Header Ads

วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2561

บทความหมออมรา วิธีแก้เซ็งในชีวิต

บทความหมออมรา
วิธีแก้เซ็งในชีวิต

ชื่อผู้เขียน       พญ อมรา มลิลา
วันที่              วันที่ 8  กรกฏาคม 2530
ณ                 โรงเรียนอนุบาลสาริน
หมวด
อันดับที่       




                            ความเซ็งคืออะไร? ถ้าจะว่าไปแล้ว มันก็เป็นความรู้สึกที่ไม่มีตัวตน จับต้องไม่ได้ แต่เกิด ขึ้นเมื่อไร ใจจะจืดซืด หมดไฟทีจะกระตือรือร้น คิด อ่าน หรือประกอบกิจกรรมใด ๆ ทำให้ชีวิตเฉา เหมือนต้นไม้ที่กรำแดด จนก้านเหียวพับ หมดเรียว แรงซูใบให้ตั้งตรงอยู่ได้ทําไมเราจึงรู้สึกเซ็ง ความหวังเอาไว้ว่า สิ่งที่กระทำควรมีผลอย่างนั้นอย่างนี้ อย่างโน้น แล้วผลที่ออกมาไม่เป็นอย่างที่นี่ก็เป็นเหตุอันหนึ่งที่ทำให้เราเซ็งเหตุอีกอันหนึ่ง ถ้าความรับผิดชอบเกียว ข้องกับหลายผู้หลายคนหลายพวกมากเกินไป จน เราจัดใจไม่ถูกว่า จะเอาใจใครๆ เหล่านั้นให้เสมอหน้ากันได้อย่างไร อันนี้ก็เซ็งอีก เพราะวาวุนจน เกิดอาการประสาท
เรามาพิจารณาความเป็นครูของเราดูว่า เรา จะรับผิดชอบกับลูกศิษย์อย่างไร จะทำให้ลูกศิษย์มี ความสุข สนุก ชอบเรียนหนังสือได้อย่างไร แล้วเราก็ทุ่มเทแรงจัดการให้เป็นไปอย่างนั้น
ครูกับหมอมีความคล้ายกันอย่างหนึ่ง คือนอกจากลูกศิษย์หรือคนไข้แล้ว ยังมีพ่อแม่ ญาติพี่นน้องเข้ามาเกี่ยวข้องบางครั้งผู้ใกล้ชิดนี้สามารถสร้างปัญหาให้เราปวดเศียรเวียนเกล้าได้ อย่างเหลือเชื่อในกรณีของหมอกับคนไข้ ว่าไปแล้ว คนไข้ ก็ไม่เป็นปัญหาเท่าไรหรอก แต่ญาติคนไข้นั่นสิ จะเอาอย่างนัน จะเอาอย่างนี้ บางที่พ่อจะเอาอย่าก็ไม่ทราบจะเอาใจใครถูก ตรงนี้ทำให้เราไม่รู้จะยุติปัญหาหรือวางตัวของเราอย่างไรถูกหน้าที่ของครูคือดูแลลูกศิษย์ ถ้าพ่อแม่มี ปัญหา ไม่พอใจเราเกี่ยวกับการดูแลลูกของเขา แล้ว มาร้องเรียน เราจะเอาตรงไหนเป็นกฎเกณฑ์ คุ้มครองตน เพื่อชี้แจงให้เขาเห็นว่าสิงทีเราทําดีแล้ว เหมาะแล้ว พวกเราแต่ละคนควรรวบรวมข้อมูลที่ผู้ปกครองทังหลายบ่นว่า ประท้วง หรือต้องการ อะไรเป็นพิเศษ มาพิจารณาด้วยกันประการแรก อย่าไปคิดว่าการทีใครประท้วงหรือตำหนิเราแปลว่าสิ่งที่เราทำไปไม่มีคุณค่า ท่านผู้รู้กล่าวไว้ว่า ถ้าเราห้ามไฟไม่ให้มีควันได้ เรา จึงสามารถห้ามคนนินทาได้ สิ่งที่เราทำ แม้จะดีที่สุดแล้วก็ตาม กิเลสของผู้ไม่ถูกใจก็แคะไค้หาที่ตําหนิเราจนได้ ของอย่างเดียวกัน เมื่อวานนี เขาถล่มว่าเราไม่มีซินดี ครั้นพรุ่งนี้เกิดอารมณ์ดีขึ้นมาเขาก็เปลียนเป็นชื่นชม ว่าเราดี ถ้าไม่มีหลักในใจเอาไว้ เราก็แย่ เพราะถูกใครตําหนิ เป็นเดือดร้อนใจไปหมดมีอาจารย์ท่านหนึ่ง ฝึกทำสมาธิมาตังแต่สมัยเป็นนักศึกษา ได้ความสงบร่มเย็น เห็นคุณประโยชน์จากการทําสมาธิ เมื่อจบมา ได้สอนเด็กโต ฝึกเด็ก
ให้รู้จักทำสมาธิ ก็ไม่มีปัญหาอะไร ต่อมาทางแผนกอนุบาลขาดครู อาจารย์ใหญ่เลยย้ายท่านมาสอนอนุบาล ความซาบซึ้งในคุณค่าของสมาธิอยากให้ลูกศิษย์ตัวน้อยๆ ของท่านได้รับประโยชน์
ปกติเด็กอนุบาลมี่ชั่วโมงฝึกโยคะและฟังนิทาน นอกไปจากการเรียนตามปกติ อาจารย์จึงเริมด้วยเวลาฟังนิทาน แทนที่จะให้เด็กลืมตาฟังนิทาน ท่านให้เด็กหลับตาสบายๆ แรกๆ ก็พบว่า เด็กไม่เป็นอันหลับตา ประเดี๋ยวๆ ก็แยัมเปลือกตาดูว่าเพื่อนเป็นอย่างไร อาจารย์เป็นอย่างไร ท่านก็ไม่ว่าอะไรแต่ทุกชั่วโมงที่ฟังนิทาน ก็เป็นอันรู้กันว่าต้องหลับตา ฟัง ในที่สุดเด็กก็เริมมีสมาธิ ที่เคยแอบลืมตาดูบ้างเป็นครังคราวก็ค่อยหมดไป เวลาเข้าห้องฟังนิทาน เด็กจะนั่งหลับตาเรียบร้อย พอนิทานจบ อาจารย์ เรียกถามหรือให้เล่า เด็กก็เล่าได้ถูกต้องแสดงว่าใจไม่ได้หลับเลย ทั้งๆ ที่กายนั่งหลับตาสงบมากขึ้นแสดงว่าตอนนี้ใจรวมจดจ่อกับเสียงนิทานอย่างเดียวไม่สนใจกับอายตนะอื่นๆ อาจารย์ก็ฝึกต่อไปว่า เมื่อนิทานจบแล้ว อย่าเพิ่งลืมตา ให้คงหลับตาต่อไป ก่อน แล้วทำตัวสบายๆ เหมือนท่าโยคะที่เคยทำ เป็นต้นว่า ท่าฟองคลื่นซึ่งเป็นท่าที่คลายกล้ามเนื้อทั่วทั้งตัว โดยปล่อยตัวสบายๆ เหมือนเป็นฟองคลื่นที่พริ้วอยู่เหนือน้ำ ด้วยวิธีเหล่านี้ เด็กก็คุ้นกับการทำสมาธิโดยไม่รู้ตัว ต่อจากนั้น อาจารย์จึงฝึกให้ทำ สมาธิปรากฎว่า เด็กคนหนึ่ง เมื่อทำสมาธิแล้วจิต ลงรวมได้ความสงบผาสุก พออกพอใจที่จะฝึกปฏิบัติเองสม่าเสมอทุกวันๆ ผู้ปกครองเด็กผู้นี้มีฐานะดีมาก ปกติเวลาลูกๆ ปิดเทอมใหญ่ ก็พาครอบครัวไปเที่ยวเมืองนอกทุกปีมาปีนี้เด็กทำ สมาธิเป็นกิจวัตรประจำ และรู้คิดเป็นเหตุเป็นผล คิดอ่านเป็นผู้ใหญ่เกินวัย เมื่อพ่อจะพาครอบครัวไป แคลิฟอร์เนีย ไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์ เด็กก็ไม่ไป โดยให้เหตุผลว่า ถึงจะไม่เคยเห็นดิสนีย์แลนด์ ก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรตื่นเต้นน่าสนใจ สู้อยู่บ้านปฏิบัติใจอย่างนี้ดีกว่าคุณพ่อโกรธมาก มาพบอาจารย์ใหญ่ ขอให้ ย้ายครูประจำชั้นของลูก และขอไม่ให้ครูสอนลูกทำสมาธิ เพราะท่านส่งลูกมาเรียนหนังสือเพื่อให้เป็นคนทันสมัย อยู่ในสังคมอย่างเชิดหน้าชูตา ไม่ใช่ไปบวช หรือเข้าวัด เป็นคนคร่ำครึเราจะยึดถือคําวิจารณ์ของผู้อื่นมาตัดสินงานของเราว่าดีหรือไม่ดี ไม่ได้จิตใจอาจารย์ท่านนี้บอบชํา เพราะอาจารย์ใหญ่เรียกท่านไปตักเตือน เป็นทำนองว่า จะทำกิจกรรมนอกหลักสูตรก็ได้ แต่ต้องดูกาลเทศะ ถ้ามีผู้ปกครองรายอื่นมาร้องเรียนอย่างนี้อีก ก็เห็นจะ สนับสนุนไม่ได้ท่านใจหาย หมดกำลังใจ มาปรึกษาว่าแล้วอย่างนี่ท่านจะทําอย่างไรต่อไป ดิฉันเรียนท่านว่า พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า การอยู่กับหมู่ชนจำนวนมากเราจะถือว่าเสียงคนอื่นวิพากษ์วิจารณ์หรือโลกาธิปไตยย่อมถูกต้องเสมอไป ไม่ได้ ปัจจุบันเราใช้ระบบออกเสียงเป็นแกนและถ้าถือเสียงข้างมากเป็นฝ่ายชนะ เราเป็นประชาธิปไตย เราต้องเคารพประชา หรือถือโลกเป็นเครืองยุติ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ใช่ เพราะเมื่อเราตกไปอยู่ในหมู่คนพาล เมติกลายเป็นพาล เป็นมิจฉาทิฐ แล้วเราจะรับเป็นความถูกต้อง อย่างนี้ก็ผิด เราต้องใช้ธรรมาธิปไตยเป็นหลักหาเหตุหาผลเป็นเครื่องยุติ
เพราะฉะนั้น จะทำอะไรก็ตาม ก่อนทํา ต้อง ไตร่ตรองจนแน่ใจว่า สิ่งที่ทำนั้นทำเพื่อประโยชน์ เพื่อความก้าวหน้าของส่วนรวม ถ้าทำไปแล้วมี เสียงตำหนิติเตียน อย่าเพิ่งเสียใจ อย่าเพิ่งท้อใจ กลับมาไตร่ตรองหาเหตุผลว่าคำตำหนิวิพากษ์วิจารณ์ มีอะไรที่เราจะเอามาใช้แก้ไขให้งานของเรากะทัดรัดเข้าท่าขึ้น ถ้าพิจารณากี่ครัง กี่ครัง กี่ครั้งแล้ว ก็พบว่าสิ่งที่ทำไปยังดีพร้อมอยู่ ก็ให้กาลเวลาเป็น เครื่องพิสูจน์ ไม่ต้องไปกังวลสนใจท่านอาจารย์เคยสอนว่า เวลาเราทำดี แล้ว คนอื่นวิพากษ์วิจารณ์ไม่หยุด เราไปปิดปากเขาก็ ไม่ได้ หูเขาอยู่ใกล้ปากเขามากกว่าหูเรา เขายังไม่ รําคาญ แล้วเรื่องอะไรเราถึงเอาหูเราไปเสียบไว้ ระหว่างปากเขากับหูเขาให้รำคาญใจ ถ้าจะหงุดหงิด หรือท้อใจ โปรตนึกถึงท่านอาจารย์ เราเอาหูเรา เสียบเข้าไปทําไมระหว่างปากเขากับหูเขาเราจะได้ได้สบายใจดิฉันใช้อุบายนี้ปลอบใจตนเองให้ผ่านวิกฤต มาได้หลายครั้ง จนเห็นว่า เออจริง เราบ้าไปเองเพราะ เวลาที่เขาว่าเรา แล้วเราลูกขึ้นเต้นตามคำ พูดของเขาจนตัวเองเซ็งนั้น เขาไม่ได้เดือดร้อน เขา สนุก เขาชอบใจด้วยซ้ำไป ที่เขาว่าแล้วเราบ้าไป ตามคำว่า แต่เราสิ เราทำร้ายตัวเราเอง เพราะใจเราเซ็งไปหมด ดีไม่ดีปวดท้อง โรคกระเพาะกำเริบดีไม่ดี เจ็บหัวใจ โรคหัวใจกำเริบ ความดนสูง บางคนปวดหัวข้างเดียว เป็นไมเกรน เรื่องอะไรเราจะ มาทำร้ายตัวเราเอง ไม่เอาเราฉลาดแล้ว ใครอยาก ว่าก็ว่าไปสิเราก็เอาหลักเหตุผลมาพิจารณาท่านอาจารย์สอนไว้อีกว่า ถ้าทุกอย่างที่เราทำมีแต่คนสรรเสริญหมด อีกหน่อยเราคร่ำคร่า ไม่ พัฒนาต่อไป เพราะ ถ้าทำอะไรแล้ว ไม่มีใครวิพากษ์ วิจารณ์ ไม่มีอุปสรรคอะไรมาเป็นหินลับปัญญา อีก หน่อยปัญญาเรานิมหมด เพราะเราไม่ใช้สติปัญญา
อะไรๆ ก็สำคัญว่าดีไปหมด ว่าอะไรก็ว่าตามกันหมด ชีวิตเลยขาดรสชาติ เมื่อปัญญานิ่ม จะคิดอะไรก็ คิดไม่ออกทำอะไรก็ทำไม่ได้ ใครก็ไม่อยากเป็นอย่างนั้น ทุกคนอยากเป็นคนเฉลียวฉลาด มีอะไรมากระทบสติปัญญาของเรามีพลกำลังแข็งแรงสามารถพิจารณาแก้ไขปัญหาทะลุปรุโปร่ง ใครมี ปัญหามาปรึกษา เราก็ช่วยเหลือได้ ถ้าฝึกให้ใจมี หลักอย่างนี้ เราจะเลิกเซ็งเราห้ามคำพูดคนไม่ได้ ตราบเท่าที่จดไฟแล้วยังมีควันคนมีปากก็พูดไป พูดแล้วก็ต่างจิตต่างใจกัน คนบางคนเป็นนก เกิดอะไรขึ้นก็ต้องบิน ส่วนบางคนบินไม่ได้ ต้องว่ายน้ำไปอย่างปลา ท่านอยากพูดอะไรก็ปล่อยให้ท่านพูดไปเถอะ เรารู้อยู่แก่ใจว่าเราเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องเหล่านี้ ปัญหาเป็น อย่างไรเรารู้ดี พวกนันดีแต่วิจารณ์ ถ้าให้มาลงมือทำก็ทําไม่ได้ เราก็มีหลักให้ใจยึดเหนียว ถ้าผู้ปกครองพูดจาเอาแต่อารมณ์ เราไม่ต่อล้อต่อเถียง หรือหาเหตุผลมาชี้แจง คุณพ่อว่าอย่าง คุณแม่ว่า อีกอย่าง เราก็รับฟังอย่างสงบ ถ้าไปตามใจคนใด คนหนึ่ง เราก็พัง ปล่อยให้กาลเวลาพิสูจน์ผลงานของเราประการถัดไป คือเรื่องงาน ผู้ร่วมงานกับเราก็ต่างจิตต่างใจกัน คนเรามาจากที่ต่างๆ กันทั่วทุกสารทิศ จะให้คิดปรองดองเหมือนกันได้อย่างไรอย่าว่าแต่คนอื่นเลย ตัวเราเองก็เหมือนกัน เคยไหม
ว่าเริ่มแรก เราตั้งใจว่าจะทำอย่างนี้ๆ ครั้นถึงเวลาเข้าจริงๆใจตัวโกงมันเปลี่ยนไปอีกแล้ว ที่จะทำอย่างนี้ๆ เบื่อแล้ว ไม่ทำแล้ว หรือไม่ก็ ครั้งแรก ตั้งใจจะทำให้ดีเลิศ ครั้นลงมือทำเข้าจริง เอาแค่ให้มันจบๆ ไปก็แล้วกันใจเราเอง นอกจากสารพัดโกงแล้ว ยังชอบเปลียนใจได้ทุกเวลานาที ถ้าเพื่อนสัญญากับเราไว้ อย่างหนึ่ง แล้วเกิดเปลี่ยนใจไม่ทำตามสัญญา อย่า ไปโกรธเขาเพราะขณะที่สัญญากับเรา เขากำลังสบายใจ ไม่มีธุรกิจการงานอะไร ครั้นถึงเวลาเข้าจริงเขาเกิดไม่สบาย หรือมีปัญหาที่บ้าน เกิดเหตุ
สุดวิสัยหรืออะไร ทำให้กาลเทศะไม่เอื้ออำนวย เรา จึงควรฝึกใจของเราว่า ทำอย่างไรจึงจะมีภูมิคุ้มกันให้ไม่เซ็งเวลาใครพูดไม่เป็นคําพูดกับเรา เหมือนสมัยนี่มีวัคซีนฉีดป้องกันโรคหัด โปลิโอ บาดทะยัก ไอกรน เป็นต้นวัคซีนป้องกันโรคเซ็ง คือการ ฝึกใจให้อยู่กับปัจจบัน อย่าไปยึดถือคำมั่นสัญญาอะไรทั้งสิ้น
เพราะยึดถือเป็นจริงเป็นจังแล้ว เสียกําลังใจเรา เดี๋ยวเขาก็มา ...ขอโทษเถอะ เกิดมีงานด่วนตรงนั้น...ขอโทษเถอะ มีเหตุสุดวิสัยตรงนี้ ทำไม่ได้เสียแล้ว เราเตรียมป้องกันใจของเราเอาไว้ว่า อะไร เกิดขึ้นใครพูดอะไรไว้ ถ้ายังไม่ถึงวาระได้ทำจริงๆ เรายังไม่ปลงใจเชื่อเป็นอันขาด เราทำใจเอาไว้ว่า อะไรจะเปลี่ยนแปลง เรารับฟังได้ทั่งนัน หัดนิสัย เป็นผู้รับฟังทีดีเอาการอยู่กับปัจจุบันมาเตือนตัวเองอย่า เผลอไปสัญญากับใคร หรือพูดจาอะไรกับใคร อย่าผูกมัดรัดตัว เป็นคำตายตัวลงไป หากเกิดเหตุสุดวิสัย ทำไม่ได้ ผู้รับฟังแล้วปักใจยึดอยู่ จะเสียใจแล้วเซ็ง เหมือนกับที่เราเสียใจมาแล้ว หัดพูดเป็นคำกลางๆ ทำนองว่า ตอนนี้คิดว่าว่างอยู่ ถ้าถึงวัน นั้นไม่มีเหตุสุดวิสัยอะไรมาเปลี่ยนแปลง ก็คงพบกันแต่ถ้าถึงเวลานัดแล้วไม่เห็นกัน หรือเราทำไม่สําเร็จตามที่พูด ก็ขอให้เข้าใจว่าไม่ได้แกล้งฝึกใจตัวเองให้ระลึกถึงความเป็นจริงอย่างนี้ ทุกอย่างในโลกไม่มีอะไรแน่นอน การฝืนความจริงไปคิดว่าทุกอย่างแน่นอน ต้องเป็นไปอย่างที่เรา อยาก คือต้นเหตุของความเซ็ง ต้นเหตุของความทุกข์ ไม่มีหรอกที่ทุกอย่างจะเป็นดังจับวางได้อย่าง เนรมิต ให้ฝึกไว้ว่าอะไรทีผิดไปจากที่เรากะเกณฑ์ หรือเราหวังอย่างหนึ่งเอาไว้ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอีก อย่าง ล้วนดีกับตัวเราทั้งนั้น เพราะทำให้เราได้ลับสติปัญญาให้คมขึ้นแต่เดิมเราก็เห็นว่าเราเป็นคนดีแล้ว แก้ไข ปัญหาได้รอบคอบ เป็นคนถี่ถ้วน ระมัดระวัง เตรียม ป้องกันไว้ทุกจุดแล้ว เมื่อเกิดความผิดพลาดไปจาก ที่เราตระเตรียมเอาไว้ ก็อย่าโกรธหงุดหงิด โทษซ้าย ป่ายขวาคุณคนนี้ทีเดียวไม่ดี คุณคนโน้นทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายอย่างนี้ ถ้าปล่อยใจขวิดซ้ายป่ายขวาอย่างนี้ ก็ยิงเซ็งหนักขึ้น เพราะไปทะเลาะกับทุกคน รอบข้างหมด ครั้นมีธุระจะไหว้วานขอแรงเขามา ช่วยคนละไม้คนละมือ ไม่มีใครเอากับเรา เลยถูกลอยแพถ้าอยู่กับปัจจุบัน สติจะสอนให้พูดว่า เราก็ไม่ได้คิดว่าจะมีเหตุสุดวิสัยเกิดขึ้น เมื่อเกิดอย่างนี้
ขึ้นแล้วจะทำอย่างไร โปรดช่วยกันคนละไม้คนละ มือ ช่วยกันคิดหน่อย การที่เราขอร้องให้ช่วยกันคิดนี่ คนอีนก็ชื่นใจ เพราะไม่อย่างนั้นเราเก่งคนเดียว คอยแต่ออกคำสั่งกับทุกคนหมด เมื่อเราขอร้องว่าดูสิไม่ได้คิดหรอกว่าจะมีเรื่องอย่างนี่เกิดขึ้น ช่วยกันนึกหาทางแก้ไขหน่อย คนฟังก็ภูมิใจว่า เราเห็นความสามารถของทุกคนเสมอหน้ากับเรา ไม่ได้คิด ว่าเราใหญ่อยู่คนเดียว ทุกคนรู้สึกมีส่วนร่วม งานอันนี่เป็นศูนย์ที่รวมแรงใจ ทุกคนมีสิทธิมีเสียงเป็นส่วนร่มอันหนึ่งทำให้เกิดความภูมิใจ มีความภูมิใจแล้ว เขาก็เอาจิตใจของเขามาจดจ่อร่วมทุกข์ ร่วมสุขด้วย เหมือนกับเราอยู่ในเรือลำเดียวกัน แล้ว ไปชนหินโสโครก เรือทะลุ จะทำอย่างไร ทุกคนรู้ถ้าปล่อยให้เรือรั่วอยู่อย่างนี้ ผลทสุดตายด้วยกันหมดทุกคน เมอเรอจมแลว ใครจะรอดอยู่ได้
ถ้าเราไม่เปิดใจให้ทุกคนรู้สึกว่าเขามีส่วนร่วม ในกิจการสอนในโรงเรียน เขาก็นึกว่า คุณอยากเก่งปล่อยให้เก่งไปคนเดียวเถอะ ถ้าเป็นอย่างนี้ ผลที่สุดก็พัง เพราะทุกคนจะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่
อะไรเกิดขึ้นก็ธุระไม่ใช่ กว่าจะทราบ จะคิดแก้ไขทุกอย่างก็สายเกินแก้ เห็นอย่างนี้ จะได้ทำให้เกิดความกลมเกลียว เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันขึ้น ของ อะไรที่เคยนึกว่ายากเกินสติปัญญาความสามารถช่วยกันคนละไม้คนละมือ ประเดียวเดียวก็เสร็จไปได้ มิเช่นนั้น พอมีปัญหา เราก็เกิดความแค้นว่า คนพวกนี้ไม่มีน้ําใจ เหมือนแก้วที่มีรอยร้าว ทั้งๆ ที่ ใช้ใส่น้ำได้ ยังไม่แตก เราพบปะเจอะเจอกัน ยัง ทักทายกัน ยิ้มแย้มแจ่มใสกัน แต่ในใจมีรอยร้าวอยู่ ก่อให้เกิดความแหนงใจอยู่ลึกๆ พอมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เราก็ไประแวงเขาต่อ เห็นไหม คราวก่อนนั้นก็ไม่มีน้ำใจกับเราทีหนึ่งแล้ว คราวนี่ก็อีกแล้วรอยร้าวถูกตอกย้าลึกเข้าไปจนเห็นชัด ดีไม่ดีก็เริม มีน้ำรัวออกมาได้ ใจที่ทำงานด้วยกัน อยู่ด้วยกัน แล้วระแวงกัน แหนงใจกัน เป็นความเซ็งมหาศาลเริ่มแรกต้องประจัญหน้ากันก่อนจึงเซ็ง ต่อไปเพียงแต่เช้าขึ้นมา ใจนึกถึงว่าจะต้องมาเจอหน้ากันก็เซ็งจนอยากเขียนใบลาออกแล้ว ถ้าปล่อยใจให้เป็นอย่างนี่ อีกหน่อยเราแย่ เพราะไปทางไหน
เราต้องประสบกับคนที่เราเซ็งไปเรือย ในที่สุดเรา จะเป็นอย่างไร ไม่มีแผ่นดินให้เราก้าวเดินไปได้เพราะไปทางโน้นก็เจอคนเซ็ง ไปทางนี่ก็เจอคนเซ็ง เพราะเราไปคิดเซ็งกับทุกคนหมด ผลที่สุดเลยเฉา เซ็งกับตัวเองด้วยเราไปคิดว่า ชีวิตนี้ยาวไม่มีที่สิ้นสุดเลยจู้จี้พิถีพิถัน เลือกเฟ้นจะให้เป็นไปดังใจ หรือไม่อย่างนั่นก็ไปพาลว่า งานไม่ดี ย้ายงานเถอะ ย้ายแล้ว ก็ ใจอันเก่าของเราที่เคยหงุดหงิดคับข้อง เซ็งกับงาน เก่านันแหละ มาชักพาให้เราตําหนิตรงโน้น เอือมตรงนี้ จนต้องย้ายงานใหม่อีก เลยกลายเป็นคน จับจด ทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่างหรือไม่อย่างนัน ก็ไปเซ็งกับเพื่อนร่วมงาน ถ้าไม่ร้จักจัดใจของตน ตอนแรกเราก็เซ็งกับคุณ ก.คนเดียว ต่อมาก็เซ็งกับคุณ ข. คุณ ค. ในที่สุดก็ ถึงคุณ ฮ. ทุกคนที่อยู่ที่เดียวกับเราถูกเราเซ็งหมดไม่มีใครได้รับการยกเว้น ถ้าเป็นอย่างนี้อีกหน่อย เราก็แย่ กลายเป็นคนเจ้าปัญหาไป แล้วก็เกิดน้อย
เนื้อต่ำใจ เกิดความระแวงว่าทุกคนลำเอียง ทุกคน
รวมหัวกันแกล้งเรา จิตใจก็ร้อนรุ่ม หยาบกระด้าง ไม่เป็นธรรมกับคนอื่น เพราะรู้สึกไปว่าปกป้องตนเอง เราหัวเดียวกระเทียมลีบ ทุกคนใจ ร้ายใจดำ หัวเราะสนุกสนานกัน ลืมเรา ทิ้งเราไว้
คนเดียว ซึ่งความจริง ไม่ใช่คนคนหนึ่ง ไปวัดทีไรก็มีเรื่องกราบเรียนท่านอาจารย์ว่า คนนั้นไม่ดี คนนีไม่ดี ครั้งแรกย้ายงาน จากทีแห่งหนึงไปทำอีกแห่งหนึง ทำไปได้  3-4 เดือนย้ายแห่งที่สองเป็นทำนองนี้จนครั้งสุดท้ายที่ไป กราบท่านอาจารย์นั้น ย้ายเป็นแห่งที่เจ็ด ท่านอาจารย์คงเห็นว่า ถ้าปล่อยอย่างนีอีกต่อไป คงต้อง ย้ายงานทุกวี่วัน ท่านเลยติงว่า ที่ท่านฟังเล่ามา จนคุณย้ายงานถึง 7 แห่งนั้น คุณเคยคิดบ้างไหมว่า ในทุกๆ แห่งที่คุณย้ายไป มีบุคคลที่คงเส้นคงวาอยู่ คนเดียว คือตัวคุณ ทำไมคุณไม่คิดกลับกันดูว่า อาจเป็นคุณก็ได้ที่เป็นตัวปัญหาทั้ง 7 แห่ง ทำให้มีเรื่อง ทุกแห่ง เพราะเมื่อคุณออกจากแต่ละแห่งแล้ว ไม่เห็นคนอื่นเขาเดือดร้อนหรือออกตามคุณเลย ออกไปแล้ว เขาก็สบายกันดีทั้งนั้น ทำไมไม่มองตัว
มีกิจรับนิมนต์ไปที่อื่นแทนที่จะกลับไปทํางานตามปกติ ท่านกลับติดสอยห้อยตามท่านอาจารย์ไปเพื่อ คอยดูแลรับใช้ตกลงหายไปจากที่ทำงานทั้งวัน โดยไม่มีการบอกกล่าวให้ทราบ จนเพื่อนที่ทํางานชักเซ็ง กับความไม่คงเส้นคงวาของท่าน เช้าไปใส่บาตร กว่าจะมาถึงทีทำงาน ก็เก้าโมง หรือเก้าโมงครึ่ง สายเป็นประจำ ทุกคนก็ข่มใจโมทนาบุญด้วย เพราะเขาไปทำดี มีความสุขครั้นต่อมา บางวันก็หายไปทั้งวันโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย แรกๆ เดือนหนึ่งหาย 2-3 ครั้ง ต่อมาหนักหน่อย เดือนละ 4-5 ครั้ง เอ... มันยังไง
กันเพื่อนๆ ก็เริ่มท้วงติง ว่ากล่าวตักเตือน แทน ที่ท่านจะมองตัวเองว่าเราไม่มีความรับผิดชอบในหน้าที่ ท่านกลับไปคิดว่า ไอ้คนพวกนี้บาปหนาวัดก็ไม่ไปบาตรก็ไม่ใส่ แล้วยังคิดไม่ดีกับเราอีก มาหาว่าเราบกพร่องเห็นไหม เวลาเราเข้าข้างตัวเอง โลภบุญโลภกุศล เลยไปคิดว่าการไปใส่บาตร ปฏิบัติครูบา อาจารย์ การได้อยู่ใกล้ชิดท่าน คือการได้ธรรมมาสอนใจ แต่ลืมกาลเทศะ ลืมความรับผิดชอบว่าเราเป็นอะไร เรามีงาน แปดโมงครึ่งต้องถึงที่ทำงานบ่ายสี่โมงครึงจึงเป็นอิสระแก่ตัว เมื่อลืมความรับผิดชอบแล้ว ก็ไปคิดว่าคนอื่นอิจฉาเราหรือบางท่าน เอาเวลาราชการรับเชิญไปทำโดยให้เหตุผลว่าไปทำชื่อเสียงให้หน่วยงาน แต่ลืมคิดไปว่า การไปอย่างนั้น เพื่อนต้องทำงานแทน ความดีเขาก็ไม่ได้ เพราะเราเอาไปหมดหลงว่าตัวเองเก่ง เป็นนารายณ์สีกร สิบกร งานตรงนี่ก็อยู่ทําไม่บกพร่อง ตรงนั่นก็ไปช่วยเขาได้อีก คนที่ทําแทนแทบตายไม่เคยขอบคุณ ไม่เคยยกย่องให้ ปรากฏหนักเข้าไม่มีใครชอบ ใครเล่นด้วยแล้วเราก็ไปเซ็งกับเขา ...ที่ทำงานนีไม่ดี ต้องย้ายเถอะความเซ็งเกิดจากเราไม่รอบคอบกับวิธีวางชีวิตของเรา ไม่รู้จักกาลเทศะ เราทําจริงเหมือนกัน แต่ไม่ทำสิ่งที่เป็นหน้าที่ของตน ไปทำสิ่งซึ่งไม่ใช่หน้าที่แม้คนสรรเสริญว่าดีงามอย่างไร แต่มันก็ไม่เป็นธรรมกับเพื่อนร่วมงาน อันนี่โปรดอย่าทำคนเราอยู่กัน ยังไม่รู้ตัวเลยว่าใจของตัวคิดไปอย่างไรบ้าง เมื่อดิฉันไปอย่วัด ตกเย็นประมาณ 4-5โมง เราจะไปช่วยกันในครัว ถ้าเป็นหน้าฝน เห็ดที่วัดงอกเยอะ ท่านอาจารย์สอนให้เณรรู้จักหาเห็ด เพื่อว่าต่อไปเณรเหล่านี้สึกไปเป็นฆราวาส ต้องทำมาหากิน มีครอบครัว จะได้รู้จักมัธยัสถ์ประหยัดไม่ใช่เอะอะเอาสตางค์ไปซื้ออย่างเดียว ถ้าเป็นหน้าท่านก็พาเณรไปดูตามป่าในวัด หาเก็บเห็ดมาให้ โรงครัว พวกเราผู้หญิงก็ไปช่วยกันล้างเห็ดการล้างเห็ดนี้ไม่เหมือนการล้างชาม ถ้าล้าง แรงมือไปหน่อยเห็ดก็ช้ำหมด ถ้าล้างชุ่ยๆ ทรายที่ ติดอยู่ตามครีบดอกก็ไม่หมด เมื่อเอาไปผัดไปแกง แล้ว ก็เท่ากับว่าพระฉันผัดกรวดแกงทรายทำนองนั้น บางคนก็รู้ว่าตัวเองใจร้อน ก็หลบไม่มาช่วยเสียเฉยๆ เพราะระหว่างมือทำหน้าที่ล้างไป ต้องฟังคุณแม่ชีพร่ำสาธิตวิธีล้างที่ถูกต้อง พร้อมทังตําหนิ ติ ซึ่งที่ผิดของเราไปเสร็จสรรพเมื่ออยู่ด้วยกันห้าคน โดยอัตโนมัติ เราก็คิดว่า พอถึง 5 โมงทุกคนจะลงมา ก็แบ่งเห็ดออกเป็น
5 กอง แต่ละคนรับผิดชอบ ช่วยกันล้าง อยู่มา ก็ มีคนหัวใส หายไปหนึ่งคน บางทีสองคน สามคน ส่วนทีเหลือเหล่านัน คุณแม่ชีกับเราก็ต้องช่วยกันรับผิดชอบจนเสร็จหมด ล้างไปๆ เราชักรู้สึกเหดงอกมากขึ้น มากขึ้น จนใจเราไม่เป็นอันจดจ่อที่จะล้างเห็ดแล้ว แทนที่จะหาแยบคายอุบายมาปลอบใจให้เกิดกำลังว่า ถ้าเราตั้งอกตั้งใจล้างอย่างประณีต พระท่านฉันเห็ดที่สะอาด ปราศจากกรวดทราย เราก็ได้บุญได้กุศล แทนที่จะมานังอยู่เฉยๆ ให้เวลา กินชีวิตเราไปโดยเปล่าประโยชน์ มันไม่คิดหรอก กลับไปหงุดหงิด เพ่งโทษผู้ทีหายไป ...เออแน่ะ ทำไมรู้มากเอาเปรียบอย่างนี่นะ นี่เขาไปแอบอยู่ตรงไหนนะ ตกลงมือล้างไป แต่จิตใจไปคิดรังแกโกรธซึ่งเขาวันรุ่งขึ้นนพระท่านคงกลืนเห็ดฝืดคอเต็มทนเพราะระหว่างล้างเห็ดไป ใจของเรามีแต่ อกุศล นึกพาลไปถึงท่านด้วย ทำไมนะ ท่านต้อง ขยันหาเห็ดมาทุกๆ วัน อยู่ดีไม่ว่าดี หาเรื่องก่อบาป ให้ตัวเองโดยใช่เหตุ มือล้างเห็ดไป จิตใจก็แห้งแล้งเซ็งไปพอล้างเสร็จ เดินสวนกับเพื่อนที่หายหน้าไป แทนที่จะยิมแย้มแจ่มใส ขอบคุณว่าเพื่อนเอาบุญมาให้ ให้เราได้มีโอกาสล้างเห็ดมากกว่าที่ควร กลับหงุดหงิด เซ็งมากยิ่งขึ้น ประกอบอกุศลวาจา ต่อว่า เขาออกไป เธอไปหลบอยู่ที่ไหนเสียล่ะ เขาก็โกรธเพราะอุตส่าห์หาข้อแก้ตัวกับตัวเองไว้ว่า พรุ่งนี้จะอดอาหาร เร่งความเพียร ที่หายไปนีก็ไปทำความเพียรมานึกว่าเพื่อนจะอนุโมทนาด้วย กลับเพ่งโทษว่าเขาไปหลบซ่อนนอนที่ไหนมา เสียหายหลาย
แสน เลยเป็นชนวนให้เกิดการบาดหมางใจกันขึ้นถ้าเขาเป็นคนโมโหร้าย ก็คงเริ่มโต้ตอบ เกิดทะเลาะวิวาทกันขึ้นในวัด เอากิเลสมาบริหารใส่กันโดยไม่ รู้สึกตัวสักนิด
ในชีวิตจริงก็เหมือนกัน บางทีเราก็เผลอนึกมีครูอยู่ด้วยกันแค่นี้ ควรช่วยกันคนละไม้คนละมือ ...อ้าว ...หายไปไหนเสียคนหนึ่งแล้ว เราซักใจไม่ดีไม่สบายใจ โรคเซ็งกำเริบขึ้นมาอีกแล้ว เวลาที่ใจ ของเราไม่รอบคอบ อะไรเกิดขึ้นก็เป็นสาเหตุให้ตัวเองเก็บมาคิดเซ็งได้ทั้งนั้น เลยเซ็งไม่รู้จักจบสิ้น เพราะใจอันนี้คุ้นเคยที่จะทำตัวเป็นโรงงานผลิตทุกข์ ออกมาทับถมให้ตัวเองมีแต่ความเซ็งพระพุทธเจาทรงสอน ให้หัดฝึกตนให้มีสติอยู่ กับใจ เมื่อมีสติอยู่กับใจแล้ว เวลามีปัญหาอะไร สติ ที่ฝึกดีแล้วจะหมุนให้หันเข้ามามองใจตนเองก่อน ว่า มีอะไรที่เราจะแก้ไขได้โดยไม่ต้องไปรบกวน คนอื่น เรามองเข้าข้างในใจของเราก่อน แล้วเริ่มต้นแก้ไขที่ตัวของเรา เมื่อเป็นอย่างนี่ สิ่งที่คิดแก้ไข ย่อมเป็นสิ่งถูกต้อง เป็นปัญญา เป็นธรรมถ้าไม่มีสติอยู่กับใจ เราจะมองออกข้างนอก ว่า เอ๊ะ คนนันยังไม่เห็นทำ แล้วเราจะยอมทำให้โง่ ทำไม โดยลืมนึกไปว่า ระหว่างที่เราโกรธและคิดจะ เอาชนะคนอื่น คนอื่นนั้น ถ้าเราเอาเวลาเหล่านั้น มาประกอบกิจการงานเสีย ปัญหาก็ลุล่วงไปแล้ว ดังเช่นครั้งหนึ่ง อุบาสิกาท่านหนึ่งไปปฏิบัติ ธรรมที่วัด ท่านอยากทำอาหารใส่บาตรให้ดี ให้ประณีตโดยฝากชาวบ้านให้ช่วยซื้อหมูมา 5 กิโล เพื่อสับบะช่อทำลาบ ท่านบอกชาวบ้าน 3 คนให้
มาช่วยกันสับหมูให้ท่าน บังเอิญทีกุฏิอึนมีกิจกรรม ชาวบ้านเหล่านั้นไปช่วยทีjกุฏินั้น ยังไม่เสร็จ แทนทีjท่านจะนึกว่าเมืjอชาวบ้านยังมาช่วยเราไม่ได้ เรา ก็สับไปพลางๆ หมู่ 5 กิโลก็คงค่อยเสร็จไปบ้างเหลือเพียง 4 กิโล 3 กิโล ถ้าเราสับไปเรื่อยๆ โดยไม่หยุด มันก็อาจเสร็จหมดทั้ง 5 กิโลก็ได้ โดยเราไม่ต้องเบียดเบียนแรงคนอื่นท่านไม่คิดอย่างนั้น เมื่อเห็นว่าชาวบ้านไปติดอยู่ที่กุฎิอื่น ท่านก็ตามไปตรงนั้น พร่ำบอกเจ้าของกุฏิว่าท่านสั่งเด็กทั้งสามคนไว้แล้วให้มาช่วยท่าน นี่หมูกมาคอยอยู่ กุฏิท่านแล้วถึง 5 กิโล พิรีพิไรพูดเป็นแผ่นเสียงตกร่องอยู่นั่นแหละ จนกระทั่ง คุณคนนั้นโกรธ เลยเกิดต่อล้อต่อเถียงทะเลาะกัน ก็แช่ค้างอยู่อย่างนั้นดิฉันนึก อย่างนี้นี่เองที่ท่านอาจารย์พร่ำสอนว่า ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เอาสติไว้กับใจ แล้วลงมือแก้ไข
ด้วยตัวเอง อะไรๆ ก็จะเป็นแก่นเป็นสาระขึ้นมาถ้าเราลงมือสับหมูเสียเอง เราทำเหตุจริงผลจริงย่อมเกิดขึ้นหมูทั้งก้อนก็แหลก งานก็เริ่มเดิน อย่างน้อยก็มีหมูบางส่วนที่สับเรียบร้อย แต่นี่ไม่อย่างนั้น เราปล่อยเวลาให้กินชีวิตไปเปล่าๆ ปัญหาเก่าก็ไม่แก้ไข แล้วยังไปก่อปัญหาใหม่ ไปทะเลาะกันในวัด ตกลงกายมาวัด แทนที่จะได้ความ สงบร่มเย็น ได้บุญจากการทำของใส่บาตร ใจกลับ หงุดหงิดขัดข้องไปหมด เหมือนตกนรก ประกอบ วจีกรรมไม่ดีทะเลาะกับเขาในวัดด้วย คิดดูเถอะ ได้ แต่ความทุกข์ติดมาเป็นกระบุงเลย
ครั้นแย่งชิงเอาคนมาได้แล้ว คนเหล่านั้นก็มา ช่วยท่านด้วยใจที่ไม่ปลอดโปร่ง เพราะรู้อยู่ว่างาน ทางโน้นยังไม่เสร็จเรียบร้อย มาทางนี้ก็ใช่ว่าจะได้ สับหมูอย่างสงบสบาย เพราะต้องร้อนหูฟังเสียงบ่น ต่อเป็นเรื่องยืดยาวไม่รู้จบ ตกลงเกิดความคับแค้น ใจ เป็นความทุกข์กันไปหมด ทุกคนเซ็ง เซ็ง เซ็ง ...ถ้าเราสามารถตักตวงความเซ็งในใจใส่กระป๋อง ไปวัดชั่งตวงได้ มันคงท่วมไปหมดทั่วโลกเลยเวลาไม่ตั้งใจให้ดี ไม่ตั้งสติเอาไว้ ทุกอย่างที่ กระทำล้วนแต่เป็นสาเหตุเติมความเซ็งให้เพิ่มมากขึ้นทั้งนั้น แล้วเราก็บ่นคนเราทุกวันนี่เป็นอะไรกันะถึงไม่มีคุณภาพ แต่เราลืมดูตัวเองว่า เราเองทุก วันนี่เป็นยังไงบ้าง เรืองดีอยู่แล้ว เราก็ไปเขีย คนให้พังระเนระนาดไปหมด เพราะความเอาแต่ ใจแต่อารมณ์ของเรา เอากิเลสในใจเราไปตั้งเป็น มาตรฐานเอาไว้ ถ้าใครไม่ตามใจกิเลสของเรา เรา ก็หงุดหงิดกับเขา
เห็นอย่างนี่แล้ว เมื่อจะบ่นว่าเซ็ง ให้นึกในใจว่าความจริงไม่มีตัวเซ็ง ถ้าปล่อยใจของเราให้เมฆ หมอกของความรู้ผิดมาปกคลุม จนสำคัญผิดเกิดเซ็งเราก็ขาดทุน เตือนตัวเองว่า เลี้ยวทางนี้ทีไร เราเจอหนามทุกท เอาสติควบคุมใจให้เลี้ยวไปทางตรง กันข้าม คือบอกตัวเองว่าเราไม่เซ็ง เกิดปัญหาอย่างนี้ก็ดี จะได้มีโอกาสฝึกสติลับปัญญาให้คมกล้า จนคุ้มตัวเองตลอดปลอดภัย ใจเราก็มีกำลังขึ้นแทนทีจะโวยวายคิดไปลงโทษคนโน้นคนนี้เราก็หยุดมองปัญหา แล้วแก้ปัญหา อีกหน่อยคนที่ เคยมีปัญหากับเราก็เกิดความเกรงใจ เพราะเราไม่ บ่น ไม่ว่าตามอารมณ์ เจอกัน เราก็ยิ้มแย้มแจ่มใสเปินเหตุเป็นผล ถ้าเขาไม่ใช่คนที่เหลือขอนัก อีกหน่อยเขาก็จะรู้ตัว รับผิดชอบในหน้าที ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเพราะจของทุกคนล้วนใฝ่ดีด้วยกัน ทั้งนั้น อยากปรองดองรักใคร่กัน ไม่มีใครหรอกทีอยากทะเลาะเบาะแว้งกันกิเลสพาให้เราคิดไปเองว่า คนโน้นคนนี่คิด ร้ายกับเรา คนนั้นเอาเปรียบ คนนั้นเห็นแก่ตัวความจริงเป็นเพราะเราทำให้เขาเกิดความรู้สึกว่าเราทำอะไรเนียบเฉียบไปหมด เขามาช่วยแล้วเดียว ไม่ถูกใจเรา ทำให้เรารำคาญขุ่นข้องหมองใจเปล่าๆหรือเขาทำไม่เป็น แต่ไม่กล้าบอกความจริงเพราะ เกรงความเก่งของเรา หรือเพราะกลัวตัวเองจะเสีย หน้า ก็เป็นได้ครั้งหนึ่ง มีคุณหมอจบใหม่มาเป็นแพทย์ฝึกหัดทุกคนบ่นกันระงมหมดว่า หมอคนนี่มหาโหด ถึงเวลาอยู่เวรก็ไม่เคยลงมาตรวจคนไข้ จะสั่งใบรักษาลงมาจากเตียงนอน ถ้าน้ำเกลือที่ให้ไว้โป่งกลางดึก
อย่าหวัง คุณหมอไม่เคยลงมาแทงใหม่ ทีนี้ถึงคราวที่คณหมอเวียนมาประจำ อยู่หอคนไข้ที่ดิฉันควบคุมอยู่ ดิฉันก็คอยจับสังเกตว่าทำไมถึงประพฤติอย่างนั้น ก็พบสาเหตุว่า สมัยที่เป็นนักเรียน ท่านคงโดดร่มเก่ง เพราะเป็นคนคล่องกิจกรรม ชมรมโน้น เป็นกรรมการชมรมนี้ หุ่นก็เท่ห์ คุณหมอเลยมีกิจกรรมนอกหลักสูตรเยอะแยะ เวลาที่ควรจะได้ฝึกได้ลงมือทำกับคนไข้จึงไม่มี เมื่อจบออกมาก็เลยทำไม่เป็น ที่ไม่ลงมาแทงน้ำเกลือก็เพราะแทงทีไรก็แทงไม่เข้าเส้นเลือด ถึงเวลาจะมา ดูคนไข้ก็ไม่กล้ามา เพราะมาแล้วก็ทําสิ่งที่ตัวเอง เขียนสังในใบรักษาไม่ได้ ก็เลยโดดร่ม ให้เพื่อนที่อยู่ด้วยกันเป็นคนรับหนัา เมื่อดิฉันรู้อย่างนี้แล้ว พอจะไปดูคนไข้ ดิฉันก็โทรศัพท์ตามคุณหมอให้มา พบ ครั้นคุณหมอมาถึง ก็ประกบตัวเลย เริ่มต้นดูคนไข้ตั้งแต่เตียงที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม บรรเลงเรื่อยไป เมื่อตรวจ ปากก็อธิบายให้คุณหมอเขียนคำสั่งลงในใบรักษา คนไข้คนนี้เราต้องเจาะปอด คุณหมอเขียน คำสั่งเจาะปอดค่ะ คุณหมอก็เขียนระหว่างนัน ดิฉันก็บอกคุณพยาบาล หนูจ๋า เอาคนไข้ไปเตรียมไว้ให้พร้อมเลยจัะ พอดูคนไข้ทั่ว ทั้งหอแล้ว ดิฉันก็ไม่ให้คุณหมอหลบฉาก สั่งหน้าตาเฉยว่า อยู่ช่วยกันเจาะปอดหน่อย พยาบาลเตรียม คนไข้ไว้เรียบร้อยแล้วคุณหมอก็เหงื่อหยด จะสารภาพต่อหน้า พยาบาลว่าตัวเองไม่เคยเจาะปอด ก็อายพยาบาลจะรู้ความลับ ดิฉันก็ทำไม่รู้ไม่ชี้พอเข้าไปในห้องให้การรักษา ก็เริ่มบรรเลง ทำเป็นพูดเองเออเอง ...หมอคะ เราจะเจาะตรงไหนดี เอาตรงช่องซี่โครงนี่ก็แล้วกันนะคะ ว่าแล้วก็บอกคุณพยาบาลให้ทายาฆ่าเชื่อ ตรงนี้ ตรงนี้ โดยนับไล่ช่องซีโครงไปดังๆ คือสอนวิธีเจาะปอดนั้นแหละ แต่ไม่ให้รู้ว่าสอน ถูกไหมคุณหมอก็กางหูฟังโดยไม่เสียความภาคภูมิดิฉันก็แทบจะจับมือคุณหมอให้จับเข็มอย่างนี้ เจาะเข้าไปตรงนี้ ผลที่สุดการเจาะปอดก็สำเร็จไปด้วยดี
หลังจากนั้น ทุกเช้า พอดิฉันโทรศัพท์ไปตามคุณหมอก็กระวีกระวาดมาดูคนไข้ด้วยกันเมื่อผ่านหนึ่งเดือนที่อยู่กับดิฉัน เปลี่ยนวิธีปฏิบัติตัวใหม่ มาดูคนไข้ของตัวทุกครั้งที่ถูกตาม มาให้น้ำเกลือก็มา เพราะอะไร เพราะเดี๋ยวนี้ทำการรักษาเหล่านั้นได้แล้ว
การสอนซึ่งหน้าหรือตำหนิตามตรงว่าซุย อะไรกันคุณจบเป็นหมอมาได้อย่างไรกัน รับรองไม่มีทางแก้ไขให้อะไรดีขึ้นมาได้ เพราะมันเชือดเฉือนหน้าผู้ฟัง จนกลายเป็นสพประมาทกันอย่างแรง ไหนๆ เขาก็เป็นหมอแล้ว ยังไงๆ เราก็ ต้องทำนุบำรุง ใส่ปุ๋ย พรวนดิน ให้เป็นหมอที่ดีสม กับปริญญาที่ได้มาให้จงได้ เราต้องเสาะหากรรมวิธี ที่เหมาะสม คือให้เขาสนใจ เปิดใจรับสิงที่สอน ไป ฝึกหัดตัวของตัวให้เกิดความชำนิชำนาญ ไม่ใช่ให้ เขาเสียหน้า เกิดความอับอาย แล้วเลยพาลโกรธ เพราะเห็นว่าเราเยาะเย้ย ยัดเยียดสอนสิ่งที่เขาน่าจะรู้มาก่อนแล้วเราจําเป็นต้องพยายามแก้ไขผู้ร่วมงานของ เราด้วยกรรมวิธีต่างๆ อย่าไปยึดตามแบบฉบับว่า คุณจบหมอมาได้อย่างไร คุณควรรู้ไอ้นี่แล้ว ทำไอ้นั่นเป็นแล้ว ...ทฤษฎีนั้นจะอ้าง จะพูดยังไงๆ ก็พูดกันได้ แต่ทางปฏิบัติกิเป็นอย่างนิ ความจริงทนโท่ฟ้องตัวเองอยู่ตรงนี่ อย่างนี่แล้ว เราควรทำอย่างไร นั่งยันกันด้วยทฤษฎี? ก็เถียงกันจนเซ็งมหาเซ็ง ดีไม่ดี เอาปืนยิงกันตายไปเลย แล้วก็ไม่มี ประโยชน์คุณค่าสาระอะไรงอกเงยขึ้นมาเพราะฉะนั้น แต่นี่ต่อไป เวลามีปัญหาอะไรอย่ากล่าวหาว่าใครถูกใครผิด ถ้าหาว่าใคร ถูกใครผิดแล้ว มันร้าวรานใจกัน ทุกคนจะบอกว่าฉันถูก เพราะเวลาทำลงไป แต่ละคนทำไปด้วยความบริสุทธิ์ใจว่าถูกอย่างนั้นจริงๆ ไม่ใช่แกล้ง ครั้นเหตุผล ความจริงประจักใษออกมา เป็นอีกอย่างหนึ่ง ถ้าเรายังไปย้ำ ยืนยันว่าใครถูกใครผิดอีก มันเกิดการเสียหน้า และยอมลงให้กันไม่ได้ แต่ถ้าเราพูดเสียว่า ...เอ มันมีปัญหาขึ้นมาอย่างนี้นะ จะทำอย่างไรดี ช่วยกันคิดซิว่าเราจะแก้ไขได้ยังไง ก็ไม่ต้องมี คนถูกคนผิดทุกคนกระฉับกระเฉงร่วมใจกัน เพราะรู้อยู่ ว่าตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต เหมือนอยู่ในเรือลำ เดียวกัน แต่ละคนก็ไม่อยากให้เรือไปชนหินโสโครกจนท้องเรือทะลุ แต่ความเป็นจริง เรือเกิดรัวขึ้นมา
แล้ว ใครมีฝีมือ ใครมีปัญญา ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ทุกคนก็เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ช่วยกันตาม ความสามารถของตน แก้ปัญหาทีละปัญหา อย่าไปเพิ่มปัญหาขึ้นไปอีกก็แล้วกัน มันจะแย่ เมื่อฝึกวิธีคิด วิธีปฏิบัติตัวอย่างนี่แล้ว เราจะพบว่าอะไรคล่องตัวขึ้นเยอะ สิ่งที่แต่ก่อนเคยคิดระแวงว่า ไอ้คนนั้นก็ใจจืดใจดำ คนนกรูมาก เอา เปรียบ จะเปลี่ยนไป เกิดความเข้าใจตามเหตุปัจจัย ทำให้ใจกลมเกลียวกัน คุยกัน พูดกันได้อย่างสนิทใจไม่รู้สึกเป็นการเสียหน้าถ้าจะปรึกษาหารือกันเมื่อเรา ไม่แน่ใจหรือมีสิ่งผิดพลาดที่เคยระแวงไปว่า นี่เขากำลังจับตาดูเราอยู่นะ ถ้าทำไม่สำเร็จหรือพลาดพลังลงไป เขาจะหัวเราะ เยาะว่าเราไม่เข้าท่า ก็หมดไป เพราะรู้ตามเป็น จริงว่าทุกคนเห็นใจซึ่งกันและกัน คิดช่วยเหลือเกื้อกูลกันทั้งนั้น
ให้แต่ละคนค่อยประพฤติอย่างนี้ดู คืออยู่กับปัจจุบัน อะไรเกิดขึ้นยอมรับตามความจริง เรื่องแล้วไปแล้วให้แล้วกันไป ตั้งต้นใหม่ อย่าเอามาเป็นอารมณ์ อย่าฝังใจจำ แล้วเอามาพิรีพิไรบ่นเป็นแผ่นเสียงตกร่องทุกครั้งที่ไม่ได้ดังใจ ... คราวก่อนก็คุณที่เดียวที่ทำให้มีปัญหา คราวนี้ก็อีกแล้ว... ถ้าคอยบ่นอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ ก็เหมือนเราทำแก้วร้าว แล้วแทนที่จะระมัดระวัง กลับเผลอทุบชำแล้วซ้ำอีก ในที่สุดแก้วก็แตกประสานกันไม่ได้ถ้าปล่อยของแล้วไปแล้วให้หมดไป จบไปเหมือนนกเกาะอยู่บนกิงไม้ พอบินไปแล้ว ก็ไม่เหลือ รอยอะไรไว้ เรามาตั้งต้นกันใหม่ สาระมันอยู่ทตรงนี้ เดี๋ยวนี้ปัจจุบันนี้ใจเราจะกลมเกลียวกับธรรมชาติและโลก อะไรเกิดขึ้น อย่ามุ่งหาว่าใครถูกใครผิด ทุกอยางพลาด กันได้ ผิดกันได้ คนเราเรียนรู้จากความผิดพลาดแล้วจึงฉลาดรอบคอบขึ้นโดยลำดับ แม้พระพุทธองค์ ก่อนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็เคยผิดอย่างเรา เรามาแล้ว เรียนรู้จากความผิดเหมือนพวกเรา แต่ท่านเด็ดเดี่ยวกว่าเรายิ่งนักอะไรที่ท่านรู้ว่าท่านผิดท่านไม่ขาดสติ เผลอให้ผิดซ้ำอีกท่านอาจารย์ท่านสําทับว่า พวกเราเป็นโรค ความจำเสื่อม ตอนทำผิดก็บอกว่าแค้นใจเหลือเกินคราวนี้จะไม่ให้ผิดซ้ำอีก แต่บางทียังไม่พ้นวันนี้เลยก็ทำผิดอย่างนี้ซ้ำอีกแล้ว ทำเสร็จแล้วก็ …..ช่างเถอะ...ของมันผิดกันได้ ท่านบอกว่า เราเป็นกันอย่างนี้
ถึงได้มีเรื่องกันไม่รู้จักจบจักสิ้นได้หลักใจอย่างนี้ แล้วลงมือปฏิบัติกันจริงจังถ้าอะไรมากระทบ จะเผลอสติเกิดเป็นอารมณ์ขึ้นมา รีบใส่ห้ามล้อไว้ ไม่เอา แต่นี้ต่อไปเราเลิกเจ้าอารมณ์แล้ว เรามีเหตุมีผล เราจะทําตามเหตุผลเท่านั้นทุกอย่างก็จะค่อยดีขึ้นตามลำดับ มีผลให้เราประจักษ์เกิดความชื่นใจ เหมือนกับคุณหมอที่เล่าถึงเมื่อครู่นี้ผลที่สุดท่านก็เป็นหมอที่ดีได้ เพราะท่านยอมฝึกฝน ตนเอง จนรู้หน้าที่ความรับผิดชอบ ทำอะไรๆ เป็นเหมาะสมถูกต้องกาลเทศะคนเราถ้าไม่เริมต้นฝึกตัวของตัว เพราะกลัวการทําผิด ก็ไม่มีวันที่จะทำอะไรได้เลย และถึงแม้ ไม่ทำอะไรก็ผิดอยู่ตลอดเวลา อย่าเข้าใจผิดว่า ถ้า เราไม่ทำการไม่ทำอะไรคือการไม่มีผิด การไม่ทำนี้เองคือความผิด ผิดเพราะบกพร่องต่อหน้าที่ ความ
รับผิดชอบเมื่อเริ่มหัดทำอะไรๆ โดยเตรียมใจไว้แล้วว่าผิดเป็นครู ทุกอย่างก็ง่ายไปหมด  เมื่อทำผิดหนึ่งครั้งเป็นครูแล้ว คราวนี่ก็คล่องตัว พอจะผิดใหม่ เกิดความระมัดระวัง รอบคอบ อีกหน่อยก็ไม่มีผิด เพราะเรารู้แล้ว พออะไรทำท่าไม่ชอบมาพากล เราจะมีสติ คอยจับสังเกตโดยใกล้ชิด ทำให้สามารถป้องกันเหตุได้ก่อนความผิดพลาดจะเกิดขึ้น ของเราก็ราบรื่นขึ้นโดยลำดับไม่ใช่แต่งานเท่านั้น ชีวิตส่วนตัวก็เหมือนกัน เพราะกับคนใกล้ชิด เรามักขาดสติ วู่วามง่ายลูก ไม่ทำตามที่เราบอกหน่อย เริมหงุดหงิด บ่นไม่รู้จักจบ คู่ครองขัดใจหน่อย น้ำหูน้ำตาร่วง เขาพูดอะไร ไม่ได้ยินเหตุผลแล้ว มันก็เลยเพิ่มความเซ็งขึ้นไปอีก เพราะงานก็เซ็ง ไม่รู้จะหันไปทางไหนดี อีกหน่อยอยู่ไม่ไหวแล้ว โลกนี่บีบคันเหลือทน แต่ถ้าฝึกตัวฝึกใจอย่างที่พูดกันมาแล้วที่ทำงานก็ยิ้มแย้มแจ่มใสเข้าหากัน ที่บ้านก็ดี อะไรๆ ดีไปหมด

ถ้าใจของเราดีเสียอย่างหนึงแล้ว อะไรๆ ใน โลกก็ดีกับเราไปหมด เพราะโลกคือเงาสะท้อนของ ใจเราเอง เมือไหร่เห็นอะไรคับเครียดแล้ว เราบ่น เซ็ง ให้รีบหยุดบ่น เพ่งมองดูว่า ...อ๊อ ใจของเรา เอง กําลังร้ายเหมือนทะเลบ้า พลังเงาสะท้อนจึงไม่น่าดูอย่างนี้ เราจะได้ดีขึ้น สามารถรักษาใจให้ เยือกเย็น ให้สนุก เป็นสุข ทีนี่เซ็งก็จะหายไปจากชีวิต
คําถาม ที่คุณหมอพูดว่า “กับคนใกล้ชิดนี่เรารู่วาม
ได้ง่าย” ทําไมจึงเป็นเช่นนั้น
ตอบ เพราะใจของเราไม่ได้เพิ่งมาพบปะกับคน ใกล้ชิดเหล่านั้นในปัจจุบันนี้เท่านั้น อ้า เชื่อคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ท่านตรัสไว้ ว่า ใจเป็นอมตธาตุ มันเกิดมันตายไม่เป็น แต่ตราบเท่าที่กิเลสยังไม่สิ้น เมื่อร่างกาย เกิดเหตุเสื่อมสลายไป เหมือนบ้านเรือน อยู่ อาศัยนานๆ ไปมันก็ผุพัง ถ้ากิเลสที่อยู่ ในใจ ทั้งความรักความชังยังไม่ดับสิ้นไปกิเลสเหล่านั้นก็ดิ้นรนแสวงหาเครืองมือคือ ตา หู จมูก ลิน กายสัมผัส เพื่อใช้ติดต่อ สื่อสาร ให้ไปสัมพันธ์กับผู้ที่เรายังฝังใจจดจำอยู่ ก็เลยเรียกกันว่า สิ่งมีชีวิตจดจำอยู่ แต่ความจริง ใจเป็น นักเดินทางมาราธอน ประเดียวก็เดินทาง ไปพักโรงแรมนั้นนิดหนึง เบื่อแลออกเดินทางต่อไป อยู่โรงแรมนี่หน่อยหนึ่งโรงแรมก็คือร่างกาย ซึ่งเป็นเครื่องมือเครื่องอาศัยของใจ ซึ่งเป็นใจตัวเดิมนั่นเอง ครั้นไปเจอกับคู่ปรับเก่าเข้า ใจที่เคยเป็นอารมณ์ ไม่ได้ดังใจ ยึด ผูกเจ็บเอาไว้ว่า...เขาน่าจะรู้ใจเรา... ก็ได้เชื่อเติมเข้าไปอีกบางทีคนอนพูดถ้อยคำเหมือนกับที่เขาพูด เราเฉย หรือข้าด้วยซ้าไป นึกว่า บ้าดีแท้แล้วก็เลิกสนใจ แต่ถ้าคนใกล้ชิดพูดเท่านั้น ออกจากปากเขาเท่านั้น ใจเรากระเพื่อมเป็นทะเลบ้า หล่นตุ๊บไปจากเหตุจากผลเลยคราวนี้เราตามดูใจของเรา คอยเตือนตัวเองว่า เรื่องอะไรต้องเกิดอารมณ์
เราก็รู้ว่าเขาพูดอย่างนีทุกที แล้วเราก็รู้ ด้วยว่าตัวเราหงุดหงิดอย่างนี้ทุกทีเหมือนกันแล้วทำไมเราจึงเอาสติไปดักไว้ที่คำพูดของ เขา ทำไมไม่เอามาดักไว้ที่ใจของเรา ถ้า เรามีสติรอบคอบอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงสอน เราต้องดักใจเราเอาไว้ ครั้งนี้ต้องไม่เผลอโกรธเป็นอันขาดตรงนี้แหละคือการปฏิบัติธรรม เราปฏิบัติเพื่อตามดูใจของตัวเอง แล้วสร้างภูมิคุ้มกันให้ใจตัวเองรอดพ้นจากการเป็นโรคติดเชื่อ โกรธ โลภ หลง ที่ผู้ใกล้ชิด
ก่อกวน กระเซ็นแพร่เชื่อมาให้ จนเป็นเรื้อรัง รักษาไม่หาย หมดหนทางเยียวยา ก่อกรรมก่อเวรเป็นสายโซ่ผูกมัดพันธนาการจนดินไม่รอดอาจารย์อย่าท้อใจ เสียกําลังใจนะคะทุกคนเป็นอย่างอาจารย์ทั้งนั้น แม้พระ
พุทธเจ้าก็ติดอยู่ตรงจุดนี้เหมือนเราเหมือนกัน โปรดนึกถึงชีวประวัติของท่าน เมื่อวันเพ็ญ เดือน 6 ที่ท่านจะตรัสรู้ พอประทับ บนบัลลังก็หญ้าคา ปลงจิตอธิษฐานว่า ถ้าวันนี้ท่านไม่ตรัสรู้ ไม่สามารถตัดกิเลสให้ หมดไปจากพระทัยได้ ท่านก็จะไม่ลุกจาก กายจะแตกดับ เป็นอย่างไรก็ตาม ท่านอธิษฐานเปินเดิมพันอย่างนี้
พอนังสมาธิไป อะไรเกิดขึ้นในพระ ทัยท่าน สัญญาเก่าๆ พาวนเข้าไปทีคน ใกล้ชิด ไปถึงพระนางพิมพา ไปถึงพระราหุล ไปถึงพระราชบิดา เกิดเป็นอารมณ์ปันป่วนขึ้นในใจ ไปคิดถึงเขาเอง อาลัยอาวรณ์ว่าเขาจะเป็นอย่างไร อวิชชาอุปาทานที่ เปรียบเหมือนยางที่ขั้วใบ ยึดใบไม้ให้ติดอย่กับกิ่งกับลำต้น กล่าวคือยางของภพชาติ ที่ยึดใจคนเราไว้กับสังสาระ ถ้าเราตัดได้สําเร็จเมื่อไหร่ เราก็บรมสุขอย่างพระ
พุทธเจ้าและพระอรหันตสาวก อย่าไปท้อหรือใจหรือสังสัยว่า มันยังไงกันนี่ ปฏิบัติมาดีจนถึงขั้นนี้แล้ว ทําไมตกม้าตายกับคนใกล้ชิดทุกที่ดิฉันก็เหมือนกัน รู้อยู่ว่าแม่รักเรา หวังดีกับเรา ตั้งในใจว่าจะประพฤติตนเป็นคนดี แต่นี้ต่อไปจะไม่เถียงแม่ ได้คิดอย่างนี้ตอนไปเรียนหนังสือที่เมืองนอก เปล่า หรอกค่ะ พอกลับมาเท่านั้นแหละ อย่างที่อาจารย์เล่าไม่มีผิด พอแม่พูด เราสติหลุด ยิงปืนกลออกไปหมดตับอย่างเคยเลย แล้วก็พายเรือวนอยู่ในอ่าง ทำเสร็จแล้วจึงได้คิดทุกที พอมาปฏิบัติ ก็ได้คิดจริงจังเป็น
ครั้งที่สอง เอาละนะ สติจะให้เข้มแข็ง ก็ อยู่ได้นานวันหน่อย แล้วก็เผลอตกม้าตายอีกจนได้ คนเราเป็นอย่างนี่เอง เอา ใจไปยึดไว้กับความชอบ ไม่ชอบ ความผูกพันที่มีต่อกัน เหมือนกาวชั้นดี เอาไป
ล้าง ไปตากยังไงๆ ก็ไม่ยอมร่อนหลุดไป สักที เผลอสติเมือไร ก็ไปยึดกันอีกแล้ว
ดิฉันก็ถือเป็นแบบฝึกหัด ตกม้าตาย ทีหนึงก็พากเพียรยิ่งขึ้นไปอีก เจริญสติให้มากขึ้นเพราะมันเป็นเครื่องวัดให้เรารู้ว่าสติยังคุ้มตัวไม่รอด
คำถาม ความเซ็งมันอยู่ทีตัวปัญหา หรือความหนักเบาของปัญหาหรือเปล่า
ตอบ มันไม่ได้อยู่ที่ปัญหาหรือสิ่งแวดล้อมภาย นอก มันมาจากในใจของเรา ถ้าเราเอาสติจดจ่อไว้ที่ใจว่า เราจะไม่เซ็ง มันก็ดีขึ้นพอ แรง แต่ถ้าเราไปนึกว่า โอ๊ย ...ทําไมปัญหาถึงสลับซับซ้อนอย่างนี้ ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก ใครจะไป ทนทานไหว ถ้าคิดอย่างนี่ ใจของเราหักไปเลย รูสึกเรี่ยวแรงหมดเกลี้ยง จะคิดแก้ปัญหาก็แก้ไม่ออก เพราะใจท้อ ใจไม่รู้เสียแล้ว
ให้เอาสติคอยเตือนใจตัวเองว่าใจ ของเรา ถ้าเราคอยรั่งเอาไว้ไม่ให้หมดกำลัง ไม่ให้เซ็ง อะไร อะไร อะไร มันก็ยังไปไหวทั่งนั้น เพราะทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ และใจคนปกติธรรมดาย่อมมีความนึกคิดอยู่เสมอความนึกคิดนี้เหมือนคนกำลังออกประตูไป จะเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา ก็ได้ ถ้าอะไรที่เคยคิดโดยอัตโนมัติ เป็นเลี่ยวซ้าย ทำให้เราเซ็ง คราวนี้อย่าคิดฝึกฝนตัวเองให้เลี่ยวขวา คือพยายามหัด คิดในทางตรงกันข้ามสิงที่เคยคิดโดยอัตโนมัติเป็นมิจฉาทิฐิเป็นสมุทัยก่อทุกข์ ทำให้เซ็ง เราก็ตั้งสติหาแยบคายอุบายสอนใจหล่อเลี้ยงใจให้เกิดกำลัง เป็นสัมมาทิฐ เป็นมรรค หนทางให้ ใจถึงความราบรีนตลอดปลอดภัย ห่างไกล จากความเซ็ง
คำถาม เวลาเกิดอะไรขึ้น เรารู้ตัวเองกำลังโกรธแล้วประเดียวเดียวกลับเซ็ง มันเกี่ยวข้อง กันยังไงคะ
ตอบ  เวลาทียังมีเรี่ยวแรง อะไรไม่เป็นดั่งใจ เรา โกรธ นี่แสดงว่าใจยังสู้อยู่ ธรรมชาติจิตใจ คนเรา เมื่อเกิดปัญหา จะมีปฏิกิริยาคิดสู้ หรือถอย ตอนที่โกรธนั้น ตัวตนยังใหญ่อยู่ เราเชือกําลังตัวเองว่าสามารถพังปัญหา จนทะลุไปได้ แต่ครันเวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง ใจเริ่มเหนื่อย เซ็ง ไม่เห็นทิศทาง เพราะสติล้าหลุดไปทำให้เกิดความไม่แน่ใจ ตื่นกลัวเงาของใจตัวเอง เกิดลังเลว่าจะสู้ หรือถอยดีความเซ็งเป็นรอยตะเข็บ ก่อนยอมแพ้ ซึมเศ้รา หดหู่ ตื่นกลัว ท้อแท้ไป เลย เหมือนคนบางคนมีอาการโรคจิตชั่วขณะ เพราะความตกใจ ผิดหวังตั้งสติไม่ทันทำอะไรไม่ถูก ตัวสั่นมือไม้สั่นหมด คิดอะไรไม่ออกความเช็งเป็นเหมือนจุดเชื่อมต่อระหวางสู้กับถอย คือใจเริ่มเปลี่ยด้วยรสชาติของความทุกข์ และเริมท้อว่าตัวเอง ไม่มีสติปัญญาคุ้มตัวให้รอดจากทุกข์อันนี้สัญชาตญาณของความรักตัวกริงเกรงว่านี่เราจะจนตรอก เราจะอับจนกันครั้งนี้ หรือ ใจเลยเซ็งพระพุทธองค์ทรงแสดงให้เห็นแล้วว่า ใจของเราทุกคน ทุกคน เป็นพุทธะด้วยกัน ทั้งนั้น สติปัญญาที่จะใช้แก้ปัญหามีด้วยกัน ทุกคน ท่านตรัสไว้แล้วว่า พุทธะนี้มีความ สามารถตัดกิเลสทุกตัวให้ขาดหมดไปจาก ใจได้เช่นเดียวกับที่พระพุทธองค์และพระ อรหันตสาวกท่านตัดสำเร็จมาแล้ว
ถ้าเราเพียรจนถึงจุดที่ผลบังเกิดขึ้น ใจเราจะเป็นขุมพลังที่มีคุณค่ามหาศาล เป็นพลังชั้นดีหนึ่ง เยี่ยมสุดยอด
เราจะได้เกิดความเชื่อความมั่นใน ตัวเอง จะได้ไม่ถอย ไม่เซ็ง ถ้าตั้งสติได้ มีความมั่นใจในตัวเอง เราไม่เซ็งหรอก ลองถามคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสิคะเขาไม่รู้จักความเซ็งหรอก แต่ถ้าเมือไร เกิดตกใจตีนเงาตัวเองเท่านั้นแหละ เซ็งและเมื่อเซ็งแล้ว คราวนี่กำลังใจหมดเกลี้ยงเลยเหมือนน้ำเซาะตลิ่งทราย ตลิ่งพัง ทุกอย่างราบเรียบ ไม่มีอะไรเหลือ ทั้งที่ปัญญามีอยู่ ปัญหาก็ไม่ยากไม่ เย็น แต่ใจจะยืนกรานอยู่อย่างเดียวว่า ท่าไม่ได้ทำไม่ได้ทำไม่ได้ เพราะเมฆหมอก ของความตกใจ ตื่นกลัว ลังเล สงสัย กาง กันแสงของพุทธะ คือสติสัมปชัญญะ ปัญญา จนมืดมิด หาทางออกไม่พบของดีมีอยู่กิเป็นหมัน หมดคุณคาราคา เอาตนเป็นที่พึงแห่งตนไม่ได้เราเป็นลูกพระพุทธเจ้า ฝึกสติเป็น ทำนบเป็นเขื่อนกันตลิงทรายเอาไว้ อย่าให้ความเซ็งกล้ำกรายเข้ามาในใจได้เป็นอันขาดชีวิตของเราจะได้ตลอดปลอดภัยอยู่ในมรรค


พิมพ์โดย       ปภัสสร   มีพงษ์
แหล่งที่มา      http://web.krisdika.go.th/buddha/16_kaseng.pdf

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Back To Top