เรากับสังคมเสื่อมทราม
ชื่อผู้เขียน พญ อมรา มลิลา
วันที่ วันที่ 10 พฤศจิกายน 2436
ณ ห้องประขุมวิทยาศาสตร์สุขภาพ คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น
อันดับที่
หมวด
ท่านอาจารย์และท่านนักศึกษาหัวข้อเรื่องที่จะปรารภสู่กันฟังในเช้านี้ศึอ วิธี การปฎิบัติตัวของเราในสังคมที่เสื่อม เมื่อพูดถึง สังคมที่เสื่อม เราก็มาหาคำนิยามกันก่อนว่าลักษณะ ของความเสื่อมนี้พอจะแยกแยะเป็นอย่างไรได้บาง
เราก็ทราบแล้วว่า ถ้าเมื่อไรมีผู้คนอยู่รวมกัน มากกว่า 2 คน เราก็เรียกองคประกอบนั้นว่า สังคม เพราะฉะนั้น สังคมก็ศึอตัวเรานั่นเองถ้าจะโทษว่าโลกทุกวันนี้สังคมทุกวันนี้ ไม่ดีเสื่อมเราจะย้ายไปอยู่ที่ไหนกันดีความจริงแล้วเราก็ว่าตัวของเรานั่นแหละเพราะเราคือส่วนของสังคมเมื่อเหนอย่างนี้แล้วก็มาดูว่าลักษณะของความเสื่อมความขาดแคลน ความบกพร่อง จะแยก แยะออกไปได้อย่างไรบ้าง
ความเสื่อมเริ่มด้นด้วยการแร้นแคนในวัตถุปัจจัย 4 ซึ่งได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรคสิ่งของ 9 อย่างนี้ จัดเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานของ ชีวิต จะโลภหรือไม่ สรีระร่างกายคนเราต้องอิงอาศัย สิ่งเหล่านี้ เพราะฉะนั้น เมื่อเกิดความขาดแคลนลง ไปถึงระดับพื้นฐานแล้ว ต่อให้เรามีจิตใจดี มีอุดมคติ อย่างไรๆ ความบีบบังคับของร่างกาย ของความมี ชีวิต ย่อมทำให้เกิดวิปริตแปรปรวนไป
ถ้าเราตกไปอยู่ในสังคมเช่นนั้น ความปลอดภัย ความอบอุ่นทั้งหลายก็หมดไป มันก็ทำให้เราไม่รู้แล้ว ว่า นี่เราอยู่ภับคนหรืออยู่ภับสัตว์ หรืออยู่ภับอะไร อยู่ๆ กันไป เราก็อาจจะประสบภาวะอย่างนั้นได้ เหมือนมีครอบครัวหนึ่ง ลูกชายสุดท้องไปคบเพื่อนผิดเข้าทั้งที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย แต่ แทนที่จะตั้งใจเล่าเรียน ก็คอยว่าบ้านญาติพื่น้อง ใครเผอเรอเป็นพากันไปขโมยทีวี ข้าวของ ด้เย็น โดยเซ่าแท็กซี่ไปกันเวลาไม่มีคนอยู่บ้าน แล้วก็ขน ข้าวของออกมาจนหมด เอาไปขายได้เงินมาแล้วก็ใซ่ ว่าจะไปแสวงหาปัจจัย 4 แต่เพราะจิตใจมีดบอดไม่ รู้เห็นทางที่ถูก เอาข้าวของเทลำนั้นไปขายเป็นเงินทองมาเล่นการพนันกัน มากินเหล้าเมายากันต่อมา ไม่มีข้าวของที่จะขโมยได้ พี่สาวนอนหลับอยู่ ก็ มารูดแหวนจากนิ้ว เอาไปขายจิตใจที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี มันขาดแคลนไปเสียหมดทำให้ความปลอดภัยในการอยู่ร่วมกัน พลอยหมดไปต่อไปก็ไม่มีความไว้วางใจกันในหมู่คนที่อยู่ด้วยกัน จะเป็นครูอาจารย์ก็ไม่ไว้ใจ เป็นพ่อ แม่พี่น้องเพื่อนฝูงก็ไม่ศรัทธา ไม่เชื่อฟังเพราะเอาตัวของตัวเองมาเป็นมาตรกัด ทำให้ขาดแคลนศรัทธา ความเคารพเชื่อฟัง ใจกันนิ้ก็มีแต่ความหวาดระแวง ต่อไปบุคคลที่จะเป็นตัวอย่าง เป็นปูชนียบุคคล ก็ไม่มีเหลือให้ได้เห็น ได้รู้จัก พอเราไปอ่านถึงคุณ งามความดีของใคร ถึงบุคคลที่แต่ก่อนนั้นเป็นบุคคล ตัวอย่างให้อนุชนน้อมมาเป็นกำลังใจ เหนี่ยวนำให้ อยากทำคุณงามความดี เราก็นึกไม่ออก ไม่เคยเห็น ไม่เกิดความเชื่อ ใจค้านว่า ที่ตำราเขียนไว้คงผิดเสีย แล้วคนอย่างนิ้ไม่มีหรอก มีที่ไหนกัน ที่เราเห็นๆ อยู่เดี๋ยวนี้นี่ไม่เคยเจอะไม่เคยเจอก็เลยสรุปเอาตามที่กิเลสในใจเราพาให้เห็นไปว่า คนอย่างนิ้ไม่มี แล้วในโลก ชีวิตของเราก็ยิ่งลดระดับลง เพราะเราไม่ขวนขวายเอาศักยภาพที่ดีงามของเราให้ปรากฏ ออกมาเป็นประโยชน์กับสังคม จิตใจของเราเลย กลายเป็นจิตใจที่ระสาระสาย หวาดวิตก กังวล ไม่มี ความอบอุ่นใจ ไม่มีความเชื่อเลื่อมใสในคุณงามความ ดีชีวิตของคนเราประกอบไปด้วยร่างกายซึ่งต้อง อิงอาศัยวัตถุ กับจิตใจซึ่งอาศัยความเชื่อมั่นศรัทธา ความอบอุ่นใจ ความรัก ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน เป็นอาหารเกื้อกูลให้เกดความผาสุกเป็นปกดี หรือ อีกนัยหนึ่ง มีสุขภาพใจแข็งแรง ถ้าวิเคราะห์กันแล้ว จะพบว่า เรื่องของจิตใจเป็นใหญ่สำหรับมนุษย์และสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย เพราะเป็นตัวกำหนด เป็นแรง เหนี่ยวนำให้พฤติกรรมต่าง ๆ เกิดขึ้นเพราะฉะนั้น วัตถุประสงค์ของการศึกษาจึงไม่ได้มุ่งจะให้นักศึกษาได้แต่ ใบเบิกทาง ออกไปเพราะอะไรดีฉันจึงเรียก ใบเบิกทาง ก็เพราะ ว่านักศึกษาเข้ามาเรียนก็หวังที่จะได้ปริญญาบัตร ออกไปบางคนก็ดีดต่อไปว่า ด้องได้เกียรตินิยมเพื่อว่าเงินเดือนจะได้เพิ่มขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง เพราะ เราเป็นนักวัตถุนิยม ใบอะไรๆ ที่จะเบิกทางให้ได้
เป็นรูปธรรมขึ้นมา เราจะต้องไขว่คว้าหามาให้จงได้ แต่ลืมไตร่ตรองให้รอบคอบว่า กรรมวิธีที่จะไขว่คว้า ให้ไต้มานั้น ทำไห้เราภูมิใจในตัวเอง เกิดความเชื่อ มั่นในตัวเอง ไจเกิดความสงบผาสุกหรือเปล่า
จุดนี้คือจดตั้งต้นของสังคมที่สับสน วุ่นวาย แต้วค่อยแปรเป็นความเสื่อม เพราะใจที่ไม่เป็นสุข นั้นพร่อง ก็ทำให้อะไรๆ รอบข้างพลอยขาดแคลนไป ด้วย เหมือนสมัยนี้มีคำเปรียบเปรยว่า จริงๆ แล้ว เราไม่ได้ยากจนกันถึงขั้นที่ขาดแคลนปัจจัย 4 หรอก แต่เรา อยาก จน เพราะความโลภมากในใจ ทำให้ ปัจจ้ย 4 ที่มีเท่าไหร่ เท่าไหร่ เท่าไหร่ ก็ไม่เพียง พอ เรายังร้องว่า เราจน เราขาดแคลน
เหมือนเราตั้งมาตรฐานเอาไว้ว่า เมื่อจบออก ไปเป็นหมอแต้ว ถ้าไม่มีรถยนต์ขี่กิรู้สีกว่าหน้าแตก ปัจจัย 4 ของเรากิมืรถยนต์เพิ่มเข้าไป ถ้าขาดรถ ยนต์อยู่ไม่ไต้ ต่อไปรถยนต์ธรรมดาๆ ก็ไม่ได้เสียแล้ว ต้องมียี่ห้อ ความทะยานอยากทำให้ใจนั้นไม่มีคำว่า อิ่ม ว่าพอ มันค่อยๆ มากออกไปไม่รู้จบ
สมัยดิฉันเป็นนักเรียน ไม่เคยมีความคิดจะกล้า เข้าไปถามครูว่า ทำไมท่านถึงมาเป็นครู หรืออะไร
ทำนองนี้ แต่เมื่อดิฉันมาทำงานที่คณะวิทยาศาสตร์ มหิดล ลูกศิษย์รุ่นแรกมาขอนัดพบเป็นการส่วนตัว ว่ามีข้อสงสัยอยากถาม ดิฉันก็นึกว่าเรื่องการเรียน ปรากฏเขาถามว่า อาจารย์ก็มีบอร์ดเป็นผู้เชี่ยวชาญ ทางเด็ก ทำไมไม่ไปอยู่โรงพยาบาล หรือทำคลีนิค เป็นกุมารแพทย์ มาสอนทำไมวิชาสรีรวิทยาซึ่งเป็น ปรีคีลนิคดิฉันย้อนถามเขาว่า ทำไมล่ะ สรีรวิทยาเป็น รากฐานที่จะให้เราเข้าใจเรื่องของชีวิต ตลอดถึงการ ทำงานของร่างกาย เมื่อเราเข้าใจว่าร่างกายปกดิทำ งานอย่างไรแล้ว เวลาที่คนไข้เจ็บไข้ได้ป่วย เราก็จะ ได้เข้าใจถึงพยาธิสภาพของสรีระร่างกายคนไข้ได้ ทำให้สามารถรักษาคนไข้ได้อย่างถูกต้อง ไม่ใช่เห็น คนไข้เป็นกระป้องที่จะเทสารพัดยาเข้าไปเขาอรรถาธิบายว่า ไม่ใช่อย่างนั้น อาจารย์มา อยู่ปรีคลีนิคนี่ก็ทำร้านไม่ได้ แล้วหากอาจารย์อยาก มีบ้านตากอากาศที่พัทยา ที่หัวหิน อาจารย์จะเอา สตางค์ที่ไหนไปชื้อ หรือถ้าอยากชี่รถยนค์มียี่ห้อ หน่อยก็ขี่ไม่ได้ ต้องชี่รถปีอกแป้ก แล้วก็เก่าคร่ำคร่า อีกต่างหาก อยากเปลี่ยนรถทุกปีก็ทำไม่ได้เดี๋ยวนี้ลูกศิษย์ก้าวหน้าไปถึงอย่างนี้แล้ว ดิฉัน เลยงงกับความคิดของเขา ถามต่อไปว่า แล้วรถป็อกแป๊กที่ครูขี่อยู่นี่ มันทำให้ครูไม่ไปถึงที่หมายหรือมันก็ถึงอยู่หรอก.. แต่อาจารย์.. มันเจ็บใจ คน อื่นเขาไม่ได้เก่งเท่าอาจารย์ แต่สามารถขี่โรลส์รอยซ์ ขี่เบนซ์มาเย้ยเราน่ะ
ใใจที่ไม่มีหลักภายในของเราเอง บังคับขับไส เราให้วิ่งตามค่านิยม ถ้าค่านิยมขณะนั้นดีงามเที่ยง ธรรม เราก็รอดตัวเป็นคนดีไป แต่ถ้าค่านิยมฟุ้งเฟ้อเป็นสังคมเองคน อยากจน มันก็พาไห้เราต้องวิ่งไล่ ตะครุบเงาจนกระทั่งหัวใจวาย เพราะมีแล้วก็ไม่พอ ต้องมีเพิ่มขึ้นไปอีก ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวหน้าแตก เพราะฉะนั้น สังคมที่เสื่อม จึงเสื่อมได้ 2 แบบ คือ แบบหนึ่งนั้นเสื่อมจริง ๆ จากความขัดสนยากแค้น ขาดแคลน แต่อีกแบบหนึ่งนี่ กิเลสในใจของเรา ความอยากที่ใม่มีที่สิ้นสุด ทำให้มีเท่าไหร่..เท่าไหร่ ..เท่าไหร่..เท่าไหร่.. ก็ว่ามันยังขาดแคลนไปเสียทุก อย่างหมดเราก็มาสำรวจที่ใจเราก่อนว่า สังคมที่ว่าเสื่อม นี้ มันเสื่อมจริง หรือใจเราทำให้เห็นไปว่ามันเสื่อมเมื่อแยกได้ชัดเจนแล้ว เราจะได้ปฏิบติตัวให้ถูกด้อง ถ้าเสื่อมจริงตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน กล่าวคือมีความ แร้นแค้น ขาดปัจจัย 4 ที่จะเกื้อกูลชีวิตให้อยู่เป็นสุข ตามสมควร เราในฐานะที่พอมีอยู่ จะทำตัวอย่างไร ถ้าใจของเราคับแคบ มีความเห็นแก่ตัวว่า เมื่อ สภาพสังคมขาดแคลนอย่างนี้ เราจำต้องเก็บงำเอาไว้เดี๋ยวขาดตกบกพร่อง เราจะพลอยขาดแคลน อย่างนั้นไปด้วย ถ้าคิดอย่างนี้ ทุกอย่างยิ่งแย่กันใหญ่ เพราะจิตใจผู้คนในสังคมจะแห้งแล้ง โหดเหี้ยม ใคร มีอะไรก็ด้องหวงแหนเก็บเอาไว้ ไปเกื้อกูลกันไม่ได้ แล้วเพราะประเดี๋ยววันข้างหน้าจะขาดแคลน เมื่อ เป็นอย่างนี้ทุกอย่างก็ยิ่งขาดแคลนใหญ่อุปมาแต่ละคน แต่ละคน เป็นเหมือนกับแอ่งนำ ความหวันกสัว ความรักตัวเอง จะเซาะให้แอ่งของตัวค่อยกว้างลึกมากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น แทนที่แต่ละคนจะเอาเฉพาะเท่าที่ตัวพอกินพอใข้ ไม่ได้เดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่มี เดี๋ยวปีหน้าไม่มี ตกลงก็ตั้งหน้าสะสมกักตุนเอาไว้ นํ้าใจเลยแห้งแล้งไปหมดวิธีจะปฏิบติตัวเองในภาวะอย่างนี้ คือฝึกใจของเราให้มี การให้ ให้คุ้นเคยกับการบริจาค การทำทานใจที่ไม่เข้าใจตามความเป็นจริงว่า การให้ออกไปนั้น เราให้เพื่ออะไร ย่อมเกิดความเสียดาย เหมือนเรา มีส้มอยู่ลูกหนึ่ง แล้วใครมาบอกว่า คนอื่นเขาไม่มี จะกิน แล้วเราจะนั่งกินอยู่คนเดียวได้อย่างไร ปอก เปลือกออกแล้ว เอ้า.... เพื่อนคนนั้นกลีบ คนนั้นกลืบ ผลที่สุด ที่นึกว่าจะได้กินส้ม 1 ลูก กลับได้กินเพียง กลีบเดียว ถ้าใจยังไม่เข้าใจว่า ให้ไปแล้วจะได้อะไร กลับมานึ่ ให้ไม่สำเร็จหรอก บางครั้งปากเราก็ว่าให้ แต่มือกลับเม้มเอาไว้ ไม่ยอมให้ออกไป
ดิฉันเคยหลงว่าตัวเองเป็นคนมืใจเอื้อเฟ้อ ใคร ไม่มื เรามีให้ได้ก็จะให้ เสร็จแล้วช่วงหนึ่งไปปฎิบัติ ที่วัดท่านอาจารย์สิงห์ทอง พวกเราอดอยากปากแห้ง กันมากเพราะคุณแม่ชีที่ทำอาหารภาคกลางลาไปธุดงค์ แม่ชีที่เหลืออยู่ล้วนเป็นคนอีสาน ทำแต่อาหารอีสาน ชาวบ้านที่มาใส่บาตร ก็ใส่แต่อาหารอีสาน พวกเรา ชาวกรุง 2 คน กับหมา 3 ตัว ซึ่งเติบโตมากับอาหาร ภาคกลางของคุณแม่ชี ก็พากันย่ำแย่ไปตามๆ กัน เจ้า 3 ตัวพอดมได้กลิ่นอาหารอีสานก็เมิน กลับไป นอน ทั้งๆ ที่ท้องกิ่วแห้ง มันก็หยิ่งไม่ยอมกิน ก็พอ กันกับเรา 2 คนตอนนั้นดิฉันกำลังฝึกว่า ทุกสิ่งเป็นเพื่อนร่วม เกิดแก่เจ็บตาย ไม่มีตัวลัตว์ตัวบุคคล ไม่ได้มีหมามี เรา เพราะฉะนั้น อะไรถูกรสกับเรา ที่กินลงไปได้
หมาก็อยากกินเหมือนเรา หมา 3 ตัว กับเรา 2 คน ทุกอย่างแบ่งออกเป็น 5 ส่วน เพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บ ดายเสมอกัน ก็บอกแล้ว จะท้องหมาหรือท้องคน ก็ อิ่ม 1 ท้องเหมือนกัน แรกๆ ก็ปฏิบัติได้ด้วยดีทีนี้ พอเหนื่อยมากๆ เข้า บางวันได้ไข่เจียว ไม่ใช่ชิ้นโตๆ แผ่นบางนิดเดียว ขนาดตักคำเดียวก็หมดเกลี้ยง แบ่งเสร็จแล้ว กิเลสมันบอกว่า อะไรกัน.. น้อยเหลือ เกิน..หมาตัวหนึ่งมันไม่น่ารัก ตอนกลางคืนเราเดิน จงกรมอยู่ มันก็มาบ่อนทำลายความสงบ ใจที่ขุ่นเคืองอยู่ตั้งแต่เมื่อคืน ถึงตอนที่ตักไข่เจียว จัดการ กับส่วนที่เป็นของเราเรียบร้อยแล้ว โดยอัตโนมัติ สติตามไม่มัน เราป้อนส่วนที่ 2 เข้าไปในปาก กลืน ลงไปเรียบร้อยแล้ว สติถึงโวยวายว่า ไหนเราเป็น เพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายกันไงล่ะ จะแบ่งกันคนละ ส่วน คนละส่วน ไม่ใช่หรือเวลาที่ใจของเรามืดมิดด้วยกิเลส ไม่เห็นเหตุ ผลตามเป็นจริงว่า ที่เราแบ่งให้เขานี่ เราแบ่งให้ทุกๆ ชีวิตได้อาหารหล่อเลี้ยง ให้ไม่เกิดความทุกข กระสับ กระส่ายว่า ทำไมเจ้านั่นมีกิน แล้วเราไม่มืกิน เกิด เป็นความเคียดแด้นขึ้นมา แต่ใจที่เราควบคุมไม่ได้ ส่วนที่ไร้สำนึกระลึกรู้ตามเป็นจริงของเรา โดยที่เรา ไม่ทันรู้เหตุรู้ผลว่า ที่ให้ไปนั้นน่ะ ไม่ได้ให้ด้วยความ บริสุทธึ๋ใจหรอก แต่ให้ด้วยหวังว่า เมื่อไหร่ที่เราไม่มี เขาจะได้เอามาแบ่งให้เราบ้าง เหมือนอย่างที่เมื่อกี้ ดิฉันยกตัวอย่างถึงล้มลูกหนึ่งว่า เราก็แบ่งให้ไปคน ละกลีบ คนละกลีบ คนละกลีบ แล้วโดยธรรมชาติ อีกหน่อยเพื่อนเขาได้ล้มมา เขาก็เอามาแบ่งให้เรา คนละกลีบ คนละกลีบ คนละกลีบ ทานจึงมีผลอย่าง นี้เองถ้าเราเอื้อเฟ้อเผื่อแผ่กันแล้ว ถึงมืล้มใบเดียว ก็กินไปได้จนตลอดชีวิต แต่ถ้าหวงแหนกินคนเดียว พอใบนี้หมดไปแล้ว ขับถ่ายออกไปแล้ว มันก็หมด สูญสิ้น ไม่มีล้มเหลืออยู่ ตรงกันข้าม ถ้าแบ่งบ้นให้ ออกไปคนละกลีบ คนละกลีบ เมื่อไรเขามีล้ม เขาก็ มาแบ่งบ้นให้เราบ้าง ตกลงล้มของเราก็กลายเป็นส้มมหัศจรรย์ กินไปตลอดชีวิตไม่ร้จักหมด เพราะอะไรเมื่อเรามีนํ้าใจกับเขา เขากิมีนํ้าใจตอบเรา มี อะไรเราแบ่งปันถ้อยทีถ้อยอาศัยกันอย่างนี้ ถึงจะไม่ อิ่มแบบเต็มกิเลส แด่กิอิ่มเต็มพอบริบูรณ์ คืออิ่มใจ ด้วย อิ่มกายด้วยเหมือนเราเอาไปฝากใส่กระปุก
ออมสินคนโน้นคนนี้ไว้ เขามีอะไร เขากิน้กถึงเรา ไม่ หวงแหนปีกหังกัน ชีวิตคนเรากิไม่จำเป็นต้องกอบ โกย เอารัดเอาเปรียบกัน เราไม่หวั่นกลัวว่า มีอะไร แล้ว เดี๋ยวคนจะมาขโมย จะมาฆ่าฟันเรา
เศรษฐีสมัยนี้จึงไม่เป็นสุข จะไปไหนมาไหนก็ ต้องใส่เกราะอ่อน ไม่ผิดกับกรรมกรแบกกระสอบ ข้าวสาร เพราะเกราะอ่อนไม่ใช่เบา ๆ นอกจากนั้น ยังมีมีอปีนต้มกันอีกด่างหาก เพราะเกรงว่าเดี๋ยวใคร จะดักยิง
อาจารย์ของดิฉันท่านหนึ่ง ท่านเป็นหมอดมยา ครั้งหนึ่ง ท่านดูแลดมยาให้เศรษฐีปักษ์ใต้ทำผ่าตัด เมื่อเสรีจเรียบรีอยปลอดภัยดี ท่านเศรษฐีกิเชิญ อาจารย์ไปพักผ่อนที่ปักษ์ใต้ อาจารย์กิยินดีที่จะลา พักร้อนอาทีตย์หนึ่ง ไปอยู่ปักษ์ใต้อย่างเศรษฐี เพราะ มีสปอนเซอร์ดูแลทุกอย่าง ครั้นไปได้ 3 วันเท่านั้น อาจารย์ก็กลับ ชักถามก็ได้ความว่า จะไปไหนสักที หนึ่งต้องมีมือปีนเอาปีนพาดตกนั้งคุ้มกันอยู่ตรงข้าม กับเรา อาจารย์บอก ..ตายฉันไม่ว่า กลัวแต่มันยิง พลาด เสร็จแล้วตายก็ไม่ดาย เป็นอัมพาต ฉันไม่รู้ จะทำยังไงกับตัวเอง แต่ก่อนเคยอิจฉาว่า ทำไมเรา ถึงไม่รวยอย่างเขาบ้าง มาเดี๋ยวนี้ฉันสบายใจที่เป็น ตัวฉันเอง นึกจะไปไหนก็ไปได้ตามสบาย ไม่ต้องมี มือปีนคอยคุ้มกัน ไม่ต้องนั้งรถติดหิเล์มมีดมีดหมด จะไปไหนนี่ ต้องเปลี่ยนรถ 2 คัน 3 คัน เดี๋ยวคน ตามจะจำได้ โฮ้ย มันทุลักทุเลเหลือเกิน...สังคมมันเสื่อมถึงขั้นนี้แล้ว ขาดแคลนความ ปลอดภัย ความมั่นใจ ความเป็นอยู่สบายๆ หมด ไปแล้ว เพราะทุกคนไม่ไว้ใจกันเลย หวาดระแวง ใจ มีแต่ความทุกข์เราเคยกลัวความไม่มีว่าเป็นทุกข์
เดี๋ยวนี้ความมีก็เป็นทุกข์ เพราะกรรมวิธีที่มีนี้ไม่ถูก ต้องตามทำนองคลองธรรม ไม่เรียบร้อย ทำให้พร้อมๆกับมีวัตถุสิ่งของมาเราก็มีเวรมีภัยติดตามมาด้วยมีอันตรายเป็นของแถมมาด้วย ใจจึงเกิด ความลับสนว่า การมีนี่เป็นสุขหรีอทุกข์กันแน่เมื่อใจคนเราเริ่มด้วยความขาดแคลนนํ้าใจแล้ว ก็พาให้การจะดำรงชีวิตอย่างเป็นปกติพลอยวิปริต แปรปรวนผิดจากความเป็นปกติไป สนิมในใจค่อย เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะมีหริอไม่มีวัตถุชื่อเสียงเกียรติยศ ก็ไม่เป็นสุขทั้งนั้น ถ้าตั้งด้นไตร่ตรองแล้วฝึกฝนใจ ของเราให้มีหล้กเกณฑ์ที่ถูกควร เราก็อยู่ได้อย่างเป็น สุข ไม่ว่าสังคมจะเป็นอย่างไรก็ตาม
เห็นกันอย่างนั้แล้ว จะได้เข้าใจว่า การให้ทาน นี้ แรกๆ ใจเราก็เหมือนเด็ก ให้ไปแล้วก็หวัง เขา มีอะไรด้องมาแบ่งปันให้เรา ใจก็คาดคอย กระสับ กระส่ายอยู่ ถ้าเขาไม่ให้ เราก็จะตัดพ้อต่อว่า.. แล้ว ทีนี้จะไปให้เขาทำไมกันเหมือนครั้งหนึ่ง ดิฉันไปเล่านิทาน เรื่องมีว่า ในงานเลี้ยงแห่งหนึ่ง มีการจับฉลาก รางวัลเป็นตั้ว ไปกลับนรกสวรรค 1 เที่ยว กระทาชายนายหนึ่งจับ ได้ตั้วรางวัลนี้ มัคคุเทศก์ก็ถามว่า ท่านจะไปนรก หรือสวรรค์ก่อน เรายินดีบริการตามความพอใจของ ท่านนายคนนี้นิกถึงที่ผู้เฒ่าผู้แก่เคยเล่าไว้ถึงนรกว่า น่ากลัวอย่างไร มีกระทะทองแดงอยู่บนไฟที่ลุกโชนสัตว์นรกสารพัดสารพันชนิดให้ตื่นเต้นน่ากลัว ก็เลย บอกมัคคุเทศก์ว่า ขอไปนรกก่อน แล้วก็หลับตานึก ไปว่า เราคงได้ไปเจออะไรๆ ที่จะกลับมาเล่าให้ เพื่อนฝูงตื่นเต้นมัคคุเทศก์พาเขาขึ้นยานอวกาศไปสักพักใหญ่ๆ ยานก็เริ่มลดระดับลง พร้อมกับที่มัคคุเทศก์บอก เตรียมตัวครับ เราเข้าแดนนรกแล้ว นายคนนี้มอง ออกไปทางซ่องหน้าต่าง ไม่เห็นอะไรอย่างที่คาดคิด เลย เห็นแต่ตึกเป็นแท่งๆ เหมือนกับบ้านเราไม่มีผิด ก็หันไปถามมัคคุเทศก์ว่า แน่ใจนะว่านี่เมืองนรก มัคคุเทศก์ยืนยันว่าแน่ใจ ยานกำลังจะแตะแผ่นตน เมืองนรกอยู่แล้ว
เมื่อยานอวกาศจอดเรียบร้อย มัคคุเทศก์ก็เชิญ ลงไป แล้วพาเข้าไปในตึกแห่งหนึ่งซึ่งเหมือนตึกใน เมืองมนุษย์ พอเป็ดประตเข้าไปสู่ห้องโถง ก็ได้กลิ่น อาหารหอมหวนผิดจากที่คาดคิดไว้มาก มีโต๊ะยาว จัดวางอาหารสารพัดชนิด ล้วนชวนกินทั้งนั้นผู้คน ในเมืองนรกก็ไม่ได้น่าเกลียดน่ากลัว แต่งกายชุด ราตรีสวยงาม กำลังเลือกตักแบ่งอาหารกันอย่าง สนุกสนาน นายคนนี้ก็นึก ถ้านรกเป็นอย่างนี้ ก็น่า
มาอยู่นะชาวนรกแบ่งอาหารเสร็จ ก็พากันไปนั่งที่โต๊ะ พอเริ่มลงมือรับประทาน ความวุ่นวายก็เกิดขึ้น เพราะอาหารไม่ยอมเข้าปากมัคคุเทศก์อธิบายว่าพลโลกเมืองนรกเป็นโรคไขข้อศอกอักเสบ เหยียด แขนเท่าไหร่ เท่าไหร่ เหยียดได้ตักจากจานแบ่งเท่าไหร่ เท่าไหร่ ก็ตักได้ แต่พองอข้อศอกจะปัอนเข้า ปากนี่ มันอักเสบ เจ็บปวดมาก ทำให้งอได้แค่ปริ่มๆ แต่ไม่สามารถเอาเข้าถึงปาก แสดงว่าพลโลกเมือง นรกมีอาหารการกินล้นเหลือ แต่กินไม่ได้ ทุกคนก็ หงุดหงิดมาก เพราะหิวอยากกิน แต่กินไม่ได้ ก็วุ่นวี่ วุ่นวายกันใหญ่นายคนนี้ถามมัคคุเทศก์ว่า นรกมีแค่นี้ละหรือ มัคคุเทศก์ก็มันมาดุว่า ท่านจะเอาอะไรที่มันนรกยิ่ง กว่านี้อีกล่ะ มีแล้วก็กินไม่ได้ ไข้ไม่ได้นี่ ท่านอังคด ว่ามันไม่นรกพออีกหรือ นายคนนี้ก็หมดอารมณ์
เพราะคิดว่าจะมึต้นงิ้ว มีกระทะทองแดง มีนายนิรขบาลไล่หาดทุบตีสัตว์นรกให้ตื่นเค้น กสับตรงกันข้าม ไม่มีอะไรน่ากสัวเลย มีของจะกินล้นเหลือแค่กินไม่ ได้ก็เลยถามยํ้าไห้แน่ไจว่า มีอะไรจะให้ดูอีกไหม
มัคคุเทศก์ย้อนว่า แค่นี้ยังไม่พอให้คุณกลัวนรกอีก หรือ ยังจะมีอะไรที่มากไปกว่านี้อีก
นายคนนี้เดินทางไปสวรรค์ใจชักเริ่มเซ็งเสียแล้ว ยานอวกาศไปอีกพักใหญ่ ๆ มัคคุเทศก์กรายงานว่า ถึงเมืองสวรรค์แล้ว มองออกไปไม่เห็นอะไรน่าตื่นเต้น เพราะมีต้กเหมือนๆ กันไม่รู้ว่าเมืองนรก เมืองมนุษย์ หรือเมืองสวรรค์ ไม่แตกต่างกันตรงไหนเลย มัคคุเทศก์พาไปทางไหนก็ไป ในที่สุดก็เข้าไปในตึกไปสู่ ห้องโถงซึ่งกำลังมีเลี้ยงอย่างเมื่อครู่นี้ ผู้คนก็เหมือน กัน แต่งตัวเหมือนๆ กัน แยกไม่ได้ว่านรกหรือสวรรค์ ผู้คนต่างแบ่งอาหารไปนั่งโต๊ะ แล้วก็เกิดความ วุ่นวายเหมือนกันอีก เพราะกินไม่ได้ นายคนนี้หัน ไปต่อว่ามัคคุเทศก์ เขาก็บอกไห้หันกลับไปมองใหม่ ก็ปรากฏว่า พอผู้คนรู้ว่าตัวเป็นโรคไขข้อศอกอักเสบ ทุกคนต่างป้อนตัวเองไม่ไต้ เขาก็หันไปป้อนซึ่งกัน และกัน ทุกคนก็ได้กิน มีความสุข
นิทานเรื่องนี้สรุปว่า ถ้าเมื่อไรใจของเรารู้จ้ก การให้และเออเส์อเมื่อแผ่ อยู่ฅรงไหนๆ ก็เป็น สวรรค์ทั้งนั่น เพราะจะเกิดความผาสุกร่มเย็น ถึงจะ มีความขาดแคลน ก็ไม่ขาดแคลน เพราะเราสามารถ
เติมให้กันและกันได้จากนิทานเรื่องนี้ เราหันมามองในใจของเราดู บางทีจะพบว่า ใจเรากังขาติฉันเล่ามาหลายแห่งหลายท่านก็ประหับใจยอมรับว่าการให้นี่จะแก้ปัญหาของความขาดแคลนได้ ทำให้สังคมไม่วุ่นวาย มีความสุขมีแห่งหนึ่ง พอติฉันเล่าจบ มีผู้ฟังยกมีอถามว่า คุณหมอจะให้ความมั่นใจกับผมได้อย่างไรว่า ก้าผมปัอนคนข้าง ๆ แล้วเขาจะปัอนผมแสดงว่าใจของท่านผู้ถามขาดแคลนมากๆ เลย ถึงขั้นที่ขาดความไว้ วางใจในผู้คนรอบด้าน จะด้องมีอะไรเป็นเครื่องรับรอง ก่อนว่า ถ้าผมปัอนเขาแล้ว เขาต้องป้อนผมดิฉันเลยตอบเขาว่า เมื่อคุณคิดอย่างนี้ คนข้าง ๆ คุณเขาก็คิดอย่างคุณเหมือนกัน เพราะฉะนั้นต่างคน ต่างก็เล็งกัน แล้วไม่มีใครยอมป้อนใคร ตกลงก็แย่ ด้วยกันทั้งคู่การให้นั้น ไม่ใช่ว่าเราให้เขาแล้ว เขาต้องให้ เราตอบ เราต้องท่าใจให้ใหญ่เป็นอภิมหาเศรษฐีว่า เมื่อให้ออกไปแล้วจะได้คืนมา หรือไม่ได้คืนมา เราก็ ไม่ไปกังวล อย่ๅงนั้นการให้ถึงมีผลเต็มเม็ดเต็มหน่วยเพราะมันเหมือนการเป็ดประตู พอเราเปิดประตูออก ไปแล้ว ไม่ใช่ว่าเราจะออกไฟ้อย่างเดียว อะไรข้าง นอกก็สามารถผ่านเข้ามาส่เราได้เช่นกันธรรมชาติของคนเราก็มืใจที่รักสุขเกลียดทุกข์ เหมือนๆ กัน แล้วใจของคนเรานี่ก็เนื้อนุ่มๆ ด้วยกัน ทั้งนั้น ไม่ใช่ทำด้วยเหล็กหินอะไร ถึงจะรู้สึกว่า โลก นี้ทารุณโหดร้ายเหลือเกิน แต่ถ้ามีคนยิ้มแย้มแจ่มใส ให้เราด้วยนํ้าใจไมตรี ใจที่กำลังคิด ..โลกผีบ้า.. ก็ อ่อนโยนลง ให้เขาตอบเถอะนะ เพราะเขาอุตส่าห์มี นํ้าใจกับเรา ธรรมชาติของคนเราเป็นอย่างนี้ เมื่อ เราให้ออกไปแล้ว เขาย่อมให้ตอบกลับมาใจที่เหินตามเป็นจริงอย่างนี้ ย่อมเป็นอิสระ เบาสบาย เมื่อให้อะไรไปแล้ว ก็ไม่ได้คาดคอยเหมือนเด็กที่ปากก็ให้นะ แต่ตาขยิบว่าแล้วเมื่อไหร่ เขาจะให้ตอบคืนมา ใจของเราก็เข้มแข็ง พึ่งตัวเอง ได้ เพราะให้เขาไป เขามีความสุข เราก็ชื่นใจ ความ ชื่นใจนี้ อันที่จริงก็เป็นเสมือนสิ่งตอบแทนอยู่ในตัว แล้วพวกคุณตอนนี้ยังไม่ได้รับผิดชอบขึ้นไปตูคนไข้ แต่ถ้าคุณขึ้นไป ถึงจะยังทำอะไรไม่ได้ ยังให้การรักษาเขาไม่ได้ สั่งยาไม่ได้ แต่การที่เราไปเยี่ยม ถาม อาการว่า เป็นอย่างไรบ้าง ทำให้เขาแน่ไจมั่นใจว่า เขาไม่ได้ถูกทอดทิ้งให้อยู่คนเดียว อยากได้อะไร จะ ทำอย่างไร เราช่วยเขาได้ คนไข้ก็มีความสุขขึ้น หรือคนไข้บางคนกระสับกระส่ายอยู่ พอเราไปซวน พูดชวนคุยให้รู้ลีกสบายใจ แล้วหลับได้ พกได้ เราก็ ชื่นใจว่าเราได้ทำอะไรให้เขาแล้วอันนี้คืออานิสงส์ของการให้ใจที่ฟ้กให้ตัวเองรู้จักให้ จะเป็นใจที่ไม่มีศัตรู เพราะการให้ทำให้เราได้นํ้าใจกสับคืนมาเปรียบเหมือนอับเราแสวงหาความปลอดภัยให้กับตัวเอง ล้าไปที่ไหนคนเขาหมั่นไส้ เกลียดชัง เราเรียกร้อง ภัยให้อับตัวเองทุกย่างก้าว เพราะเขาไม่แน่ใจว่าเรา เข้าไปแล้วจะไปทำร้ายเขาหรือเปล่า ไปแย่งชิงสิ่งที่ เขาพอมีนิดๆ หน่อยๆ ให้ขาดตกบกพร่องไปอีกหรือ เปล่า ใจเขาก็ระแวง ล้าเรารู้จักให้ ใจของเราเป็น เมตตา ใจของเราเอื้อเฟ้อเผื่อแผ่แล้ว ความขาด แคลนในที่นั้นจะหมดไป แล้วเราก็ได้ความไม่มีภัย กลับมาสู่ตัวเองการอยู่ในสังคมที่เสื่อมนี่ ให้ปีกที่จะรู้จักให้ ไม่ มีวัตถุสิ่งของให้ ยิ้มให้เขา ให้นํ้าใจ ให้ความเป็นมิตร กับเขา ฝึกเอาไว้ แล้วอีกไม่นาน ใจอันนี้จะเป็นใจที่ มีความสุข อยู่ที่ไหนก็มีความสุขทั้งนั้นดิฉันเคยได้ยินเรื่องของหมู่บ้านแห่งหนี่ง ซึ่งอยู่ ในที่ดินที่นักพัฒนาเบ้าไปช่วยพัฒนาไห้เป็นที่ทำมา หากินของคนขาดแคลน ไม่มีที่อยู่อาศัย ทางการ จัดสรรที่ดินผืนนี้ให้เบ้ามาอยู่อาศัย ทำการเพาะปลูก ถ้าไห้ผลดี ครบ 9 ปีเขาจะเริ่มไห้กรรมสิทธิ้ จนไห้ โฉนดเป็นเจ้าของที่ดินภายใน 20 ปี
นักพัฒนาเบ้าไปช่วยชี้แนะห้านอาชีพ โดยเอา พันธุไม้ล้มลุก ถั่ว มะเขือเทศ พืชกักสวนครัว ไปให้ ปลูก แต่ไม่ได้ติดตามพัฒนาการของเขาว่า ขั้นพื้น ฐานนั้นคนเราจะนึกถึงแต่ร่างกาย ให้มีอาหารกินอิ่ม มีที่นอนหลับให้สบาย แต่เมื่อเริ่มอยู่ดีกินดีถึงขั้นหนึ่ง จิตใจที่ไม่ไห้รับการพัฒนา ไม่ถูกปีกสอนให้รู้จัก เยิ้อเฟ้อเผื่อแผ่ มีระเบียบวินัย เคารพกฎเกณฑ์ รับ ผิดชอบต่อส่วนรวมในฐานะที่ตนเป็นหน่วยหนึ่งใน สังคม ใจที่ขับเคลื่อนไปห้วยสัญชาตญาณจะกอบโกย ทำตัวเป็นแอ่งลึก ๆ สะสมวัตถุสิ่งของไว้เป็นของตัว
ปล่อยให้คนอื่นขาดแคลน ทำให้หมู่บ้านนั้นไปไม่รอดเมื่อนักวิชาการไปสอนให้ชาวบ้านปลูกมะเขือเทศ ก็แนะนำไว้ว่า ห้ามสูบบุหรี่เวลาจะเข้าไปในไร เพราะ ในยาเส้นบุหรี่มีเชื้อราที่เป็นอันตรายต่อมะเขือเทศ ถ้าตันมะเขือเทศเป็นราแล้ว มันจะแพร่ปลิวไปใน อากาศ ทำให้มะเขือเทศที่อื่นๆ หมดทั้งหมู่บ้านติด ไปหมด แล้วในที่สุดทั้งหมู่บ้านนั้นจะปลูกมะเขือเทศ ไม่ได้อีกเลยเมื่อผลผลิตจากไร่เริ่มดีมากก็เริ่มมีคนชุ่ยเรื่องอะไรถึงจะต้องดับบุหรี่ทั้ง แล้วล้างมือให้สะอาด ก่อนเข้าไปในไร่ ทำให้ต้องอดบุหรี่ความไม่มีระเบียบวินัยกับตัวเอง ไม่ซื่อตรงต่อตัวเอง เมื่อไม่มี วิทยากรมาคอยดู ไม่มีนักพัฒนามาควบคุม เราทำ ตามอำเภอใจก็แล้วกัน เชื้อราในบุหรี่ก็เรี่มจากไร่ หนึ่งก่อน แล้วก็ระบาดสุกลามออกไปนักวิชาการมาตรวจลู พบว่าแก้ไขไม่ได้ เพราะ ราปลิวแพร่ไปในอากาศหมดแล้ว ทุกบ้านจะต้อง พร้อมใจกันเลิกปลูกมะเขือเทศ โดยไถตินกลบต้นทั้ง ให้หมด แล้วปลูกพืชอื่นเป็นต้นว่าถั่วแทนแล้วไม่ใช่ว่าทำอย่างนี้ครั้งเดียวราจะหายไป ถ้าปลูกมะเขือเทศใหม่ เชื้อราที่ยังตกค้างอยู่ก็จะงอกงามแพร่ ระบาดชื้นมา ทำไห้ผลิตผลเสียหายไปอีก ต้องปลูก พืชอื่นหมุนเวียนถึง 3 รอบปรากฏว่า ไร่ที่เป็นคนดี ไม่เคยฝ่าสินคำสั่ง เห็นว่าการทำอย่างนั้นไม่ยุติธรรม เพราะความชั่ว ของคนอื่น เหตุไฉนเขาจึงต้องพลอยถูกลงโทษไป ด้วย บางไร่เลยดื้อดีง ไม่ยอมเลิกปลูกมะเขือเทศ ตามคำแนะนำ โดยหวังว่า เราไม่ได้สูบบุหรี่ มะเขือ เทศในไร่เราก็ไม่ควรเป็นรา เขาไม่เข้าใจว่าราระบาด ปลิวทั่วไปในอากาศแล้วนักวิชาการก็จนปัญญา ไม่รู้จะช่วยอย่างไรได้ เพราะบางไร่หัวชนฝา ไม่ยอมเลิกปลูกมะเขือเทศ ทำให้ควบคุมเชื้อราให้หมดไปไม่ได้ ผลผลิตก็พลอย เสียหายไปหมด ในที่สุดหมู่บ้านนี้เป็นอันว่าปลูก มะเขือเทศอีกไม่ได้ ต้องไปหาอย่างอื่นทำต่อไป
ที่ดินผืนนี้ นอกจากถั่วกับมะเขือเทศแล้ว ก็ไม่ มีพืชชนิดใดปลูกชึ้นอีกเลย ชาวบ้านจึงต้องเปลี่ยน อาชีพ ไปหัดทอผ้า หรือหาอะไรอย่างอื่นทำ อันเป็น เหตุให้เกิดความคับแค้นใจต่อกันชื้น ที่เริ่มแรกเคย ปรองดองกันดี คราวนี้ก็เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันขึ้น ผู้ที่ประพฤติดามคำแนะนำของนักวิชาการก็ แหนงใจคนซ่ย ที่ทำให้๓ดความเดือดร้อนทั่วไปทั้ง หมู่บ้าน เพราะการทอผ้าไม่สบายเท่าปลูกมะเขือเทศ ในหมู่บ้านเริ่มแบ่งแยก มีพวกเขาพวกเรา มี การทะเลาะกัน กลั่นแกล้งกัน ขโมยข้าวของกัน ก่อ ให้เกิดปัญหาทางจิตใจขึ้น ความปลอดภัย ความไว้ วางใจ ที่เคยอยู่กันอย่างพี่น้องหมดไป หมู่บ้านนี้เลย มีแต่เรื่องร้าวฉานทุกข์เดือดร้อนไปหมดถ้าเราพลัดเข้าไปในสังคมอย่างนี้ เราจะวาง ตัวอย่างไร เมื่อต้องการความปลอดภัย เราก็คดว่า ต้องมีตำรวจหรือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาดูแลแต่ความเป็นจริงที่เราพบในสังคมทุกวันนี้ ต่อ ให้มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย มีตำรวจ มีกฎหมาย มีคุกตะราง ก็ยังมีผู้ร้ายเต็มคุกตะราง เพราะอะไรเพราะใจอันนี้ยังไม่รู้ไม่เข้าใจตามความเป็นจริง ยังคิดแบบเดียวกับที่ตินันเล่ามาเมื่อกี้นี้ เรื่องอะไร เราถึงจะไปเชื่อเขา เราสูบบุหรี่เข้าไปเคี้ยวเดียวจะ เป็นอะไรไป ต้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำให้เรา ทำสิ่งที่เป็นพิษเป็นภัยต่อตัวเองขึ้น เหมือนอย่างกับที่เรามีกฎหมาย มีตำรวจ แต่ก็ยังมีคนบางประเภทที่ เสี่ยงเอา ถ้าทำแล้วตำรวจจับไม่ได้ เราก็สบายไป
เราไม่ชอบความเหนื่อยยาก อาบเหงื่อต่างนํ้า ทำมาหาได้ด้วยความพากเพียร แต่ชอบชื้อหวยเบอร์ ไม่ต้องทำอะไรก็ได้มาเหมือนฝัน ชอบเป็นนักพนัน นักเสี่ยงโชค ซึ่งเป็นไปตามสัญชาตญาณของใจที่ไม่ มีสติรักษา มันเป็นอย่างนี้ ดงนั้น อะไร อะไร อะไร ก็ให้ความปลอดภัยไม่ได้
พระพุทธเจ้าทรงเล้งเห็นถึงธรรมชาติของใจสิ่ง มีชีวิตว่าเป็นอย่างนี้ ทำนจึงให้เราน้อมนำกฎหมาย เข้ามาไวิในใจ ให้ตัวเราเองเป็นตำรวจดูแลเราเอง โดยบัญญ้ติศืลชื้นมา
ศีลคืออะไร
ศีล ก็คือกฎข้อปฏิบตให้เราควบคุมตัวเอง ให้ เคารพในสิทธิมนุษย์ซน ไม่ไปเบียดเบียนคนอื่นและ ตนเอง เพราะมีความเชื่อว่า ทุกๆ ชีวิตประกอบไป ด้วยจึตใจที่เป็นธาตุอันเดียวกัน รักสุขเกลียดทุกข์ เหมือนๆ กัน รักความเที่ยงธรรม รักความปลอดภัย เมื่อเป็นอย่างนี้ ศีล 5 ก็คือกฎหมายนั้นเอง
เผื่อทุกๆ คนรักชีวิต รักความปลอดภัยของตัว เอง เราจึงไม่ไปล่วงชีวิตอื่นๆ ให้ตกไป นึกดูสิ เรา เดินอยู่ดี ๆ เกิดมีใครไม่ชอบหน้ามายิงเราเปรี้ยงเข้า ให้ อย่างนี้ จะชอบไหม เหมือนตอนที่ดิฉันไปเรียน ต่อที่สหรัฐอเมรีกา เผื่อหมุนเวียนไปหน่วยจิตเวช กิ มีคนไข้รายหนึ่งซึ่งอาจารย์กำหนดให้ไปศึกษาประวัติ นายคนนี้เป็นนักเลง ชอบไปสิงอยู่ที่บาร์เหล้า คืนวันหนึ่ง ขณะที่นั่งอยู่ในบาร์ กิมีคนเปีดประตูเข้ามาแล้ว เดินหันไปทางตรงกินข้าม เห็นกันแต่สิ่งนายคนนี้ ก็ครักปีนออกมาประจงยิง เปรี้ยงเดียวเหมือนจับวาง คนนั้นล้มลงตายสนิทเลยตำรวจมาทำคดี เขากิบอกว่า ถ้าพสิกหน้าศพ ต่างๆ ที่ตำรวจเอามาวาง ให้เขาชี้ว่าคนไหนเป็นคน ที่ถูกยิงตาย เขาก็ไม่รู้ ตำรวจก็งง หน้าก็ไม่รู้จักแล้ว ไปฆ่าเขาทำไม
ทำที่หมอนั่นเดินยักสะโพกส่ายไป มันเหมือน ท้าว่า ถ้าไอ้นั่นยังมีชีวิตอยู่ โลกนี้กิคับแคบสำหรับ เขา กิเลยยิงมันเสียเฉยๆ อย่างนั้นละตำรวจเลยไม่กล้าดำเนินคดี เพราะไม่แน่ใจว่า นายคนนี้เป็นโรคจิตหรือเป็นคนปกติกันแน่ จึงส่งมาให้หน่วยจิตเวชวิเคราะห์ว่าจะเอาอย่างไรกัน พวก เราขึ้นหน่วยไปพอดี เลยเป็นคนไข้ที่ถูกกำหนดให้ไป ศึกษาประวิดมารายงาน ผลปรากฏว่า พอพวกเรา ไปใข้ห้องสมุดตอนกลางคืน แล้วเดินกลับหอพัก ไม่เป็นอันเดินเป็นปกติ คอยแต่เหลียวซ้ายแลขวา เพราะไม่รู้ว่าท่ายักสะโพกของเราจะไปทิ่มตำลูก นัยนตาใครเข้าพักนั้นรู้ขึ้นเลยว่า ใจที่ไม่มีความ
ปลอดภัย ที่หวั่นระแวงไปหมด ก็เราไม่มีตาข้างหลัง ไม่รู้ว่าข้างหลังของเราจะไปท่าปฏิกิริยาอะไรกับใคร เข้า มันทำให้เราทุกข์เดือดร้อนสาหัสแค่ไหน ก็เลย เข้าใจดีว่า ถ้าเราไปอยู่ในลังคมที่ไม่แน่ใจว่าอะไรจะ เกิดขึ้นกับเราแล้ว ชีวิตของเราเหมือนแขวนอยู่กับ เส้นด้าย ไม่รู้ใครจะหมั่นไส้เราขึ้นมาเมื่อไหร่ มัน ทำให้เรายาแย่ไปเลย นอนก็สะด้งฝันร้าย
พระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติศีลขึ้นมาเพื่อคุ้ม ครองความเป็นปกติของสังคม
ศีลข้อ 1 :ใครๆ ก็รักชีวิตของตนเพราะฉะนั้น เราจะเว้นจากการฆ่า การทำร้ายชีวิตอื่น
ข้อ 2 : ใครๆ ก็ไม่ชอบให้ผู้ใดมาขโมยข้าว ของของตน เราจึงเว้นจากการถือเอาของที่เขามิได้
ให้ โกง ละเมิดกรรมสิทธิ้ หรือทำลายทรัพย์สิน
ข้อ 3 : ของรักของชอบสามีภรรยาเรา เราก็ ไม่ชอบให้คนอื่นมาเอาของเราไป เราจึงสันโดษใน ค่ครองของเรา ละเว้นจากการล่วงละเมิดสิ่งที่ผู้อื่น รักใคร่ห้วงหวง
ข้อ 4 : เว้นจากการพูดปดหลอกลวง เราเอง ก็ไม่ชอบให้ใครมาโกหกเรา ถ้าเราพบว่า เพื่อนที่ไว้ ใจเชื่อถืออย่างหมดหัวใจ ไม่เคยพูดความจริงกับเรา เลย เราจะทุกข์โทมนัสแค่ไหน เมื่อเราไม่ชอบให้ใคร มาพูดปดกับเรา เราก็เว้นการพูดปดกับใคร
ข้อ 5 : เว้นการเสพย์เครื่องดองของเมา สิ่ง เสพย์ติด อันเป็นที่ตั้งแห้งความประมาท คนเราจะ รักษาใจให้ทำสิ่งถูกต้องดีงามอยู่ได้ ไม่ตั้งอยู่ในความ ประมาท ก็ต้องมีความระลึกรู้ คือสติสัมปชัญญะ เพื่อรักษาเราให้รู้ตัว ตื่นทั่วพร้อม รู้เหตุรู้ผลในสิ่งที่ กระทำ เราจึงเว้นจากการเสพสุราเมรัย หรืออะไรที่ จะพาให้ใจเราตกเป็นทาสสิ่งเสพย์ติด แล้วทำให้สติ สัมปชัญญะของเราบกพร่องไป
ข้อปฏบติเหล่านี้ คือกฎพื้นฐานที่จะรักษา สังคมให้ตั้งอย่ในความไม่เบียดเบียน ผู้คนจึงอยู่กัน
ด้วยความสงบสุข มีความร่มเย็นปลอดภัยถ้าใจของเราเห็นอย่างนี้ เราก็จะรักษาคีลภันอย่างเสมอ ด้นเสมอปลาย ไม่ใช่รักษาด้วยความรู้สึกว่า เรื่อง อะไรถึงต้องมาปีบบังคับกัน อะไรๆ ก็ห้าม.. ห้าม.. กินเหล้าเฮฮาก็ห้าม จะพูดไม่จริงนิดๆ หน่อยๆ ก็ห้ามมักมีผู้กล่าวว่า อาชีพแพทย์ อาชีพพยาบาลนี่ ใครจะไปพูดแลความจริงได้ เป็นต้นว่า มีคนไข้มะเร็ง มานี่ ..ใช่.... คุณเป็นมะเร็ง คนไข้อาจชีกกระตุกตาย.... ไปเลยก็ได้อันนี่จริง เราไม่ต้องพูดความจริงทุกอย่าง แต่เราก็ไม่พูดโกหก เราเลือกกาลเทศะดังตัวอย่างคนไข้มะเร็งอายุ 80 กว่า หมอเจ้า ของไข้อธิบายให้ญาติคนไข้ฟังว่า คนไข้เป็นมะเริง นี่คับ ถ้าผ่าคัด ก็อาจจะตายเพราะยาสลบ เพราะ เสียกำอังจากการผ่าดัด อายุ 80 กว่าแล้ว ประคับ ประคองเอาไว้อย่างนี้ คนไข้อาจอยู่ไปได้อีกปีกว่า หรือ 2 ปีก็ได้ญาติๆ ก็พากันไปซักไซ้เคี่ยวเข็ญให้คุณหมอ บอกว่า จะทำยังไงคนไข้ถึงจะอยู่ไปได้นานนี่สุดเท่านี่ จะนานได้ ระหว่างนี้ก็ไม่มีใครนึกไปถึงว่า มะเร็งนี้ก็ มีสิทธึ๋เป็นโรคแทรกซ้อนอนอื่นๆ ได้ ปรากฏว่าคนไข้มี อาการร้อน มีไข้ทุกวน ระหว่างอยู่ในโรงพยาบาล พอญาติเผลอ พยาบาลเผลอ คนไข้ก็เข้าไปในห้อง นี้าแล้วเป็ดฝักบัวราดตัวเองจนชุ่มโซกทั้งเสื้อผ้า แล้ว ก็ออกมานั่งตรงช่องแอร์ให้เป่าจนเย็นสบาย ทำอยู่ อย่างนี้สัก 2-3 วัน ก็เกิดอาการไอ ไข้สูง ทุกคนก็นึก แต่ว่า มะเร็งลุกลามไปเข้าปอด ค้นหาแต่เรื่องมะเร็ง ไม่มีใครเฉลียวใจถึงปอดบวม จนตกเข้าวันที่ 2 จึง เอาไปเอกซเรย์ เจาะเลือด ดูว่าเป็นปอดบวมหรือเปล่าเริ่มให้ยาปฏิชีวนะ ซึ่งก็ไมีทันการ คนไข้อยู่ใน ไอซียูได้อีกวันกว่าๆ ก็ตายดิฉันได้อาศัยคนไข้รายนี้มาเป็นตัวอย่างพอคนไข้มาเคี่ยวเข็ญให้บอกว่าเขาเป็นมะเร็งหรือเปล่า ดิฉันก็ถามกลับไปว่า ขอถามหน่อยเดียวเถอะ ถ้า คุณไม่เป็นมะเร็ง คุณตายไหม เขาก็ตอบว่า ตาย ก็ จบกัน เราก็พูดพาไปเรื่องอื่นได้ แต่ถ้าเขาแย้งว่า ถึงจะตายก็ไม่เร็วเท่ามะเร็ง ดิฉันก็ยกตัวอย่างคนไข้ รายนี้ให้เขาฟัง หรือซวนให้เขาคิดกว้างออกไป ว่า หมอพูดกับคุณอยู่อย่างนี้นะ ประเคี่ยวเดินออกไป หน้าโรงพยาบาล ปรากฏว่าชุ่มซ่าม เดินไม่ดี ถูกรถเหยียบตาย กลายเป็นคุณไปเผาศพหมอก็ได้นะเราเอาความจริงอย่างอื่นดึงความสนใจเขาออก ไปจากความเจ็บไข้ได้ป่วยของเขา แล้วเราก็ไม่ต้อง ไปพูดปดว่า เปล่า คุณไม่ได้เป็นมะเร็งหรอกอาจารย์ของดิฉันท่านหนึ่ง มีคนไข้เป็นมะเร็งที่ ตับ คนไข้คนนี้เป็นเพื่อนนักเริยนกันมา พอคนไข้ ถามอาจารย์ว่าเป็นมะเร็งหรือเปล่า ท่านก็ไม่บอก เพราะเพื่อนคนนี้ ตั้งแต่หนุ่มๆ มาแล้ว จะบอกเสมอ ว่า ถ้าอั๊วเป็นมะเร็ง ลื้ออย่าบอกนะ ถ้าบอก อํ้วใจ ขาดตายเพราะความกลัว ไม่ได้อยู่ไปจนตายเพราะ โรคมะเร็งหรอก ภรรยาและลูก ๆ ของคนไข้ขอร้อง อาจารย์เอาไว้ว่า คุณหมออย่าบอกเป็นอันขาดเชียว นะ ทุกคนก็ร้เหมือนๆ กันอย่างนี้เมื่อเพื่อนมาถามว่า ถามจริงๆ เถอะ อั๊วเป็น มะเร็งหรือเปล่า อาจารย์ก็ตัดสินใจแน่วแน่ ..ไม่เป็น ลื้อเป็นที่ตับ อาจารย์ก็มีเหตุผลของอาจารย์ว่า ไม่ ได้หลอกคนไข้ มะเร็งก็จริง ๆ แต่เป็นที่ไม่แตก เป็นหนอง มันเป็นถ้อนอยู่อย่างนั้น อาจารย์บอก แล้วก็สบายใจว่า เราช่วยเพื่อน คนไข้ก็อยู่ไปได้อีก ประมาณปีเศษตอนที่คนไข้อาการหนักถึงระยะสุดท้าย ได้มีโอกาสอยู่กันสองต่อสอง เพื่อนกตัดพ้อต่อว่า ลื้อจำ ได้ไหม เมื่อปีก่อน อั๊วถามลื้อว่าอั๊วเป็นมะเร็งหรือ เปล่า อั๊วไม่เชื่อใครทั้งนั้น เมียบอกก็ไม่เชื่อ ลูกบอก ก็ไม่เชื่อ แต่อั๊วเชื่อลื้อ เพราะว่าตอนนั้นลื้อเริ่มมา ภาวนาแล้ว อั๊วถึงแน่ใจว่าลื้อจะไม่โกหกอั๊วตอนที่คนไข้ถามนั้น เขาดั้งไนใจเอาไว้ว่า ถ้ารู้ จากปากหมอที่เป็นเพื่อนว่าเป็นมะเร็ง เขาก็จะขอ อนุญาตออกจากโรงพยาบาลก่อน เพราะตอนที่เขา พบกับภรรยานั้น พบกันเมื่อไปเรียนต่อที่เมืองนอก แล้วก็แต่งงานกัน ตกลงกันเอาไว้ว่า พอเกษียณอายุ แล้ว จะไปดื่มนํ้าผึ้งพระจันทร์หนที่สองกัน ณ ที่แรก พบ ฑีนี้ปรากฏว่าตัวเองมาเป็นมะเร็งเสียก่อน คนไข้ ทำใจว่า ถ้าหมอบอกว่าเป็น เรายังพอแข็งแรงอยู่ ก็ จะขอลาคุณทมอพาภรรยาไปเมืองนอก นี่คือของ ขวัญที่ดั้งใจจะให้ภรรยาเมื่อเพื่อนบอกว่า ลื้อเป็นที่ดับ เขาก็เชื่อสนิท เป็นฝีที่คับเรารักษาใท้หายเสียก่อน แล้วจะได้ไป อย่างมีความสุขกัน แต่ปรากฏว่านี่ก็ไม่หายสกที มีแต่ทรงแล้วก็ทรุดแล้วก็ทรงแล้วก็ทรุดอยู่อย่างนี่
จนในที่สุด เขาถึงรู้ว่าฝีอันนี้นี่มันเป็นฝีมหากาฬ คือ มันเป็นมะเร็ง เมื่อรู้ความจริงอย่างนี้แล้ว จะเปลี่ยนใจไปก็ไปไม่ไหวเสียแล้ว เพราะร่างกายทรุดโทรม อ่อนแรงไปหมดแล้ว เขาเลยปรารภให้อาจารย์ฟังว่า อั๊วเสียใจจริง ๆ ที่อั้วไม่ได้ให้ของขวัญที่ตั้งใจจะ ให้กับเมียได้ เขาไม่ได้โกรธ เพียงแต่ระบายความ นึกคิดในใจให้ฟังอาจารย์สรุปให้ฟังว่า ที่เราเชื่อว่าเราจำเป็น ด้องพูดไม่จริงนี่ มันไม่เคยให้ผลที่ดีหรอก เพราะ อาจารย์เองทั้งที่พูดไปด้วยเจตนาดี คนไข้เองก็ไม่ได้ โกรธเคืองเมื่อรู้ความจริง แต่เมื่อเพื่อนตายไปแล้ว อาจารย์เล่าว่า บางห็นั้งภาวนา จิตกำลังจะสงบเป็น สมาธิ มันแวบถึงคำพูดเพื่อนขึ้นมา ใจที่จะสงบเลย หมอง เกิดความสลดใจว่า เราไปทำให้เพื่อนไม่ สำเริจในสิ่งที่ได้หวังตั้งใจเอาไว้ ที่จะสงบสบายเลย ฟังซ่าน หม่นหมอง แล้วเพ่งโทษตัวเองอาจารย์สอนพวกเราว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรง สอนเอาไว้ ไม่มีเป็นอื่นไปได้ ไม่มีข้อยกเว้นจิตเรา ละเอียดมากขึ้นเท่าไรเราจะเห็นว่าเราท่าให้ใจของ เราเองเป็นมักโทษของสำนึกผิดบาปอ้นนั้น แล้วเกิด
ความทุกข์เดือดร้อน ผู้ที่เห็นอย่างนี้แล้วย่อมยินดีเต็มใจรักษาศีล เหมือนดังคำกล่าวที่วา ศีลเป็น เหมือนเสื้อผ้าที่ทำให็เราเรียบร้อยสบายใจในการจะ ออกไปพบปะผู้คน เป็นตนว่า อยู่ๆ เกิดไฟไหม้ขึ้น เรา ตกอกตกใจ วิ่งออกไปทั้งที่แต่งตัวไม่เรียบร้อย ครั้น ออกไปแล้ว คลายความตกใจ เราจะสะดุ้ง กระดาก อายที่จะเจอะเจอผู้คน ใจที่ไม่มืศีลรักษาเอาไว้ จะ สะดุ้งผวาทำนองนั้น ทำให้เกิดความไม่สบาย สะดุ้ง กังวล ไม่เป็นสุขศีลไม่ใช่ข้อบีบรัดหรือบังคับให้เราตกอยู่ใน สภาวะจำยอม ..ทำไมต้องเป็นเรา ทำไมเราถึงต้อง อดทน ทำไมคนอื่นถึงไม่ต้องอดทนบ้าง ถ้าปล่อยใจ ให้คิดไปอย่างนี้ เราขาดปัญญาที่จะคุ้มครองตัวเอง แล้วทำให้ตัวของเราพลอยเสื่อมตามสังคมไปด้วย เพราะถ้าเราคิดว่า เมื่อเจ้ามารู้มากเอาเปรียบกับเรา แล้วเรายังไปทำดีด้วยอีกหน่อยเจ้าก็ได้ใจใหญ่กิเลสเสี้ยมสอนให้เราคิดอย่างนั้น เมื่อเราหลวมตัว ลงมือประกอบความเห็นแก่ตัว รู้มากเอาเปรียบ อย่างนั้นไปบ้าง อีกไม่นานใจของเราก็ด้านกระด้าง ครั้งแรกที่ทำสิ่งไม่ดื เรายังตะขิดตะขวง ไม่สบายใจแต่พอทำหนที่ 2 หนที่ 3 ใจจะเกิดความเคยชินแล้ว ก็ด้าน ทำไปโดยอัตโนมืตเลย ต่อมาเรากลับไปสังคม คนดี เรากิยังคงทำไม่ดีอยู่อย่างนี้ เพราะเคยชินเป็น นิสัยเสียแล้วถึงตรงนี้ เราระลึกนึกได้ อยากจะแก้ไขตัวเอง ก็ใช่ว่าจะแก้ได้ง่ายๆ ไม่ใช่ว่ารู้แล้ว เรา สั่งตัวเอง กดสวิตซ์ไม่ทำแล้วทุกอย่างจะเรียบร้อย มันไม่เลิกหรอก เพราะกลายเป็นอัดโนมัติไปแล้ว เป็นเหมือนปฏิกิริยาตอบกลับตามประสบการณ์อดีต ขึ้นมาแล้ว ทำให้ยากที่เราจะไปลบล้างมันได้
การจะรักตัวนี้ เราต้องรักในทางที่ถูก เราต้อง มองเห็นเหตุผลอย่างนี้ จึงจะมีกำลังใจที่จะฝึกฝืน ควบคุมตัวเองเอาไว้ อะไรที่เป็นสิ่งดีงาม อะไรที่มี เหตุผล เรากิจะได้ฝึกตัวเราให้ทำอยู่อย่างนั้น ผลที่ สุด ใจของเราจึงจะเป็นใจที่มืความสุขล้าเรายังสับสนและไม่รู้เหตุผลเพียงพอ การทำ ความดีจะถูกกิเลสทดสอบและเย้ายวนแล้วตัวตนของเราก็จะมายุให้รำตำให้รั่วว่า เราก็รู้เท่าทันนะ เราก็ทำชั่ว ๆ อย่างนั้นเป็น แล้วเรื่องอะไรเราถึงจะ ต้องทำเป็นคนโง่เซ่อ ให้เขามาเอารัดเอาเปรียบอยู่ ฝ่ายเดียว เหตุผลผิดๆ จากความรู้ไม่รอบ รู้ไม่จริงมายุให้รำตำให้รั่ว แล้วถ้าใจของเราไม่มีหลักเพียงพอ เราก็เฉตามไปเหมือนคนไม่มีภูมิคุ้มกัน ไปอยู่ในลังคมที่เขา กำลังเป็นหวัดกันงอมแงม เราก็ติดหวัดเขา แต่เวลา เราติด เราไม่ติดแค่เป็นหวัด ไอ 2-3 แค้กแล้วหาย เราจะเป็นถึงปอดบวม นํ้าท่วมปอด เข้าไอซียู แล้วถึงตายไปเลยก็ได้ตายจากคุณงามความดีเพราะคนที่เคยทำความดีมาแล้ว เผลอไปทำชวเข้า มนจะเสิยใจ สะคุ้ง ละอาย ใจหม่นหมอง หมดกำลัง ใจของเรา เลยตายจากคุณงามความดี เหมือนตายทั้งเป็น แล้ว เราจะมืชีวิตอยู่อยางนั้นหรือ แทนที่จะมืความสุข เบิกบานกับชีวิต เรากลับเหมือนคนมีแผล ทุกข์เดือดร้อนสังคมที่เสื่อมนั้นเป็นเหมือนหินลับปัญญา ที่จะทำให้เราถามหาเหตุผลกับตัวเองว่าทำไม แล้วเราจะทำตามเขาหรือเราจะทวนกระแสของเขาที่ทวนกระแสนั้น เราเป็นเหยื่อเขาหรือว่าเราทำเพื่อคุณงามความดีของเราเอง ลำบากแต่คันมือ แล้วสบายปลายมือ เหมือนชาวสวนชาวนา ที่เหนื่อย ยากพลิกดินใส่บิยปลูกค้นไม้ แต่ถึงตอนสุดท้ายแล้วเขาก็เก็บเกี่ยวได้ผลมากินมาใช้ มีความสุข ชีวิตของ คนเราก็เป็นอย่างนี้กันทั้งนั้นถ้าไม่ไตร่ตรองให้ละเอียดกี่ถ้วน เราก็จะรู้เทา ไม่ถึงการณ์ แล้วเข้าใจผิดว่า เราฉลาดแล้ว เราทำ ถูกแล้ว แต่ความจริงเราทำพิษทำภัยให้ตัวเราต่อไปถ้าสังคมขาดแคลนมากไปยิ่งกว่านี้ เมื่อ ใจไม่มีศีลแล้ว ตัวเราเองก็ไว้ใจตัวเองไม่ได้ อยากได้อะไร ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็ เอาด้วยคาถา ทำให้ใจเกิดความหวาดระแวง เพราะ เราก็เอาตัวเราเป็นไม้วัด คิดว่าคนทุกคนก็เป็นอย่าง เดียวกับเราทั้งนั้น ไครพูดอะไรไม่ถูกกิเลสเรา เราก็ ไม่เชื่อ เราก็ระแวงไปทั้วหมด ทำให้เกิดความระสํ่า ระส่าย เขาพูดถูกเราก็ไปกล่าวหาเขา มีแต่ปัญหา ทำงานการร่วมกันก็ไม่ได้ รวมกลุ่มกันก็ไม่ได้ คราว นี้จะทำอย่างไรทางแก้ไขคือการยอมยอมว่า เอาละเราต้องไว้วางไจเขาก่อน คนเราถ้าไม่มีการให้เกียรติกัน ไม่ มีการเชื่อถือกัน ก็อย่ด้วยกันไม่ได้ แล้วถ้าเราไปหวังว่าเขาด้องเป็นฝ่ายให้เรามาก่อน ทำนองเดียวกับ
การเล่นกีฬา ต่างฝ่ายต่างก็ ตูจะต้องแตะลูกก่อน ก็ เลยไม่ไต้เล่นอะไรกัน มัวแต่ขึงตาคุมเซิงกันอยู่อย่าง นั้น แต่ถ้าเราเป็นฝ่ายยอมให้เขาเอาไปก่อน เมื่อให้ ไปแล้ว ผลที่กลับคืนมาเป็นว่าเขาเป็นคนที่ไว้เนื้อ เชื่อใจไม่ไต้ เราก็ไต้รู้เอาไว้ตามเนื้อผ้า ต่อไปเรา จำเป็นต้องทำกิจการร่วมกับเขา เราจะไต้รู้ทางหนีที ไล่ว่าจะทำอย่างไรเป็นต้นว่า คนๆ นื้ถ้าเราไว้เนื้อเชื่อใจ เขาขโมย เราทุกที เราก็ไม่ไปผูกโกรธ หรือไปตัดพ้อต่อว่าเขา เพราะบอกแล้วเขาก็ไม่ดีขึ้นมา จิตใจของเขา ยังไม่มี หลักมีเกณฑ์ เรากลับมาแก้ไขที่เรา คนๆ นี้ไม่มีความยับยั้งชั่งใจเราก็อย่าเอาของไปล่อกิเลสเขาความระลีกรู้ตัว ความไม่ประมาท ช่วยให้เราหามาตรการป้องกัน เหมือนเวชคาสตรืชุมชน เรา ไม่ปล่อยให้คนเป็นโรคเสียก่อนเราไปสอน ไปให้การศึกษา ให้เขารู้จักป้องกัน จึงจะให้ผลได้เต็มเม็ด เต็มหน่วย ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นโปลิโอเสียก่อน แล้ว จึงมารักษา ทำให้เกิดความพิการขึ้นเราป้องกันเสียก่อน เพื่อรักษาศักยภาพสูงสุดเอาไว้
จิตใจของเราก็เหมือนกัน เมื่อรู้ว่าคนๆ นี้ไว้ใจ ไม่ได้ เขาเห็นสิ่งของแล้ว เป็นต้องเผลอใจขโมยทุกทีเพราะฉะนั้นก่อนเราจะไปไหน ก็ดูเก็บงำให้เรียบร้อย อย่าไปวางล่อกิเลสเป็นความผิดของเราที่เอาไปวางเย้ายวนเขาเอง ถ้าคิดได้อย่างนี้ สังคมจะเกิด ความเชื่อถือซึ่งกันและกัน พูดจากันแล้วก็ไว้ใจกันได้ เมื่อเราผิกฝนตัวของเราให้มีทาน มีความ เอื้อเฟ้อเผื่อแผ่ มีศีล ก็เหมือนอย่างกับเรามีกฎหมายอยู่ในตัว ไม่ไปล่วงสิทธิเบียดเบียนผู้ใด ใครมา เย้ายวนล่อใจ เราก็มีกำลังเข้มแข็ง ไม่ตกไปสู่ความ ชั่ว แล้วเราก็ให้ความไว้เนี้อเชื่อใจ เคารพในสิทธิผู้ อื่นตัวของเราก็มีความเที่ยงตรง เป็นตัวอย่างให้คนที่กำลังเคว้งคว้างไม่มีหลักอย่างเรา ไม่มีใครช่วย ชี้แนะให้เขารู้ ได้ยึดเราเป็นแบบฉบับว่า สมัยนี้จะ ว่าว่าไม่มีความดีงามก็ไม่ใช่ มันก็มีอยู่เขาก็เกิดกำลังใจ มาเป็นแนวร่วมกับเราที่สงสัยว่า คนดีสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว ไม่มีหรอก ก็มีให้ได้รู้เห็นสิ้นสงสัย เมื่อไรเราทำจริง ย่อมมีผลจริงชั้นมา เหมือนสมัยโบราณยังไม่มีไม้ขีดไฟ จะ จุดไฟ ต้องเอาไม้แห้งๆ 2 อันมาสีกันจนกระทั่งเกิดไฟขึ้น เอาไปหุงงต้มทำอะไรตามต้องการคนสมัยใหม่ ไม่เคยสีไฟ แล้วเราก็มีความรู้แบบ รู้ รู้ หลง หลง ว่าไม้เป็นคนละธาตุกับไฟ เอาไม้มาสี กันแล้วจะได้ไฟขึ้นได้อย่างไร ถ้าไฟมีอยู่ในไม้ ไม้มี ไหม้ไปหมดแล้วหรือ ความเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยัง ไม่รู้จริง รู้ถึงแก่น เลยทำไห้เกิดความสงสัย สับสน วนวาย ปล่อยใจไห้ปรุงคิดไปตามความรู้ไม่จริงของ เรา ตกลงเราก็รามีอโดยไม่รู้ดัว เพราะมัวแต่คิด เพลน ไฟที่กำสังสะสมกันระอุขึ้นมาก็กระจายไป ... คนบอกเราให้เราสี.. เอ้า เราก็สีเร็วขึ้นอีกหน่อย ความ สงสัยในไจทำให้เราไม่ศรัทธา เราก็สีแบบของเรา สี ไปจนตายมันก็ไม่มีไฟ เราเป็นนักวิทยาศาสตร์ เชื่อ ในผลการทดลอง ผลที่ทำกับมีอเองเชียวนะ สีทีไร ทีไร ก็ไม่ได้ไฟ เราก็สรุปว่า ที่ผู้ใหญ่บอกเล่ากันมา นั้นหลอกที่งเพ แต่ถ้าเขามาสาธิตวิธีสี เขาสีแล้วมัน ก็มีไฟขึ้นมาจริง ๆ
ถ้าเราไม่ลงมือทำ ไม่ซื่อตรงต่อตัวเอง ไม่ทำ ให้ถึงแก่น เราก็ปิดกั้นหนทางการเรียนรู้ของเรา เรา ไปคลุกเคล้ากับสังคม โดยขาดสติปัญญา เราก็เลย พลอยเสื่อมตามเขาไป เพราะธรรมชาติของใจนั้น
เหมือนนํ้า ถ้าไม่มีทำนบคือไม่มีสติตั้งมั่น ถามหาเหตุผลว่าที่กำลังทำนี่เราทำดีแล้วถูกต้องแล้ว จริงแน่หรือ หรือว่าทำพอเป็นพิธีใจคนเรามีอุปาทาน ความเชื่อมั่นสำคัญผิด ครอบครองอยู่ เชื่อตามที่คืดว่าเรารู้ เหมือนนํ้าซา ล้นถ้วย ที่มีอาจารย์ท่านหนึ่งเชื่อว่า ตัวท่านเป็นคน มีความรู้ความสามารถมาก มีใครผ่านมาเป็นปราชญ์ เป็นนักบวช ท่านจะไปทดสอบหมด วันหนึ่ง ท่านได้ข่าวว่ามีพระอรหันต์มาพักอยู่ที่ซานเมืองท่านก็ ไปพบพระองต์นี้ท่านมีวาระจิต รู้ความนึกคิดของอาจารย์ว่าหลงตนหลงตัว สอนอะไรเข้าไปก็ไม่ไต้ เรื่องพระหักทายอาจารย์พร้อมกับรินนํ้าชาไปเรื่อยอาจารย์ก็จับตาดูเพราะไปเพื่อจะจับผิดมือท่านรินนํ้าชาปากก็พูดปฏิสันถารอาจารย์ไปเรื่อย ท่าเหมือนคนแก่ลอะๆ เทอะๆนํ้าชาเดื่มจนล้นถ้วยแล้วก็กังรินอยู่มั่นแหละ อาจารย์ท่านนี้ก็อดรนทน ไม่ได้ ท้วงว่า พระคุณเจ้า นํ้าชาล้นถ้วยแล้ว ท่านจะ รินไห้หกเสียเปล่าไปทำไมพระรูปนั้นก็ตอบว่า มันก็เหมือนใจของบางคน ที่นึกว่าตัวรู้ไปหมดทุกอย่างแล้ว ใครพูดอะไรก็ไม่ไล้ ยิน เพราะมัวได้ยินแต่เสียงความคิดของตัวเอง ไม่ผิด กับที่อาตมารนนํ้าชาล้นล้วยนี่แหละเราจึงต้องระวังตัวเอาไว้ว่า อะไร อะไร ที่เรา สำตัญว่า เรารู้แล้วนี่ เรารู้จริงๆ หรือเราหลงไปตาม ที่ใจเราหลอกเราเอง อย่าให้เราเป็นผู้ปิดกั้นหนทาง ของตัวเอง แกตัวของเราเอาไว้ว่า ถึงเราจะรู้แต่การฟังคนอื่นพูดนี่ มันก็ไม่ไล้ทำให้เราเสียหาย เพราะ ธรรมชาคิของมนุษย์เรา มีทั้งนก มีทั้งปลา มีทั้งเต่า จริตนิสัยล้วนไม่เหมือนกัน ถ้าเราไปยึดว่า เราเคยรู้ เคยทำอย่างไร ทุกคนก็ต้องทำอย่างนั้นล้วย มันก็ ไปบีบบังคับสิทธิมนุษย์ชนถ้าเราเป็นนก แล้วบังเอิญเพื่อนเราเป็นปลา เรายืนยันว่าว่ายนํ้ามาไม่ได้ผิด ต้องบีนมาแล้วเรา ก็เอาเพื่อนที่เป็นปลามาเกาะกิ่งไม้ให้โผบิน เพื่อนก็ ตายกันเท่านั้นแหละ
ถ้าเข้าใจอย่างนี้ การอย่ในสังคมก็ง่ายขึ้น เรา เอาใจเขามาใส่ใจเรา ตรงไหนที่เขาผิดบกพร่อง เรา ก็ช่วยแก้ไขตักเตือน ด้วยใจที่เมตตาเอื้อเฟ้อเผื่อแผ่ เขาก็เปิดใจรับได้ ไม่ใช่ไปบีบบังคับเอาแด่ใจตน ถึง เป็นปลาก็ไม่ได้ คุณต้องบิน ถ้าไม่บินคุณผิดแน่นอน ปลาทั้งหลายก็สยดสยองฝ่อตายเท่านั้นใจที่มีปัญญา เห็นตามเป็นจริงจะหนักแน่นอ่อนโยนฟังเหตุผลของผู้อื่น เพราะแน่ใจมั่นใจในความรู้เห็นของตนถึงใครไม่เชื่อถึอเรา เราก็ไม่หน้าแตก หรือเดือดร้อนว่า เขาดูถูกศักดิ์ศรีของเรา ใจที่ ขาดความมั่นใจในตัวเอง จึงระแวง เกิดปมว่า ไม่ได้ ถ้าเขาไม่ท่าอย่างที่เราคาด แปลว่าเขาไม่ให้ความ นับถือ ไม่ให้เกียรติเรา ใจแบบนี้ก็กระด้าง ยกตน ข่มท่าน ความจริงก็ไม่ได้ตั้งใจจะยกตนข่มท่านหรอก ไปสำคัญผิดว่า ถ้าไม่ปีดปัองเอาไว้ว่าฉันดืพร้อม หมดเขาจะปรักปรำเอาได้ ก็เลยเหมือนกับว่าเรา เอาความผิดไปปัายให้คนอื่น ท่าให้เกิดการแตกร้าว กันขึ้น สังคมขาดความอบอุ่น ขาดความปลอดภัย ใจก็ระสาระสาย
ถ้ามีปัญญาใคร่ครวญพิจารณาตามที่กล่าวมาเรารู้เหตุรู้ผลเราเข้าใจ คนบางคนต้องปล่อยให้ พูดออกมา ไม่อย่างนั้นจะเป็นนั้าชาล้นถ้วยเราฟังเขาพูดจะได้รู้ว่าในใจของเขามีอะไรอยู่ตรงไหนที่
เราแก้ไขได้ ชี้แจงได้ เราก็ทำตามเนื้อผ้าไป กริยา ของเราก็อ่อนโยนทำให้การอยู่ร่วมกันในสังคมราบรื่น ที่ไหนจะเสื่อมหรือไม่เสื่อม เราเข้าไปอยู่แล้ว ก็ สามารถทำให้ที่นั้นเปลี่ยนแปลงไปตามประสงค์ของเราได้
สังคมคืออะไร สังคมก็คือหน่วยของบุคคลที่มา รวมกลุ่มกันขึ้น แต่ละบุคคลเหล่านื้ก็ไม่ใช่ของที่จะ เปลี่ยนแปลงแก้ไขไม่ได้ เพราะแต่ละบุคคลก็เป็น ส่วนผสมระหว่างอารมณ์กับสต ถ้าเมื่อไรเราฝึกให้ ตัวเราระสึกรู้ตามเป็นจริง คือมีสตรู้เท่าทันผัสสะที่ มากระทบได้ตามความเป็นจริง ถึงปัญหาจะใหญ่ยิ่ง แค่ไหน เราก็สามารถเอาปัญญาไปแก้ไขให้คลี่ คลายตังต้องการได้ ถ้าหนักหนาสาหัสจนแก้ไม่ได้หมดทุกจุด ก็พอคลี่คลายให้เบาบางไปได้ ขณะแก้ไข ผู้คนที่เกี่ยวข้องเห็นผลที่เกดขึ้น ย่อมเกิดความเชื่อเลื่อมใสเพราะเขาสำคัญผิดว่าผันไม่มีทางแก้ไข เมื่อได้ประจักษ์ความจริง ทิฐิความเห็นของเขาก็เที่ยง ตรงขึ้นถ้าวิเคราะห์สังคมที่เราอยู่ หาจุดว่าผันเสื่อม จากอะไร แล้วแก้ไขความเสื่อมแต่ละจุดเหล่านั้น ดัง
ที่ได้เรียนให้ทราบ เราก็สามารถดำรงตนอยู่ในสังคม และช่วยยกระ ดับของสังคมให้ดีงามขึ้นได้ ไม่มีอะไร ยากเกินความเพียรพยายามของมนุษย์ไปได้ ใจคน เรามหัศจรรย์ยิ่งนัก ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ ถ้าเรา ตั้งใจของเราให้ดี ตั้งใจของเราให้เที่ยงตรง ปัญหา อะไร อะไร อะไร ก็คลี่คลายไปได้การที่พวกคุณได้มาเป็นนักศึกษาแพทย์ ดิฉันถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะช่วยเหลือสังคมความหนักใจห้อใจกับสภาวะของสังคมทุกวันนี้ ทำให้เรา ยกเรื่องนี้ขึ้นมาปรารภกัน ทำไมสังคมถึงเสื่อม ถ้ามองให้ทะลุลงไป สังคมนี่เป็นธรรมชาติ มันไม่มี เจริญไม่มีเสื่อมหรอก แต่ใจของแต่ละหน่วยในสังคม คือดัวเรา ที่มาประกอบกันขึ้นเป็นสังคมนั้นสิ ที่ เจริญหรือเสื่อม เพราะฉะนั้นอย่าไปมองที่ผลให้มองไปที่เหตุ
เราเป็นชาวพุทธเป็นนักวิทยาศาสตร์ของทุกอย่างมาแต่เหตุเราอย่าไปดีดอยู่ว่า สังคมเสื่อม แต่ ให้หาไปที่เหตุว่าสังคมคืออะไรสังคมคือองค์รวมของบุคคล แถ้วบุคคลทำอย่างไร ถืงมีผลเป็นความ เสื่อมอย่างนี้ ถ้าสืกวิธีคิดอย่างนี้ เราก็จะแก้ปัญหา ไปในตัว แทนที่จะไปบ่น บ่น บ่น เราเลยกลายเป็น ส่วนหนึ่งที่ทุ่มเทความเสื่อมให้ลังคม แล้วปล่อยให้ สะสมมากขึ้น มากขึ้น จนทำให้เราหนักใจท้อใจ
ล้าคิดสันหาไปที่เหตุ ใจของเราจะเกิดกำลัง สร้างสรรค์ เห็นเป็นโอกาสที่ท้าทายให้ว่า เมื่อจบ ออกไปแล้ว เราจะเอาความรู้ความสามารถและนํ้าใจ ของเราไปเจือจานสังคมไปเจือจานประเทศชาติได้ อย่างไร
เราอยากให้มันดี ก็เริ่มลงมือ เหมือนเราอยาก ไสัผลไม้พันธุไหน เราก็ขวนขวายหาเม็ดพันธุ์เหล่า นั้นมาปลูก ประคบประหงม คอยให้ปุ๋ยให้น้ำ ดูแล ให้ดี วันหนึ่งต้นที่เติบโตขึ้นมาก็ออกลูกให้เราชื่นใจ นี่ก็ทำนองเดียวลัน พันธุไม้ที่เราเลือกปลูกลงไปใน ใจของเรากิคือ ความคิดมโนกรรม คำพูดวจีกรรม และการกระทำกายกรรมของเราทุกๆ ขณะที่ทำอะไรลงไป เรากำลังหว่านเม็ด พันธุ์ลงไปที่ใจของเรา ถึงวาระอันเหมาะพืชพันธุนั้น กิงอกขึ้นมา ให้เราได้กินได้ใช้เป็นอาหารใจ ให้เกิด ความเชื่อมั่น เกิดกำลังใจ ....แน่ใจว่าชีวิตเราไปในทศ ทางที่ถูกต้องแล้วลมพายุแห่งโลกธรรมคือกิริยา
สัมปชัญญะปัญญารักษา ฟ้าเผลอไปทำอะไร ที่ไม่ตีไม่งามเข้า จะเตีอดร้อนไม่สบายใจเพ่งโทษตนเองและห้ามปรามตัวเองไหไม่ทำอีก เป็นจดที่ไม่หยาบที่พร้อมจะชัดเกลาแกไขตัวเองให้พฒนาขึ้นไปเรื่อย ๆการมีกให้จิตมีความละเอียดอ่อน คือฝึก ฝนให้มีสตีคอยตามระสิกร้เท่าทันอิริยาบถ ของกายและอาการปรุงคืดฃองใจ รักษาให้ อารมณ์ของใจอยู่ในสภาวะที่เป็นกุคลอยู ตลอดเวลาเมื่อสติคมไว ร้เท่าทันเพิ่มขึ้น จนเป็น ฐานที่แน่นหนาของสัมมาทฐิ ใจร้เห้นตามเป็น จริงมากเท่าใด จิตกละเอียดอ่อนยิ่งขึ้นเท่านั้น
ถาม : ฟ้ายังตีดหริอยึดมั่นไนความตี เราก็ยังมีความ ทุกฃอยู่ ยังควรที่จะตีดกับความตีและความ ชั่วหรือไม่ครับ
ตอบ : เริ่มแรก เราก็ยังตีองติดทับความดีก่อน เหมือนเราจะขึ้นไปที่ชั้น 9 แล้วเราก็บอกว่า
วัตถุสิ่งของได้ ใจก็ได้อาหารที่ถูกหลัก ครบหม่เหล่า ทำให้มีสุขภาพจิตแข็งแรง สร้างสรรค์ลังคมให้ไปใน ทิศทางที่ดีขื้นจะมีคาถามอะไรไหม เรียนเซิญค่ะ
ถาม : ขอให้อาจารย์อธิบายคำว่า จิตละเอียด ให้ฟัง ด้วยครับ และการฝึกจิตให้มีความละเอียด อ่อนสามารถทำด้วยวิธีใดบ้าง
ตอบ : ที่ถามว่าจิตละเอียดนี่ ดิฉันไม่แน่ใจว่า จะ ถามว่ากายละเอียด หรีอจิตละเอียดลันแน่ ปกติเรามักพูดลันว่า ร่างกายเป็นกายหยาบ เมื่อกายหมดลมหายใจไปแล้ว ใจที่อยู่ในกาย อันนี่ก็ยังคงอยู่ ไม่ได้ตายสูญหายไปพร้อมลับ ลมหายใจที่หมดไป เราก็บอกใจไปอยู่ใน สภาพของกายละเอียด คือในสภาพที่เป็นตัว ใจเอง อันนั้นอันหนึ่งแต่ล้าผู้ถามยืนยันถามคำว่า จิตละเอียด ก็หมายความถึงใจที่ได้สืกอบรมให้ร้ผดชอบ ชั่วดี มีความสะด้งละอายต่อความผดความชั่ว ใจชนิดนี้จะคอยฟังเหตุผลของตัวเอง มีสติ
สัมปชัญญะปัญญารักษา ถ้าเผลอไปทำอะไร ที่ไม่ดีไม่งามเข้า จะเดือดร้อนไม่สบายไจ เพ่งโทษตนเอง และห้ามปรามตัวเองให้ไม่ทำอีก เป็นจิดที่ไม่หยาบ ที่พร้อมจะชัดเกลาแก้ไข ตัวเองให้พัฒนาขึ้นไปเรื่อย ๆการฝึกให้จิตมีความละเอียดอ่อน คือฝึก ฝนให้มีสติคอยตามระลึกรู้เท่าทันอิริยาบถ ของกายและอาการปรุงคิดของใจ รักษาให้ อารมณ์ของใจอยู่ในสภาวะที่เป็นๆคลอยู่ ตลอดเวลา
เมื่อสติคมไว รู้เท่าทันเพิ่มขึ้น จนเป็น ฐานที่แน่นหนาของสัมมาทิฐ ใจรู้เห็นตามเป็น จริงมากเท่าใด จิดก็ละเอียดอ่อนยิ่งขึ้นเท่า ทัน
ถาม : ถ้ายังติดหรือยึดมั่นในความดี เราก็ยังมีความ ทุกข์อยู่ ยังควรที่จะติดกับความดีและความ ชั่วหรือไม่ครับ
ตอบ : เริ่มแรก เราก็ยังต้องติดกับความดีก่อน เหมือนเราจะขึ้นไปที่ชั้น 9 แล้วเราก็บอกว่า
เราไม่ติดกับความดี ความชั่ว เพราะฉะนั้น ทุบบันไดทิ้งไปหมดเลย แล้วทำยังไงล่ะ จะนั่งเพ่งว่าขอให้เราเหาะขึ้นไปบนชั้น 9อย่างนั้น หรือการพูดอย่างนี้เป็นทฤษฎีเกินไป ใจที่ไปติดในความดีก็เป็นทุกข์ ติดในความชั่วกิเป็น ทุกข์ ใช่ แต่ทีนี้ กาวจะดำเนินไป ก็ต้องมี มรรค มีหนทาง มีบันได มียานพาหนะนำไป ก่อน แด่ให้เรารู้เอาไว้ว่า เรายังยึดอาศัยความ ดีเป็นอาหารใจ ให้รู้สึกว่า ถ้าไม่ประกอบ คุณงามความดีไว้เป็นเสบียงแล้ว ใจจะไม่มี กำลังไปจนถีงที่สุดได้ แต่อย่ายึดจนเป็นทุกข์เราอย่าไปยึดว่า ถ้าทำดีแล้วคนทั้งโลกก็ต้องดีด้วยหรือทำดีแล้วคนอื่นก็ต้องเห็นต้องสรรเสริญเหมือนเด็กที่ทำดีแล้วก็หวังว่าแม่จะต้องให้รางวัล ถ้าแม่ไม่ให้รางวัลกิ กระทืบมือกระทืบเท้า ถ้าเป็นอย่างนั้นเราขาดทุนพูดถึงเรื่องนี้ก็นึกถึงนิทานเปรียบเทียบ เรื่องหนึ่ง ที่เปรียบคำสอนของพระพุทธเจ้าเหมือนมะพร้าว พวกเราเหมือนคนเดินทางที่ ไม่รู้ว้ธีกินมะพร้าวคนเดินทางคนแรกมาถึง เห็นป้าย อนุญาตไว้ว่า ผลไม้นี้ใครหิวกระหาย กิเอาไป กินเอาไปดื่มได้ ยกให้เป็นทาน คนเดินทาง คนแรกเข้าใจว่า กาบมะพร้าวคือเนี้อที่กินได้ ก็ลงมือเฉาะเอากาบมะพร้าวมาเรียงก้นเอาไว้ แล้วโยนลูกมะพร้าวทิ้งไป เริ่มต้นเคี้ยว.. เคี้ยว.. กาบมะพร้าว พลางนึกผลไม้นี้ประหลาดนะ เนื้อของมันต้องถูกนํ้าลายไปคลุกเคล้าเสีย ก่อน ถึงจะเปลี่ยนจากใยแข็งๆ ไปเป็นนํ้าตาล กิค่อยๆ เคี้ยว ยิ่งเคี้ยวกิยิ่งเจ็บ จนเหงือก ระบม ฟันโยกคลอนไปหมด ในที่สุดก็โกรธโยนทิ้งไป พร้อมทั่งด่าเจ้าของสวนว่า สมคง ถูกใครหลอกเอาผลไม้อะไรก็ไม่รู้มาปลูก ที นี้พอมีลูกขึ้นมาแล้ว ก็ไม่รู้จะเอาไปทิ้งที่ไหน เลยออกอุบายให้พวกเราช่วยขนเอาไปทิ้งให้ คนประเภทนี้ เปรียบได้กับผู้ที่รู้จักคำสอน ของพระพุทธเจ้าแด่เพียงประเพณีว่า เราต้อง ทำบุญใส่บาตรนะ ถึงวันนักขัตฤกษ์ต้องมี พิธีกรรม มีอะไรอย่างนี้ เลยเข้าใจไปว่า คำ สอนของพระพุทธเจ้าเหมือนกาบมะพร้าว อะไรๆ ก็เสียสตางค์ อะไรๆ ก็ต้องยุ่งวุ่นวาย เหมือนคนบางคนสรุปว่าพระเป็นกาฝากของ สังคม คือไปรู้จักแต่แค่ประเพณี
คนที่ 2 ดีขึ้นมาหน่อย ผลไม้นี่มีเปลือก แข้งแรงห่อหุ่มเอาไว้แต่ไปเข้าใจผิดว่ากะลา มะพร้าวคือเนี้อ แล้วก็ลงมือขบกะลามะพร้าว เหมือนขบเกาลัดทำนองนั้น ขบจนกระทั่งฟัน บิ่นกะลาก็ไม่แตกก็โยนทิ้งไป ก็เหมือนพวกเราๆ ที่ เราดี เราละอายต่อความผิดความชั่ว แล้วไปเข้าใจผิดคิดว่า เมื่อเราดีได้ทุกคนก็ ต้องมีสามัญสำนึก และ ดีไต้อย่างเรา ครั้นไป พบเห็นใครที่ไม่ดีก็ไปว่ากล่าวเข่าครั้นเขายังไม่ดีตาม ก็ทนไม่ใด้ คนอะไรไม่รู้ ว่ายาก สอนยาก ไม่มียางอาย เราไปติดว่า เราเป็น ตำรวจที่ต้องรักษาโลกนี้ให้มืศีลธรรม มืคุณ งามความดี แล้วก็ไปทึกทักเอาว่า อะไรที่เรา รู้ทุกคนก็ต้องรู้บ้างก็เป็นมนุษยเหมือนกัน แหละ แต่ไม่ไต้เข้าใจว่า พัฒนาการทางจิตใจ นี่ไม่ไปกับร่างกาย คนบางคนอายุเท่าๆ กับ เรา แต่ไปลูลิ ถ้าไปวัดไอคิว อาจจะเท่ากับ เด็ก 6 เดือนก็ได้ เหตุผลอะไรเขาก็ไม่มี เรา จะไปโกรธแค้นเขาก็ไม่ถูก มันก็เลยเหมือน อยางกับไปขบกะลามะพร้าว แล้วเราก็ทุกข์ เดือดร้อนไปหมด เพราะไปยึดผิดว่า ทุกคน ในโลกนี้ต้องดีเหมือนๆ กันคนเดืนทางคน 2 ที่ 3 ก็แบบ 2 คนแรก แต่ตรึกตรองว่า ผลไม้นี่เราไม่รู้จักวิธีกิน เรา ยังศึกษาไม่รอบคอบ ในเมื่อเจ้าของบอกแล้ว ว่าใครหิวกระหาย เอาไปกินเอาไปดื่มได้ ก็ จับมะพร้าวมาพลิกอย่างพินิจพิเคราะห์ ได้ ยินเสียงนํ้ากระฉอกอยู่ข้างไนก็รู้ว่าในผลไม้ มีนํ้าแน่จึงหามืดมาเซาะเปีดฝากะลา ก็ได้ กินนํ้ามะพร้าวอ่อนหวานชื่นใจ พร้อมเนี้อที่ กำลังนุ่มเป็นวุ้นเปรียบเหมือนผู้ที่รู้จักปฏิบตจิตใจของตน แกให้มืสตรู้ตามความ เป็นจรึงดูอะไรก็ไม่ได้ดูแต่รูปร่างว่าเขาเป็น มีใหญ่แล้วตัวมันโตเท่ากันอย่างที่เรียนให้ทราบเมื่อกี้นี้ แต่จิตใจมืพัฒนาการไม่เท่ากันคนบางคนเคยฝึกใจมาแล้ว พูดคงเรื่อง ดุณงามความดี ก็พูดกันง่าย เข้าใจ มีดวาม นับถือตัวเองแต่คนบางคน ยังเหมือนเดีกเผลอไม่ได้เผลอก็จะแอบทำสิ่งที่ไม่ดี เราก็ เข้าใจ เมื่อฝึกปฏิบัติแล้ว เราจะมองเห็นสิ่ง ทั้งหลายตามความเป็นจริง เมื่อรู้แล้วก็ไป เกื้อหนุนอย่างที่เมื่อกี้นี้เราพูดกัน ใจของผู้นั้น ก็มีความสุข เพราะไม่ไล้ไปหวงว่าคนทุกคน จะต้องเป็นเหมือนอย่างกับเอาตัวเขาเป็น มาตรวัด ไปเจอใครไม่ดีก็ไม่เกิดความท้อถอย ใจรู้เห็นตามเป็นจริงว่า ในสังคม คนที่ดี ก็มีหน้าที่ช่วยเป็นแบบฉบับ เป็นกำลังใจ ให้ คนไม่ดีปรับเปลี่ยนพฤดีกรรม เมื่อช่วยแล้ว เขาไม่เปลี่ยนแปลง เราก็ยอมรับว่าเขายัง ละเมอไม่ตื่น ให้โอกาสอีกสักหน่อย เราก็ไม่ เกิดความหงุดหงดตับข้อง ใจที่เฟ้นตามเป็น จริงอย่างนี้ จะไม่ไปยืดกับความดี หรือไป ปรักปรำความชั่ว มืแด่จะเข้าใจตามความ เป็นจริง ไม่หมดกำลังใจในอันที่จะทำคุณงามความดีต่อใปถ้าใจยังขาดปัญญาความดีความชั่วก็มากดถ่วงให้ทุกข์อยู่
ถาม : การเกิดความเครียดในการเรียนระดับมหา วิทยาลัยมีอย่างไรบ้างโดยเฉพาะคณะแพทย์ฯ
ตอบ : ความเครียดเกิดเพราะใจเราไปยึดอยู่ที่ผล ไป ยึดว่าทำอย่างไรเรียนแล้วเราถึงจะสอบไห้ ไม่ต้องเหนื่อยมาก คือไปมุ่งหวังที่ผลมากเกินไป ก็เลยเครียดถ้านึกอย่างนี้ ว่าของทุกอย่างมาแต่เหตุ เวลาเรียนให้ตั้งอกตั้งใจจดจ่ออยู่กับบทเรียน เพื่อจะไห้รู้ เข์าใจถูกห้องเที่ยงตรง ไม่ตก หล่น แล้วอะไรจะเป็นไปก็เป็นเรื่องของผล เหมีอนเรามีที่อยู่แปลงหนึ่งการเรียนก็เปรียบเหมือนเราไปหาเม็ดพันธุมาปลูก เมื่อ เราสรรหาเม็ดพันธุอย่างดีมาปลูกแล้ว ก็ไม่ ไปคาดหวังว่านาของเราห้องให้ผลอุดมสมบูรณ์ เพราะเราไม่รู้ว่า ที่แปลงนี้มีปุ๋ย มีนํ้าบริบูรณ์ แต่ไหน เราตั้งใจเรียนเต็มที่ ขณะที่เพื่อนบาง คน ที่แปลงของเขาบริบูรณ์ทั้งบ้ยและนํ้า ไม่ ห้องดูหนังสือ ฟังครูพูดครั้งเดียว ก็เหมือนอัด เทปใส่ไว้ในใจ ถึงเวลาสอบไม่ห้องท่องมาก ก็สอบได้ส่วนแปลงของเราปรากฏว่าเป็นที่ตอนแห้งแล้ง ขณะฟังครูพูดก็ว่ารู้เรื่อง แต่ เผลอไปวันเดียว ชักสับสนเสียแล้ว ถ้าอย่างนี้ เราก็ต้องเพียรให้มากกว่าเขาถ้าเข้าใจถึงสภาวะเหล่านี้ เรามีหน้าที่ ประกอบเหตุ ก็ตั้งใจประกอบไปให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ส่วนผลจะเป็นอย่างไร ใจเราก็ไม่ ไปเครียดไปกังวล แล้วถ้าเราทำจนสุดกำลัง เต็มที่แล้ว ปรากฏว่าผลออกมาไม่ดี เราก็ให้ กำลังใจตัวเองว่า การที่เราเจอะเจออุปสรรค เสียตั้งแต่ยังเดีกยังเล็ก จะได้ฝึกให้เราเป็นคน มีนํ้าอดนํ้าท้น หนักเอาเบาสู้ ไม่อย่างนั้นเรา จะยึดต็ดที่ความสบาย สบาย สบาย ไปเรื่อย ทำงานไปเจออุปสรรคเข้า ก็เป็นโรคประสาท ไปเลยถ้ามีปัญญาให้กำลังใจกับตัวเองอย่างนี้ การเรียนก็ไม่เครียด ที่เครียดนี่เป็นเพราะเรา ชอบทำเงาขึ้นหลอกตัวเอง ..ถ้าตั้งใจทำแล้ว ผลจะต้องเป็นอย่างนั้นๆ เราเรียนเพื่อให้เรา มีความร้ เราเรียนเพื่อที่เราจะสนุกกับบท เรียนของเรา อย่าไปหวังว่าเรียนหมอแล้ว จบไปกี่ปีจะตั้งเนื้อตั้งตัวได้ ถ้าคิดอย่างนั้น เครียดแน่
ถาม : ที่อาจารย์สอนเปรียบเทียบให้เข้าใจเขา เข้า ใจเรา เหมอนกบนกกับปลา บางครั้งเราเชื่อ กัน คิดว่าจะทำอย่างนื้อาจจะเหมือนนก เขาก็ บอกว่าเขาเป็นปลา พอจะทำแบบปลา เขาก็ บอกว่าเป็นนก ในกรณีเช่นนื้จะแก้ไขอย่างไร ครับ
ตอบ : ถ้าอย่างนื้ เราก็อย่าไปสนใจ เพราะคนอย่าง นื้เป็นคนหลักลอย ทำอะไรไม่มีเหตุมีผล ขึ้น อยู่กับอารมณ์ของใจ ถ้าเราไปทำตามกิเลสของเขา เราก็บ้าเปล่าๆ เพราะไม่มีเหตุผล เราก็มาถามตัวเองว่า ที่ทำไปนั้นเรามี เหตุผลอย่างไร ถ้าเหตุผลสมควร ถูกทำนอง คลองธรรม ทำไปแล้วเราก็ไม่หวั่นไหวตาม ไป เขาจะพูดอะไร เราลูใจเราว่า เราเป็นต้นไม้ ที่มีรากแก้วหยั่งลึกเพียงพอหรือยัง โดนลม พายุพดเรายังโยกคลอนจนด้นเฉา แล้วถอน รากถอนโคนตาย คือตายจากคุณงามความดี
ไปหรือเปล่า ถือว่าเขามาทดสอบเราว่า เรามี ภูมิตุ้มกันปกป้องตัวเองได้หรือยัง ถาม ะ ศีลข้อที่ 1 ห้ามฆ่าสัตว์ เราฆ่ายุง ฆ่ามดนี่ บาปหรือเปล่าครับ
ตอบ : ศีลมีองคของการละเมิดศีลควบคุมอยู่ เราจะ ขาดจากศีลถืต่อเมื่อกระทาการครบองค์ทั้ง หมดของการละเมิด ดังนี้
สัตว์มีชีวิต
เรารู้อยู่ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต
เรามีไจคิดจะฆ่า
ลงมือเพียรพยายามที่จะฆ่า
สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น
ส่วนใหญ่เราฆ่ายุงฆ่ามดกันนี่ ใจยังไม่ ทันคิด เป็นไปตามความเคยชิน ..คันเหลือเกิน.. ปัดแรงไปหน่อย หรือไม่อย่างนั้นก็ตบ ลงไปด้วยความไม่มีสติรู้เท่าทัน ตบไปแล้วถึงระลึกรู้ว่า เกินเหตุไป มันกิตัวนิดเดียว เอาเลือดเราไปเท่าไรเชียว หยดเดียวแหละ ..แต่ ทำไม ต้องมากวนไจให้เราคันด้วย จะกินก็
กินไปเฉยๆ สิ ..ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนี้เพราะฉะนั้น จะว่าว่าบาปหนักบาปหนา ก็ไม่ใช่ แต่นำพาไปสิอุปนิสัยที่ไม่ดี คือไม่มีสติระลึกรู้เทาทัน บาปจากฆ่ายุงฆ่ามดนี้ ทำไห้ ใจของเรามีความไม่สงบ ไปดีดสะดึงฟุ้งซ่าน ก่อกวนตัวเอง พลังของใจแตกแยก ที่สำคัญ ที่สุดคือ มันฟักตัวก่อเป็นนิสัยขึ้นโดยเราไม่ เห้น ทำใจเราให้หยาบกร้าน ประมาทในเรื่อง ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น ในที่สุดโกรธคนไข้ ขึ้นมา เราก็จะเผลอว่าคนไข้เป็นยุงเป็นมดไป แล้วเลยทำผิดทำบาปใหญ่ขึ้นไปเรื่อย ๆอุปนิสัยที่เราสร้างให้กับตัวของเรา เป็น แรงขับเคลื่อนที่บ่งขึ้ว่าชีวิตของเราจะไปไน ทิคทางไหน มันไม่ใช่ว่าการฆ่ายุงฆ่ามดเป็น บาปหรือเปล่า แต่ป็ญหาอยู่ที่มันทำให้ใจของผู้ทำกร้าน ประมาทเพิกเฉยต่อคุณงามความ ดีเปรียบเหมือนเหล็กที่มีสนิมขึ้น แล้วเราไม่ ขัดทิ้งไป อีกไม่นาน ใจทิ้งใจของเราเลยกลาย เป็นกองขี้สนิมไป
ถาม :นั่งสมาธิแล้วรู้สึกหวิว ๆ จะทำอย่างไรครับ
ตอบ : เริ่มต้นให้เรามาทำความแน่ใจกันก่อนว่า การ นั่งสมาธิของเราเป็นประเภทใดได้บ้างเป็น
โมหสมาธิ ก็ไต้ คือนั่งให้ใจลงรวม แต่ไม่ ประคองสติให้มีแน่วแน่อยู่สมาธิประเภทนี้เปรียบเหมือนผู้ทำลงหลุมหลบภัย ปลีกความ รับผิดชอบออกไปจากใจ ปฏบติแล้วไม่เป็น ฐานให้เกิดปัญญา หรือเป็น มิจฉาสมาธิ ตั้ง ใจจดจ่อผิดทิศทาง คือปักใจแน่วในอกุศล เช่น เจ็บใจ พยาบาทเขา นั่งเพื่อให้เขาทุกข์เดือด ร้อนล้มหายตายจากไป หรือเป็น สัมมาสมาธิ คือรวมพลังของใจให้ตั้งนั่นชอบ แล้วเอา กำลังที่ได้นี้หมุนเข้ามาสอดส่องดูความผิด ความชั่วของตัวเอง เพื่อพิจารณาแก้ไขเสีย คนอื่นตำหนิเรา เราก็ยังยกตนหลงตัว ไม่เฟ้น ที่ผิดที่บกพร่อง แต่เราตำหนิเราเอง เป็นบ่อ เกิดของคุณงามความดีการทำสัมมาสมาธินั้น เราต้องระมัด ระรังให้มีสติระสึกรู้อยู่กับองค์บริกรรมตลอด เวลา ถ้าสติเป็นทำนบที่ไม่รั่วไหล ถึงจุดหนึ่ง
ใจที่เคยฟุ้งซ่านออกไปปรุงคิดโน่นนิดนี่หน่อย เริ่มรวมเข้ามาอยู่ในใจคือมโนทวารไม่ส่ายส่ง ออกไปรับรู้ตามดา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส ตามประสาทรับรู้ ให้เราทรงตัวอยู่ได้ เกิด สภาวะคลายๆ คนเป็นลม กล่าวคือรู้สึกหวิวๆ ขึ้นมา ถ้าสติที่ระสึกรู้เข้มแข้งอยู่ไม่ได้วูบหาย ไป นี่เราอยู่ตรงไหนนะ ก็ไม่ตองไปตกใจการทำสมาธิ กิเหมือนการเดินตามลาย แทงไปในดินแดนที่เราไม่รู้จักเลย เราจดจ่อ สติ ตามรู้อยู่กับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ละ ขณะ เมื่อใจลงรวมเข้าไปอยู่เป็นตัวใจ ไม่ ออกมารับรู้ดามอายตนะ จะเกิดความสงบ บางคนรู้สึกเหมือนตัวหายไป สักครู่ต่อมา บางคนก็มีกายกลับคืนมา แต่กายกับใจที่รู้ เด่นชัดอยู่นั้นแยกจากกัน ใจเป็นเหมือนเกาะ ที่มีนํ้าล้อมรอบเราด้องปฏิบัติไป แล้วก็เรียนรู้ไปจาก ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นเฉพาะของเราเอง ถ้าความรู้ตัวทั่วพร้อมชัดเจน อะไรเกิดขึ้น ไม่ ตองไปตกใจ พระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์ได้ดำเนินผ่านมาแล้วเมื่อมั่นใจว่าวิธีที่เราทำถูกด้อง เหมือนเราทำการทดลองในฟ้อง ปฏิบ้ตการ เราก็ต้องทำไปจนจบกระบวนการ แล้วจึงได้รู้ว่าสมาธีเป็นอย่างนี้
ถาม : มีคนกลาวว่า ทำดีได้ดีมืที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไปอยากถามอาจารยว่า คนที่มีความคิดอย่าง นี้ ถือว่าเป็นภาวะจึตที่เสื่อมหรือเปล่าครบ แล้วมีวิธีช่วยเหลือคนๆ นี้ได้อย่างไรบ้าง
ตอบ : ก็เป็นสภาวะจิตที่เสื่อม เพราะมีความเห็นผิด เป็นชอบ ไปเห็นว่าทำชั่วแล้วได้ดี ทดลองดู ก็ได้ เราเดีนไปกระชากกระเบ้าสตางคเขา ถ้า เขาไม่ร้องโวยวาย เขาไม่ขัดขืน หรือไม่เรียก ตำรวจจับ ก็ใฟ้รู้กันไป
ที่เราไปเข้าใจว่าทำชั่วแล้วได้ดี เป็น เพราะเราไม่ได้มองให้ถ่องแท้ ของบางอย่าง เช่น ต้นไม้ในสวน อาจจะมีต้นสักเล็กๆ ขึ้นอยู่ แต่เราไม่เคยสังเกตวันหนึ่ง เราเอาเม็ดพืช ล้มลุกไปหว่านบริเวณนั้น หว่านแล้วก็คอยไปดู วันหนึ่งเราเห็นต้นสักด้นนี้เข้า แล้วก็สรุป
ว่า ทำชั่วได้ด้มีถมไป อันนั้นเป็นเพราะจิตหลง ของเราต่างหาก อวิชชาที่ปิดบังใจของเรา ทำให้เราทั้งรู้ ทั้งหลง แล้วไปลำพองว่ารู้ถูกต้องแล้วการจะช่วยให้เขาเห็นตามเป็นจริง ก็ขึ้น อยู่อับการปฏิบ้ติตัวของเราว่าทำให้เขาเลื่อมใส ศรัทธาแค่ไหน ถ้าหากเขากำอังทำพฤติกรรม อะไรที่เห็นชัดเจนว่าเอาแพะไปชนแกะ แล้ว สรุปออกมาผิดๆอย่างนี้เราติงทันที ให้เขา รู้สึกตัว ถ้าเขามีสติอยู่มีศรัทธาในเราพอสม ควร เขาจะฟังนำไปไตร่ตรองแล้วอาจเห็นความจริงขึ้นมา จนเปลี่ยนความเห็นให้ถูก ต้องก็ได้แต่ถ้าเขายังเชื่อตัวเอง ไม่ฟังเรา ก็ด้อง ปลํอยไปค่อน เพราะธรรมชาติของใจที่ยังไม่สึกนั้น เหมือนคนละเมอ เมื่อไรที่เราไม่มีสติ อยู่อับใจ ปากเราบอกว่าเรารู้ เราลืมตาตื่น อันอยู่อย่างนี้นี่ แต่จริงๆ เราละเมอถ้าติฉันถามคุณว่า ตั้งแต่เข้ามานี่ คุณ ทำอะไรบ้าง คุณก็นึกไม่ออก มันโหว่ไปเป็นช่วงๆ เพราะสติไม่มีเท่าทันทุกขณะหรือถามว่า เมื่อเช้านี้ กนช้าวกี่คำถึงอิ่ม คุณก็ไม่รู้ เพราะไม่เคยเอาสติไประลึกรู้อยู่ทับการกระทำของตัวเอง มันเป็นอย่างนี้ ก็เหมือนเราละเมอทันอยู่ตลอดเวลา แต่สิ่งที่เราละเมอทำทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน จนเป็นอัตโนมัติ จนกระทั่งถ้าเราตาบอดไป เราถึทังทำสิ่งเหล่านี้ถ้าถูกต้อง ใจถึเลยไม่เห็นว่า เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เราจึงต้องมีฝกฝนให้ มีสติรู้อยู่ทับใจ จะทำอะไรลงไป ให้ถามตัวเอง ว่า นี่เรากำลังทำอะไร ทำไปเพี่ออะไร เมื่อ เป็นอย่างนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขื้น หรือมี ใครมาตำหนิวิพากษ์วิจารณ์ สติจะจดจ่อเก็บข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์ให้เป็นประโยชน์ เพื่อแก้ไขตัวเอง
ถาม : เราจะมีวิธีหาความสุขจากความทุกข์ได้อย่างไรบ้าง
ตอบ : ถ้าเราเช้าใจตรงจุดนี้ ก็ง่ายในการจะมีชีวิตอยู่ เพราะของในโลกนี้ล้วนเป็นคู่ เวลาเราบอกว่า
ที่นึ่สว่างเราพูดเสียใหม่ว่า ที่นี่มืดน้อย ก็ถูก เหมือนกัน เพราะสภาวะในโลกนี้ เป็นต้นว่า สุขกับทุกข์ เมื่อพูดว่าสุข เราก็ไปเข้าใจว่า มนัสบายเหลือเกิน แต่ความจริงสุขบดบังอยู่ บนทุกข์ มันทุกข์น้อยเราก็เลยไปรู้สึกว่าสุข ถ้ามันทุกข์มาก เราก็ว่ามันสุขน้อย หริอไม่มื สุขมันเหมือนเราหยิบไม้ขึ้นมาพ่อนหนึ่ง ไม้ ทุกท่อนก็มืปลาย 2 ปลาย ปลายหนึ่งสุข อีก ปลายหนึ่งทุกข์ ไม่ใช่ของคนละสิ่ง เป็นของ สิ่งเดียวกัน ของที่เราขอบแสนชอบ อร่อยแสน อร่อย แต่พอเราอิ่มนึ่ เขาเอามาใหกินอีกุ เรากินลงไหม ไม่ลง เราเอียนแล้ว เราประท้วง ว่า ไม่เอา ไม่อร่อยแล้ว ทั้งๆ ที่ตอนหิวนี่ เรา คิดว่า ส่งมาอีกเท่าไหร่ เท่าไหร่ เราก็กินได้ หมดเห็นหรือยังว่าใจของเราเป็นอย่างนี้ทั้งๆ ที่ของนั้นก็ยังเป็นของอนเดีมเพราะฉะนั้น เวลาที่อะไรมาสัมผัสใจเรา มันเหมือนเราหยิบไม้มาท่อนหนึ่ง ถ้าใจเหิน อย่างนี้ที่ถามว่าทำอย่างไรเราถึงจะหาสุขได้
จากสิ่งที่ทำให้เราทุกข เราก็มารู้สภาวะที่ สัมผัสเราตามเป็นจริง พอจะไปนึก ทำไมมน ทุกข์อย่างนี้ สติจะเตือนขึ้นว่า ตอนนี้ใจเราไม่ ชอบเราเลยรังเกียจมัน ก็ว่ามันทุกข์ วางใจเฉยๆเสียมันจะทุกข์หรือจะสุข ยังไงๆก็เป็นหน้าที่ของเราแล้ว เปิดใจต้อนรับ ตั้งใจทำ ให้ตืที่สุด ใจก็คลายจากทุกข์เป็นต้นว่า คืนนี้เราต้องท่องหนงสิอสอบ แต่ใจอยากไปดูหนัง ไปเที่ยว หรือมีริตืฑัศนึ ที่อยากดู เราจะรู้สึกว่า การท่องหนังสือคืนนี้ เป็นทุกข์เหลือเกิน แต่ถ้าเราลืมความอยาก เหล่านั้นเสีย ตั้งสติอยู่กับความเป็นจริง กับ หนังสือที่ต้องท่อง ถ้าใจของเรามารวมอยู่กับ หนังสือไต้ เราก็สุขสนุกอยู่กับหนังสือ
เห็นจริงอย่างนี้แล้ว เราก็สามารถหนุน ความทุกข์ให้เป็นหินสับสติปัญญาผักผันใจให้รู้ว่าอะไรที่เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบที่จะ ต้องทำ เราทำให้ลุล่วงไปเสียก่อน แล้วค่อย ทำสิ่งที่อยาก ความทุกข์ก็จะหมดไป สามารถ หาความสุขบนสิ่งที่เราไม่พึงพอใจได้ถาม : เรามีวิธีลดความยึดมั่นถือมั่นได้อย่างไรบ้าง ครับ
ตอบ : ถ้าไม่ปีกปฏิบ้ตัเห้ใจมีสติระลึกรู้ตามเป็นจริงอยู่ แล้วไตร่ตรองหาเหตุผลจนเกิดปัญญามา อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น มันก็ยาก เพราะความยึด มั่นถือมั่นหรืออุปาทานนี่เป็นเหมีอนสิ่งแปลก ปลอมที่แทรกซึมอยู่มั่วตัวเรา เรายงไม่ทัน คิดอะไรเลย ใจก็ยึดมั่นถือมั่นขึ้นมาแล้วพระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ร่างกายทับจิต ใจ รูปทับนามนี่ ถ้ารู้ตามความเป็นจริง เป็นขันธ์ 5 ล้วนๆ มันไม่ทกข์ไม่สุข เป็นธรรมชาติธรรมดา เหมือนอะไรๆ ทั้งหมดในโลก แต่เราไปยึดมั่นสำคัญผิด เป็นอุปาทานขันธ์ว่า นี่เรา นี่เขา เลยทำให้โดยอัตโนมัติ พออะไรมากระทบ ใจไม่ทันจะไตร่ตรอง ว่าเขามาดถูกศักดิ์ศรีเรา เขาทำอย่างนี้ใซัได้หรือ ต้องขอโทษ มันไปแล้ว สติยังไม่ทันระลึกรู้ ปัญญามัติ เรากิตอบสนองยึดยาวออกไปจบเรื่องแล้ว
ทะเลาะทับเขา เท่าทับยิงปีนกลไปไม่รู้กี่ดับแล้วการจะลดความยึดมั่นถือมั่น หรือละลาย ให้ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นนี่ เราต้องฝึกแก้ฝึก จนกระที่งสติของเราคามรู้เท่าทันอะไรมากระทบ ใจจะไปยึดมั่นสำคัญผิด สติจะระลึกรู้ ว่า ที่ทำนี่ ถูกต้องหรือเปล่า มีเหตุผลหรือ เปล่า สมควรหรือเปล่า เมื่อสติมาเป็นห้ามล้อ ไต้อย่างนี้ ความยึดมั่นก็ค่อยๆหยุดลงเริ่มแรก สติก็มีมาเหมือนกัน แต่ปรากฏ ว่าปากยึงผางไปแล้ว พร้อมทั้งให้เหตุผลแก้ ต่างว่า ครั้งนี้เจ๊ากันไป มันเป็นอย่างนี้กันทุก คน แต่ไม่มีอะไรยากเกินความเพียรพยายาม ของมนุษย์ถ้าเราเห้นว่า ..ความยึดมั่นถือมั่นเป็นตัว ทำให้เราทุกข์เดือดร้อนในภายหลัง เป็นต้นว่าเขากังไม่ทันว่าเราเลย แต่เราไปยึดมั่นถือมั่น ว่าเขาว่า แล้วเราก็บุ่มบ่ามทำไปตามความ ยึดนั้นจนกระทั่งเสียหายหลายแสนไปแล้ว ถึงพบความจริงว่า เปล่าหรอกนะ แล้วเราก็ต้องใข้หนี้จนตัวโก่ง เราจับมันคาหนงคาเขา ได้หลายๆ หน จนใจรู้เห็นปราศจากข้อสงสัยว่า มันเป็นสิ่งไม่ดี เราควรลบล้างทิ้งไป ตรง นี้จะเป็นกำลังไห้เราพยายามห้ามล้อให้อยู่ แล้วก็สำเร็จ
ถ้าพยายามจริงจังอย่างนี้ วันหนึ่งเราก็ จะลดมันได้ ละมันได้
ถาม :ที่อาจารย์กล่าวว่า เมื่อเราทำอะไรไป เราไม่ ควรยึดดีดกับผลของการกระทำ แต่คนเรานั้น จะทำอะไรก็ด้องหวังผลตอบแทน เช่น เรา ปฎิมัดีธรรม ก็เพื่อผลไห้พันทุกข์ ถ้าไม่อยาก พันทุกข์ เราก็คงไม่ปฎิบ้ดีธรรม ดังนั้น เรา ควรจะยึดมั่นต่อผลของการกระทำหรือเปล่า ครับ
ตอบ : เราก็มีความหวังเอาไว้ เหมือนจะไปชั้น 9 ก็ ต้องขึ้นบันไดไป แต่ถ้าขึ้นไปแล้ว บันไดไม่ เป็นไปอย่างที่หวัง ก็อย่าน็อตหลุดทุบถองใจ ตัวเอง โดยเอาไจไปวางเป็นเขียงให้ความผิด หวังมันลับเอาสับเอาโดยธรรมชาติ ใจของ คนเรา เมื่อจะทำอะไรก็คาดคะเนว่า ผลจะ เป็นความได้ดีมีสุข เพื่อให้มีกำลังไจ แต่เรา อย่าเผลอไปยึดจนกระทั่งเมื่อทำแล้ว ผลไม่เป็นไปอย่างใจของเรา เราก็เสียขวัญยกตัวอย่าง เราตั้งใจเลือกคัดเม็ดพันธุ ข้าวมาหว่านอย่างดี ดูแลนาข้าวอย่างดี แต่ เสร็จแล้วปรากฏว่า ตอนที่ข้าวเริ่มตกรวง เราหวังว่าข้าวของเราจะบริบูรณ์เต็มเม็ดเต็มหน่วย ได้เท่านั้นเท่านี้เกิดมีกองทัพหนูมากัดรวงข้าวกระจุยหมด เราหงุดหงิดผิดหวัง ขาดสติกระทืบมือกระทืบตีนว่า เรื่องอะไร เราจะไปปลูกข้าวอีก เลิก เลิก เลิก ไม่ปลูก แล้วถ้ายึดติดคับผล เราจะมีปฏิกิริยาอย่างนี้ แล้วท่าให้ต่อไปเราไม่ยอมทำสิ่งนั้นอีกเพราะ ท้อแท้ใจแต่ถ้าเรามีความหวัง เพื่อให้เกิดความ ตั้งใจ ใส่ใจ ประกอบเหตุ เมื่อผลอย่างนี้เกิด ขึ้น เราอาจจะเสียใจ ผิดหวัง แต่สติจะ เตือนให้เห็นว่า เพราะใจของเรายงไม่ริรอบ ตามความเป็นจริง เราก็ติดเอาง่ายๆ ตรงไป ตรงมาว่า เมื่อปลูกข้าวแล้ว ข้าวงอกขึ้นมา แล้ว ก็ด้องได้รวงข้าวเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่
ไม่เคยไปคิดว่าจะมีเหตุสุดวิสัย ภัยธรรมชาติ อะไรบ้าง หรือเราปลูกมะขามหวาน ก็หวัง ว่าเราจะต้องได้กำไรเท่านั้นเทานี้ ไม่เคยคิด ว่า รสของมะขามหวานเปลี่ยนไปได้ตาม สักษณะดินที่ปลูก ความแฉะ ความแห้งของ เนี้อมะขามก็เหมือนกัน กล่าวคือเราไม่รู้รอบ ตามความเป็นจริง
มีปัญหาอย่างนี้เกิดขึ้นก็ดี ทำให้เราได้ ฝึกฝนให้สติปัญญาของเราคมกล้าขึ้น เมื่อเรามีความเห็นชอบอย่างนี้ ใจก็ไม่ห้อถอย ลอง ทำใหม่ ทำจนกว่าจะไต้ผลตามประสงค์ ถ้า การยึดอยู่ที่ผลเป็นทำนองนี้ ก็ไม่ใช่ของ เสียหายแต่ถ้ายึดที่ผลแล้ว ผลไม่เป็นไปอย่างที่ หวัง อย่างที่กิเลสคาดเดาเอาไว้ เราก็คือกชก หัว หรือไปโกรธ อิจฉาคนโน้นคนนี้ ทำไมหนู ไม่ไปกินข้าวที่นาของเขา ความคิดอย่างนี้ก็ ทำให้เราบาปอีก เพราะไปริษยาเขา ไปพูด เหมือนให้โทษเขา หนูมากินข้าวนาเรา เรา กสับไปนึกเบียดเบียนเขา ทำไมหนูไม่ไปกินข้าวนาเขาบ้างล่ะ หรือเราไปสวดอ้อนวอนว่า คราวหน้าขอให้หนูไปกินข้าวนาเขา ไจของ เรากิได้บาป
ถ้ายึดอยู่กับผลทำนองนี้จนกระทั่งใจของเราคับแคบ เป็นอกุศล อย่างนี้ ไม่ถูก ที่ดิฉันเรียนให้ทราบหมายถึงอย่างนี้
ถาม : การโกหกเพื่อให้คนอื่นสบายใจ หรือมีความ สุข สมควรกระทำหรือเปล่าครับ
ตอบ : ไม่สมควร เพราะการโกหกเป็นการละเมิดศีล ถ้าฟ้เคราะห์ให้ถี่ถ้วนจะเห็นว่า ไม่มีใครมี ความสุขอยู่บนคำโกหกของเราได้ เป็นด้นว่า เราไปบอกเขา นี่คุณถูกล๊อตเตอรี่นะ เขาอาจ จะมีความสุขตอนนั้น แต่พอไปตรวจรางวัล แล้วพบว่าเขาไม่ได้ถูกลัอตเตอรี่ จะยิ่งทุกข์ หนักเข้าไปอีก
ถาม : การทำสมาธิวิปัสสนา หรือการเข้าวัด เมื่อ ออกจากวัดแล้ว หรือหลังการปฏิบ้ดิเข้นนั้น แล้ว จะมีส่วนข้วยลังคมอย่างไร หรือจะ ประยุกต์ใข้กับลังคมปัจจุบันอย่างไรครับ
ตอบ : การฝึกจิตใจนี่ เดี๋ยวนี้นักวิทยาศาสตร์และ ชาวตะวันตกให้ความสนใจในเรื่องนี้กันมาก
จากงานวิจัยเขาสรุปออกมาได้ว่า จิตใจคน เราเป็นพลัง เวลาที่เราคิดอะไร จะมีคลื่นของ ความคิดกระเพื่อมออกไปในบรรยากาศ คลื่นนี้เหมือนกับคลื่นเสียง แต่ความถี่สูงจนหูเรา ไม่ได้ยิน เรากิเลยเข้าใจว่า มันไม่มีจากการไข้เครื่องมือตรวจจับ เขาพบว่า เมื่อใจเราคิดอะไรขึ้นมาทีหนึ่งจะมีคลื่นความถี่สูงกระเทื่อนแผ่ไปในบรรยากาศ เหมือนเราเอาอะไรทิ้งลงไปในบ่อนี้า แล้วเกิด ระลอกกระเพื่อมออกไปทั่วปอ คลื่นความคิด ดีๆ ความคิดที่เป็นกุศล หรือเป็นสมาธิ จะทำ ให้เกิดประจุลบสะสมอยู่ในบรรยากาศรอบ ๆ คลื่นความคิดอกุศล ความคิดเบียดเบียนเป็น ไปตามกิเลสทั้งหลาย จะสะสมประจุบวกนักวิจัยอยากรู้ต่อไปว่า ถ้าใช้กระแสไฟฟ้า แยกประจุ แล้วเอาประจุลบ ประจุบวก ที่แยก ได้ใส่เข้าไปในกรงสัตว์ทดลอง จะทำให้พฤติกรรมของสัตว์ทดลองเหส่านั้นเปลี่ยนแปลง ไปไหม เขาทดลองกับสุนัขที่ถูกสิกไวัอย่างดี คนสิกสั่งอะไร สุนัขเหล่านี้จะเชื่อฟังทุกอย่าง
เมื่อเริม่การทดลอง สุนัขก็อผู่กันเป็นปกติดี ก็เอาประจุบวกพ่นเข้าไปในบริเวณกรง เมื่อ ความเข้มข้นสะสมถึงระดับหนึ่ง สุนัขที่อยู่กัน ดีๆ นี่ ลุกขึ้นกัดกันอย่างชนิดที่เรียกว่า จะ ขยํ้ากันให้ตายไปข้างหนึ่ง คนสิกเข้าไปห้าม มันก็ไม่ฟัง ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น ทำเหมือนเป็น หมาบ้าไปแล้ว มิหนำซํ้ายังจะมาขยํ้าคน เข้าด้วย ต้องช่วยเอาคนฝึกออกมาผู้วิจัยกลับขั้ว แยกประจุลบพ่นเข้าไป จนกระทั้งไปลบล้างประจุบวกที่เหลือค้างอยู่ จนหมด แล้วสะสมถึงจุดหนึ่ง สุนัขที่กำลังบ้า เลือด ขยํ้ากันชนิดเอาเป็นเอาตาย ก็สะดุ้ง คล้ายๆ มีอะไรไปสะกิดมัน แล้วก็มองกัน อย่างไม่เข้าใจ ต่างตัวต่างก็สะบัดหัว เป็น ทำนองว่า นึ่มันเกิดอะไรขึ้น แล้วมันต่างก็ กลับไปนอนที่มุมโปรดของมันอย่างสงบ เรียบร้อยผลจากการวิจัยทำให้เขาเชื่อว่า พลัง ของใจคนเราสามารถเหนี่ยวนำให้คลื่นใน บรรยากาศเปลี่ยนแปลงได้ กลุ่มที่ทำ trans- cendental maditation ก็มีงาน วิจัยออกมาว่า ถ้าสังคมไหนมีคนฝึกจิตใจให้ เป็นสมาธิถึง 10% ของจำนวนประชากรแล้ว เขารับรองว่าชุมชนนั้นจะไม่มีอาชญากร ถ้า อยากร้ก็ลองไปพิสูจน์ดูไห้ งานวิจัยใหม่ๆ ที่ ออกมาถ้ามีผลน่าสนใจทำนองนี้ สนับสนุนให้ เราแน่ใจมั่นใจว่า ใจที่สงบ เป็นสมาธิ เอื้อต่อความร่มเย็นเป็นสุขของสังคมแต่ใจปุถุชนคนธรรมดานั้น มีนิวรณ์ ครอบงาอยู่ จึงมีความคิดฟุ้งซ่นอยู่เป็นอุปนิสัยแล้วถึงไม่ฟุ้งซ่านไปในทางเอื้อหนุนคนอื่น แต่จะไปในทางยกตนขมท่าน อิจฉาริษยา ทำไมคนนี้ถึงไห้ดีมีสุข ทั้งๆ ที่ไม่เห็นทำอะไร เลยมันจะเป็นไปตามธรรมชาติของกิเลสที่ครอบงำอยู่ พาให้ความคิดส่วนใหญ่ของเรา ไปในทางอกุศล เปรียบเหมือนเราแข่งกัน สร้างประจุบวกไปทำให้บรรยากาศรอบข้างเกิด มลภาวะตลอดเวลา
การฝึกจิตใจของเรา จึงข่วยให้สังคมนี้ ร่มเย็นเป็นสุข นอกจากจะมีผลต่อจิตใจของ
สิ่งมีซีวิตที่มืใจครอง มีจิตวิญญาณแล้ว กับสิ่ง มีชีวิตที่ไม่มีจิตวิญญาณเช่นตันไม้ ก็มีผลทำ ไห้ผลิตผลเต็มเม็ดเต็มหน่วยรสชาติดี เหมือน การทดลองกับตันถั่วที่เพาะมาเหมือนกันหมด ทุกประการ แล้วแยกออกเป็น 2 แปลง แปลง หนึ่ง ให้คนที่อารมณ์ดีมืจิตไจรักตันไม้เลี้ยง อีกแปลงหนึ่ง ให้คนหงุดหงดง่นง่านเกลียด ตันไม้เลี้ยงภายในเวลาเท่ากัน ถั่วแปลงที่คนจิตใจดี เลี้ยง มีฝักอ้วนหวานกรอบ เก็บเม็ดเอาไปทำ พันธุก็ขึ้นทุกเม็ด แต่แปลงที่คนจิตใจไม่ดีเอา ไปเลี้ยง้ตันก็เล็ก แกร็น ฝักออกมาก็เหี่ยวลีบ บิดเป็นเกลียว ก็นก็เหนียวไม่อร่อย เม็ดเอา ไปทำพันธุสัก 100 เม็ด จะมีขึ้นเพียงตัน 2 ตัน
ถ้าใครเคยอ่านชาดก ก็จะฝานข้อความที่ ว่า เมื่อไหร่พระเจ้าแผ่นดีนตลอดจนเสนาบดี ข้าราชบริพารเป็นคนดีเที่ยงตรง มีทศพีธราช ธรรม ฝนอ่อมตกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์ ธัฌฌาหารอดมสมบูรณ์ เมื่อดีฉันอ่านพบ ก็ว่ามันเกินความจริงไป แต่พอเอามาเทียบกับ ผลวิจัยที่เล่าเมื่อกี้นี้ ย่อมมีโอกาสเป็นไปได้ ทุกวันนี้ สังคมของเราสร้างแต่คลื่น ประจุบวกขึ้นมาเป็นมลพิษแกํกันและกัน จน กระทั่งฝนฟ้าวิปริต พืชพันธุธัญญาหารแร้น แค้น เกิดข้าวยากหมากแพง เราน่าจะลองฝึกทำสมาธิ สิกจิตใจของเรา ไปเหนี่ยวน่าสังคม เหนี่ยวน่าธรรมชาติ ให้เปลี่ยนแปลงไปใน ทางอยู่เย็นเป็นสุข ลดมลภาวะลง
ถาม : คนที่ยังขาดปัจจัย 5 อยู่ สามารถปฏิบ้ติศีล ได้หรือเปล่าครับ
ตอบ : ได้สิ ใจกับกายไม่ใช่ธาตุอันเดียวกันนี่
ถาม : ถ้าเราต้องการให้เมืองทั้งเมืองมีแต่ความสงบ สุขเราสามาถพ่นประจุลบไปทั่วทั้งเมืองได้หรือเปล่าครับ
ตอบ : ตามทฤษฎีกิน่าจะทำได้ แต่พระพุทธเจ้าทรง สอน่ไว้ว่า กรรมคือการกระทำของแต่ละบุคคล เป็นเครื่องจำแนกแจกสัตว้ให้แตกต่างกันไป เราทำกรรมใดไว้ ดีหรือชั่ว เราจะเป็นทายาท คือว่าเราจักต้องได้รับผลของกรรมนั้นสืบต่อไปในเมืองย่อมมีทั้งคนดีคนชั่ว กรรมซึ่ง เป็นเหตุปัจจัยของประจุบวกและประจุลบ ที่ แต่ละบุคคลสร้างออกมา จึงแตกต่างกันไป เรา จะพ่นประจุลบไปอย่างไรๆ ย่อมไม่สามารถ ทำให้ผลลัพธ์คงตัว มีแต่ความสงบสุขอยู่ได้ หากเหตุจากสิ่งภายนอกให้ผลได้พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกคงทำสิ่งดีงาม อย่างนั้นไปแล้ว ไม่ปล่อยให้โลกเราพร่อง ทุกข์เดือดร้อนอยู่อย่างนี้
ถาม : มีพระบางรูปท่านบอกว่า เด็กที่เกิดมาแล้วตาย แสดงว่าเขามีกรรมน้อย จะมีการเวียนว่าย ตายเกิดอีกไม่กี่ชาติดี แล้วคนที่อายุยืน เป็นคน ที่มีบาปมาก ใช่หรือเปล่าครับ
ตอบ : ไม่ใช่หรอก อานิสงส์ข้อหนึ่งของการไม่ฆ่า สัตว์ตัดชีวิต ไม่เบียดเบียนชีวิตอื่น คือการมี อายุยืน ไม่เจ็บไม่ป่วย ตังนั้น คนที่มีอายุยืน คือคนมีศีลมีบุญการมีอายุสั้น จะถือเป็นกฎตายตัวว่าผู้ นั้นมีกรรมน้อยก็ไม่ถูกในชาดกมีเรื่องของพระรูปหนึ่ง ไปมีตริษยาพระอาคันตุกะ ซึ่ง เป็นพระอรหันต์ ชาวบ้านฝากอาหารมาถวาย ท่าน ก็เกรงว่าเดี๋ยวพระอรหันต์จะได้ความ นิยมซมชื่นจากชาวบ้านมากเกินคัวเองไป เลยเอาอาหารเหล่านั้นไปเผาไฟเสีย ไม่เอา ไปถวายพระอรหันต์บุพกรรมนี้ส่งให้มาเกิดเป็นเปรต เป็น สัตว์นรก อดอยากแสนสาหัส ชาติไหนได้ อาหารกินเติมอิ่มเมื่อไร ก็ตายจากภพชาติ นั้น เพื่อไปเกิดใหม่ ให้อดอยากทุกข์ยากอีก เป็นการเสวยผลกรรม ดังนั้น การตายเร็วก็ ไม่ได้แปลว่ามีบุญหล่อเลี้ยง บางทีกรรมหล่อ เลี้ยงว่า ได้ดีมีสุขเมื่อไร เป็นตองตายจาก ความสุขสำราญอันนี้ เพื่อไปเสวยทุกข์เดือด ร้อนใหม่ก็ได้ ไม่มีกฎอะไรอย่างที่ถามมา หรอก เดี๋ยวคนทุกคนก็เลยมาภาวนาแล้ว อธิษฐานให้ตายอันเร็วๆ เสียหมด
ถาม : การที่อาจารย์ได้กรุณามาบรรยายในวันนี้ อยากให้สรุปเป็นข้อๆ ว่า มีริธิปฏิบ้ติตนใน สังคมที่เสื่อมอย่างไรบ้างตอบ : เราเรียนแบบ active learning กัน เพราะ ฉะนั้น แต่ละคนก็ไปสรุปเอาตามใจของตัว เองก็แล้วกัน ดิฉันทำยำใหญ่มาให้จานหนึ่ง ใครจะเลือกกินอะไรตรงไหน โปรดเลือกได้ ตามใจชอบกระผม ในนามตัวแทนของนักศึกษาแพทย์ปีที่ 1 ขอขอบคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงที่ได้มาให้ความรู้ แก่เพื่อนๆ นักศึกษา และอยากให้เพื่อนทุกคนกล่าว ขอบคุณอาจารย์ด้วย
ขอบคุณครับ ...... ขอบคุณค่ะ
ดิฉันก็หวังว่า สิ่งที่เรานำมาคุยกันในวันนี้คงจะ ไปจุดประกายในใจให้พวกน้องๆ มีกำลังใจว่า สังคม จะเป็นอย่างไรก็ตาม ใจของเรามีพลังที่สามารถ ปฏิรูปให้สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปดังที่เราปรารถนา ได้ และหวังว่าชีวิตของพวกน้องๆ ทุกคนจะเจริญ เติบใหญ่ไปเป็นหลักที่ดีงามของสังคม ในส่วนตัว ก็ประสบความสำเรีจในสิ่งที่ชอบ ประกอบด้วยธรรม ตังทุ่งหวัง ชีวิตจิตใจผาสุกร่มเย็น
พิมพ์โดย ปภัสสร มีพงษ์
แหล่างที่มา http://web.krisdika.go.th/buddha/37_weandbadsocie.pdf
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น