Header Ads

วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2561

บทความหมออมรา สัจจะ

บทความหมออมรา
สัจจะ


ชื่อผู้เขียน       พญ อมรา มลิลา
วันที่              วันที่ 20 ธันวาคม 2537
ณ                 ชุมนุมพุทธธรรม โรงพยาบาลศิริราช
หมวด
อันดับที่     


            วันนี้เราจะพูดถึงเรื่องสัจจะ สัจจะหมายถึง อะไรก็ตามที่เป็นความจริงจริงอย่างไรอย่างพวกเราพูดกันนี่ ตัวเรา นะ พุทธศาสนาสอนให้พึงพาตัวเอง ต่างคนต่างก็พยายาม ทำตนให้เป็นที่พึ่งของตน แต่ขณะเดียวกัน พุทธศาสนาก็สอนให้มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผือแผ่ต่อกัน ถ้าคน เราไม่มีใจเอื้อเฟือเผือแผ่ต่อกันแล้ว โลกนี้อยู่ไม่ได้ น้ำใจเปรียบเหมือนน้ำประสานโลก ทำให้โลกอยู่เย็น เป็นสุข แล้วอันไหนทีเป็นความจริงล่ะ อันหนึ่งให้ต่างคนต่างพยายามพึ่งตนเอง ไม่ไปเบียดเบียนผู้อื่นแต่อีกอันหนึ่งบอกให้มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเจือจานดูแลกันความจริงเป็นสัสจะ จึงจะแนกออกเป็นสัจจะกับปรมัตสัจจะสมมติก็คือ  อะไรก็ตามทีเราสมมติบัญญัติขึ้นมาเป็นต้นว่าตัวเราก็มีคำบัญญัติว่าอย่างนี้นะ เรียกว่าคน หากไม่มีสมมติบัญญัติ ต่างคนก็ต่างเรียกตามอำเภอใจของตนเราก็พูดกันไม่รู้เรื่อง สื่อความหมายกันไม่ได้ เช่น คนหนึ่งไปเจอแมว.. ไอ้นั้นนะ ที่มีชีวิต... เราก็ไม่รู้ว่าเขาหมายถึงตัวอะไร
หรืออย่างเช่น เป็ดกับไก่ ต่างก็มี 2 ขา 2 ปีกสัตว์ปีกอะไรๆ ก็ล้วนแต่มี 2 ขา 2 ปีก กันทั้งนั้นจึงต้องมี สมมติสัจจะ ขึ้นมาว่า นี้นะ อย่างนี้ตกลงเรียกเป็นอย่างนี้ ดังนั้น จึงมีการเรียนรู้สมมติสัจจะ ก็แตกต่างกันไปตามธรรมเนียมประเพณี ชาติ ภาษา เป็นต้นว่า คนไทยไม่ใช้เท้าชี้ เพราะประเพณีของเราถือว่าเท้าเป็นของต่ำต้องใช้นิ้วชี้ ขณะที่ฝรังถือว่า การเอานิ้วไปชี้กันนั้นเป็นเรื่องท้าตีท้าต่อย ถ้าเอาเท้าชี้เป็นมารยาทปกติสำหรับพวกเรา หากมีใครใช้เท้ามาชี ก็หมายความว่าดูหมิ่นกัน เห็นเราเป็นตัวอะไรไป สิ่งเหล่านี้ทำ ให้เราเกิดความระมัดระวังว่า หากไม่รู้จักสมมติสัจจะ ดีพอ ก็จะก่อให้เกิดเรืองบาดหมางใจกันได้ เพราะว่าวิธีที่แต่ละคนจะฝึกตนเองให้คุ้นเคยกับสิ่งที่เห็นว่าดีงาม เห็นว่าถูกต้องเหมาะสมนั้น เปลี่ยนไปตามขนบธรรมเนียมประเพณีของแต่ละเชื้อชาติและภาษา หรือบางครั้งมีการเล่นโวหารกัน ทำให้เรารู้สึกว่า คนๆ นี้ทำไม่ถูก ทำไม่ดี แต่เมือซักไซ้ไต่สวนกันเข้าแล้ เขาก็มีเหตุผลมาแก้ต่างจนกระทั่งเรา เอาผิดกับเขาไม่ได้ขณะที่ตัวผู้ถูกกระทำและย่อยยับไปจริงๆ เกิดเป็นความทุกข์เดือดร้อนขึ้น เพราะ ฉะนัน สมมติสัจจะจึงยังไม่สามารถคุ้มครองรักษา จิตใจของทั้งสองฝ่ายทีมีปัญหา ให้เกิดความผาสุกร่มเย็นได้ เราก็มาดูกันต่อไปว่า แล้วอย่างนั้นมีอะไร ที่จะช่วยทำให้ใจของแต่ละคน มีหลักมีที่พึงได้ ก็มาถึงเรื่องของ ปรมัตถสัจจะ ปรมัตถสัจจะ คืออะไรก็ตามทีเป็นจริงด้วยตัว ของมันเองถึงแม้เชื้อชาติ ภาษาจะต่างกันรก็ตาม แต่ใจของสิ่งมีชีวิตเมือไปสัมผัสกับสิ่งนั้น แล้ว ยอมลงให้ด้วยใจว่า เป็นสิงถูกต้องแน่แท้ คือความถูกต้อง ความสัจ ความจริง อย่างคำ กล่าวที่ว่า ธัมโม เอโก คือ ธัมมะมีหนึ่งเดียว จะมาบอกว่า จริงอย่างนี้ จริงอย่างโน้น วันนี้จริงอย่างนี้ วันนั้นอย่างนั้นจึงจะจริง มัไม่ใช่ถ้าเป็นปรมัตถสัจจะแล้ว ต้องจริงแท้แน่นอนไม่มีว่า วันนี้จริงอย่างนี วันนันจริงอย่างโน้น เป็น เด็ดขาด เหมือนอย่างกับที่เรามาปฏิบัติกัน หรือ อย่างทีเจ้าชายสิทธัตถะท่านพากเพียรปฏิบัติ จน
กระทั่งในคืนวันเพ็ญ เดือน 6 กิหยังรู้สิ่งที่เป็นปรมัตถสัจจะ ขึ้นมาใจของท่านก็หลุดจาก อุปาทานทั้งปวง สมมติสัจจะ อะไรต่อมิอะไรต่างๆ ที่พาใจให้ปรุงคิดเป้นสังขารจิตขึ้นมาก็หมดความหมายไป ใจของท่านได้หยังลงไปถึงธรรมชาติ ถึงธัมมะที่เป็นของเที่ยงแท้แน่นอน ไม่มีอะไรที่จะ สามารถทำให้ใจกลับ มาเกิดความสงสัยว่า กรณีนี่ ถูก กรณีนั้นใช้ไม่ได้ หรืออะไรทํานองนี้ได้อีกแล้วยอดของสัจจะ คือ อริยสัจ 4 ที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ แล้วประทานเอาไว้ ว่าเป็นความจริงอัน ประเสริฐ อริยะ ประเสริฐ สัจจะ ความจริง เป็น หนทางให้เราได้มารู้จักเรื่องของตัวเรา คือเรื่องของกายและใจ เราจะอยู่ในโลกนี้อย่างผาสุกร่มเย็นไม่มี ปัญหา ก็อยู่ในอริยสัจ4เท่านัน อธิบายขยายความ ออกไป คือ อริยสัจ 4 สอนให้รู้ว่า ทางที่จะดําเนินไปในชีวิตนี่เป็นทางสองแพร่งทางหนึ่งเป็นทางที่ก่อปัญหา เลียวเข้าไปแล้ว เกิดแต่ปัญหา ยิ่งแก้ก็ยิ่งเป็นการสร้างปัญหา จน กระทั่งในที่สุดเราก็เหมือนกับลิงทอดแห ตัวเอง ทอดไม่เป็น เห็นชาวประมงทอดก็ลองทอดบ้าง จนถูกแหพันกลิ้งตก้ำ จมน้ำตายไป ทางสายนี ถ้าใครนี้ ถ้าใครวนเข้าไปแล้ว ทําให้มีแต่ความยุ่งเพิ่มขึ้นเกิดแต่ทุกข์ๆๆ ทับถมขึ้นมา จนในทีสุดเราหาทาง ออกไม่ได้ ตกลงคู่หนึ่งของอริยสัจก็คือ สมุทัย เหตุของทุกข์ ถ้าประกอบเหตุอันนีแลัว ผลจะเป็นทุกข์ ทำให้เรามีแต่ความเดือดร้อน
อีกแพร่งหนึ่งคือ มรรค เหตุที่พาไปสู่ความสิ้นปัญหา ถ้าเราเห็นทางนี่ แล้วพยายามฝึกใจของ เรา ให้ดําเนินตามทางนี้ไปเรื่อยๆๆ วิธีแก้ปัญหาใน ชีวิตของเราก็จะเป็นทางคลี่คลาย เมื่อแก้ปัญหาใด ไปแล้ว ความวุ่นวายจะค่อยลดน้อยลง ๆ เหมือน อย่างกับเรามีที่สวนอยู่แห่งหนึ่ง มีใบไม้แห้งหล่น เยอะแยะเต็มไปหมด ถ้าเรารู้จักมรรคแล้ว พอเห็น ใบไม้ที่ไหน เราก็กวาดมารวมกัน แล้วเผา ใบไม้ก็ ลดน้อยลงไปๆ ถ้าเกิดมีลมพายุมา ใบไม้ที่เรากวาด เผาไปจนกระทั่งน้อยลงแล้ว หลังพายุผ่านไป กลับมีมากเพิ่มขึ้น เราก็ไม่เกิดความลังเลสงสัยว่า ใบไม้ที่เราเผาไปแล้วมันเล่นกลกับเราหรืออย่างไรเราเชื่อมั่นแน่ใจว่า ใบไม้ที่เพิ่มขึ้นมานี่ เป็น ใบไม้ที่มีอยู่เดิม แต่ซุกอยู่ใต้พงหญ้าหรือที่ๆ เรายัง มองไม่เห็น เราจะไม่สำคัญผิดไป ใบไม้ทีเรากวาด จนกระทั่งจะหมดแล้ว ก็หมดไปแล้วแค่นั่น แต่ลม พายุช่วยทำให้ใบไม้ทีซุกซ่อนอยู่ ซึ่งยังมองไม่เห็น นัน ได้ปลิวออกมาปรากฏชัดแก่เรา ใจก็เกิดกำลัง เกิดความเชื่อมันว่า สิ่งที่เราทำนั้นถูกต้องแล้ว ก็จะพากเพียรทำต่อไปเรื่อยๆ ในที่สุดสวนของเราก็จะสะอาดเกลี่ยงเกลา ไม่มีใบไม้ร่วงใบไม้แห้งทีจะ เป็นความสกปรก ก็ทำนองเดียวกับใจของเรา ถ้า เราเจอมรรคแล้ว อะไรทีเป็นกิเลส อะไรเป็นสิงที มาเกลือกกลัวทําให้ใจของเราหมดกําลังไป มันก็จะ ถูกชำระล้างออกไปด้วยปัญญา จนในที่สุดใจของเรา เห็นตามเป็นจริงที่เป็น ปรมัตถสัจจะฉะนั้น ชีวิตของคนเราก็คือทางสองแพร่งถ้าเราเชื่อว่าสิ่งที่ทำลงไปถูกต้องแล้ว แต่ผลที่ออกมามีแต่ปัญหาซ้อนปัญหา ก็ให้เราฉุกใจคิดว่า เราเลือกแพร่งผิด เมือเป็นอย่างนี สัจจะทีเราไฝ่หากันก็คืออริยสัจ 4 ให้รู้ว่าอะไรคือเหตุแห่งทุกข์...สมุทัย อะไรคือเหตุให้สิ้นทุกข์...มรรค แล้วเราก็พยายาม ฝึกตนเองให้อยู่ในมรรค เพื่อที่ผลจากการกระทำของเราจะเป็น นิโรธ เป็นความสินทุกข์สินปัญหา หรือจะใช้คำว่า วิมุตติ คือ การหลุดพ้นจากความทุกข์เดือดร้อนทั้งปวงก็ได้ทีนี้เรารู้หลักแล้วว่า สัจจะคืออย่างนนี้ แต่การ ปฏิบัติที่จะไปให้ถึงปรมัตถสัจจะนั่นเป็นอย่างไร เรารู้แล้วว่า เราพยายามจะไปให้ถึงปรมัตถสัจจะ แต่ใจที่ยังมีเงาของอวิชชา คือยังรู้ๆ หลงๆ ก็ทำ ให้ทีเรามองว่าเรารู้จริงแล้ว แน่ใจแล้วนั้น ทีแท้ยัง ไม่แน่ไม่รู้ ก็ไม่ต้องไปกังวลว่า ทีรู้นี่เป็นปรมัตถ์ หรือสมมติ เพราะความรู้จากการไปถามเขา หรือ ท่องจําอย่างเดียวนั้น จะยังไม่เป็นของแท้ของจริง มันอาจช่วยให้เราแก้ปัญหาในครั้งนั้นไปได้ แก้ เสร็จแล้วเราก็ลืมอีก เพราะมันยังไม่รู้เป็นขึ้นมาในใจอะไรก็ตามที่เราใช้ปัญญาไตร่ตรอง ไปอ่านตำรามา ไปปรึกษาถามไถ่ผู้รู้มา แน่ใจแล้วว่า นี่ แหละใช่แล้ว ถูกต้องแล้ว ดีแล้ว เราก็ลงมือกระทำไป และขณะกระทำนี้ ให้มีสติอยู่กับใจ คอยเฝ้าสังเกตว่า ทำลงไปแล้ว ผลเป็นอย่างไร เป็น อย่างที่เรากำหนดหวังว่า มันจะแก้ปัญหา คลี่คลายปัญหาไปในทางที่ดีขึ้น หรือทําไปแล้วมันไม่คลีคลายแต่กลับทำให้เป็นปัญหาเพิ่มมากขึ้นถ้าเป็นอย่างนี้เราต้องเป็นคนจริง คือเป็นคนมีสัจจะกับตัวเอง เมื่อเรามีหลักการว่าอย่างนี้ ทดสอบทำไปตามหลักเหตุผลของเรา แต่ปรากฏว่า ผลไปในทางตรงกันข้าม เราก็รับกับตัวเองว่า ที่เรา คิดมาแต่แรก เข้าใจมาแต่แรกนั้น มันไม่ถูกนะ.ต้องเป็นคนจริง เป็นคนมีสัจจะกับตัวเอง ไม่ใช่ว่าทำลงไปแล้ว ผลเป็นไปอย่างนี่ เราก็จัดแจงกลบ เกลือนแก้ต่างกับตัวเองว่า เราคิดสงสัยอยู่แล้วว่ามันอาจจะไม่ถูกก็ได้ แต่ก็ลองทําไปอย่างนั่นเองถ้าใจของเราไม่ซือสัตย์ ไม่จริงจังกับตัวเองอย่างนี้ เราจะไม่ได้วิชชาอะไรเลย เพราะเป็นผู้ หลอกตัวของตัวเองอยู่ตลอดเวลา มีอะไรผิด ก็จะ ไม่รู้ว่าเราผิดที่ตรงไหน ทีเราแก้ไขหลุดออกมา ก็ไม่รู้ ว่าแก้ที่ตรงไหน หากไปยึดพอใจอยู่กับผลที่เกิดขึ้นถ้าผลของเราใช้ได้ทุกครั้ง เราก็ภูมิใจแล้วว่าเรามีความรู้ เราทำถูกต้องดีแล้ว แต่จริงๆ แล้ว ไม่ใช่ เพราะในใจของเราไม่เกิดความกระจ่างแจ้งทำนองเดียวกับตอนที่เราสอบ บางทีเราไม่รู้ คำตอบ ก็เดาเอา แล้วก็จำไม่ได้ว่าเดาไปอย่างไร แต่บังเอิญเดาถูก คะแนนออกมาดี เราก็ภูมิใจที่ สอบได้ แต่ถ้าหากเอาคนไข้อย่างนั้นมาให้วินิจฉัย หรือว่าเอาข้อสอบนั้นมาออกซื้า เราก็ทําไม่ได้ เพราะเรายังไม่ได้รู้เห็นเป็นขึ้นในใจ ยังไม่ได้เกิด ความเข้าใจ จนกว่าเมื่อไหร่ไปเจอปัญหานี้เข้า เรา สามารถแก้ไขได้ทุกครั้ง นั่นแหละ จึงถือได้ว่ารู้ ว่า มีประโยชน์ถ้าหากว่าเราเป็นคนมีสัจจะกับตัวเอง ตกลง ปลงใจไปแล้วว่าอย่างนี้ ทำลงไปแล้ว ราว่าอย่างนี้ ทำลงไปแล้ว ผลไม่เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ ก็รับกับ เองว่า ที่ว่าอย่างนี้ผิด แล้วมาสำรวจตัวเองว่ามันผิดที่ตรงไหน นีคือเบืองต้นของการปฏิบัติ ให้ มีผลอวิชชาขึ้นมาคนส่วนมากไม่ทันได้เห็นตรงจุดนี้ ถ้าไม่มีความแน่ชัดกับตัวเองอย่างนี้ เวลามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น เราจะพบว่า เมื่อมีใครวิพากษ์ วิจารณ์ ไม่ถูกนะ เราไม่ฟังให้จบหรอก พอได้ยินว่า ไม่ถูกนะ.. เราก็รีบอธิบายแซงเลยว่า ที่ทําไปเพราะเรามีเหตุผลอย่างนี้ๆขณะที่เราพูดแซง เขาก็พูดแข่ง ที่คุณทำมันม่ถูก เพราะอย่างนี้ๆๆ ต่างคนก็ต่างพูด ไม่มีใครฟังใครเลย การเรียนรู้ก็ไม่เกิดขึ้น อะไรทีเป็นอวิชชา มีอยู่ในใจของเราแค่ไหน เราก็ยังยึดมันรักษาเอาไว้ แค่นัน เราพยายามปกป้อง พยายามเอาความเห็น เอาทฤษฎีของเราไปยัดเยียดให้อีกฝ่ายหนึ่งฟัง เวลาผ่านไปเท่าไร ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย พูดกนหมดเวลา ไปเท่าไหร่ ๆ ก็ไม่ได้เรื่องเมื่อปฏิบัติแล้ว ดิฉันเชื่อว่าทุกคนจะเริ่ม สังเกตเห็นจุดนี้ เมื่อตัวเองไปปฏิบัติก็เริ่มเห็นตรงจุด นี่ว่า เออแน่ะ... เราเป็นคน ฟัง ไม่เป็นแฮะ ใครพูดอะไรที่ไม่ถูกกับใจเราปุ๋บ เราจะไม่อดทนฟังให้จบหรอก แต่จะรีบชี้แจงให้เขาเห็นตามเรา และเชื่อว่า ที่ทำนั้นถูกต้องมีเหตุผล ไม่ได้แก้ตัว ถ้าถูกอีกฝ่าย ประท้วงว่า อย่ามาทำแก้ตัวไปหน่อยเลย ก็จะหงุดหงิดมาก มันเป็นความหลงจากอวิชชา ที่ปิดบังใจเอาไว้ มันปิดบังให้เราเข้าใจผิดไปว่า ฉันกำลังชี้แจงให้เธอเข้าใจ เธอดึงดือถือรัน ไม่ยอมเข้าใจฉันต่างหากเล่า ก็เลยทําให้เรายิ่งยึดมันถือรันยิงขึ้นไปอีกแล้วก็ไม่ฟังเขา ด้วยเชือมันว่า ใครจะมารู้จักฉันดี ยิงไปกว่าตัวของฉันล่ะ เพราะฉะนัน ถ้าคุณไม่ยอมฟัง แล้วยังจะมากล่าวหาฉันอยู่อย่างนี มันก็ไม่มี ทางจะรู้เรืองกันได้หรอกเราก็ไม่เกิดความคิดที่จะฟังเขา เมื่อท่าน อาจารย์ถามว่า พูดไปแล้วมันไปแก้อุปาทาน ความยึดผิดเห็นผิดให้เกิดเป็นสัมมาทิฐิได้ไหม ถ้าไม่ได้ อย่าพูด แต่เขาพูดอะไรออกมาให้ตั้งสติฟัง แล้วจะ ได้รู้ในใจของเขาว่า เขาคิดอย่างไร คราวนี่มันถึงจะ เข้าใจกันได้ว่า ตรงไหนทีเราเข้าใจคลาดเคลือนกันแทนที่ท่านอาจารย์จะสอนให้เราดูใจเรา เราก็คงเถียงท่านอยู่นั้นแล้ว ท่านก็เลยสอนให้เรา เงียบเสีย เพื่อฟังให้หยังรู้เข้าไปในใจของเขา เพราะนิสัยเราชอบส่ายแส่ใจออกนอก อันเป็น ธรรมชาติธรรมดาของใจทียังไม่ได้ฝึกอบรม มันจะ มองออกแต่ข้างนอก เห็นแต่ข้างนอก แต่ไม่มอง
เข้าในใจของตัว ไม่เห็นข้างใน ท่านเลยให้เราหยุด พูด ฟังเขาแทน จะได้เข้าใจเขาคราวนี้พอเราหยุดพูดเป็นแล้ว จึงพบว่า ปาก ของเราหยุดแล้วก็จริง
แต่ใจยังเถียงไม่ยอมหยุดแต่มันก็ดีขึ้น เพราะอย่างน้อยหูก็ยังฟังเสียงของเขา ถึงใจจะเถียงแซงขึ้นมา หูก็พอได้ยินบ้าง ซึ่งดีกว่า เมื่อเราก็พูด เขาก็พูด ต่างคนต่างแข่งกันพูด เลย ไม่มีใครได้ยินอะไรเมื่อเป็นอย่างนิแล้ว ก็เริ่มรู้ว่า ที่เขาว่าอย่าง นี้อย่างนี้ เพราะเขาก็คิดอย่างนี้นี้ ของเขา แล้วมาเปรียบเทียบกับความคิดของเราได้หรือจะให้ดียิ่งขึ้น บันทึกเสียงเอาไว้ด้วย เมือเสร็จ จากเหตุการณ์นั้นแล้ว ลองมาเปิดเทปฟัง แล้วเราจะตกใจว่า เขาพูดอย่างนี้หรอ เราไม่เห็นได้ยินสักคำเดียว หรอ เราพูดอยางนหรอ ตายแลว เราไม่รู้ตัวเลยว่าเราพดออกไปอย่างนี้ ไม่รู้พูดไปได้อย่างไรกันแต่ถ้ามีใครมาวิจารณ์ว่า เราพูดจาน่าเกลียด ไม่มีเหตุผล ทั้งที่เราเพิงรับกับตัวเองว่า พูดไปได้ อย่างไรกัน เราก็จะโกรธเขาว่า มาใส่ไคล้เรา ถ้าเอาเทปมาฟังใหม่ขณะที่เราอารมณ์ดีแล้ว เราก็จะ ยอมรับว่า เราอันธพาลถึงปานฉะนี้เซียวหรือ นี่ก็เป็นวิธีที่จะทำให้เรารู้จักกับตัวเองและซื่อสัตว์กัยตัวเองหรือบางคนแนะว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ได้ ดั่งใจขึ้นมา แล้วคิดอยากจะพูดอะไร ก็ให้เขียนเอา ไว้ให้หมด เขียนแล้วอย่าเพิ่งอ่านทาน หรือเอามาอ่านใหม่ทันที ให้เก็บไว้สักอาทิตย์หนึ่ง เมื่อรู้สึกว่า ใจเราสบาย อยู่เยินเป็นปกติแล้ว ก็เอาที่เขียนไว้นั้น มาอ่านอย่างตั้งสติ พินิจพิเคราะห์ ไตร่ตรองตาม ไปด้วย เราจะตกใจ พร้อมกับปฏิเสธว่า ฉันไม่ได้เขียนนะ ไอ้บ้าตัวไหนกันนีมาเขียนปลอมเป็นลาย มือฉันหลายท่านที่พยายามหาวิธีรู้จักตัวเอง ฝึกให้ มีสัจจะกับตัวเอง โดยคิดจะทําอะไรแล้ว เขียนเอาว้ก่อนว่า เรื่องนี่ตกลงใจจะทำอย่างนี้ๆๆ ครั้นมีเหตุการณ์เกิดขึ้น ทำให้สติหลุด แล้วเราพูดอะไร ออกไป แก้ตัวเป็นพัลวันไปอย่างไร ถ้าบันทึก เสียงเอาไว้ เขียนบันทึกความนึกคิดตั้งใจเอาไว้ แล้วย้อนเอากลับมาศึกษาดู ก็จะค่อยๆ เห็นและค่อยๆ รู้จักตัวเอง แล้วจึงเข้าใจว่า ทำไมเราต้อง สัจจะกับตัวเอง นันคือ ทําอะไรลงไปแล้ว ต้องรับผิดและรับชอบตามที่มันเป็น สัจจะจึงจะเริ่มมา ทำให้เราเป็นคนจริงไม่อย่างนั้น ที่ปากเราบอกว่า ฉันเป็นคนจริงคนจริง คนจริง กันนี่น่ะ ฉันมีสัจจะ ศีลข้อนั้นข้อนี้ของฉันไม่ด่างไม่พร้อยเลย แต่ความเป็นจริง มันไม่ใช่ มันโกหกตัวเองอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ไม่รู้ตัว เป็นโมฆบุรุษ โมฆสตรี
เพราะอะไร เพราะว่า เราไม่เคยรับผิด ไม่เคยเรียนรู้เคยคิดจะแก้ไขตัวเองเลย เมื่อไม่มีความจริงใจกับ ตัวเองอย่างนั้นแล้ว ต่อให้เราบอกว่าเรารักใคร เราหวังดีต่อใคร ความเป็นจริง มันก็ไม่รัก ไม่หวังดี เพราะจริงๆ แล้วมันรักกิเลส รักตัวเองทังนัน มอง หาไปเถอะ แต่ละคนๆ ที่ปากบอกว่า เรารักคนอื่น เรายอมตายแทนคนอื่น ยกตัวอย่างเช่น พ่อแม่รัก ลูกเหลือเกิน ยอมตายแทนลูกได้ แต่พอเอาจริงเข้า... นี่ถ้าเจ้าไม่ทำอย่างที่ฉันบอกละก็ เป็นอันขาด กัน ไม่ต้องเป็นพ่อลูกหรือแม่ลูกกันต่อไป..พอถึงจุดหนึ่ง ปุถุชนทุกคน กิรักตัวเอง แล้วทวงบุญทวงคุณด้วย ..อุตส่าห์ถนอมกล่อม เกลียงเลียงดูมาตังแต่ฝ่าตีนเท่าผ่าหอย จนโตมาแค่นี้แล้ว อะไร เรืองแค่นี่ก็ดึงดื่อ ขัดใจ... แท้ที่จริงรัก ตัวเอง ถ้าเจ้าไม่ทำตามใจฉัน ตัดขาดกัน ไม่ต้อง เป็นแม่เป็นลูกกันหรือที่ปากลูกบอก รักพ่อรักแม่สุดหัวใจ โตขึ้นมาหน่อยหนึ่ง เริ่มไปหลงสาว หลงหนุมเขา ก็ลืมไปหมดว่าพ่อแม่สอนให้เป็นคนดีอย่างไร สอนให้สร้างเนื่อสร้างตัว ดำรงวงศ์ตระกูลอย่างไร อะไร ที่จะทำให้กิเลสได้รับความสะดวกสบาย ก็ทำทั้งนัน พ่อแม่เก็บใส่ลิ้นชักลันกุญแจเอาไว้ก่อน ครันทุกข์ เดือดร้อน จึงนึกได้ว่า ถ้าเชือพ่อเชื่อแม่ เราคงไม่ทุกข์เดือดร้อนอย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้กันทั้งนั้นใจที่อวิชชามีอิทธิพลครอบครองอยู่ ทำให้เมื่ออะไรก็ตามมากระทบ ถ้าสติไม่เข้มแข็งพอ การตอบสนองจะเป็นไปโดยอัตโนมัติ ครันเรืองราว เสร็จเรียบร้อยไปแล้ว งาไหม้ไปหมดแล้ว ถึงได้สติรู้อย่างนี้ไม่ทำก็ดีหรอกการจะฝึกใจให้มีสัจจะ รู้จักสัจจะ และเอา สัจจะมาใช้กับตัวเองให้ได้คุณได้ประโยชน์ ต้องเริ่มกันอย่างนี้ เริ่มกันเหมือนนิทานอิสปเรื่อง คนตักฟืนกับเทพารักษ์ ที่เล่าว่า มีคนตัดฟืนคนหนึ่งว่ายน้ไม่เป็น เมือเข้าป่าไปตัดไม้ บังเอิญทําขวานของ ตนเองหล่นตกลงไปในแม่นํา ก็ลงนังโศกเศร้าเสียใจ
เพราะชีวิตของเขาถ้าไม่มีขวานแล้ว เป็นอันทำมา หากินไม่ได้ จะลงไปงมขวานก็ว่ายน้ำไม่เป็น แล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะได้ขวานกลับมาอย่างไรขณะที่กำลังโศกเศร้าเสียใจอยู่ เทพารักษ์ก็มาปรากฏกายขึ้น และอาสาว่าจะไปงมขวานให้ เทพารักษ์งมได้ขวานทองขึ้นมา ก็ถามว่า นีขวานของเจ้า ใช่ไหม คนตัดฟืนเป็นคนซือสัตย์ มีสัจจะ ก็ตอบ ว่า ไม่ใช่ ขวานของข้าเป็นขวานเหล็ก เทพารักษ์ก็ลงไปงมใหม่ ครั้งนี้ได้ขวานเงินขึ้นมา คนตัดฟืนก็ปฏิเสธว่า ไม่ใช่ อันนีก็ไม่ใช่ขวานของข้า เทพารักษ์ก็ลงไปงมอีกที ได้ขวานเหล็กขึ้นมา คนตัดฟืน ก็รีบบอกว่า นี่แหละ ขวานข้า เทพารักษ์เห็นว่า คนตัดฟืนเป็นคนซื่อสัตย์จึงมอบขวานเงิน ขวานทอง ให้ไปด้วยข่าวก็เลื่องลือไป ทำให้คนตัดฟีนอีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นนักฉกฉวยโอกาส ไปตัดฟืนแบบคนแรก แล้วโยนขวานลงไปในแม่น้ำ นั่งร้องไห้ เทพารักษ์ ก็มาอาสาจะลงไปงมขวานให้ พอได้ขวานทองขึ้น มา คนตัดฟืนตั้งใจมาเอาขวานทองอยู่แล้ว จึงรีบ บอกเทพารักษ์ว่า นี่แหละ ขวานของข้า รับสมอ้าง ไป โดยไม่มีความสัตย์ซื่อต่อตัวเอง ปล่อยให้ความ โลภลากจูงไป เห็นเขาได้ก็อยากได้บ้าง ไม่ศึกษาให้ ถ่องแท้ว่า วิธีได้ของเขานั้นได้มาอย่างไรเทพารักษ์เลยบอกว่า เจ้าเป็นคนไม่มีความ สัตย์ซื่อ ขวานนี้ไม่ใช่ของเจ้า เพราะฉะนั้นเจ้าไม่มี สิทธิได้ ขวานทองก็อันตรธานหายไป เมื่อเจ้าไม่ สัตย์ชื่อ ธัมมะก็ไม่คุ้มครองรักษาเจ้า เทพารักษ์ก็ ไม่ลงไปงมขวานเหล็กให้ด้วย คนตัดฟืนก็เลยเสีย ขวานของตัวไปเปล่าๆพวกเราก็อยู่ในประเภทนี้เหมือนกัน เวลาทํา งานเราก็ไม่ทํางาน แต่เอาเวลาเอาใจไปจดจ่อกับ การแทงหวย เล่นหุ้น กิจกรรมเหล่านี้ก็คอรัปชั่น เวลาทํางานไปหมด ความโลภทําให้สติขาดหน้าที่ของตน ไม่ซื่อตรง ทุกสิ่งที่ทําลงไป แทนที จะเป็นมรรค ก็กลายเป็นสมุทัยไปเมื่อใจเห็นอย่างนี่แล้ว จะได้ระมัดระวังตัวเอง เอาไว้ ในชาดกมีเรื่องกล่าวถึงหญิงงามเมืองคนหนึ่ง ว่า เมือเธอตายไปแล้ว ก็ไปเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ ชาวบ้านเกิดความสงสัย ไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่า หญิงงามเมืองทีเพิงตายไปนั่น ไปเกิดเป็นเทวดาจริง หรือ พระพุทธเจ้าตรัสรับรองว่าจริง ชาวบ้านทูลถามว่า เธอเป็นคนไม่ดี เป็นผู้หญิงงามเมือง แล้ว ทําไมถึงไปเกิดเป็นเทวดาได้พระพุทธเจ้าทรงอธิบาย หญิงงามเมืองผู้นี้ ตลอดชีวิตไม่เคยทำอะไรทีเป็นสิ่งไม่จริงเลย คำพูด ของเธอทุกคำล้วนเป็นคำสัตย์ คำจริงทั้งสิน ด้วยสัจบารมีทีเธอได้กระทำ เพียงอย่างเดียว ก็พาให้ใจของเธอ เมื่อพ้นจากโลกมนุษย์ ไปเกิดเป็นเทวดาได้อานิสงส์ของสัจจะมีมากถึงเพียงนี้ เรื่องอื่นๆ ยังไม่ต้องเอามาเป็นกังวล เอาเพียงสัจจะอย่างเดียว เท่านันแหละ ก็สามารถคุ้มครองเราให้ไม่ตกต่ำไป เกิดในทุคติภูมิ ถ้าเราจะสงสัยว่าสัจจะมีคุณมี ประโยชน์แค่ไหน ก็ให้เราจําไว้ว่า เพียงแค่เราสัตย์ ซีอกับตัวเอง ก็สามารถคุ้มครองตัวให้ไม่เดือดร้อน ขาดทุน สูญกำไร ถูกฟ้องล้มละลายจากความเป็น มนุษย์ไปได้เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว เราก็มาพิจารณาดูว่าเราจะฝึกฝนให้สัจจะคุ้มครองชีวิตของเราให้เจริญ รุ่งเรืองได้อย่างไร เวลาพูดกันมันก็พูดง่าย สังเกตดูเถอะ ถึงเวลาทีจะทําเข้า ความเคยชินที่ เป็นอัตโนมัติก็พาให้เรากระทำไปอีกอย่างหนึ่ง ทั้ง ที่ไม่ได้มีเจตนา แต่มันเคยทําจนฝังเป็นรกราก เป็นเหมือนกับเนื้อหนังของใจเราเข้าไปแล้ว เป็นด้วยกัน ทุกคนแหละ ไม่มีข้อยกเว้นยกตัวอย่าง เรากำลังหิวโซมา ตั้งใจจะมา ล้มทับเพื่อนขอกินข้าวด้วยสักหน่อย แต่พอมาถึงก็ปรากฏว่าเขากําลังจะอิมกันอยู่แล้ว พอเขาถามว่ากินข้าวมาหรือยัง มากินด้วยกันนะ ทั้งๆ ที่ใจเรา ว่าหิว จะกินกับเขา แต่พอเห็นสถานการณ์ไม่เอื้อ อำนวย ปากกลับพูดออกไปว่า อิ่มมาเรียบร้อยแล้ว หรือไม่ก็ ไม่กินหรอก ทั้งๆ ที่ใจคิดอยู่อีกอย่างหนึง ปากกับใจจึงไม่ตรงกันโดยไม่รู้ตัวเรื่องธรรมดาสามัญในชีวิตประจำวันก็เป็นทำนองนี้ พอเขาถามว่า ทีมานีมีธุระอะไรหรือเปล่าทั้งทีมีธุระ ก็ตอบกลับไปว่า ไม่มีอะไรหรอก มาเยี่ยมเฉย ๆ คือไปสำคัญว่า การมีมารยาทต้องพูดจาประพฤติอย่างนี้ มันเลยทำให้เราเป็นโมฆบุคคลไป โดยไม่รู้ตัว แล้วแก้ต่างว่าเราไม่ได้หมายความ อย่างนัน เพียงแต่ทำกิริยาพูดจาไปตามมารยาทเท่านั้นเอง แต่หารู้ไม่ว่า หากมีอะไรเกิดขึ้น โดยความเคยชินที่เป็นอาจิณกรรมเหล่านี้ จะพาใจของเรา ตอนที่กำลังหายใจเฮือกสุดท้าย แล้วหมดลมหายใจ ให้กลิ่งไปตามมารยาท แทนที่จะกลิ่งไปตามสติสัมปชัญญะ ปัญญา ทำให้ชีวิตของเราประสบแต่สิ่งที่ไม่ พึงปรารถนา เพราะเราทำร้ายตัวเองในวินาทีคับขันอย่างนี้ทุกที่ ใจของเราก็หมอง เพราะกระทำไป แล้วจึงฉุกคิดได้ทุกทีว่า ...รู้อย่างนี้ ไม่ทำเสียก็จะดีหรอก ความไม่ได้ดังใจต่างๆ เหล่านี้ ก็จะไปสะสม อยู่ในจิตไร้สำนึกเมื่อมีวิกฤตการณ์เกิดขึ้น แทนทีใจจะตั้งมัน เกิดกำลังว่า เป็นตายร้ายดีอย่างไร เราต้องพยายามจนถึงที่สุด ใจกลับลังเลว่า ...เราคงทําไม่ไหว ทําไม่ได้ เพราะอะไร เพราะทุกครั้งที่ทำอะไรลง ไปแล้ว เราไม่พอใจสักที มีแต่ความลังเล ความเสียดาย.. รู้อย่างนี้ ไม่ทำอย่างที่ทำลงไปก็จะดี หรอก... นิสัยนี้จะทำให้ถึงเวลาคับขันเข้า แทนที่เราจะรวมกำลังตังมันว่า ไม่มีอะไรยากเกินความเพียร พยายามของมนุษย์ไปได้ เราก็ฟุ้งซ่านลังเลเสียพระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ศักยภาพของความเป็นมนุษย์นี่ ไม่มีสิงใดจะยากเกินความเพียรพยายาม หรือกำลังสติปัญญาไปได้ ถ้าเราตั้งใจให้มุ่งมั่นแล้วพลังอะไรจะมาต้านทานพลังใจข องมนุษย์ไม่ได้
เราเกิดความลังเลก็เพราะทุนรอนที่สะสม มีแต่ ...อย่างนี้ ไม่ทำอย่างที่ทำลงไปก็จะดีหรอก ...ทำให้พอ ถึงวินาทีวิกฤติ ใจจะรวมกำลังตั้งมัน ประสบการณ์เก่า ๆ เหล่านี้ ก็ขึ้นมาบั่นทอนกำลังใจเสีย ...ทำไป ก็คงเหนือยเปล่า คงไม่ได้ผล...ตัวของตัวนี้แหละ ที่ไปขีดเส้นแพ้ให้กับตัว เองเอาไว้ พอจะทำอะไรลงไป ใจก็ฝ่อ ทํานอง เดียวกับเรากําลังวิ่ง...วิ่ง...วิ่ง... เพื่อกระโดดข้ามสิ่งกีดขวาง ถ้าวิ่งไปเรื่อยๆ เราก็จะกระโดดฟัน แต่ หากตอนที่เข้าด้ายเข้าเข็ม กำลังจะกระโดดนี่ เรา กลับไปมองสิ่งกีดขวาง แทนที่จะตั้งหน้าตั้งตาวิ่ง แล้วกระโดดข้ามไปเลย เราก็สงสัยว่า จะข้ามพ้นหรือ ช่วงนิดหนึ่งทีเราชะงัก ก็เป็นเหตุให้กระโดด ข้ามไม่พ้น ใครที่ขับรถ จะสังเกตเห็นว่า เมื่อไหร่เราตัดสินใจว่าไปพัน แล้วเราก็ไป มันก็พ้นทุกที แต่ ถ้าคนนังข้างๆ ท้วงว่า อย่าเพิงไป เราก็กระตุกนิดหนึ่ง ออาจเป็นเสี่ยววินาทีนิดเดียวก็พุ่งไป ปรากฏว่าไม่พันจริงๆ ช่วงขณะนิดหนึ่งนิด เดียวที่เกิดลังเลนี่แหละ มีผลมากมายมหาศาลชีวิตของเรา ใจของเรา ก็เป็นทำนองนี่ จึง ว่า ถ้าเมื่อไหร่ก็ตาม ที่เรามีสัจจะกับตัวเอง ก่อน จะทำอะไร ไตร่ตรองพิจารณาให้แน่วแน่ แล้วก็ตั้ง ใจมันว่า ตกลงแล้ว หักใจ ลงใจแล้ว ไม่เปลี่ยนแปลงไม่เขยือน ก็จะไปของมันได้ ถ้าผลออกมาผิดพลาด เราก็ยอมว่า เหตุผลทีคิดว่าถูกนัน ยังใช้ไม่ได้ ต้องและมาเรียนรู้ใหม่ ผิดหนเดียวแต่มีผลให้ใจเกิดความรู้ชัด สามารถที่จะ รู้เป็นรู้ ไม่รู้เป็นไม่รู้ ไม่ใช่สิ่งเสียหาย แต่จะเป็นการฝึกฝนใจให้มีกำลังเที่ยงตรงขึ้นเรื่อยๆสัจจะก็แน่นแฟ้นในตัวเราเพิ่มขึ้น จนกระทั่งมีอะไรเกิดขึ้น ก็ไม่เผลอพล่อยออกไปว่า พูดตามมารยาทแหละ พาให้เรากลายเป็นสมมติๆๆ ไปหมด เพราะสังสมแต่สมมติสัจจะ จะเอาอะไรกันหนักหนา ล่ะ ตัวเราเลยกลวงโป์เป็นสมมติไปทั้งตัวเลย เราก็ ทําอะไรทีเป็นแก่นเป็นสาระเป็นหลักไม่ได้
ใจมีแต่ความลังเลสงสัยวิตกกังวลไปเรื่อย ๆเกิดแต่นิวรณ์ ๆ ๆ ทำให้ใจไม่เคยลงรวมเป็นหนึ่ง เกิดพลัง ตั้งมันจริงจังได้สักที กระโดดทีไรก็ติดสิ่งกีดขวาง ทำให้ทดท้อใจ ถ้าไล่เลียงเข้าไปถึงชีวิตของจะพบว่าจุดที่ท้อแท้ทอดอาลัย มีที่มาทำนองนี้ตัวเอง จำได้ถึงตอนทีหัดขับรถเป็นใหม่ๆ ถ้าวันไหนสังหรณ์ว่าจะไปชนกับอะไร เป็นได้เรื่องที่นั่นสิ่งที่ติดใจกลัวขณะนั้นคือการถอยรถเข้าซองจอดให้ เรียบร้อย วันนั้น เมื่อถอยเข้าจอด ก็ปรากฏว่า มัน ห่างจากรถคันที่จอดอยู่ก่อนมากเกินสมควร เพื่อนที่ นั่งมาด้วยวิจารณ์ว่า จอดน่าเกลียด ขยับเข้าไปให้ ชิดอีกหน่อยเถอะ เขาจะดูให้เรารู้ฝีมือเราอยู่ว่า ถ้าถอยออกมาเพื่อจอดให้ชิดกว่านี้ก็จะต้องสีไปกับรถคันนั้นแน่ๆ เพื่อนก็ไม่เชื่อ อะไร...เธอจะบ้าถึงปานนั้น เพราะเห็นกันอยู่ว่าจอดห่างมากจริงๆ แต่ในใจขณะนั้นรู้สึกว่า ถ้าให้ ถอยใหม่ก็จะต้องไปสีเขาแน่ ครันเพื่อนคะยันคะยอหนักๆเข้า ก็เลยตัดใจว่า เป็นไรก็เป็นกัน แล้วก็เกิด เรื่องจริง ๆเราก็ไม่รู้ว่า ใจของเรามันรู้ของมันเอง หรือ เราไปสะกดจิตตัวเองว่า อย่างไรเสียก็ต้องไปสีเขาสิ่งที่เกิดขึ้นคือพอหักพวงมาลัยเลียวเข้าจอด แทนที่จะหักเข้าพอดี ๆ มันก็หักล้าเข้าไป จนไปชิดแนบ สนิทอยู่กับรถของเขา แต่เนื่องจากรถคันนั้นเป็นรถโกดัง จึงไม่มีร่องรอยบุบสลาย แต่สีข้างรถใหม่ๆของเราขึ้นคิวตลอดยาว ตั้งแต่บังโคลนหน้าจรดบังโคลนหลัง พอเห็นแล้วรู้สึกเหมือนรอยนี้มันเข้าไป ถลอกอยู่ในหัวใจ เลือดหยดซิบๆเลย ใจเกิดความรู้สึกว่า ตั้งแต่นี่ต่อไป ไม่อยากจอดรถชนิดเสียบเข้าซองอย่างนี้อีกแล้ว ทำไม่ได้... ทำไม่ได้...พ่อกลับสอนว่า ถ้าทำผิด ทำอะไรไม่ได้ แล้ว ไม่ยอมเรียนรู้ ไม่ยอมแก้ตัว ผลทีสุดเราก็จะทำอะไร ไม่เป็นสักอย่าง ยิ่งนานวันไป เราก็จะผลัดผ่อนกับตัวเองว่า ขอเวลาตังเนื่อตังตัวก่อน อาทิตย์หน้าจะถอยรถเข้าที่ใหม่ ทีนี้พอไปที่ไหนทีจะต้องจอดรถเราก็จะไปแบบหมาบ้า คือไปหน้าเรือย ไม่มีการถอย หลัง ไม่มีการจอดรถ พ่อย่าว่า...ไม่ได้ อะไรทีเราทำผิดแล้ว เราต้องทำซ้า จนกระทั่งเราแก้ที่ผิดของเรา ได้ ถ้าเราถอยรถไปสีเขา แล้วเราบอกว่า ...อาทิตย์ หน้าค่อยลองถอยใหม่ พอถึงอาทิตย์หน้าก็จะยิ่งกลัวหนักเข้าไปอีก คราวนี่เลยไม่ยอมทำ เพราะฉะนั้นต้องทำทันที เหมือนเป็นของปกติธรรมดาตอนนั้น มีความรู้สึกว่าทำไมพ่อถึงใจร้ายใจ ดํากับเราเหลือเกิน ในใจเชือว่า ถ้าไปทําจะต้องขาด ใจตายไปจริงๆ เป็นเรื่องหนักหนาสาหัสที่สุด จิตใจ ไม่ยอมสู้ ความจริงไม่ใช่ว่าใจไม่สู้หรอก แต่ทนไม่ได้ทีจะทำผิดซ้าอีก มันรู้สึกเป็นการเสียหน้าเหลือเกิน ทำไมของแค่นี่ ฉันทําไม่ได้ ดูซิ เพื่อนบอกว่า ห่างตั้งมาก เราขยับเข้าไปอีกนิดเดียว ทำไมเข้าไปสีกับรถเขาเลยพ่อยืนยันว่าของอย่างนี้ ต้องลองจนรู้ ถ้าผิดอีก ก็ค่อยๆ ขยับทีละนิดจนทำได้ มิฉะนั้นก็จะไม่เรียนรู้ไม่เกิดความชำนาญ ชีวิตคนเราจะเกิดความเชื่อมันได้ ก็จากประสบการณ์ ผิดเป็นผิด ถูกเป็น ถูก ผิดก็ยอมรับว่าผิด คนบางคนผิดหนเดียวแล้วเขาทำได้ ก็เรื่องของเขา เราอาจจะผิดสิบหนแล้ว ทำได้ เราก็จะต้องยอมผิดสิบหนจนแน่ใจว่าทำได้ เพราะฉะนั้น ทุนรอนค่าจับจ่ายใช้สอยในชีวิตของแต่ละบุคคลในสังคม จึงสิ้นเปลืองไม่เท่ากัน
เมื่อตัวเองมาปฏิบัติธรรม จึงเข้าใจว่า ใน ชีวิตของแต่ละคน ไม่มีอะไรที่ทําไปแล้วเป็นสิ่งไม่น่าทํา เสียเวลาไปเปล่าๆ อยางทชอบพูดกนวา เฮ้อ มัวไปเถลไถลซักซ้าอยู่ได้ ไม่ใช่อย่างนั้น ใจของ แต่ละบุคคลเหล่านัน ถ้าไม่ได้มีประสบการณ์ซ้าซากมาเท่านั้นๆ เขาก็จะยังไม่สะดุดตื่นขึ้นมา และระลึกรู้ เพื่อเตือนตัวเองได้ ประสบการณ์สำหรับแต่ละคนไม่ เท่ากัน คนบางคน ครังเดียว สติก็มาแล้ว พอจะ เผลออย่างนันอีก เขาจะระลึกได้ และเตือนตัวเขา ไม่มีพลาดอีกแล้ว คนบางคน ต้องสิบครัง อีกบาง คนต้องถึงพันครั้งครูบาอาจารย์ ที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านเมตตา อดทนอดกลั่น ความจริงท่านไม่ต้องอดทนอดกลั้นหรอก ท่านรู้แล้วว่า คนนี้จะต้องใจเย็น จะต้องให้เวลา คนนั้นต้องเมียน หวดๆๆ เข้าไป เพราะรู้ว่ายิ่งเฆี่ยนยิ่งได้ดี เหมือนกับที่ท่านเล่าถึงสมัยของท่านพระอาจารย์มัน บางองค์ท่านอาจารย์จะขุจะบังคับ รู้ว่ากลัวเสือก็ให้ไปปักกลดอยู่ตรงทางเสือผ่าน จะได้ดี แต่บางองค์ก็ไม่ให้ออกไปลำบากตรากตรำทะนุถนอมเอาไว้ใกล้องค์ท่าน เพราะรู้ว่า ถ้าไปทําให้กลัว สติจะหลุดทำให้บ้าไปเลยจริตนิสัยแต่ละคนไม่เหมือนกันคนบางคน จะปีนเขาก็ต้องเวียนขึ้นไปรอบแล้วรอบเล่าจนถึงยอด ท่านก็ปล่อยให้เดินไป จะเดิน กี่ภพกี่ชาติก็เอาเพราะรู้ว่า ต้องหาประสบการณ์ ด้วยวิธีนี้ แต่อีกบางคนชอบไต่หน้าผา เอาเชือกผูกแล้วสาวตัวขึ้นไป ถ้าเราไม่รู้จริง ไม่เข้าใจ แล้วส่ง จิตออกนอก เราก็จะเกิดการอิจฉาริษยา ทำให้ใจ เป็นสนิม ...ที่เขาทำ หนึ่งหนแล้วนะ สิบหนแล้วนะ ทำไมท่านอาจารย์ยังเฉยอยู่ พ่อแม่ยังเฉยอยู่ พอเรา หนแรกก็จิกเอา จิกเอาถ้าไม่รู้จักปรมัตถสัจจะ เราก็เอากิเลสในใจของเรา ตัวตนของเราที่ใหญ่คับจักรวาล มาเปรียบ เทียบ แล้วปล่อยใจให้คังแค้น ทุกข์โทมนัส ใส่ไคล้ ป้ายสีคนอื่นเรือยไป เหมือนอย่างกับพ่อแม่มีลูก 10  คน ก็เปรียบเหมือนนิ้ว 10 นิ้ว กขาก็รักนิ้วทั้ง 10 นิ้วเท่าๆ กัน เราลองไปถามว่า นิวก้อยไม่ดีใช่ไหม ไม่ค่อยได้ใช้มันเลย ตัดทิ้งไปเถอะนะ เขาไม่ยอม หรอก ไม่มีใครยอม ถึงแม้นิวก้อยจะไม่ค่อยได้ทำประโยชน์ ก็ช่างเถอะ เราก็จะเก็บเอาไว้อย่างนี้แหละพ่อแม่รักลูกทุกๆ คนเท่ากันหมด แต่วิธีที่ ท่านจะไว้เนื่อเชื่อใจ ไหว้วานใช้สอยย่อมแตกต่างกันไป เหมือนเราจะใช้นิวโป้งและนิวซึ่มาก แต่นิวก้อย แทบไม่ได้ใช้ทำอะไรเลย แต่ถ้าใครมาขอสับทิ้ง เรา ก็ไม่ยอมปรมัตถสัจจะก็เป็นทำนองนี้ ถ้าเข้าใจแล้ว จะคิดเปรียบเทียบอะไรก็ได้ เพื่อเป็นกำลังใจให้เรขวนขวายพากเพียรเพิ่มขึ้น แต่มีสติเปรียบเทียบให้ ถูกวิธี เอาตัวเราเปรียบกับตัวเราเอง เมื่อปีที่แล้วกับปีนี้ เมื่อวานนี้กับวันนี้ อย่าเผลอไปเปรียบเรากับเหมือนเขาเป็นเป็ดเราเป็นไก่ เราจะเอาเรา ไปเปรียบกับเขานี้ เอาไก่กับเป็ดไปชั่งตาชั่ง แล้ว จะวัดมาตรฐานให้มันเหมือนกัน มันไม่เหมือนกัน หรอก เขาก็ส่วนเขา เราก็ส่วนเราถ้าเราเป็นคนขี่โกรธ เขาเป็นคนรักสวยรัก งาม แน่นอน เมือไปเปรียบความไม่โกรธกับเขาเราก็แพ้วันยังคำทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้มีคุณงามความ ดีอื่นมากกว่าเรา แต่บังเอิญ เรื่องโกรธเขาโกรธไม่เป็น มันเป็นอย่างนั้น เป็นธรรมชาติของเขาเอง แล้วเราจะไปหงุดหงิดว่า เราปฏิบัติจนกระทั่งจะขาด ใจตายอยู่แล้ว ก็ยังโกรธไม่สร่างไม่ซาได้อย่างไร มัน ไม่ถูกเรื่อง เราต้องเปรียบเทียบเราว่า ปีทีแล้วเราโกรธจนหัวใจแทบจะวาย ปีนี่เรืองอย่างเตียวกันเรามีภูมิคุ้มกันพอนั่งฟังได้ ตรงนี้แหละจะเป็นกำลังใจ ให้เราก้าวหน้าต่อไป จนกำจัดความโกรธได้เราต้องฝึกให้มีสัจจะต่อตัวเองตังแต่ของเล็กของน้อย ของธรรมดาๆ ต้องไม่มีข้อยกเว้นว่า นี่ เราทำตามมารยาทสังคม ที่ทำไปนั้น สักแต่ว่าทำ ไม่มีใครไปเอาจริงเอาจังกับมันหรอกน่า ก็สังคมเขา ทำกันอย่างนี้ จะให้เราขวางโลกได้อย่างไรท่านอาจารย์สอนว่า ขวางโลกเท่าไหร่ขวาง ไป แต่อย่าขวางธรรม อะไรก็ตามที่เป็นมารยาท สังคม เป็นสิ่งที่โลกนิยมกัน แต่เรารู้ว่าทําไปแล้ว จะทําให้นิสัยของเราเสีย แล้วการปฏิบัติของเราเฉ ออกนอกทำนองคลองธรรม ท่านบอกว่า ขวางโลก เท่าไหร่ขวางไป ไม่ต้องกลัวว่า โลกเขาจะดูหมิ่นนินทา แต่อย่าขวางธรรมถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งถูกต้อง เป็นธรรม ทั้งๆ เราไม่อยากทำ ก็ให้รู้ว่า นั่นมันกิเลสยุให้รำตำให้รัว เราต้องปราบปรามกิเลส ไม่ใช่ไปขวางธรรม ถ้ายึดหลักอันนีไว้ในใจ การปฏิบัติของเราจะมีผลดีขึ้นเรื่อย ๆ ครั้งแรกมันจะทำลำบาก เพราะการำความดีนั้น เหมือนทดน้ำขึ้นเขา ทําได้ยาก คนทั่ว ไปมักเห็นเป็นสิ่งไม่สลักสำคัญ ถ้าเราไม่มีหลักใจที่มันคง เราก็คงแกว่งตามโลกไปจนได้หลานของตัวเองไปโรงเรียนเตรียมอนุบาลโรงเรียนนั่น ให้เด็กเอาดินสอดำไปคนละ 3 แท่งแล้วเวลาใช้ดินสอ ก็ไม่ใช่ว่าของใครก็ให้เจ้าของรับผิดชอบ เขาจะเอาดินสอของนักเรียนทังหมดมารวม กัน แล้วต่างคนต่างก็มาหยิบไปใช้ ถึงเวลากลับบ้านต่างคนต่างก็หยิบดินสอของตัวกลับ ตัวเองสังเกตว่า ดินสอที่หลานได้กลับมา ไม่ใช่ดินสอที่เอาไป ก็เลย ไปเหลากันดินสอ บากออกและเขียนซือเขาเอาไว้ พร้อมทั้งอธิบายให้เขาเข้าใจ จะได้เลือกดินสอของ ตัวกลับมาถูก ก็ปรากฏว่า เขาก็ไม่ได้ดินสอกลับคืน มาอีกตัวเองประท้วงหลานว่า ทําไมถึงว่ายากว่า เย็นอย่างนี้ เขาก็หงุดหงิดมาก อธิบายว่า ไม่ใช่เขา ไม่เชื่อฟังเรา แต่ครูบอกว่า ถ้าทุกคนมีดินสอ 3 แท่งกลับบ้าน ก็เป็นอันใช้ได้แล้วคุณครูคงจะเหนื่อยที่จะช่วยเด็กแต่ละคนหา ว่าแท่งไหนเป็นดินสอของตัว หรือคุณครูไม่ทราบว่า ควรจะสอนให้เด็กทำเครื่องหมายบนดินสอของตัวเอง ทำนองเดียวกับจีวรของพระภิกษุที่ต้องทำพินทุเอาไว้ เพราะจีวรของพระทุกองค์ก็เหมือนๆ กัน ยากที่จะรู้ ว่าผืนไหนเป็นของใคร พระพุทธเจ้าเลยบัญญัติให้ แต่ละองค์ทำเครื่องหมาย คือพินทุของตนเอาไว้ ได้จำได้ว่าผืนไหนเป็นของใคร ไม่สับสนปะปนกัน ท่านทรงสอนให้รอบคอบ มีระเบียบ และมีความ รับผิดชอบหลานเล่าต่อไปว่า คุณครูบอก ดินสอก็เป็น ดินสอเหมือนกัน ถ้าทุกคนรับผิดชอบให้อยู่ครบ 3 แท่ง ตอนเช้ามาโรงเรียนมี 3 แท่ง กลับบ้านมี 3 แท่ง ถือว่าใช้ได้แล้ว แต่ความเป็นจริงยังใช้ไม่ได้ เพราะดินสอ 3 แท่งนั้น ของบางคนเป็นดินสอคุณ ภาพดี เหลาแล้วไม่หักไม่เปราะ ดินสอของเขาก็ใช้
ได้ทนนาน ขณะทีอีกบางคน ดินสอแท่งยาวใหม่ เอี่ยม เหลารวดเดียวหักแล้วหักอีกจนกระทั้งหมด แท่ง ใช้ไม่ได้เลย ถ้าเราปล่อยให้เด็กรับผิดชอบ แต่จํานวน คือมีดินสอมา 3 แท่ง กลับไปก็ให้มี 3 แท่ง ยังไม่ถูกต้องทั้งหมดเด็กบางคนจะกลายเป็นคนรู้มากเอาเปรียบ เมื่อพบว่า ดินสอทีพ่อแม่จัดหาให้ตัวนั้นไม่ดี ของเพื่อนดี น่าใช้กว่า เขาก็หมายตาเอาไว้ พอถึงเวลา เก็บ 3 แท่งกลับบ้าน ก็เก็บแท่งที่หมายตาเอาไว้มาเป็นของตน เมื่อท้าอยู่เรื่อยๆ กิติดเป็นนิสัยครั้นเติบใหญ่ขึ้น อยู่ในสังคม จะทำอะไรก็ทำ อย่างที่เคยชินเป็นนิสัยมา หากไม่ถึงกับรู้มากเอาเปรียบ ก็กลายเป็นคนไม่ละเอียดถีถ้วน เรามี 2 ก็ เอากลับคืน ๒ มี 3ก็เอากลับคืน 3 แต่คุณภาพ ไม่สนใจ ก็เหมือนเราไม่ซือสัตย์กับตัวเองไปโดยปริยาย เพราะหยิบสิงที่ไม่ใช่ของเรามาเป็นของเรา หากเราอยากได้อยากใช้ของดีของประณีต พระพุทธ องค์ทรงสอน ให้รู้จักตัวเองเป็นที่พึ่ง เราก็พยายามขวนขวาย แสวงหาด้วยน้ำพักน่าแรง ด้วย ความชอบธรรม จนกระทั้งมีอย่างเขาได้ แต่ไม่ใช้ด้วยวิถีอย่างนี้ เมื่อใช้วิธีอย่างนี่แล้ว อวิชชาคือความผ่องใสอย่างยิ่งก็จะเสี่ยมสอนให้เชื่อว่า มันก็ดินสอเหมือน กันนันแหละ คือเวลาที่กิเลสอยากจะได้ขึ้นมาแล้ว มันทิงความจริงความสัตย์ แล้วกล่อมว่า ก็ดินสอ เหมือนกันแหละ เราก็เพื่อนร่วม เกิด แก่ เจ็บ ตายเหมือนๆ กัน ดินสอเหล่านี่ก็มีไว้สําหรับใช้สอย จะ ไปยุ่งยิงอะไรกับมันนักหนานิสัยของเราฝึกไว้อย่างไร เมือไปปฏิบัติ ก็จะ เป็นไปทํานองนั้น เริ่มด้วยความมักง่ายไม่รอบคอบ ปฏิบัติแล้วก็จะมักง่ายไม่รอบคอบอย่างนั้น พิจารณา อรรถธรรมข้อใด ก็จะได้แต่สิ่งไม่ถูก ไม่แท้ ขณะที่ เรานึกว่าถูกแล้ว แท้แล้ว ตกลงอะไรที่เราได้กลับ คืนมา ก็ทำนองนี้ทั้งนั้น เพราะเราเป็นผู้รับมรดก ของการกระทำของเราเอง อะไรที่เราทำเอาไว้ เรา ก็จะได้อย่างนั้นคืนมาแต่เวลาที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น เราก็คิดอย่างนี้ ไม่เป็น กลับส่ายใจออกข้างนอก เพ่งโทษว่า ทำไมคนๆ นั่นได้อะไร กลวนแตของดบของดทุกที่เลยไปถึงเหตุว่า เขาประพฤติอย่างไร เราจะได้เอาเป็นแบบอย่าง เราก็ไปอิจฉาเขา เราก็ไปหมันไส้เขา ใจทีจะเกิดมุทิตากับเขา หรือมองเขาอย่างธรรมดาๆ ก็เริ่มไปเบียดเบียน รังแก คิดร้ายต่อเขา ฝึกตัวเอง ให้คุ้นเคยกับการเพ่งโทษคนอื่น หลงตนหลงตัวการที่เราไม่รู้จักถีถ้วนสัตย์ซือกับสิงทีอุบัติ ขึ้นในชีวิต มองดูเผินๆ ก็เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่มัน ค่อยๆ มีผลกระเทือนไปถึงคุณภาพของใจ คุณภาพ ของชีวิต ทำให้สิ่งที่จะบังเกิดแก่เรา ด้อยค่า ด้อย ราคาไป เราเข้าใจผิดว่าเราฉลาด เอาประโยชน์ จากผู้อื่นได้ ซึ่งประโยชน์เหล่านั้นไม่ยังยืน เป็นโลกทรัพย์ แต่ตอนที่มันทวงค่าปรับ เป็นความไม่พึง พอใจกับความมีความเป็นของตัวเอง ใจมีแต่ความ แห้งแล้ง โหยหิว อยากแต่ในสมบัติของผู้อื่น ทำให้สุขภาพใจสามวันดีสีวันไข้ คอยแต่จะรู้สึกว่า ชีวิตนี้บีบคั้นทารุณ โลกนี้ไม่มีดี ระแวง สงสัย เพ่งโทษคนอื่นไปหมดอะไรทำให้เราเป็นไปอย่างนี้ เราเองทำตัว ของเรา ด้วยความทีซุย ด้วยความทีเห็นผิดไปว่าสัจจะเป็นเรืองขี่ปะติว จะต้องไปถืถ้วนกับมันทําไม มันเป็นเรื่องยุ่ง ละเอียดรอบคอบเกินเหตุเกินผลแท้ๆ เมือตัวเองไปฝึกปฏิบัติ ท่านอาจารย์อุปโลกน์ให้เป็นเปรตระเบียบ เรืองมีอยู่ว่า ที่ศาลาพักคน
เดินทางแห่งหนึ่ง มีเปรตอาศัยอยู่ตัวหนึ่งตัวนี้เจ้าระเบียบมาก เมื่อคนเดินทางที่เข้ามาพัก แรมนอนหลับ เปรตระเบียบก็ออกมาตรวจ...อะไรกัน ...นอนน่าเกลียดน่าซัง ก็ไปทางหัว จัดการดึงหัวทุกๆ คน ให้ขึ้นมาเรียงเท่ากันเรียบร้อย แล้วก็ภูมิใจในผลงานของตัวว่า อย่างนี้สิ ค่อยน่าดู หน่อย แล้วก็เดินอ้อมไปทางปลายเท้า อ้าว... ทน ดูไม่ได้อีกแล้ว... มันก็ไปดึงเท้าให้เท่ากัน แล้วเดิน กลับไปสํารวจทางหัว ก็ไม่พอใจอีก เพราะมันลืมนึก ไปว่า คนเหล่านี้สูงต่ําไม่เท่ากัน ตกลงมันก็วุ่นวาย จัดระเบียบคนเดินทางตลอดทั้งคืน จนคนเดินทาง ไม่เป็นอันหลับอันนอน ถูกเปรตจัดแถวนอนให้ เป้นระเบียบท่านอาจารย์อุปโลกน์อย่างนั้น เพราะเมื่อเข้า ไปปฏิบัติ ทนไม่ได้กับตู้ของวัด ที่ฝาตู้ปิดไม่สนิท ตัวมอดตัวแมลงเข้าไปกัดเจาะของที่เก็บอยู่ในนั้น เสียหายหมด ตู้กับข้าวก็เหมือนกัน อาหารที่คนเอา มาทำบุญกลายเป็นลานสเก็ตของแมลงสาบทั้งหลาย เราผู้มีความรู้มาก ก็ฟุ้งปรุงไปว่า ตายแล้ว ของที่พระเณรฉันมีแต่ขี้ตีนแมลงสาบ เดียวครูบาอาจารย์ ท่านก็ท้องไส้วิปริตกันหมดหรอกเราก็วุ่นวีวุ่นวายไปหมด เอากระดาษไปอัด ไปดามไปแทรกไว้ตามช่องโหว่ต่างๆ เมื่อคนอื่นเปิด ปิดตู้ เขาไม่ได้เป็นเปรตระเบียบอย่างเรา กระดาษรวงหลุดลงมา เขาก็ไม่หยิบขึ้นไปไว้อย่างเดิม เราก็ หงุดหงิด โกรธเคืองกับเขาไปหมด ท่านอาจารย์ก็ให้สติว่า ...นีแหละ เปรตระเบียบ...ตอนแรกก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมการทำอะไรให้เรียบร้อยดีงามจึงเป็นปัญหา แท้ทีจริง ท่านไม่ได้ ติติงการที่เราทำอะไรเรียบร้อยดีงาม สิ่งนั้นเป็นของดี แต่ท่านติงที่เราวางใจของเราไม่เป็น มาฉุกคิดได้เมื่อเกิดเรื่องใส่บาตร ทางเข้าวัดมีหมู่บ้านประกบหัวท้าย และสองหมู่บ้านนี้ ความหนาแนนของ ประชากรไม่เท่ากัน ฐานะก็แตกต่างกัน หมู่บ้าน ทางด้านหน้าดีกว่า ถ้าพระเณรทังวัดมี 21 องค์ ท่านอาจารย์จะแบ่ง 14 องค์ไปทางหมู่บ้านหน้า และ 7 องค์ไปทางหมู่บ้านหลัง คือเป็นอัตรา 2ต่อ1 ระหว่างเข้าพรรษา พระเณรจะถือธุดงควัตร คือไม่รับของทีเอาไปถวายบนศาลา ถือว่าเป็นอดิเรก ลาภ จะรับแต่ที่ตกลงในบาตร คือเท่าที่บิณฑบาตได้ พวกเราก็เป็นประเภทโลภบุญ คุณแม่ชีมอบ หน้าที่ให้เราจัดอาหารที่โรงครัวทำใส่ในปินโต แล้ว ไปดักคอยใส่บาตรทีนอกประตูวัด ตัวเองเป็นเจ้า หน้าที่ดูแลว่า สายไหนออกบิณฑบาตกีองค์ เพราะทั้ง 21 องค์ ก็ไม่ใช่ว่าจะไป 14 องค์สายหนึ่ง 7 องค์อีกสายหนึงเสมอไป บางองค์กำลังภาวนาดีวันนี้งดฉัน ก็ไม่ไปบิณฑบาตดิฉันคิดตามหลักเหตุผล ก็เราคนกันเอง ในวัดเดียวกัน เลยดกถามเณรทุกเชาวา วันนี่จะไป บิณฑบาตทางโน้นกีองค์ ทางนีกีองค์ เพื่อจะได้จัด ปินโตให้ได้พอดีไม่ขาดไม่เกิน ตกลงจิตใจไม่เป็นอันภาวนา คอยเป็นห่วงว่า ป่านนีท่านกำลังจะออกแล้ว เราจะจัดปินโตทันหรือเปล่า หรือบางทีเณรมาบอกว่า ทางนี้ 10 องค์ ทางนัน 7 องค์ ไม่ใช่นะ ก็ชักเข้าชักออก ดูเฉลียเกลียให้พอดี ใจไม่เป็นอันได้สมาธิ ได้สติหรอก วุ่นอยู่แต่เรื่องจะให้ ปิ่นโตได้พอดีลงตัว เพราะถ้าท่านออก 10  องค์ แล้วเราจัด 11 ปิ่นโต ต้องเสียเวลามาล้างปิ่นโตโดย เปล่าประโยชน์ สิ้นเปลืองแรงงาน หรือท่านออก 11องค์ เราจัด 10 ปินโต ก็เสียคุณภาพ มันเป็นอย่างนี้ วันหนึ่งท่านอาจารย์คงเหลือทน เช้านั้นไม่มี พระเณรองค์ไหนมาใกล้โรงครัวเลย นอกจากท่านอาจารย์ ท่านเดินไปก็เดินมา เดินมาก็เดินไป พอท่านผ่านมา เราก็ผวาด้วยคิดว่าเป็นเณร อ้าว...กลายเป็นท่านอาจารย์ เราก็ทำงานต่อไป จนในที่สุด ก็ถามว่า... ศิษย์มีอะไร จะหาใครหรือ... เราก็. ไม่มี อะไรหรอกเจ้าค่ะ... สัจจะมาไม่ทัน ทั้งๆ ที่เรากำลัง คอยเณรหัวใจแทบวาย ปากกลับว่า... ไม่มีอะไร หรอกเจ้าค่ะ มันจึงค่อย ๆ เห็นตัวเองเมื่อเวลาจวนแจเต็มทน พอท่านอาจารย์ถามเราก็ลงหลุมไปเลย...ท่านอาจารย์วันนี้ออกทางนี้กี่องค์ ทางนั้นกี่องค์ท่านว่า...ถ้าอยากรู้ เวลาท่านออกไป ก็ไปนับ เอาเอง นั่นแหละ ถึงจะรู้ว่าสายละกี่องค์
แทนที่จะได้สติ ยังไปประท้วงท่าน ...ถึงตอนนั้น ก็จัดปินโตไม่ทันแล้วท่านก็ทําหน้าซื่อ ...อ๋อ พระท่านมาบอกไว้ หรือ ถ้าจัดปินโตไม่ครบ จะมาเอาเรื่อง ไหน ใคร มาบอกอย่างนั้น บอกมาซิ อาจารย์จะได้ไล่ออก จากวัดไปกลายเป็นว่า เราทำให้พระโดนตำหนิ ...ไม่ใช่ เจ้าค่ะ พวกเราในครัวอยากได้บุญกัน...ถ้าอยากได้บุญ วันนื่อยากใส่ 10 องค์ ก็จัด 10 ปินโตสิ จัดไปแล้ว ท่านออก 11 องค์ เราพบว่า ตัวยังโลภบุญ พรุ่งนีก็จัดเพิมเป็น 11 ปินโต ถ้าจัด 10 ปินโต ท่านออก 5 องค์ เราเสียดายแรงงานพรุ่งนี้ก็ลดเหลือ 5  ปิ่นโตสิตอนนั้นฟังไม่เป็น ไปคิดแต่ว่า ท่านอาจารย์ ไม่เข้าใจ ...ท่านอาจารย์เจ้าคะ เรื่องอะไรเราจะต้อง จัดขาด ๆ เกินๆ ให้เสียผลประโยชน์ อันที่จริงท่าน จะสอนธัมมะเรา แต่เราจะสอนเรืองโลกให้ท่าน เอา กิเลสมาประทับทรงที่เล่ามาทั้งหมดนี้ เรื่องของตัวเองทั้งนั้นท่านอาจารย์ท่านก็ไม่ว่าอะไร สักพัก ท่านก็ เดินไปพลาง ปากก็บอกว่า ..อยากรู้ก็เดินไปดูเอาก็ แล้วกันตัวเองคัดเคืองไม่ได้ดังใจไปหมด แต่มาคิดดูก็จริง เราใส่บาตรทำไม เราอยากได้บุญมากที่ท่าน บอกก็ถูกแลว ถ้าอยากได้บุญมาก เราก็จัดให้มาก ปินโต ถ้าจัดแล้วพระไม่ออกบิณฑบาต ก็ดีเหมือน กันนะ โยมอุปัฏฐากทีเขาเอาของมาใส่บาตร และ เอามาเผือพวกเรานี ทุกวันๆ เรากินแต่ของเขา วันนี่เราจะได้บอกว่า เราทำเผื่อสำหรับให้เขาเอากลับ บ้านไป เขาจะได้ชื่นใจ
พอมีเหตุผลอย่างนี้ เราก็ไม่เสียดายแรงที่จะ ล้างปิ่นโตแล้ว ใจก็ชื่นบาน มันยอมว่า ไม่ว่าท่านจะ
อดอาหารกี่องค์ เราก็จัดเต็ม ทางนี้ 14องค์ ทางนั้น 7 องค์ก็แล้วกัน ใจเราก็เบาสบาย
ท่านอาจารย์คงเล็งเห็นแล้วว่า เราได้ทำถูกต้องแล้ว เราได้ทําใจถูกต้องแล้ว ถึงหลักการจะดีวิเศษแต่ถ้าใจวุ่นวายเป็น กิเลส คุ้มครองตัวไม่รอด การงานนั้นก็พาเราล่มจม ล้มละลาย เพราะฉะนัน ทุก ทุกขณะ ต้องเอาตรง ใจเป็นสำคัญ เอาใจให้เป็นบุญเป็นกุศลเป็นปัจจุบัน ไว้ ก่อนจะออกไปบิณฑบาต ท่านอาจารย์ก็แวะเข้า มาบอกว่า ...นี่นะ อาจารย์ไปถามเณรให้แล้ว ทางนี้ จะเท่านั้นองค์ ทางโน้นจะเท่านั้นองค์เราทำการบ้านของเราถูกแล้ว คราวนีเราก็ เข้าใจแจ่มแจ้งว่า ท่านเห็นด้วยกับหลักการของเราแต่ถ้าเรายึดติดกับหลักการอันนั้น จนกระทั่งทอดทิ้ง ใจให้ถลอกปอกเปิกไปหมด อย่าทำ อย่าทำนะคะ ท่านไม่ได้ต้องการให้เราเก่งทางโลกจนหาที่ตำหนิไม่ได้แต่ในใจนันยับยียับเยิน ขวิดคนนั้นคนนี่เลือดสาดไปหมด แล้วเราก็ทุกข์เดือดร้อน ครั้นผลนั้นกลับมา สนองกับเรา เราก็ไม่เข้าใจ เราเหนื่อยจนจะตายอยู่แล้ว ทำไมโลกนี้ถึงอยุติธรรมกับเราเห็นตรงจุดมุ่งหมายอนนแลว ก็ทําให้แต่นี่ต่อไป ค่อย ๆ มามองใจของตัวเองได้ละเอียดถีถ้วนขึ้นระมัดระวังเราให้มีสัจจะกับตัวเอง จะทำอะไรให้รู้ตัวใช้วิชาการความรู้ ปรือมา พยายามทำให้ได้ผลเลิศเท่าทีสติปัญญาเรา มี แต่มีข้อแม้ว่า ในการทําอย่างนั้น เราต้องรักษา ใจของเราให้เป็นบุญเป็นกุศลเอาไว้ให้ได้ ถ้าเมือ ไหร่ ใจของเรารักษาไว้ไม่ได้ ต้องทิงผลประโยชน์ทางโลก รักษาผลประโยชน์ทางธรรมไว้ก่อนใจเป็นสิ่งที่เลิศ ประเสริฐ สำคัญที่สุด เราไม่ได้มาเกิดเพื่อให้คนเขาสรรเสริญว่า คุณแน่จริงๆแต่ปรากฎว่า พอหมดลมหายใจไปแล้ว ใจของเราไปอยู่ในนรก หรือไปเป็นสัตว์เดรัจฉานเขี้ยวลากดินคอยแต่จะขบจะกัดเขา ไม่มีประโยชน์พระพุทธเจ้าทรงมุ่งหวังให้เราทุกคนที่ได้ภพ ภูมิของมนุษย์ ใช้ชั่วชีวิตนี้ของเราเป็นแบบฝึกหัด แบบทดสอบ เพื่อค้นหาทีผิดของตัวเอง และแก้ไข ตัวเอง จนกระทั่งระดับสติสัมปชัญญะปัญญาของเราสามารถปิดอบายภูมิได้ ภพภูมิทีจะไปเกิดอีก อย่างชั่วที่สุด คือความเป็นมนุษย์ จะไม่มีวันกลิ้ง ตกลงไปในทุคติภูมิ การที่จะเป็นอย่างนั้นได้ ก่อน ลมหายใจจะสิ้นไป ใจของผู้นั้นต้องตกกระแสถึง ความเป็นอริยบุคคล
มนุษย์มีศักยภาพที่จะฝึกสติปัญญาของตัวเอง จนสามารถละ สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่าเป็นตัวเป็น ตน วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยว่า พระพุทธเจ้ามี จริงไหม มรรคผลนิพพานเป็นของมีจริงหรือของ หลอกลวง และ สีลัพพตปรามาส คือ ลูบคลำการ ปฏิบัติสักว่าทำตามกันไป ถึงเวลาก็ปฏิบัติ หมด เวลาแล้วก็หลงเลอะเหมือนเดิม ทั้ง 3 ประการนี้ ก่อนที่มนุษย์เราจะหมดลมหายใจไป เราสามารถฝึกสติปัญญาจนแยกแยะและกําจัดให้หมดไปจากใจ เราได้ตรงนี้แหละ คือสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงมุ่งหวังให้เราทั้งหลายที่ได้ภพภูมิเป็นมนุษย์ เสริฐ และยังได้รู้จักพระพุทธศาสนา คือชีวิตของ เราอยู่ในช่วงกัปของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์ หนึ่ง มีครูบาอาจารย์ ได้รู้ธรรมคําสอนของท่าน โอกาสมาปฏิบัติ เพราะฉะนั้น ที่สำคัญที่สุดคือ เราจะได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ให้เต็มที่ โดยอาศัสัจจะนี้แหละเป็นพื้นฐานถ้าเราจริงกับตัวเองอย่างที่คุยกันมาเราก็มีทางที่จะเขยื่อน เคลือนไปข้างหน้าเรือยๆ แล้วไม่ต้องเป็นห่วงว่า วันนี่เราไปได้แค่ไหนแล้ว คนโน้นคนนี้เขาไปล่าหน้าเรา หรือชักช้ากว่าเรา เราจะ ไม่ไปใส่ใจสนใจ เราจะเปรียบเทียบแต่กับตัวเราเอง เมื่อปีก่อนนี้เราเป็นอย่างไร ถ้ามีเรื่องแบบนี้เราดีกว่านี้หรือแย่กว่านี่ จะได้เป็นเครื่องบอกเราว่า เรามาถูกทางแล้ว หรอเราเสื่อมถอยนะ จะได้ปรับปรุง หาที่ผิดที่บกพร่องของตัวให้ได้เราก็ค่อยๆ ทำของเราไปเรื่อยๆ ใจจะสงบ รู้อยู่แต่ในใจ เมื่อก่อนนี้ มันคอยจะส่ายแส่ออก นอกไปดูว่า แล้วคนอื่นจะคิดอย่างไรกับเรา คนอื่น ะคิดอย่างไรไม่สำคัญเท่ากับตัวเราคิดกับตัวเราเองเหมือนนิทานเรืองลูกศิษย์อาจารย์ทิศาปาโมกข์ คน อาจารย์ทิศาปาโมกข์เป็นหม้าย มลูกสาวกาลง อยู่ในวัยรุ่นคนหนึ่ง ก็รักและห่วงลูกสาวมาก กังวล อยู่ว่าจะยกให้ใครดี เมื่อเราตายไป ลูกจะได้รับกาดูแลอย่างยุติธรรม ไม่ตกระกำลำบากในที่สุดก็คิดอุบายออก เรียกลูกศิษย์50 คน มาคุยกัน ...เจ้าทั้ง 50 คนก็รู้อยู่ว่า สิ่งที่ครูห่วงมีอยู่อันเดียวคือลูกสาว เจ้าต่างก็ดีกันหมดทุกคน เราจะ ยกลูกเราคนเดียวให้เจ้าทั้ง 50 คน ก็คงไม่ได้ เรา เลยตกลงปลงใจแล้ว จะจัดพิธีแต่งงานให้กับลูกสาว เราวันจันทร์วันที่คุยกันคือวันศุกร์ เราจะกวนเจ้าสัก หน่อยหนึ่ง ให้ช่วยไปหาเครื่องแต่งตัวในวันพิธีของ เจ้าสาวหน่อย แต่มีข้อแม้ว่า ของที่จะหามานี่ จะขอ ใครมาก็ไม่ได้ จะซื้อหามาก็ไม่ได้ ต้องไปเอามาโดย ไม่ให้ใครรู้เห็นเป็นอันขาดว่าเราไปเอามา เจ้าจะทำได้ไหม. ศิษย์ก็รับคํา ครูปล่อยให้ศิษย์กลับบ้านเช้า วันจันทร์จึงมาเจอกันถึงเช้าวันจันทร์ ลูกศิษย์ทั่ง 50  คนก็มา แต่ละคนมีของมาพร้อมหลักฐานพยานว่า ที่เอามานีไม มีใครรู้ใครเห็นทั้งนั้น อาจารย์ก็จดบัญชีเอาไว้ คนนี้เอาอันนี้มา คนนั้นเอาอันนั้นมา จนถึงคนที่ 50 ซึ่ง นั่งเฉยอยู่ อาจารย์ก็ฟ้อว่า ...เจ้าไม่รักเราหรือ เราวานแค่นี้เจ้าก็ไม่มีใจจะทำให้เราศิษย์คนนั้นอธิบายว่า ...อาจารย์ครับ ข้อแม้ ของอาจารย์ที่ว่า ต้องไปเอามาโดยไม่ให้ใครรู้ใครเห็น ผมคงเป็นคนโง่เซ่อ จะทำที่ไร กมคนรูคนเหน ทุกทีคือตัวผมเอง ทำให้ผมทำไม่ได้สักทีหนึ่ง
เพราะ ผิดกติกาของอาจารย์ อาจารย์จะดุด่าว่าผมอย่างไร ผมก็ยอมรับ ผมเคารพเชือฟังอาจารย์ เมือกติกา มีอยู่ว่า ต้องหามาโดยไม่มีใครรู้ใครเห็น ตัง้แต่วันศุกร์ที่ผมกลับไป ผมก็คิด คิดเท่าไหร่ๆ ก็คิดไม่ออก ผมเลยไม่กล้าทำเป็นทีสมใจของอาจารย์ เพราะอาจาร์ยรู้ว่า ศิษย์ทั้ง 50 คน มีฝีไม้ลายมือทัดเทียมกัน แต่อาจารย์อยากได้คนที่ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง มีสัจจะต่อตัวเอง ถึงไม่มีใครรู้ใครเห็น ก็ไม่ทำความผิดความ ซัว อาจารย์คิดว่า ถ้าลูกเราไปทําอะไรผิดพลาดเข้า แต่งงานไปกับคนทีมีความสัตย์ต่อตัวเอง เขาคงเป็นธรรมต่อลูกเรา เพราะฉะนัน อะไรจะเกิดขึ้น ก็สมควรแล้วทีลูกเราจะยอมรับอาจารย์คิดอย่างนี่ เลยหาวิธีทดสอบว่า ใน ลูกศิษย์ทั่ง 50 คนนี้ มีใครซื้อสัตย์ซือตรงต่อตัวเองอาจารย์เลยอธิบายให้ลูกศิษย์ฟังว่า ...ครูดีใจเพราะครูตั้งใจจะเฟ้นหาคนที่ไม่ทําชั่ว ทั้งในที่ลับ และในที่แจ้ง ก็บังเอิญเธอเป็นอย่างทีครูต้องการ ถ้าครูจะขอให้เธอแต่งงานกับลูกครู เธอจะเต็มใจแต่งไหม ตกลงศิษย์ก็โชคดีได้แต่งงานกับลูกสาวครูสัจจะมีคุณมีประโยชน์ รักษาจิตใจเจ้าของให้ ไม่ระแวงสงสัยใคร จิตใจหนักแน่น สงบร่มเย็น ถ้า เราพากเพียรปฏิบัติไป ปฏิบัติไป พยายามฝึกนิสัยให้ซือตรงต่อตัวเองอย่างละเอียดถีถ้วนขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจะพูดอะไรตามมารยาทสังคม ถ้าพูดจริง ไม่ได้ จะเงียบเสีย ไม่พูด หรือเปลี่ยนไปเรื่องอื่น เบนความสนใจของคู่สนทนาไปเสียการพูดกับคนไข้ก็เหมือนกัน อย่าไปเชื่อคำที่ ว่า หมอพยาบาล โกหกสีขาว คือ พูดเพื่อความ สบายใจของคนไข้ ถือว่าไม่เป็นไร ถ้าเรามีข้อแม้ อย่างนี้ อีกหน่อยชีวิตของเราเหวอะหวะ ถูกกิเลส เอาไปครอบครองหมด มันลวงให้เราเชื่อด้วยความ ผ่องใสอย่างยิ่งว่า เราทำไปเพื่อผลประโยชน์ของคน ไข้โดยแท้ แต่ความจริงเพื่อผลประโยชน์ของอัตตา เราทั้งสิ้นพระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราละสักกายทิฏฐิ แต่กิเลสต้องการอนุรักษ์สักกายทิฏฐิไว้ให้อ้วน อิ่ม หมีพีมันให้มากที่สุดทีจะมากได้ เพราะฉะนั้น นักมวย 2 ค่ายนี้ก็เอาใจเราเป็นสมรภูมิ มันก็ขึ้นอยู่ที่เราว่า เราจะระมัดระวังรักษาตัวเราได้แค่ไหน ไม่เผลอให้กิเลสคาบเอาไป จนกระทั่งแหลกไปหมดทั้งตัวเมื่อสติมั่นคงขึ้น เราจะเข้าใจว่า สัจจะ ซึ่งแล ดูเหมือนกับว่า เป็นสิ่งพื้นฐาน สิ่งที่ทุกคน ทุกคน มีนั้น กลับกลายเป็นสิ่งที่รักษาได้ยากยิ่ง เพราะคอย แต่จะพร่องหายไปทุกโอกาส ถ้ามีใครมาถามเราว่า คุณมีศีลไหม หลายคนจะตอบทันทีว่ามี บริสุทธิ์ทั้ง
5 ข้อแหละ ครั้นปฏิบัตินานไป นานไป สติคมไวalต่อเนืองกันมากขึ้น ก็เริมเห็นตัวเองว่า การจะรักษา วาจาให้ครบถ้วนตามกุศลกรรมบถนั้น แทบเป็นสิ่ง เหลือวิสัยท่านอาจารย์ให้คาถาอมน้ำมนต์ หรือติดซิป ปากเป็นที่พึง ใช้ไม้นิ่ง ถ้าไม่แน่ใจว่าโต้ตอบออกไป แล้ว สติจะตามรักษาทัน ก็เงียบเข้าไว้ก่อน คนเขาจะว่าแหม..ทําเป็นกลัวดอกพิกุลจะร่วง ก็ช่างเขา เขาว่าอะไร ก็ให้เขาว่าไป เราก็ดูตัวเราว่า อัตตาพอใครพูดเรืองอื่นเขาก็ลืม ที่ถามเราเมื่อกี้แล้ว ต่อมา เราจะเกิดความเชื่อมันและเด็ดขาดในตัวเองเพิมขึ้น อะไรที่จะพูดออกไป ถ้าสติตามมายังไม่ทัน ก็จะไม่พูดการติดซิปปากเอาไว้ ช่วยให้สติมาอยู่กับใจ เร็วขึ้น และทำให้เห็นในใจตัวเองว่า ...พูดไปก็สติแตก เราตั้งสัจจะกับตัวเองไว้แล้ว สัญญากับตัวเองไว้แล้ว... ใจที่ขับเคียวกันระหว่างผู้รู้กับกิเลสทำให้สติของเราค่อยๆ มีกำลังขึ้น จนในที่สุด เรื่องบางเรื่องทีเราเคยเผลอพล่อยออกไปเป็นธรรมดา ก็หยุดได้ทันท่วงที แต่ในใจ ในจิตไร้สำนึกบางครั้งยังร่ำร้องว่า พูดไปก็ไม่เห็นจะเป็นไร พูดเล่นบ้างก็ได้ ส่วน ปากกลับเหมือนมีตะกัวมาถ่วงปากเอาไว้ ทําให้ไม่ขึ้น ขยับไม่ได้ สติที่รู้หนัาทีจนกลายเป็นธัมมะมารักษาเรา มันเป็นอย่างนี้ที่เราพากเพียรฝึกปฏิบัติกัน เราก็หวังจะไป ให้ถึงจุดนี้แหละ ถ้าเมื่อไร ธัมมะรักษาเรา ไม่ใช่เรารักษาธัมมะ เวลาอะไรเกิดขึ้น เป็นต้นว่า เราไปประสบอุบัติเหตุ มีวิกฤตการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น ในชีวิตเราอย่างไม่คาดฝัน สติก็จะคุ้มครองให้เรารอด เพราะสิ่งที่เราฝึกเอาไว้จนกระทั้งเป็นขึ้นโดย ไม่ทันตังใจ คุณงามความดีและสติจะมาคุ้มครอง เราทันท่วงที บางครั้งปัญญามาไม่ทันตอนช่วงวิกฤติ แต่เรารอดตัวมาได้ เพราะอาศัยวิธี เงียบไว้ก่อน อมน้ำมนต์ตอนนั่นเราเงียบไว้ก่อน ไม่ได้ทำอะไรที่ผิดที่กายกรรม วจีกรรม เป็นอกุศลออกไป ถึง ในใจจะยังร้าย ยังถูกกิเลสหลอกว่า
 เมื่อก็เราน่าจะ พูดอะไรออกไปสักหน่อยก็ดี น่าจะสังสอนออกไป.. กิเลสนี้มันร้าย ขนาดรอดตัวมาได้แล้ว ยังมาคร่ำ ครวญเสียตายมัน มันแหลมคมจริงๆ จนกระทั้งท่านอาจารย์ท่านชี้ให้เห็นว่า หลุดมาจากมันแล้ว ยงมา อาลัยอาวรณ์กับมันอีกแนะท่านพระอาจารย์เคยเล่าให้ฟังถึงองค์ท่าน เพื่อปลอบให้กําลังใจพวกเราว่า ทุกคนแหละ ครูบาอาจารย์ก็เคยมาแล้ว ท่านเล่าให้ฟังถึง ท่าน พิจารณาร่างกายให้เป็นอสุภะ จนกระทั่งเห็นใครๆ เป็นโครงกระดูก เป็นศพเน่าเปือยหมด เราไม่กลัว แล้ว เวลาออกบิณฑบาต เราไม่สํารวมดูแต่ขอบคราวนี้เราจะดูมันให้หมดเลย แล้วรับรอง ไม่มีอะไรจะมาคลอนใจเราได้ต่อมาก็นึกอยากให้มีผู้หญิงบ้าสักคนหนึ่ง ขึ้นมาบนศาลา แล้วมานั่งบนตัก เราก็จะไม่สะตุ้งสะเทือน และจะได้พิสูจน์ให้โลกเห็นว่าเราแน่จริงๆแล้วท่านก็กระหยิมยิ้มย่องภูมิใจในตัวเองอยู่อย่างนี้จนสองสามวันจึงได้สติ ฉุกคดขนมาวา เออ... กิเลส ยังเต็มหัวใจอยู่เลย เห็นไหม มันยังภาคภูมิใจใน ตัวเองอยู่ว่า เราแน่จริงๆ เราอยากให้มีใครมาทดสอบเรา ให้เป็นทีประจักษ์ต่อสาธารณชนว่า ขนาดผู้หญิงบ้ามานังบนตักก็ไม่ขยับเขยือน ไม่กระเพื่อมเลย...ใจมันยังเป็นกิเลสอยู่ถึงอย่างนี้ ตัวตนยังเต็มอยู่ในใจเหมือนที่ท่านเปรียบเทียบไว้ว่า เราเก็บกวาดห้องนี้จนว่างแล้ว แล้วตัวเองก็เข้าไปยืนตะโกนบอกกับทุกคนๆ ให้มาดู มาดูว่าห้องนี้ว่าง ทั้งๆ ที่ตัวเองเข้าไปยืนเต้นอยู่ ถ้าไม่เอาจริงเอาจังกับมัน ก็จะเป็นอย่างนี้ขนาดรอดมันไปได้แล้ว ยังนึกเสียดายด้วย ความผ่องใสอย่างยิงว่า น่าจะสังสอนเขาให้รู้ตัวสัก นิด... ถ้าไม่รักษาสัจจะกับตัวเอง เราก็สั่งสอนเขาออกไป ด้วยสำคัญว่าเราแน่แล้ว ก็ไม่คิดจะมาทบทวนพิจารณา ดังที่ท่านอาจารย์ว่า เรามาพิจารณาตัวเราครั้งไร ก็เสร็จกิเลสทุกครั้งไปเดียวนี้พอมีอะไรทีนึกได้ว่า เสร็จกิเลสอีกแล้ว มีหน้าทีอย่างเดียว รักษาสติให้อะไรก็.รู้.. ไม่ต้องคิดว่าอยากจะให้เป็นอย่างนั้นอยากจะให้เป็นอย่างนี้ เพราะมีความอยากก็ต้องต้องมีตัวผู้อยากเป็นเงาติดมาด้วย เมื่อปฏิบัติไป ปฏิบัติไป เมื่อไรใจกระเพื่อมก็ยอมรับว่า วันนี้ผีดิบ ขยับตัว น่ากลัวฟื้นขึ้นมาอาละวาด ฏ็เร่งระมัดระวังตั้งสติเอาไว้
ไม่ใช่ว่า มันกระเทือนอย่างนี้ ก็ยังชะล่าใจว่ารู้หรอกน่า ยังไงๆ ก็ควบคุมอยู่ วันดีคืนร้าย ตีนขึ้น มาปรากฎว่า เสาเรือนไม่เหลือสักต้น เพราะกิเลส พัดเอาตลิงพังหายไปทั่งแถบแล้ว ถ้าเราพยายาม ระมัดระวังเทียงตรงต่อตนเอง แล้วระลึกเอาไว้ว่า กิเลสนันเก่งกว่าเราหลายช่วงตัวนัก อย่างที่ท่าน อาจารย์สำทับว่า ถ้าเราเก่งจริงแล้ว ไม่มีตัวเรามา นั่งอยู่ตรงนี้หรอก ที่มันมิเป็นตัวเป็นตนขึ้นมานั่งอยู่ตรงนี้ ก็เพราะเราโง่เซ่อกว่ากิเลส เสร็จมัน ถูกมัน หลอกมันต้มมันตุ๋น จนกระทั่งมาเกิดเป็นตัวตนเห็นๆ กันอยู่ตรงนี้ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องพูดมากให้เรายอมรับว่า กิเลสนั้นผ่องใสอย่างยิ่ง เป็นเจ้าจอมจักรพรรดิ ใจของเราทั้งหลาย ที่ยังไม่ได้ฝึกฝนจนกระทั่งมีกำลังวังชาขึ้นมา ไม่มีทางที่จะปลดปล่อยตัวเองจากมันได้สำเร็จ ถ้าเราไปท้าว่า อัตตามันอยู่ตรงไหน เราจะเอาใส่หม้อถ่วงทะเลเสีย ถ้าคิดอย่างนั้น เราก็เสร็จมัน แล้วไม่รู้ด้วยว่า เสร็จ มันไปเรียบร้อยแล้วถ้าคิดว่า เราก็โง่เซ่อกว่ากิเลส ถึงมีตัวมีตนมานั่งอยู่ตรงนี้ เพราะฉะนั้น เราตัองพากเพียรปฏิบัติ และระมัดระวังไม่ให้พลังพลาดไปอีก ถ้าเป็นอย่างนี้ ตัวตนของเราก็จะลดน้อยลงไป เพราะเราไม่คอยเติมเชื่อเข้าไป กิเลสก็อ่อนแรงลงมองอะไรก็มองให้เป็นพฤติกรรม เห็นตามความเป็นจริงเพิ่มขึ้น ทำอะไรลงไปแล้ว คนจะว่าเราถูกเราผิดก็ตาม เราก็เปิดหูฟัง ฟังแล้วเรามีแต่ ทางได้ เพราะฟังแล้ว ถ้าเขาเป็นไก่ เราเป็นเป็ดเราก็เกิดความเข้าใจว่า ไก่มันเป็นอย่างนี้เอง ทำให้แต่ถ้าไม่ฟังเพราะสําคัญผิดว่ารู้หมด แล้ว เราก็คงไม่รู้อยู่อย่างนั้นแหละ แล้วหลงว่ารู้ครอบจักรวาลหมดแล้ว มันจึงปิดกันตัวเองอย่างนี้เห็นอย่างนี่แล้ว จะได้เข้าใจว่า สัจจะที่แลดู เหมือนเป็นของง่าย ๆ เล็กน้อย ธรรมดาๆ แต่ความเป็นจริงไม่ธรรมดา เพราะมันเป็นพื้นฐานให้ใจแน่น หนามันคง อะไรที่ทำลงไปก็จะช่วยทรงตัวให้ก้าวไป ได้อย่างมันคง ไม่ใช่ก้าวไปแล้วลังเลว่า ใช่หรือไม่ใช่มารื้อทำใหม่ใจที่ต้องรื้อทำใหม่ ต้องแก้ไขโดยไม่เข้าใจ เหตุผล จะเกิดความลังเล เบื่อหน่าย ไม่แน่ใจในตัวเอ
 ถ้าจะจดจ่อลงไปทําสิงไดให้เต็มที มันก็คอยแต่จะสงสัยอยู่ว่า ทำไปแล้วเดียวก็ต้องรื้ออีก อยู่เฉยๆก่อนไม่ดีหรือ ทำให้เรากลายเป็นคนไม่เอาจริงเอาจังเหลาะแหละโลเล ยิ่งอายุมากขึ้น ขันธมารมารบกวนเข้าอีกโอกาสที่จะพูดคำไหนเป็นคำนั้น เป็นคำสัจคำจริง ก็ค่อยอ่อนเปลี่ยลง เพราะใจของเราตกเป็นประเทศราชของร่างกาย ด้วยอุปาทานที่ยิดว่า นี่คือ เรา  กายกับใจเป็นอันเดียวกัน มันก็ยิ่งทำให้อะไรๆ ก็ไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวไปทั้งหมดถ้าตัวเองไปเจอวัดป่าแก้วเอาตอนนี้ท่านอาจารย์จะดุ จะท้าทายเท่าไหร่ๆ ตัวเองก็คงช่าง ท่านอาจารย์เถอะ เราทำไม่ไหวหรอก แล้วก็เสร็จกิเลสอยู่อย่างนี้ โชคดีที่เราไปขณะที่กำลังวังชายังแข็งแรงกว่าเดียวนี้ อัตตาก็ชักพาให้คิดว่า เราก็มีดี เหมือนกันนะ อย่ามาย่ำยีกันนักเลย ท่านอาจารย์ เอากิเลสเป็นหนามบ่งหนาม แหย่ให้กิเลสของเรามีฤทธิร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนขับเคลื่อนให้เรามุมานะ เพื่อคุณงามความดีของเราท่านพระธรรมปิฎกให้นิยามว่า ธรรมฉันทะคนเราจะทำอะไรสำเร็จได้ก็ต้องมี อิทธิบาท ถึงเรา จะมีสัจจะกับตัวเองอย่างไร อย่างไร แต่ถ้าไม่ลงมือทำริงจัง โดยเอาอิทธิบาท เป็นจักรหมุนให้เกิดการ กระทำคือ เอาใจไปรักใคร่ผูกพัน เป็น ฉันทะ แล้ว มี วิริยะ ความพากเพียรลงมือกระทำมี จิตตะ ใจ ฝักใฝ่ที่จะทําให้สําเร็จ มี วิมังสา พิจารณาทบทวนตรวจสอบว่า ผลมันเป็นไปอย่างทีต้องการหรือไม่ เราจึงประสบความสำเร็จเมื่อเห็นอย่างนี่แล้ว จะได้น้อมนําเอาไปเป็นพรสําหรับปีใหม่นี้ว่า ต่อแต่นี้ไป เราจะรักษาสัจจะให้ใจมีความหนักแน่น ก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเล สงสัยว่า ที่ทำไปแล้วจะใช้ได้หรือไม่ ทำไปแล้วจะต้องรื้อทำใหม่หรือเปล่า ใจจะได้จดจ่อ แน่วแน่ จริงจัง เป็นธรรมก็ขอฝากไว้ให้เป็นของขวัญ ปีใหม่กับทุกๆคน


พิมพ์โดย         ปภัสสร   มีพงษ์
แหล่งที่มา       http://web.krisdika.go.th/buddha/40_sajja.pdf

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Back To Top