Header Ads

วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2561

บทความหมออมรา สร้างกุศลอย่างให้ชีวิตเป็นสุข

บทความหมออมรา
สร้างกุศลอย่างให้ชีวิตเป็นสุข

ชื่อผู้เขียน       พญ อมรา มลิลา
วันที่              วันที่ 29 กรกฏาคม 2546
ณ                 ชมรมพุทธธรรม รามาธิบดี หน้าห้องประชุมอารี วัลยะเสวี โรงพยาบาลรามาธิบดี
หมวด
อันดับที่       


                   คนเราปฏิบัติธรรมหรือไม่ปฏิบัติธรรม ก็หวัง ให้ชีวิตตนเป็นสุขด้วยกันทั้งนั้น จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจหัวข้อที่จะสนทนากันวันนีก็ว่า สร้างกุศล อย่างไรให้ชีวิตเป็นสุข เราก็มาพิจารณาดูว่า สร้างกุศลนั้น คือการสร้างอะไร กุศล โดยความหมาย คือ ความดี ความฉลาด อะไรก็ตามทีเราคิดว่าจะเป็นความดีงามเป็นเสบียงให้ใจของเรา ให้ชีวิตของเรามีความสุข เราก็ทําส่วนใหญ่เมื่อเราทํากุศลแล้วไม่เป็นสุข เพราะอะไร เพราะว่าโดยสัญชาตญาณเมื่อเราทำอะไรไปแล้ว ยังรู้ว่ากุศลเป็นของดี เราก็
เกิดความโลภ เหมือนเราลงทุน ใจทีไปคิดโลภ คิดว่าเราจะต้องได้อะไรกลับคืนมา ก็เลยทำให้เราไป คอยไปหวังอยู่กับผล เหมือนเราปลูกต้นไม้ ยังไม่ ทันรอเวลาให้เม็ดได้ค่อยๆ งอกเป็นลําตัน เราก็หวัง จะให้มีดอกมีลูกแล้ว ใจที่มุ่งคอยเวลาที่เราทำกุศล อะไร ก็จะเป็นทํานองนี่ แทนทจะมความสุข มความ ปีติอิมเต็ม ก็เลยวุ่นวีวุ่นวาย กระสับกระส่ายเหมือนคนบางคน ทุกข์ทับซ้าซ้อนเพราะคิด ให้เป็นกุศลไม่เป็น มีโอกาสไปวัดกราบครูบาอาจารย์ แทนที่จะประคองใจให้สงบผาสุก มัวแต่อธิษฐานขอโน่นขอนี กลบมากมุงหวงวา จะต้องเป็นไปตามคำอธิษฐานทันที ครั้นทุกอย่างไม่เร็วไวอย่างใจนึก ก็ ไปโทษท่าน ... ไหนเธอว่าท่านอาจารย์ของเธอเก่ง ท่านอาจารย์ของเธอสงสัยของปลอมเสียแล้ว ... ใจที่หงุดหงิด ผลไม่ได้อย่างใจ ก็ทำให้เราไม่มีความสุขแล้ว ใจที่อยากแล้วไม่ได้อย่างที่อยาก ก็ไปเพ่ง โทษท่านเข้าอีก หาว่าท่านอาจารย์เป็นของเก็บ ไม่ศักดิสิทธิ แทนทีจะได้กุศล เพราะเราไปกราบพระ รัตนตรัย ไปวัด ไปหากุศล แต่ใจของเราเป็นใจที่
ไม่ฉลาด แทนที่เราจะไปสร้างกุศล เราเลยไปสร้างอกุศลมาเบียดเบียนตัวเอง ทําทุกข์ทําโทษให้ตัวเอง ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เมื่อเช้านี้ดิฉันหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านเป็นเรื่องของนางอัมพลิกา หญิงงามเมืองสมัยพุทธกาลนางคนนีมีชื่ออัมพลิกา เพราะเหตุว่าเกิดมาจาก โคนต้นมะม่วง มะม่วงคืออัมพะ พระเจ้าแผ่นดินไปพบเด็กคนนี่เกิดจากโคนต้นมะม่วงก็เอามาชุบเลี้ยงจนเจริญวัย เป็นหญิงสวยงามมากเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น เพราะบิดาบุญธรรมเป็นผู้ดูแลพระราชอุทยาน บรรดาผู้มีศักดิตระกูลที่เข้า ออกราชสํานักได้เห็นนาง ก็ทะเลาะเบาะแว้งวิวาทกันเพราะปรารถนานาง เกิดเป็นกรณีฟ้องร้องถึง โรงศาล ศาลเลยตัดสินให้นางมาเป็นหญิงงามเมืองสมัยนั้นสตรีซึ่งเป็นที่หมายปองของผู้มียศ ศักติตลอดจนเจ้านายจากแคว้นต่าง ๆ บิดามารดา ไม่อาจตัดสินใจยกให้ผู้ใด เพราะเกรงภัยจากผู้ที่ถูก ปฏิเสธ จึงอ้างว่าไม่คู่ควรจะเป็นสมบัติของใครแต่ผู้เดียวถ้าไม่ออกบวช ก็ไปเป็นสาธารณสมบัติ บ้านเมืองถือเป็นศรัเป็นเกียรติยกย่องแต่งตั้งขึ้นเป็นหญิงงามเมือง นางอัมพลิกาก็เลยเป็นหญิงงามเมือง ของแว่นแคว้นไปต่อมา นางได้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์ เกิด เลื่อมใสศรัทธา บวชเป็นภิกษุณพากเพียรปฏิบัติ จนกระทังสําเร็จเป็นพระอรหันต์ก็มีคนเล่าถึงสาเหตุว่าทําไมนางอัมพลิกาจึง ต้องมาเป็นนางคณิกา ในชาติภพหนึ่ง นางเคยบวชเป็นภิกษุณี จาริกไปกับหมู่ภิกษุณีด้วยกันภิกษุณีองค์หนึ่งมีภูมิธรรมสูงไปด้วยระหว่างจาริกไปด้วยกันเพื่อไปนมัสการเจดีย์สิงศักดิสิทธิ์ ทั้งหลาย นางภิกษุณีท่านนั้นได้บ้วนน้ำลายลงไป บนลานพระเจดีย์ นางอัมพลิกาในชาติภพนันเป็นคนละเอียดประณีต ก็ทนไม่ได้ เลยด่าออกมาว่า อีผู้หญิงแพศยาคนไหน ถึงมาบ้วนน้ําลายในที่ไม่ บังควรอย่างนี้ ... ด้วยวาจาทีไปก้าวร้าวผู้ทรงธรรม ไปเรียกนางภิกษุณีว่า ...อีผู้หญิงแพศยา. กรรมอัน นั้นตามมาส่งผลให้นางต้องมาเป็นหญิงงามเมืองดิฉันอ่านแล้วก็สะดุ้งขึ้นมาในใจ เราไม่รู้ตัว ว่าวาจาของเราวันหนึ่งๆ จะไปกระทบกระทั่งใคร เข้าบ้าง เพราะเราไม่ค่อยระวังวาจาของเรา ตรงนี้ก็ทำให้ดิฉันได้คิดว่าวาจานี้ บางทีเราก็มีความรู้สึกมันเหมือนลม พูดออกไปแล้วก็แล้วกันไปมันไม่เป็นอย่างนัน พูดออกไปแล้ว ลมจริงพัดไป แล้วมันก็พัดไปเลย แต่ลมปากของเรา ผู้ที่เขาฟังแล้วย้อนระลึกกลับขึ้นมาใหม่ ลมที่ออกจากปากเรา พัดหายไปแล้ว แต่ความจําที่ยังจารึกอยู่ เป็นเหตุ ให้เขาเอากลับมาคิด เอามาทําให้ใจของเขาหมองท่านอาจารย์เคยเตือนพวกเราเสมอว่า เวลา ทีอะไรมันแล้วไปแล้ว ใครเขาวิพากษ์วิจารณ์เราจบ ไปแล้ว เหมือนเขาทำแกงหม้อหนึ่งมาให้เรากิน กินเสร็จแล้วเราก็ล้างหม้อให้สะอาดคว่าเก็บเสีย พวก เราไม่อย่างนัน หม้อไม่ยอมล้างเอาซุกเข้าไว้ แล้ว เผลอๆ ใจเราก็ปรุงคิดเป็นอารมณ์ ปลิวไปกับสัญญาความจำกลับขึ้นมาเหมือนไปลากหม้อแกงบูดที่ซุกเข้าไว้มาอุ่นกินใหม่ กินแล้วก็เสวยอารมณ์ทุกข์ โทมนัสอุปายาสคับแค้น สุดแต่ว่าเรื่องนั้นพัดพาใจ ให้เรารู้สึกไปอย่างไรท่านอาจารย์เปรียบเทียบว่า แกงมันบูดแล้ว เอามาอุ่นกิน มันก็เลยเกิดท้องไส้เสีย ถ้าบังเอิญ อาหารเป็นพิษอย่างแรง ไปโรงพยาบาลไม่ทัน เรา ก็ถึงตาย เพราะอะไร เพราะคิดไปโทมนัสคับข้อง ใจจนเส้นเลือดแตกตายไป หรือไม่ถึงตายก็กลาย เป็นเจ้าชายนิทรา เจ้าหญิงนิทราเห็นหรือไม่ คำพูด ลมปาก...ที่ผู้พูดก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย มีอะไรมากระทบใจเราเปรี้ยงเราก็ว่าออกไปโดยอัตโนมัติ แต่คนฟัง ฟังแล้วก็เก็บ มาคิด แล้วไม่ได้คิดหนนั้นหนเดียว เขาคิดซ้ำแล้ว ซ้ำอีก เลยกลายเป็นชนวนของปัญหาด้วยเรื่องไม่ เป็นเรื่อง เราตั้งใจจะทําดี เราไปในที่ดีๆ แต่ปรากฏ ว่าแทนที่เราจะได้ความสุข ได้สิ่งที่เป็นกุศลกลับมา สะสมเป็นเสบียงเอาไว้ กลับได้บาปติดตัวมาแทน
เราคงจะพอมองเห็นแล้วว่า จะสร้างกุศล อย่างไรให้ชีวิตเป็นสุข ดิฉันว่าเริ่มต้นด้วยการรักษาปากเราเอาไว้ให้เราพูดแต่สิงทีมีคุณมีประโยชน์ครั้งเราว่าสิ่งที่เราพูดมีคุณมีประโยชน์ แต่บังเอิญผู้ฟังต่างเผ่าพันธุ์กัน เหมือนคำเปรียบเทียบที่ว่า
คนหนึ่งเป็นลูกหมี อีกคนหนึ่งเป็นลูกปลาว่าเราเป็นแม่ และบังเอิญเราเป็นลูกหมี ลูกเราเป็น
ลูกปลา ลูกหมีเมือหนาวก็ต้องผิงไฟด้วยความรักลูกปลาว่าเป็นลูกเรา ก็ไปควักลูกปลาขึ้นมาจากน้ำ เอามาผิงไฟด้วยกันนึกถึงเรารักลูกเราเหมือนกัน เราจับลูกปลาลูกเรามาผิงไฟ ลูกปลาก็ต้องนึก โอย...แม่ฉัน ทำไมเป็นยักษ์เป็นมารอย่างนี้ จะเอาฉันไปปิ้งกินหรือ อย่างไร ถ้าเป็นเพื่อนฝูงกัน เป็นเจ้านายลูกน้องหรืออะไรก็ตาม จริตนิสัยที่ไม่เหมือนกัน ด้วยความ ที่เราไม่เข้าใจกัน เมือพูดจากัน ธรรมชาติของแม่ เมื่อเหนื่อยมาก ๆ นี้นะ...ฉันเลี้ยงเธอมา หมดข้าว ไปกีกระสอบแล้ว เธอไม่เห็นทำอะไรให้ฉันชื่นใจสักอย่างหรือบางคราว แม่ชักหน้าก็จะไม่ถึงหลังอยู่ แล้ว ลูกยังมาขอโน่นขอนี่ขอนั่น แม่ก็เกิดสติแตก ขึ้นมาดูสิ วันนั้นเอาไปตังเท่านั้น วันนี้จะเอาอีก เท่านี้ จะเอาที่ไหนมาให้ล่ะ


แม่พูดไปโดยไม่ได้คิดอะไรเลย แต่ความรู้สึก ของลูกบางคนไปคิดถึงขั้นมาเล่าให้ดิฉันฟังว่า จะ มีแม่ทั้งที ทำไมถึงได้มีแม่ใจร้ายอย่างนี้ ถ้าหากเป็นไปได้กลั่นใจตายให้มันรู้แล้วรู้รอดไป จะได้ไม่ อยู่ให้หนักอกแม่ เวลาพูดเราไม่ทันได้คิด แต่คนฟัง เขาไปคิดเป็นเรื่องได้ไม่มีประมาณ ถึงขั้นว่า ถ้ามี หนทางจะไปให้ไกลสุดจักรวาล ไม่ต้องไห้มาพบกัน อีกเลยเรื่องไม่เป็นเรื่องแท้ๆ แต่วาจาสามารถพัดกระหน่ำจนใจปรุงคิดสิ่งทีเ่ป็นอกุศลขึ้นมาประหัตประหารกันได้ พระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติเรืองวาจาว่า การรักษาวาจาของตน ให้เป็นคุณประโยชน์ ปลอดภัยนั้น ไม่ใช่แต่ว่าเราไม่พูดปดอย่างเดียว  เราอยาพูดเพ้อเจ้อ เรื่องไม่เป็นเรื่อง ไม่ควรพูด อย่าพูด บางครังพูดเล่นกัน นึกว่าจะสนุก เพราะพูดเล่นวันละนิดจิตแจ่มใส แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า อย่าพูดเพ้อเจ้อ อย่าพูดส่อเสียด อย่าพูดหยาบคาย อย่าพูดคําเท็จ ให้ระวังวาจาของตนให้ดีครบทั้ง  4 ประการนี้ แล้วชีวิตเราจะเป็นสุขตัวอย่างการพูดเพ้อเจ้อแล้วก่อให้เป็นเรื่องฝรั่งถือเป็นธรรมเนียมว่า เป็นวันที่เขาจะล้อหลอกอะไรกันก็ได้ เขาเรียกวัน April fool วกพนักงานเป็นหนุ่มวัยคะนองมีหนุ่มคนหนึ่ง พ่อเป็นโรคหัวใจ อยู่โรงพยาบาลในห้อง ไอ.ซี.ยูนายคนนี้เกิดจําเป็นต้องออกไปบริการลูกค้า ใจก็ละล้าละลัง สมัยนั้นยังไม่มีมือถือเหมือนสมัยนี้ ถ้าพ่อเป็นอะไรไป ทางโรงพยาบาลโทรศัพท์มากว่าจะรู้เรื่องกัน อาจไม่ทันการณ์ก็ได้ ก็สังเพื่อนไว้ว่าถ้ามีโทรศัพท์จากโรงพยาบาลถึงเขาให้ช่วยจดรายละเอียดไว้ไห้ด้วย เมื่อกลับมาเขาจะได้รู้เรื่องระหว่างที่เขาไม่อยู่ก็ไม่ได้มีโทรศัพท์มาหรอก แต่เพื่อนถือว่า วันนี้เป็นวันที่จะล้อหลอกอะไรกันก็ ได้ทั่งนัน พอเขากลับเข้ามา คนหนึงก็จัดแจงทํา หน้าตาข็งขัง คาดคันว่าไปตายอยู่ที่ไหน หรือมัวเถลไถลทําอะไรอยู่ สักชั่วโมงหนึงมานี้ ที่โรงพยาบาล โทรศัพท์มา รีบโทรกลับไปเสีย ไม่รู้ตอนนี่พ่อจะเป็นตายร้ายดีไปถึงไหนแล้วนายคนนี้เหนื่อยก็เหนื่อย ร้อนก็ร้อน รีบก็รีบ ความดันเลือดอาจสูงอยู่โดยไม่รู้ตัว พอได้ยินเพื่อน ว่าอย่างนั้นก็ฟุบกองไปกับพื้น ทุกคนก็นึกว่าเจ้านี่เป็นลม ช่วยกันหายาดมหายาหอมมา พอกลับรู้ตัว ขึ้นมา ปรากฎว่าขยับแขนขาไม่ได้ไปซีกหนึ่ง ตามรถพยาบาลมาเอาไปส่งโรงพยาบาล หมอตรวจพบว่าเส้นเลือดในสมองแตก กรณีนี้จัดได้ว่าเป็นการพูดเปล่าประโยชน์ พูดเล่นไม่เป็นเรื่อง ม้ไม่ได้มีเจตนาจะให้เกิดเรื่องร้าย แต่ก็เกิดขึ้นจนแก้ไขอะไร ไม่ได้แล้ว ถ้าเราระมัดระวังเอาไว้ เรื่องอย่างนี้จะไม่เกิดขึ้น หรือบางครังเราพูดเรืองจริง แต่ผิดกาลเพราะคนที่ฟังคําพูดของเราไม่ได้อยู่ในภพภูมิที่ฟังแล้วจะแปลถูกทางดังในสมัยพุทธกาล มีเศรษฐีท่านห่ง นอก จากจะทำบุญสร้างโรงทานแล้ว ยังสร้างศาลาที่พัก ริมทางให้คนที่เดินทางไปมาแล้วยังไปไม่ถึงที่หมาย สามารถเข้าไปใช้พักอาศัยได้ สร้างแล้วก็ยังเป็นห่วงเป็นใย เดินมาดูว่าคนที่ใช้ศาลาของเราเรียบร้อย ดีไหม ศาลาของเราเกิดแหว่งเว้าบกพร่องตรงไหน
จะได้ซ่อมแซมให้แลดูสวยงามสะอาดตา น่าอยู่น่า ใช้ตลอดเวลาก็ปรากฎว่า คืนหนึ่งท่านผ่านไปเห็นรอยเท้าย่ำขี่โคลนขึ้นไปบนศาลา ไม่ล้างไม่เช็ด เข้านอนทั้งๆ เท้าเลอะขี่โคลนอย่างนัน ท่านก็นึกค่อนในใจเฮ้อ ดูไอ้นายคนนี้สิ ไม่รู้จักจะทำตัวให้เจริญ คน ตอนเช้าศรีอยู่ที่หน้า ก็ต้องล้างหน้า กลางวันร้อน ศรีอยู่ที่อก ต้องเอาน้ำลูบอกให้ชุ่มชื่นใจเย็นคำศรีอยู่ที่เท้า ต้องล้างเท้าให้สะอาด ถึงจะเข้านอนหลับเป็นปกติ
ท่านเลยบ่นขึ้นมาว่า ใครกันนะ ช่างเกียจคร้านเข็ญใจเสียเหลือหลาย ทั้งเท้าเลอะๆ ก็ยังนอน ลงไปได้ความจริงท่านเศรษฐีพูดถูกทุกประการ ผู้ฟัง ควรน้อมมาสอนตัว แล้วปรับปรุงแก้ไขตัวแต่นายเข็ญใจคนนี่เป็นพาล มันโกรธที่ท่านเศรษฐีว่ามันเพราะเห็นไปว่ามันธุระอะไรของท่าน เศรษฐีด้วยล่ะ เท้าก็เท้าของมัน มันจะนอนแล้ว มันเป็นอะไรถึงจะต้องมาว่ามัน ที่นี่ไม่โกรธเปล่าๆ
วันรุ่งขึ้นมันก็ไปเผานาท่านเศรษฐี เผาแห่งเดียวยังไม่สาแก่ใจ เผาซ้ำเผาซากทุกคืนทุกวัน จนกระทัง ได้ 7 แห่งไม่เหลือนาจะให้เผาอีก มันก็ไปตัดขาวัวที่ท่านเศรษฐีมีไว้ไถนาอีก 7 ครั้ง ตัดขาม้าที่เลี้ยงไว้ สําหรับใช้เดินทางขนสัมภาระอีก 7 ครั้ง แค่นันยัง ไม่สาแก่ใจ มันไปสืบถามผู้คนที่รู้จักท่านเศรษฐี ว่าท่านเศรษฐีรักชอบอะไรที่สุด เพราะคิดว่าคน แค้นกัน จะต้องทําลายสิ่งที่ผู้นั้นรักชอบที่สุดให้พังพินาศไปให้หมด ก็ได้ความว่าท่านเศรษฐีรักวิหาร ที่สร้างถวายพระ มันก็ไปเผาวิหารเสียท่านเศรษฐีเอง ตอนสร้างวิหาร ก็คิดสร้างเพียงวิหารเดียว กิว่าเป็นบุญเป็นกุศลมหาศาลแล้ว ครั้นวิหารถูกเผาวอดวายไปหมด ท่านก็มาคิดว่า แต่ เดิม พระท่านก็อยู่สบายๆ ของท่าน เราก็อุตริไป สร้างวิหารถวายให้ท่านคุ้นเคยที่จะอยู่วิหาร แล้วเรา
ก็ไม่รอบคอบ ไม่มีปัญญาดูแลรักษาวิหาร ปล่อยให้ คนมาเผาเสียหาย ท่านไม่มีทีอยู่อาศัย เกิดความลำบากเดือดร้อนอย่ากระนั้นเลยเราสร้างวิหารขึ้นถวายท่านใหม่เถิด เพราะเราเองเป็นต้นเหตุให้ท่าน”ตกลงท่านเศรษฐีก็สร้างวิหารขึ้นมาใหม่ คนเข็ญใจก็ตามไปเผาอีก ท่านเศรษฐีก็สร้างใหม่ มันก็ตามเผาอยู่อย่างนี่ถึง 7 ครัhง ท่านเศรษฐีสร้างวิหาร ท่นึกฉุกคิดว่า เออหนอเราก็แก่เฒ่าลงทุกวันทรัพย์สินเงินทองก็ใช่ว่าจะมีอยู่ อย่างนี้ตลอดกาล เราอาจจะไม่มีโอกาสทําวิหารใหม่อีกก็ได้ถ้ามันยังบ้าเผาอยู่เรื่อยๆ อย่างนี้ ท่าน ก็เลยประกาศให้ชาวบ้านแถบนั้นทราบว่า ท่านสร้าง วิหารจวนจะเสร็จแล้ววันนันวันนี ขอเชิญมาฉลอง วิหารใหม่และอนุโมทนาบุญร่วมกันถึงวันนัน คนเข็ญใจก็มาด้วย เพราะใจยังคิด หาเรื่องท่านเศรษฐีไม่จบ มันตั้งในใจว่า ถึงท่านเศรษฐีไม่ไปเรียกตํารวจมาจับมัน หรือพูดจาให้คนรู้ คือสืบหาตัวคนร้าย ท่านก็ยังอาจผูกใจเจ็บอยู่ เวลาอยู่ในหมู่ผู้คนที่สนิทรักใคร่ในงานบุญนี่ ก็อาจจะพูดถึงความไม่ดีของมัน ถ้าท่านเศรษฐีพูดขึ้นมาสักคํา เดียวมันจะฆ่าท่านเศรษฐีให้ตายกลางงานเลยใจที่เป็นกิเลสเป็นมิจฉาทิฐิ แทนที่จะมอง ตามความจริง แล้วแก้ไขที่ผิดที่บกพร่องของตัวเอง มันกลับคิดไปว่า ท่านเศรษฐีบังอาจพูดให้มันเจ็บช้ำน้ำใจ เพราะฉะนั้น ที่มันทําลงไปทั้งหมดเป็นสิ่งที่ สมควรจะกระทํา มันก็เลยมาในงานนั้นด้วย แล้วคอยตามติดท่านเศรษฐีทุกฝีก้าว เพื่อว่าท่านเศรษฐี ทำอะไรจะได้ไม่หลุดรอดหูรอดตาไปได้ครั้นถึงเวลาที่จะทําพิธีฉลองวิหาร ท่านเศรษฐีก็กล่าวเชิญชวนให้ผู้คนทีมาร่วมอนุโมทนา โดยเฉพาะถ้าใครรู้จักคนที่มาเผาวิหารนี้ ท่านอยาก จะให้ช่วยไปบอกให้เขามาอนุโมทนาบุญด้วย เพราะ ท่านถือว่าคนๆ นี่เป็นมหามิตรของท่าน ถ้าไม่มี
คนๆ นี้ ท่านก็ไม่ได้ทํามหากุศลอย่างนี้ การสร้าง วิหารเพียงครั้งเดียวในชีวิต ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนเห็นว่า เป็นบุญล้นเหลือแล้ว นีท่านได้สร้างถึง 8 วิหารเพราะมีคนๆ นี้มาทําให้ท่านต้องทeมหากุศลถึงปานนี้ เพราะฉะนั้น ท่านจึงอยากให้ใครที่รู้จัก ช่วยไป บอกเขาด้วย ถ้าเขาไม่ได้มา ก็บอกให้เขาร่วมอนุโมทนาบุญ เพราะเขาคือผู้ทีเอาบุญเอากุศลทั้งหมด
นี่มาให้ท่านนายคนนั่นก็ตกใจ เพราะคิดอย่างนี้ไม่เป็นมันไปสะกิดท่านเศรษฐีแล้วว่าฉันเองแหละ ท่านเศรษฐีก็ดีใจ ท่านได้ยินแล้วใช่ไหมที่ฉันบอก เพราะ ฉะนั่นท่านโปรดอนุโมทนาบุญไป แล้วขอฉันต้อนรับ ท่านให้สมเกียรติหน่อย ให้ฉันได้คุกเข่าลงเพื่อแสดง ความเคารพต่อท่าน คนเข็ญใจรีบห้าม... ไม่ต้องๆ แต่ทำไมท่านเศรษฐีถึงคิดได้อย่างนี่ล่ะ... เพราะมัน เองมันคิดไม่ได้ ถ้าใครทำอย่างนี่กับมัน มันจะต้อง ฆ่าให้ตายวอดวายไปเลย ท่านเศรษฐีก็บอกว่า ท่านก็ได้ยินเราพูดแล้วความเห็นชอบของท่านเศรษฐี แทนที่จะไป คิดว่าใครหนอมันบังอาจมาทำลายข้าวของเราอย่างนี้ ท่านกลับเห็นไปว่า ถ้าเขาไม่มาเผาวิหารเรา เราก็สร้างวิหารหนเดียวก็จบกัน เราก็ได้บุญ 1 วิหารเท่านั้น นี่บังเอิญมีคนอุตริทำอย่างนี้ ทำให้เราขวนขวายสร้างวิหารขึ้นถึง 8 หลัง กล่าวคือหมุนความสูญเสียให้มาเป็นปัญญาท่านก็บอก คนนันตามความเป็นจริง
คนเข็ญใจยังไม่หายคันในใจ ฉันไม่ได้เผา แต่วิหารของท่าน 7 หนเท่านั้น ฉันยังไปเผานา ไปตัดขาวัว ขาม้า ท่านจะเปลียนใจไหม เมื่อฉันบอกท่านเศรษฐี ...เออ ไหนๆ เมื่อท่านเองเป็น คนพูดนะ ขอฉันถามสักคําเดียวว่าฉันได้ไปทําอะไร
ให้ท่านเจ็บซ้ำน้ำใจ ถ้าได้รู้ทีผิดที่จะแก้ไขได้ จะได้ไถ่โทษให้เป็นอโหสิกรรมต่อกัน จะให้ฉันทำ อย่างไร จะได้ทำให้เจ้าพอใจ เวรกรรมจะได้ระงับ ดับไป ไม่ต้องไปทำให้คนอื่นสิ่งอื่นเดือดร้อนไปด้วยคนเข็ญใจก็ตอบว่า ท่านเศรษฐีจำได้ไหม วันหนึ่งท่านเดินไปตรวจศาลาริมทาง แล้วท่านบ่นว่ามีคนไม่รู้ประสีประสา ย่าขี่โคลนขึ้นไปเลอะศาลา แล้วยังนอนทั้งตีนเลอะขี้โคลนอย่างนั้นมันคือคนๆนั่นแหละ ท่านเศรษฐีบังอาจมาว่าให้มันเจ็บช้ำน้ำใจ มันโกรธ มันก็เลยมาทําอย่างนี่แหละเป็นเราก็คงย้อนกลับไปว่า ก็เจ้าทำอย่างนั้นจริงๆ หรือเปล่าล่ะ ไม่รู้หรือมันเป็นกิริยาที่เขาไม่ทํากันเจ้าควรจะไปแก้ไขตัวเองเสีย
แต่สติของท่านเศรษฐีคมไวทันทีจะห้ามล้อถ้อยคําโต้ตอบได้ ปัญญาที่เห็นตามเป็นจริงทําให ท่านบอกตัวเองถึงทีเราพูดเป็นความจริงก็จริง แต่มันผิดกาลเทศะ เราไม่รู้จักดูให้รู้เห็นหัวใจของคนๆ ว่ามันพร้อมที่จะปรับปรุงตัวเองหรือเปล่า สอนมันได้หรือเปล่า เหมือนเราไปพูดกับคนเมาคนท่านจึงตอบคนเข็ญใจว่า ...เออ เราขอโทษ ท่าน เราปากพล่อยไปเอง... เพราะท่านพูดกับคนที่ยังไม่รู้ความ พูดไปก็ก่อโทษ มีแต่จะเสียประโยชน์ ถ้าพูดกับผู้ที่เปิดใจรับฟัง คิดจะปรับปรุงตัวเอง จึงจะเกิดประโยชน์
ถ้าจะเปรียบคนเข็ญใจว่า มีรูปร่างกลางตัว เป็นคนก็จริงอยู่ แต่ใจยังเป็นแค่ลูกหมา เราไปบอกลูกหมาวา เท้าเจ้าเปรอะนะ อย่าย่าขึ้นมาบนบ้าน มันจะสกปรก ไปล้างเท้าเสียก่อน มันก็กระดิกหาง เหมือนรู้เรื่อง แต่ก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย อีกประเดี๋ยวก็ย่ำเลอะทั่วบ้านไปหมดถ้าเราไปดุมันตีมัน มันก็เห่าก็กัดเรา เพราะมันเข้าใจว่าเราทำร้ายมัน มันต้องต่อสู้ป้องกันตัว คนเข็ญใจก็เป็นทำนองนี้เพราะฉะนั้น ท่านเศรษฐีจึงได้ขอโทษ เรา ปากพล่อยไปเอง มีอะไรที่เราจะทำเพื่อให้ท่านได้ สบายใจ เลิกโกรธ บอกมา ถ้าสามารถทำได้ เราก็ยินดีจะทำถ้าเราจะทําชีวิตเราให้เป็นสุข กุศล ที่ควรกระทำ คือพยายามทําความเห็นของเราให้
ดั่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนอกจากเราจะฝึกฝนให้เรามีการให้ทาน มีใจที่รู้จาคะ เสียสละ แบ่งปันให้ผู้อื่น เรารักษาศีลเราภาวนา ให้สติสัมปชัญญะปัญญางอกงามบริบูรณ์ขึ้น พิเคราะห์ทุกสิ่งที่มาเกี่ยวข้องกับชีวิตของเราทำความเห็นให้ถูกต้องให้ตรงที่เรียก ทิฏฐชุกัมม์ก่อนจะลงมือกระทําสิ่งใดๆ ลงไป จะมองใครก็ให้รู้ว่า คนๆ นี้ตัวเขาเป็นคน ใจเขาเป็นคนด้วยหรือเปล่า หรือตัวเขาเป็นคนแต่ใจเขายังอยู่ในภพภูมิของสัตว์ เดรัจฉาน สัตว์นรก เปรต อสุรกาย เราไปสอนไป สั่งอะไรเขา เขาก็ไม่รู้เรื่อง กลายเป็นทําให้เขาโกรธกระทําสิ่งที่ชั่วร้ายเลวทรามยิ่งขึ้น ถ้าเราฝึกให้ได้
อย่างนี้ แม้จะไม่ได้ไปวัดวาอาราม ไปตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เราก็ได้กุศลอยู่ทุกๆในชีวิตประจำวันของพวกเราที่ทำงานในโรงพยาบาลอย่างนี ก็เหมือนเหล่าพระสาวกที่พระพุทธ เจ้าทรงประทานพร เหตุมาจากคราวหนึง พระภิกษุรูปหนึ่งอาพาธ เป็นตุ่มฝีหนองตามตัว แล้วพุแตก เป็นนําเหลืองน่าหนอง เน่าเฟะเหม็นมาก หมู่พวก ก็รังเกียจ เริ่มแรกก็ไปดูช่วยพยาบาลดีอยู่ ตุ่มฝีเป็นทัวตัว หมู่เพื่อนก็ทนไม่ไหว เพราะยังไม่ทันตาย กลิ่นหนองก็เหม็นเหมือนศพเน่าแล้ว ก็ทิ ให้พระรูปนี้นอนจมอยู่ใน น้ำเหลืองน้ำเลือด ได้รับความทุกข์ทรมานมากพระพุทธเจ้าเสด็จมา ให้พระอานนท์ทําน้ำอุ่น ซักผ้าสบงจีวร ชําระล้างร่างกาย ตุ่มฝีหนอง จน กระทั่งเนื้อตัวของพระรูปนี้สะอาดสะอ้านเบาสบาย ความเจ็บปวดที่รุมเร้าอยู่ก็บรรเทาลง พระพุทธองค์ ทรงเปรียบให้ฟังว่า ร่างกายเราก็ไม่ต่างอะไรกับ ท่อนฟีน เมื่อหมดลมหายใจแล้ว เอาไปเผาเอาไปฝัง หรือทำอย่างไร มันก็ไม่มีความรู้สึก แต่ที่เรารู้สึกเจ็บปวด รู้สึกสบาย รู้สึกทุกข์ รู้สึกสุข ก็เพราะใจที่ไปยึดมันสําคัญผิด มีอุปทานมันหมายเอาไว้ความเป็นจริงร่างกายก็อันเดิม พยาธิสภาพก็ คงมีอยู่เท่าเดิม แต่ขณะที่มันอยู่ในสภาพเกรอะกรัง ด้วยน้ำเหลือง น้ำหนอง ใจทีรู้ไม่เท่าทันไม่ตรงก็ไป ยึดมันสําคัญผิดว่าทุกข์ทรมานเหลือเกิน ครั้นได้ เปลี่ยนสภาพ เพียงแค่ชำระล้างน้ำเหลืองนําหนองออก โรคก็ยังเท่าเดิม อะไรก็ไม่ได้ดีขึ้น แตเรารู้สึกเบาสบายคลายจากทุกข์ทรมานขึ้นมาแล้วถ้าเราฝึกฝนใจให้เห็นตรง เห็นตามความ เป็นจริง ไม่ไปตีโพยตีพายหรือดินรนให้แผลถลอก ปอกเปิกหนักเข้าไปอีก ความทุกข์ทรมานที่มีอยู่ก็เป็นทุกข์ที่ทนได้ แต่เมือเราเห็นไม่ตรง ไม่ฉลาด เราก็เลยทําให้เรื่องไม่หนักหนาสาหัสกลายเป็นหนักหนาสาหัสพระรูปนั้น ร่างกายของท่านบอบช้ำจาก พยาธิสภาพเกือบจะพังอยู่แล้ว เมื่อพระพุทธองค์ ประทานโอวาท จิตใจได้ธัมมะ เห็นตรงเห็นตามจริง ท่านพิจารณาตาม ใจของท่านก็ลุอรหัตตผลพร้อมๆ
กับที่ร่างกายหมดลมหายใจจากเหตุครั้งนี้ พระพุทธเจ้าทรงอบรมเหล่า ภิกษุที่อยู่ ที่นั้นว่า เรามาบวชเป็นพระก็เหมือน เป็นลูกพระพุทธเจ้าด้วยกัน เป็นพุทธวงศ์ ไม่มีพ่อ แม่พี่น้อง ไม่มีองค์นั้นมาจากวรรณะนั้น องค์นี้มา จากวรรณะนี้ เรามาเป็นศากยบุตรพุทธวงศ์ด้วยกัน ถ้าองค์ไหนเจ็บไข้ได้ป่วย เพื่อนสหธรรมิกด้วยกันจะ ต้องช่วยดูแล อานิสงส์จากการดูแลพยาบาลรักษา เพื่อนที่เจ็บป่วย จะเสมือนหนึ่งได้ดูแลพระพุทธเจ้าสมัยนั้นยังไม่มีโรงพยาบาลอย่างสมัยนี้ ถ้า พระพุทธองค์ยังมีพระชนม์ชีพอยู่จนบัดนี้ แล้วท่าน เสด็จมาโรงพยาบาล ท่านก็คงประทานพรพวกเรา ดูแลผู้มิใช่ญาติ มิตรเราด้วยน้ำใสใจจริง ปฏิบัติให้ผู้ป่วยสบายกาย สบายใจขึ้น รู้สึกอบอุ่นใจเหมือนอยู่บ้าน บุญกุศล เหล่านั้นก็เหมือนกับเราได้อุปัฏฐากพระพุทธเจ้ากุศลนั้นมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง พร้อมที่จะทําให้ จิตใจของเราเป็นปีติเป็นสุข ชีวิตเป็นสุข แต่ถ้าเรา เห็นไม่ตรง คิดไม่เป็น เราก็จะนึกวันจันทร์หรือวัน ศุกร์ที่คนไข้เยอะๆ .. ทําไมจะต้องแห่มากันวันนี่นัก หรือคนไข้ร้องครวญคราง เราก็ดุ ...อย่าร้องสิ.. ใช่เราไม่เจ็บ เรากิบอกผู้ป่วย ...อย่าร้องสิ.. แต่ผู้ป่วย ..ลองคุณมาเป็นฉัน คุณอาจจะร้องดังกว่าฉัน 2 เท่าก็ได้... เราก็ทะเลาะกันเปล่าๆ โดย ไม่เกิดประโยชน์ เมือเราเห็นตรง เห็นตามจริงแล้ว เรืองทุกเรือง ปัญหาทุกปัญหา เราสามารถหมุนให้ เป็นปัญญา ทําใจของเราให้เป็นสุข จะทําอะไรก็เกิดคุณเกิดประโยชน์เมื่อก่อนนี้ ก่อนออกจากบ้าน มีคนรู้จักกันโทรศัพท์มาปรับทุกข์ กําลังทุกข์มาก พยาบาลคุณ คุณแม่หงุดหงิดเอาใจยากเหลือเกินทำอย่างนี้ จะเอาอย่างนั้น ทําอย่างนั้นจะเอาอย่างโน้น จนกระทั่งเหนื่อย เพลียไปหมดแล้ว เลิก... ไม่อยากดู คุณแม่แล้ว แทนที่น้องจะช่วยกันเป็นกำลังใจ กลับพูดทิ่มตําให้ยิงเจ็บช้ำน้ำใจหนักเข้าไปอีก
กรณีนี้กำลังตั้งใจทำบุญกุศลอยู่แท้ๆ ลูกทุกคนก็หวังตั้งใจจะมีโอกาสดูแลยามแม่เจ็บไข้ได้ป่วยเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวที ถ้าไม่ทำในใจให้เห็นตรงเสียก่อน แทนที่เราจะไปพยาบาลคือเอื่อเฟือ คอยดูแล เป็นหูเป็นตาเป็นมือเป็นเท้าให้ท่าน เราก็ ไปเป็นผู้ควบคุม จำกัดให้ท่านเป็นนักโทษจำเป็นไปเสียท่านจะเอาอย่างนั้น เราก็จะให้ท่านเอาอย่างนี่ ของเราท่านหงุดหงิดเพราะหาตําแหน่งไม่ได้ว่าตัวเองไม่สบายตรงไหน ก็บ่นมาราธอนไปหน่อยดิฉันเองเคยดูแลผู้เฒ่าซึ่งครางอยู่ตลอดเวลา ประดาลูกหลานก็ถามท่าน ...แม่ใหญ่ ครางทำไมล่ะเจ็บตรงไหน ท่านก็บอกไม่ได้ว่าเจ็บตรงไหน พวกลูกหลานก็สังอย่างนันหยุดคราง ท่านก็บอกว่า ไม่ได้ ครางแล้วมันสบายดี ก็ท่านสบายของท่านน่ะ แต่เราพยาบาล ได้ยินเสียงท่านคราง เราเกิดไม่ สบายใจ เอ ท่านเจ็บตรงไหนหรือ เราจะช่วยอะไรท่านได้บ้าง เราทำอะไรก็ไม่ได้สักอย่างหนึ่ง นอกจากสงบใจฟังท่านครางไป เพราะท่านครางแล้วท่าน สบายใจดี ท่านยืนยันอย่างนั่นคนบางคน ท่านสบายของท่านอย่างนัน ท่าน จะครางแล้วเราไปคิดเดือดร้อนอะไร ไปบังคับกะ เกณฑ์ทำไมว่า ถ้าท่านสบายดีก็อย่าคราง เรื่องมันอยู่ที่ว่าท่านครางแล้วเราวุ่นวายไปหมด ทุกข้อเพราะอุปาทานของเรา พาให้เราเห็นไม่ตรง ไม่ ยอมฟังแล้วแปลตรงตามท่านคุณแม่รายนี้ก็อาจจะเป็นทำนองนั้นก็ได้
ท่านอาจจะบ่นของทาน บ่นแล้วรู้สึกสบายดี แต่ลูกไปคิด เอาว่า โอย... ฉันเครียด ฉันแย่แล้ว ตกลงที่คิด พยาบาลคุณแม่เพื่อเอาบุญ เป็นกตัญญูกตเวที เป็น ลูกทีดี เลิก...เลิก ไม่เอาแล้ว แล้วใครขาดทุนล่ะ เราขาดทุนสมมติว่าเราทิงแม่ไปจริงๆ โอย... ทนไม่ไหว แล้ว พอเราคล้อยหลังออกไปหน่อยหนึง คุณแม่ตาย เพราะท่านก็ถึงวาระของท่านอยู่แล้ว เรารู้ข่าวเข้า เป็นอย่างไร สติแตก ร้องห่มร้องไห้ ... รู้อยางนี้ไม่ไปก็ดี รู้อย่างนี้เราจะอดทนทุกอย่าง.. แต่เราซื้ออเวลากลับคืนมาไม่ได้แล้วความทุกข์ในชีวิตคนเรา อยู่ตรงจังหวะนิดๆแค่นี้แหละเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ถ้าคอยเตือนตัวเองไว้ว่า เวลาเราจะทําสิ่งดี สิ่งที่มคุณมประโยชน์ ก็มักจะมีเครื่องทดสอบ เหมือนคําเตือนใจที่ว่าไม่มีมาร บุญไม่เกิด เราจะทําดีก็ต้องมี มารมาผจญ ทำให้เรารู้สึกคล้ายๆ กับว่ามันยากเสีย เหลือเกินแต่ถ้าฉุกคิดได้ว่า ถึงจะยากอย่างไรก็ตามถ้าของนี้ เราตัดสินใจว่าเป็นของดีแล้ว เราก็ทำไป ใครจะรู้ใครจะเห็นจะชม ใครจะไม่ชม เรารู้เราเห็น
เราชมตัวเราเอง เราก็มีความสุข แล้วอะไรเกิดขึ้นใครมาพูดว่าเรา ไม่เห็นได้เรื่อง ดูแม่ประสาอะไร ก็รู้ว่าเราดูสุดกําลังความสามารถของเราแล้ว ทุกข์เดือดร้อน ตรงนี้ต่างหากที่สำคัญชีวิตของเราจะเป็นสุขได้ เมื่อสิ่งใดก็ตามทีเราตังใจว่าจะทำแล้ว แม้จะมีอุปสรรค มีคนอื่นมาพูดจา ที่เราเรียกว่า ลมของโลกธรรม ได้แก่ คําวิพากษ์วิจารณ์ นินทา สรรเสริญ ทุกข์ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ เป๋นลมพายุ ใจของเราเหมือนต้นไม้ ถ้าสติสัมปชัญญะไม่เป็นรากแก้ว ที่หยังลึกแน่นหนา เหตุผลที่เราให้กับตัวเองไม่ถึงใจ เมือโดนลมพายุ คนโนันคนนี้วิพากษ์วิจารณ์ ใจก็ โยกคลอน ทำให้เราเดือดร้อนต้นไม้เมื่อถูกลมพัดโยกอยู่เรื่อยๆ ก็เริ่มเฉา ต่อไปอีกสักหน่อยก็ยืนต้นตาย ใจของเราที่หวั่นไหว ไปตามคําพูดวิจารณ์ของคนอื่น อีกไม่ช้าก็ยืนต้นตาย จากคุณงามความดี เพราะว่าห่วงแต่จะให้คนอื่นมา สรรเสริญ สิ่งทีเขาสรรเสริญ บางครั้งก็ไม่เป็นของดี เรากขาดทุน เพราะทิ้งเหตุคือคุณงามความดีที่ตั้งใจ กุศลที่เรามุ่งใจหวังไว้ก็เลยไม่เกิดชีวิตที่หวังว่า เราจะมีความสุขดังคําวิพากษ์วิจารณ์สรรเสริญ ขณะที่เขาวิพากษ์วิจารณ์ ผลยังไม่ได้เกิดขึ้น เขาก็ว่าของเขาไป เมื่อเราบ้าตามไปกับคําเขา แล้วผลกลับเกิดขึ้นเลวร้าย เขาก็เปลี่ยน มาโจมตีแทน เราก็ย่ำแย่ตังตัวไม่ติดคนบางคน ใจของตัวก็ยังเห็นไม่ตรงตามความเป็นจริง อารมณ์เขาวันนี่ถูกใจชอบใจ เขาก็ ชมเรา พรุ่งนี้เราก็ทำอย่างที่เขาชมเราเมื่อวานนั่นแหละ แต่วันนี้ไม่ถูกกิเลสเขา เขาก็สับเราเสียแหลกเป็นหมู่บะช่อ เราก็เลยไม่รู้จะทําอย่างไร จับต้นต้นชนปลายไม่ถูก เพราะไม่มีหลักใจเป็นตันว่าเรามีลูกเลิก ๆ ลูกเลิกๆ เรารู้มาก เอาเปรียบคนอื่น ไม่ทำตามกฎกติกา เรากลับซม. ลูกฉันฉลาด เหมือนเรืองเด็กเล่นเกมกับพ่อ เกมงู ตกบันได พอหมากของลูกไปหยุดทีปากงู ซึ่งตามกฎ จะต้องไหลลงไปอยู่ที่จุดศูนย์ใหม่ เพราะหางงูอยู่ที่จุดศูนย์ ลูกกิเลือนหมากจากปากงูมาที่หางงู เสร็จ แล้วดูหมากของพ่อ โอ้โฮ. มันไกลกันเหลือเกิน ก็ขยับขึ้นไปไว้ทีปากงูใหม่ ขยบขนขยบลงอยู่ 2-3ในที่สุดก็วางไว้ตรงปากงู พอใจแล้วว่าจะอยู่พ่อก็ อ้าว...ลูก กติกาบอกว่า ลูกต้องลงมา อย่ที่ศูนย์พ่อไม่เห็นหรือ ลูกก็เลือนลงไปแล้ว แต่งูมันอ้วก มันไม่ยอมกลืนหมากลงไปที่หาง แล้วพ่อจะให้ลูกทำยังไง พ่อก็เห็นไม่ใช่หรือลูกก็เลื่อนหมากของเขาลงไป 2 หน 3 หนจริงๆก็งูมันอ้วกทุกที่นี่นา เพราะฉะนันก็ต้องตามใจงู ให้มันอยู่ที่ปากงูนี้แหละ
ปู่ย่าตายายที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่ ชื่นชอบใจหลานฉันฉลาดเหลือเกิน ก็ฉลาดจริงๆ แหละ แต่ ฉลาดแกมโกงถ้าเราฉุกใจ เห็นตรงตามจริงว่า นิสัยอย่างนี้ สนับสนุนเอาไว้ เด็กโตขึ้นจะแย่แน่ๆ แต่ตอนนั้น เราไม่เห็น ลูกฉันหลานฉันตัวเล็กๆ แค่นี้ ช่างฉลาด หลักแหลม อุ้ย...มันน่ารัก ทุกคนชมเชย เด็กรู้สึก ว่าการทําอย่างนี้ดี ก็ทําไปเรื่อยจนเป็นอุปนิสัย ครั้น โตขึ้น ไปสอบหรือไปเล่นกีฬา ก็ไปทําอย่างนี้เข้า กรรมการไม่เห็นน่าเอ็นดูแล้ว เพราะโตแล้ว รู้ความ แล้ว การทําอย่างนี้เขาเรียกว่าโกงชัดๆ เกเรเป็น อันธพาล ก็ถูกลงโทษเด็กก็ต้องสับสน จับต้นชนปลายไม่ถูก ฉันทำมาตั้งแต่เล็กๆ ทุกคนชมเชย ให้กำลังใจฉันทุกที วันนี้โลกถล่มหมุนเอาหัวลงเดินต่างเท้าหรืออย่างไร ฉันถึงถูกทุกคนรุมสกรัม ดีไม่ดี อาจถูกตำรวจจับ เข้าคุกเสียอีกต่างหากเรื่องนิดๆ หน่อย ๆ อย่างนี่ ถ้าเราไม่มีความเห็น ที่ถูกตามจริงเป็นหลักตัดสินเราเอาตัว ไม่รอด เพราะลมของโลกธรรมมีส่วนทําให้ใจของเรา ที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน อยู่ในโลกนี้อย่างเป็นสุขไม่เป็น ชีวิตเราทีตั้งใจว่า จะทำกุศลอย่างไรให้เป็นสุข เลยพังไปหมด เราจะต้องมีหลักของใจ จะต้องมันใจว่า เรารับผิด เรารับชอบการกระท่าของเรา ใครรู้ ไม่รู้ช่างเขา ใครเห็น ไม่เห็น ช่างเขา เวลาจะเป็นเครื่อง พิสูจน์เองช่วงที่ใจเรายังไม่มีหลัก เราแกว่งจนกระทั่ง จะบ้าหรือดีกันนี ให้ระลึกถึงครูบาอาจารย์เอาไว้ดูสิ เจ้าชายสิทธัตถะ กว่าท่านจะเป็นองค์ศาสดาไห้เรา กราบไหว้บูชา ท่านก็แทบจะเอาองค์ไม่รอด สารพัน จะถูกผู้คนกล่าวหานินทา ไม่สนับสนุน ถ้าท่านถอย หลังกลับครั้งนั้น เราก็คงไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ท่านมุ่งมันว่าเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์บุคคล ก็ต้องทําตามปฏิปทาของท่านถ้าเราคิดได้อย่างนี้ อะไรๆ ที่เราทำในแต่ละเวลานาทีในชีวิตประจำวันของเรา จะเป็นเหมือน แบบฝึกหัด ในที่สุดถึงเหตุการณ์จะเลวร้ายอย่างไรๆ
ก็ตามที เราจะเพียรพยายามหมุนตัวปัญหา หมุนตัววิกฤต ให้มาเป็นปัญญาเห็นชอบ ให้มาเป็นปีติสุขขึ้นในใจของเราใจที่นอบน้อมยอมรับความจริงอย่างท่านเศรษฐี ที่ถูกจองเวรสารพัดรูปแบบ แต่ท่านมองผู้ทำร้ายให้เป็นผู้มีพระคุณ นำกุศลมาให้ ใจของท่านก็ปีติสุขมีจาคะ เป็นเมตตาพรหมวิหาร ถ้าเรามีใจอย่างท่านเศรษฐีอยู่เป็นพื้นฐานแล้ว อะไร ๆทุกอย่างจะกลายเป็นของดีงามไปทั้งหมดคนอยู่ใกล้ชิด อย่าเข้าใจว่าจะมาด้วยความ รักใคร่กันทั้งหมด มีท่านผู้รู้ท่านหนึ่งที่ปฏิบัติธรรม เขียนหนังสือเอาไว้ว่า โดยเฉพาะสาภรรยา อย่า คิดว่าเป็นคู่บุญคู่บารมีกันมาทั้งหมด ส่วนใหญ่มักจะ เป็นคู่เวร ท่านให้เหตุผลว่า ถ้าเราอยากจะจองเวร ใคร จะปฏิบัติการแก้แค้นให้สาสม อยู่กันคนละทิศ คนละทาง โอกาสที่จะทําได้มีน้อย แต่ถ้ามาอยู่บ้าน เดียวกัน นอนเตียงเดียวกัน มันล้างแค้นกันได้ถึงใจถ้าเรานึกได้อย่างนี้ ระลึกไว้ว่าคู่ครองของเรา จริงๆ น่ะ คือ เจ้ากรรมนายเวร พอเขาพูดอะไรผิดหูนิดหนึ่ง แทนที่เราจะเสียใจน้อยใจ สังเกตดูสิว่าถ้าเป็นคนอื่นๆ พูดคำเดียวกันนี้แหละ เรากลับเห็นขบขันนี้หลุดมาจากปากคลองสานน่ะ แต่ถ้าเป็นคนใกล้ตัวพูด จเราเป็นสลาตัน บ้านแตกเลย... พูดอย่างนี้ได้อย่างไร ทำอย่างนี้ได้อย่างไร... จะต้องมี การตัดพ้อต่อว่ากันแต่ถ้าเราได้สติ ก็มันศัตรูคู่แค้น อยากพูดก็ พูดไปสิ เราก็รักษาใจของเราให้มีภูมิคุ้มกันอยู่ได้ เหมือนกับใบบัวที่แช่อยู่ในน้ำโคลนพอยกขึ้นมาใบบัวก็สะอาดเกลี่ยงเกลา ไม่มีติดตมโคลนเลย ถ้าเราทำอย่างนี้ได้ ใจเราจะเป็นสุขอยู่ทุกเมื่อชีวิตเราก็จะเป็นสุขไปด้วยถ้าบังเอิญเป็นคู่บุญคู่บารมีกันจริง อะไรๆ ก็ดีถูกใจไปหมด เราก็สร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเองใหม่ ว่า พอเขาเดินออกไปจากบ้าน ...เขาตายแล้ว ตาย ไปจากชีวิตเราแล้ว... คิดอย่างนี้เอาไว้ทุกวันเวลา เพราะฉะนัน เมื่อมีอะไรเกิดขึ้น เราก็จะไม่เสียสติเราก็มีภูมิคุ้มกันรักษาใจพระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราหาภูมิคุ้มกัน ให้ตัวเองตัวเอง ยามร้ายก็อย่าให้เขาเอาความร้ายอันนั้นมา
สับชีวิตเราจนกระทังยับเยิน เราเอาใจเราหลีกออกมาเสีย เขาอยากสับอะไรก็สับไป บนดินฟ้าอากาศ บนลม บนอะไร ก็เรื่องของเขา เขาอยากสับจน กระทังปากเขาฉีกไปถึงท้ายทอย หรือเขาอยาก สับจนกระทั่งหัวไหล่เขาหลุดไป ก็เรื่องของเขา เรา ก็แผ่เมตตาให้เขา แต่ไม่เอาใจเราไปเป็นเขียงให้ถูก สับเป็นบะซ่อเลือดสาดกระจุยถ้าเราต่างมาด้วยความรักผูกพันกัน แทนที่ จะอธิษฐานว่า เกิดชาติหน้าก็ขอให้เจอกันอีก เป็น คู่ครองกันอีกทุกภพทุกชาติ เราก็ว่า ...สาธุ เราขอ ขอบคุณเขา ขออนุโมทนากับเขา แต่ว่าเขาก็เป็นเขาใจเราก็เป็นสุข คลายจากความยึดติดผูกพันถ้าฝึกฝนใจให้รู้จักคิด รูจกทจะจบเหตุการณ์ทั้งหลาย มาทำให้ตัวเองเป็นสุขอย่างนี้ ใจเราก็จะเป็นใจทีมีภูมิคุ้มกันเริ่มต้นด้วยจาคะคืออะไรที่ไม่ถูกหู ถูกใจ  นี้ได้ แทนที่จะไปคิดแก้เขาว่า ทําอย่างนีได้อย่างไร แก้ที ใจเรา ปรับใจเราให้มีภูมิคุ้มกัน เราจะอยู่อย่างไร
ท่ามกลางพายุอย่างนี้ โดยที่ไม่ถูกกระทบกระทั่งจน ปันป่วนเป็นสลาตันไป เราจะรักษาเราให้สงบอยู่ได้ไม่เผลอไปคันว่า ตรงนี่มันร้อนเกินไป ตรงนี่มัน หนาวเกินไป ตรงนีมันมืดไป ตรงนี่มันสว่างไปเราจะมองว่า อะไรๆ เหล่านี่เป็นเครื่องที่จะมา สอนให้เราได้เห็นว่าภูมิคุ้มกันเรายังขาดตกบกพร่องตรงไหน เราก็มีแต่เหตุและผลและสิ่งที่เป็นกุศลแจก จ่ายออกไป ทัง ๆ ที่ตรงนันมีแต่ความขาดๆ เกินๆ เราก็พากเพียรพิเคราะห์หมุนจนเป็นความดีงามให้ผู้เกียวข้องรู้สึกชุมชื่น มีกำลังใจขึ้น
แทนการไปเพ่งโทษเขา เราเปลี่ยนเป็น เอ ...เราจะไปโกรธหงุดหงิดเขาเรื่องอะไร เพราะเราฟัง ไม่เป็น ฟังแล้วไปเอามันมาครูดีใจเรา ตรงกันข้าม ถ้าฟังแล้วเราเอามาเป็นหินลับปัญญา เราก็จะเกิดปัญญา มองอะไรได้ลึกซึ่งขึ้น เกิดความเข้าใจ เอา ใจเขามาใส่ใจเรา อย่างลูกหมีกับลูกปลา คนที่อยู่ด้วยกัน โดยส่วนมากจริตจะไม่เหมือนกัน เป็นต้นว่า เรากับพี่น้อง คู่ฝาแฝด เรากับพ่อแม่ เรากับคู่ครอง ถ้าบังเอิญเหมือนกันมาก ๆ ชีวิตอาจจะคว่ำ ส่วนใหญ่จะคัดง้างกันเหมือนลูกหมี ลูกปลามีภรรยาท่านหนึงไม่ชอบกินบัวลอยไข่หวานส่วนสามีชอบมาก ถ้าไปเทียวดึก ๆ ดีนๆ เที่ยงคืนตี 2 จะต้องซื้อบัวลอยไข่หวานกลับบ้าน แล้วก็ปลุกภรรยา ...เธอลุกขึ้นมากินหน่อย ต้องกินร้อนๆ เก็บ เอาเวพรุ่งนี้เช้าก็ ไม่อร่อยแล้ว ยังพอลุกขึ้นมากินไหว นีปรากฎว่านอนกำลังหลับถูกปลุกให้ลุกขึ้นมา ๆซ้ำร้ายเป็นของที่ไม่ ชอบอีกด้วย คุณภรรยาสติหลุด จะขอหย่าท่าเดียวครั้นไปปฏิบัติธรรม เริ่มเห็นตรงเห็นชอบ... ดีเหมือนกันนะ ไม่อย่างนั้นเราเห็นแก่นอน ก็นอนไปเรื่อยไม่มีสตินี่เขาปลุกขินมาตอนเที่ยงคืนตี 2 เราจะได้ลุกขึ้นมานั่งทำสมาธิสักพักหนึ่ง แล้วค่อยไปนอนใหม่ เราก็ได้บุญได้กุศล แทนที่จะโกรธก็เลยขอบคุณสามี แล้วทำป็นว่าฉันก็กินบัวลอยไข่หวาน สักคำสองคำ ให้สามีสบายใจ เขาเข้าไปนอนแล้ว เธอก็เอาบัวลอยไข่หวานไปเก็บ แล้วมานั่งทำสมาธิที่จะไปโกรธเขาก็เลิกโกรธ แผ่เมตตาให้สามีว่า เขาเป็นคู่บุญคู่บารมีเราจริงๆ ทำให้เราได้ตื่นขึ้นมา ได้

มาภาวนา ชีวิตครอบครัวก็ราบรีน สามีก็สบายใจ เธอไม่กินก็ไม่เป็นไร รุ่งเช้า ภรรยาก็อุ่นบัวลอยไข่หวานให้สามีถ้ารู้จักหมุนสิ่งที่เหมือนเป็นปัญหาให้กลายเป็นสิ่งที่เคยทนไม่ได้ก็กลายเป็นอยู่กันได้ใช้ที่เคยอะไรไม่ถูกกิเลสปุ๊บ ฝึกให้อย่าเพิงไปหงุดหงิดเพราะถึงปากเราไม่พูด แต่คนที่อยู่ใกล้ชิดกันโทรจิตถึงกัน เขาจะรู้สึกได้ว่าใจของเรามีภูเขาไฟคุ ขึ้นมา มันเหมือนมีอะไรไปกระแทกหรือไปก่อกวน เขา ทําให้เขาคอยหาเรืองยัวโทสะเรา จนในที่สุดเรา ะหลุดอกุศลวาจา เป็นปืนกลออกไปเป็นตับแล้วคราวนี่เขาก็ได้ที ...เห็นไหม เธอมรุกรานฉันก่อน...เราก็เจ็บแค้นใจ เพราะเราเป็นฝ่ายถูกกระทำถูกรุกรานแท้ ๆตรงกันข้าม ถ้าเราเป็นฝ่ายให้ เหมือนเล่นกีฬา เล่นบอล ต้องมีฝ่ายหนึ่งยอมรับว่าให้เธอเป็นฝ่ายเริ่ม เออ เธอเตะก่อนนะ พอเรารู้สึกว่า เขามาท้าตีท้าต่อย เราก็แผ่เมตตาให้เขา ธรรมดาคนเราถ้ากำลังอารมณ์หงุดหงิด ไม่มีทางออก ไม่มีที่ ๆจะ
ไประบายได้ ก็คงอึดอัดมากขึ้นถ้าต้มน้ําให้เดือดในภาชนะที่ไม่มีรูให้ไอน้ําออก ภาชนะต้องพัง เพราะฉะนันดีแล้วทีเขาระบายด้วยการท้าตีท้าต่อย เราจะได้เป็นเครื่องทําให้เขาสบายขึ้น ใจเราก็แผ่เมตตาให้เขา แรกๆ ก็แผ่ไม่ค่อยออก แต่ฝึกไปเรื่อยๆ ใจจะคุ้นเคย เมื่อทําไปสักพักหนึ่ง เราจะรู้สึกว่าใจที่กระเพื่อมเป็นคลื่นเวลามีสิ่งกระทบ เริ่มมีภูมิคุ้มกัน สงบ และรักษาตัวได้ดีขึ้นดิฉันเองเคยมีเพื่อนร่วมงานที่ดิฉันเข้าใจเอา ว่าเขาไม่ชอบดิฉัน ถ้าดิฉันบอกไปซ้าย เขาก็ต้อง บอกไปขวา ดิฉันบอกไปข้างบน เขาก็บอกลงข้าง ล่าง ต้องได้ทะเลาะกันทุกที แทบจะเรียกว่าทํา งานด้วยกันเป็นสนามประลองยุทธิ์ วันหนึ่งดิฉัน ก็ได้คิด เราไปทะเลาะกับเขา โกรธกับเขา ดีไม่ดี เราเส้นเลือดแตก แล้วใครเดือดร้อนล่ะ อย่ากระนั้น เลย เราแผ่เมตตาให้เขาดีกว่าวันหนึ่งมีเรื่องประชุมกัน เราก็นึกว่า เขาคง จะต้องทะเลาะกับเราอย่างนี้อีก ดิฉันเลยถามเขา เสียก่อนว่า คุณว่าอย่างไร เขาตอบว่า ก็เอาตามใจ คุณก็แล้วกัน คุณจะเอาอย่างไรก็เอา กลายเป็น ประนีประนอมกันขึ้นมาได้ต่อมาเราก็เป็นเพื่อนสนิท พูดคุยเล่นหัวกัน เขาก็บอกว่าเขากลัวติฉันมาก เพราะรู้สึกว่าดิฉันไม่ ชอบเขา ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่ ตอนนั้นดิฉันเริ่มสายตาสั้น ใหม่ๆ แต่ไม่ยอมใส่แว่นตา เพราะกลัวคนจะเห็นเราแก่ เขายิ้มให้เรา เราก็มองไม่เห็น เขาก็แค้นว่าเรายิ้มด้วยก็ไม่ยิ้ม แต่พอเขาเข้ามาใกล้หน้าแข็งตึงไปทั้งหน้าเพราะอารมณ์บูดไปแล้ว นี่ดิฉันยิมกว้าง เพราะเพิงเห็นว่าใครเป็นใคร เขาก็ โกรธละสิ ทําหน้าเหมือนใส่หน้ากาก เราก็จําตรง นันว่าเขาไม่ชอบเรา แต่เขาจําท่อนก่อน ตรงที่เรายังมองอะไรไม่เห็น เขาก็สรุป ...ยายนี่หยิ่ง... ท้าจน กระทั่งเขาหน้าแตก เพราะเขายิมด้วย เราก็เฉย ครั้นเขาบูดไปแล้ว เราก็จัดแจงไปยิมกับเขา แล้วทักเขา...สวัสดีค่ะ...ซึ่งอารมณ์เขาหมดสุนทรียะไปแล้วเมืjอได้ฟังอย่างนี้ก็เกิดความรู้ว่า ที่เราไปเพ่งโทษคนอื่นไว้ เราอาจจะดูอะไรช้าไป 1 ขันตอน ก็
เลยไปเห็นตรงที่เขากระทำเรา แต่ความจริงตอนที่ เราทุบเขานั้น เรายังนอนละเมออยู่ เราก็เลยไม่เห็น จำไม่ได้ เพราะสติของเรายังไม่คม ฉะนั้นใครเขา ปรับไหมอะไรเรา ขอโทษเขา ยอมรับผิดโดยหน้าชื่นตาบาน
ใจที่มีทาน มีเมตตา มีจาคะ ก็ทําได้ง่ายขึ้น เมื่อเริ่มต้นด้วยจาคะแล้วใจจะซุ่มเย็น ถ้าเอาปัญญา มีแต่เหตุผลกัน บางที่นิดหนึ่งก็ไม่ได้ หน่อยหนึงก็ ไม่ได้ แต่เมื่อเมตตาแล้ว ให้เขาก่อนเป็นไรไป ใจเลยเกิดการประณีประนอมกันขึ้นเพราะฉะนั้นตรงนี้ จะทำกุศลอะไรให้ชีวิต เป็นสุข อภัยวันละนิด ชีวิตแจ่มใสเป็นสุข ให้ความ ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อกัน ใครเขาปรับไหมอะไร เขา ว่าเรา เราขอโทษเขาเสีย ผิดไม่ผิดไม่เป็นไร มันไม่ เสียหายตรงไหน เขาจะได้มีความสุขว่า เขาหาแพะ รับบาปได้ เราก็มีหลักของเรา ไม่ใช่ว่าเขาว่าเราว่าอย่างนั้น เราก็ต้องทําตามเขา เขาว่าเราว่าอย่างนี้ เราจะต้องทำตามเขา ไม่ใช่ เราเพียงแค่ว่าไม่ต้อง ทะเลาะกัน แล้วมาพิจารณาเรื่องที่จะทําตามเหตุผล


  
เมื่อใจเรามีความอ่อนโยน รู้จักการให้แล้ว ไม่เพ่งโทษ ไม่เคร่งเครียด วาจาก็นุ่มนวลขึ้น ใจของเราจะเบาสบาย ศีลก็จะเต็มเม็ดเต็มหน่วย ศีลไม่ได้ หมายความถึง ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 อะไรอย่างนั้นวาจาของเรา ให้เสมอตั้นเสมอปลาย เวลาที่เรามี ความสุข เราเคยพูดกับเขาอย่างไร กิริยาของเรา เคยยิ่มแย้มแจ่มใส ไม่เครียดอย่างไร ครันเราคับขัน เหนื่อย เราเกิดความโกรธ เราก็ยังมีกายและวาจาทีเสมอต้นเสมอปลายอย่างนัน ศีลคือความเป็นปกติของกาย วาจา ศีลเป็นเหมือนเสื่อที่เราจะออกไปไหน เราต้องแต่งตัวให้เรียบร้อย ไม่ใช่ออกไปทัง ๆที่เสื่อก็ยังไม่ใส่ หรือกางเกงก็ขาด น่าเกลียด ไม่ เรียบร้อย ศีลคืออาภรณ์ประดับกายวาจาของเรา ทําให้เรางดงาม ไปอยู่ที่ไหน เราก็มีความมันใจใน ตัวเองเมื่อเรารู้จักอภัยมีจาคะมีใจเอื้อเฟือเผือแผ่ อะไรหนักนิดเบาหน่อย เราก็เห็นเป็นเรืองทีแบ่งปัน
ให้กันได้ มีศีล ใจทีมีศีลจะเป็นใจทีไม่มีความหรือสับสนว่าคนนี้ฉันพูดอย่างไรไว้นะ คนนั้นฉันพูดอย่างไรไว้นะ เพราะเราไม่มีหน้าฉากหลัง ฉาก ไม่มีที่รักที่ซัง อคติ เป็นใจทีอิสระ ทำอะไรก็ เสมอหน้ากันไปหมด ไม่ต้องคอยระวัง ไม่ต้องคอย มีความลับกับใครถึงจะยังไม่รู้จักภาวนา ใจก็เหมือนเป็น ภาวนาอยู ใจทีเคยไปวิตกกังวลถึงเรืองนันเรืองนี้ ก็รู้อยู่กับปัจจุบัน สติทีรักษาใจเอาไว้ ให้เราระลึกรู้อะไรๆ ตามจริง ก็มีมากขึ้น คนบางคน เราคิดว่า เขาเป็นเพื่อนเรา แต่เมือเรามีสติคอยดูคอยสังเกต .เอ๊ะ เขาไม่ได้หวังดีกับเรานะ เรืองบางเรืองเขาก็ ไม่บอกเรา เราจะเห็นรายละเอียดเหล่านี่กระจ่างออกมา เกิดเป็นภูมิคุ้มกันที่จะรักษาใจของเราให้ ไม่พลังพลาด เกิดความผิดหวังหรือความแค้นใจการจะไปตัดพ้อต่อว่ากันก็น้อยลง ๆ ในที่สุดใจของเราก็เป็นใจที่รู้จักพึงตัวเองถึงจะมีเพื่อนฝูง เรารักใคร่ช่วยเหลือเกื้อกูลแต่ก็ไม่ไปหวังว่าเขาจะต้องมาอุ้มชูหรือเกื้อกูล เราตอบ เมื่อทำอะไรแล้วก็ไม่ไปคิดทวง ไม่อย่างนั้นถ้าเราไม่ได้ฝึกไว้อย่างนี่ เมื่อมีความทุกข์ เราก็ไปหาคนที่เราเคยช่วยเหลือเกื้อกล ถ้าเขาไม่ช่วยเราโดยอัตโนมัติ ด้วยยังไม่ทันตั้งสติ เราก็จะตัดพ้อต่อว่า ...ที่เวลาเธอเดือดร้อน ฉันช่วยเธอ ตอนนี้ ฉันเดือดร้อน เธอกลับไม่มีน้ำใจกับฉัน มันก็เลย กลายเป็นเรื่อง ดีไม่ดี ก็เสียเพื่อนกันไปเมื่อเราฝึกเราอย่างนี้แล้ว ธุระของเรา เรา ต้องช่วยเราเอง ปัญหาของเรา เราต้องหัดแก้ของ เราต้องหายใจด้วยจมูกของเรา มันก็ไม่มีเรื่องกระทบกระทั่ง ก็ไม่มีความน้อยใจเสียใจ หรือจะไปคิดว่า เขารักเพื่อนคนนี่มากกว่าเรา อารมณ์ ต่าง ๆ ก็ไม่มากวนใจเราให้เป็นพิษเป็นภัยใจนี้ก็เป็นใจที่เป็นอิสระเป็นสุขอยู่เสมอ ถ้าเราที่จะปฏิบัติอย่างนี้กับตัวเอง วาจาที่เราจะพูดออก ไปกับใคร เราก็พูดแต่สิงที่เป็นจริง เป็นคุณ เป็น ประโยชน์ ถูกกาลเทศะคำพูดของเรา ใครฟังแล้วก็จะชื่นใจ ใจของเราเองก็ชื่นใจด้วย เพราะเราไม่ไปแช่อยู่ในน้ำเน่าไม่ไปเคร่งเครียด ไม่ไปเพ่งโทษคนอื่น เราไม่ไปขุด คุ้ยเรืองเก่ามาทวงบุญทวงคุณ แล้วก็คิดเล็กคิดน้อยให้เรากลุ้ม เป็นทุกข์เดิอดร้อน ใจของเราก็เป็นใจ อิสระ เป็นใจทีเบาสบาย ข้อมูลอะไรเข้ามาก็เห็นได้ ตรง ได้จริง ไม่แน่นไปด้วยอารมณ์ทีไม่ได้ดังใจ ปัญญาทีจะรู้จะเห็น จนพลิกของไม่ดีไม่งามให้กลาย เป็นของดีงาม ก็จะคล่องแคล่ว ในที่สุด เราก็จะหยิบแต่สิ่งมีคุณมีประโยชน์ ทั้งกับเรา กับผู้อื่น มาพูดจากนี้ มาเก็บเอาไว้ในใจ อะไรที่ไม่ดี เราก็ทิ้งไปใจของเราก็จะเป็นใจที่ถึงไม่อยากเป็นสุข มันเป็นกุศลเป็นความถูกความตรง เข้ามาสะสมไว้ ทำให้ชีวิต เราไม่ไปหวังจากคนโน้น จากคนนี่ หรือไปกังวลว่า เดียวฉันแก่ตัวลง คนโนันจะมาดูฉันไหม จะมาดูฉันไหม เราก็ยุติการทำพุทธพาณิชย์ ไม่ทำ อะไรลงไปด้วยหวังผลตอบแทน โดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตาม ใจทีเป็นอิสระอย่างนี่ มีความเต็มในตัว
เองอยู่อย่างนี้ ย่อมเป็นสุข เป็นกุศลอยู่เสมอ
ก็หวังว่า ทีเรามาคุยกันวันนี คงจะเป็นแง่คิด ให้ยามเมื่อทุกข์เดือดร้อนขึ้นมา เราจะได้คิดหา ลู่ทางหมุนวิกฤตให้เปลี่ยนเป็นโอกาส เป็นกุศล เป็น ปัญญาเห็นชอบ ทำให้ชีวิตของเราเต็มพอบริบูรณ์ เบาสบาย ร่มเย็นเป็นสุขก็ขอฝากไว้เป็นกําลังใจ แต่เพียงเท่านี้

พิมม์โดย     ปภัสสร  มีพงษ์
แหล่งที่มา   http://web.krisdika.go.th/buddha/58_srangkusol.pdf

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Back To Top