Header Ads

วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2561

บทความหมออมรา โภคทรัพย์

บทความหมออมรา
โภคทรัพย์

ชื่อผู้เขียน       พญ อมรา มลิลา
วันที่              วันที่ 15 มิถุนายน 2548
ณ                ห้องประชุมชั้น 2 ตึกวชิรญาณวงศ์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
หมวด
อันดับที่       

                 เมื่อเราแสวงหาได้ทรัพย์สมบัติสิ่งของต่างๆ เพื่อใช้อำนวยความสะดวกสบายให้เรา ที่เรียกว่า โภคทรัพย์ แล้ว เราได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรง ด้วย ความขยันหมั่นเพียร เราควรจัดสรรอย่างไร พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า เมื่อเราได้ทรัพย์เหล่านี้มา แล้ว การเอามาใช้ ให้แบ่งเป็นส่วนๆ ได้ 4 ส่วนด้วย กัน ส่วนที่ 1 เอาไว้เลี้ยงตัวเรา พ่อแม่ ลูก ภรรยา และคนใต้ปกครองในบ้าน ให้เป็นสุข คือ เราได้โภค ทรัพย์มาแล้ว ส่วนหนึ่งสำหรับใช้จ่ายกินอยู่ เลี้ยงดู คนในบ้านของเราให้มีความสุขตามสมควร ไม่ใช่ ว่าเรามี แล้วกระเบียดกระเสียรเอาไปเลี้ยงแขกหรือ เอาไปทำบุญ โดยที่ไม่ได้ใส่ใจสนใจคนในบ้านเลยเหมือนเรื่องเล่าว่ามีสุภาพสตรีท่านหนึ่ง ท่านจะทำบุญ ไปวัดทำบุญ เป็นที่ร่ำลือกันว่าท่าน
เป็นคนที่ใจบุญสุนทร์ทานมาก แต่ปรากฏว่าแม่แท้ๆ อยู่ที่บ้านนี้ ท่านไม่ให้อยู่บนบ้านกับท่าน แต่ให้ไป ที่เรือนคนใช้ และไม่เคยดูแลจัดสรรอาหารการ
กินไปให้แม่เลย ปรากฏว่าท่านเจ้าคุณที่วัดที่ท่านไปทำบุญอยู่ เป็นประจําจะรู้ด้วยวิธีใดก็ไม่ทราบ วันหนึ่ง อยู่ดีๆ ท่านเจ้าคุณมาเยี่ยมท่านที่บ้านอย่างกะทันหัน โดยที่ไม่ให้เตรียมตัวเลย แล้วก็บอกว่า ได้ข่าวว่าโยมมีแม่ อยากจะขอรู้จักกับแม่เสียหน่อย คุณหญิงก็ปฏิเสธว่าไม่ได้ ไม่ว่าง แม่นอนพักหรืออะไรต่อมิอะไร คือ ไม่ยอมให้พบกับแม่ ท่านก็พูดให้สติว่า การที่เราไปทำบุญใส่บาตร หรือไปดูแลพระ พระเหล่านี้ที่แท้จริงแล้วเมื่อเทียบ กับพ่อแม่ของเราแล้ว ยังไม่สำคัญเท่า เพราะพระ พุทธเจ้าทรงยกพ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของเรา เป็น พระประจำบ้าน ถ้าเราไม่ดูแลพ่อแม่ของเราให้ดี ไม่ปฏิบัติบำรุงรักษาท่านให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ถึง
จะไปทําบุญกับพระสงฆ์ใหญ่โตแค่ไหน ใครจะรําลือว่าเป็นอรหันต์ บุญก็ยังไม่เท่ากับทํากับพระในบ้าน ท่านพูดโน้มน้าวจนกระทั่งคุณหญิงเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรม แล้วในที่สุดก็เอาแม่ของตัวมาดูแล

เพราะฉะนั้น ให้นึกถึงไว้ ที่เรามีทรัพย์สิน เงินทองข้าวของอะไร ส่วนหนึงนอกจากจะเลี้ยงตัวเราลูกเม้า ครอบครวของเรา เด็กรับใช้ในบ้านแล้ว เราต้องนึกถึงบุพการีของเรา ถึงท่านไม่ได้อยู่ด้วย จะ
เราก็ต้องหมันไปเยี่ยมเยียน จัดสรรโภคทรัพย์ส่วนหนึ่งไว้เพื่อบำรุงเลี้ยงดูให้ท่านมีความสุข เพราะอะไร เพราะถ้าไม่มีพ่อแม่ เราก็ไม่สามารถ จะมีสภาพร่างกายอันนี้ขึ้นมาได้ ไม่สามารถเอามัน มาเป็นเครื่องมือเพื่อทำให้เกิดเป็นเสบียง เป็นบุญ เป็นกุศล ไม่สามารถจะฝึกให้จิตใจของเราพัฒนา เป็นภาชนะรองรับธรรมได้เอาไว้สําหรับดูแลเพื่อนฝูงและผู้ ร่วมทํากิจการงาน ในการทําการงาน เรามีหุ้นส่วนหรืออะไร เราก็ต้องมีส่วนนี้ สำหรับดูแล เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ถ้าเราคิดถึงแต่ตัวเอง เพื่อนฝูง พอถึงยามคับขันคงลำบาก เราต้องมีใคร ที่ถือว่าเป็นเพื่อนแท้ ที่ถ้าพลาดพลั่งหรือเป็นอะไร ก็จะได้พึ่งพากันได้ เพื่อนบางคน พอคบหากันไปแล้ว ความที่ รู้จิตรู้ใจช่วยเหลือเกื่อกูลกัน ก็จะมีความรู้สึกเหมือน ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า แม้เราจะไม่ได้สืบสายเลือดมา เป็นญาติกันจริงๆ แต่ความทีใจดวงนีไม่ได้เพิงเกิด พร้อมกับร่างกายอันนี้ของเรา ใจเป็นนักเดินทาง มาราธอน คือ มีหลายคนกล่าวว่า ถ้าเราพูดว่าใจ ของเราไม่ตายนี จะเหมือนกับเราไปเชื่อว่า ใจเป็น อัตตา เป็นสิ่งที่มีตัวมีตน ซึ่งมันไม่จริง เพราะพระ พุทธองค์ท่านก็ตรัสไว้ว่า ตัวเราก็ไม่ใช่ตัวเรา อย่าง เรื่องของไตรลักษณ์ ที่เราบอกว่าเป็นอนัตตา ไม่มี สาระแก่นสาร แต่เราบอกว่า ใจเป็นนักเดินทาง มาราธอน ไม่ตาย ทีนี้การที่พระพุทธองค์ตรัสว่าใจ เราไม่ตายนี่ มันไม่ได้อยู่เป็นตัวเป็นตนชัดเจนว่ามัน คงที่ ท่านเปรียบอุปมาเหมือนเราดูสายน้ําที่ไหล อยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไม่ดูให้ดี เราดูระดับน้ำ มันก็
คงที่ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ถ้าเราเอาสีใส่ไปในน้ํา ถ้า หากน้ำอยู่นิ่งๆ จริงๆ ไม่เปลี่ยนแปลงเลย สีที่เรา ใส่ลงไปเท่าไรจะต้องอยู่เท่านั้น แต่น้ำไหลอยู่ตลอด เวลา มีน้ำใหม่มาแทนที่ น้ำเก่าก็ไหลเลยไป มันไหล โดยที่เราไม่รู้สึกว่ามันไหล ดูระดับน้ำก็เหมือนนิงคงที่ แต่สีจะค่อยๆ จางไป เพราะน้ําที่เข้ามาใหม่เป็นน้ําใส ก็จะพัดพาเอาสีออกไป จนในที่สุด ชัวระยะเวลาหนึ่ง เรามาดูใหม่ น้ําของเราทีมีสีก็กลายเป็นน้ําใสไปแล้ว จึงแสดงให้เห็นว่ามันมีการเปลี่ยนแปลงข้างในอยู่ ตลอดเวลา เพราะฉะนั่น การที่เราบอกว่าใจไม่ตายก็เป็นทํานองสายน้ำที่มันไหล หรือเราจะคิดถึงเปลวไฟก็ได้ เราจุดเทียนไข เอาไว้ เทียนก็จะลุกสว่าง จนกระทั่งไขหมดไปแล้ว ไฟถึงดับหายไป มันก็เหมือนกับที่เราปฏิบัติจน กระทั่งใจของเรารู้ตามความเป็นจริง เป็นอรหันต์ เราไม่มาเกิดอีกแล้ว ไฟก็ดับ เพราะเราหยุดเกิดตาย เกิดตาย ทีนี้เปลวไฟทีเราเห็น ลุกต่อเนืองกันตลอด เวลาจนกระทั่งเทียนไขหมดนี้ ถ้าเราดูจริงๆ มัน ไม่ใช่เปลวอันเดียวกัน มันวิบวับ วิบวับ เหมือนมัน กะพริบจะดับ แต่พอจะดับ ก็มีเปลวใหม่ลุกขึ้นมา ในความเป็นใจของเรา ที่เราบอกใจไม่ตายนี้ มันก็เกิดดับ เกิดดับ มากระทบ อย่าง พวกที่เรียนอภิธรรม บอกว่าใจของเราเป็นกี่ดวงที่ไปรับผู้ผัส ก็เป็นทํานองเปลวไฟที่วิบวับ วิบวับ อย่างนันในขณะที่มีผัสสะมากระทบ เมือผัสสะหมด ไป มันก็คลายจางไป แต่ไม่ได้หายไปเกลี่ยง มันยัง เอาประจุความจําส่งไปยังจิตดวงใหม่ ที่วิบขึ้นมา วิบ ขึ้นมา ทำให้อะไรก็ตามที่เราทำเอาไว้ จะครั้งไหนๆ ก็ตาม ถ้ายังไม่ส่งผล มันก็ยังจะอยู่ในประจุความจำ ครูบาอาจารย์ท่านเปรียบเทียบว่า ใจเหมือน ที่สวนแปลงหนึ่ง อะไรที่เราทำไป กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่เราทำไป เปรียบเหมือนเมล็ดพันธุ์ ที่เราหว่านไปตลอดเวลา แล้วตัวกรรมอันนี้ก็จะจัด สรรให้มันงอกมาเป็นต้น แล้วออกดอกออกผลมา เป็นเหตุการณ์ที่เราเจอะเจอ แต่ละเวลานาที ให้เรา ได้รับผลกรรมของเราของทุกอย่างมาแต่เหตุ เราโปรยเมล็ดอะไร ไว้ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เป็นกุศล เรา ก็ได้ต้นกุศล ดอกกุศล ผลกุศล ถ้าเราหว่านที่เป็น อกุศล เราก็ต้องเจอะเจอสิ่งนั้น มันสามารถทำให้ แม้เปลวไฟนี้จะไม่ใช่เปลวไฟอันเดิมอยู่ตลอดเวลา แต่มันส่งทอดข้อมูลไม่สูญหายไป ตราบเท่าที่เรา ยังไม่จบสิ้นอวิชชา ใจของเรายังมีอุปาทานอยู่ อะไร ทีเราทำจะเป็นตัวกรรมทั้งสิ้น มันจะต้องมีผลมาให้ แต่เมื่อไรใจนี้รู้ตามเป็นจริง จนไม่มีอุปาทาน ความยึดมันสําคัญผิด ล้างอวิชชาหมดสิ้นไป ลม หายใจก็หมด เปรียบเหมือนกับเจ้าหนี้ตามไม่ทัน เพราะเราปิดบัญชีเสียแล้ว ก็เลยต้องหมดกันแค่นัน ส่วนที่เราทําเป็นกุศลเกินเอาไว้ก็ยกให้เป็นสาธารณ สมบัติ เราไม่ไปหวงแหน แต่ว่าหนีค้างชําระที่เขา จะมาเอาคืน ถ้าเขาตามมาไม่ทัน มันก็ต้องหมดไป เพราะตัวร่างกายที่จะรับผลของวิบากนันหมดไปเสีย แล้ว เหลือแต่ใจทีลอยตัวเป็นอิสระ ไม่มีอุปาทาน
และอวิชชาอยู่แล้วมา แล้วเราดีอกดีใจ มันอยู่ไม่ยังยืน มันเหมือนเรา ไปเบิกล่วงหน้ามา วันหนึ่งเราก็ต้องใช้คืน รวมทั่งดอกเบี้ยด้วย หรือเราไปเอาของคนอื่นมา วันหนึ่ง เขาก็ต้องเอาคืนไปจนได้ถ้าเราเข้าใจหลักตรงนี่แล้ว เราก็จะซื่อตรง ต่อการจัดสรรโภคทรัพย์ของเรา หรือซื่อตรงต่อการจะไปเก็บเกี่ยวโภคทรัพย์ของคนอื่น แล้วถือว่า สมบัติของโลกผลัดกันครอง ก็ทำเป็นว่ามีธัมมะสูง พระพุทธองค์ทรงไม่ให้ไปยึดมันสําคัญผิดว่าอะไรๆ รวมทังทรัพย์สินเงินทองเป็นของของเรา เพราะถึง เรากำเอาไว้ในมือ แต่พอหมดลมหายใจ มันก็ตกอยู่ กับแผ่นดิน เพราะฉะนั้น คนบางคนที่ใช้ความฉลาดใน การเอารัดเอาเปรียบ ไม่ได้ใช้ความฉลาดไปในทาง ที่เที่ยงธรรม ก็จะบอกว่า ของทุกอย่างเป็นสมบัติ ของโลกผลัดกันครอง ใครมือยาวก็สาวได้สาวเอา ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว เราไม่เทียงธรรม เรามีหุ้นส่วน ของเรา เรามีมิตรสหายของเรา เราดีแต่เอาของเขา
เสร็จแล้วพอถึงคราวเราบ้าง เราก็ไม่ยอมให้ใคร เหมือนสมยพุทธกาล มีเศรษฐีคนหนึ่งไปที บ้านเพื่อนซึ่งเลียงขนมกัน มันเป็นขนมอย่างหนึ่ง ซึ่งในชาดกเรียกว่าขนมเบื้อง แต่ท่านอาจารย์บอก มันก็ไม่เหมือนขนมเบื้องที่เราทำกัน ท่านเศรษฐี ชอบขนมนี้มาก แต่นึกว่าถ้าไปกินขนมเบื้องของเขา อีกหน่อยเราก็ต้องเชิญพวกนกลับมาที่บ้านเรา แล้ว เลี้ยงขนมเขา ท่านเสียดาย ท่านก็เลยไม่กิน แต่ยังมี พอกลับมาถึงบ้านก็บอกภรรยาว่า ฉันอยาก กินขนมเบื่อง ภรรยาก็ว่า จะเป็นไรไปเล่า เราก็ไป ตลาด ไปซื้อแป้งซื้อของมา พรุ่งนี้ฉันจะทําให้ แล้ว พวกเราในบ้านจะได้กินด้วยกันทุกคน ท่านเศรษฐี บอกเปลืองไป ไม่ต้องกินหมดทุกคนหรอก ก็บอก อย่างนันเราทํากินกันสองคนผัวเมีย ท่าน เศรษฐกิยังค้านอิกว่าเปลิอง สรุปแล้วท่านเศรษฐจะ ภรรยาก็ไปหาอุปกรณ์มา ท่านเศรษฐีก็ แนะว่า ถ้าทำข้างล่างในครัวนี่ คนอึนเห็น แล้วเรา จะกินคนเดียวอยู่ได้อย่างไร เพราะฉะนัน ต้องขน เตาขนอุปกรณ์ขึ้นไปบนสารทชั้น ท่านเศรษฐีมีบุญบารมอยู่ พระพุทธเจ้าเล็ง เห็นแล้วว่า ถึงท่านจะขี่เหนียวปานนี้ แต่ใจท่านก็ ปริมจะตกกระแสเป็นโสดาบัน พระพุทธเจ้าจึงส่ง พระโมคคัลลาน์ให้เหาะไปที่หน้าต่างปราสาทชั้น 9 เพราะท่านเศรษฐีให้ปิดประตูปราสาทหมด แม้แต่ มดก็เล็ดลอดเข้าไปไม่ได้ แต่ภรรยาท่านเศรษฐีขอเปิด หน้าต่าง เพราะไม่อย่างนั้นจะทำขนมในที่อับอึดอัด ไม่ไหว ท่านเศรษฐีก็คิดว่า เปิดหน้าต่างเอาไว้บน ปราสาทชั้น 9 คงไม่มีใครมาแย่งกินขนมเบืองแน่ พระโมคคัลลาน์ก็เหาะเข้ามาทางช่องหน้าต่างนี แล้วมายืนเหมือนพระมารอบิณฑบาต ยืนสงบคอย ภรรยาก็เห็นแล้ว แต่จะเอาขนมเบื่องใส่ให้ก็ไม่กล้า เพราะขนาดภรรยาจะกินยังบอกว่าเปลือง ก็ชำเลือง ดูท่านเศรษฐีก็ทําเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่เห็นภรรยาจึงไม่กล้าเอาขนมเบื้องใส่บาตร แต่ก็รู้สึกไม่ สบายใจ พระโมคคัลลาน์ก็ยืนสงบอยู่อย่างนั้น ท่าน เศรษฐีก็ไม่รู้จะไล่อย่างไร ในที่สุดท่านก็พยักหน้า ให้ภรรยาเอาขนมเบื่องแผ่นหนึ่งใส่ลงในบาตรพระ โมคคัลลาน์เท่าของราคาจริง เขาก็ยินดีจะจ่ายให้ คุณหมอก็นึกว่า เราก็ไม่ได้มีกิจกรรมอะไร เร่งด่วนที่ต้องกลับเครื่องบินเทียวนี่ แล้วเราก็ไม่ได้ นังรถไฟตั้งนานแล้ว คือนายคนนี่เมื่อตัวเครืองบิน หมดก็ซื้อตัวรถไฟสํารองไว้ ถ้าคุณหมอยอมขายตัว เครืองบินให้ เขาก็จะให้ตัวรถไฟ คุณหมอก็นึกว่า ดี เหมือนกัน แทนทีเราจะกลับไปนอนที่บ้านเรา เรา นอนในรถไฟก็ได้ ก็ตกลงให้ตัวเครืองบินเขาไปด้วย ราคาเท่าทีมหาวิทยาลัยซื้อมา โดยให้ไปตกลงกับ ทางมหาวิทยาลัย ถ้าคุณหมอไม่ให้ตัวเครื่องบิน เครืองบินอาจขึ้นไม่ได้ หรือขึ้นได้ก็ไม่ไปตกที่รังสิต เพราะเหตุปัจจัยยังไม่ครบผู้คน เหตุจึงทําให้อยู่ดีๆ นักธุรกิจท่านนี้ก็วิ่งมากราบกรานขอร้อง แล้วยังจะ แถมสตางค์ให้คุณหมออีก เมื่อคุณหมอกลับมา รู้ข่าวเครื่องบินตกเข้า
ก็รู้สึกสาธุที่เราไม่ได้เอาค่าตัว 5 เท่า เพราะถ้าเอาแล้ว ไม่รู้ว่าจะทำบุญให้เขาอย่างไร เพราะเหมือน กับเราเอาความตายไปให้เขา แล้วยังคิดกําไรเกินพอ ถ้าเราพิจารณาให้รอบคอบ เหตุทมจงท ให้คนๆ
ที่เมียก็ไม่ให้กิน ท่านตกกระแสเป็นโสดาบันได้ฉะนั้น เมื่อเราพบว่าเรากำลังชั่วร้ายอย่างหนัก เราก็อย่าเพิ่งทําตามความชั่วร้ายเหล่านั้น ตั้งสติแล้ว พิจารณาไตร่ตรอง เออหนอ ถ้าพระพุทธเจ้ายังทรง พระชนม์ชีพอยู่ แล้วเราใส่บาตรท่าน แทนที่เราจะ ใส่ท้องเราคนเดียว มันก็จะเป็นโภคทรัพย์ที่ฝังอยู่ ในดิน แล้วแปรไปเป็นอริยทรัพย์ เป็นเสบียงติดตาม ใจของเราไปเกื่อหนุนเราต่อไป ถาเรารู้จักคิดอย่างนี้ในขณะที่เราร้ายมากๆ นี่ พอไฟดับปุ๋บ ใจก็เริ่มเย็นได้ ตรงนี้ให้เราระลึกนึกเอาไว้ ให้รู้จักแบ่งให้เพื่อนฝูง ส่วนที่ 3 เก็บเอาไว้สําหรับยามมีอันตรายหรือ อุบัติเหตุที่เราไม่คาดไม่คิด ในชีวิตคนเรา มันเป็นไปไม่ได้ที่ทุกอย่างจะเป็นไปอย่างที่เราวางแผน เรายังหยังไม่รู้ดินฟ้ามหาสมุทรได้หมดสิ้น หรือแม้เรารู้ดินฟ้ามหาสมุทรได้หมด แต่ยังไม่รู้ชัดเรื่อง กรรมของเรา เราก็จะเป็นอย่างเรื่องของชาวจีนคน หนึ่ง ชายคนนี้มีครอบครัวแล้ว เขาอาศัยอยู่ใน เมืองรมทะเล เขารู้เรื่องดวงดาว รู้โหราศาสตร์ได้แม้เรารู้ดินฟ้ามหาสมุทรได้หมด แต่ยังไม่รู้ชัดเรื่อง กรรมของเรา เราก็จะเป็นอย่างเรื่องของชาวจีนคน หนึ่ง ชายคนนี้มีครอบครัวแล้ว เขาอาศัยอยู่ใน เมองรมทะเล เขารู้เรื่องดวงดาว รู้โหราศาสตร์ได้แม่นยํามาก ผู้คนจะมาให้เขาพยากรณ์ให้เป็น ประจําวันหนึ่ง ชายคนนี้ตรวจชะตาบ้านเมือง รู้ว่า เมืองที่เขาอยู่นี้ พอถึงวันนี้ๆ จะไฟไหม้ตอน 10  โมงเช้า แล้วไฟจะไหม้ลุกลามจนกระทั่งไม่มีใครรอด ชีวิตไปได้ เรียกว่าเมืองนี้ไหม้ราบเป็นหน้ากลองหมดเช้าวันนั้น เขาบอกลูกเมียว่า วันนี้เราจะออก ไปอยู่ในทะเล แล้วเขาก็ขนเอาของมีค่า เอาลูกเมีย ใส่เรือออกไปตั้งแต่ 8 โมงกว่าๆ ไปลอยเรือเหมือน มีกิจธุระจะต้องทําในทะเล แต่ก็ไม่ได้เล่าให้ลูกให้ เมียฟัง 10 โมงก็แล้วไฟก็ไม่ไหม้ 11 โมงไฟก็ไม่ไหม้ ก็ลอยอยู่ในทะเลจนกระทั่ง 4 โมงเย็น จึงคิด ว่าที่เราพยากรณ์นี่คงจะผิดเป็นครั้งแรก ก็เลยเอาลูกเมียกลับเข้าฝั่ง พอเข้าบ้านเรียบร้อย ไฟมาแต่ ไหนไม่รู้ มันลุกติด แล้วก็มีลมพายุพัดกระหน่ำจน กระทั่งไฟไหม้เมืองนั้น รวมทั้งครอบครัวเขาด้วย ราบเรียบเป็นหน้ากลองท่านผู้รู้อธิบายว่า ในเมื่อชะตากรรมของเมือง นี้มีเหตุปัจจัยร่วมกัน ถ้ายังมีใครหายไป ไฟก็ยังไม่ ไหม้ ต้องมาให้พร้อมพรักกันเสียก่อน กรรมต้อง เป็นไปอย่างนั้น ถึงแม้ชายคนนี้จะรู้ แต่เขาไม่ได้ แก้ไขกรรมที่เขาทำไว้ เขาทำเหตุที่ต้องอยู่ในเมือง ที่จะถูกไหม้ไปด้วย เมื่อเขายังหายไป ไฟก็ยังไม่ไหม้ ถึงได้กล่าวว่า แม้เราจะหยังรู้ดินฟ้ามหาสมุทร แต่ ถ้าเราไม่หยังรู้กรรมของเรา เราไม่แก้ไขกรรมของ เรา เราไม่แก้ไขเหตุที่เราทำไว้ ผลก็ต้องเป็นไป อย่างนั้น ไม่มีทางหลีกเลี่ยง ทำให้ดิฉันนึกถึงเมื่อครั้งท่านอาจารย์สิงห์ทองเครื่องบินตกที่รังสิต ก็ปรากฏว่ามีหมอท่านหนึ่ง ไปสอนทีมหาวิทยาลัยขอนแก่น และทางมหาวิทยาลัยซื้อตัวเครื่องบินเทียวกลับไว้ให้ท่านแล้ว ขณะที่คอยเครื่องบินจากอุดรฯ มาแวะที่ขอนแก่น ก่อนจะเข้ากรุงเทพฯ ก็มีนักธุรกิจท่านหนึ่งวิ่งมา
ขอคุณหมอว่า เขามีความจําเป็นอย่างยิ่ง เขาซื้อตัว เครื่องบินเที่ยวนี้ไม่ได้ เขาจําเป็นต้องไปพบคู่สัญญา ที่กรุงเทพฯ ซึ่งถ้าพลาดเที่ยวบินนี้ ธุรกิจของเขา จะเกิดหนี้สินมากมายมหาศาล เขาขอร้องว่า ถ้า คุณหมอจะยอมขายตัวเครื่องบินใบที่มีให้เขา เป็น 5 เท่าของราคาจริง เขาก็ยินดีจะจ่ายให้ คุณหมอก็นึกว่า เราก็ไม่ได้มีกิจกรรมอะไร เร่งด่วนที่ต้องกลับเครื่องบินเที่ยวนี่ แล้วเราก็ไม่ได้ นั่งรถไฟตั้งนานแล้ว คือนายคนนี่เมื่อตั๋วเครื่องบิน หมดก็ซื้อตัวรถไฟสํารองไว้ ถ้าคุณหมอยอมขายตัว
เครื่องบินให้ เขาก็จะให้ตัวรถไฟ คุณหมอกนึกว่า ดี เหมือนกัน แทนที่เราจะกลับไปนอนที่บ้านเรา เรา นอนในรถไฟก็ได้ ก็ตกลงให้ตัวเครื่องบินเขาไปด้วย ราคาเท่าทีมหาวิทยาลัยซื้อมา โดยให้ไปตกลงกับ ทางมหาวิทยาลัย ถ้าคุณหมอไม่ให้ตัวเครื่อง บินเครื่องบินอาจขึ้นไม่ได้ หรือขึ้นได้ก็ไม่ไปตกที่รังสิต เพราะเหตุปัจจัยยังไม่ครบผู้คน เหตุจึงทําให้อยู่ดี นักธุรกิจท่านนี้ก็วิ่งมากราบกรานขอร้อง แล้วยังจะ แถมสตางค์ให้คุณหมออีกเมื่อคุณหมอกลับมา รู้ข่าวเครื่องบินตกเข้าก็รู้สึกสาธุที่เราไม่ได้เอาค่าตัว 5 เท่า เพราะถ้าเอาแล้ว ไม่รู้ว่าจะทำบุญให้เขาอย่างไร เพราะเหมือนกับเราเอาความตายไปให้เขา แล้วยังคิดกำไรเกินพอ
อีก ถ้าเราพิจารณาให้รอบคอบ เหตุที่มีจึงทำให้ นั้นร้อนรนกระเซอะกระเซิงทีจะต้องไปให้ได้ เพื่อ
ผลจะได้เป็นอย่างนั้น สิ่งเหล่านี้เรายังหยังไม่รู้ พระพุทธเจ้าจึงสอนให้เจริญสติ ตั้งอยู่ในความไม่ ประมาทท่านจึงให้เรากันส่วนหนึ่งของโภคทรัพย์ที่มีอยู่เอาไว้ หากเกิดอุบัติเหตุหรือมีสิ่งที่คาดไม่ถึง ได้มีทุนรอนไว้แก้ไข หรือไว้ตั้งเนื้อตั้งตัวเริ่มต้นใหม่ ดังเช่นอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านรํารวย สร้างโรง ทานสี่มุมเมือง สร้างเชตวันมหาวิหารถวายพระพุทธ องค์ ท่านเองก็ประพฤติปฏิบัติธรรม ใจของท่านตก กระแสเป็นพระโสดาบันตั้งแต่ได้ฟังธรรมจากพระ พุทธองค์ครั้งแรก แต่ท่านก็ยังมีเศษกรรมอกุศล วิบากติดตามมาช่วงหนึ่ง ผู้คนของท่านที่นำสินค้าไปขายทางบกถูกผู้ร้ายปล้นเอาสินค้าไปหมด แล้วคนของท่านก็ถูกฆ่าตาย พร้อมๆ กันนั้น เรือสำเภาที่บรรทุกสิ่นค้าไปทางทะเลก็ประสบพายุคลื่นลม จนกระทั่ง สําเภาจมไปในทะเล เท่านั้นยังไม่พอ โกดังที่เก็บ สินค้าในเมืองก็ถูกไฟไหม้ เศรษฐี จากเป็นท่านเศรษฐีซึ่งเป็นก้อนข้าวของ คนยากจน บิณฑิกะคือก้อนข้าว อนาถ อนาถา คือ ก้อนข้าวของคนอนาถา ปรากฎว่าหมดเนื้อหมดตัว เกลี่ยง จนกระทั่งท่านต้องบอกบ่าวไพร่ว่าท่านไม่มี เงินจ่ายให้แล้ว ให้เขาเป็นไทแก่ตัวเสีย บ่าวไพร่ทั้งหลายก็ไม่ยอม บอกว่าท่านเศรษฐี ไม่มีสตางค์จ่ายให้ ไม่มีข้าวเลี่ยง พวกบ่าวไพร่ก็จะ เอาสตางค์ของตัวเองซื้อข้าวมาเลี้ยงพวกตัว แต่จะ ขออยู่กับท่านเศรษฐีต่อไป ท่านเศรษฐีจะยากจน อย่างไรเขาก็จะอยู่ด้วย ท่านก็เลยต้องซื้อปลายข้าว ทีใช้เลี่ยงสัตว์มาสำหรับเลี่ยงครอบครัว แต่ก็ไปจัดสรรปลายข้าวชั้นดีเยี่ยมมาสําหรับใส่บาตรพระพุทธเจ้าและพระสาวกอย่างที่เคย โดยไปทูลขอพรจาก พระพุทธเจ้าว่า ขอพระพุทธเจ้าอย่ารังเกียจอาหาร ของคนยากอย่างท่านเลย พระพุทธเจ้าทรงตอบว่า ท่านเศรษฐีอย่าง ตอนนี้ผู้คนเขาเลื่อมใสศรัทธากระทั่งไปบิณฑบาตญาติโยมก็ใส่บาตรให้พอที่ท่านและพระสาวกจะมีอาหารเลียงตัวเองได้ ให้ท่านเศรษฐีเก็บไว้เลี้ยงครอบครัวเถิด ท่านเศรษฐีทูลว่า ไม่ใช่ๆ ท่านไม่ห่วงว่าพระพุทธเจ้าจะอด ไม่มีผู้คนใส่บาตร แต่ท่านมความรู้สึก เหมือนพระพุทธเจ้าเป็นพ่อ และพระสาวกทั้งหลาย ก็เป็นลุงเป็นอาเป็นพี่ ไม่ได้จัดสำรับให้พ่อเรา เราไม่รู้ว่าพ่อได้กินอย่างนี้ อย่างนี้นะ เราก็จะไม่สบายใจ เพราะฉะนั้น ที่ทูลขอ พระพุทธองค์ว่า ขออย่าทรงรังเกียจ ขอให้ท่านได้ มีโอกาสใส่บาตรทุกวัน คือตรงนี้ เพื่อความสุขใจของ ท่านเศรษฐี เพื่อให้ความมั่นใจว่า ฉันได้กินอย่างนี่ ฉันแบ่งส่วนที่ประณีตกว่าไว้ให้พ่อฉันแล้ว ตรงนี ต่างหาก พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า ถ้าท่านเศรษฐีคิด อย่างนี ก็จงเป็นไปตามประสงค์เถิด ท่านก็นําพระสาวกเสด็จมารับบาตรท่านเศรษฐีทุกเช้าคือใจของ ท่านเศรษฐีใฝ่ทำทานเป็นอุปนิสัย ไม่ว่าท่านจะมั่งมี หรือยากจน ท่านก็คิดจะใส่บาตรอยู่เป็นปกติเหมือนพวกเรา ถ้ายากจนลงขนาดนัน พระพุทธเจ้า ก็พระพุทธเจ้าเถอะ ก็หาบิณฑบาตเอาเองแล้วกัน แต่ท่านก็ยังระลึกนึกว่า ถ้าเราไม่ใส่บาตร เราจะ แน่ใจได้อย่างไรว่าพ่อของเราจะกินอะไร ใจของท่าน ศรัทธาด้วยน้ำใสใจบริสุทธิ์ ไม่ได้หวังว่า ท่านใส่ บาตรแล้ว ... เจ้าประคุณ ขอให้พระพุทธเจ้าท่านประทานพรให้เรารวยขึ้นมาเหมือนเดิม หรืออะไร อย่างนี้ ท่านถือว่าส่วนนีเป็นวิบากของท่าน ท่าน ก็ต้องว่าไปตามเนื้อผ้า ท่านไม่ได้คิดทําบุญเพื่อติด สินบน แต่ทำเพราะห่วงใย เคารพรักพระพุทธเจ้า ประดุจพ่อของท่าน เราจะได้เห็นความมุ่งมันในใจของแต่ละบุคคล ถ้าเป็นธรรมแล้ว จะละเอียดประณีต มองอะไรที่ ปุถุชนอย่างเราก็นึกแค่ ตัวใครตัวมัน ท่านเศรษฐี สงบอดทนต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนทีนินทา ว่าร้ายท่าน ว่าท่านเศรษฐีทําตัวเป็นอุปัฏฐากใหญ่ ทําบุญทําทานเอาหน้า มีอถือสากปากถือศิล จึงได้ แทนที่จะเข้าใจว่า พระพุทธเจ้าท่านสิ้นกิเลส เป็นพระพุทธเจ้า บริสุทธิผุดผ่องแล้ว ท่านก็ยังถูก พระเทวทัตส่งช้างนาฬาคิรีทีตกมันให้มากระทึบท่านนางจิญจมาณวิกาเอาหมอนไม้ใส่ท้อง แล้วกล่าว หาว่าท่านทำนางท้อง ซึ่งใครๆ ก็ไม่สงสัยในความ บริสุทธิ์ผุดผ่องของพระพุทธเจ้า แต่ท่านยังมีวิบาก เก่าๆ ตามมาราวี นับประสาอะไรกับท่านเศรษฐี ถ้าเราไม่เอาใจไปพิจารณาไตร่ตรองด้วยสติสัมปชัญญะ ปัญญาแล้ว กิเลสในใจของเราจะพาให้เราคิดอะไร น่าเกลียดน่าชังอย่างนี้ แล้วก็ก่อหนี้ให้ตัวเองด้วย ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความจริง ไม่มีใครบังคับให้เราพูดให้เราคิด เป็นอกุศลอย่างนี้ แต่เพราะความที่เราคะนอง มี ความสุขที่ได้เหยียบย่ำซ้ำเติมผู้อื่น ท่านผู้รู้สอนว่า ไม้ล้มอยากข้ามก็ข้ามไปเถอะ แต่คนล้มอย่าไป ข้าม ท่านเศรษฐีท่านก็ไม่ว่า ใครจะพูดอะไรก็ พูดไป ท่านไม่เอาใจท่านไปเป็นเขียง ลำบาก อย่างไร ท่านก็ทําของท่านไป หนักเอาเบาสู้ทุกอย่าง ในที่สุดท่านก็ฟื้นคืนดีขึ้นมา ร่ำรวยยิ่งกว่าเก่าเสียอีก ตรงนี้ก็เป็นตัวอย่างให้เราเห็นว่า ถ้าเราพากพียร สู้ไม่ถอย บุคคลจะล่วงทุกข์ได้ก็เพราะความเพียร ท่านเศรษฐีก็เป็นตัวอย่างให้เราเห็น พอท่านเศรษฐีมังมีขึ้นมาใหม่ พวกวิพากษ์ วิจารณ์ท่านก็หันมาประจบประแจง เยินยอสรรเสริญ ท่าน ถ้าเรารู้ไม่เท่าทันโลกธรรม เมื่อเขายกยอ เรา ก็เหลิงลอยเป็นว่าวติดลมบน พอเขาสับโขก เราก็กระแทกพื้นดินก้นกบหัก ใจของเราก็วูบวาบเป็น คลื่นสินามิ แลัวกิทุกข์เปล่าๆ ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องแต่ถ้าเรารู้จักวางใจของเราได้ สิ่งที่มีอยู่เหล่านี้ เรา ก็เอามาแปรให้เป็นภูมิคุ้มกัน ให้ใจของเรามีอริยทรัพย์หล่อเลียง เราจะได้มีฐานของใจทีตั้งมันขึ้น ท่านเศรษฐีท่านก็งอกงามในธรรมขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อท่านเจ็บหนักจะทํากาละ พระพุทธเจ้า ก็ส่งพระสารีบุตรไปเทศน์โปรดท่านเศรษฐี อานนท์ติดตามไปด้วย พระสารีบุตรแสดงธรรม เรืองตัณหา มานะ ทิฏฐิ ไม่ให้ยึดมันถือมัน อนาถบิณฑิกเศรษฐีก็สงบลง ไม่นานต่อมาท่านก็ถึงแก่  และไปเกิดเป็นเทพบนสวรรค์ชั้นดุสิตส่วนที่ 4 ส่วนสุดท้าย เอามาทําพลี คือ 5 อย่างใช้ดูแลเลี้ยงดูครอบครัว ได้แก่ พ่อ แม่ คนในบ้าน หรือบางครั้งมีญาติห่างๆ ของเรา ตกระกำลำบากมาขอความช่วยเหลือ เราก็เผื่อเอา ไว้สงเคราะห์ท่านเหล่านั้น
อย่างที่ 2 มีแขกทีไม่คาดฝันมาจากที่ไกล เราก็มีส่วนทีเก็บเอาไว้ต้อนรับแขก
อย่างที่ 3 เอาไว้ทำบุญอุทิศให้บุพการีที่ล่วง ลับไปแล้ว หรือเพื่อนฝูงที่เราสนิทใจนับเสมือนญาติ
อย่างที่ 4 บำรุงราชการด้วยการเสียภาษีอากร ประเทศชาติบ้านเมืองจะร่มเย็นเป็นสุข สร้างสาธารณประโยชน์ให้ผู้คนได้รับความสะดวก สบาย ก็ต้องมีเงินภาษีอากรมาไว้จับจ่ายใช้สอย เพราะฉะนั่น ในฐานะที่เราเป็นประชาชนที่มีความ รับผิดชอบ เมื่อเรามีทรัพย์สมบัติ มีโภคทรัพย์แล้ว เราก็ต้องกันส่วนหนึ่งเอาไว้เป็นส่วยเป็นภาษีอากร หรือทีเราพูดกันว่าเป็นภาษีสังคม เพื่อชำระหนีสังคม เราก็ต้องมีไว้ใช้จ่ายในส่วนนี้ ทั้งๆ ที่ดูว่าไม่ใช่เรือง ทำไมจะต้องให้ นั้นเพราะเราเป็นสัตว์สังคม ถ้า ไม่มีผู้คนช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เราจะไม่มีชีวิตรอดมา  นี้ได้
หนึ่งไว้สำหรับเป็นภาษีสังคม เป็นน้ำประสานโลก ประสานใจ ทําให้ผู้คนอยู่กันอย่างมีน้ำใจไมตรีต่อกัน มีเมตตากรุณาต่อกัน
 อย่างที่ 5 เอาไว้ทําบุญอุทิศให้กับสิงที่เรา เคารพบูชาในศาสนาของเรา จะเป็นพระ เป็นเทวดา หรือเป็นอะไรที่เรารู้สึกว่าทําแล้วใจของเรามีความ มันคง มีกําลังใจที่จะฟันฝ่าอุปสรรคทั่งหลายทั้งปวง
ถ้าเราเป็นชาวพุทธที่แท้จริง เราถึงซึ่งไตรสรณคมน์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้ว เรา ก็ไม่ไปติดสินบนเทวดา หรอบูชาเพื่ออ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เราจะเชื่อในศักยภาพของใจเราว่า ของ
ทุกอย่างมาแต่เหตุ ถ้าใจของเราประกอบแต่สิ่งที่ เป็นบุญเป็นกุศล มันก็จะงอกออกมาเป็นเหตุการณ์ ที่เอื้ออำนวยให้อุปสรรคขวากหนามทั้งหลายคลีคลาย ไปได้ด้วยดี ถ้าพิจารณาอย่างนี่แล้วทําตาม ใจของ เราก็สามารถใช้โภคทรัพย์ที่มีอยู่มาช่วยให้เกิดความ หนักแน่นมันคงของใจเพิมขึ้น ไม่ใช่เอาโภคทรัพย์ไป จับจ่ายใช้สอยเพื่อความสุขทางโลกอย่างเดียว ก็ จะเป็นฐานให้ใจได้กําลัง ได้ความแน่วแน่ สามารถ
มองโลกนี่ มองผัสสะที่มากระทบ มองชีวิตของเรา ได้เที่ยงตรงตามความเป็นจริงเพิ่มขึ้น การใช้อุปถัมภ์บํารุงสมณะ ผู้ประพฤติดีปฏิบัติ ชอบ เพราะสมณะเหล่านี้ท่านเป็นผู้ไม่แสวงหาลาภ สักการะ ท่านเป็นอยู่อย่างลุ่มๆ ดอนๆ หรือเพื่อ ให้ผู้คนในสังคมมีโอกาสได้ฟังธรรมจากท่าน เรา ใช้โภคทรัพย์ของเราจับจ่ายใช้สอยเพื่อจัดให้มีการประชุม แล้วนิมนต์ท่านมา หรืออํานวยให้เกิดความ สะดวกสบายเหล่านี้ ธรรมของท่านจะได้เป็นคุณ เป็นประโยชน์กว้างขวาง เราก็อุปัฏฐากดูแลให้ท่าน พร้อมที่จะเอาสิ่งที่ท่านรู้เห็นเป็นในใจของท่านมา ทําให้เป็นประโยชน์กับชาวโลก ตรงนีคือการเอา โภคทรัพย์ที่มีอยู่มาใช้อํานวยความสะดวกสบายให้ ตัวเรา แล้วเผือแผ่ไปยังผู้คนรอบข้างด้วย เมือเป็นอย่างนี เราก็รู้ว่าเราต้องเอาโภคทรัพย์มาใช้สอยอย่างที่ได้พูดกันมานี้นอกจากการจัดสรรโภคทรัพย์ตามวิธีทีกล่าว มาแล้วนิ ท่านแบ่งทรัพย์ทังหมดตามปริมาณของมันเป็น 4 ส่วนเท่าๆ กัน ส่วนหนึงเอาไว้เลี้ยงตัว เลี้ยงคนในครอบครัวที่เราจะต้องบำรุงรักษา อีก 2 ส่วนเอาไว้สำหรับไปลงทุนประกอบการงาน อีกส่วน หนึ่งเอาไว้สำหรับคราวจำเป็น สำหรับป้องกันภยันตราย เป็นต้นว่ามีอุบัติเหตุหรือสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เพราะฉะนน การเลี้ยงตัว บำรุงมิตรสหาย ทําบุญ เสียภาษีอากร หรืออะไรต่างๆ ก็อาจอยู่ใน ส่วนทีกําก็งกัน ระหว่างเลี้ยงคนในครอบครัวกับ ลงทุนประกอบการงาน แต่ส่วนหนึ่งแน่ๆ คือเราเก็บ เอาไว้สำหรับคราวจำเป็น เราอาจเจ็บไข้ต้องเข้า โรงพยาบาล หรือมีอุบัติเหตุ มีสิ่งที่คาดไม่ถึง เช่น ไฟไหม้ เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้ว เราก็พอจะได้หลักใน ใจว่า จะจัดการกับโภคทรัพย์ทีมีนีอย่างไร ใจของเราจึงจะมีโภคทรัพย์เอาไว้ใช้อํานวยความสะดวก สบาย ไม่ใช่มีเอาไว้แล้วเรากลายเป็นข้าทาสของมัน ดิฉันมีเพีอนทีเรียนหมอมาด้วยกันคนหนิง เมื่อจบแล้ว พวกเราก็จะนัดรุ่นพบกันปีละครั้งเพื่อ สังสรรค์เล่าสารทุกข์สุขดิบสู่กันฟัง เพื่อนรุ่นเดียวกัน เจริญงอกงามหรือมีอุปสรรคขวากหนามอย่างไรกัน บ้าง คุณหมอท่านนี้ก็ส่งข่าวว่า ท่านมาไม่ได้ ท่านตั้งในใจเอาไว้ว่า 10 ปีหลังจากจบนี้ ท่านจะต้องมี ทรัพย์สินที่ตั้งเป้าไว้ ท่านรับราชการ หลังเวลา ราชการท่านทําร้านส่วนตัวเพื่อจะสร้างฐานะของ ท่าน และคิดแล้วว่า 10 ปีนี ท่านจะได้ถึงเป้า ถ้า ท่านปิดร้านมาพบปะสังสรรค์ หรือมีธุระนันธุระนี ไปงานเพื่อน คนไข้มาแล้วไม่พบท่านก็จะไปคลินิก อื่น ตกลงขอว่า 10 ปีนี้ไม่เจอะเจอเพื่อนฝูง เวลาเพื่อจะสร้างฐานะ พอครบ 10 ปี ก็ถึงตอนที่นํามันชึ้นนราคาครั้ง แรก เศรษฐกิจฟุบ ดอกเบี้ยลดลง ท่านก็ส่งข่าวว่า มาไม่ได้ ต้องขอเวลาต่ออีก 3 ปี เพราะที่คิดเอาไว้ ว่าจะถึงเป้าแล้ว แต่พอดอกเบียลดลง ก็เหมือนมันขาดไป จึงต้องขอเวลาซ่อมแซมอีก 3 ปี พวกเราก็วิจารณ์ว่า นี่มันมีเงินเอาไว้ใช้หรือกลายเป็นผู้รักษา บัญชีไปแล้ว เห็นแต่ตัวเลขของเงิน แล้วนับเป็นหลักหน่วยหลักสิบไป ยังไม่พอเสียที เลยไม่ได้ใช้สักทียังไม่ทันครบ 3 ปี เพื่อนคนนีของเราก็เป็น มะเร็งแล้วตายไป พวกเราไปงานศพกัน เพื่อนฝูงไม่
เป็นอันคุยเรื่องอะไรอื่น เออหนอ ชีวิตเพื่อนเราเกิด มาก็เหมือนไม่ได้เกิด เพราะไม่ทำอะไรเลย ไม่ได้ ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า ดีแต่เป็นเครื่องปั้มแบงค์ ปั้ม แบงค์เอาไว้ ยังไม่ทันรู้จักชีวิต ก็ต้องตายไป แล้ว ยมบาลถามอะไร มันคงตอบว่า อ้ายนันก็ไม่ได้ทำ อ้ายนีก็ไม่ได้ทำ เราคิดเพียงแค่นี้ ก็เสียดายโอกาส แทนเพื่อน
แต่เพื่อนผู้ชายคิดไปไกลกว่านั้นอีก บอกเพื่อนผู้ชายอื่นๆ ว่า นี่แกอย่าทำอย่างนั้นเป็น อันขาด เพราะเพื่อนคนนีมันปัมแบงค์เอาไว้ เมีย ก็ยังสวยอยู่ พอตายไปแล้ว เดี่ยวเมียเลยหาคนอื่นมาช่วยใช้เงินของเรา เจ็บใจเป็นบ้าเลย เพราะฉะนั้น- แต่นี้ต่อไป พวกเรามีเท่าไรใช้ไปก่อนแล้วกัน ไม่ ต้องไปเก็บให้ทะลุเป้า ถ้าจะใช้ไม่ได้ ก็ให้อยู่กับ ปัจจุบัน แล้วก็ทำไปตามเนื้อผ้า ดิฉันก็เลยได้ข้อคิดจากงานศพนี้ว่า ชีวิตคน เราจริงๆ มันไม่มีสาระแก่นสารเลย ถ้าเราไปยึดมัน สําคัญผิด ไปมีอุปาทานไว้ว่า จะต้องมีอย่างนั้น จะ ต้องมีอย่างนี้ จะต้องมีอย่างโน้น เรารู้แน่ได้อย่างไร


ว่า เราจะมีเวลาได้ทําตามทีเราตั้งเป้าไว้ทุกอย่าง นี้ประเดี๋ยวเดียวมะเร็งเอาไปกินเสียแล้ว เราก็รู้อยู่ว่าใจไม่ตาย เราเชือแล้วว่าใจไม่ตาย แล้วอยากรู้ว่าใจของเขาจะรู้สึกอย่างไร เขาจะพออกพอใจ หรือใจเขาจะคิดอย่างเพื่อนวิจารณ์ในงานศพ เขา ตรงนี้ทำให้เราคันในหัวใจ แทนที่เราจะดูใจของ เรากลับอยากจะไปรู้ใจคนอื่น ซึ่งท่าน อาจารย์บอก บ้า...บ้า เวลาเราส่งจิตออกนอกทีไร ทำไมนะเจ้าคะ อ้ายนั้นมันถึงเป็นอย่างนั้น อย่างนี่ ท่านจะดุว่า มันจะบ้าหรืออย่างไร ใจของตัวเองไม่ รู้จักดูให้ดี จัดการให้ดี ให้เป็นที่พึ่งพึงของตัวเองได้ บางครั้ง เราจะดูแต่แค่ใจเราก็ไม่ได้ เรายังต้องสัมผัสสัมพันธ์กับโลกข้างนอก เมื่อได้ข้อคิดมาแล้ว อย่าไปห้อยติดอยู่ที่ปลายอ้อปลายแขม ม้วนกลับมาว่า แล้วเราจะเอาสิงนิมาสอนตัวเอง เตือนตัวเองให้รีบเร่งอย่างไร ท่านบอกว่าโภคทรัพย์นั้น เวลาพระให้พร 5 ประการ มีอันหนึ่ง นอกจากให้มีอายุ วรรณะ แล้วขอให้อุดมไปด้วยโภคทรัพย์ ซึ่งท่านเปรียบเทียบ โภคทรัพย์อันนีว่า เราอย่าพอใจแค่ให้เป็นทรัพย์สิน ที่เป็นโลกทรัพย์ เป็นวัตถุ ซึ่งตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ แต่โภคทรัพย์ที่เรามีนีให้ปรับเปลียนเป็นพรหมวิหาร เสีย เพราะอะไร เพราะท่านบอกว่า เรามีโภคทรัพย์ เอาไว้เพื่อให้เราสะดวก คล่องเนื่อคล่องตัว จะทํา อะไร จะไปทางไหน ก็ได้รับเมตตา ได้รับแต่ความ สบายทังนัน พรหมวิหาร เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ก็เป็นอริยทรัพย์ ทีจะอํานวยความสะดวกสบาย ความมีน้ำจิตน้ำใจ เราไปที่ไหน ถ้าเราเมตตาใคร เราก็จะได้เมตตาตอบแทน เราไม่คิดร้ายใคร ใคร ประสบความสําเร็จ เราก็มีมุทิตาจิตกับเขา ฉะนั้น เมื่อเราได้ดีมีสุข คนอื่นเขาก็พลอยยินดี กับเรา เขาก็มีมุทิตาจิตกับเรา แล้วถ้าเราตกทุกข์ได้ยาก เขาก็มีใจกรุณาเรา เราทำอย่างไรไว้ เราก็ได้ อย่างนันตอบแทน ถ้าเรายึดให้มีพรหมวิหารเอาไว้ นอกจากจะ หาโภคทรัพย์ที่เป็นทรัพย์ทางโลกแล้ว เราพยายามฝึกใจของเราให้มีพรหมวิหาร ให้มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เอาไว้ด้วย เราก็บริบูรณ์ทั้งทรัพย์ ทีเป็นวัตถุสิงของ ที่เราจะเอาไปแลกเปลี่ยนให้เป็น ความสะดวกสบาย ถ้ากายของเราตกไปในทีไม่มี เงินทอง เราก็สามารถใช้น้ําใจไมตรีเมตตากรุณาของ
เราแลกออกมา ให้เป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลที่จะ อำนวยความสะดวกสบายให้เราอยู่ในโลกนี้ได้ หรือ เราตายไปแล้ว พรหมวิหารก็จะกลายเป็นอุปนิสัย เป็นสมบัติติดตัวติดใจของเราไป ทำให้เรามีความอุ่น ใจว่า ตกไปที่ไหน เราก็ไม่กลัวใจที่ครุ่นกังวลว่า ตายไปเราจะไปอยู่ที่ไหนเราจะเลี้ยงตัวได้ไหม หรือถ้ายังไม่ตาย ถ้าเราแก่จะ เป็นมะเร็ง หรือจะเป็นอะไร เวลาเจ็บจะหนักหนา สาหัสแค่ไหน ถ้าทนไม่ได้ จะตั้งสติไม่อยู่หรืออย่างไรถ้าเราเป็นนิวรณ์อย่างนี้ ใจมันทรุด เพราะความ วุ่นวายเข้ามาครอบงำแต่ถ้าเรามีพรหมวิหารรักษาใจเอาไว้ พอจะ ไปคิดอย่างนั้น สติจะรักษาให้คิดได้ว่า เราไม่เคยไป เบียดเบียนใคร เราไม่เคยไปคิดร้ายใคร ฉะนั้น ถ้าเราเกิดเจ็บไข้เป็นมะเร็ง หรือเจ็บปวดมากๆ ธัมมะ คงคุ้มครองเรา ธัมมะคงทําให้เราตั้งสติอยู่ คงมี อะไรมาช่วยบอกทางเรา ทําให้เราได้สติขึ้นมา ใจก็ มีความอบอุ่นมั่นคง สามารถอยู่กับปัจจุบันและค่อยๆ แก้ไขปัญหาที่มีไปได้ด้วยความมั่นใจ
เมื่อเป็นอย่างนี่แล้ว โภคทรัพย์ที่เรามีก็จะ มีทั้งที่เป็นวัตถุสิ่งของและเป็นอริยทรัพย์อยู่ในใจของ เรา ทำให้เรามันคง ทำให้แน่ใจว่า ถึงเราจะประสบ อุบัติเหตุ หรือเป็นอะไรตายไปในเวลาที่ไม่ได้คาดคิด เราก็ยังมีเสบียงเล้ยงตัว ยังมีภูมิคุ้มกันทจะรักษาตัว เราให้มันคงอยู่บนมรรคอันนี้ไปจนถึงจุดหมายปลาย ทางได้ ก็หวังว่าสิ่งที่เราคุยกันวันนี้ คงทำให้แต่ละ ท่านได้เห็นหนทางว่า เราจะแสวงหาโภคทรัพย์ให้ ตัวเองอย่างไร เราจะได้มันใจว่า ถึงอย่างไรๆ เราก็ เป็นเศรษฐี เราจะไม่อดตายและไม่กระเซอะกระเซิงเมื่อเข้าที่คับขัน ก็ขอฝากเอาไว้เป็นกำลังใจค่ะ

พิมพ์โดย  ปภัสสร  มีพงษ์
แหล่งที่มา  http://web.krisdika.go.th/buddha/money.pdf

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Back To Top