Header Ads

วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2561

บทความหมออมรา โรคที่พึ่งตนเองได้

บทความหมออมรา
โรคที่พึ่งตนเองได้

ชื่อผู้เขียน       พญ อมรา มลิลา
วันที่              วันที่ 20  ตุลาคม 2528
ณ                 วัดสนามใน
หมวด
อันดับที่     


นมัสการพระคุณเจ้า และท่านผู้สนใจใฝ่ธรรม คุณวุฒิชัยตั้งหัวข้อสำหรับวันนี้ว่า
โรคที่พึ่งตนเองได้  ในทางแพทย์ เรามีโรคหลานประเภท โรคทางกายเป็นโรคที่พึ่งหมอ ให้หมอช่วยรักษาให้ ในทางธรรมจิตใจของเรามีโรคเหมือนกัน เมื่อไหร่ก็ตามที่เราจิตใจไม่สบาย จิตใจไม่ค่อนเป็นปกติ เราก็ว่าจิตใจเป็นโรคแล้ว ท่านอาจารย์สิงห์ทองเปรียบเหมือนโลกนี้ว่า เป็นโรคบ่มบ้าเพราะท่านว่าเราไม่มีสติอยู่กับตัว เมื่อไหร่ที่ไม่มีสติอยู่กับตัวแล้ว โรคอะไรๆก็มากลุ้มรุมจิตได้ทั้งนั้น ทำจิตในของเราคิดไปทางที่ไม่ชอบ คิดไปทางที่ไม่เป็นเหตุเป็นผล หรือเรียกว่าเป็นมิจฉาทิฐิก็ได้
เมื่อเป็นโรคอย่างนี้แล้วจะทำอย่างไร ไปหาหมอหาผู้อื่นมาช่วยหรือ ท่านก็ว่าไม่ใช่ เพราะโรคเหล่านี้เป็นจากใจของเราเอง ก็ต้องแก้เอง เราจึงว่าโรคเหล่านี้เป็นโรคสามารถพึ่งตนเองได้
ถ้าจะจำแนกแจกแจงก็คงจะปลีกย่อย สับสน มากความเปล่าๆ เรามาพิจารณาสาวหาต้นตอว่า
โรคเหล่านี้สมมติฐานมาจากอะไรกันดีกว่า คงเป็นว่ามาจากใจของเราที่เห็นผิด พระพุทธองค์ตรัสว่าเราไม่อยากมีความทุกข์ ก็ให้พยายามกาหนทางที่เรียกว่า มรรค ให้พบ ประตูสู่มรรค
อันนี้เปิดด้วยสัมมาทิฐิหรือความเห็นชอบ ทำอย่างไรจึงจะเห็นสัมมาทิฐิได้ เราทุกคนทำอะไรเมื่อคนอื่นเห็นว่าเป็นโรค ตัวเองจะเห็นว่าดีแล้ว เห็นว่าถูกจุดสำคัญอยู่ตรงนี้ เพราะเรามักไปคิดว่าสิ่งที่เรียกมิจฉาทิฐิ เป็นความไม่รู้ เป้นความดื้อดึง เสแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าผิด เพราะตัวเองอยากทำ ทั้งที่ผู้อื่นว่าผิดรากเหง้าของมิจฉาทิฐิคือ  อวิชชา ตัวชัดพาให้เราเชื่อเต็มหัวใจว่า
สิ่งที่กระทำนั้นถูกต้องดีงามที่สุดแล้ว โดยที่ความเป็นจริงนั้นไม่ถูก ถ้าใจของผู้ใดทราบว่าสิ่งที่ทำนั้นไม่ถูกต้องแล้วผู้นั้นย่อมไม่ปรารถนาจะทำแน่นอน มิจฉาทิฐิจึงน่าสรึงกลัวอย่างยิ่ง เพราะนอกจากว่าตัวเองจะไม่รู้ยังเข้าใจผิดว่ารู้ถูกต้องแล้ว เป็นการปิดกั้นตัวเองจากกสนแสวงหาใฝ่ความรู้ถูกต้องเป็นจริง เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำอย่างไรจึงได้รู้ว่า สิ่งที่เรานึกว่าถูกต้องนั้น แท้จริงถูกแล้ว เป็นสัมมาทิฐิแล้ว หรือยังไม่ถูกหรือเป็นมิจฉาทิฐิอยู่ ท่านกล่าวไว้ว่า เราต้องฝึกมีสติอยู่กับใจทุกๆขณะ เพราะใจของคนเราเป็นธรรมชาติที่คล้ายน้ำ ปกติจะไหลไปซับตามอารมณ์ต่างๆ
หรือสัมผัสที่มากระทบ เอามีอายตนะเป็นเครื่องรับรู้ ได้แก่ หู ตา จมูก ลิ้น สัมผัสทางกาย ก็เพื่อรับผัสสะที่มากระทบ ถ้ามีสติรู้อยู่เราก็จะเห็นอายตนะเหล่านี้เป็นเพียงเครื่องรับ เหมือนเรามีเครื่องรับวิทยุที่ปรับคลื่นหาสถานีต่างๆได้ ถ้าไม่พอใจสถานีนี้ก็เปลี่ยนคลื่น ปรับหาสถานีที่พอใจหรือปิดเครื่องรับได้ นี่ก็เหมือนกัน เมื่อผัสสะมากระทบเครื่องรับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสของเรา เราไม่จำเป็นต้องซับสิ่งนั้นมาย้อมจิตใจ ของเราให้ไหลตาม ให้ไปคลุกเคล้ากับผัสสะ
เราเอาสติไปศึกษากลั่นกรองเลือกว่า ผัสสะอันนี้มีประโยชน์กับเราหรือไม่  ผัสสะอันนี้จะทำให้เราตกต่ำ ขาดทุน สูญกำไรหรือไม่ ถ้าสติมาทันสามารถแยกแยะอย่างนั้นได้ ใจของเราจะเป็นผัสสะจะเป็นแค่ผัสสะ เครื่องรับของเรา ตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส ก็เป็นแต่เครื่องมือให้เราสามรถสื่อสารกับโลกภายนอกได้ สติที่กำกับอยู่กับใจจะเฝ้าสังเกตสิ่งที่มากระทบ ทำให้ได้เห็นตะกอนหรือตัวโรคที่สุมรุมอยู่ในใจ เมื่อเห็นแล้วเราจะรักษาให้หาย หรือจะกินของแสลงให้อาการโลกทรุดลงไปอีก ถ้าค่อยฝึกสังเกตอยู่อย่างนี้ ค่อยตั้งสติเพ่งเข้ามาใจในของตน อย่าไปเพ่งมองออกนอก เพราะตัวสติใครๆ ก็มีกันทั้งนั้น เมื่อมีแล้วกำหนดทิศทางผิด ส่งออกไปข้างนอก มัวแต่ไปเพ่งข้างนอกก็ไม่ได้ประโยชน์ เพราะไม่เห็นใจของตน ใจที่ไม่มีสติรักษาก้จะเหมือนหยดน้ำผึ้ง พออะไรเข้ามากระทบใจก็ซับสิ่งนั้นมา แล้วก็ดูดดึง คลุกเคล้าเข้าด้วยกัน
แยกไม่ได้ว่าใจกับผัสสะที่มากระทบเป็นคนละส่วนคนละอันกัน เพราะสำคัญกว่าสิ่งนั้นเป็นตัวเรา เป็นของเรา เมื่อไปยึดว่าเป็นตัวเราเป็นของเราแล้ว เราก็จะตอบสนองออกไปด้วงสิ่งที่ผิดๆ เป็นต้นว่าร่างกายของเรา ตั้งแต่เกิดมา พ่อแม่ก็เรียกชื่อว่านี่เรานะ แล้วจะไม่ให้คิดว่าเป็นตัวเรา เป็นของเราได้อย่างไร โรคหลงตั้งแต่ตัวดั้งเดิมเรียกว่า อวิชชา ก็ฝังรากเหงาว่านี่เป็นตัวเรา นี่เป็นของเรา พอมีไรมากระทบเกิดเวทนา เราเจ็บ เราก็ไม่เคยตั้งสติดูว่าที่เจ็บนั้นเจ็บที่ตรงไหน
เราทึกทักว่าเจ็บไปถึงหัวใจ  ถ้าคำพูดที่มากระทบเร้าให้รู้สึกว่าทนทานไม่ได้ สิ่งที่ขาดสติจะเกิดความโกรธ ความอาฆาตปรุงคิด แบ่งพรรคแบ่งพวกจดจำว่าคนๆนี้ไม่ได้หวังดีกับเรา ใครก็ตามที่ทำให้รัก ให้ถูกใจก็จดจำว่า นี่เป็นพวกของเรา เป็นของๆเรา   เกิดมี 2 พวกขึ้น มีเขามีเรา
เมื่อมีเขามีเรา ความลำเอียงก็เกิดขึ้น เกิดการปกป้องสิ่งที่เป็นของเรา คนอื่นเป้นอย่างไรช่างมัน
ขอให้เราอยู่รอดปลอดภัย ขอให้ร่มเย็นเป็นสุข ขอให้มีความสะดวกสบาย เกิดเป็นความเหลื่อมล้ำต่ำสูง ความไม่ยุติธรรมขึ้นมา
เมื่อไหร่ที่เราปลุกคิดและจดจำเช่นนี้ เรามองไม่เห็นว่า ใจก่อให้เกิดกำแพงขึ้นแล้ว เกิดความเหลื่อมล้ำขึ้นแล้ว เราอร่อยเพลิดเพลินอยู่ในอารมณ์ที่ปรุงคิด ไม่ได้มองความจริงว่า อีกฝ่ายหนึ่งทุกข์ร้อนเพราะเราไปก้ำเกินเขา เมื่ออย่างนี้เขาก็มีปฏิกิริยาตอบ เพราะรู้สึกเป็นสิทธิที่ต้องปกป้องตัวเอง เราปกป้องตัวเราอย่างไร เขาก็ปกป้องตัวเขาอย่างนั้นเหมือนกันเพราะใจเราเหมือนๆกัน สิ่งที่เราไม่ชอบ เขาก็ไม่ชอบเหมือนกัน เขาปกป้องความรู้สึกว่าถูกรุกราน  ถูกเรากระทำร้าย แต่เราไม่เห็นตัวเองตอนที่กระทำกับเขา เราไม่ได้แกล้ง แต่ความไม่ใส่ใจ ความขาดสติทำให้เราไม่เห็นจริงๆ ครั้งเขามีปฏิกิริยาตอบกลับบ้าง เราเห็นเต็มตาตัดสินไปว่าเขาไม่ดี ไม่น่ารักใจดำ เกิดทะเลาะวิวาทกันขึ้น เพราะเราเพ่งโทษเขา ฝ่ายเขารู้สึกว่า ทำเพราะจำเป็น เพื่อปกป้องตัวเอง  ไม่ให้เขาลุกล้ำก้ำเกินมากขึ้น พอเราปรับโทษ ต่างฝ่ายต่างเพ่งโทษซึ่งกันและกัน ไม่มีใครยอมใคร เห็นแต่ความเห็นของตน เกิดทิฐิมานะ เกิดอัตตาความตีตัวตนว่า “ ฉันถูก” ตกลงต่างฝ่ายต่างว่าฉันถูก มีแต่ทิฐิชนกัน ต่างฝ่ายก็ต่างไม่ลดราวาศอก  ผลย่อมพักกันไปข้างหนึ่ง เพราะไม่มีใครยอมใคร ไม่มีใครเป็นฝ่ายเลิกแล้วต่อกัน ยอมขอโทษแล้วปรับความเข้าใจกันเสีย เรื่องก็ไปกันใหญ่ ถ้าคู่กรณีเป็นพี่น้องกัน อยู่ในบ้านคนเดียว แล้วเกิดตีกันอย่างนี้ ต่อไปในหมู่บ้านก็ตีกัน ในสังคมก็ตีกันไป ไปโรงเรียนก็ไปทะเลาะกับเพื่อน ไปทำงานก็ไปทะเลาะกับผู้ร่วมงาน เพราะใจที่ไม่มีสติรักษา จะรู้สึกว่าตัวเอง ถูกอยู่ผู้เดียว เพื่อนร่วมงานไม่ดี ผู้คนรอบข้างผิดทั้งหมด เมื่อเป็นอย่างนี้ สังคมที่เข้าไปเกี่ยวข้องก็ไม่เป็นสุข ปราศจากความสงบร่มเย็น
แล้วเราจะแก้ไขได้อย่างไร เราแก้ไขได้ด้วยการทำอย่างไรก็ตามที่จะละลายความรู้สึกว่า
“ตัวเรา” ให้น้อยๆลง ตามลำดับ แทนการคิดว่า “เรา”เป็นหนี้ “เรา” นั่นเป็น”เรา” ต้องการอย่างนี้อย่างนั้น พยายามเลี่ยงคำว่า “เรา” เสียในภาษาพูด ภาษาสมมติ ก็ยังต้องใช่อยู่ เพราะไม่อย่างนั้นก็ไม่ทราบจะพูดกันอย่างใดได้ แต่ขณะแต่พูด อย่าปล่อยใจไปยึดว่านี่ “เรา”
ทุกๆครั้งที่กล่าวว่านี่ “ เรา” ให้นึกว่าแท้จริงมีแต่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ถ้านึกไปถึงต้นกำเนิดของเรา
สมัยอยู่ในท้องแม่เรามาแต่ไหน ก็มาแต่ไข่ของแม่กับเชื้อของพ่อ แล้วมีปฏิสนธิวิญญาณเข้ามาเป็นองค์ประกอบ ทำให้ชีวะอันนี้เริ่ม “เกิด” เพราะมีปรานหรือพลังชีวิตมาควบคุม  ให้ดินกับน้ำที่ได้อาหารจากสายรก ถูกดูดซึมไปหล่อเลี้ยง ทำนุบำรุงชีวะอันนี้ ให้เติบโตเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
หล่อเลี้ยง ทำนุบำรุงชีวะอันนี้ ให้เติบโตเป็นรูปร่างขึ้นมา แทนที่จะเป็นดินเป็นน้ำทั่วๆไป มันเกิดคุณลักษณะพิเศษ กว่าสิ่งมีชีวิตอื่นเพราะมีสติปัญญา มีความมหัศจรรย์กว่าชีวิตอื่นๆ ในโลกธาตุ ทำให้หลงตัวเอง ทะนงตัวว่าเราวิเศษ แล้วเข้าใจไปว่าเราเป็นอภิสิทธิ์ชนทำอะไรต้องถูกวันยังค่ำ ความหลงก็ยิ่งฟักตัวมากขึ้นโดยลำดับให้เราเตือนตัวเองไม่ให้ลืมต้นกำเนิดคือดินและน้ำเอาไว้ ระลึกว่าเรามาจากดินและน้ำที่ดูดจากสายรก เมื่อคลอดจากท้องแม่แล้ว อาหารเหล่านี้ก็ได้มาทางปากแทน ต้นไม่หยั่งรากลงไปบนพื้นดินแล้วดูดเอาดินเอาน้ำจากพื้นดินเป็นอาหารให้เราเห็นตรงไปตรงมา บังเอิญ”ราก”ของเราเป็นปาก ลอยอยู่ในอากาศเราต้องเอาป้อนเข้าไป เลยไม่เห็นไม่ชัด เคยเตือนตัวเองทุกๆวัน ตัวเรามีความพร่อง เดี๋ยวน้ำก็ระเหย
ถ่ายออกไปเป็นเหงื่อบ้าง ปัสสาวะบ้าง น้ำลายบ้าง ซึ่งล้วนเป็นของเหลว ทั้งหลาย เราเปรียบเหมือนกระป๋อง เมื่อมีการบกพร่องก็ต้องก็ต้องเติมเข้าไป พอเหงื่อออกมา เราก็กระหายน้ำ
ไปห้องน้ำออกมาสักพัก ก็อยากกินน้ำ ดินก็ทำนอนเดียวกัน ออกไปเป็นขี้ไคล เป็นกากอาหาร เราจึงต้องกินเพื่อความอยากกระหาย พยายามมองให้เห็นให้เป็นสภาพธาตุอย่างนี้ เราจะได้เชื่อว่า  สภาวะของตัวเราไม่ใช่อะไรเลย เพียงเพื่อทรงสภาพร่างกาย ไม่ให้พร่องไป ให้คงรูปร่างอยู่ได้ ให้มีเรี่ยวมีแรง มีสติปัญญามองผัสสะ ที่มากระทบความเป็นจริง ถ้าเปรียบเมื่อไหร่ มีเรี่ยวมีแรงมากเกินไป แรงของ อวิชชา แรงของทิฐิมาก ก็พาให้เราหลง สร้างหนี้ขึ้น เพราะไปคิดว่านี่ “เรา” คนอื่นอ่อนแอกว่าเรา รู้น้อยกว่าเรา ต้องทำตามเรา ต้องมาเป็นผลประโยชน์ให้เรา ถ้าเป็นอย่างนี้ เราก็ก่อหนี้ขึ้น เพราะไปเบียดบังส่วนที่ไม่ใช่ของเรา ถ้าเป็นอย่างนี้ เราก็ก่อหนี้ขึ้น
เพราะไปเบียดบังส่วนที่ไม่ใช่ของเรา ในโลกทั้งหมดนี้ไม่มีอะไรเลยที่จะเป็นของใคร ทุกๆสิ่งๆ
เป็นของส่วนรวม ลมหายใจที่เราเข้าออกก็เป็นส่วนรวม เพราะอากาศที่หายใจนี้ ใครบ้างที่สามารถเก็บเอามาใส่กระป๋องแล้วก็บอกว่า นี่เป็นอากาศส่วนของฉัน ฉันหายใจแล้ว ฉันจะเอากลับไปใส่กระป๋องของฉัน แล้วเอาไปฟอกให้สะอาด เพื่อฉันจะได้ไม่ต้องหายใจเอาขี้เหงื่อขี้ไคลของคนอื่นเข้าไป มีใครทำได้บ้าง? ไม่มี เหตุใดเวลาหายใจเข้าไปไม่รังเกียจ แต่พอไปเจอบุคคลที่น่ารังเกียจ เราเข้าใกล้ไม่ได้ กลัวสกปรก กลัวติดโรค จริงๆ แล้ว โรคอะไรๆ ที่เรารังเกียจ ที่ติดต่อกันทั้งหลายก็ปลิวปะปนอยู่ในอากาศ ซึ่งเราหายใจออกอยู่ตลอกเวลา เพียงแต่ว่าความหลงในใจเรา หลอกให้เราไม่ได้มองความเป็นจริงๆ แล้วยึดผิดๆ เป็นมิจฉาทิฐิ ตั้งความเห็นผิดๆ ความเชื่อผิดๆ แล้วบริหารชีวิตผิดๆ เกิดเป็นโรคของใจขึ้น ทำให้เรามีความทุกข์ ทุกข์เพราะไปยึด ทุกข์เพราะคิดไปเองว่า “เรา” เป็นอย่างนี้ เราต้องไปทางนี้ คนอื่นต้องหลีกทางให้ ถ้าไม่หลีก
เราก็ต่อสู้ เพื่อให้ได้ดั่งที่ใจนึก นี่เป็นการเสียแรง เสียเวลา ไปทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะไม่ว่าจะกอบโกยมาอย่างไร เป็นต้นว่า ทรัพย์สมบัติทั้งหลายเป็นวัตถุ ที่แสวงหามาได้ เสื้อผ้าเครื่องนุ่มห่ม เงินทองข้าวของ ตึกรามบ้านช่อง มันก็แลเสมือนว่า เป็นของเราชั่วระยะหนึ่งเท่านั้นเอง ถ้ารู้จักบริหาร คือรู้จักสิ่งเหล่านี้มานี้ความสะดวกสบาย ให้ร่างกานมีความสุขสมควร แก่อัตภาพ เพื่อลดเวทนา ในส่วนที่เกี่ยวกับการรักษาธาตุขันธ์อันนี้เช่น ไม่ต้องห่วงว่าฝนตกจะเปียก จะหนาว เพราะมีเครื่องกำบัง เวลาหิว ก็มีเงินทอง พอที่จะซื้ออาหารมาดับความหิว ใจจะได้สงบพอสมควร เพื่อเอาสติมาตามใจของตนว่า เกิดทุกข์เพราะข้องไปตามความอยาก ความโลภ ความหลง ความโกรธอย่างไรบ้าง? และแก้ไขปรับปรุงไม่ให้กิเลสเหล่านี้ มาพัดพาให้จิตใจเราเดือดร้อน เครียด เป็นทุกข์ ทุกข์ด้วยเรื่องของกาย หรือรูปขันเป็นสิ่งที่ใครก็เลี่ยงไม่ได้เป็นสภาวะเป็นสัญญาลักษณะของโลกสมมติที่พร่อง อยู่เนืองนิตย์ ย่อมแปรปรวน  เจ็บ หิว เป็นไปของมันอยู่อย่างนั้น มีความเสื่อมลงเรื่อยๆ ลักษณะเหล่านี้ไม่มีผู้ใดไปห้ามกั้นได้  ใจที่เห็นเป็นจริงแล้ว แล้วยอมรับภาวะนี้ ไม่ไปหามไปแบกให้กดถ่วงจิตใจ ช่วยให้เราอยู่อย่างปกติได้ อุปมามากับเรามีเรือ รูปขันธ์ นี้เป็นเรือ เดี่ยวมันก็รั่วตรงนี้ ซึมตรงนั้น ถ้าเรามีชันยา มียารักษา มีวิตามินบำรุง เราก็บำรุงรักษาเอาไว้ แต้ถ้าเหตุปัจจัยทำไม่ได้ เกิดรั่วตรงหัวเรือเราก็มาอยู่เอาไว้ แต่ถ้าเหตุปัจจัยที่ไม่ได้ เกิดรั่วตรงหัวเรือเสีย ให้ส่วนที่รั่วไม่ถูกน้ำ เราก็พอประคับประคองร่างกายให้ทำงานทำการอยู่ในดิลกนี้ต่อไปได้ แต่คนเราไม่เป้นอย่างนี้ พอเจ็บหัวใจนิดหนึ่ง เกิดความหวั่นกลัวเป็นโรคหัวใจ ครุ่นกังวลกินไม่ได้ นอนไม่หลับความเจ็บหัวใจเลยมากขึ้นจริงๆ
เพราะความกลัวมากๆทำให้เส้นเลือดตีบตัวเลือดไหลไปเลี้ยงหัวใจน้อยลง หัวใจที่เดิมไม่เป็นโรค ก็อาจจะเป็นโรคขึ้นจริงๆ พาลหัวใจวายตายไปจริงๆ ซึ่งความจริง
ไม่มีใครทำ เราทำตัวเราเอง ถ้าเปรียบเทียบกับกรณีเรือรั่ว แทนที่จะย้ายไปตรงที่ไม่รั่ว
คือเอาใจคนอื่นไปเรื่องอื่นๆ กลับไปยืนขย่มอยู่ตรงนั้น  ครุ่นคิดหวาดกลัวกังวล ทำให้น้ำเข้าเรือมากขึ้นๆรูรั่วกว้างขึ้น จนในที่สุดเรือเลยจมไป ถ้าเข้าใจรูปขันธ์ตามจริงอย่างนี้แล้ว เราก็ไม่เป็นกังวล เมื่อร่างกายสุขสบาย  เราก็ขอบคุณว่าเราเป็นคนโชคดี ถ้าเกิดเจ็บป่วย ก็นึกว่าความเจ็บป่วยมาเป็นหิน ลับสติปัญญา ให้ใจเป็นทุกข์ได้ เพราะเวลาจะตาย เวลาใจจะจากรูปหายอันนี้ไป มันจะทุกข์ร้อนยิ่งกว่านี้มากมาย เราจะฝึกใจของเรา แยกใจของเราไม่ให้ไปผูกพันกับกายจนเกิดความทุกข์ขึ้น ถ้าสามารถแยกได้อยากนี้ อย่างที่หลวงปูดุลยท่านได้อธิบายว่า ใจของเราเปรียบเหมือนกะทิ เมื่อหมั่นปฏิบัติให้เกิดสัมมาทิฐิ แล้วพากเพียรฝึกฝน สัมมาทิฐิจนใจเห็นความจริง ละสังโยชน์ เป็นต้นว่า สักกายทิฐิ ใจเข้าสู่อริยะภูมิ ก็เหมือนเอากะทิไปเคี่ยวด้วย
ความร้อนเป็นน้ำมันออกมาแล้ว แม้จะเอาน้ำมันนี้ไปปนระคนกับกะทิใหม่ คือยังอยู่ในโลก คลุกคลีอยู่ท่ามกลางวัตถุที่เป็นเครื่องเร้ากิเลสทั้งหลาย ก็ไม่สามารถให้น้ำมันมะพร้าวนั้น คืนสภาพกลับกลายเป็นกะทิเหมือนเดิมได้
ใจที่เห็นความจริงถึงขึ้นที่อริยะบทบุคคลแล้ว จะไม่คืนกลับไปหลง ไปสู่กิเลสตัณหาครอบงำให้ข้องติดอยู่ในสิ่งเร้าอีก จนทำให้เรากลับเป็นปุถุชน เป็นโรคที่รักษาไม่หาย ถ้าเราพยายามเรื่อยไป พยายามเคี่ยว พยายามกลั่นให้กะทิให้เป็นน้ำมันเป็นไปได้แค่ไหนที่เราจะไม่ละถอย
ตั้งสติปัญญาของเราให้เป็นสัมมาทิฐิทุกครั้ง เมื่อจะลงกระทำอะไรด้วย กาย วาจา หรือด้วยความคิดลงไป ทุกๆ อย่างที่กระทำจะเป็นกุศลบาย เป็นมรรค
เมื่อเป็นมรรคแล้ว พระพุทธองค์ตรัสว่า นี่คือ หนทานที่เราจะไปสู่ความสิ้นทุกข์ ไม่ต้องห่วงว่าผลจะเป็นอย่างไร โปรดห่วงอยู่อย่างเดียวว่า ทำอย่างไรเราจึงจะมีสติ อยู่กับใจได้ทุกๆขณะ
ให้ตั้งเป้าเอาไว้ว่า เราจะให้สติอยู่กับใจทุกๆขณะ แต่ลงมือทำแล้ว เผลอไปเท่าไหร่ไม่ต้องท้อถอยหรือกังวล หน้าที่มีอยู่ประการ เดียวคือ ประกอบมรรคด้วยความเพียร พระพุทธองค์ไม่เคยตรัสว่า บุคคลจะล่วงทุกข์ได้เพราะปัญญา ผู้มีปัญญาแต่ไม่นำมาใช้ ไม่พากเพียรเอาปัญญามาแก้ปัญญา ปัญญาเปรียบเหมือนดาบ ไม่ว่าจะคมกริบอย่างไร ถ้าสอดอยู่ในฟัก ก็เอาไปใช้ตัดอะไรไม่ได้ ถ้าเราพากเพียรเอาสติปัญญาที่มีอยู่ มาให้แก้ปัญหาที่ประสบอยู่ทุกวัน
ผัสสะมากระทบใจ ใจเรากระเพื่อมอย่างไรบ้าง เอาสติมองดูรู้เท่ากัน แล้วประทับให้ใจกลับไปอยู่ในฐาน ให้เป็นปกติดั่งเดิม
ความเป็นปกตินี้คือความเป็นศีล เมื่อใจมีศีลเป็นฐานแล้ว ใจนั้นเป็นภาชนะที่รับธรรมได้ เพราะมันมีความปกติ จึงตั้งเที่ยงตรง อุปมาดังเราเอาภาชนะไปรองรับน้ำฝน ถ้าภาชนะตั้งเที่ยงตรง ฝนตกลงมาเท่าไหร่ๆน้ำฝนก็เข้าไปเต็มอยู่ในภาชนะของเราไม่ได้กระฉอกเสียหายคนบางคนตั้ง “ใจ” ของตน โดนคว่ำปากลงดินเสีย คือมีมิจฉาทิฐิเต็มที่ เมื่อเป็นเช่นนี้ธรรมวิเศษอย่างไร ครูบาอาจารย์สอนอยู่แม่พระพุทธองค์มาอุบัติขึ้นต่อหน้าก็ไม่ได้ประโยชน์เพราะใจดวงนั้นเป็นใจที่ปิดกั้นตนเองคือ ค้ำเสียแล้ว สิ่งสำคัญทีเราจะพึ่งตนเอง ให้หายจะโรคกิเลส ตัณหา อวิชชา อุปาทานได้ คือตั้งสติให้อยู่กับใจ เพียรฝึกสติ เราจะฝึกสติด้วยวิธีไหนๆก็ได้ สุดแท้แต่เราพอใจ โดยที่ไม่รู้เท่าทันว่า เมื่ออะไรมากระทบใจ ใจก็จะกระเพื่อมออกไปมีปฏิกิริยา ตอบสนองผัสสะนั้นอย่างไร เราต้องมีสติให้ทันรู้ใจ ใจของเราคิดไม่ดี ก็รู้ว่าคิดไม่ดี คิดไม่ได้อย่างไร ก็รู้ความไม่ดีที่คิดอย่างนั้น ถ้าสติรู้ตามความเป็นจริงใจจะหยุด ความคิด ความดิ้นรน ความอยาก
ความโกรธ ความเศร้าหมอง ทั้งหลาย จะดับ จะหยุดได้
ไม่ต้องพยายามข่มหรือแก้ตัวว่า จริงๆ แล้วฉันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ฉันไม่เป็นอย่างนี้ เพราะในความพยายามเหล่านั้นแทนที่จะทำให้ใจกลับมาสู่สภาพปกติ กลับเท่ากับไปทำให้เกิดแรงต่อต้านมากขึ้นไปอีก เกิดเป็นความส่ำระสาย ไม่รู้ว่าตัวองอยู่ตรงไหนเหมือนกับพายุจริงๆก็มีอยู่ แล้วเรายังทำพายุซ้อนขึ้นมาอีก เลยก็วุ่นกันใหญ่ โปรดอย่าอายอย่ากลัวที่จะรับความจริง
เพราะทุกคนเรียนจากความผิด ผู้ที่ไม่เคยทำผิดคือ ผู้ที่ไม่ได้ทำอะไรเลย เป็นไปไม่ได้ที่เรายังเป็นปุถุชนอยู่ จะไม่ทำผิด ปุถุชนคือผู้ที่ยังตกอยู่ใต้อิธิพลของ อวิชชา อุปาทาน ซึ่งทำให้ใจเศร้าหมองจัดเป็นโรคที่ร้ายกาจที่สุด เทียบทางโลก ก็เป็นมะเร็งที่รักษาไม่หาย ในการฝึกสติที่จะมองตามเป็นจริง คือมองให้เห็นว่า สิ่งที่มาเคลือบใจให้เห็นเป็นผิดไปนั้น หาใช่เนื้อจิตของเราไม่
แต่เป็นสิ่งแปลกปลอมที่มาฉาบทา มาเคลือบไว้เฉยๆ ถ้าเอาสติเฝ้าดูให้ดีกิเลสเครื่องเศร้าหมองเหล่านี้ สามารถหลุดตกไปได้โนที่เนื้อจิตของเราไม่ถลอก แต่เราเอาความหลงผิดไปบอกว่า ถ้าถากกิเลสออกแล้ว เนื้อจิตของเราหลุดติดออกไปด้วย ถึงเลือกตกยางออกเราจะตาย
เราไปให้อุทานกับอวิชชาหลอก จนเรากลายเป็นผู้พิทักษ์รักษาอวิชชา อุปาทานเอาไว้ว่าเป็น “เรา” ถ้ายังแยกจุดนี้ไม่ได้ เราก็ไม่มีทางพึ่งตัวเองได้ ไม่มีทางหายจากโรคนี้ เพราะจะเอายาอะไรมาใส่ มันก็ร้องว่าเจ็บ แทนที่จะคิดว่ายาช่วยทำให้ตัวเราเองอยู่รอดปลอดภัย กลับไปเข้าใจผิด ว่ายาทำให้เราตาย ทำให้เราทรุดโทรม เราก็เลยตายจริงๆ เหมือนกับต้นไม้ที่มีกาฝาก
แล้วมีผู้ช่วยมาตัดกาฝากให้ เราก็ว่าไม่ได้ๆ กาฝากที่เกาะกับต้น ก็ว่า “เรา” กิ่งกาฝากก็ว่า “เรา”
ตกลงกาฝากเลยแย่งอาหารที่เราไม่ได้เข้าไปเพื่อเลี้ยงตัวเอง ไปเลี้ยงกาฝากหมด ตัวเราค่อยๆเหี่ยวแห้ง จนในที่สุดยืนซากตาย เพราะเรากลายเป็นปุ๋ยของกาฝากเสียหมด ใจของเราก็เหมือนกัน ถ้าปล่อยให้ อวิชชากับอุปาทานบริหารอยู่เรื่อยๆ เราจะเปลี่ยนคุณภาพเป็นภาชนะรับธรรม กล่าวคือเป็นบัวประเภทที่ได้ยินคำครูบาอาจารย์สั่งสอนหรือมีผู้แนะหน่อยหนึ่งก็เห็นธรรม กลายเป็นมืดมัวลงโดยลำดับ จนเป็นบัวประเภทที่สี่ เป็นเหยื่อของ เต่า ปู ปลา ไม่มีวันโผล่พ้นน้ำ เพราะใจหลงเชื่อไปว่า ตัวเชื้อโรค กาฝาก อวิชชา อุปาทาน นั้น คือจิตของเรา เป็นเรา
อัตตาเริ่มมาทำอย่างนี้ เมื่อทราบอย่างนี้ เวลาฟังก็เห็นว่าไม่ยาก กลับไปย่อมทำได้ แต่พอลงมือกระทำจริงๆ ความเคยชินที่เป็นอัตโนมัติมาตั้งแต่เก่าก่อน ทำให้ผัสสะมากระทบปุ๊บ ก็ลื่นไปตามที่เคยเผลอ เคยผิดจนหมด โปรดตั้งสติคอยตามรู้ให้ทัน เห็นใจปลิวไปแค่ไหน ก็รั้งกลับมาทันที อย่านึกว่าช่างเหอะ คราวนี้พลาดไปแล้ว อย่าปล่อยให้ลื่นไปจนจบ ไว้พรุ่งนี้ต้นตั้งใหม่
ถ้ามัวผัดวันประกันพรุ่ง ก็เป็นอย่างนี้ทุกๆวัน พอจะเริ่มต้นทำความเพียร....แหมเหนื่อยเหลือเกินเพราะทำงานเพิ่งกลับ รถก็แน่น เหนื่อยจริงๆ นอนเสียก่อน เอาไว้พรุ่งนี้เถอะ พอพรุ่งนี้...วันนี้ยังวันนัก นอนเอาแรงสักนิดก่อน ประเดี๋ยวดึกๆค่อยลุกขึ้นมาทำ....อ้าวเกินเวลา ไปเสียอีกแล้ว ตกลงก็พรุ่งนี้เถอะ ๆอยู่เรื่อย ไม่ได้ตั้งต้นสักที
การจะรักษาโรค การที่จะพึ่งตัวเองได้ ต้องเป็นคนเด็ดขาด ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง มีเวลาเมื่อไหร่
นึกได้ตรงไหน ลงมือตรงนั้นเลย กำลังนั่งอยู่ในรถเมล์ นึกขึ้นได้ ก็เอาสติมาดูใจตัวเองกำลังทำงานอะไรๆอยู่ ก็เอาสติมองดูที่กำลังทำงานนั้น ให้จดจ่อเป็นหนึ่งเดียวกับงานนั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่ใจและกายของเราเป็นหนึ่งเดียวอยู่กับปัจจุบันขณะ ถือว่าสติได้อยู่กับใจ เฝ้ารักษาดูใจแล้วท่านจึงเปรียบการปฏิบัติว่า มีเวลาหายใจมากเท่าใด ก็มีเวลาปฏิบัติมากที่นั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่เราไม่หายใจ เมื่อนั้นแหละเราจึงไม่มีเวลาปฏิบัติ ก็เป็นอันหมดปัญหา ถ้าใครมาบ่นว่างานของฉันยุ่งมากจนทำไม่ได้ ก็ไม้เป็นปัญหาแล้ว เพราะเราเข้าใจกันแล้วว่า การปฏิบัติไม่จำเป็นต้องมีเวลาพิเศษ ถ้าหายใจ ขณะที่ทำอะไรๆอย่างอื่นได้ เราก็เอาสติเข้าไปร่วมกับลมหายใจและการงานที่กำลังทำอยู่นั้นได้
การฝึกให้เราพึ่งตนเองได้ คือการเอาสติเข้าไปเติมทุกอิริยาบถทุกๆกิจกรรรมของชีวิตเท่านั้น
เองไม่ได้ผิดแปลกไม่ใช่ว่าเราต้องปลีกตัวเองออกไปจากชีวิตประจำวัน มีผู้ตั้งคำถามว่า ถ้าทุกคนปฏิบัติธรรมกันหมด ทุกคนคิดจะบวชเป็นพระกันหมดแล้ว โลกนี้จะอยู่ได้อย่างไร โปรดอย่ากลัวไปเลย เพราะแต่ละคนย่อมมีภาระหน้าที่ มีหนี้กรรมที่ยังชำระไม่หมด ถึงอยากบวชก็บวชไม่ได้ หรือถ้าบังเอิญไปบวช ตัวอยู่ในผ้าเหลือง แต่ใจกลับคิดเรื่องที่ยังค้างคา ทำให้ไปไม่ได้ตลอด ไม่ต้องห่วงตรงนั้น เพราะทุกอย่างมีเหตุของมันบังคับเอาไว้แล้ว กว่าที่ท่านแต่ละองค์ๆ
จะได้มาบวชอย่างนี้ ท่านต้องชำระหนี้ สะสมบารมีของท่านเอาไว้ก่อนแล้ว ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
เกิดได้ปุ๊บปับ แต่ละคนต้องค่อยทำค่อยไป เมื่อเริ่มทำแล้ว ก็ไม่ต้องห่วงประเทศของเราจะล้าหลัง ด้วยพัฒนา เพราะมีผู้ถามว่า ถ้าประชาชนปฏิบัติ ตามที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้สันโดษแล้ว ประเทศจะพัฒนาไปได้อย่างไร โปรดเข้าใจให้ต้อง พระพุทธองค์สอนให้เราสันโดษในบาป อกุศล สันโดษภายในใจไม่ปล่อยใจปล่อยกายให้ทะยาน อยากไปตามความเศร้าหมองทั้งหลาย ขณะเดียวกันท่านก็ย้ำให้เราขวนขวายประกอบคุณงามความดี โดยไม่ต้องท้อถอยหรือหยุดยั้ง ท่านไม่ทรงสอนให้ผู้ใดพอแล้ว สันโดษในความดีว่าแค่นี้พอแล้ว ถ้าเราเป็นลูกพระพุทธองค์ปฏิบัติธรรมจริงจังเช่นท่าน เราจะไม่ทำงานกันอย่างที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้ หากจะทำอย่างไรไม่ให้เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย เมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้แล้ว ท่านจะเสวยวิมุตสุขอยู่แต่ในป่าตามลำพังพระองค์เองย่อมได้ แต่เพราะพระมหากรุณาธิคุณ พระบริสุทธิ์คุณของพระพุทธองค์ก็เต็มรองบริบูรณ์อยู่แล้ว ท่านสอนโลกโดยเอาองค์ท่านเองเป็นแบบฉบับ เป็นแนวทางให้เราเห็น เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น ศรัทธา บุกบั่นดำเนินตาม “มรรค” นั้นโดยไม่ลังเลสงสัย หากสันโดษที่ทานพร่ำสอน เป็นไปตามนัยดากิเลสของเราแปลความให้บิดเบือน เหตุไหนปฏิปทาของท่านจึงเป็นไปทางแนวตรงกันข้าวเช่นนั้น ท่านดำรงค์พระชนม์อยู่ด้วยอิทธิบาทสี่ ฉันทะ พอใจรักใคร่ในกิจที่เป็นคุณงามความดี วิระยะ บากบั่นพากเพียรให้กิจการนั้นลุล่วงไป จิตตะใส่ใจมั่งไม่เหน็ดเหนื่อยท้อถอย ไม่โลเล

เหลาะแหละ ตามลมแห่งสรรเสริญนินทา วิมังสา ตริตรองสอด ส่องข้อมูลด้วยความละเอียดรอบคอบ ใช้สติปัญญาพิจารณาตาม เหตุและผลให้ได้ผลดีที่สุด สิ้นเปลืองน้อยที่สุด ขณะเดียวกันก็ สํารวมระวัง สันโดษในความชั่วทั้งปวง ไม่ให้กล้ำกรายมาเป็น พิษเป็นภัย ดึงจิตใจให้หมองสกปรกตามไปได้กิจที่ท่านทรงทําโดยสม่ำเสมอในแต่ละวันๆ นั้น สรุปได้ เป็นพุทธกิจ  5 ประการ ในสามภพ ไม่มีเวลาว่างเว้น แม้ในขณะที่เราหลับนอนกันก็ตาม เริ่มด้วยเวลาบ่ายทรงเทศน์โปรดประชาชน ตลอดจนพระเจ้า แผ่นดิน เวลาคํา ประทานโอวาทโปรดภิกษุสาวก เที่ยงคืน ทรง ตอบปัญหา อบรมเทวดา พรหม กายละเอียดทั้งหลาย จวนสว่าง ทรงเล็งพระญาณ ตรวจพิจารณาผู้อยู่ในข่ายที่เช้านี้จะเสด็จไป โปรด เพราะผู้นั้นจะสามารถบรรลุธรรมได้ แล้วดั้นด้นไปโปรด เวลาเช้าเสด็จบิณฑบาต โปรดสัตว์โลก
วันทั้งวันของท่าน มีแต่ภารกิจเพื่อยังโลกยังสงสารให้อยู่ รอด ให้ได้ธรรมเป็นเครื่องยังจิตใจให้ร่มเย็น มีแรงสู้กับความ ทุกข์ทั้งหลาย ให้ปลอดภัยไปได้
พวกเราที่พร่าบ่น ทําจนเหน็ดเหนื่อยหมดแรงนั้น ถ้าสามารถ นําแรงของเรามาชั่งตวงเทียบกับของพระพุทธองค์แล้ว จะพบว่าน้อยกว่ากันมากมายนัก นอกจากนั้น ทําแล้วเรายังมุ่งหวังอามิส ถ้าไม่ได้ผลตอบแทน ไม่ได้เงินเดือนขึ้น ไม่ได้เลื่อนขั้นความดี ความชอบ ใจของเราก็ท้อถอย คิดเพ่งเล็งว่า เจ้านายลำเอียง ที่นี่ไม่ดี ควรย้ายไปที่ใหม่เถอะ ผลคือเราก็ย้ายไปเรื่อยตามที่กิเลส จะพัดพาไป แสวงหาไปไม่รู้จบรู้สิ้น แล้วก็บ่นว่าเหนื่อย แต่แรง เหนื่อยยากที่กระทําลงไปนั้น ไม่ได้ลงไปเพื่อมรรคผล แต่ลงไป เพื่อสนองความอยากของใจที่รวนเรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เป็นอารมณ์ เป็นอาหารที่ไม่มีประโยชน์กับจิตใจ กินเข้าไปแล้วก็ยังไม่อิ่ม กิน แล้วก็ยิ่งอยากเพิ่มขึ้น ยิ่งท้องอึดท้องเฟ้อมากขึ้นเมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว เข้าใจแล้วว่า เราต้องระวังรักษาจิตใจ ของเราให้ปราศจากโรค คอยเอาสติระวัง พากเพียรทําโดยสม่า เสมอ ก็จะเห็นผลในใจของเรา
เริ่มต้นที่ยังไม่มีสติอยู่กับใจนั้น ใจของเราวูบ ๆ วาบๆ เปลี่ยนระดับอยู่เรื่อย เมื่ออะไรมากระทบเป็นที่ชื่นชม พอใจ ใจของเรา ก็ฟูมีความสุข กําลังสุขอยู่อย่างนั้น มีสิ่งกระทบอันใหม่ว่า เพื่อน สนิทตายด้วยอุบัติเหตุ กําลังหัวเราะ ๆ อยู่ ก็ร้องไห้ขึ้นมาเดี่ยว นั้น ใจที่เปลี่ยนระดับวูบวาบอย่างนี้ คือตัวทุกข์ ถ้าปล่อยให้ใจ ไม่มีสติคอยรั้งวูบวาบ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างนี้ มิช้ามินาน เราจะกลายเป็นคนประสาท อารมณ์ผันแปร ควบคุมไม่ได้ พอ อะไรกระทบบุ๊บ ว่าอย่างนี้ออกไปแล้วก็กลับมาลังเลว่าไม่เอาอีก ใจพลิกคว่าพลิกหงายอยู่ตลอดเวลา ตัวเองก็ไม่รู้ตัวว่าต้องการ อะไรแน่ บางทีกําลังอยาก ๆ ครั้นได้สิ่งนั้นมา เกิดไม่เอาแล้ว ทิ้ง ไป อยากสิ่งอื่นต่อไปใหม่ ตกลงไม่มีวันพอ ไม่มีวันสงบ คนรอบ ข้างเดือดร้อน เพราะไม่ทราบจะเอาใจอย่างไร จะพอใจอย่างใด ทุกอย่างเป็นความทุกข์ ความคับเครียดไปหมดครั้นเริ่มฝึกใจของตน พอจะพลิกว่าเอา เอ๊ะ ไม่เอา สติก็ ถามตัวเองว่า จะเอาอย่างไรกันแน่ ที่จะเอามีเหตุผลอย่างไร ได้ มาแล้วเป็นประโยชน์แก่ตัวเองแค่ไหน เป็นประโยชน์แก่คนรอบ ช้างแค่ไหน แล้วพิจารณาตามเหตุผลเหล่านั้น เมื่อพิจารณาแล้ว บางทีปากว่าไม่เอา เพราะเหตุผลบอกว่าไม่ควรเอา แต่ใจยังดื้อ ยังเถียงว่า ถึงเราเอามา ก็ไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใคร ถ้าใจ ยังอ่อนกําลังอย่างนั้น ก็ให้มีสติรู้ว่า นี่เรา “ตื่น” แล้ว เรามีสติสิ่งที่จะทำเป็นสิ่งไม่ดีไม่งาม เป็นกิเลส แต่ใจยังไม่มีกําลัง ทํานบของเรายังรั่วอยู่ เราจึงไหลตามกิเลสไป ให้รู้ตามเป็นจริงถ้ารู้อย่างนั้นความอยากที่ทำเหมือนกับว่า ถ้าไม่ได้ สิ่งนั้น เราจะขาดใจตายจะอ่อนแรงลง เราก็จะมีแรง เมื่อรู้ว่าไม่ดี ใจ จะหยุด สามารถละได้เมื่อฝึกไป กำลังใจจะค่อยๆเข้มแข็งขึ้น ขอเพียงให้เป็น คนจริงกับตัวเอง อย่าพยายามแก้ต่างให้ตัวเอง เมื่อใดที่ใจรู้ว่า นี่ไม่ดี แต่ยังไม่มีแรงจะฝึนใจของตน อย่าแก้เก้อว่า มันก็ไม่เลว ไปเสียหมดถ้าเริ่มบิดเบือนอย่างนี้แล้ว การปฏิบัติธรรมจะกลายเป็น การปฏิบัติกิเลสไปโดยไม่รู้ตัว แล้วโรคที่พึ่งตัวเองได้ ก็กลายเป็น โรดที่หมดหวัง เพราะกลับกลายเป็นรวงรังของกิเลสไป ความ หวังทั้งปวงก็จบสิ้นกันคนส่วนมากจะเผลอหลุดจากมรรคไปที่ตรงนี้เมื่อปฏิบัติถึงจุดหนึ่งที่สติเริ่มอยู่กับใจเราจะตกใจ เพราะสมัยที่ไม่มีสติเลย เราคิดว่าตัวเองดีแล้ว เหตุใดเมื่อปฏิบัติไป กลาย เป็นว่าเราไม่ดีเลย อะไร ๆ ผิดไปหมด ชั่วไปหมด เหมือนผ้าที่ สกปรก ดำจนมองไม่เห็นว่า มีดวงด่างตรงไหนบ้าง มองผาดๆ ก็ไม่เห็นสกปรกเท่าไร เพราะมันดำทั่วหมดทั้งผืน ครั้นเริ่มต้น ซักไปสักพักหนึ่งที่ดำน้อยก็เริ่มขาวขึ้น คราวนี้เห็นดวงเปรอะ ดำเด่นชัดขึ้น ดูแล้วน่าเกลียดเปื้อนเปรอะกระจายไปหมดทั้งผืน เราก็เลยตกใจกับตนเอง พยายามคิดหาข้อแก้ตัวว่า เราไม่ได้ชั่ว ถึงแค่นี้หรอก คนอื่นมากล่าวหาต่างหาก ถ้าเริ่มอย่างนี้ เราจะปฏิบัติกิเลส เพราะทิฐิความเห็นไม่เที่ยงตรง เฉไปตามที่อวิชชา และอุปาทานหลอก ตกลง ไม้วัดของเราก็เป็นไม้วัดปลอม เมื่อ ไม้วัดปลอม วัดอะไรออกมาก็ผิดทั้งนั้น เอาเป็นมาตรฐานไม่ได้ถ้าผ่านตรงนี้ไปได้ถูกต้อง กําลังใจของเราจะตั้งมั่น มีศรัทธา แน่วแน่ พื้นฐานของใจเริ่มแน่นหนา เหมือนครั้งแรกใจของเรายังเป็นถนนดินทรายอยู่ ครั้นเอากรวดหินมาถมเอารถบดถนนบดกลับ ไปกลับมา ซ้าแล้วซ้ำอีก มันก็ค่อยแน่นเข้า ๆ คราวนี้ถึงฝนจะ ตกหนักอย่างไร ถนนก็ไม่ไหลเละเป็นโคลนอย่างแต่ก่อน เมื่อ ฝนหมดไปแล้ว คือผัสสะที่เป็นความเย้ายวนผ่านพ้นไปแล้ว เรา ก็ทรงตัวอยู่ได้ ตั้งตัวได้อีกสักหน่อย เราก็แน่นเป็นถนนคอนกรีตถึง ผัสสะความเย้ายวนจะมีมากแค่ไหน เราก็สามารถตั้งฐานรับได้ เพราะรู้เท่าตามเป็นจริงเสียแล้ว จิตใจไม่ทุกข์ ไม่หวั่นไหว ไม่ กระเพื่อมไปตามกิเลสเหล่านั้น เราสามารถเห็นโลกนี้ตามที่เป็นจริงอย่าเข้าใจผิดว่า ถ้าปฏิบัติไปแล้วกิเลสจะหมดไป กิเลสก็คงอยู่ตามสภาพของมัน เมื่อตาเห็นรูป สักแต่ว่ารูป ใจแนบแน่นกับสติ ไม่ปรุงต่อว่ารูปสวย เราอยากได้ กิเลสก็มีอยู่อย่างนั้น แต่มา ทําร้ายใจเราไม่ได้ ถ้าไม่มีสติ ตาเห็นรูป กิเลสเยิมมาดึงใจให้กระโจนไป แล้วว่าอยากได้เอามาเป็นของเรา ทําอย่างไรดี มีเจ้าของหรือก็ฆ่าเจ้าของ เสียให้สินปัญหา ตกลงเปิดแต่บัญชีหนีเป็นหางว่าว เพื่อจะได้ กามวัตถุ สิ่งอันเป็นทีตั้งแห่งความอยากเหล่านันมาเป็นของเรา โลกนี้บีบคั้นให้ใจสัตว์โลกทุกข์ เพราะมันเต็มไปด้วยกามวัตถุ ปัจจุบันเป็นยุคสมัยของแสงสีเพื่อล่อเรา แต่สมัยของพระพุทธเจ้า โลกยังบริสุทธิเป็นธรรมชาติความคิดเช่นนี้ไม่จริง กิเลสก็มีในหัวใจสัตว์โลกเท่ากันนี้แหละเราขาดสติปล่อยใจไปปรุงแล้วตกเป็นเหยื่อเอง
เราเอาตัว เข้าไปเกี่ยวกับเบ็ดเอง แล้วเห็นไปว่าเบ็ดเต็มไปหมด ถ้าอยู่เฉย ๆ แล้วมองดู เบ็ดก็อยู่เฉย ๆ ของมัน มันมาเกียวเราไม่ได้ ต่างอัน ต่างอยู่ เบ็ดก็ไม่มาเป็นภัยกับเรา ถ้าเราพากเพียรฝึกไป ใจจะเห็นอย่างนี้จริง ๆ หมดความ เดือดร้อนว่า จะอยู่ตรงไหนดี จะเป็นอะไรดี ทำอย่างไรจึงจะ รอดปลอดภัย เมื่ออะไรเกิดขึ้น สติไตร่ตรองเห็นเหตุมีอย่างนี้ ผลก็ต้องเป็นไปอย่างนี้ เราก็ตั้งสติปัญญาพิจารณาปัญหาว่า ทำอย่างไรด้วยปัจจัยที่มีอยู่ขณะปัจจุบันนี้ จึงจะแก้ไขเหตุขัดข้องเหล่านี้ให้คลีคลาย เป็นความสะดวกสบายและเหมาะสมเท่าที่จะทำได้ ด้วยวิธีนี้ เราก็แก้ไขแต่ละเหตุๆไป ชีวิตก็ดำเนินไปด้วยเหตุและผล เป็นสภาวะธรรมชาติ กลมกลืนไปกับสภาวะ ทั้งหลาย ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อสิ่งใดเมื่อปฏิบัติถึงจุดนี้ เราก็มีตนเป็นที่พึ่งแห่งตน โรคหายขาด หรือไม่ ใจก็ไม่เดือดร้อน เพราะรู้เท่าทันสภาพเป็นจริง ภาระ ยังไม่จบก็พากเพียรทำไปตามสติปัญญาความสามารถ ไม่วุ่นวาย สงสัยในผลพุทธศาสนาเป็นศาสนาของการกระทำ อะไร ๆ ที่พระพุทธองค์ ทรงสอนหลักฐานทั้งหลายในพระไตรปิฎกที่มีอยู่หาใช่ตัวธรรมะป็นแต่เพียงสมมติ สื่อที่หมาย เพราะเราอยู่ในโลกสมมติกัน ถ้า ไม่มีเครื่องหมายเพื่ออาศัยเป็นสื่อ เป็นต้นว่า วัดสนามใน ถ้าไม่มี แผนที่บอกให้ตามป้ายสถานีบางพลัดเข้ามา เราก็ไม่รู้จะเลี้ยวตรง ไหน จะเข้ามาอย่างไร ถึงตรงไหนจึงเป็นวัดสนามใน เราต้อง อาศัยคำอธิบายเหล่านี้เป็นแนวทางการที่เรามาพูดจาสนทนาซักถามกัน หรืออ่านหนังสือธรรมะ ก็เพื่อให้เกิดความคิดว่า จะลงมือปฏิบัติอย่างไร แต่ถ้าเราไม่เริ่ม ลงมือปฏิบัติ สิ่งเหล่านั้นก็คงเป็นแค่สื่อ ไม่มีวันจะเกิดผลเป็น ตัวธรรมะไปสัมผัสให้รู้ เห็น เป็นขึ้นในใจ หรือทำให้ใจได้ลิ้มรส ของธรรมะที่เป็นความร่มเย็นได้ ตัวธรรมะจริงๆ เป็นความสัมผัส ที่รู้ขึ้นในใจของแต่ละคน เอามาแบ่งแจกให้กันก็ไม่ได้ ทั้งๆ ที่เราไม่ได้หวงแหน ทำได้เพียงเอาสิ่งที่ใจรู้มาเล่าสู่กันฟังพอเป็น แนวทางโน้มน้าวจิตใจเขาให้เกิดความเพียร มีแรงที่จะกระทำเมื่อลงมือทำแล้ว ธรรมะจึงงอกงามขึ้นในใจแต่ละดวง หล่อเลี้ยงใจเหล่านั้นให้สงบ ผาสุกรู้โลกตามเป็นจริง บังเกิดประโยชน์ขึ้นมาสมดังที่พระพุทธองค์มุ่งหมาย
พิมพ์โดย       ปภัสสสร มีพงษ์
แหล่างที่มา    http://web.krisdika.go.th/buddha/sicknessMyself.pdf

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Back To Top