแสงทำให้ในลำคอ อักเสบ ถ้าเขามืสตืก็จะเงียบ แต่ถ้าไม่มืสติก็กลาย เป็นว่าพยาบาลก็สมคบกับลูกเมียคิดจะฆ่าเขา ได้ ค่าจ้างค่าออนมาเท่าไร อะไรประมาณนี้ จนไม่มื ใครอยากจะเข้าใกล้เรื่องนี้ทำให้เราเชื่อว่ากรรมมีจริง ตั้งแต่นี้ ต่อไป ให้เราพยายามรักษาศีลเอาไว้ อะไรที่เราทำแล้วรู้ว่าผิดให้รับผิด เราพลาดไปแล้ว เราขอโทษ แล้วแก้ตัวทำใหม่ให้ดี ไม่ใช่ปกป้องตัวเองว่า ช่วย ไม่ใต้ ถ้าไปขอโทษเขาแล้วฉันเสียหน้าแย่สิ อะไร อย่างนี้ ไม่เอา ใครจะว่าเราอย่างไรเราไม่เดือดร้อน  ขอโทษ แล้วเราสบายใจ เราเอาตรงนี้ดีกว่า
เมื่อเริ่มได้อย่างนี้แล้ว ต่อไป เราก็สังเกต ว่า เวลาที่มีอะไรเกิดขึ้น เราห่วงหวงกายเราแค่ไหน เรากสัวเจ็บกสัวตายแค่ไหน แล้วบอกสับตัวเองว่า ตรงนี้คือจุดที่เราจะต้องพยายามหาความรู้ หาสติ มาช่วยให้ใจของเราไม่ไปยึดติด ห่วงหวงสับกายนี้ การไต้อ่านหรื อได้ฟังเรื่องราวของท่านที่ปฏิบัติก็ เป็นกำลังใจให้เราได้เมื่อตัวเองไปปฏิบัติสับท่านอาจารย์ คุณโยมแม่ของท่านเป็นปอดบวมแต่ท่านไม่ยอมไปโรงพยาบาล เอายามาฉีดให้ที่สัด ท่านก็พิจารณาว่าจะยอมให้ฉีดหรือไม่ เป็นกรณีๆ ไป แต่ท่านยอมกิน ยา ช่วงที่อาการทรุดลงมาก ลูกเต้าขอมานอนเฝืา ท่านก็ไม่อนุญาตอ้างว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่า เรา
เกิดมาคนเดียวเราก็ต้องตายคนเดียว ถ้าถึงที่จะตาย ก็ไม่ต้องห่วงปกติท่านจะนอนท่าสีหไสยา คือนอนตะแคง ขวาเหยียดขาซ้อนเหลื่อมวันคืนหนึ่งขาซ้ายที่ซ้อน อย่ข้างบนตกลงไปบับตรงขอบเสื่อพอดี แล้วท่านไม่มีแรงจะยกออกจากขอบเสื่อ ตอนเข้าเราใปพบ เนื้อบริเวณที่ทับกับขอบเสื่อผีรอยไหม้ เป็นแผลกด ทับพวกเราก็ไปกังวลกับแผล พยายามเอายาใส่ถามท่านว่าเจ็บแค่ไหน ท่านดุเรา นี่ของจริงแสดง ให้ดู ที่แม่กังหายใจโก้กๆ อยู่น่ะ ทันผีดิบความจริงในเนื้อในตัวทันตายหมดแล้ว เพียงแค่ทับอยู่ บนขอบเสื่อไม่ทันไรทันก็เน่าก็ตายแล้ว เวลาดีๆ อยู่ เรานั่งทับขอบเสื่อนานแค่ไหน พอลุกขึ้นมาก็ไม่เห็น เป็นไร นี่ทันบอกอยู่ชัดๆ ว่าทันตายแล้ว แล้วเรา จะไปยุ่งอะไรกับทัน ทำไมไม่ดูใจเราเอาไว้ ว่าเรา หวั่นไหว เราวุ่นแค่ไหน ไปยึดอยู่กับซากผีนี่ ทำไม ไม่เอาสดีมาลูของจริงให้ชัดให้ซึ้งใจถ้าเรามีหลักคิดอย่างนี้ เราจะสามารถเห็น ความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นเรื่องธรรมชาติเรื่องหนึ่งและ อยู่กับทันไปตามธรรมชาติหรืออย่างท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ช่วงสุดท้ายท่านเป็นมะเร็งกรามข้าง คุณหมอที่เป็นรุ่นน้อง ท่านเป็นเด็กต่างจังหวัด สมัยเป็นนักเรียนแพทย์มา พักอยู่ที่กัดเทพคิรินทร์ เลี้ยงตัวมาด้วยข้าวก้นบาตร
ครูบาอาจารย์จบหมอแล้วท่านก็ยังไปที่วัดเป็นประจำ ไปดูแลว่าจะทำอะไรรับใช้ครูบาอาจารย์ได้ บ้าง เห็นท่านเจ้าคุณเป็นมะเร็งกรามช้าง แผลมีนํ้าเหลืองนํ้าเลือดกรัง ก็จะไปซะแผล ขริบบริเวณ ที่เป็นฝืาเป็นเนื้อตายออก ท่านห้าม อย่าไปทำมัน มะเร็งก็มีชีวิตท่านเปรียบเทียบร่างกายท่านเหมือนต้นไม้ แล้วมะเร็งก็เป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่บนนั้น มันไม่ใช่ชีวิต ของท่าน แล้วท่านก็ไม่มีสิทธิจะไปฆ่ามะเร็ง ท่าน บอก เขาก็เป็นชีวิตหนึ่ง เราก็เป็นชีวิตหนึ่ง เราก็ แผ่เมตตาให้เขา ต่างยันต่างอยู่เมื่อคุณหมอเซ้าซี้พิรี้พิไรหนักเช้า ท่าน อธิบายว่า มันเป็นกรรมของท่านเองเพราะสมัยเด็กๆ ท่านมีชะนีอยู่ศัวหนึ่ง น้องชายยับท่านผูกมัน ไว้ที่ระเบียง ท่านลืมนึกไปว่าระเบียงนี่เรามองจาก ทางด้านนี้ จากระเบียงก็มาถึงพื้นที่เราเดินไปเดิน มา แต่อีกต้านหนึ่งมันลงไปถึงพื้นดินข้างล่าง ท่าน ผูกมันเอาไว้แล้วไปธุระที่อื่น กลับมาตอนเย็น ชะนี ตกลงไปอีกด้านหนึ่ง ก็เท่ายับโช่ที่ผกไว้แขวนคอมัน
ห้อยอยู่กลางอากาศ คอถูกโซ่บาดตรงที่เดียวกับ ที่ท่านเป็นมะเร็งนี่แหละมันตายแล้ว ตรงที่โซ่บาดมีเลือดแห้งกรังติดอยู่ท่านบอก กว่าชะนีจะตายมันเจ็บยิ่งกว่าที่มะเร็งทำท่านเป็นไหนๆเพราะฉะนั้น นี่เป็นกรรมของท่านที่ท่าน พอใจจะชดใช้ แล้วจะไปรังแกเซลล์มะเร็งทำไม คือ ท่านมีวิธีมองให้กำลังใจท่านเข้มแข็ง ท่านก็สงบดู มะเร็งกรามช้างจะเฟอะยังไง ท่านก็แผ่เมตตาให้ ไม่ ให้เอาแอลกอฮอล์ไปเช็ด ไม่ไปทำอะไรนั้งนั้น จะล้าง เพียงด้วยนํ้าธรรมดา นํ้าอุ่น แล้วซับอย่างระมัด ระวังด้วยผ้านุ่มๆเราเห็นท่านปฏิบัติอย่างนี้เป็นแบบอย่างก็มี กำลังใจ แล้วรู้สึกว่าเมื่อเราเจ็บไข้มีปัญหาอย่างนี้ เราก็ไม่ควรไปทำเกินเหตุว่า เดี๋ยวมะเร็งกินฉันตาย ฉันต้องหาทางทำมันให้พังไปก่อน เราจะมองความเจ็บป่วยและลัวเราเป็นธรรมชาติที่สามารถทำให้เกิด ประโยชน์ได้ทางพุทธศาสนาจะไม่มีการทำการุณยฆาต เพราะเราถือว่าความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นโอกาสทองที่ จิตจะพลิก ยกคัวเองให้คืนสู่ธรรมซาติเติมที่บริสุทธิ์ได้เหมือนสมียพุทธกาล มีพระภิกษุรูปหนึ่งเจ็บ เป็นตุ่มคันตามผิวหนังที่ตัว ต่อมาตุ่มเหล่านี้ก็มี นํ้าใสๆ อยู่ข้างใน แล้วกลายเป็นหนองเมื่อแตกออกมานํ้าเลือดนํ้าหนองที่อยู่ข้างในไปถูกคับสบง จีวรเข้าก็ติดกรัง เมื่อจับผ้าดึงออก ก็ดึงเอาผิวหนัง ท่านหลุดไปด้วย มีเลือดออกซิบๆ นานวันเข้านํ้าเลือดนํ้าหนองของท่านมีกลิ่นเหม็นเน่าเหมือน ซากศพ ตอนแรกหมู่เพื่อนก็ยังผลัดกันไปดูแล ตอน หลังไม่มีใครไปเพราะทนกลิ่นเหม็นเน่าไม่ไหวท่านก็นอนจมติดอยู่คับจีวรที่เกรอะกรังทุกข์เวทนาแสนสาหัส พระพุทธเจ้าทรงทราบก็เสด็จมา ดู โปรดให้พระอานนท์ไปต้มนํ้าเอานํ้าอุ่นใส่ราง เอา สบงจีวรท่านชัก อาบนํ้าล้างเนื้อตัว ล้างแผลท่านจน สะอาดดี เอาใบไม้มาปูบนเตียงก่อนเอาท่านไปวาง เพื่อกันนํ้าหนองนํ้าเลือดติดเกรอะกรังตอนแรกทุกขเวทนารุมเร้าจนท่านแย่ไปเลย ครั้นได้อาบนํ้า ชำระล้างคัว ท่านรู้สึกเบาเนื้อเบาตัวสบายเหมือน
ไม่ได้เจ็บป่วยพระพุทธเจ้าทรงเห็นจิตใจท่านเริ่มสงบก็ตรัส สอน ร่างกายของเราถ้าไม่ไปยึดมั่นสำคัญผิดกับ มัน มันก็เหมือนท่อนไม้ท่อนซุง พอหมดลมหายใจ แล้วเขาเอาไปเผาเอาไปฝัง ก็ไม่เดือดร้อนศพคนเอาไปเผาไฟ มันก็ไม่ลุกหนี ไม่ ร้อง โวยวายแต่ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ เอาไปเผาก็เจ็บปวดทนไม่ได้ พองถลอกปอกเปิกไปหมดเพราะฉะนั้น ใจที่รู้สุขรู้ทุกข์ เมื่อไปยึดกับกายแล้วก็ทำให้ เกิดดวามทุกข์เดือดร้อนไปหมด ทำให้ความเจ็บไข้ ได้ป่วยกลายเป็นดวามทุกข์ทรมานท่านฟังแล้วพิจารณา ตอนแรกเราไปยึดกับ มันเลยทุรนทุรายแทบจะขาดใจตาย นี่โรคภัยไข้เจ็บก็ยังอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้เอายาอะไรมาใส่ เพียงแค่ อาบนํ้าชำระล้างให้เบาเนื้อเบาตัว หลุดจากผ้าที่ เกรอะกรัง เราก็สบายเพราะฉะนั้น อุปาทาน
ใจที่ไปยึดมั่นสำคัญ ผิด เหมือนที่อาสาสมัครตายเพราะสำคัญผิดไปว่า นํ้ากลั่นหยดเป็นนํ้ากรดมหาประลัย อุปาทานคือ ตัวที่ทำให้โลกนี้ยุ่งเหยิงวุ่นวาย คือรวงรังของทุกข์ท่านเห็นว่า ถ้าใจไม่ไปเกาะเกี่ยวกับอะไร ให้ร้อย่ตามสภาพธรรมชาติ มันก๊กตับเป็นธาตุเติม ของมัน สะอาดบริสุทธิ์ ไม่ไปมีอุปาทานทำให้ทุกข์ เดือดร้อนอย่างนั้นอย่างนี้ ใจของท่านก็หลุดพ้นเป็นพระอรหันต์ ขณะที่ร่างกายถูกความเจ็บป่วย กระทำจนสะบักสะบอมเกินการเยียวยาก็หมดลมไป ตามสภาพธาตุขันธ์เรื่องนี้ก็เป็นตัวอย่างให้เห็น พระพุทธเจ้าทรง เห็นว่าจะเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างไร ก็ไม่มีสิทธิจะไปลิดรอนโอกาสคนเจ็บ เพราะถ้าเราไปฉีดยาให้ เขาตายตั้งแต่แรก เขาก็หมดโอกาสที่จะเห็นใจของ เขาตามความเป็นจริงสมัยพุทธกาลอีกเหมือนกัน มีพระภิกษุรูป หนึ่ง ท่านพิจารณาถึงร่างกายว่าเป็นของสกปรก ของเน่าเปื่อย ทีนี้พิจารณาแล้ว ท่านยกจิตให้เป็น ธรรมไม่ได้ เกิดความรังเกียจตัวเองว่า เต็มไปด้วย ขี้เหงื่อขี้ไคล เหมีน สกปรก หน้าก็มีแต่ขี้หู ขี้ตา ขี้มก ขี้พ้น ร้สึกรังเกียจจนทนไม่ได้ คลุ้มคลั้งขาดสติ เอามีดมาตัดเส้นเลือดที่ข้อมือตัวเองจะให้ตายไป เสียแต่พอเห็นเลือดออกมา สติกลับมาอยู่ตับใจท่าน ว่าท่านไม่มีสิทธิจะฆ่าตัวเอง เพราะร่างกาย ไม่ใช่ของท่าน ท่านก็นึก ไหนๆ เราพลาดไปแล้ว ต้องใข้เวลาที่เหลืออยู่ตรงนี้ ทำให้เกิดเป็นคุณเป็น ประโยชน์มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ท่านดูเลือดที่ไหลออกผา ความจริงไม่มี อะไรสกปรก ไม่มีอะไรสะอาด มีแด่สภาวะธรรมชาติ เราไปยึดไปพิจารณาผิด ใจจึงวิปลาสไปถึงเวลากายแตกดับหมดลมหายใจ มีนก็คืนสู่ธรรมชาติ สู่ สภาพเติมของมีน เป็นดิน นํ้า ลม ไฟ ไปถ้ายังมีลมหายใจก็ทำหน้าที่ไปตามที่จะทำ ได้ เท่าที่สติปัญญาความสามารถจะมี เอาร่างนี้ทำ เป็นก้อนบุญ กองบุญกองกุศลขึ้นมา ให้มากเท่าที่ จะมากได้ ท่านพิจารณาจนใจท่านเห็นตามเป็นจริง สำเร็จเป็นอรหันต์ได้ก่อนที่ลมหายใจจะหมดไปในชาดกก็ว่า พญามารมาตามหาจิตของ พระที่ฆ่าตัวตาย หาเท่าไรๆ ก็ไม่พบ เพราะท่าน สิ้นกิเลส พ้นอำนาจมาร เป็นพระอรหันต์แล้ว พระพุทธเจ้าตรัสกับพญามาร ท่านอย่ามัวหาอยู่เลย ลูก เราเป็นอรหันต์แล้วชาวบ้านก็ทักท้วงว่า พระรูปนี้ฆ่าตัวตาย จะเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไรพระพุทธเจ้าทรงอธิบายว่า ใช่ พวกเธอเห็นแต่กิริยาที่ ท่านตัดเล้นเลือดที่ข้อมือว่าท่านฆ่าตํวตาย แต่เธอ เห็นจิตของท่านที่พิจารณาต่อไป ๆ จนก่อนที่ลมหาย ใจจะหมดหรือเปล่าจิตท่านไม่ได้อยู่เฉยๆ อย่างนั้นเพราะฉะนั้น การที่เราไปมองอาการตัดเส้นเลือดแล้ว หยุดอยู่ตรงนั้น สรุปว่าคือการฆ่าตัวตาย เป็นบาป ต้องตกนรก เราพูดไม่ได้ เพราะสิ่งมีชีวิตเปลี่ยน
แปลงได้ตลอดเวลา เมื่อท่านมีสติขึ้นมา ไม่ย่อท้อ แม้เวลาจะเหลือน้อยนิด ท่านก็มุ่งนั้นเอามันไปทำ ให้เป็นประโยชน์ ท่านก็ทำประโยชน์ได้ จนกระทั่ง ทำจิตของท่านให้คืนเป็นธาตุบริสุทธิ์อย่างเติมเราอย่าไปทอดอาลัยกับความเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าเราไปเยี่ยมไข้ ให้กำลังใจเขาด้วยว่า นี่เป็นโอกาสทองนาทีทอง ใจเป็นธรรมชาติที่แปลก ถ้าไม่เห็น ทุกข์จะไม่ขวนขวายหาธรรม เวลาสบายๆ ไปถาม ดูเถอะ มีใครอยากปฏิบตบ้าง ไปเที่ยวก่อน เอาไว้ ปีหน้าก่อน เอาไว้แก่เสียก่อนพอทุกข์ขึ้นมา เจ็บขึ้นมา จึงจะรีบหาธัมมะ การหาตอนนั้นมีนไม่ไหวแล้ว มันกระวนกระวาย เพราะความเจ็บปวดมาบีบคั้น ถ้าเราเตรียมตัวไว้แต่ เนิ่นๆ เตรียมถมที่ทำฐานของใจให้แน่นหนาแข็งแรง ปีกใจให้มีศีล 5 มีสติรักษากาย รักษาใจ จะเดิน ก็ให้ใจอยู่ก่บก้าวที่เดิน ฟังความอะไรก็ให้ใจจดจ่อ ฟังทำใจให้เป็นถ้วยว่างๆ แล้วเราจะฟังได้ข้อมูลครบถ้วนตามความเป็นจริง ทำให้เราเห็นว่า เรื่องที่ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดกันนั้น เพราะอย่างนี้เอง ธรรมชาติของเราไม่เหมือนกัน ต่างมุมมอง ต่าง จิตใจกัน คนส่วนใหญ่เวลาฟังอะไรจะฟังไม่ได้ยิน มัวฟังแต่ความคิดของตัวเองที่พูดอยู่ในใจ แล้วก็เลย ไม่ได้ยินที่เขากำกังพูดด้วย มันถึงสื่อความหมายกันการจะฝึกให้เรามีสตินี่ หัดฟังให้เป็น พูด ให้น้อยลง ถ้าพูดน้อยลง จะได้ยินเสียงคนอื่นมาก ขึ้น จะได้ยินเสียงใจตัวเองคิด คือได้ร้วาระจิตของตัว ทำให้เห็นขนมาว่า ทำไม เราคิดอย่างนี้ นี่เป็น อันธพาลนะแต่ถ้าไม่มีสติ เราจะพูดมาก พูดจนกลบเสียงอื่นหมด แล้วเราก็จะเชื่อว่าสิ่งที่เราพูด นั้นถูกต้องหมดแล้วทำให้เราเป็นคนฟังไม่เป็น ไม่ ยอมฟังอะไรนั้งนั้นอันหนึ่งที่จะทำให้สติมาอยู่กับใจก็คือหัด
ฟังให้เป็น ฟังเป็นแล้วจะช่วยให้หลายๆ เรื่องที่จะ แตกหัก ชนกันวินาศ มีช่องทางที่จะขยับเขยื้อนไปได้
ถาม การปฏิบ้ติตัวเมื่อป่วย กรณีป่วยเป็นมะเร็ง หร็อโรคเรื้อรัง
ตอบ ตามหอักพุทธศาสนามีความเชื่อว่า ใจของคน เรานั้นไม่ตาย ไม่สูญไป เราชาวพุทธจะต้องพิจารณา ว่า การป่วย การตายนั้น เป็นเรื่องธรรมดา การตาย ก็เพื่อไปเปลี่ยนกายใหม่เท่านั้น โดยยังมีประจุกรรม เดิมดังนั้น เมื่อเจ็บป่วย หรือใกล้ตาย จะต้องระมัดระวัง มีสติกระทำสิ่งที่เป็นกุศล เพื่อสะสมบุญ การไต้ปฎิบัติธรรม ถ้ามองในแง่ตีแล้ว ผู้ที่เจ็บป่วย
หรือใกล้ตาย ย่อมมีโอกาสมากกว่าผู้ที่พบความตาย อย่างปุ๊บปั๊บทันที ไม่ทันได้เตรียมเสบียงก่อนตาย
ถาม เมื่อบิดามารดา ญาติใกล้ชิดปวยหรือกำลังจะตาย จะทำอย่างไร
ตอบ การให้ผู้มีพระคุณหรือญาติใกล้ชิดของเราได้เตรียมตัวเตรียมใจก่อนที่จะตาย ไม่ใช่เป็นสิ่งอัปมงคลหรือเรื่องที่ไม่ติ จนต้องห้ามพูดคุยกัน การให้ท่านเหล่านั้นได้เตรียมตัว จะทำให้ขณะลมหายใจ สุดท้ายมีจิตระลึกแต่สิ่งดี ซึ่งเราเชื่อว่าผู้ตายจะได้ไป เกิดใหม่ในภพภูมิที่ดีเราต้องมีความเข้าใจว่า คนเราทุกคนมีความ กลัวตายนั้งสิ้น ตังนั้น ถ้าพบว่าบิดามารดาของเรา มีความกลัวตาย โดยแสดงออกด้วยการกระทำบางอย่าง เช่น น้อยอกน้อยใจ เรียกร้องความสนใจ อยากให้ลูกหลานอยู่ใกล้ชิดตลอดเวลา จนกระทั่งขาดเหตุผลทำให้ลูกหลานรู้สึกลำบากและไม่สบายใจ จนไม่สามารถปฏิบีตการงานได้ ลูกหลานมีวิธี ปฏิบ้ติหลายวิธี เช่น
1. พูดซักจูงพาท่านไปปฏิบ้ติ ฟังเทศน์ฟังธรรม
2. อ่านหนังสือธัมมะให้ท่านฟัง (โดยท่าน ไม่รู้ตัว) เพราะว่าเอาหนังสือไปให้ท่านอ่าน ส่วน ใหญ่จะไม่ยอมอ่าน
3. เปิดเทป ซีดี หรือดีวดี เกี่ยวกับการ ปฏิบัติตัว หรือคำบรรยายธรรมที่เกี่ยวข้องกับการ เจ็บป่วย การตายโดยเราต้องแสดงท่าทีว่า เราสนใจเรื่องเหล่านี้เอง ไม่ใช่เอาหนังสือหรือซีดีไป ให้ท่านเพราะท่านกำตังจะตายแล้ว เราต้องแสดง ว่าเราสนใจจะฟังเพื่อจะปฏิบัติตัวของเราเอง โดย เปิดวิทยุ ซีดี หรือดีวีดี เพื่อฟังหรือดูด้วยตัวเรา เอง โดยมีท่านอยู่ที่นั้นด้วย ทำให้เหมือนว่าท่าน รับรู้โดยบังเอิญคนป่วยหรือคนใกล้จะตายส่วนใหญ่ที่ไม่เคย ปฏิบัติธรรม หรือไม่มีความเข้าใจในเรื่องของความ ตาย จะไม่เข้าใจและปฏิเสธที่จะรับรู้เรื่องเหล่านี้ ถ้า ลูกหลานพูดเรื่องนี้ก็จะไม่ยอมรับฟังและจะเรียกร้อง ความสนใจมากขึ้น เพราะในจิตใจของท่านมีความกลัวตายนั่นเอง เราจะต้องทำให้ท่านเข้าใจความ ตายอย่างถูกต้องและไม่เป็นทุกข์ บางครั้งอาจจะ ต้องพูดว่าที่เราสนใจเรื่องเหล่านี้เพื่อตัวของเราเอง ไม่ใช่ต้องการบังคับให้ท่านรับฟัง จึงเป็นการให้ท่าน ตระหนักรู้ว่า ความตายเป็นเรื่องของคนทุกคนที่ต้อง พบทั้งสิ้นเพียงแต่จะตายอย่างมีความสุขหรือมีความทุกข์เท่านั้นเองยังมีคำถามอะไรอีกที่จะเอาไปฝากคนเจ็บ
ผู้ดำเนินรายการ ยังมีอะไรอีกไหมคะ เพราะเป็นโอกาส อันดี อาจารย์มีประสบการณ์มากถ้าไม่มีอะไรเชิญประธานชมรมกล่าวขอบคุณ อาจารย์ค่ะขอขอบพระคุณในสิ่งที่อาจารย์ให้กับพวกเรา จริง ๆ คงเอามาใช้ได้ทั้งแต่เรื่องใหญ่ที่สุดจนถึงเรื่อง เล็กๆ น้อยๆ เช่น การลองท่าใจนิ่งๆ ดูว่าจะเป็น อย่างไร ให้ตัวร้อนแต่ใจไม่ร้อน เริ่มต้นจากตรงนั้น ก็อาจจะช่วยบรรเทาอาการข้างเคียงที่ร้อน ก็คงนำไปใช้ได้กับทุกอย่าง แม้กระทั่งเรื่องที่ว่าเราจะชอบ หรือไม่ชอบสบอารมณ์ไม่สบอารมณ์ ก็คงต้องฝึกตั้งแต่เนิ่นๆ ไปเรื่อยๆ วันนี้จึงเป็นโอกาสดีแล้วสำหรับคนที่ไม่ได้มา ก็คิดอยู่ว่าอยากจะ ถอดเทปออกมา เพราะเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ถ้าใคร เตรียมตัวได้มากก็จะเป็นประโยชน์ ได้เปรียบ ก็ขอ ขอบพระคุณอาจารย์อีกครั้งหนึ่งที่กรุณากับพวกเรา ชาว อ.ย. มาโดยตลอด ขอขอบพระคณอาจารย์ค่ะ
พิมพ์โดย      ปภัสสร   มีพงษ์
แหล่งที่มา   http://web.krisdika.go.th/buddha/68-jaisabai.pdf

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Back To Top