ประกันใจ
ชื่อผู้เขียน พญ อมรา มลิลา
วันที่ วันที่ 12 มีนาคม 2547
ณ บรรยายให้ความรู้แก่สมาชิกชมรมนักบัญชีประกันภัย ณ โรงแรมตวันนา รามาดา
ห้องศรีสุริยวงศ์ เอ
หมวด
อันดับที่
ตัวแทนชมรมนักบัญชีประกันภัยกล่าวแนะนํา เริ่มต้นว่า เรียน ท่านวิทยากร ท่านที่ปรึกษา และท่านสมาชิกทุกท่าน สืบเนื่องจากการทีได้อ่านหนังสือซึ่งได้รับเป็นของขวัญปีใหม่มาหลายๆ เรื่องซึ่งท่านวิทยากรเป็น ผู้บรรยาย อาทิเช่น อยู่เป็นเย็นสบาย ความรัก จิตอิสระ วัฏฏะ เป็นอาทิ ทำให้ได้ข้อคิดและนำมา พิจารณาเป็นแนวทางในการดำรงชีวิตในสภาวะ ปัจจุบันให้เกิดความสุขได้ในระดับหนึ่ง จากความสุข ทีได้รับนี้เอง เป็นบ่อเกิดให้ใคร่จะแบ่งปันความสุข ให้แก่เพื่อนๆ ได้ซึมซับต่อความสุขที่พูดถึงนี้ด้วยพวกเรานักบัญชีจะมีลักษณะที่คล้ายๆ กันเกือบจะทุกคน คือมีความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงาน จนบางครั้ง ครั้งลืมนึกถึงตัวเอง ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ลืมนึกถึงคน รอบข้างใกล้ๆ ตัวอีกด้วย จากสิ่งเหล่านี้ ทําให้จุด ประกายความคิดว่า ถ้าพวกเราทำงานบัญชีให้เป็น ชีวิตเราก็น่าที่จะร่มเย็นสบายด้วย
คณะกรรมการจึงได้มีดำริที่จะเรียนเชิญท่าน
วิทยากร แพทย์หญิงอมรา มลิลา ท่านผู้เป็นต้นแบบ ของการอยู่เป็นเย็นสบาย มาบรรยายให้ข้อคิดแก่
พวกเรานักบัญชี ซึ่งในวันนี่นับเป็นโอกาสที่ดียิ่ง ที่คุณหมอได้ให้เกียรติมาบรรยายให้แก่พวกเราฟัง
ในหัวข้อ ทํางานบัญชีให้เป็น ชีวิตร่มเย็นสบาย ขอกราบเรียนเชิญท่านวิทยากร แพทย์หญิงอมรา มลิลา ค่ะ
ท่านที่ปรึกษา คณะกรรมการชมรมนักบัญชีประกันภัย
และท่านผู้มีเกียรติ ดิฉันรู้สึกยินดีทีเราจะมาคุยกันถึงเรื่องทำงาน บัญชีให้เป็น ชีวิตร่มเย็นสบาย
ครั้งแรก ดิฉันกันึก ตายจริง จะให้หมอมาพูดกับนักบัญชี จะเอาอะไรมาพูด แต่เมือกีได้ทราบว่าน้องๆ นักบัญชีทังหลายเคยอ่านหนังสือติฉันบ้างแล้วก็เลยใจมาเป็นกองว่า อย่างน้อยที่สุดก็รู้จักกันทาง ตัวหนังสือแล้ว คงจะไม่กระไรนัก ก็เลยขอโอกาสเรียนว่า แทนทีเราจะมุ่งทํา บัญชีประกันภัยอย่างเดียว ในวันนี้ ชั่วโมงนี้ เรา ลองเปิดใจว่า มาทำบัญชีประกันใจกัน ประกันใจ ของเรา เพื่อว่าชีวิตจะได้ร่มเย็นสบาย จะประกันใจของเราอย่างไร เริ่มต้น เราต้องเข้าใจก่อนว่า ที่เราเหนื่อย เราทุกข์ เราสุข หรือว่าเรามีความรู้สึกต่างๆ ได้นั้น ไม่ใช่มาจากตัวเราทั้งตัว แต่มาจากใจเรา เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่ทำความรู้จักกับใจของ เรา แล้วจัดสรรทิศทางทําประกัน ทำภูมิคุ้มกันให้
กับใจแล้ว ชีวิตของเราทั้งชีวิตก็ระเหเร่ร่อน ถึง จะมีบ้านอยู่ กายจะมีความสุข ใครๆ จะบอกว่าเรา มีหลักมีฐานดี แต่จริงๆ ใจของเราอนาถาหาที่พึง เพราะไม่รู้ทิศทางที่จะไปนอนก็ เจ้าประคุณเอ๊ย พรุ่งนี้ขอให้ได้อย่าง โน้น อย่างนี้ และถึงจะได้ดังใจ ก็เหนื่อย เพราะ ลุ้นอยู่แต่ เจ้าประคุ้ณ เจ้าประคูณ ถ้าไม่ได้ก็ เฮ้อ! สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทําไมลำเอียงอย่างนี้ ก็ทุกข์อีกเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว เราก็มาทำประกันใจของ เราเอาไว้
ประกันเอาไว้ทำไมหรือ ประกันให้เราไม่ล้ม ละลาย เพราะทุกคนที่ทำประกัน ทําบัญชีออมทรัพย์ ทำอะไรต่างๆ ก็เพื่อให้เราไม่เป็นบุคคลล้มละลาย ใช่หรือไม่ ที่นี่ที่เราประกันใจของเรา ก็เพื่อเราจะ ไม่ล้มละลายจากความเป็นมนุษย์เดี๋ยวนี้ ทางวิทยาศาสตร์ก็เชื่อแล้วว่า ใจของ คนเราไม่ได้ตายไปพร้อมๆ กับร่างกาย เมื่อเราหมดลมหายใจ แพทย์รับรองว่าบุคคลนี้ตายแล้ว ใจของบุคคลนี่ก็ไม่ได้ตายไปด้วยใจของเราเป็นนักเดินทาง ที่เดินทางไม่รู้ เหนิดรู้เหนื่อย ถ้าเปรียบเทียบการมาเกิดมีชีวิตอยู่ ในภพชาตินี่ เหมือนกับเราเดินทางไป ไปพบตรงนี่ น่าพักอาศัย เราก็จัดแจงเข้าไปในโรงแรมที่หมายตา เอาไว้ คือเข้าไปเกิดในท้องของแม่เรา ทีนี่ สิ่งที่เราเอาไปด้วยก็คือ บัตรเครดิต ถ้า บัตรเครดิตของเราใช้ได้ เขายอมรับ แม่เราก็ตั้ง ท้องเราไปจนกระทั่งเราคลอดออกมา แต่ถ้าบัตร เครดิตของเรา เขาบอก ขอประทานโทษเถอะครับ นี้ไยี่ห้อนี้ไม่เอา แม่เราก็แท้งเราออกมา เราก็ต้องไป หาโรงแรมใหม่เมื่อคลอดออกมา เราก็ไม่ได้เอาอะไรติดตัว มา ตอนออกจากท้องแม่ก็มีแต่ตัวเปล่าๆ แต่เรา ไม่เห็นบัตรเครดิตที่มีอยู่ในใจเรา คืออริยทรัพย์หรือ บาปทรัพย์ที่เป็นเสบียงติดมาเป็นบัตรเครดิตใบสําคัญ จากบัตรเครดิตไบนี่ เราก็เอามาใช้สอยจับ จ่ายให้ชีวิตของเราประสบความสําเร็จ หรือประสบ ความลุมๆ ดอนๆ อย่างที่เราก็เห็นกันในชีวิตผู้คนรอบตัวด้วยกันทั้งนั้น เมื่อถึงวาระที่จะไป เราแจ้งออกจากโรงแรม ก็ไม่ได้เอาอะไรติดตัวไปด้วย ทรัพย์ศฤงคารอะไรต่อ มิอะไรเยอะแยะที่เราสะสมเอาไว้ แม้กระทั่งกำเอา ไว้ในมือตอนหมดลมหายใจ ก็เอาไปด้วยไม่ได้ ต้อง กองทิ้งไว้เป็นของแผ่นดิน แต่เราได้ของแถมไปด้วย คือบุญหรือบาปขึ้นอยู่กับเครดิตที่เราพกติดตัวมาด้วยตอนเเกิดครั้นตายมันก็ติดไปกับเราอีก ถึงเราจะไม่ได้กําเอาไว้ในมือ มันก็ติดไปกับใจของเรา เดินทางท่องเทียวไปด้วยกัน โดยทีบัญชีมันขึ้นเรียบร้อยว่าบุญมีแค่ไหน บาปมีแค่ไหน อริยทรัพย์ บาปทรัพย์มีเพิมขืนเท่าเดิมหรือล้มละลายไป คราวนี้ไปเข้าโรงแรม ก็ไม่ได้สภาพความเป็นคนแล้ว อาจจะเป็นสัตว์ เป็นอะไรตามทุนที่มี ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เดี๋ยวนี้ก็เชื่อ จิตแพทย์อเมริกันท่านหนึ่งใช้วิธีสะกดจิตเพื่อรักษาคนไข้ เขาไม่ได้คิดว่า การสะกดจิตเพื่อรักษานี้ คนไข้จะทะลุชาตินี้ย้อนไปสู่ชาติอดีตได้ คนไข้ก็ไม่เชื่อ เพราะ
คนไข้เองเป็นคาทอลิกที่เคร่ง ไม่เชื่อเรืองเวียนว่าย ตายเกิด ตัวคุณหมอเองก็เป็นอเมริกันยิว ซึ่งศาสนา ของเขาไม่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดเช่นกัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจากการที่คนไข้ทะลุชาติภพไป ได้แล้วอาการดีขึ้น โดยก่อนหน้านั้นคุณหมอรักษา ด้วยวิธีการต่างๆ อย่างไรๆ อาการคนไข้ก็ไม่ดีขึ้น จะว่าคนไข้เคยอ่านเรื่องทำนองนี่และฝังใจจําเอาไว้ เมื่อถูกสะกดจิต แล้วระลึกได้ เลยเอามาพูด ก็เป็น ไปไม่ได้ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น อาการของโรคจะ ดีขึ้นไม่ได้ คนไข้เองก็ยอมรับตรงนี้ คุณหมอเอง ก็ยอมรับตรงกัน เมื่อมาพบกันครั้งต่อไป คุณหมอกับคนไข้ก็ เห็นพ้องต้องกันว่า ลองสะกดจิตดูอีกสักครั้ง บันทึกเทปคำสนทนาเอาไว้ด้วย เพื่อนำไปศึกษา จากตรงจุดนี้ ก็เลยมีการสะกดจิตกันต่อไป แล้ว ก็ไปสะกดจิตคนไข้อื่นๆ ที่เต็มใจให้รักษาด้วยการ สะกดจิต ขณะที่คนไข้ถูกสะกดจิต ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า มีคนโน้น คนนี้เกี่ยวข้อง
เมื่อคุณหมอสั่งคนไข้ให้เพ่งตรงเข้าไปในตาของคนที่เกียวข้องเหล่านั้น แล้วถามว่า ระลึกได้ไหมว่าคน เหล่านั้นมาเกิดในปัจจุบันนี้เป็นใครที่รู้จักบ้าง หลาย ครั้งที่คนไข้สามารถระลึกได้ว่าผู้คนในภพชาติที่ระลึก ได้นั้น มาเป็นคนนี้ คนโน้นอยู่รอบตัวเขา ฝังใจ จะด้วยความโกรธแค้นกันหรือว่ารักใคร่กัน แล้วเป็นโยงใยให้เข้าใจปัญหาที่มีในชาติปัจจุบัน ก็ทำให้อะไรๆ ที่แก้ไขยังไม่ได้ สามารถแก้ไขได้ แสดงให้เห็นว่า ใจนี้เป็นนักเดินทางมาราธอน จริงๆ ประสบการณ์อะไรที่เคยผ่านพบมา ที่ใน ปัจจุบันนี้เราจำไม่ได้ แต่มันฝังอยู่ในประจุความ จำของเรา เรียกว่าประจุกรรม เหมือนข้อมูลในคอมพิวเตอร์ เวลาที่เราเรียกออกมา มันก็จะยังอยู่ครบถ้วน แล้วอะไร อะไรเหล่านี่ ก็เหมือนบัญชีที่เราทำเอาไว้ มันจะขึ้นมาในวาระที่เหตุปัจจัยพร้อมแต่เราไม่รู้ถี่ถ้วนถึงว่าเมื่อไหร่เรื่องนี้จะ เมื่อไหร่เรื่องนั้นจะโผล่ขึ้นมาเมื่อไหร่เรื่องนั้นจะโผล่ขึ้นมา
พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ทุกๆ เหตุการณ์ที่เรา เจอะเจอในแต่ละเวลานาที ไม่ใช่ความบังเอิญ ไม่ใช่ สิ่งที่เกิดขึ้นโดยมหัศจรรย์ หาต้นเหตุไม่ได้ แต่ความ จริงคือผลของสิ่งที่เราได้ทำเอาไว้ในอดีต เหมือนเราเอาเม็ดพันธุ์ใส่ไว้ในดิน เมื่อมัน งอกเป็นต้นไม้ขึ้นมา เราไม่รู้จักมัน จึงไม่สามารถ พยากรณ์ได้ว่าเมื่อไรมันถึงจะออกดอกออกผล แต่ เม็ดพันธุ์เหล่านี้จะต้องงอกและออกดอกออกผลอย่าง แน่นอน เรารู้ต่อเมือมันมาเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ เราแต่ละเวลานาที ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นเร็วไวพอที่เรายัง จำได้ เราก็จะ อ๋อ! เพราะไอ้นั้นที่เดียว จึงทําให้เป็น ถ้าเราตั้งใจจะทําประกันใจของเรา ศึกษาให้ รู้จักใจของเราแล้ว เราจะสามารถยอมรับสิงที่เกิด ขึ้นว่า ไม่ใช่ใครมาแกล้งเรา ไม่ใช่เป็นความอยุติธรรม แต่เป็นมรดกที่เราทําให้ตัวเราเอง เพราะฉะนั้น ใจทีแต่ก่อนนั้น เมื่อรับไม่ได้ ก็ ตกใจ เกิดการโต้แย้ง หรือไปเพ่งโทษคนอื่น เสีย
เวลาไปเปล่าๆ เราจะจดจ่อใจของเรา แล้วบอกกับตัวเองว่า ความจริงคือสิ่งที่เกิดขึ้นตรงนี้ เอาสติปัญญาของ เรามาแก้ไขปัญหาตรงนี้ อย่าไปอยู่กับความยึด อยากว่ามันไม่น่าเป็นอย่างนั้นเลย หลายๆ ท่านที่มีอุบัติเหตุในชีวิต ก็เพราะใจเลือกไปยึดอยู่กับสิ่งที่เราคิดเอาเอง ...มันน่าจะเป็นอย่างนี้ แล้วทิ้งความจริงที่กำลังเกิดอยู่ เห็นอยู่ทนโท่ ก็พยายามไปลบทิ้ง ก็เหมือนกับเราพยายาม เอาหัววิ่งไปชนกำแพงเพื่อให้กำแพงทะลุ ไม่ทะลุ แต่หัวเราแตก หรือเคราะห์หามยามร้ายถ้าคอหักแล้วเราตายให้รู้แล้วรู้รอดไป จบปัญหา แต่ถ้าตายก็ไม่ตาย หายก็ไม่หาย กลาย เป็นอัมพาต หลายคนก็บอก ช่างเถอะ เขาไม่รู้อะไร แล้ว
ความจริงไม่ใช่อย่างนั้นจากการศึกษาร่างกายที่เป็นอัมพาตทำอะไร ไม่ได้ ใจไม่ได้เป็นอัมพาตด้วย ใจยังรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ใจไม่สามารถเอาเสียงพูดของใจ สื่อให้ไปถึงคน
อื่นๆ ที่ล้อมรอบอยู่ได้ยินได้ คนอื่นๆ พูด คนไข้ ที่เป็นอัมพาตรู้หมดทั้งนั้น แต่เมื่อคนไข้พูดด้วยใจ เสียงไม่ดังออกมาให้ได้ยิน เพราะว่าคลื่นของความ คิดเป็นคลื่นที่มีความถี่สูงกว่าที่หูของเราจะได้ยิน แต่ ถ้าเราฝึกจนกระทั่งใจเราฟังโทรจิตออก เราก็จะรู้เรื่อง
เพราะฉะนั้นเราถึงเข้าใจผิด คิดว่าคนเหล่านี่ไม่รู้หนาวรู้ร้อน ไม่รู้สุขรู้ทุกข์ แต่จริงๆ แล้ว เขารู้ ทุกอย่าง และยิ่งอัดอั้นตันใจหนักขึ้นไปอีกด้วยเพราะว่าพยายามจะพูดจะบอก จะสื่อสารด้วย แต่ เครื่องมือก็ง่อยเปลี่ยเสียขา เสียงก็ไม่ดังผ่านหลอด ลมออกมา ก็ไม่เป็นเสียง แต่ใจเร่าร้อน ดิ้นรน อยากจะพูดจะบอก ถ้าเรามองดูแววตา เราก็พอจะ แต่ก็แปลไม่ถูก สิ่งเหล่านี้ ถ้าคอยเฝ้าสังเกต เรา เมื่อเข้าใจแล้ว จะได้ขวนขวาย อย่ามัวแต่ ทํางานบัญชีประกันภัยอย่างเดียว และก็อย่างที่เมื่อท่านพิธีกรบอกว่า เลยลืมตัวเอง ลืมคนรอบข้างข้าง ทําให้มีปัญหาขึ้นมา ชีวิตก็เลยไม่ค่อยจะร่มเย็น
ชักจะอุ่นๆ จนร้อนๆ จนกลายเป็นน้ำเดือดไปก็มี เราก็มาดูกันว่า เริ่มต้นนี่จะทําอย่างไร เพื่อประกันใจของเรา ใจเป็นธรรมชาติที่แปลก มักจะปลิวตามลมปากของคนไปวิจารณ์มากๆ เขา มันปลิวตามไปเลยเพราะฉะนั้นสิ่งแรก เราต้องสร้างภูมิคุ้มกัน ให้เราไม่ปลิวตามโลกธรรม นินทา สรรเสริญ คําวิพากษ์วิจารณ์ เพราะตวนละคอ พายุสลาตน ดิฉันขอยกตัวอย่างเรื่องของตัวเอง แต่เดิมดิฉันกิว่าดิฉันเป็นคนมีเหตุมีผล ยิ่งเป็นหมอ ผ่านเหตุการณ์ที่มีทั้งคนไข้ช็อก คนไข้เลือดสาดมา เรา ยังสามารถคุมสติ ให้ผ่านวิกฤตเหล่านั้นไปได้ด้วยดี ก็หลงตัวเองว่า ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เราคงดูแล คุ้มครองตัวเองได้พอไปปฏิบัติที่วัด ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ แปลกใจที่ถึงเวลาเราจะกลับบ้านท่านอาจารย์ถามว่า “ปกติถ้ามีใครมาว่าอะไรเรา เราจะทำอย่างไร"ดิฉันตอบท่านว่า "กิมนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐมีภาษาเอาไว้สําหรับพูดจาสื่อสารกัน ถ้าเขามาว่าเราในทางที่ผิดเราก็ต้องซึ่แจงอธิบาย” ท่านอาจารย์แย้งว่า “ไม่...ไม่ใช่ นี้เรามาแล้ว ต้องยึดภาษิตว่า หนทางพิสูจน์ม้า เวลาพิสูจน์คน ใครเขาว่าอะไรปล่อยให้เขาว่าไป เรานิ่ง เฉยดิฉันร้อง อ้าว! อย่างนัน เรื่องราวมันก็แย่ สิเจ้าคะท่านตอบ ไม่ เวลาจะพิสูจน์บุคคล คนเรานี้ ถ้าจะไม่ฟังกันเสียอย่าง เราอธิบาย แทนที่จะแก้ไข ปัญหา เลยกลายเป็นประสานงากัน เสร็จแล้วก็ เดือดร้อน เพราะฉะนั้น จำเอาไว้นะ กลับไปนี้ ถ้า มีใครพูดอะไรที่เป็นเรื่องไม่จริง หรือเป็นเรื่องที่ หรือเป็นเรื่องจำเป็นต้องชี้แจงไม่ต้องชี้แจง ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ จะสัญญากับอาจารย์ได้ไหม”ดิฉันนึก ปกติดิฉันก็ไม่ใช่คนปากไว อะไรจะ หนักหนาสาหัสปานนั้น ...ตกลง ตกลง นี้เป็นแบบ ฝึกหัด.ท่านอาจารย์ก็ยังไม่ยอมไว้ใจ ย้ำอีกว่า “จำ เอาไว้นะ ปากนี่ติดซิปเยอรมันชั้นดี ไม่เอาซิปแตก ง่ายๆ ติดสองชั้นเลย ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น”
เมื่อกลับมาถึงกรุงเทพฯ มีธุระไปที่โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งเพื่อนๆ และอาจารย์ยังทํางาน ดิฉันก็เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติว่า ผู้คนมองเรา แปลกๆ นี่เรามีเขางอกออกมาหรืออย่างไร พอเรา เผลอ เขาก็จะซุบๆ ซิบๆ กัน แต่พอเราหันไปมอง เขาก็จะยิ้ม แต่ไม่พูดอะไร นี่มันอะไรกันนะ ใจเรา ก็เริ่มแกว่ง
ครั้นไปโรงพยาบาลรามาธิบดี ซึ่งลูกศิษย์เรา กำลังเป็นนักเรียนแพทย์ปี 5 ปี 6 บางคนก็เข้า มาจับเนื้อจับตัวดิฉัน ถามอย่างห่วงใยว่า“อาจารย์คะ อาจารย์ออกจากโรงพยาบาล สมเด็จเจ้าพระยาตั้งแต่เมื่อไหร่ อาจารย์สบายดี แล้วหรือ”เสียงท่านอาจารย์ดังขึ้นมาในใจ ไม่ต้องอธิบาย ไม่ต้องแก้ตัว ไม่ต้องชี้แจงอะไรทั้งนั้น เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจนบุคคล ดิฉันก็เต๊ะท่า “ทําไมหรือ เธอเห็นครูเป็น อะไรไปล่ะ” ลูกศิษย์ก็มองดิฉัน คล้ายๆ อาจาร์ยก็ดูดีอยู่ นะ แต่ “อาจารย์ อาจารย์หายดีแน่แล้วหรือคะ”
“ก็เธอว่าครูเป็นอะไรล่ะ”ลูกศิษย์เข้ามาลูบเนื้อลูบตัวดิฉันเป็นทำนองว่ายังมีแขนดีอยู่ ขายังมีอยู่นะ แต่ก็ไม่ยอมเล่าว่า เรื่องเป็นอะไร แต่การที่ถามว่า อาจารย์ออกจาก สมเด็จเจ้าพระยาแต่เมือไหร่ ก็พอจะทําให้ดิฉันรู้แล้วว่าข้อกล่าวหาดิฉันนั้นคืออะไรเมื่อจากกับลูกศิษย์กลับมาถึงบาน ท่านอาจารย์บอกแล้วว่า อะไรเกิดขึ้นก็ตามรู้ เข้านอนก็ยังดีอยู่แต่พอตื่นเช้า ตื่นเช้านี่ปกติท่านอาจารย์จะ บอกว่า พอรู้ตัวบุ๊บ ไม่ให้คิดอะไรเลย เอาสติมา จดจ่อกำกับใจเอาไว้ ตัวอยู่ตรงไหน ใจอยู่ตรงนั้นถ้าอยู่ที่วัด ก็จะลุกขึ้นเดิน.จงกรมเลย เพราะกุฏิที่พักเป็นกุฏิมุงหญ้า แล้วก็ล็กๆ ตังอยู่ติดกับทางจงกรม แต่นี่เราอยู่ในห้องนอนเรา เราก็ว่าเรารู้ตัวแต่การรู้ตัวของเรา มันไม่เร็วเท่าทันใจที่ปลิวไปแล้วพอสติอ่อนลงนิดหนึ่ง ความปรุงคิดมันก็ขึ้นมาเป็น แถวๆ ... ใครนะไปว่าเรา และก็สร้างเรืองจน กระทั่งว่าเราไปเข้าสมเด็จเจ้าพระยา มันออกปลิว ลิ่วๆ ไป ลมของนินทาสรรเสริญวิพากษ์วิจารณ์ ลมของโลกธรรม มันเอาเราเป็นว่าวติดลมบนแล้วทีนี้พอรู้ตัว จะให้กลับมาอยู่กับตัวเราอยู่ กับลมหายใจมันไท่อยู่เผลอกระพริบตาเดียว เป็นต้นว่า ตอนตีนไม่มีสตินิดเดียวแค่นั้น เราบ้าไป ค่อนวัน กว่าจะเอาใจมาอยู่กับลมหายใจได้ แล้วก็ ไม่ใช่อยู่อย่างปกติ อยู่กับลมหายใจสักประเดี่ยวหนึ่ง ก็ปลิวไปอีก ...ใครนะ มาว่าอย่างนี้ มันต้องการ อะไรกัน
ดิฉันเข้าใจชัดเจนเลยว่า ไม่มีใครทำทุกข์ทำ โทษให้เรา แต่ใจเราเองนันแหละเผาเรา มันทำ น้ำเดือดลวกเราจนกระทั่งถลอกปอกเปิกหมด แล้ว เราก็ไปโทษไอ้คนบ้า ไอ้คนที่นินทาเรา แต่จริงๆ
เปล่า เขาไม่ได้ว่าอะไรเราสักคําเดียว เราว่าเองในใจเรา เป็นเรื่องเป็นราว แล้วก็ตื้นถลอกปอกเปิกจนกระทั่งตรีทูต เข้าไอซียู พอเหนื่อยมากแว่บนึกขึ้นได้ กลับมาอยู่กับ ลมหายใจเสียหน่อย ก็ดีขึ้น พอสติเผลอนิดเดียวยังกระพริบตาไม่ทันเสร็จ ไปอีกแล้ว ที่พูดอย่างนี้ จะเอาอะไรกันนี่ เห็นหรือไม่ ใจที่ไม่ได้ประกันเอาไว้ ไม่ได้ สร้างภูมิคุ้มกันเอาไว้ นี่ละ...ตัวโง่...ตัวตกนรกหมกวันหนึ่งไม่ร้กี่รอบกี่รอบถ้าใจเป็นอย่างนี ทําบัญชีก็ไม่ค่อยได้เรืองเลยมีสมุห์บัญชีท่านหนึ่งไปปฏิบัติธรรมกับท่านอาจารย์ ก็บ่นให้ท่านอาจารย์ฟังว่าเจ้านายนีหฤโหต บางทีกว่าจะเสร็จงานตั้ง 2 ทุ่ม 3 ทุ่ม เงินนอกเวลาก็ไม่ให้ แล้วยังบอกอีกว่า ถ้าคุณทํางานจริงๆ คุณพูดให้น้อยลง งานคุณจะ เสร็จตั้งแต่ 3 โมงเย็นท่านอาจารย์ก็สนับสนุนว่า เจ้านายพูดถูก เธอก็เลยพาลโกรธท่านอาจารย์ไปด้วยพอลากลับกรุงเทพฯ ท่านอาจารย์ก็สําทับ “จําเอาไว้นะ อย่าพูดมาก เอาสติไว้กับใจ จะพูดเมอ ไหร่ให้รู้สติเสียก่อน”เธอก็ค่อยๆ จับสติเอาไว้กับใจ นึกได้ก็ค่อยๆ
เอามาไว้ใหม่ เมื่อสติอยู่กับใจมากเข้า เวลาใครมา พูด ด้วย เธอก็รู้จักหยุดงานก่อนที่จะไปพูดโต้ตอบ
พอมาทำงานต่อ ที่เคยผิดพลาดเป็นอะไรต่อ มิอะไร ก็ค่อยน้อยลง น้อยลง จนในที่สุดเธอพบ ว่า บางวันงานเสร็จตั้งแต่บ่ายสองโมง เธอก็นึกว่า อ้อ! ตอนนึ่งานมันเบาลง แต่จริงๆ ไม่ใช่ มันก็งาน เท่าเดิม
แต่เพราะเราไม่เห็นใจของเราเอง ไม่ระลึกรู้ว่าระหว่างทีเราทํางานด้วย ใจเราแวบไปฟังคนโน้น
ไปพูดกับคนนี้ ก็ฟังวิทยุไปด้วย มือก็เขียนหนังสือไปด้วย แล้วสิ่ง ที่ทำนั้นถูกหรือ จริงๆ มันไม่ถูก
เพราะใจของคนเรา ถ้าไปรับรู้ทีประสาทหูเมื่อทเขียนอยู่ก็ดับนิ่งสนิท กลายเป็นหุ่นเฉยๆ
จะเขียนด้วย ฟังด้วย มันก็ต้องกระพริบ เหมือน ไฟฟ้าตามบ้าน เป็นไฟสลับ เป็นไฟกระพริบ แต่ ไม่มีใครที่จะรู้สึกว่าไฟฟ้าเป็นไฟกระพริบ เพราะ ประสาทตาไม่ไวทันที่จะเห็นจังหวะที่แสงไฟกระพริบ สติของเราก็กระพริบไว จนกระทั่งเราไม่รู้ว่าที่เรา ทำงานสองอย่างสามอย่างได้ในเวลาเดียวกันนี ใจ เรากระพริบ จริงๆ เราทำได้ทีละอย่าง กระทังเราไม่เห็นว่า ช่วงที่กระพริบนั้น ก่อความ เสียหาย แต่ถ้ามันเกิดไปกระพริบเอาในวินาทีวิกฤติ เป็นตันว่า ดิฉันเป็นหมอ แล้วดิฉันเล่นหุ้นด้วย ก็ สียบหูฟังเอาไว้ ขณะที่กําลังจะผ่าตัดเล็กๆ คนไข้แล้วเกิด อูว์! หุ้นกําลังตื่นเต้น มือดิฉันทีกําลังผ่าคนไข้ อาจจะไม่ผ่าลงไปตรงพยาธิสภาพเขา แต่ผ่า
ลงไปบนเนื้อดีๆ ของเขา หรือลงมีดไปบนเส้นเลือดเขา อะไรทํานองนี้ ก็เลยทําให้มีอุบัติเหตุร้ายแรง
ขึ้นได้ ถ้าไม่มีใครจับได้ไล่ทัน ดิฉันก็สรุปว่า คนไข้มีเหตุสุดวิสัย ทนพิษบาดแผลไม่ได้เลยเสียชีวิต แต่
จริงๆ ดิฉันรู้ว่า เป็นเพราะดิฉันมัวแต่ฟังข่าวหุ้นแทนที่จะตั้งใจทํางานตามหน้าที่เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เราจะได้พยายามประกันใจ เราเอาไว้ ไม่ให้เกิดอุบัติเหตุอย่างนี้ ไม่ให้เกิดการล้มละลายขึ้น แล้วก็มีภูมิคุ้มกันต่อโลกธรรมทั้งหลาย มีอะไรมากระทบหูเรา อย่าให้ใจปลิวตามไปอย่าง ตัวอย่างที่เล่ามา ท่านอาจารย์ให้คาถาเอาไว้ พอเรืองอะไรซัก ไม่ชอบมาพากล"ภาษามคธ ภาษามคธ ฟังไม่รู้เรื่อง"เพราะว่าจริงๆ แล้ว ไม่ใช่เสียงเขาที่พูด ที่ มาทําให้ใจของเราถลอกปอกเปิก แต่เพราะเราเอา เสียงเขามาแปล การที่เขาถามเราว่า ออกจาก โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยามาแต่เมื่อไหร่ ถ้า เปลี่ยนเป็นออกจากโรงพยาบาลศิริราชมาแต่เมื่อไหร่
เราก็ไม่เดือดร้อน เพราะคนเราเจ็บได้ เข้าออกโรงพยาบาลได้ แต่ทีนี้เราไปให้ความหมายว่า โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยานั้น ปกติเราไม่เข้าออกกันหรอก ถ้าใครมาปล่อยข่าวว่าเราไปอยู่มานี่ มันดูถูกดุหมิ่นเรา มันคิดว่าเราเป็นอะไรไป ใจที่ปรุงคิดไปนี่ล่ะ คือตัวร้ายนักที่ทำให้เรา ฟกซ้าดำเขียว แล้วไปสร้างเวรสร้างภัยขึ้น เราคิด เอาเอง เออเอาเอง แต่จริงๆ แล้ว เขาอาจจะไม่ได้ คิดอย่างนันก็ได้ ถ้าเรามีภูมิคุ้มกันจริงต่อโลกธรรม เหมือน ดิฉัน ท่านอาจารย์บอกแล้วว่าไม่ต้องอธิบายอะไร ท่านก็มีเหตุผลของท่าน เพราะฉะนั้น เรา พยายามเอาสติไว้กับใจเรา เอาไว้กับใจเรา เอาไว้ กับใจเรา ให้ต่อเนื่องกันมากขึ้น มากขึ้น เมื่อเราปฏิบัติอย่างทีท่านอาจารย์ว่า• คนเขารํ่าลือกันว่า ดิฉันไปเข้าโรงพยาบาลสมเด็จ เจ้าพระยาอย่างโน้น อย่างนี้ ใจดิฉันฟังเหมือน ดิฉันไม่ได้ฟังเรืองของตัวเอง ไม่ได้มีตัวเรา หน้าตา ศักดิ์ศรีเรา ว่าตายแล้ว นี้หน้าเราฉีกจนกระทั่งทำศัลยกรรมตกแต่งเย็บไม่ติดแล้วนะมันมีแต่ความรู้สึกสลดใจว่า เออหนอ ปาก คนนี้ช่างร้ายจริงๆ สามารถพูดเรื่องไม่เป็นเรื่อง แล้วก็ปั้นน้ำเป็นตัว ได้ยิ่งกว่าเป็นเจ้าของโรงทำน้ําแข็งอีกแน่ะ แล้วจะเอาใจเราเข้าไปเป็นเขียงให้ คําพูดเขาสับทําไมกันแล้วยังรู้สึกต่อไปอีกว่า ถ้าใครเป็นคนมีเหตุมี อยากรู้ความจริง เขาต้องมาถามเรา หรือกลัว ว่าเราจะปกปิดความชั่วของตัวเอง ก็มาที่วัดสิ ไป กราบเรียนถามท่านอาจารย์เอา
วิธีแก้ปัญหานี เราจะต้องสืบไปให้ถึงต้นตอ วิธีแก้ปัญหานี้เราต้องสืบต้นตอข้อเท็จจริง ไม่ใช่ว่าพูดกันไป พูดกันไป จนเหมือนกับเกมอันหนึ่งที่ว่า “ปากคนสร้างเรื่องได้ สารพัด”
เริ่มต้นด้วยคนสองคนกระซิบกันว่า นี่นะ เมื่อคืนนี้คุณคุณ ก ไปเที่ยวกับคุณ ข พอกระซิบกันไป กระซิบกันไป ในที่สุด คนที่กลับมากระซิบให้คน เริ่มต้นฟัง เรือ่งกลายเป็นว่า เมื่อวันก่อนนั้น คุณ กแต่งงานกับคุณ ข แล้วคุณ ก แต่งชุดเจ้าสาวสีชมพู มันไปได้ถึงปานนั้น นี่ก็เหมือนกัน เราจะไปเชื่ออะไรกับคําพูดถ้า ฟังแล้วมันไม่มีเหตุมีผล เหมือนบางครังเราอ่านข่าว หนังสือพิมพ์ที่ไม่มีมูลความจริง แล้วเราจะไปลง ความเห็นว่า คนนี้เลวจริงๆ เราก็ห้ามล้อตัวเองว่า ถ้าไม่ได้เห็นด้วยสองตาของเรา ไม่ได้ยินด้วยสองหู ของเราโดยตรงจากต้นตอ ฝัน ตื่นแล้วอย่าเป็นนัก ทำนายฝัน เอามาเล่าเพ้อเจ้อต่อ ทุกอย่างก็ดีขึ้น ใจ ของเราก็สบายขึ้น ไม่ต้องไปเสียเวลา เพราะ ไปเที่ยวกับคุณ ข กลายเป็น คุณ ก แต่งงาน กับคุณ ข ไปแล้ว พอเรารู้อะไรมา ก็เป็นโทรโข่ง พูดไปเรื่อย ครั้นต่อมาจึงทราบว่าไม่จริง ข่าวที่เราประกาศไปนั้น l ไม่จริง เราก็ต้องเสียเวลาอีก หมุนโทรศัพท์ นี่นะ ที่ฉันบอกเมือวานนี่ไม่จริงแล้วนะ ที่ฉันบอกเมือ บ่ายนี้ไม่จริงแล้วนะ ตกลงเวลาที่จะได้มาทํางานทําการ ทําสิงที เป็นคุณเป็นประโยชน์ ก็หมดไปอีก ไหนจะทําบัญชี เหนือยแล้ว เวลาจะอยู่กับคนข้างเคียงที่บ้านก็แทบไม่มีอยู่แล้ว ยังมีเรื่องไร้สาระมาเป็นเครื่องเบียด เบียนเอาเวลาเราไปอีก แล้วเราก็บ่น งานบัญชี นี่เหมือนปิดทองหลังพระ เหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว จะตายอยู่แล้ว ต้องคอยมาตรวจตรา เฮียบเหมือน อย่างกับให้แต่โทษเขา ใครที่ไหนจะชอบปิดทองหลัง พระ เหนื่อย เหนื่อยจรง ๆ งานอะไร อะไร อะไร ทั้งหมดนี้ ถ้าเรามอง ตามความเป็นจริงแล้ว ก็เปรียบเหมือนเฟืองแต่ละเฟืองในเครื่องจักร เ หรือในนาฬิกา จะเฟืองตัวเล็ก เฟืองตัวใหญ่ ทุกตัวต้องหมุนเป็นจังหวะเดียวกัน ถ้า เกิดมีเฟืองตัวเล็กๆ จิวๆ หมุนผิดจังหวะเสียนิดเดียว เพราะฉะนัน ทุกๆ งาน ทุกๆ สายงาน ล้วน มีความสําคัญด้วยกันทังนัน มีภาษิตว่า ถ้ามองข้ามรัวเราออกไป หญ้า นอกรัวจะดูเขียวขจีกว่าหญ้าในรัวของเรา คือเราจะรู้สึกว่า อะไรที่ไม่ใช่ของของเรา จะดูดีกว่า มีคนนิยมชมซื่นมากกว่า ของเรามีแต่ขยะ
ถ้าคิดอย่างนี้เราทุบถองใจเรา เราต้องชมเชย เราต้องไห้กําลังใจเราว่า ทองนี ถ้าปิดแต่ข้างหน้า เท่านั้น หลังพระก็แย่ ไม่น่าดูเราเป็นคนมีกําลังใจสูง มีความมั่นใจ อะไร ทีเราทําก็เพราะเราอยากทํา ไม่ใช่ทําเพราะอยาก ให้คนมาสรรเสริญเรา เราทําแล้วเราก็มีความอิ่มใจ มีความสุขใจว่าเราได้ทําสิ่งที่เหมาะที่ควร เราจะปิด ทองที่ตรงไหน ผลก็เหมือนกันแหละ จะหน้าพระหลังพระ ฝ่าเท้าพระ หรือบนหน้าผาก บางคนบอกถ้าติดที่หน้าผากพระแล้วจะมีปัญญา ติดที่เท้าพระ ชีวิตจะระกำลำบาก ต้องเดินอยู่นั้นแล้ว ลองเดินไม่ได้ดูสิ ใครบ้างอยากจะเป็นอัมพาต เดินไม่ได้ พอถึงตอนนั้นก็จะเห็นบุญคุณขอเท้ากันแหละ มีนิทานเรื่องหนึ่งเล่าว่า สมัยโบราณสัตว์กับ คนพูดกันได้ ก็มีเศรษฐีชาวอาหรับที่ประกาศอยู่ เสมอว่า ทองคําเป็นสิ่งมีค่าสูงสุด วันหนึ่ง เศรษฐี บรรทุกทองคำไปบนหลังอูฐจะไปแลกซื้อสินค้า เสร็จ แล้วบังเอิญหลงทางวนอยู่ในทะเลทราย จนกระทัง น้ำดื่มทีเอาไปด้วยหมดลง
พ่อค้าโกรธอูฐมาก สังอูฐว่า “รีบๆ หาทางออกให้พบจะได้พ้นทะเลทราย ไม่อย่างนั้นเราจะตายเพราะไม่มีนํากิน"อูฐก็ตอบว่า “ข้าแต่นาย ก็ทองคำของเราที่ นายบอกเสมอว่ามีค่าสูงสุดน่ะ อยู่บนหลังกระผมตั้ง เยอะแยะมากมาย ทำไมนายไม่เอามาคั่นให้เป็นน้ํา หยดออกมาล่ะ ก็นายบอกว่าทองคํามีค่าที่สุด ทำไม นายไม่เอาทองคำมากินแทนน้ำเสียล่ะ"เห็นหรือไม่ ของทุกอย่างมีคุณค่าในตัวของ มัน ทองคําอาจจะมีค่าที่สุดจริงในตลาดการค้า
ในภาวะที่หลงทางอยู่กลางทะเลทราย นําซึ่งเรารู้สึกว่าไม่ได้มีสนนราคาอะไร กลับเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด ถ้า
ไม่มีแล้วชีวิตเราก็อยู่ต่อไปไม่ได้ ทั้งๆ ที่เรามีทองคำ อยู่อาจจะสูงเท่าตัวเรา แต่ทองคำก็ไม่สามารถทำให้ เรามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ถึงเราจะเอาทองคําไปแลกกับนำขันหนึ่ง ก็ไม่มีนําให้เราแลกได้ เพราะฉะนัน เฟืองทุกๆ เฟืองในเครืองจักร ทุกๆ คน ทุกๆ สายงาน ล้วนแต่มีความสลักสําคัญทั้งนั้น
ขอให้เรามีความภูมิใจ มีความพอใจในแต่ละ สิ่งที่เราทํา ใจของเราจะได้มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง
สุขภาพใจที่สมบูรณ์ สามารถทําให้ของที่เป็น ไปไม่ได้ ก็อาจเป็นไปได้ เพราะถ้าเรามีกําลังใจแล้ว ไม่มีอะไรยากเกินความเพียรพยายามของมนุษย์ไปได้แต่ถ้าใจไม่รักไม่อยากทำ มันเกิดความเสียดทาน เพราะใจก็ไปทาง ตัวก็อยู่อีกทางหนึ่ง งาน ง่ายๆ ก็กลายเป็นของยาก เราอย่าให้สิ่งเหล่านี่มา เป็นภาพลวงตา มาเป็นพยับแดด ทำให้ชีวิตของเรา ต้องทุกข์เดือดร้อนเพราะสิงที่ไม่มีอยู่ แต่เป็นเงาที่ใจเราสร้างขึ้นมาหลอกเราเองถ้าเห็นอย่างนี้แล้ว เราก็จะตั้งต้นสะสมทุนให้เมื่อสร้างภูมิคุ้มกันต่อโลกธรรม เราไม่หวั่นไหวตามลมปากคนค่อนว่าแล้ว เพราะเรารู้อยู่ว่าเราทำอะไร ใครอยากจะพูดให้ปากเขาฉีกถึงท้ายทอย ก็เชิญให้เขาพูด ถ้าพูดแล้วเขามีความสุขใจ ก็สาธุ อย่างน้อยที่สุดเราก็ได้ทําบุญเพราะเราไม่ได้ ไปขัดคอเขา เราทําให้เขาสบายที่เขาจะได้ระบาย ความอัดอันตันใจทิ้งไป แต่เราไม่ต้องไปเก็บเอามาใส่ไว้ในใจเรา ให้ ใจเรากลายเป็นถังขยะที่แน่นหมักหมมจนบูดเน่าก็กองทิ้งไว้ตรงนันแหละ แล้วเดินตัวปลิว ไปไหนๆ ของเราอย่างเป็นอิสระต่อไปเราก็มาสะสมทุนให้กับตัวเอง ด้วยการพยายามหาสิ่งที่เป็นมนุษยสมบัติให้เราธรรมะสอนไว้ ง่ายนิดเดียว เราเป็นชาวพุทธเรามีศีลห้า ถึงไม่ใช่ชาวพุทธ เป็นชาวคริสต์ ก็มี
สิบประการ จะเป็นอิสลามก็มี ทุกๆ ศาสนา บูตทพูดถงศลธรรมการที่เราจะประพฤติตนให้ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ทําเราให้มีฐานรองรับใจ หรือเหมือนเป็นเสื้อผ้า จะออกไปไหน ก็ไม่ประเจิดประเจ้อ หลายคนไปคิด ว่า ศีลเป็นข้อห้าม ไอ้นีก็อย่า ไอ้นันก็อย่า โอย! อึดอัดใจ เหมือนถูกคุมขังอยู่ในคุกถ้าคิดอย่างนัน การรักษาศีลเป็นการทําร้าย ตัวเองแต่ถ้าคิดเสียใหม่ว่า ศีลนี้เป็นเสื้อผ้า เราจะไป ไหนมาไหน ไม่มีใครอยากโป๊ ไม่มีใครอยากเปลือยออกไปเป็นแน่ เราก็อยากมีเสื้อผ้าบังร้อนบังหนาว ให้เราดูเรียบร้อย มันอกมันใจว่า ถูกกาลเทศะถ้ามีความคิดอย่างนี้ยากเลยในการจะทําศีลให้ครบถ้วน ... แล้วถ้าใครกําลังฝึกปฏิบัติใจอยู่ ก็เอาศีลห้านี่แหละ มาขยายให้เป็นศีลปรมัตถ์ขึ้นไปกลุ่มผู้ปฏิบัติกลุ่มหนึ่งอธิบายศิลข้อทีหนึ่งที่บัญญัติว่า เราจะไม่เบียดเบียนหรือฆ่าสิ่งมีชีวิตทั้ง ปวง ละเอียดลงไปถึงว่า เราจะไม่ฆ่าลมหายใจของ เมื่อไรที่เราทำลมหายใจของเราให้ผิดปกติ เป็นต้นว่า เวลาโกรธแล้วเรารู้สึกว่าหายใจไม่ทัน อก จะระเบิต เราจะต้องมาดูแลลมหายใจให้กลับเป็น ปกติ เพราะฉะนั้น กิเลสจะมาคาบเอาเราไปทำพฤติกรรมไม่ดี ทําวาจาไม่ดี ไม่ได้ เพราะเราคอย ดูแลรักษาลมหายใจของเรา เราจะไม่ฆ่าลมหายใจ ของเราเอง เราจะไม่เบียดเบียน ไม่ทําร้ายลมหายใจ ข้อทีสอง เราจะไม่ลักขโมยของของคนอื่นร่างกายของเรานี้ ท่านบอกว่ามาจากดิน น้ำ ลม ไฟ คือไปขอยืมมาจากแผ่นดิน แผ่นน้ำ แผ่น ฟ้า แล้วก็ไฟธาตุที่ทําให้กายอบอุ่น ถ้าเมื่อไรเรา เจ็บขึ้นมา แล้วทําท่าว่าจะถึงตาย อย่าไปทุรนทุราย ขัดขืนว่า โอ๊ย! ตายไม่ได้นะ ความเป็นจริงเราขอ ยืมมาใช้นานแล้ว เจ้าของเขาแจ้งใบทวงมา ต้อง อบรมใจให้พร้อมทีจะส่งคืนเขาไปเลย กำหนดสติดใจของเราให้ดี เรากำลังจะแจ้ง ออกจากโรงแรม เตรียมบัตรเครดิตไว้ให้พร้อมเพื่อ จะได้เดินทางต่อไป แล้วไปหาทีพักใหม่ที่ถูกตาถูกใจ เรามากกว่าเดิม ศีลข้อสองเราก็บริสุทธิผุดผ่อง ข้อที่สาม ไม่ใช่แต่เพียงว่าเราจะไปหมายตา เอาคู่ครองของคนอื่น เพราะเก่าๆ เป็นสนิม ใหม่ๆ น่าสนใจกว่า ท่านแจกแจงว่า กามวัตถุไม่ใช่แต่เพียงเพศ ตรงกันข้ามเท่านัน อะไรที่เป็นรูป เป็นเสียง เป็นรส เป็นกลิน เป็นสัมผัส วัตถุทั้งหลายในโลกเหล่านี้ เมื่อไรใจของเราไปหลงใหลมัวเมา ยึดติดกับมัน แล้วอยาก จนต้องทําทุกอย่างเพื่อให้ได้สมปรารถนา เราก็ผิดศีลข้อสามแล้ว เพราะใจตกเป็นทาส
เป็นต้นว่าดิฉันนั่งเก้าอีตัวนี้ มันนิ่มสบายจังเลยทําอย่างไรถึงจะคีบเก้าอี้ตัวนี่กลับ บ้านไปด้วย ทำอย่างไรถึงจะคีบเก้าอี้ตัวนี้กลับบ้านไปด้วยได้นะ ดิฉันก็ผิดศีลปรมัตถ์ข้อสามแล้ว เพราะติด ในรสสัมผัสของความนุ่มของเก้าอี้ ถ้านึกทันอย่างนี้ เราจะได้ระมัดระวัง มีพระฝรั่งองค์หนึ่ง ท่านอาจารย์ทางอีสาน พอท่านอาจารย์เทศน์ถึงว่า ศิษย์พวกนี้ข้องติดอยู่ในราคะ ท่านก็นึก พระไทย เวลาไปบิณฑบาต เห็นสาวๆ มาใส่บาตร ก็กลับมา คิดถึง ท่านไม่ได้นึกถึงว่าเป็นท่านเลย พระอาจารย์ท่านก็เทศน์ซ้ำอยู่นนละถึงเรื่องนี้ คืนหนึ่งก็แล้ว สองคืนก็แล้ว คืนสามก็แล้ว จนถึงคืนหนึ่ง ท่านก็นึกขึ้นได้ว่า ท่านจะฝันทุกคืน ว่าท่านได้กลับไปเมืองนอก แล้วก็ไปกินไอศกรีม บ้าง ขนมคุ้กกีรสชาติอร่อยทีเคยชอบบ้าง ท่านต้อง มาฉันแต่อาหารอีสานซึ่งแสนจะเผืด น้ําหูน้ําตาไหล ขณะที่ท่านนึกถึงตรงนี้ขึ้นมา ท่านอาจารย์ก็เทศน์ พวกนพูดกเขาหูซาย ยายออกหูขวา ไม่รู้จัก มองใจตัวเอง
ท่านก็มองหน้าท่านอาจารย์ หือ! ที่เราฝันนี้ แปลว่าเรายังติดในรส เรานั่นแหละที่ยังไม่หลุดออก ไปจากกามราคะบางครั้งเรามองแต่ตื้นๆ ก็เลยหลงวา เรา บริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่ถ้าคิดถึงศีลข้อนี้ให้ละเอียดอย่าง
ที่กลุ่มผู้ปฏิบัติอธิบายไว้ ใจของเราก็จะสงบสงัดดีขึ้น ข้อที่สี่ เราจะไม่พูดปด เราจะไม่พูดปดแม้กับความคิดของเรา ถ้าเรา ตั้งในใจเอาไว้ว่า เสาร์อาทิตย์นี้จะไม่เถลไถล เพราะ งานของเราที่คังค้างไว้ มันไม่ใช่เป็นแค่ดินพอกหาง หมู่ แต่ชักจะเป็นดินพอกตัวหมูแล้วแหละ ก็จะ ต้องสัตย์ซือต่อความตั้งใจนี้ของเรา ไม่ใช่ว่า พอถึง วันเสาร์ เพื่อนกริงมานี่ฉันเพิงมาจากปักษ์ใต้ เธอ ว่างไหม ว่างสิ แล้วเราก็ไปเที่ยวกับเพื่อน เสาร์ก็ แล้ว อาทิตย์ก็แล้ว พอนึกได้ก็คําเสียแล้ว ตายจริง ไอ้โน่นก็ยังไม่เสร็จ ไอ้นีก็ยังไม่เสร็จ แต่ช่างมัน เถอะ เพราะเราไม่ได้เจอเพื่อนมาเป็นปีแล้ว ถ้า อย่างนี้เรียกว่าเราผิดศีลข้อสี่กับตัวเองเราก็จะเป็นคนปลอมต่อไป ทําอะไร อะไร เราก็จะพูดปด
พูดไม่จริงและทําไม่จริง ข้อที่ห้า ไม่ใช่ว่าจะต้องไปดื่มสุรา เครื่องดอง ของเมา ถ้าเมื่อไรใจของเราไปหลงใหลได้ปลื้มกับ อะไร ก็แสดงว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งเสพติด อารมณ์อะไร ก็ตามที่ประเดียวประเดียวเราก็แวบไปคิดถึง อันนัน ก็เป็นเครื่องดองของเมาที่ทําให้ใจของเราหลุดออก ไปจากเหตจากผล ถ้าเรารักษาศีลข้อนี่ได้ถี่ถ้วนอย่างนี้ ใจของ เราจะไม่ไปฟุ้งซ่าน สร้างวิมานในอากาศ ใจกับตัวก็ จะมาอยู่ด้วยกัน เป็นปัจจุบัน อะไรๆ ก็จะเกิดประโยชน์มาก อย่างที่สมุห์บัญชีท่านนั้นว่า เจ้านายหฤโหด ขุนทาส เงินล่วงเวลาก็ไม่ให้ แต่ จริงๆ งานของเราเสร็จตั้งแต่ 2-3 โมง ถ้าทําได้อย่างนี้ ใจของเราก็จะเบาสบาย เพราะอะไร เพราะเราไม่ไปคิดถึงอดีต ไม่คิดถึงอนาคต ก็ ไม่วิตกกังวล ไม่เสียอกเสียใจ เราอยู่กับความจริง อะไรเกิดขึ้น ถ้าเผลอเอาใจไปคิดไว้ว่า มันน่า จะเป็นอย่างนัน มันน่าจะเป็นอย่างใน พอเรื่องจริง
เกิดขึ้นไม่ตรงกับทีคิด เราก็สติแตก โอ๊ย! เป็นไปไม่ ได้ เป็นไปไม่ได้ แทนที่จะถอนใจให้มาอยู่กับความจริง เราเลยสับสน ไม่รู้อยู่ในโลกไหน อยู่ในแดนสนธยา หรืออยู่ในอะไรกัน ถ้าเราเพียงแต่รักษาใจให้เป็นปัจจุบัน และ ประกันใจเราเอาไว้ สร้างภูมิคุ้มกันสะสมไว้เรื่อยๆอีกหน่อยบัญชีชีวติของเราก็จะมีแต่เงินสะสม หนี้สิน ลดน้อยลง ตัวแดงที่จะเผลอ ทําไปแล้วก็ได้คิด อย่างนี้ไม่ทําอย่างที่ทําไปแล้วก็ดีหรอก มันทําไม่ได้ อาชีพของท่าน อาจจะไม่เห็นชัดอย่างอาชีพ ดิฉัน ถ้าเมือไรดิฉันแผลอไปว่า รู้อย่างนี้ไม่ทำ อย่างที่ทำเมื่อกี้ มันไม่ได้ เพราะถ้ารู้อย่างนี้ไม่ทำ อย่างที่ทำเมื่อกี่นี่ คนไข้ดิฉันตายไปแล้ว พอดิฉัน ดัคิด รู้อย่างนิ ดิฉันไปจับทิหน้าผากคนไข้ เมื่อกี้ เรื่องเล่นนะ ไม่ใช่เรื่องจริง หายใจมาใหม่ หายใจ มาใหม่ มันก็เป็นไปไม่ได้ใช่ไหม เราจึงถูกสอนกันว่า อย่ามารู้อย่างโน้นรู้อย่าง คิดให้รอบคอบ รับผิดให้ได้ อย่างหน้าชื่นตาบาน
เอาความผิดนี้มาพินิจพิเคราะห์ให้ ฉันไม่เผลอผิดอีก เราก็จะก้าวหน้าไปเรื่อยๆ ชีวิตของเราก็จะทำงาน บัญชีเป็น ทินิกิจะเริ่มร่มเย็นล่ะ ต่อไปๆ ทั้งๆ ที่เราไม่ได้คิดว่าเราจะทําบัญชี แต่สติที่ฝึกให้มีอยู่ จะมาคอย พอเราจะเผลอไปทํา อะไรอย่างทีเราเคยทำเป็นอัตโนมัติ ห้ามล้อจะมา เอง แล้วเราก็จะไม่พูดอย่างที่เคยเผลอพูดไป ไม่ทำ อย่างที่เคยเผลอทำไป พอจบวัน เราสวดมนต์ไหว้ พระจะนอน เราทบทวนวันนี ถึงจะทำผิดถูกตำหนิ ถ้าเราหมุนเวลากลับไปได้ใหม่ เราก็จะยังยืนยัน ว่า เราจะทำอย่างที่ทำไปแล้ว เพราะว่าการทำผิดอันนั้นทำให้เราได้เห็น ได้รู้เพิ่มขึ้น ได้ฉลาดขึ้นต่อไปเราก็จะไม่สร้างหนี้ให้ตัวเองด้วยความรู้เท่า ไม่ถึงการณ์อีก ตกลงความผิดก็เป็นครู ความถูกก็เป็นครู ทําให้เรามีความมันใจว่า ถ้าเราเกิดไปหลงทิศ หลง ทาง ไปอยู่ในที่คับขัน เราก็พอจะมีทิศทาง หาเข็ม ทิศ หาแสงของปัญญา มาเป็นแสงสว่างพาเราออกจากที่ที่เราหลงได้ดิฉันเชื่อว่าพวกท่านทังหลาย จริงๆ ท่านก็ ทำเป็นอยู่แล้ว แต่เหมือนดิฉัน ที่คิดแต่เอาสติไว้กับ งานเวลาดูแลคนไข้ ไม่เอามาเอื้อเฟือเจือจานกับ ชีวิตส่วนอื่นๆ ก็เลยยังทุกข์เดือดร้อนอยู่ ตอนนี้พวกท่านก็ทํางานบัญชี แต่ไม่ใช่ทําแต่ ประกันภัย ขอให้ทํางานบัญชี ประกันใจของเรา ประกันชีวิตของเรา หาเงินสะสมให้แก่ชีวิตของเรา ด้วย คราวนีชีวิตของเรากิจะร่มเย็นสบาย ก็ไม่ทราบว่าท่านใดมีปัญหาจะไต่ถาม หรือ อยากจะเสริมเติมอะไร ขอเรียนเชิญค่ะ ดิฉันเพิ่งเห็นว่า ได้พูดเกินเวลาเข้าไปหน่อย ก็พูดแบบเข้าข้างตัวเองว่า ด้วยความตั้งอกตั้งใจ โปรดเอาไปลองปฏิบัติดูด้วยไม่ใช่กองทิ้งไว้ที่โต๊ะในห้องนี้
ดิฉันก็ดีใจทีพวกท่านให้โอกาสมาสนทนากัน ในคําคืนนี่ พร้อมทั้งรับว่าจะเอาความคิดดิฉันไปทดลองทําดู ดิฉันเชือว่าทุกท่านจะมีชีวิตที่ร่มเย็นสบาย กราบขอบพระคุณค่ะ
คนที่ไม่มีธรรมเป็นเครื่องดำเนินตาม คงจะหันไป ทางทุจริตโดยมาก ถ้ารู้น้อยก็โกงไม่ค่อยคล่องไม่ค่อยสนิท ถ้ารู้มากก็โกงมากขึ้นและโกงพิสดารขึ้น ควรหาอุบายแก้ ด้วยการสอนให้มีวิชาความรู้พอที่จะประกอบกิจอันเป็น คุณประโยชน์และมีคุณธรรมในสันดาน กับมีประโยชน์แก่ บ้านเมืองให้มากขึ้น
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พิมพ์โดย ปภัสสร มีพงษ์
แหล่างที่มา http://web.krisdika.go.th/buddha/praganJai.pdf
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น