วัยงาม
ชื่อผู้เขียน พญ อมรา มลิลา
วันที่ วันที่ 20 มิถุนายน 2535
ณ ห้องจามจุรี โรงแรมอิมพีเรียลหมวด
อันดับที่
สวัสดีค่ะ ดีใจที่ได้รับเกียรติให้มาคุยกับน้อง ๆ บัญชีจุฬาฯ รุ่น 26 ในวันนี ประเดินทีจะคุยนัน คือ ทำอย่างไรจึงจะทำตัวให้สมวัยได้ อันที่จริงถ้าเราไม่ไปใส่ใจกับวัยไม่ไปสะตุ้งว่า ตอนนี้วัยเราเลข 4 นำ เลข 5 นำแล้วจะเป็นไปตามธรรมชาติ เพราะอะไรก็ตามที่เป็นธรรมชาติ ย่อมแลดูงดงาม ไม่ไประคายผู้อื่นแต่ถ้าเรากังวลว่า นีตีนกาเราขึ้นกี่ตื่นแล้ว ผมก็เริ่มหงอก จะย้อมดีไหมนะ สมัยที่เรายังอยู่ในวัยของหนูน้อย ที่อยู่ด้านซ้ายอย่างนี้ เราก็เป็นอิสระเต็มที่ ทําอะไร...อะไร ก็สมวัยทั้งนั้น ครั้นรู้คิดมีกระสบการณ์หลากหลายมากขึ้นก็เริ่มกังวลไปอย่างนั้นอย่างนี้ สิ่งที่กระทำลงไป บางครั้ง ก็ขัดเขินกับความเป็นธรรมชาติ อันนี้แหละที่ทำให้เราเริ่ม ไม่สมวัย และไม่ใช่อะไร ใคร ที่ไหน มาทำ เราทำให้กับ ตัวของตัวเองทั้งนั้นแหละ ถ้าใจของเรารู้สึกขัดเขิน พิกล ๆอยู่ คนอนดูแล้ว ก็เกิดความรู้สึกเช่นนั้น แต่ถ้าเราทำไป อย่างสบาย ๆ ทุกอย่างก็สบาย...สบาย...ไปด้วยดิฉันขอยกเรืองของตัวเองเป็นตัวอย่างให้ฟัง คือ ตอนที่ตามเพื่อนเข้าวัด ชาววัดฝ่ายหญิงก็จะนุ่งผ้าถุงดำใส่เสือขาว ดิฉันไม่คุ้นเคยกับการนุ่งผ้าถุงมาก่อน นุ่งแล้ว ก็มีความหวาดเสียวว่าจะลุ่ยหลุดจากเอวอยู่รำไป เวลานั่ง กับพื้นก็พิศวงว่า ทำไมชาววัดเขานั่งกันได้เรียบร้อย ขณะที เรารู้สึกเหมือนขาผิดสัดส่วน จะงอ จะเหยียดก็ไม่พอดีสักท่า ดูมันเมื่อยขบไปหมด ประเดียวก็ขยับพลิกไปทางซ้ายประเดียวกับขยับพลิกไปทางขวา พลิกทีหนึ่ง ผ้าถุงของเราก็ส่งเสียงกรอบแกรบ.กรอบแกรบ.ยิ่งพยายามกลั่นหายใจ ขยับ ไม่ให้มีเสียง มันก็ดูเหมือนยิงดังสนั่นหวั่นไหวไปหมด เราก็ยิ่งเคาะเขิน ไม่รู้จะเอาแขนเอาขาเอาตัววางไว้อย่างไร จึงจะเหมือนคนอื่น ๆร้ายยิงไปกว่านั้น ท่านอาจารย์ยิ่งขู่อีกว่า บางคนที่ มานังฟังท่านนั้น จิตใจของเขาสงบลงรวมเป็นสมาธิเร็วเราทำเสียงขึ้นมานี้ ไปรบกวนเขา เป็นบาปนะ ท่านเลย ออกคำสังว่า เมื่อท่านมาถึงศาลาแล้ว ใครนั่งท่าไหนก็อยู่ท่านันแหละ ห้ามขยับอีกเป็นเด็ดขาด อันที่จริงท่านจะดัดสันดานเรานั่นแหละเมื่อเรากังวลว่าขาเราเมื่อยขบไปหมด ถ้าไม่ขยับ แล้วต้องเป็นเหน็บจนขาดใจตายแน่ ท่านก็จะให้เราเรียนรู้ด้วยของจริง ตั้งสติดูสามัญลักษณะของตัวเองให้ประจักษ์อันที่จริงเวลาเราดูหนังฟังเพลง หรือทําอะไรที่ใจเพลิดเพลิน เราก็เคยนังจนเมือย จนเป็นเหน็บ แต่ด้วยความสนุกเราก็นังจนทะลุเมื่อยทะลุเหน็บไปโดยไม่รู้ตัว แต่ที่วัดไม่สนุกอย่างนั้น เราก็เลยไม่ยอมนังจนทะลุได้สักทีหนึ่งเมื่อท่านอาจารย์ใช้มาตรการนี เราก็ต้องนังจน ทะลุเหน็บไปจนได้ แล้วก็ถึงบางอ้อว่า ของทุกอย่างในโลกมันก็เป็นไปตามเรืองของมันแค่นี่เอง ซีวิตร่างกายของเราก็เหมือนกัน จะไปสัง ไปบังคับ ไม่ให้มันเปลี่ยนแปลง มันก็ ไม่ฟังเราถ้าเรารู้ความจริงของมันเสียเช่นนี้ แล้วไม่ไปให้ความสนใจมันหมายกับ กาย จนเกินการ เปลี่ยนมาใส่ใจสนใจกับ ใจ ซึ่งเป็นตัวที่ทำให้เรารู้ทุกข์รู้สุข รู้จำ ฐคิดรู้ผัสสะต่าง ๆ จากโลกภายนอกที่มากระทบ เราจะได้รู้จัก กับตัวของเราให้ถ่องแท้ขึ้น นักวิทยาศาสตร์ยืนยันแล้วว่า ใจเป็นพลัง ไม่สูญสลายหรือตายไปกับกาย เมือลมหายใจ ดับไป กายกับใจเป็นคนละส่วนคนละอัน ต่างคนต่างอยู่เมือกายซึ่งเป็นเหมือนบ้านเรือนสินชีวิตไปแล้ว ใจซึ่งเหมือนคนที่อยู่ในบ้าน ก็ยังเป็นอยู่ตามปกติ คงรู้สิงต่าง ๆ เช่นเดิมเหมือนกายที่ยังมีอยู่ตรงนี้คือจุดสำคัญ ที่เราควรจะมาทำความเข้าใจห้กระจ่างแจ้ง เพื่อชีวิตของเราให้เป็นเรื่องสบายสบาย ไม่เคร่งไม่เครียด ไม่เป็นภาระหนักหนาสาหัสเพราะความ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ มีคำกล่าวว่า ชีวิตเมื่อเริ่มต้น 40 ถ้าเชื่อตามนี้ ก็ แสดงว่า ชีวิตเรากำลังเริ่มต้น เพราะอะไร เพราะที่แล้ว ๆ มา เราศึกษาเล่าเรียน ก่อร่างสร้างตัว หรือทําอะไรต่อมิอะไร เพื่อสะสมประสบการณ์ ตระเตรียมรากฐานสำหรับตัวและครอบครัว มาถึงตอนนี จัดเป็นวัยที่เราถึงหัวเลี้ยวหัวต่อเราเริ่มหยั่งรากตั้งฐาน เก็บเกี่ยวผลงานที่ทุมเททามา ในรูปของความสำเร็จ ความเชื่อมันในตัวเอง เริ่มรู้ทิศทางทีตัวเอง จะพาชีวิตดําเนินต่อไปแลดูเปลือกนอกก็ว่าเรากําลังแกร่งได้ที่ จัดเป็นวัยทองของชีวิต แต่ถ้าพินิจดูให้ลึก ๆ เราก็มีความขัดแย้งกันเองอยู่ในใจ ใจหนึ่งเชือมันมุ่งทะยานไปสู่ดวงดาว แต่อีกใจ ก็เริ่มกังวล ถดถอย ห่วงสภาพกายทีเริมเดินสวนทาง เหมือนพระอาทิตย์ที่ขึ้นถึงเพื่ยงวันแล้ว นับเวลาที่มีจะคล้อยต่ำลง ทุกที ทุกที จนลับขอบฟ้าสิ้นแสงไปในที่สุด
ถ้าความกังวลนี่ทําให้เรามีข้อจํากัดว่า พออายุมากขึ้นแล้ว ต้องทําตัวให้สดใส ทำสีสันให้หวานแหวว จะได้ไม่แลดูเหียวแห้ง ครั้นทําไปแล้ว กลับถูกคนเขานินทาว่าอะไรกัน อายุจนปานนีแล้ว ยังทำตัวเป็นวัยรุ่นอยู่ได้ เราก็اหงุดหงิด เก็บเอาเสียงที่ได้ยินมาปรุงคิด แล้วผลลัพะ์ก็ออกไปสองแบบ แบบแรก ฉันจะทำให้มันซ่ายิ่งกว่านีอีกใครจะทำไม ฉันไม่ได้ไปเอาสตางค์ใครมาใช้นี้ เรามี ความรู้สึกต่อต้าน จะต้องทำอะไรให้มันสะแก่ใจ ซึ่งก็ไม่ แน่ใจเหมือนกันว่า ทําไปแล้ว เราเองมีความสุขหรือไม่มี ความสุขกันแน่ส่วนอีกแบบหนึ่ง ใครว่าอะไรก็เป็นกังวลไปหมด จนไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไรถูก เหมือนกับดิฉันตอนหัดนุ่งผ้าถุง จะเดินไปไหนมาไหน แทนที่จะเดินตามสบาย ๆ ก็ค่อยๆย่องค่อยๆเยื้องย่าง ทําให้ดูพิกลเอามาก ๆ พอกลับมาบ้าน ประดาเพื่อน ๆ แม่ก็ต่อว่า...นี่...แม่เขาบ่นนะว่าลูกสาวก็ทำตัวเป็นแม่แก่เข้าวัดเข้าวา นุ่งผ้าดำใส่เสื้อขาว แต่แม่ยังแต่งเนื้อแต่งตัวสีฉุดฉาด ไปเที่ยวเตร่กับเพื่อน ๆ เขาไม่สบายใจนะ ดิฉันก็ฉุกใจ มาไตร่ตรองดูว่าการเข้าวัดนั้นสาระสําคัญของมันอยู่ที่ตรงไหน จำเป็นที่เราจะต้องอนุรักษ์รูปแบบเอาไว้ แล้วทำให้แม่ต้องกระอักกระอ่วนใจอย่างนั้น ด้วยหรือ ก็เลยกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า การปฏิบัติธรรมคือการประหยัดมัธยัสถ์เรียบง่าย ทำอะไร ๆ ให้เป็น ธรรมชาติธรรมดา การนุ่งผ้าถุงสำหรับดิฉันไม่เป็นการ ประหยัดมัธยัสถ์ เพราะต้องขวนขวายหาใหม่ หากดิฉันจะแต่งตัวอย่างที่เคยแต่ง จะเป็นการลบหลู่ ขาดความเคารพ ในพระศาสนา ไม่สมกับการเป็นคนวัดหรือเปล่าท่านอาจารย์ก็ให้ข้อคิดว่า ของอย่างนี้ก็อยู่ที่เหตุผลของแตละบุคคล ถ้าเราเห็นว่าสิ่งนี้พอเหมาะพอดีกับเรา เราก็ทำไป แต่ถ้าทําไปแล้วไม่เหมาะ เกิดความขัดข้องหรือมีปัญหาขึ้น ก็ค่อยพิจารณาดูใหม่ แก้ไขไปตามเหตุการณ์ในกรณีนี้ เสือผ้าเก่า ๆ ของเรายังใช้ได้ เหมาะกับกาลเทศะ เราก็ใช้ของเราไปดิฉันก็อาศัยคำของท่านอาจารย์เป็นหลัก และคงจะมีหลายท่านสับสนกับรูปแบบของดิฉันครั้งหนึ่งดิฉันมีรายการบรรยายทั้งภาคเช้าและบ่าย ก็ปรากฏว่า ภาคเช้ามีคนมาทักดิฉันว่า...ตายแล้ว..ท่าน อาจารย์สอนว่า พระพุทธเจ้าให้ประหยัดมัธยัสถ์ก็จริงแต่ไม่ได้ให้ทำตัวซ่อมซ่อจนเป็นที่น่าสมเพชแก่ผู้พบเห็น ไม่ใช่หรือ ดิฉันฟังแล้ว ก็นึกว่า เราคงต้องระมัดระวังเรื่องเสื้อผ้าให้เหมาะควรแก่กาลเทศะของงานที่มาบรรยายให้มากกว่านี้ มิฉะนันคนจะคิดล่วงเกินพระศาสนา เพราะ ความไม่รอบคอบของเราแท้ ๆครั้นถึงบ่ายก็เสื้อผ้าชุดเดิมถูกวิจารย์ว่า โทรมจนน่าสมเพชนันแหละ มีสุภาพสตรีท่านหนึ่งซึ่งนิยมชมซึนหนังสือของดิฉันอย่างมาก ดันต้นมาฟังเพื่อจะ ดู ตัว เมื่อได้รับการแนะนำให้รู้จักกัน ท่านก็สํารวจดิฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า ตลบกลับจากเท้าจรดหัว จนดิฉันรู้สึกว่าตัวเองมีเขางอกออกมา หรือมีอะไรผิดปกติ ในที่สุดท่านก็พูด อย่างผิดหวังว่า...นึกว่าจะสมถะกว่านี...เมื่อได้ยินคำวิจารณ์ของท่าน ดิฉันก็บรรลุสัจธรรมว่าแต่นีต่อไป ถ้าเราพิจารณาแล้วว่า อะไรพอเหมาะพอดีทำไปเลย ไม่ต้องไปกังวล เพราะเช้านี้เขาเห็นว่าเราโทรม จนน่าสมเพช แต่ตกบ่าย ท่านกลับว่า เราไม่สมถะเสียเลยแล้วเราจะไปเอาใจกิเลสคนทั้งจักรวาลได้อย่างไรทำอะไรลงไปแล้ว ใครวิพากษ์วิจารณ์อะไร ก็จดจ่อ ดูใจของตัวเองว่า เจอข้อทดสอบเข้าแล้ว ใจคลอนแคลน ปลิวตามลมปากเขาไปหรือเปล่า เขามาทดสอบว่า ภูมิคุ้มกันของเรามันเก๊หรือได้ผล ถ้าเราคิดเป็น อะไร ๆ ก็ดีเวลาที่เราต้องเจอะเจอกับผู้คนต่าง ๆ ร้อยพ่อพันแม่ คนบางคนก็จริตนิสัยเหมือนลูกหมี คนบางคนก็เหมือนลูกปลา คนบางคนก็เหมือนนก เมื่อเป็นอย่างนิ ลูกหมีเป็นสัตว์เลือดอุ่น หนาวขึ้นมาก็ต้องผิงไฟ ส่วนลูกปลาเป็น สัตว์เลือดเย็น อยู่ในน้ำขึ้นจากน้ำไม่ได้ ปรากฏว่า ลูกหมี กับลูกปลาเป็นเพื่อนกัน แม่หมีก็สอนลูกว่า เวลามีข้าวของ อะไร เราต้องแบ่งปันให้เพื่อน อย่าแอบซ่อนเอาไว้เป็นของเราคนเดียวลูกหมีผิงไฟอุ่นสบายก็นึกถึงลูกปลาที่เป็นเพื่อนนอนหนาวอยู่ในน้ำ เลยไปหากิ่งไม้ใบไม้มาใส่ เกลี่ยกองไฟให้ใหญ่ยาวขึ้น แล้วไปช้อนลูกปลาขึ้นมาผิงไฟด้วยกันแทนที่ลูกปลาจะเข้าใจว่าลูกหมีห่วง ลูกหมีรักตัว มันก็คิดไปตามประสาปลาว่า เสียแรงเรารัก ไว้เนื่อเชื่อใจว่าลูกหมีเป็นเพื่อนเรา แม่ก็สอนแล้วสอนอีกว่า อย่าไว้ใจสัตว์หน้าขน นี้...เห็นไหม ลูกหมีเลยจะเอาเรามาปิ้งกินเสียแล้วเพราะฉะนั้น ถ้าเราจะไปตั้งความหวังว่า ทำอะไรลงไปแล้ว ต้องเป็นที่ถูกใจของใคร ๆ รอบข้างเราไปทั้งหมดย่อมเป็นไปไม่ได้ ถ้าพิจารณาแล้ว เหนวาสงททามเหตุผล เหมาะควรกับสถานภาพ เราก็ทำไป เมื่อทำลงไปแล้ว ก็สังเกตพฤติกรรมของคนรอบข้าง นำมาไตร่ตรองว่าI ปฏิกริยาที่เขาแสดงกลับมานั้น มีสิ่งที่ก่อประโยชน์แก่เราหรือไม่ ด้วยวิธีนี้ เราก็จะเรียนรู้จักจริตนิสัยของผู้คน รู้จัก ปรับตัวปรับใจของเราให้อยู่กับโลกได้ โดยไม่หยาบกระด้าง ก้าวร้าว แต่ขณะเดียวกันก็ยังรักษาเอกลักษณ์ของตัวเอง ไว้ได้ โดยไม่ถูกโลกกลืนกินจนหายไปหลาย ๆ ท่านอาจคิดว่า เรามีชีวิตเพื่อแสวงหาหลักฐาน เงินทอง ดิฉันว่าอันนั้นเป็นเพียงตัวแปร เพื่อให้เรานํามา แลกเปลี่ยนเป็นความสุขให้กับใจของเรามากกว่า ที่สุดจุดหมายปลายทางที่ทุกชีวิตต้องการคือความสุข แต่ความสุขนั้น ถ้าเราไม่ฉลาดรอบคอบในการแสวงหา แทนที่ จะเป็นความสุข มันจะกลายเป็นสุขปนทุกข์เสีย เพราะอะไร เพราะในความรู้สึกเหมือนว่าเรามีความสุข เราก็ยังคอย เหลียวมองว่า คนอื่นเขาให้ประกาศนียบัตรรับรองเรา หรือเปล่า ความสุขอันนี้จึงลิดรอนอิสรภาพของเรา ทําให้เรา เหมือนตกเป็นประเทศราชของสังคม ของค่านิยม หมดความ เป็นตัวของตัวเองสภาวะเช่นนี้แหละ ที่ทำให้เราเกิดความอึดอัดใจ หลายครั้งเราว่าอย่างนี้น่าจะสบายนะ แต่สังคมเขาไม่ชอบ เราก็เลยจําเป็นที่จะต้องบังคับตัวเองให้ทําตามค่านิยมของ สังคม จนเราหมดอิสระที่จะเป็นตัวของตัว ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วชีวิตเป็นความทุกข์ชัด ๆ
ดิฉันรู้จักกับหลาย ๆ ครอบครัวทีปล่อยให้ค่านิยม มามีอิทธิพลเหนือความเป็นอยู่ของตัว จนกระทั่งลูกเต้าหรือใคร ๆ จะทำอะไรสักอย่าง ก็จะถูกประท้วงว่า ไม่ได้ถ้าทำอย่างนี้แล้ว คนเขาจะดูหมิ่นนินทาถึงพ่อแม่เขาจะไม่นับหน้าถือตา โดยไม่รู้ตัว เรากลายเป็นทาสของค่านิยมและประเพณี จนลืมนึกถึงจุดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เป็นความสุขสบายของจิตใจผู้คนในครอบครัว ที่ทำให้อยู่กันอย่างเป็นปกติสุข พูดจากันรู้ประสา ทำอะไรได้ตามทีใจต้องการ ตรงนี้แหละที้ก่อปัญหาให้หลาย ๆ ครอบครัวพัง ไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราสบาย ๆ ตามวัย คือ การที่เรา สามารถสื่อความหมายกันได้ชัดเจน สังเกตดู เด็ก ๆ พูดอะไรกันแล้วก็รู้เรื่อง เข้าใจกันง่าย พูดคำไหนก็เป็นคำนั้น พูดคำว่าเอา ก็หมายความว่าเอา พูดว่าไม่เอา ก็คือ ไม่เอาครั้นโตขึ้นแล้ว กับคนยิ่งใกล้ชิดสนิทกัน พูดกันได้แต่ไม่แน่ใจหรอกว่า ที่พูดกันได้นั้น พูดแล้วมันแล้วใจหรือเปล่าเราสื่อความหมายกันได้ตรงตามที่ต้องการหรือเปล่า เวลา เขาพูดคำว่าครับ เราก็ต้องเอาไปเข้าคอมพิวเตอร์เพื่อแปลรหัสออกมาว่า คำว่า ครับนี่ หมายความว่าครับแน่นอนหรือแปลว่า บางทีครับ หรือแปลว่า ไม่ใช่ครับ ก็ไม่รู้มันมีช่องว่างของความไม่แน่นอนแทรกเข้ามาในการ สื่อความหมายกัน เพราะค่านิยมของสังคม ค่าอะไร อะไรหลายต่อหลายอย่าง ทีมีอิทธิพลมาเป็นตัวแปร ทำให้จิตใจของเราพลอยซับซ้อนไปกับไฮเทคต่าง ๆ แล้วก็ทําชีวิตที เป็นธรรมชาติธรรมดาให้พลอยยุ่งเหยิงซับซ้อนตามไปด้วย
ตรงนี่แหละ ที่ทำให้เราสับสนว่า จะเอาอย่างไรกันแน่ เพื่อนดิฉันแต่งงานกับฝรั่ง แล้วไปอยู่เมืองนอกจนชิน กับการอยู่อย่างสบาย ๆ แบบฝรั่ง คุ้นเคยกับการซื้อของแล้วยืนกินตามร้านในงานออกร้าน หรือตลาดนัด คราวหนึ่งกลับมาเมืองไทย ปรากฏว่าไปเดินซื้อของกับหลาน ผ่านแผงลอยเข้า ก็เตร่เข้าไปซื้อแล้วลงนั้งกินอย่างสบายอารมณ์หลานประท้วงด้วยความโกรธและอายว่า แต่นี้เป็นต้นไป จะไม่ยอมไปไหนกับน้าอีกแล้ว เพราะอับอายขายหน้ามากที่น้าทำอย่างนี้เพื่อนสรุปว่า ชีวิตคนไทยนี่ลำบากนะ จะทำอะไรตามใจอิสระก็ไม่ได้ ทั้งที่ไม่ผิดกฎหมาย แต่ว่าต้องระวังรักษาหน้า ประเดียวใครเห็นเข้าจะถลอกไปเสีย เขาเลย ปนว่า แย่จริง ๆ การมาเมืองไทยทำให้เขาปรับตัวไม่ถูก แล้วก็ถามดิฉันว่า ถ้าเธอนึกอยากจะนังกินอะไรข้างถนน เธอยังทําเหมือนสมัยเราเด็ก ๆ ได้ไหมดิฉันก็ตอบว่า ทำได้สิเขางงว่า ทำไมบางคนถึงทำไม่ได้ดิฉันบอก มันก็อยู่ที่ค่านิยมของเราว่า เราไปตั้ง ค่านิยมไว้แค่ไหน ถ้าเราเห็นว่า หัวโขนที่สวมอยู่มีความ สำคัญมากมาย จนกระทั่งเราต้องทำตัวเหมือนกำลังเล่นละครอยู่ ตอนนี่เราอยู่ในบทพระราชา ก็ต้องวางมาดเป็นท้าวพญามหากษัตริย์ จะทําอะไรตามที่เราพอใจ หรืออยากจะทำไม่ได้ อันนี่ก็ขึ้นอยู่กับใจของเราว่า รู้จักโลก และชีวิตตามเป็นจริงแค่ไหนมาถึงวัยนี้แล้ว แทนที่เราจะมัวไปสนใจใส่ใจกับเรื่องที่เราเสียเวลาไปสนใจใส่ใจมาตลอดชีวิตแล้ว ให้เรา มาเริมต้นใส่ใจกับ ใจ ของเราเองว่า เวลามีอะไรมากระทบจากบุคคลภายนอก็กด หรือจากความรู้สึกในใจของเราที่เกิดขึ้นมาเองก็ดี เรากระเพื่อม เราหวั่นไหว เรามีปฏิกริยาตอบโต้กับผัสสะเหล่านั้นอย่างไรบ้าง แล้วซือตรงกับตัวเองอย่าบิดเบือน ซื่อตรงที่จะมองให้เห็นว่า จริง ๆ แล้วเราอยากจะทำอย่างไร แล้วเรามีความกล้าที่จะทำในสิ่งที่อยาก หรือไม่ถ้าเราคอยเฝ้ารู้จักกับตัวเอง และปรับกรรมวิธีให้เรา กล้าที่จะทำในสิ่งที่เป็นความสบาย เป็นสิทธิของเราที่จะทำได้โดยไม่ไปขัดแย้งกับคนอื่น อันนี้คือ ศิลปะของการทำตัวให้สมกับวัย วัยนีของเราเป็นวัยที่ชีวิตตั้งต้นหยั่งรากตั้งฐาน เป็นวัยที่เรามีความเชื่อมันในตัวเอง อะไรที่เป็นสิ่งที่ถูกที่ดี เราก็ควรทำให้คนรอบข้างเห็นประจักษ์ เขาจะได้เอาเราเป็น กำลังใจให้กล้าทำอย่างนั้นได้บ้าง จะได้ทําให้สังคมรอบข้างราเริ่มมาท้าตัวตามสบาย ๆ เป็นตัวของตัวเอง แทนที่จะ ต้องคอยฝึนให้ตัวอยู่ในกรอบของค่านิยม จนกลายเป็นทาสของสังคม หมดอิสระที่จะเป็นตัวของตัวเองดิฉันไม่ได้หมายไกลไปถึงว่า เราสบาย ๆ อยาก จะว่าใคร เชือดเฉือนใคร เราก็อนุวัตรตามกิเลส เอาให้ป่นปี กันไปเลย เราเป็นผู้ใหญ่แล้ว เป็นเจ้านาย เป็นพ่อเป็นแม่ ใครอย่าอาจหาญมาเถียงเรานะ...หยุด...หยุด อย่าเถียงต้องฟังเราพูดคนเดียว..ดิฉันไม่ได้ให้เป็นผู้เผด็จการอย่างนั้นแต่หมายถึงให้เราเป็นตัวของเราตามความเหมาะควร ขณะเดียวกันก็เปิดใจกว้างพอที่จะรับฟังผู้อื่น และนำสิ่งที่ฟังมาพิจารณาไตร่ตรอง เพื่อทำความรู้จักกับโลกนี้ตามเป็นจริงอย่างเรื่องลูกหมี เวลาหนาวขึ้นมาก็ต้องผิงไฟ ถ้าลูกหมีเรียนรู้ธรรมชาติของลูกปลาว่า ขึ้นจากน้ำไม่ได้ก็ไม่ไปคาดหวังเอากับสิงที่เป็นไปไม่ได้ และไม่ไปหักหาญน้ำใจใคร ลูกหมีก็ยอมรับรู้ว่า ลูกปลาย่อมอบอุ่นสบายในน้ำไม่ว่าจะหนาวแค่ไหน ถึงผิวน้ำข้างบนจะแข็งตัว แต่น้ำข้างใต้ ก็ไม่เป็นน้ำแข็ง คงอุ่นพอสําหรับปลาจะอยู่ได้ด้วยวิธีนี้ นอกจากเราจะรู้จักใจของเราตามความเป็นจริงแล้ว เราก็ยังรู้จักใจของคนรอบข้าง ทั้งที่เขามีจริตนิสัยต่างกับเรา ทำให้เรามีน้ำใจเอื่อเฟื้อเผื่อแผ่ เอาใจเขามาใส่ใจเรา อะไร ๆ ที่กระทำออกไปกับผู้อื่นก็จะมีแต่ความ ละมุนละไม เป็นนําใจไมตรีต่อกันที่เราคับเครียด หรือพูดกันไม่เข้าใจ โดยเฉพาะกับคนใกล้ชิดนั้น เป็นเพราะต่างฝ่ายต่างหวังจากกันและกันมาก เกินไป ยิ่งเรารักเขามากเท่าไร เราก็คิดว่าเขาต้องรู้ใจ ของเรา ถ้าเราเป็นหมีเขาก็ต้องเป็นหมีด้วย ถ้าเขาบังเอิญ เป็นปลา และแสดงความเป็นปลาออกมาให้เราเห็น เราก็จะตีโพยตีพาย ตัดพ้อต่อว่า ปรับไหมเอากับเขาว่า...เสียแรง เรารัก ปักใจหวังอยู่แต่กับเขาคนเดียว แล้วทําไมถึงมาทำร้ายจิตใจกันได้อย่างนี้ เลยทำให้การจะพูดจากันไม่สามารถสื่อความหมายให้เข้าใจได้ เพราะความยึดหวังจะให้เป็นดังใจ กลายมาเป็นกำแพงกันเสีย ทำให้ต่างฝ่ายต่างก็ไม่เป็นตัวของตัวได้เต็มที่ยามที่ทุกอย่างปกติราบเรียบดี ใจก็มีสติพอที่จะจดจําได้ว่า คนใกล้ชิดเราชอบอย่างนี้ ไม่ชอบอย่างนั้นพรุ่งนี้ วันเกิดเขานะ ต้องไม่ลืมของขวัญ อาทิตย์หน้าครบรอบวันแต่งงาน...แต่บางครั้ง มีเรื่องโน้นเรื่องนี้ยุ่ง ๆ ขึ้นมา เราก็หลงลืมไป เลยกลายเป็นชะนวนที่ทําให้เกิดความผิดพ้อง หมองใจกันขึ้นถ้าเราพยายามให้คนใกล้ชิดรู้จักธรรมชาติจริง ๆ ของเราโดยเป็นตัวของตัวให้มากที่สุด ไม่มีใครหรอกที่ จะเป็นไปดังความหวังของใครได้ ถ้าต่างฝ่ายต่างเข้าใจอย่างนี้ และปรับตัวเข้ามาหากัน โดยต่างฝ่ายต่างก็สบาย ๆเป็นตัวของตัว มาพบกันทีครึ่งทาง ถ้าทำได้อย่างนี้ อะไร ๆจะสบายเป็นธรรมชาติธรรมดาขึ้น ไม่ต้องคอยบีบบังคับ ฝึนจัดหน้าฉากหลังฉากคนเราเมื่ออายุมากขึ้น กำลังก็เริ่มถดถอยทำให้ความอดทนอดกลั้น หรือพลังที่จะฝีนทําในสิ่งที่เกินความ เป็นปกติค่อยขาดตกบกพร่องไป บางวันเรารู้สึกเหนื่อย จากงานเต็มทน อยากอยู่เฉย ๆ ใครจะว่าเราขี้เกียจขี้คร้าน เราก็ไม่สนใจ คงอยู่เฉย ๆ อย่างนั้นแหละ สักพักเราก็รู้สึกว่าเริ่มมีเรียวมีแรงขึ้น ซึ่งแต่ก่อนนั้น ถ้าอีกฝ่ายอยากไป เรา
ก็ฝืนไปกับเขาจนได้ และก็ทำตัวให้สนุกสนานเฮฮาไปกับ เหตุการณ์อันนี้ก็เป็นชะนวนอีกเหมือนกัน ที่ทำให้พอถึงวัยนี้ก็มักจะมีเรื่องระหองระแหง แล้วทำให้ความเป็นปกติสุข ในบ้านค่อย ๆ ร้าวฉาน กลายเป็นความเซ็งว่า นําพริก ถ้วยเก่าไม่เป็นรสชาติ ต้องหาเครืองเคียงเครืองแนมมา ทําให้นําพริกถ้วยเก่ายังพอกล่ำกลืนลงไปไหวความจริงไม่ใช่น้ำพริกถ้วยเก่าหรอก แต่เพราะ ความไม่รอบคอบ เราไม่ทำความรู้จักกับใจของเราและ ของคนข้างเคียงให้เพียงพอ แล้วก็เอาอารมณ์โทษซ้ายป่ายขวา ไปโทษว่าเป็นเพราะวัย เป็นเพราะถึงจุดที่จะ ต้องมีเรื่อง หมอดูคนนั้นว่าไว้ เพราะดาวดวนนัเนเล็งลัคน์ดาวดวงนี้..ขอให้ได้ไปเพ่งโทษอะไรเอาไว้สักอย่างที่ไม่ใช่ตัวของตัวเอง เลยทำให้เราเสียนิสัย แทนที่จะเชื่อตัวของตัวคิดหาทางแก้ปัญหาให้ลุล่วงไป กลับไปพึ่งหมอดู ไปสะเดาะเคราะห์อย่างโน้น ไปทำพิธีอย่างนี้ ทำให้ใจของเรายิ่งติดกรอบ งมงาย ยึดมันสำคัญผิดมากขึ้น ชีวิตครอบครัว ก็ยิ่งเป็นปัญหาซับซ้อนเพิ่มขึ้นเราก็ทราบกันว่า ในจักรวาลนี้มีพลังต่าง ๆ มากมายเช่น พลังจากดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวต่าง ๆ ที่ควบคุมปรากฏการณ์ธรรมชาติอยู่ พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่าพลังอะไร ๆ ก็แพ้พลังใจของมนุษย์ ถ้ามนุษย์ตั้งกำลังใจมุ่งมันจะทำอะไรสักอย่าง พลังอันนี้จะสามารถเอาชนะพลังอื่นๆในจักรวาลได้หมดสิ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ชีวิตของ เราจะถูกลิขิตมาอย่างไรก็ตาม ถ้ามันไม่เป็นไปดั่งใจเราเราก็ตั้งต้นลิขิตให้เป็นไปดังใจหวังได้ โดยเริ่มต้นมุ่งมั่น ตั้งกำลังใจทำจริงจัง เราย่อมประสบผลสำเร็จได้เปรียบเหมือนแราออกเดินทาง หมอดูทักว่า อย่าไปเลย คุณเดินทางวันนี้ ก็เหมือนพายเรือทวนน้ำ แต่เราเห็นว่าโอกาสนี่เป็นประโยชน์กับเรา ถึงจะต้องทวนน้ำ เราก็มีแรงสู้ ยิงรู้ตัวว่าจะต้องพายเรือทวนน้ำ เราจะได้ตั้งอกตั้งใจเตรียมเหนื่อยเต็มที่ อาบเหงื่อต่างน้ำ เราไม่ใช่นักฉกฉวยโอกาส การที่เราออกแรงพายเรือเต็มสติกำลังความสามารถ ยิ่งทำมากเท่าไร เราก็ได้ความรู้ ความชำนาญ ความเชื่อมันในตัวมากขึ้นเท่านั้นถ้านึกอย่างนี้ไว้ในใจ แต่นี่ต่อไป สิ่งที่เราทำจะสร้าง ความเชื่อมั่น ความมั่นใจ ความเป็นธรรมชาติธรรมดาให้แก่เรา จะทําอะไรเราก็แน่ใจว่า เมื่อทำอย่างนี่แล้ว ผลย่อมเป็นอย่างนี้อย่างนี้ มิใยใครจะติฉินนินทา มิใยใครเขาจะว่า จิงจกทักเขายังฟัง นี่คนทักทั้งทีจะไม่ฟังเลยหรือ
เราก็ฟังด้วยสติปัญญา ไม่ใช่ฟังแล้วเปลี่ยนใจวันละ ๕๐๐ หนเพราะเวลาที่เราเปลี่ยนใจตามเขาแล้วเราพลาดไป ไม่มีใคร มาปลอบเรา เขาหายจ้อยไปหมด แต่ถ้าบังเอิญเราพังเขาแล้วเกิดได้ดีขึ้นมา เขาก็จะอวดอ้างว่า...ไหมล่ะ เพราะฉันบอกคุณทีเดียว เขาจะมามีส่วนร่วมในผลสำเร็จนั้นด้วย
โปรดจำไว้ว่า เมื่อไรที่เราพลาด ปรากฏว่าเราแย่ คนเดียว ต้องเลียแผลให้ตัวเองรักษาตัวเองจนฟืนคืนดีขึ้นมาเราก็จะอวดอ้างว่า...ไหมล่ะเพราะ เราจะได้ค่อยฝึกตัวของเราว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม เราต้องอยู่ด้วยตัวเรา ตายด้วยตัวเรา คือเราพึ่งตัวเองได้
อายุวัยนี้เปรียบเหมือนตะวันที่ขีนถึงเที่ยงวันหรือเลยเที่ยงวันแล้ว ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต เมื่ออายุมากขึ้น จะเริ่มไม่แน่ใจในตัวเอง จิตไร้สำนึกเริมหวาดหวัน แสวงหาสะสม สิ่งภายนอกมาเป็นที่พึงพิง เป็นความมันคงของตัว เราจึงเ่ริม ไปยุ่งวุ่นวายกับชีวิตของคนอื่น เป็นต้นว่า ลูกของเรา ทำให้ เขาเกิดความเบื่อ เกิดความรำคาญ แต่ถ้าเราฝึกตัวเองว้ว่า เราจะพึงตัวของเราเอง อะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ฝึกทำเสียเอง เราจะไม่คิดพึงพิงอิงอาศัยคนอื่น หัดให้เคยชิน เป็นนิสัยอย่างนี้ขึ้นมา เราจะได้ไม่ไปยุ่งวุ่นวายกับชีวิตคนอื่น ไม่ไปบีบบังคับ ก่อความทุกข์เดือดร้อนให้เขาจิตไร้สํานึกทีเราหวาดหวั่นว่า คนรอบข้างจะทิ้งเราไป ประเดียวเขาจะแยกตัวไปมีครอบครัวของเขาเสียเป็นสิ่งที่เราไม่จงใจหรือรู้ตัว แต่เป็นสัญชาตญาณของสิ่งที่เนสจงใจหรือไม่รู้ตัวถ้าเราไม่ใส่ใจศึกษาทำความรู้จักกับใจของ ตัว เราก็จะไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมเราถึงมีพฤติกรรมอย่างนั้น ถ้าใครมาว่าเราเข้า เรากหงุดหงิด เพราะรู้สึกว่า เราเจตนาดีแท้ ๆ ทำไมเขาถึงมาปรับไหมเรารุนแรงเกินเหตุ พ่อแม่หลาย ๆ รายมีเรื่องกระทบกระทั่งกับลูกทำนองนี้ แล้วก็ไปน้อยใจว่า เด็กสมัยนี่ไม่กตัญญูรู้คุณพอปีกกล้าขาแข็งแล้วก็จะบินไปท่าเดียว แต่ไม่เห็นข้อ บกพร่องของตัวว่า เราเองก็มีส่วนทำให้เขาอึดอัดใจ ลองย้อนกลับไปนึกถึงใจของเราตอนที่เริ่มจะโตขึ้นมา เราก็ อยากเป็นผู้ใหญ่ อยากเป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง ถึงจะ ทำผิดบ้างถูกบ้าง เราก็อยากจะเรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวเอง แต่พอลูก ๆ จะทำอย่างนั้นบ้าง...ไม่ได้..ไม่ได้อย่างโน้นก็ ...ประเดียวเสียหน้าพ่อ อย่างนี่ก็ ...ประเดียว เขาจะว่าแม่ไม่ดูแล ตกลงลูกก็มีความรู้สึกว่า ตัวเองเป็นเหมือนตุ๊กตาที่พ่อแม่พอใจจะจับไปตั้งตรงไหน ก็เอาไปตั้งลูกอยากเรียนอะไรก็ ...ไม่ได้ ต้องเรียนอย่างพ่อ ต้องเรียน อย่างแม่ คือสรุปแล้ว เราไปหายใจแทนเขาหมดทุกสิ่งทุกอย่าง มันก็เกิดความคับข้องใจขึ้น ต่างฝ่ายต่างก็หงุดหงิด ใส่กัน พูดจากันไม่ได้หลาย ๆ ท่านคงไม่ได้สังเกตว่า ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป วาจาของเราเริ่มก้าวร้าว วางอำนาจ บีบบังคับคนอื่นโดยไม่รู้ตัวบางทีมันกรีดเข้าไปในใจคู่สนทนาแล้วทําให้เข้าใจกันผิด เกิดการกระทบกระทั่ง ก่อเวรต่อกันขึ้น โดยไม่รู้ตัว จากจุดเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี ซึ่งล้วนบ่งชี้ให้เห็นถึงใจที่เจ้าของขาดการระมัดระวังเอาใจใส่ คุณภาพของพฤติกรรมจึงขาดการกลันกรอง ขรุขระหยาบกระด้างขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่เจ้าตัวก็ไปหงุดหงิดเป็นกังวลกับความทรุดโทรมของกายมุ่งความใส่ใจสนใจไปที่กายมากขึ้น ซึ่งเป็นการ เสียแรงเสียเวลาโดยใช่เหตุ เพราะกายเป็นสิ่งที่ถูกตอกตรึง จองจำอยู่กับกาลเวลา ทำอย่างไรอย่างไรก็ไม่สามารถ บำรุงรักษาให้กลับคืนเป็นหนุ่มสาวได้ใหม่แต่ถ้าหันมาใส่ใจสนใจกับเรื่องของ ใจ ฝึกให้มีสติ สมัปชัญญะ ที่จะระลึกรู้เท่าทันตามความจริงไม่เผลอใจไปคาดหวัง ยึดมันสำคัญผิดเอากับสิงที่เป็นไปไม่ได้ ใจก็จะ ค่อยเบาสบายขึ้นเพราะไม่ไปเอาหัวชนกําแพงสู้กับสิงที่ เอาชนะไม่ได้จะเผลอไปคิดพึ่งพิงอิงอาศัยอะไร กเชอพระพุทธองค์ ทีว่า พลังใจของเรานั้นเฉียบขาดมหาศาลเหนือพลังใด ๆ ในจักรวาล ความหวาดหวัน วิตกกังวลจะคลีคลายไป ใจสงบ ไม่แฉลบไปในอดีต อนาคต ฟุ้งซ่านซัดส่าย ทำให้หลงหน้าลืมหลัง ผัสสะอะไรมากระทบ ก็หนักแน่น มีภูมิคุ้มกันที่ จะรับเข้ามาพิจารณากลันกรองเอาแต่ประโยชน์มาใช้ ปรับปรุงตัวของตัว ใจของเราก็ปรับมาเป็นเครื่องเก็บ เกียวประสบการณ์ต่าง ๆ กรองเป็นข้อมูลเก็บไว้ใช้ได้ อย่างเหมาะเจาะกับกาลเทศะเมื่อเป็นอย่างนี ใจก็ไม่ไปกังวลวิตกกับอันโน้น อันนี้อันนั้น หรือไปตั้งความหวัง ตั้งข้อแม้เอาไว้ว่า ชีวิตต้องเป็นอย่างนี้ ต้องเป็นอย่างนั้น กรอบอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างที่เคยทำให้เราเป็นกังวลและจำยอมต่อมัน ก็หมดความ สลักสําคัญไป ทำให้ใจเราเบาสบาย เป็นอิสระ คำลงถึงเวลานอน ที่เคยผวาว่า ได้โน่นก็ลืม ไอ้นีก็ยังไม่ได้ทำ ถ้ามีเราไม่พูดอย่างที่พูดเมื่อบ่ายนี่ก็จะดีหรอกปรากฏว่า ทุกอย่างที่ทำไปแล้วดีหมดทุกอย่าง ใจของเรา ก็เบา ก็สบายเราก็หมดห่วงว่า จะอยู่ไปอย่างไร จะเป็นอย่างไร จะช่วยตัวเองจนลมหายใจสุดท้ายได้หรือเปล่าใจกับกายที่ผนึกเป็นปัจจุบันอันหนึ่งอันเดียวกันระลึก อยู่กับแต่ละขณะ แต่ละขณะ อะไรมากระทบก็มีสติอสัมปชัญญะ ระลึกรู้เท่านั้น เพระมีใจที่รู้ทั่ว พร้อมอยู่ด้วย พร้อมอยู่ด้วย การตอบสนองย่อมเป็นเหตุผลถูกต้องเหมาะควร เมือเม็ดแห่งการกระทำ คำพูด ความคิดที่หว่านออกไปเป็นสิ่งที่ใจรับรู้ เลือกเฟ้นจนพอใจแล้ว ผลที่บังเกิดขึ้นย่อมเป็นที่ถูกใจของเราทั้งนั้นใจก็หมดห่วงหมดกังวล แน่ใจมันใจในมรดกของตัวเพราะท่านสอนไว้ว่า การกระทํา คำพูด ความคิดที่เราทำแต่ละขณะ คือมรดกทีเราทําให้ตัวเอง มันจะผลิตผลขึ้นมาเมื่อใด เราก็พอใจทั้งนั้น เพราะรู้อยู่แก่ใจว่า เม็ดอะไร ๆ ที่หว่านลงไป เราเลือกหว่านเองด้วยความจงใจ ตั้งใจ ไม่ใช่ หว่านไปให้พ้น ๆ หน้าทำเสร็จไปแล้วก็กลับเสียใจ ...ถ้ารู้อย่างนี้ เราทำให้ดีกว่านีอีกนิดก็ดีหรอก ...ใจเลยท้อแท้คิดเสียดายชีวิตที่ผ่านไป ผิดหวังกับสิ่งที่ตัวเองทำไปแล้ว ...ถ้ารู้อย่างนี้ก็จะไม่ทำอย่างที่ทำไปแล้ว ...คำเหล่านี้จะไม่มีใน พจนานุกรมชีวิตของเรา จะไม่มีความเสียดายหรือผิดหวัง ในใจของเราอีกเลยใจที่รู้จักอยู่กับปัจจุบันเป็น เรียกว่าเป็นใจที่สมวัย อิทธิพลของกาลเวลาแตะต้องเข้าไปไม่ถึง เพราะเป็นใจที่เป็นธรรมจที่เป็นธรรม คือ ตัวอยู่ตรงไหน ใจก็อยู่ตรงนั้น พร้อมที่จะรับรู้สิงกระทบตรงตามเป็นจริง แล้วตอบสนองไปอย่างสมเหตุผล ถูกกาละเทศะ ดีที่สุดทั้งกับตัวเรา ผู้เกี่ยวข้องและคนรอบข้าง ตรงนี้คือใจที่เป็นอกาลิโก ...กาลเวลาแตะต้องไม่ได้ วัยของเราก็อยู่คงที่ตลอดไป เป็นวัยงามสม่ำเสมอไม่มีกาลสมัย คงที ตลอดไป
พิมพ์โดย ปภัสสร มีพงษ์
แหล่งที่มา http://web.krisdika.go.th/buddha/33_waingam.pdf
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น