อยู่เป็นเย็นสบาย
ชื่อผู้เขียน พญ อมรา มลิลา
วันที่ 12 กรกฎาคม 2541
ณ ณ ธรรมสถาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
หมวด
วันนี้ เราเพิ่งเข้าพรรษามาได้ไม่ถึงอาทิตย์ เชื่อว่าหลายๆ ท่านคงอธิษฐานพรรษา เพื่อให้ตลอด 3 เดือนนี้ไนใจของเราเอาจริงเอาจังว่าจะจัดการกับ ชีวิตของตัวเองอย่างไร จึงจะเป็นไปตามปัญญาเทิน ชอบ เป็นมรรค เป็นเสบียงไว้เลี้ยงตัวเองปัญหาใหญ่ที่ทุกคนกังวลกัน ก็คงหนีไม่พ้น เรื่องเศรษฐกิจ จะทำอย่างไรกับภาวะที่ผันผวนอย่าง นี้ การปฎิบัติหน้าที่การงานจะได้รับซองขาวหรือ เปล่า เราจะไปได้ตลอดปลอดภัยไหม สิ่งเหล่านี้เป็นนิวรณ์เป็นเหมือนเมฆหมอกที่มากวนใจอยู่เรื่อยๆ เราก็ต้องเอามาคิดพิจารณา จะมาบอกว่า โฮ้ย .. ตัดใจอยู่กับปัจจุบันเถอะ พูดก็พูดได้ แต่จริงๆ แล้วทำไม่ได้
ใจไม่ใช่สวิตซ์ กดปุ๊บก็หยุดปั๊บ ความกังวล เหล่านี้จะต้องมาวนเวียนอยู่เรื่อย ๆ เราก็เอาเรื่อง เหล่านี้ที่มารบกวนจิตใจนำขึ้นมาแยกแยะคิดพิจารณาว่า ทำไมเราถึงกังวลไปห่วงไปหวงกับมัน ก็ เพราะความเป็นจริงนั้น ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ แต่เราเขลาไปว่า กายเป็น ใหญ่ เราต้องดูแลรักษากายให้อยู่เย็นเป็นสุข กินอิ่ม นอนหลับ มีความสะดวกสบายทุกประการ แล้วจึง มาว่าเรื่องใจทีหลังปัจจุบันนี้ สภาวะทั่วไปเริ่มงวดเข้า งวดเข้า ทุกที จนแทบจะพูดไต้ว่า ทุกผู้ทุกคนลำบากยุ่งยาก จนต้องหันมาปรับวิถีชีวิตของตนโดยไม่รู้ตัว เราจำ ต้องปรับเปลี่ยนจากการดูแลกาย มาเป็นดูแลใจ ยิ่ง ทุกซ์เดือดร้อนมากแค่ไหน เราจะยิ่งตระหนักได้ว่า ถ้าเป็นโรคปัจจุบัน หรือเป็นอะไรกะหันหัน แล้วจะ มากำหนดให้อยู่กับลมหายใจ เราสามารถรักษาใจให้ สบายๆ อยู่กับลมได้ไหม คำตอบคือ อยู่ไม่ได้ ถ้า เราไม่แกไม่ซ้อมเอาไว้ให้คล่องแคล่วชำนิชำนาญ ตัวดิฉันเคยถูกตัวเองหลอก จนเชื่อสนิทว่า เราเป็นหมอ รู้เห็นความเจ็บความตาย เห็นคนไข้เจ็บ เห็นคนไข้ตาย เรารู้ เราเข้าใจ ตัวเองจะตายเมื่อ ไหร่ก็พร้อมที่จะตายได้ ถ้าใครมาบอกว่า เราไม่อยู่ จนแก่ตาย เราก็ยอมรับ อาจจะเกิดอุบิติเหตุ หรือ อะไรก็ได้ แต่พอท่านพระอาจารย์สิงห์ทองเครื่องบิน ตกมรณภาพมีคนโทรศัพย์มาส่งข่าว ว่าท่านอาจารย์มรณภาพ ขณะนั้น ใจที่อยู่กับปัจจุบัน รับ ทราบ อยู่กับความจรืงว่า ท่านอาจารย์มรณภาพ แล้วขณะอยู่บนรถทัวร์ เพื่อไปดูแลคุณโยมแม่ ของท่านที่วัด รถจวนจะถึงอุดรอยู่แล้ว ใจเกิดคิด ขึ้นมาว่า เราไปเชื่อได้อย่างไรว่า ข่าวที่ได้ยินทาง โทรศัพท์ ไม่ใช่ใครมาล้อเล่น ... เห็นหรือไม่ว่า ใจ ยังไม่ยอมรับหมดทัวใจ เกิดความหวังลมๆ แล้งๆขึ้นมาว่า ข่าวที่ได้ยิน คนอาจจะล้อเส่นก็ได้ ทั้งๆ ที่ ก็รู้ว่า เรื่องอย่างนั้นไม่ใครมาล้อกันเล่นสติบอกตัวเองว่า ที่เราว่าเราพร้อม ตายเมื่อ ไรก็ตายได้ พร้อมจะอยู่กับความจริงนั้น ยังไม่จริง
หรอก เรายังหลอกตัวเองอยู่ก็มาคิดหาวิธีว่า จะทำอย่างไร จึงจะฝึกใจ ของเราให้อยู่กับความจริง ก็ได้อุบายว่า เมื่อจะออก จากบ้านทุกเช้า ๆ ลองถามตัวเองว่า ถ้าออกไปเช้า นี้แล้วมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ไม่ได้กลับเข้าบ้านอีก เรา พร้อมที่จะตาย เวลาไหนก็ตายได้หรือเปล่าบางวันมันก็ดี กันที่สติเข้มแข็ง อะไรที่เราทำ อยู่ ใจไม่เผลอไปยึดว่า ทำโน่นทำนี่ยังไม่เสร็จ พอ ถามตัวเอง ใจเกิดความสงบว่า ถ้าถึงที่ตายตอนไหน เราก็พร้อมจะตายได้ รู้สึกใจเบาสบายแต่บางกันเพียงแค่นึกว่า เช้านี้ออกไปแล้วไม่ได้กลับเช้าบ้านหรอก ที่ไปสัญญากับคนนั้นไว้ ก็ทำยังไม่เสร็จ ใจเหมือนทะเลบ้าขึ้นมา มืความรู้สึก ละล้าละลัง สติแตก ทำอะไรก็ทำไม่ได้ เราก็เห็นเลยถ้าตายกันนี้ คงไม่ไปดี ไปนรกแน่ เพราะใจว้าวุ่น ไปหมด ก็เลยเข้าใจที่ท่านอาจารย์เตือนนักเตือน หนาว่าไม่ต้องไปอยากมืตาทิพย์ หูทิพย์หรือมี ครูบาอาจารย์องค์ไหนมาพยากรณ์ให้เราว่า จะได้ขึ้นสวรรค์หรือลงนรก ถ้าตัวเองคอยเอาสติดูใจ
ของตัวไว้อย่างนี้ทุกวัน อีกหน่อยเราก็พอจะแกนิสัย รักษาใจให้เป็นปัจจุบันอยู่ได้ยุคสมัยนี้ การรักษาใจของตัวเองให้เป็น ปัจจุบันอยู่ได้ เป็นความเบาสบาย เรียกว่า อย่เป็น เย็นสบาย ไม่อย่างนั้น เผลอนิดเดียว ปลิวไปแล้ว เตี้ยวคนนั้นก็ว่า ปีหน้าโลกจะแตก จะเป็นอย่างโน้น เป็นอย่างนี้ อย่างนั้น สารพัดจะเป็น ปากเราก็บอก ว่าไม่อยากฟัง แต่หูเราชอบวิ่งออกไปฟังบางทีได้ยิน ไม่ทันจบคิดเติมคำ ตรงนี้ตรงนั้น วุ่นวายไปหมด ใจก็เลยกังวล ทุกข์เดือดร้อนถ้าจะถามตัวเองว่า ชีวิตคนเรา เกิดมาเพื่อ อะไรกันบางคนอาจจะพูดให้รื่นหูว่า เกิดมาเพื่อทำ บุญทำกุศล เกิดมาเพื่อทำคุณทำประโยชน์จริงๆแล้ว เราจะอยากเกิดมาหรือไม่อยากเกิดมา ถ้ามี เหตุ เหมือนอย่างกับเรามีเม็ดข้าวที่ยังไม่ได้หุงเป็น ข้าวสุก ใส่ยุ้งเอาไว้ ยังไม่ทันโปรยลงไปในดินเลย พอฝนตก ชื้นหน่อย เม็ดข้าวนั้นก็งอกแล้ว
ใจคนเราก็เหมือนกัน ถ้ามีเหตุปัจจัย ยังไม่ แล้วใจเจ้าของ กิเลสยังเชื่อมช้าอยู่ในใจ ถึงเราจะ
อยากเกิด หรือไม่อยากเกิด จะทำดี หรือทำชั่ว มน ก็เหมือนเม็ดข้าวที่เก็บอยู่ในยุ้ง ไม่ต้องทำอะไรก็งอก รากออกมาแล้ว เพราะกรรมบันดาลให้เป็นไปตามเหตุที่เราสร้างไว้ เมื่อเป็นอย่างนั้น ไหนๆก็เกิดมา แล้วเราจะใช้เวลาที่มืลมหายใจอยู่นี้อย่างไร จึงจะ ไต้คุณไต้ประโยชน์ ไม่ก่อหนี้สินให้ล้นพ้นตัวถ้าเฝ็ามองใจอยู่ทุกขณะ จะเห็นว้าเหมือนยืน อยู่ตรงทาง 2 แพร่ง เพราะจะต้องมือะ ไรเกิดขึ้นให้ เราตัดสินใจว้า จะเลือกไปทางขวาหรือทางซ้าย ไป ทางข้างบนหรือลงข้างล่าง จะม็ปัญหาในใจเราอยู่ เสมอ เพราะชีวิตคนเราไม่ได้อยู่เฉยในสุญญากาศ จะต้องมีอะไรมากระทบ ถ้าไม่ใช่เรื่องข้างนอกมา กระทบให้เลือก อารมณ์ของใจข้างในก็มากระทบ ให้เราต้องเลือกว้า จะเอาอย่างไรการจะเอาอย่างไร ถ้าเราไม่ฝึกเราไว้ พอ อะไรมากระทบปุ๊บ ใจจะปลิวไปตามอารมณ์ทันที ก็ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ทำไมอารมณ์ของเราจึงไปทางนี้ ไปทางโน้น เหตุมันมี คือสิ่งที่สะสมอยู่ในความจำ หรือในสิ่งที่เรืยกว้า ประจุกรรม ซึ่งเป็นเหมือนแหล่ง
ที่สะสมข้อมูลเอาไว้ พอมีอะไรมากระทบ ข้อมูลนี้ก็ ดีดเราไปในทิศทางของแรงที่บรรจุเอาไว้เต็มพิกัดแล้ว คือเป็นไตามเหตุที่เราทำเอาไว้ถ้าเปรียบเทียบใจของเราแต่ละคนเหมือนที่ดิน ... ที่สวนแปลงหนึ่ง เราเป็นชาวสวนที่หว่าน เม็ดพันธุไว้ เม็ดพันธุเหล่านี้คืออะไร คือการกระทำ กายกรรม คำพูด วจีกรรม ความนึกคิด มโนกรรม ของเราซึ่งมีอยู่ตลอดเวลา มีบ้างไหม ที่เราไม่คิด อะไรเลย กระทั่งหลับเรายังฝันถ้าเราสามารถตามคลื่นความนึกคิดของเราได้ เราวุ่นอยู่ตลอดเวลา คิดโน่น คิดนี่ กระจุยกระจาย ไม่มีเวลาหยุด ตกลงเม็ดมโนกรรมหว่านอยู่เรื่อย เราว่าเรากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ ไม่ได้ยุ่งกับใคร อ่านหนังสือ ทำงานของเราอยู่ เพื่อนๆ เขาคุยกัน หูของเราแวบ ... ฟังเข้าไปเต็มสองหูแล้ว แล้วก็ไม่รู้ ตัวว่าใจของเราไปสะดุด ร่วมลงความคิดความเห็น ไปกับเขาด้วยอุปมาเหมือนที่สวนของเรา เราดูแลอยู่ ไม่ได้ เอาเม็ดอะไรหว่านลงไปเลย แต่มีนกบินผ่านมา คาย เม็ดผลไม้ที่กำลังกินหล่นลงมาในสวนทำนองเดียว
กับที่เราว่า เรากำลังอ่านหนังสือ ทำงานอยู่แท้ๆ แต่ หูหนึ่งแวบออกไปฟังเขาแล้ว เขากำลังพูดกันว่า นี่ นะ คุณ ก. นี่ร้ายเหลือเกิน โกงฉันเกือบแสนแน่ะ ใจเราที่รักเพื่อน สรุปลงความเหนเสร้จสรรพ ไปแล้ว คุณ ก. เป็นคนไม่ดี อย่าให้เจอะเจอเป็นอัน ขาด ฉันไม่เอาด้วย คือเม็ดที่นกคายลงมาในที่สวน ค่อยๆ งอกโดยเราไม่รู้ตัว วันหนึ่งเราเกิดไปพบคุณ ก. เข้า จิตไร้สำนึกที่บันทึกเอาไว้ เริ่มสำแดงฤทธิ์ แล้ว ทั้งที่คุณ ก. ยังไม่ทันทำอะไร เราก็บอกกับตัว เองว่า เราไม่ชอบหน้านายคนนี้ อคติเกิดขึ้นแล้วถ้าลฝึกใจของเรา ให้ม็สติระลึกรู้เท่าทัน เราจะ ระลึกถึงเหตุเก่าๆ ที่ม็อยู่ ซึ่งเป็นตัวกำหนด ตัวขับ เคลื่อนชีวิตของเราได้ ตังเช่นพระพุทธเจ้า ขณะจะ ปรินิพพาน ท่านเป็นไข้ร้อนกระลับกระส่าย กระหาย นํ้ามาก ท่านให้พระอานนทัใปตักนํ้ามา สมัยนั้นใข้ บาตรเป็นภาชนะสำหรับใส่นํ้า เมื่อพระอานนท์ไปถึง นํ้าในแม่นํ้าก็ใสดีอยู่ ครั้นก้มลงเอาบาตรจะตัก นํ้า กลับขุ่นขึ้นมา พระอานนท์ก็ไม่ตัก คอยเท่าไรๆ นํ้า ก็ไม่ใส ท่านจึงกลับมาโดยไม่มีนํ้าพระพุทธเจ้าตรัสถาม ไหนล่ะนํ้า พระอานนท์กราบทูลว่า นํ้าขุ่น ตักไม่ได้ พระพุทธเจ้าทรงยีนปันว่า ไปตักมา ถึงขุ่นก็ ตักมาท่านทรงทราบว่า เป็นเพราะบุพกรรมของท่านเองในชาติภพหนึ่ง ท่านเป็นพ่อค้า บรรทุกสินค้า ใส่เกวืยนให้วัวลากไป ครั้นขายสินค้าหมดแล้ว เดิน ทางกลับบ้าน วัวของท่านกระหายนํ้าจะดื่มนํ้าที่วัว ตัวอื่นเหยียบยาไปก่อนแล้ว ท่านก็สงสารเห็นว่า ประเดี๋ยวก็ถึงบ้าน ไปกินนํ้าใสสะอาดที่บ้าน ดีกว่า จะกินนํ้าโคลนตมที่ตรงนี้ ท่านจึงห้ามไม่ไห้วัวกินนํ้า วัวไม่เข้าใจ เกิดความน้อยใจว่า ดูเอาเกิด นายของเรา เราทำงานให้สารพัดสารพัน เพียงแค่ จะขอกินนํ้า ก็ไม่มีเวลาให้ ใจที่วัวน้อยใจแหนงใจ นั้นเกิดเป็นหนี้เวรขึ้นเพราะฉะนั้นเมื่อพระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน ท่านกระหายนํ้า บุพกรรมนี้จึงปันดาลให้นํ้าที่พระ อานนท์จะตักมาถวายเกิดขุ่นขึ้นมา พระอานนท์ไม่ มีเจตนาจะเถลไถล มุ่งแต่ว่า จะหาน้ำมาถวายพระพุทธเจ้า ก็ต้องได้นํ้าใสสะอาด จึงไม่ตักมาพระพุทธเจ้าตรัสยํ้าให้พระอานนท์ตักมาเถิด นี่เป็นบุพกรรมของพระองค์เอง พระอานนท์จึงกลับไปตัก มาถวายพระพุทธเจ้า นํ้าในบาตรก็กลับใสเป็นปกติ ตังเติมสิ่งเหล่านี้ทำให้เห็นว่า แม้จะเป็นพระพุทธเจ้า จิตของท่านบรีสุทธิ์หมดจด เหนือจากสิ่งทั้งปวงแล้ว ก็ตาม แต่พระวรกายของท่านยังเป็นเศษของกรรม ซึ่งหนี้สินยังติดตามมาทวงคืนได้อยู่ แล้วนับประสา อะไรกับเราๆ อย่างนี้ ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ ก็จะไต้มา พิจารณาถึงภาวะที่พวกเรากำลังเผชิญหน้ากันอยู่ขณะนี้ชีวิตของพวกเราอยู่ในภาวะบีบคั้น เป็นภาวะที่ไม่เป็นปกติ ถ้าจะเปรียบเทียบกับสมัย สงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งติฉันยังเด็กอยู่ ตอนนั้นเรา ทำสงคราม รบพุ่งกันด้วยอาวุธ เราเป็นพันธมิตร กับญี่ป่น เมื่อญี่ป่นถูกระเปิดปรมาณูถล่มฮิโรชิม่า ยอมแพ้สงคราม เราก็พลอยเป็นฝ่ายแพ้ไปด้วย
ขณะที่สงครามยังดำเนืนอยู่นั้น บางช่วงจะไม่ มีไฟฟ้าใช้ หรือต้องพรางไฟไม่ให้แสงสว่างออกไป
เป็นทีลังเกดของเครื่องบินฝ่ายข้าศึกทีจะมาทีงระเบิด การรบพุงสันด้วยอาวุธ เกิดการล้มตาย บาดเจ็บ ตึกรามวัตถุพังทลาย ได้เห็นประจักษ์สับตา ทำให้ เรารู้ตัวว่า กำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน ต้องระมัดระวัง ต้องประหสัด ต้องสามัคคีกลมเกลียว เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือสัน เพื่อรักษาประเทศเอาไว้ แล้วเราทุก คนจะได้อยู่รอดแต่สงครามเศรษฐกิจครั้งนี้ เหมือนมีอะไรก็ไม่รู้ มาอาละวาดกลืนกินชาติบ้านเมืองและความ เป็นไทของเราไปทีละน้อย ทีละน้อย โดยเรามองไม่ เห็น ไม่ยอมรับรู้ หลับไหลละเมอว่าเรายังสมบูรณ์ พูนสุขอยู่มิใยประเทศชาติจะมีหนี้กี่แสนล้าน เราก็ปัดว่าไม่ใช่เรื่องของเราคงหนักไม่เอาเบาไม่สู้อยู่ เหมือนเติม เคยเป็ดไฟสว่างไสวสันอย่างไร ก็เปิด อยู่อย่างนั้นปากก็บอกว่า ไทยต้องช่วยไทย ใช้ของไทย เปล่าหรอก ...เราก็ยังไม่ทำตาม คงใช้ของแบรนด์ เนมโน้น นี้ อยู่อย่างเติม ปากก็บอกอีกว่ามาปลูกพืช ผักสวนครัวกินเองเถอะ ก็ยังเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตกันเหืมอนเดิม
เราทำเหมือนกับว่า ปากอย่างใจอย่าง แล้วก็ บ่นว่า ซาตจะไปรอดหรือไม่รอดกันนี่ เดี๋ยวก็มีข่าว ลือ ที่ทำงานโน้นให้คนงานออกเป็นพันคน เราก็ยิ่ง วิตกกังวล แต่ก็ไม่คิดที่จะช่วยแก้ไขสถานการณ์ ทำ อะไรให้ดีขึ้นมา ความทั้งรู้ทั้งหลงนี้จึงทำให้ใจของ เรากังวลวิตกทุกข์ร้อน เป็นนิวรณ์บั่นทอนกำลัง จิตใจของตัวเองให้คับเครียดเบียดเบียนตนเองเบียดเบียนผู้อื่น หมดแรงไปกับการตะครุบเงา แต่ ไม่ลงมือทำอะไร เพื่อแก้ไขให้สถานการณ์ดีขึ้น นี่ก็ อวิชชาที่เราว่ากันนั่นเอง
ใจของคนเรา ทั้งๆ ที่เป็นธาตุรู้ เป็นพุทธะ ก็จริงอยู่ แต่พุทธะอันนี้เราไม่ได้ระมัดระวังรักษาไว้ ให้สะอาดบริสุทธิ์ ปล่อยให้สติ ตัวระลึกรู้ เผลอไป บ้าง หายหลุดไปบ้าง กิเลสที่เป็นเหมือนขี้ฝุ่นจึง เข้ามาเคลือบ มาทำให้สกปรก กิเลสก็คืออวิชชากับ อุปาทาน ทำให้ใจที่เป็นธาตุรู้แปรปรวนไป ยึดบั่นสำคัญผิดอยู่กับความรู้ไม่รอบรู้ไม่จริง เกิดเป็นอคติ เป็นความรัก ความชัง ความหวั่นกลัว ใจฟุ้งซ่าน
ซัดล่าย ปรุงคิดสร้างเงาสร้างเมฆหมอกของความ สงสัย ความหดหู่ถดท้อ ขึ้นเบียดเบียนตัวเอง ให้ ทุกข์ดับเครียดทั้งที่รู้ว่า เราต้องช่วยเหลือตัวเอง มีระเบียบ วินัยกับตัวเอง แต่อวิชชาก็เป็นเหมือนลมพัดมา ทำให้ความรู้นั้นปลิวหายไป เกิดใจเย็นทอดธุระว่า ช่างมันเถอะ .. นิดเดียวจะ เป็นไรไป พรุ่งนั้ก็ได้ พรุ่ง นี้ค่อยทำ เราจึงปล่อยเวลาให้กลืนกินชีวิตไปโดย เปล่าประโยชน์ ทำให้อะไรๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิตเรา ไม่ ใช่ว่าไม่รู้ ไม่ใช่ว่าไม่กลัว แต่ก็รู้ทั้งรู้ ทำเหมือนไม่รู้ รู้ทั้งรู้ ทำเหมือนประมาท ขาดสดี จะเอาอย็างไร กันแน่ รู้ทั้งรู้ว่าบ้านเราปลวกขึ้น อาจจะล้มพังลง มาเมื่อไรก็ได้ แต่ก็ไม่ซ่อม ไม่ทำอะไร ช่างมันเถอะ ... สำคัญผิด ไปฝันลมๆ แล้งๆ ว่า จะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นก็ได้ใจของพวกเราทุกวันนี้ เป็นทำนองนี้ ปาก ก็บอกว่า ต้องประหยดมัธยัสถ์พอไปเห็นโฆษณาว่า หมอดคนนี้เก่ง ค่าดูไม่แพง...ดูสักหน่อยเถอะ... ครั้นดูเสร็จเรียบร้อยแล้ว...ไม่น่าเลยๆ ไม่ดูก็ดี
หรอก จะได้ประหยัดมัธยัสถ์ .. แต่ก็คิดได้เมื่อสาย เสียแล้วทุกที ใจที่ถูกอวิชชาครอบงำ เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าใครแกล้งทำ เวลาเราจะไปโกรธเกรี้ยวลูก หลาน หรือใครอื่น เรามองที่ผิดที่บกพร่องของเขา เรามองเห็นได้ชัดเจน แต่เมื่อมามองตัว เหมือนดู ขนตาตัวเอง กลับมองไม่เห็น
ก่อนออกจากบ้าน เราก็ส่องกระจกสำรวจตัว เองดีแล้ว ขี้มูกขี้ตาก็เช็ดหมดจดแล้วครั้นนั่งรถ
เมล์ไป ลมร้อนเป่าวูบวาบเข้ามา ทำให้เหงื่อไคลไหลย้อยออกมาใหม่ พอเห็นหน้าเพื่อนก็ทักว่า ตายจริง ... ทำไมเธอออกจากบ้านมา ไม่ล้างหน้าเช็ดตาให้ดี เสียก่อน เราก็ไปโกรธเขา ... ตอนออกมา ฉันก็ส่อง กระจก เช็ดเรียบร้อยแล้วนะ แต่ลืมนึกไปว่าระหว่าง ที่นั่งรถเมล์มา เกิดอะไรได้อีกเยอะแยะใจที่ถูกอวิชชาครอบงำอยู่ ถูกอุปาทานความ ยึดมั่นสำคัญผิดบังคับบงการอยู่ ทำให้เราเป็นทำนอง นี้ ใครมาบอกอะไรให้ ก็ไปโกรธเขา เพ่งโทษว่าเขา ไม่หวังดีกับเรา เราเลยไม่ได้แก้ไขสถานการณ์ไปใน ทางที่ถูกที่ควร
สมมุติไฟกำลังไหม้แกลบอยู่เธอเอานั้าคับเสีย เอาทรายคับเสีย เราไม่เชื่อกลับเอาแกลบมากลับเข้าไปแทน ไฟทีทำท่าจะดับอยู่แล้ว แต่ความ จริงแกลบเป็นเชื้อไฟ เกิดมีลมพัดมา แกลบที่เราใส่ เพิ่มเข้าไปเลยเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ทำให้ไฟลุกฮือ ชื้นมามากกว่าเติมเหมือนภาษิตที่ว่า มีวิชาท่วมหัวเอาตัวไม่รอด เพราะความรู้ที่พวกเรารู้ๆ กันนั้น ทั้งรู้ทั้งหลง ไม่ได้รู้เห็นเป็นขึ้นในใจด้วยปัญญาญาณความปรุงติด จิตสังขารที่มีอวิชชาเป็นพื้น ฐานอยู่ แล้วยึดมั่นสำคัญผิดไปตามความหลง ติด ว่าเข้าใจเอาว่า ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น ทำให้ การแก้ไขปัญหาชีวิตของเรา หรือสิ่งที่เราตัดสินใจ ลงไป เหมือนเล่นลิงชิงหลักเมื่อรู้ว่าตรงนี้ไม่ดี แทน ที่จะปล่อยทิ้ง แล้วไปในที่ที่ปลอดภัย เรากลับไปคว้า อีกหลักหนึ่งแทนพอคนมาหักว่า ไหนว่าแก้แล้วคุณไปคับอีกหลักไว้ทำไมหลักอันใหม่นี่ก็เหมือนหลักตะกี้นั้นแหละ
ชีวิตคนเรา ถึงได้เดินวนเวียนชํ้าแล้วซํ้าอีก ไม่หลุดไปไหน อย่างที่ท่านอาจารย์เปรียบเทียบ
เหมือนมดไต่ขอบกระด้ง เมื่อเราไต่ขอบกระด้ง ซึ่ง เป็นเส้นรอบวง หมุนซํ้ากลับมาที่เก่าอีก เราก็ไม่รู้ เพราะสติของเราไม่มีที่หมายเอาไว้ เราก็หลงภูมิใจ ฉันเดินมาเป็นวันเป็นคืนตั้งไกล ฉะนั้นใกล้จุดหมาย ปลายทางแล้วแต่เปล่าเดินวนกลับมาที่เก่าอีกเหนื่อยก็เหนื่อย แต่ไม่ได้พาเราไปถึงไหนเลย เพราะ เราไม่เอาสติไปสังเกต ไม่มืจุดหมายที่แน่นอนกับ ชีวิต เวลาเลยกลืนกินชีวิตเราไปโดยเปล่าประโยชน์ อย่างนี้เราก็โทษซ้ายป้ายขวาทดท้อใจถ้าเราเริ่มได้คิดว่าใครๆ ก็ไม่ปรารถนาความทุกข์ แต่เมื่อมืความทุกข์ขึ้นมาแล้ว ถามตัวเองว่า เราเป็นคนจริงหรือคนปลอม ถ้าเราเป็นคน จริง คนทุกคนผิดพลาดกันได้ ทุกคนต้องเรียนรู้ จากความผิดพลาดถ้าศึกษาประวิตของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ใช่สิ่งมหัศจรรย์อะไร ท่านเป็นคนธรรมดาอย่างเราๆ นี้เอง ท่านเล่าถึงชีวิตของท่านที่เคยผิด เคยพลาด ความโลภท่านก็เคยมี ในชาติภพหนึ่ง ท่านมีน้องชายต่างมารดาอยู่คนหนึ่ง ท่านรักน้องเติบโตมาด้วยกันเมื่อพ่อจะตาย พ่อมอบให้ท่านดูแลน้องจนถึงวัยอันควร เมื่อน้องจะแต่งงาน ให้ ท่านแบ่งทรัพย์สินออกเป็นสองครึ่ง ให้น้องครึ่งหนึ่ง ให้ท่านครึ่งหนึ่ง ท่านกรับคำในใจของท่านเองก็ตั้งใจเต็มใจทำอย่างนั้น
เมื่อน้องจะมีครอบครัว ท่านก็ตกแต่งให้ เรียบร้อย เอาทรัพย์สมบติมาแบ่งออกเป็นสองส่วน เพื่อให้น้องไปส่วนหนึ่ง แต่มาดูเข้าจริงๆ ...ทำไม มันเหลือน้อยอย่างนี้ท่านเอาชนะความโลภของท่านไม่ได้ เลยหลอกเอาน้องไปฆ่าโดยผลักให้ตก หน้าผา ผลักลงไปแล้วกลัวจะไม่ตายจริง เอาก้อน หินทุ่มอับลงไปอีก
เวลาที่ใจของท่านอังถูกอุปาทาน ถูกความ โลภ ความโกรธ ความหลงครอบงำอยู่ ท่านก็ทำ ได้สุดๆ เหมือนกับที่พวกเราทำกัน เมื่อทำไปแล้ว ท่านต้องไปตกนรก ชดใช้กรรมต่างๆ แล้ว เศษที่ เหลือติดมาในภพชาติที่เป็นพระพุทธเจ้า เป็นเหตุให้ พระเทวอัตคิดจำวัดท่าน โดยกลิ้งก้อนหินจากเขา คิชกูฏให้ลงมาทับท่าน แต่บุญกุศลคุ้มครองพระ เทวทัตให้ทำไม่สำเร็จ หินที่กลิ้งลงมาจึงไปกระแทก กับแง่หินอื่นเสียก่อน ทำให้เบนทิศทางออกไป มี เพียงสะเก็ดชิ้นหนึ่ง กระเด็นมาถูกนิ้วพระบาทท่านห้อพระโลหิต เป็นเครื่องยืนยันว่า อะไรที่เราทำเอา ไว้ เม็ดพันธุ์ที่เราหว่านเอาไว้ ขนาดมาเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ยังติดตามมาให้ชำระหนี้เราจะได้ไม่เสียใจ ไม่หมดกำลังใจ เวลาที่ ประสบความทุกข์ความเดือดร้อน อะไรไม่เป็นไป ตามใจปรารถนา ท่านผู้รู้ให้กำลังใจเราว่า ธัมมะไม่ ได้มีไว้สำหรับเป็นตำราประดับหัวเตียงนอน หรือ เอามาหนุนหัวเหมือนสมัยเด็กๆ จะสอบ ท่องหนังสือไม่หัน ก็เอามาหนุนหัวแทนหมอน ให้ความ รู้ในหนังสือซึมซับเข้าไปในสมอง เราจะได้สอบได้ ไม่ใช่อย่างนั้นท่านให้นำมาลงมือประพฤติปฏิบติ แล้วใช้สิ่ง ที่เกิดจากการปฏิบตินั้นเป็นเหมือนจอบเสียม เพื่อ ช่วยกรุยทางชีวิตให้ราบรื่นขึ้น เหมือนที่ท่านพระ อาจารย์สิงห์ทองเปรียบเทียบว่า ใจของเราเป็น เหมือนที่สวน ถ้าเรามุ่งทำแต่คุณงามความดี ที่สวน ของเราก็เต็มไปด้วยต้นบุญ ต้นกุศล ถ้าเราประมาท ขาดสติ ทำแต่ความบาป ความชั่ว สุดแต่สัญญา อารมณ์จะพัดพาเราไป ที่สวนของเราก็จะเต็มไป ด้วยด้นบาปด้นอกุศล เหมือนพงหนาม พงหญ้าคา มาทำอันตรายแก่ติวเราเองเมื่อเห็นตามความเป็นจริงดังนี้ เราจะได้เอา ธัมมะเป็นเหมือนจอบเสียม เครื่องทุ่นแรงที่มาช่วย เราขุดรากถอนโคนนิสัยไม่ดีไม่งาม ที่พาให้เราเผลอ หว่านแต่ด้นบาป ต้นอกุศลลงไป แล้วฝึกฝนอบรม บ่มปั้นตัวของตัว ให้หว่านแต่ด้นบุญ ด้นกุศล เพื่อที่...สวนของเราจะได้มีคุณมีประโยชน์ มีเสบียงไว้เลี้ยง ตัวเอง และเฉลี่ยแบ่งปันไปช่วยเหลือผู้ทุกข์ยาก ขาดแคลน เป็นการพัฒนาจิตใจของเราให้เอื้อเพื่อ เผื่อแผ่ เมตตาต่อเพื่อนร่วมโลกโดยทั่วหน้ากัน ไม่ เลือกที่รักมักที่ชัง
ขณะนี้ชีวิตของเราเรียกได้ว่าเป็นเทวดาตก สวรรค์ เราต้องลุกขึ้นยืนด้วยขาของเราเอง หนัก เอาเบาสู้ แต่ก่อนเราอาจจะรู้สึกว่าเราเป็นผู้มีอันจะ กิน แต่ตอนนี้เรากลายเป็นคนตีนถีบปากกัด หสัง
สู้ฟ้าหน้าสู้ดิน เหนื่อยยากอาบเหงื่อต่างนํ้าเราคิดเตือนตัวเอง ให้มีสำนึกว่า ประเทศ ชาติของเรากำลังจะล้มละลายอยู่แล้ว คนละใม้คน ละมือช่วยอะไรกันได้ เราต้องช่วยกัน ถ้าเราทุกคน 61 ล้านคน รวมใจร่วมแรงกันสละให้ชาติกันละบาททุกคน กันหนึ่งๆ ประเทศชาติจะมีทุนเพิ่มขึ้น 61 ล้านบาท 61 ล้านบาททุกกันๆ ทำไมหนี้สิน ของประเทศที่มีอยู่นี้ จะลดน้อยถอยลงไปจนหมด สิ้นไม่ได้หนี้สินส่วนหนึ่งที่เราแบกอยู่ทุกวันนี้ ไม่ใช่ หนี้สินที่เราไปกู้มาเพื่อตั้งเนื้อตั้งตัว หรือเอามาหมุน ทำเป็นดอกเป็นผลขึ้นมา ส่วนหนึ่งเราต้องเอามา กองไว้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศชดเชยเงินทุน สำรองที่ร่อยหรอไประหว่างภาวะกันผวนทางเศรษฐ-กิจ และเงินบาทลอยตัวถ้าเงินนี้เป็นเงินที่เรามีเหลือ สำหรับเก็บไว้ เป็นทุนสำรอง ก็ไม่เป็นไร แต่นึ่ปรากฏว่า เราต้อง กู้เขาเอามากองไว้เฉย ๆ ไม่ใช่บาทสองบาท เป็น ร้อยๆ ล้านเหรียญสหรัฐฯดอกเบี้ยกันละเท่าไรตรงนี้ถ้าทุกคนสามัคคีรวมใจกันเสียสละ ทุกคนคิด ว่า ในฐานะที่เราเกิดมาเป็นคนไทย อะไรที่ประเทศ ชาติของเราเดือดร้อน เราย่อมมีส่วนร่วมกันรับผิด ชอบคนละไม้คนละมีอทั้งนั้น เฉลี่ยแบ่งกันไป เพราะ ความเป็นคนไทยย่อมต้องช่วยกันแต่ละวันเราสละคนละบาทให้ชาติ ทุกๆ คนรู้ หน้าที่ของตน ซื่อสัตย์ต่อตนเอง วันหนึ่งเราคงเก็บ ไต้ครบเงินทุนสำรอง ทำให้ชาติไม่ต้องไปเสียดอก เบี้ยให้ใคร เงินของเรา แทนที่จะเก็บไว้ในลิ้นชักของ แต่ละบ้าน ก็เอาให้ชาติไปเก็บเป็นทุนสำรองระหว่าง ประเทศ เมื่อปลดหนี้ส่วนนี้ได้ สถานการณ์ของเรา ก็คล่องตัวขึ้น สามารถทำอะไรไต้เพิ่มขึ้น ถ้าเราคิด อ่านแก้ไขกันอย่างนี้ ดิฉันเชื่อว่าเราจะมีหนทางไป ต่อไปได้ ดอย่างเกาหลี เขาเดือดร้อนหลังเราเป็น ไหนๆ พอรัฐบาลร้องขอความร่วมมือจากประชาชน เพียงช่วงอาทิตย์เศษๆ รัฐบาลเกาหลีไต้ทองคำจาก ประชาชนเป็นตันๆ สามารถนำทองคำเหล่านี้มาผัน เป็นเม็ดเงินให้ภาวะวิกฤตคลี่คลายไป
แต่บ้านเรากลับตรงกันข้าม ไม่เห็นจะไต้อะไร เท่าไร ทำไมคนไทยถึงเป็นคนนอนหลับใหลลืมตื่น
อย่างนี้ หูเราดับ ฟังอะไรไม่ได้ยิน พาดันเข้าภวังค์ เราภาวนาดันอุกฤษฏ์ จนกลายเป็นพรทมลูกฟัก ไม่ รับรู้รับทราบดัสสะต่างๆ แล้วหรืออย่างไรประเทศชาติไม่ได้ดับข้นเดือดร้อนแต่เรื่อง เศรษฐก็จเท่านั้น เรากำลังวิกฤตดันทั้งเรื่องนิสัย ใจคอ ขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมทุกอย่าง หมด เพราะรากเหง้าความเป็นคนไทยทุกวันนี้ผิด แผกไปจากสมัยเติม ซึ่งใครทุกข์เดือดร้อนเราช่วย ดันเหมือนพี่เหมือนน้อง ดิฉันเคยไปหาคุณทวดคุณยายคุณตาที่ต่างดังหวัด บ้านไม่ต้องมีรั้ว เรา วิ่งไปบ้านไหน ก็เหมือนพี่น้องดันหมด ช่วยเหลือ เกื้อกลดันแต่เดี๋ยวนี้ ถ้าท่าอย่างนั้น คงไม่มืข้าวของ เหลืออยู่แน่ ทุกอย่างหมดเกลี้ยง ขนาดหมู่บ้านจัดสรรที่ไกลหน่อยผู้คนยังเข้าไปอยู่ไม่ครบครันผู้ที่เข้าไปอยู่แล้ว ไม่ดูแลบ้านให้ดี คือมีกิจธุระต้อง ไปนอกบ้านไม่มีคนเฝ้า วันดีคืนร้าย ระหว่างที่ยังไม่ กลับบ้า มีรถบรรทุกสิบล้อมาจอด แล้วบอกดับ บ้านข้างๆ ว่า เจ้าของจะย้ายบ้าน ส่งให้เขามาขน ข้าวของไปให้หมด
โจรรายนี้คงมาสืบดูจนรู้แน่ว่า วันที่เจ้าของ บ้านไม่อยู่ กว่าจะกลับมาก็เย็นค่ำ จึงเอาสิบล้อมา ขนอย่างผ่าเผย มิหนำชํ้าบอกบ้านข้างๆ อีกด้วยว่า เจ้าของบ้านส่งไห้มาขนเพื่อย้ายบ้าน เพราะที่นี่ไกล เหลือเกิน เพื่อนบ้านเลยไม่สงสัย อยากขนก็ขนไป ตามสบาย เพราะเจ้าของบ้านสั่งให้มาขนย้ายนี่นาเมื่อเจ้าของบ้านกสับมาตอนคํ่าก็ตกใจ เพราะ บ้านเปิดโล่งโถงหมด ไม่เหลือแม้กระทั่งเตาแก๊สจะต้มน้ำ ทุกอย่างหมดเกลี้ยงเลยถ้าโจรดีดเอาบ้านทั่งหลังไปได้ คงบรรทุกไปด้วยแล้ว มันถึงขั้นนี้กัน แล้วอย่าว่าแต่รั้วไม่ต้องมี ขนาดรั้วก็มี กุญแจก็ใส่เอาไว้ ยังเป็นอย่างนี้ นับประสาอะไร จะให้เรา ไว้วางใจกัน เพราะจิตใจคนสมัยนี้ ไม่รู้เป็นอะไรจึง วิปริตผิดผู้ผิดคนอีกรายหนึ่ง พ่อแม่มีลูกสาวคนโต ลูกชาย คนเล็กซึ่งรักทะนุถนอมปานแก้วตาดวงใจ ส่งไปเข้า โรงเรียนดีมีชื่อเสียง ก็ปรากฏว่าไปคบเพื่อนนักเลง หัวไม้สิบแปดมงกุฎ เสี้ยมสอนวิชาที่พ่อแม่ไม่พึงประสงค์ เมื่อจบชั้นอุดมศึกษา จะเข้ามหาวิทยาลัย ก็สอบเข้าที่ไหนๆ ไม่ได้ ในที่สุดไปเข้ามหาวิทยาลัย เปิดพ่อแม่เบาใจว่าเหตุการณ์คงจะดีขึ้น แต่เหตุที่ เด็กคนนี้กระทำเอาไว้ คงเป็นแต่เม็ดพันธุ์ประเภทนี้ ทำให้โคจรไปพบเพื่อนแบบนี้เข้าอีก คือ ชวนกันเล่น การพนันช่วยกันทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ผิดกฎหมายผิดศีลธรรม ถึงชั้นที่ว่า เวลาทุกคนในบ้านออกไป ทำงานหมดแล้ว ลูกชายก็โทรศัพท์กลับมาที่บ้านซักไซ้จนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ นอกจากสาวใช้ ก็พา เพื่อนเข้ามาขนวิทยุ โทรทัศน์ เอาไปขายเพื่อเอา เงินมาเล่นการพนันต่อมาถึงชั้นว่า พี่สาวนอนหลับก็มารูดแหวน ที่ใส่อยู่จากนิ้วมือพี่สาว เอาไปจำน่า แล้วเอาสตางค์ มาใช้ แมกทนไม่ไหว ถึงชั้นนี้ เลยเรียกมาตุ ลูก ชายก็เถียงทุกถ้อยกระทงความทำให้แม่โกรธสุด ขีดคว้าได้ไม้ระแนงก็ฟาดลงไปบนตัวลูกชายสุด แรง จนตัวเองเหนื่อยหอบ เจ็บที่หัวใจ ไปเข้าชีซียู เพราะหัวใจทำท่าจะวาย
ลูกสาวมาปรึกษาดิฉันว่า จะทำอย่างไรให้คุณ แม่ปลงใจได้ ไม่ไปโกรธ ไม่ไปทุกข์โทมนัสกับลูก ชาย ดิฉันบอกว่า คุณแม่ต้องมองให้เห็นตามความ เป็นจริงเขาเป็นลูกพ่านแต่เพียงร่างกายเท่านั้นคุณแม่เปรียบเหมือนคนสร้างคอนโด เพราะร่างกาย ของลูกได้มาจากไข่ของคุณแม่และเชื้อของคุณพ่อ ที่ผสมกันนั้น เปรียบเหมือนตึกรามบ้านช่อง แต่ว่า ใจของคนที่มาดาวนคอนโดนั้น ไม่รู้ว่าเป็นมิตรหรือ เป็นศัตรูเรากันแน่ เป็นใครก็ไม่รู้ เขาจะมาด้วยเจตนาเกื้อกูลผูกพีนรักใคร่ หรือมาล้างมาผลาญเอา เราให้หมดเนื้อประดาศัว เราก็รู้ไม่ได้เราทำได้อย่างเดียวคือ ให้เมตตาต่อเขาอะไรที่เราคิดจะอบรมบ่มบันสอนสั่งเขา ตามหน้าที่ ของพ่อแม่ ของพี่ ก็ตั้งใจทำให้เต็มกำกังสดิบ้ญญา ความสามารถ แต่ผลจะเป็นอย่างไร เราไปบีบบังคับ ไม่ได้เหมือนท่านอาจารย์องค์หนึ่ง พ่านสอนลูกศิษย์ซึ่งเป็นผู้อำนวยการ ไปเล่าถึงบ้ญหาการงานให้ ท่านฟังว่า ได้พยายามแก้ไขข้อบกพร่องในที่ทำงาน อย่างไรๆ บ้าง ทำจนทุกอย่างเรียบร้อยดีงาม แต่ ทำไมผลไม่เป็นอย่างที่คาดหวังเอาไว้
ท่านอาจารย์ก็อุปมาอุปไมยให้ฟังว่า สมมุติ งานที่คุณทำ เหมือนคุณกำลังทำสวนมะม่วง คุณผี หน้าที่ไปเลือกหาเม็ดมะม่วง อยากเอาพันธุไหนคุณ ก็เลือกได้ทั้งนั้น แล้วคุณก็ปวับไถที่ของคุณให้ดี เอามาใส่จะทำเป็นที่ยกร่องสูง หรือทำเป็นที่ลุ่ม หรือทำอย่างไร คุณจัดการให้เป็นดังใจคุณได้ทุก อย่าง แล้วก็เอาเม็ดมะม่วงไปปลูก ปลูกเป็นด้นขึ้น มาแล้ว คุณจะหาอะไรมาบังลม บังแดด คุณจะทำ อย่างไร คุณทำได้เต็มที่ แต่ถึงเวลามะม่วงจะออกลูก คุณเป็นคนออกลูก หรือว่าด้นมะม่วงเป็นผู้ออกลูกท่านอาจารย์สอนให้เราได้ติด เราประกอบได้ แต่เหตุ เราเลือกเม็ดพันธุที่ดีมาปลูก เราดูแลว่ามีปัจจัยอะไรจะทำนุบำรุงให้สิ่งที่เราทำนั้น ไปถึงจุด หมายปลายทางดังที่เราคาดหวังไว้ แต่เราไม่มืสิทธิ จะไปสั่งว่า พรุ่งนี้ออกลูกนะๆ หรือเราไปออกลูก แทนด้นมะม่วงเราทำได้แต่ประกอบเหตุให้ดีที่สุด... เต็มสติ กำลังความสามารถ แล้วผลจะเป็นอย่างไร เราต้อง
ยอมรับ ถ้าเหตุปัจจัยจังไม่พร้อม ลูกยงไม่ออก ก็ ไม่ออก ถ้าลูกออก สาธุ...มะม่วงออกลูก แค่นั้น เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปบีบบังคับอะไรได้ธัมมะของพระพุทธองค์สอนลงตรงนี้ ถ้าเรา แยกตรงนี้ออก ใจของเราจะเบาสบายขึ้นมาก ไม่ อย่างนั้น เหตุไม่อยากตั้งใจประกอบ ไม่เลือกเม็ด พันธุคือการกระทำคำพูดความคิดให้ดี ไม่เตรียม ที่ดินที่สวนให้ดี ตรงนั้นไปยึดมั่นสำคัญผิดคิดว่า ฟ้าบันดาล ไปคอยนั่งสะกดจิตให้มะม่วงออกลูกๆ นั่ง สะกดจิต ปีนี้ต้องได้ 2 ขั้น ครั้นไม่ได้ 2 ขั้น งาน การไม่ยอมทำ เรื่องอะไรจะทำ ทำไปก็เหนื่อยเปล่า ไอ้คนโน้น คนนั้น มาคว้าผลไปหมด ฉะนั้นไม่ทำ ความดีแล้ว เลิกทำแล้วกุศลเหตุที่ควรประกอบ
เราไม่ทำ เราก็แพ้ภัยตัวเอง เพราะเราสำคัญผิด เอา ใจของเราไปยึดกับผลเมื่อผลไม่เป็นไปอย่างที่กิเลสมุ่งหวังเอาไว้ เราก็ติดเขึ้อขั้ว งานการไม่ทำ เกเรต่างๆ นานา
เรานึกไปไม่ทันว่า เมื่อเกเรไปต่างๆ นานา แล้วจะติดเป็นนิสัยได้ ต่อไปถ้าเราไปอยู่ในที่ดี เห็น
ผู้คนทำดีกัน เราอยากกกับเนื้อกกับตัวเป็นคนดี ก็ ไม่ใช่ของง่าย เมื่อเริ่มเลอะเทอะแล้ว คราวนี้จะ
ตัดสินให้กกับดีใหม่ก็เหมือนต้นไม้ที่กังไม่แข็งดีรีบเอาไม้เฝือกออกไป ต้นก็เลื้อยคดไปคดมา ขณะเดียวกันลำต้นที่คดไปคดมานื้ก็เริ่มแข็งตัวขึ้น ครั้น จะจับใส่ไม้เสิอกใหม่ มันก็ไม่ยอมตรงแล้ว ดีไม่ดี เลยหักอีกต่างหากคนเราก็เป็นอย่างนี้ เมื่อเริ่มคุ้นเคยกับความ ชั่ว จะลืมความดีโดยอัดโนมัติ ของดีเปรียบเหมือน ต้นไม้ที่ขึ้นยาก เผลอนิดเดียวก็ตายไปแล้ว ของไม่ดีเหมือนวัชพืช ถึงจะไม่รดนํ้า ไม่ใส่ป๋ย ก็ขึ้น งอกงาม ชั่วประเดยวเดียว แพร่พันธุแผ่คลุมเต็มไป หมด จนกระทั่งเราถอนไม่ไหว บางทีถอนแล้วรากกังขาดติดอยู่ในดิน พอฝนตกลงมา อ้าว ... ขึ้นมา เท่าเดิมอีกแล้ว ใจเราก็ท้อถอย คล้ายกับว่าทำดี ไม่เห็นไต้ดี แต่เวลาทำชั่ว ทำไมถึงให้ผลไต้รวดเร็ว อย่างนั้นเพราะความไม่รู้ถ่องแท้ พาเราให้หลงเข้าใจ ผิด เลยปิดกั้นหนทางที่จะรักษาตัวของตัวให้เที่ยงตรงอยู่บนมรรคคนชอบพูดกันว่า เรื่องอะไร ในเมื่อเขาไม่ดี ถ้าเราไปทำดีให้เขา เขาก็เสียนิสัยหมด สิ เพราะฉะนั้น เขาทำอย่างไร เราต้องทำอย่างนั้น ตอบเพื่อสั่งสอนเขา ความจริงเราไม่ได้สั่งสอนเขา แต่เราขาดภูมิคุ้มกัน เราเลยดีดเซึ้อจากเขามาเดิม พิกัด คราวนี้นิสัยชั่วๆ ของเขาก็มาเป็นนิสัยของเรา ครบครัน คนโดยมากจะไม่ชั่วแต่เท่าเขา เพราะอัตตาที่ใหญ่กับจักรวาล พาให้เขลาว่า ไหนๆ จะ ชั่วทั้งที ต้องชั่วให้ทะลุตัวที่มาทำใส่เราถ้าเขาชั่วแต่นี้ เราต้องยกกำสังสองของเขาคราวนี้เป็นอย่างไรเวลาที่อวิชชาครอบครองใจอยู่ เรานึกว่าเรา ฉลาด แต่คนอื่นดูเราแล้ว เขาสมเพชเรา เมื่อเขา เตือนเรา เรากลับเห็นไปว่า โธ่เอย ...มันอิจฉาเรา พูดให้เราเสียกำลังใจ ไปฟังมันทำไม ความจริงนั้น เขาหวังดีกับเรา แต่เราแปลไม่เป็นถ้าเริ่มเห็นตามเป็นจริงอย่างนี้ เราจะได้ฝึกใจ ของเราให้มีภูมิคุ้มกัน อะไรเล่าที่จะช่วยให้ภูมิคุ้มกัน ในใจของเรางอกงาม เกิดกำลังพอจะเป็นพี่เลี้ยง
คุ้มครองเราได้สิ่งสำคัญคือสติ ตัวที่จะคอยเตือนเราให้ระลึก รู้ เมื่อมีอะไรมากระทบใจ สติจะพาให้เราฉุกคิดได้ ระลึกรู้เท่าทันความเป็นจริง แล้วเอาใจไปจดจ่อเพ่ง พิจารณา หาข้อดีข้อเสียจนใจของเราเห็นทะลุปรุโปร่งตามความเป็นจริง เราจะได้มีกำลงที่จะฝึกแน่ ไม่ให้เผลอเอียงไปตามสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ถ้าคอย ระวงรักษาเอาไว้อย่างนี้ หรือเวลาเห็นตัวอย่างที่ เกิดขึ้นกับบุคคลอื่น ก็น้อมมาสอนตนเองการกระทำ คำพูด ความคิด ของเราทุกอย่าง เป็นเหมือนเม็ดพันธุที่เราหว่านลงไป เม็ดเหล่านี้จะ งอกเป็นต้น ออกดอกออกลูกขึ้นมาให้เราได้กินได้ใช้ สอยแต่ในชีวิตจริงๆ ผลที่เกิดจากสิ่งที่เราทำเอาไว้ ไม่เกิดขึ้นในวันนี้ พรุ่งนี้ ให้คันตาเห็น เหมือน ตัวอย่างที่จะเล่าต่อไปนี้เรื่องที่เกิดขึ้นนี้อย่ในหนังสือของอาจารย์วคิน อินทสระ ซึ่งยืนยันว่า เราทำอย่างไหนไว้ ต้องได้รับ ผลอย่างนั้นจริง ๆ ท่านเล่ากึงเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นที่ วัดมะกอก ประมาณ 40 ปีมาแล้ว ตอนนั้นแถบวัด
มะกอกยังรกร้าง ไม่มีตึกรามร้านค้าอย่างสมัยนี้ เวลามีการสวดศพ เจ้าภาพต้องว่าจ้างชาวบ้านที่อยู่ บริเวณนั้น ให้ทำอาหารเพื่อเลี้ยงพระและเลี้ยงคน ปรากฏว่า มีเจ้าภาพรายหนึ่ง ตึดต่อชาวบ้านให้มา ช่วยทำอาหาร ให้สตางค์กันเรียบร้อยแล้ว เพื่อซื้อ เนื้อและวัสดุที่จะมาทำอาหารบังเอิญชาวบ้านวางเนื้อที่ซื้อมาไว้ไม่รอบคอบ สุนัขแถบนั้นเลยคาบเอาไปกินหมด เธอจึงบอกกับ เจ้าภาพว่า สุนัขขโมยเนื้อไปกินหมดแล้วขอสตางค์ ไปซื้อใหม่เจ้าภาพก็ไม่ว่าอะไร จ่ายสตางค์ให้ไปอีก แต่สัพยอกว่า คราวนี้ดูให้ดีนะ อย่าให้สุนัขเอาไปกิน อีก ก็เป็นอันว่าจบเรื่องไปแต่ชาวบ้านที่รับทำอาหาร เกิดเจ็บแค้นสุนัข จำได้ว่าตัวไหนที่มาคาบเนื้อไป นอกจากจะไปซื้อ เนื้อมาสำหรับทำอาหารแล้ว ยังซื้อเศษเนื้อมาห่อ หนึ่งด้วย พอเห็นสุนัขตัวนั้นก็เอาเศษเนื้อโปรยล่อ ให้สุนัขมากิน ขณะเดียวกันก็ต้มน้ำไว้ในกระทะ เมื่อ นํ้าเริ่มเดือด ก็เอาเศษเนื้อทั้งหมดโปรยเป็นทาง เพื่อให้สุนัขกินมาเรื่อย ๆ จนถึงกระทะนํ้าเดือดบนเตา
ขณะที่สุนัขกำลังกินเศษเนื้อด้วยความอร่อย เพลิดเพลิน ไม่ได้เฉลียวใจว่าคนให้กำลังคิดทำร้าย มัน เธอก็เอานํ้าในกระทะสาดไปทั่วตัวสุนัข มันก็ถลอกปอกเปิกเพราะถูกนํ้าร้อนลวก ลงดิ้นเกลือก กลิ้งกับพื้นทรายพื้นกรวดตรงนั้น หนังที่พองจากถูก นํ้าร้อนลวกกิเฟ้อยหลุดออกไป เห็นเนื้อแดงๆ เลือด อาบเปรอะเฟ้อนกรวดทราย ดิ้นกระเสือกกระสน ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดอยู่ประมาณชั่วโมง เศษก็ลิ้นใจคนที่เห็นเหตุการณ์ก็ตำหนิว่าเธอทำเกินเหตุ เกินผล อะไรจะใจร้ายใจดำอย่างนื้
วันรุ่งขึ้นถึงเวลาเลี้ยงพระเพล บังเอิญศาลาที่สวดศพนื้ เป็นศาลายกพื้นขึ้นไปเป็นศาลาชั้นครึ่ง มี ระเบียงยื่นออกมา พวกที่มาช่วยลำเลียงของเลี้ยง พระ แทนที่จะ ขึ้นขึ้นบันได ก็ใช้วิธียืนข้างล่าง แล้ว ส่งทางระเบียงซึ่งสูงพอดีคนข้างบนเอื้อมมือลงมาแม่ครัวคนนื้ยกแกงเผ็ดเนื้อซึ่งเดือดพลั่ง ๆ ลง จากเตา แล้วเอาหม้อแกงทั้งหม้อวางบนถาดเคลือบยกเทินขึ้นเหนือศีรษะ เพื่อส่งให้คนข้างบนระเบียง หิ้วขึ้นไป เมื่อเข้าใจว่าคนข้างบนหิ้วหูหม้อได้เรียบ ร้อยแล้ว เธอก็ลดมือลงเพื่อเอาถาดไปปรากฏ ว่าคนข้างบนหิ้วยังไม่ถนัด หูหม้อพลัดหลุดมือ หม้อแกงทั้งหม้อก็เอียงลงมากับถาด ควํ่าราดตลอด ตัวเธอ สุนัขเมื่อวานนี้เป็นอย่างไร เธอก็เป็นอย่างนั้น ตอนนั้นโรงพยาบาลราชวิถียังเป็นโรงพยาบาล หญิง คนนำเธอไปส่งโรงพยาบาล เข้าห้องฉุกเฉิน หมอฉีดยานอนหลับ ยาแก้ปวดให้ไม่ว่าจะทำอย่างไรๆ จะให้ยาอะไรเข้าไป ก็เหมือนยาเสื่อมคุณภาพเธอไม่หลับ ไม่ทุเลาปวด ดิ้นทุรนทุรายอยู่บนเตียงที่ปูผ้าขาวสะอาด ไม่ได้เป็นกรวดเป็นทราย ปรากฏว่าเธอดิ้นร้องครวญครางจนกระทั่งเนื้อหนังพุพองเป่งแตกติดผ้าปู หลุดออกมา เห็นเนื้อแดงๆ มีเลือดและนํ้าเหลืองเต็มผู้คนที่เห็นเหตุการณ์เมื่อวานนี้ และตามไป ส่งที่โรงพยาบาล กลับมาเล่าด้วยความสลดใจว่า เหมือนกันไม่มีผิด สุนัขดิ้นร้องครวญครางอย่างไร เธอก็เป็นอย่างนั้น ผิวหนังถลอกปอกเปิกเหมือนกันแล้วก็ร้องอยู่ชั่วโมงเศษจึงสิ้นใจเหมือนๆ กันถ้าเราได้เห็นกันจะจะอย่างนี้ ใจก็คงจะเชื่อ เรื่องว่า เราทำเหตุอย่างไหนไว้ ย่อมได้รับผลอย่าง นั้น บางทีมันไม่เกิดขึ้นในวันนี้ พรุ่งนี้ อย่างเรื่องนี้ ไปเกิดอย่างเรื่องของพระพุทธเจ้า แต่ครั้งอดีตอัน ยาวนาน เมื่อครั้งท่านเป็นพ่อค้า ไม่ยอมให้วัวกินนํ้า ขุ่นด้วยความหวังดี แต่วัวไม่เข้าใจ จึงกลายเป็นเหตุถ้าเรามองเห็นได้ด้วยสายตาอันยาวไกลอย่าง พระพุทธเจ้า ก็ง่ายที่จะยอมรับอะไรที่เกิดขึ้นกับชีวิต ของเราแต่ละเวลานาที แต่ถ้าไม่เห็นและไม่ฝึกให้ เปิดใจรับจนคุ้นเคยกับเรื่องเหล่านี้ ใจเกิดความเชื่อ แม้จะยังพิสูจน์ไม่ได้ด้วยตัวเอง แต่ก็มีศรัทธาในสิ่ง ถูกต้องและมีความพากเพียรที่จะสิกใจของตัวให้ เกิดสิ่งที่เรียกว่า อินทรีย์ 5 หรือพละ 5 ซึ่ง ประกอบด้วย
สิ่งแรกคือ สติ ถ้าเรามีสติตามระลึกรู้ รักษา ใจของเราให้รู้ตามเป็นจริง อะไรมากระทบ หาก สะตุดใจ ให้เอาสติจับสังเกต จนได้เรื่องเหมือนเรา เล่นรปต่อ ค่อยเลือกหาขึ้นส่วนที่เข้ากันได้ มาต่อ
จนเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา เราจะเข้าใจ เกิดความเชื่อสิ่งถัดมาคือ ศรัทธา และ ปัญญา คนเราถ้า มีศรัทธาอย่างเดียว ไม่มีปัญญาเลือกเฟ้นให้ดี อาจ ไปศรัทธากับ 18 มงกุฎ หลงผิดจนหมดตัว ศรัทธา จึงต้องมีปัญญา คอยให้เหตุผลขึ้แนะห้วงติง และมี กำลังเสมอถัน สิ่งที่เราศรัทธาจึงจะเป็นกุศล มีเหตุ มีผลถูกต้อง นำพาเราไปในทิศทางที่ถูกที่ควร ที่เป็น มรรคอีก 2 สิ่งคือ ความเพียร และ สมาธิ คน เราถ้าเพียรมากเกินไป เหนื่อยจนไม่ไหวแล้ว ใจที่ สงบก็เริ่มฟุ้งซ่านซัดส่าย เพราะความอ่อนล้า เผลอ สติ หรือถ้าทำแต่สมาธิอย่างเดียว มีอะไรกิลงหลุม หลบภัย คือเข้าสมาธิ ก็มีแต่กำลัง แต่ไม่เอากำลัง นั้นออกมาใข้งานให้เกิดประโยชน์ ต้องฝึกให้ความ เพียรและสมาธิพอดีไต้ลัดไต้ส่วนกัน เมื่อเราเหนื่อย ถ้ายังฝืนทำต่อไป ประสิทธิภาพกิเริ่มพร่องลงเกิด ความผิดพลาดเสียหายได้ ทำไปแล้วแทนที่จะเป็นคุณ กลับพาเข้ารกเข้าพง ก็ต้องทำสมาธิให้กำลัง ตั้งมั่น เที่ยงตรงเสียก่อน จึงไปทำงานต่อได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย
ถ้าเราจัดสรรให้กำลังทั้ง 5 ตัวนี้สมํ่าเสมอ กัน ใจของเราก็จะก้าวหน้าไปในทิศทางที่ถูกต้อง เกิดสติสัมปชัญญะปัญญารู้เห็นสิ่งทั้งปวงตามเป็น จริงอะไรที่เป็นปัญหาเกิดขึ้นในชีวิต แต่ละเวลา นาที เราจะไต้นำมาพินิจพิจารณา จนเกิดปัญญา เห็นชอบ สิ่งที่ตัดสินใจแก้ไขไป ก็รักษาชีวิตของเราให้ปลอดภัยอยู่บนมรรค ถ้ากลุ่มคนที่อยู่กับเรา เป็นคนพาล ชักพาเราไปในทางที่ผิด ใจเราก็มีกำลังฝึกฝืนรักษาตัวไปในทางชอบ ให้เวลาเป็นเครื่อง พิสูจน์เหมือนเราเอาเม็ดพินธุหว่านลงไป แต่ยัง
ไม่ทันขึ้นเป็นต้น ใครจะพูดอะไร ก็ปล่อยให้เขาพูด ไป เมื่อถึงเวลา ต้นงอกขึ้นมาแล้ว แตกใบออกมา เป็นข้อพิสูจน์ไห้รู้ชัดว่าเป็นอย่างที่เราว่าไว้หรือเปล่าใจอันนี้ก็มืกำลังรักษาตัวเอง มีความอดทน คอยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ก็สงบ เบาสบาย ถ้า ไม่ฝึกให้มีกำลังถึงขั้นนี้ ทั้งๆ ที่เรารู้ว่าเราถูก ครั้น โดนลมปากผู้คนวิพากษ์วิจารณ์เข้าหน่อย ก็คลอนแคลนว้าวุ่นซัดส่ายตามเขาไป ทำร้ายเบียดเบียนตัว เอง ดีไม่ดีถึงขนาดไปขุดหาเพื่อเอาต้นที่ปลูกขึ้นมา พิสูจน์แบบเดียวตับสมัยพุทธกาลสมัยนั้น ถ้านางพราหมณีไม่มีลูกชาย แล้ว พราหมณีสามีตายไป ทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ จะถูกพี่ น้องของสามียึดไปหมด ตัวเองกลายเป็นแม่หม้าย อนาถา ไม่มีอะไรเลี้ยงตัว ปรากฏว่ามีนางพราหมณี คนหนึ่งแต่งงานแล้วตังไม่มีลูก เพิ่งตั้งท้อง สามีเกิด ตายไป น้องชายของสามีเป็นคนไม่ดี คิดจะเอาสมบัติของพี่สะใภ้ กลัวว่าถ้ารอไว้ นางพราหมณีคลอดลูกออกมาเป็นผู้ชาย ก็จะมีสิทธิในทรัพย์สมบัติ น้องสามีจึงรีบมาไล่พี่สะใภ้อ้างว่าเธอไม่มี ลูกชายสืบสกุล ให้ออกไปจากเรือนฝ่ายพี่สะใภ้ก็ประท้วงว่า ฉันกำตังตั้งท้องอยู่นะน้องสามีเถียงว่า จะแน่ใจไต้อย่างไรว่าลูกในท้องเจ้าเป็นผู้ชาย ถ้า คอยไปแล้วลูกเจ้าคลอดออกมาเป็นผู้หญิง เจ้าก็ได้ อยู่ฟรีกินฟรี เสียเงินทองของเราไปเปล่าๆนางพราหมณีถูกน้องสามีคุกคามเอาอย่างนี้ก็ ตกใจ ถามว่าจะให้ฉันทำอย่างไรเล่า น้องสามีตอบเจ้าก็ผ่าท้องออกมาพิสูจน์ดูสิ นางพราหมณีก็ไม่มี สติ เขาบอกอย่างนี้ก็ยอมตาม ให้เขาเอาคนมาผ่า ท้องตนเมื่อผ่าท้องออกมาลู ปรากฏว่าลกเป็นผู้ชายจริงๆแต่เด็กยังไม่ถึงเวลาจะรอด เพิงได้ 5เดือน ลูกชายก็ตายนางพราหมณีประท้วงว่า ก็ลูกฉันเป็นผู้ชาย จะมาเอาสมบัติไปได้อย่างไร น้องสามีเยาะเย้ยว่า เจ้าโง่เซ่อ มีสมบัติอยู่กับตัว ก็ไม่มีปัญญารักษาเอาไว้เจ้าเชื่อฉันทำไม เจ้ายอมให้ผ่าออกมาพิสูจน์จนเด็กตายไปแล้วก็เหมือนเจ้าไม่มีลูก เจ้าไม่รอบคอบ ที่จะระวังรักษาสมบัติของเจ้าไว้ให้ดี ทำไมเจ้าไม่ยืนกรานว่าจะรอจนครบกำหนดคลอด แล้วค่อยมา ว่า ถ้าเจ้าพูดอย่างนั้น ลูกของเจ้าคลอดออกมามี ชีวิตเป็นผู้ชาย สมบัติก็เป็นของเจ้าเจ้าไม่ฉลาด เองทำตัวเองจนไม่มีลูก เจ้าก็ต้องเป็นคนอนาถา เข็ญใจ ใครจะไปช่วยเจ้าได้ถ้าไม่มีหลักของใจ ไม่มีปัญญา ซึ่งเป็น เสมือนแสงสว่างส่องทาง ให้เราคุ้มครองตัวเองได้ เราไปอยู่ในหมู่คนที่ไม่มีความหวังดีต่อเราก็เหมือน นางพราหมณี มีสมบัติเท่าไรก็รักษาไว้ไม่ได้ ท่าน
อาจารย์สอนอยู่เสมอว่า คนเราไม่ได้ไร้ทรัพย์ แต่อับ ปัญญา ฉะนั้นเราอย่าทำตัวเป็นคนอับปัญญา ในยุค สมัยที่อะไรๆ ก็ผันผวน วิกฤตไปหมดอย่างนี้ จำเป็น ที่เราจะต้องมีปัญญาเหน็ชอบก่อนจะตัดสินใจกระทำอะไรลงไป ให้มีแสงสว่างส่องทาง เพื่อเราจะ ได้เดินไปในทิศทางที่ถูกเราถึงจะรักษาตัว รักษาประเทศชาติ รอดปลอดภัยได้ ไม่อย่างนั้นจะกลาย เป็นก่อหนี้สินล้นพ้นตัวถ้าใจเห็นอย่างนี้ เราจะได้ฝึกเรา เอาเรื่องที่เป็นปัญหามาเป็นแบบฝึกหัดว่า มันกระทบกระเทือน ใจเราแค่ไหน อย่างไรพยายามให้ธรรมรักษาเราคุ้มครองเรา โดยคิดหมุนปัญหาให้เป็นโอกาส เอา สติจับปัญหานี้มาเป็นทินลับสติปัญญาของเรา จน ได้ปัญญาเทินชอบฝึกให้คล่องตัว จนกลายเป็นนิสัยของเรา เป็นอัดโนม่ตของเรา อะไรมากระทบ ตั้งสติเพ่งดูใจที่รับรู้อยู่กับสิ่งที่มากระทบนั้นคำตอบหรือปัญญาจะเกิดให้รู้ขึ้นในใจ ทำให้เรามั่นใจ ในตนเอง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราพึ่งตัวของเราได้ รอดปลอดภัย
ถ้าแกฝนตนอยู่อย่างนี้ แต่ละเวลานาทีก็จะไม่ กลืนกินชีวิตเรา ให้หลงวนเวียนชํ้าแล้วซํ้าอีก เป็น มดไต่ขอบกระด้ง สติจะเป็นเหมือนเครื่องง้างขอบกระด้ง ให้คลี่เหยียดออกเป็นเส้นตรงเวลาที่เรา ขาดสติ ขอบกระด้งก็คือสังสารวัฏฏ์ ที่พาเราวน เวียนตายเกิดไม่รู้จบ ครั้นมืสติ สังสารวัฏฏ์ก็กลาย มาเป็นมรรคมรรคมีองค์ 8 หรือหนทางพาเราไปสู่ความ สิ้นทุกข์การจะเข้าสู่เส้นทางนี้ ไม่ต้องลงทุนด้วยเงินทอง วัตถุข้าวของอะไร หลายคนอาจมืคำถาม ขึ้นในใจแล้วว่า ยุคนี้เป็นยุคข้าวยากหมากแพง อะไร ก็ยุ่งยาก วิกฤตไปเสียทั้งนั้น แล้วยังจะให้ทำอย่างไร อีก ไม่ต้องทำอย่างไรเราก็ทำทุกอย่างเหมือนที่เคยทำอยู่ทุกวันนี้ เพียงแต่อย่าเผลอสติ ให้เอาสติคอยระลึกรู้ คลี่ อารมณ์ที่พาเราหลงวนอยู่ในสังสารวัฏฏ์ จนไปไหน ไม่รอด ให้เหยียดออกเป็นหนทางของเหตุผล ของ ความเห็นชอบ เห็นจุดตั้งต้นและจุดหมายปลายทางได้ เราจะไต้มืกำลังใจอะไรที่กระทำไป เมื่อประกอบ เหตุเต็มที่ พากเพียรทำไปไม่หยุดไม่ถอย เราย่อม ใกล้จุดหมายไปทุกขณะเมื่อเป็นอย่างนี้ ใจก็เกิดกำลัง ถึงสิ่งที่ตัดสิน ใจทำลงไปจะผิด เราก็ไม่เสียกำลังใจ เพราะใจที่ลัง มีอวิชชา เป็นเหมือนมืขี้ฝุน ขี้ผง เปรอะเปื้อนอยู่ เวลาพินิจพิจารณาอะไร ก็ทำนองเดียวกับเรามอง ผ่านกระจกที่เปียกนํ้า จะให้เห็นชัดเจนได้อย่างไร ถ้าเราฝึกพัฒนาสติของเราไปเรื่อย ๆ สติจะเป็น เหมือนตัวที่ทำให้กระจกเปียกเปื้อนน้ำกลายเป็น กระจกแห้งใส เมื่อมองผ่านไป ก็เห็นได้ชัดเจน เพราะสติเป็นเครื่องให้ใจระลึกรู้เท่าทันความเป็นจริง ท่านผู้รู้ได้อธิบายคำว่าสติเพิ่มเติมไว้ตังนี้ คือ นอกจากจะรักษาใจให้ระลึกรู้เท่าทันความเป็นจริง แล้ว ยังปกป้องเราให้คิดตอบสนองออกมาในทาง ที่เป็นกุศลอีกด้วย สติจะชัดเกลาใจให้ประณีตยิ่งขึ้น คือไม่เพียงแค่รู้เท่าทันความเป็นจริง เพราะหาก ความเป็นจริงนั้นเสียดแทงใจ ให้หดหู่ หมดกำลัง ก็ช่วยหานั้าทิพย์มาชะโลม คือเกิดแยบคายอุบาย รักษาใจให้เป็นกุศลเอาไว้
อะไรที่คิดให้เป็นอภัยทานได้ ก็อภัยให้แก่กัน เสีย อะไรที่ต้องเหนื่อยยากลำบากแทบเอาชีวิตเข้า แลก ก็คิดสอนตัวเองว่า ถ้าไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เราก็ยังโง่เขลาอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้นแรงที่เสียไป เกินคุ้ม เมื่อเทียบกันกับวิชชาที่ได้มา ทำให้เรามี ตนเป็นที่พึ่ง คุ้มครองตัวได้ ต่อไปไม่ว่าจะมีอะไร เกิดขึ้น เราก็เชื่อมั่นในตัวของตัวความคิดที่เป็นกุศลเช่นนี้ หล่อเลี้ยงใจให้ อิ่มเอิบ ชุ่มเย็นเป็นเมตตา ช่วยเหลือเจือจานไป ถ้วนมั่วหน้า ตรงข้ามกับใจที่รู้ แต่ขาดแยบคายอุบาย ยังตัดพ้อต่อว่า ทวงบุญทวงคุณว่า ทำไมต้องเป็น เราด้วย ใจแรกมีกำลัง แต่อีกใจหนึ่งกัดฟันทนเจ็บปวด เบียดเบียนตัวเอง ทำนองว่า ถึงร้อนระอุ เป็นทะเลทรายก็ทะเลทรายเถอะ ฉันก็จะกระเสือก กระสนไปให้จนได้ แม้จะต้องเอาชีวิตเข้าแลกก็ตาม ทำไมต้องทำร้ายตัวเองอย่างนั้น สู้ทำแล้ว เหนื่อยกายก็จริง แต่ใจเกิดปีติอิ่มเอิบ จากการสละ จาคะออกไป ใจมีบุญมีกุศลเป็นอาหารหล่อเลี้ยง ให้ เกิดความเบา ความชุ่มเยนเป็นเครื่องอยู่ เป็นสุข
การที่ครูบาอาจารย์ หรือท่านผู้รู้ทั้งหลาย ท่านอยู่ได้เป็นสุข ทั้งที่เราดูแล้ว ไม่เข้าใจว่าท่านอยู่ ได้อย่างไร แสนจะไม่มีอะไรขาดแคลนอดอยากแร้นแค้นเพราะท่านอยู่ด้วยสุขวิหารธรรม มีปีติหล่อเลี้ยง มีใจที่เป็นอิสระ เบาสบาย ไม่ถูกกดถ่วง ด้วยการเปรียบเทียบกบอะไร ให้เป็นปมด้อย ปมเด่น ท่านสบาย เป็นตัวของท่านเอง อิสระเต็มที่ ทุกอย่าง ที่๓ดขึ้นแด่ละขณะเป็นความรู้ความเข้าใจตามเป็นสิ่งนี้คือหัวใจ เพราะไม่ได้อยู่ด้วยวัตถุสิ่งของ ว่าเรามีมากมีน้อย เรารวยเราจน แด่อยู่ที่เรามี ความเห็นชอบ ซึ่งคอยปกป้องหล่อเลี้ยงรักษาใจให้ ชุ่มเย็น ปีติอิ่มเต็ม เพียงพอบริบูรณ์ ไม่พร่อง ไม่ ทุกข์ร้อน
ถ้าใจพร่องแล้ว ต่อให้มีสมบตเป็นโกฏิ ใจก็ ยังหิว ยังยากจน เหมือนเรื่องหนึ่ง สมัยที่เงินหนึ่ง ชั่งคือ 80 บาท มีค่าเท่ากับเงินเดือนนายร้อยจบใหม่ ปรากฏว่ามีเศรษฐีท่านหนึ่งรื่ารวยมาก ท่านเศรษฐี
ห่วงกังวลกับงานการธุรกิจไปหมด จนกระทั่งกินไม่ ได้นอนไม่หลับคืนหนึ่ง ขณะที่กังวลอยู่อย่างนี้ ก็มีเสียงขลุ่ย ดังขึ้น เอ๊ะ .. ใครมาเป่าขลุ่ยอยู่หน้าบ้านเรา เพราะ ดีนะ ตั้งแต่นั้น พอตกค่ำทุกวัน จะมีเสียงขลุ่ยให้ฟัง จนท่านเศรษฐีทนสงลัยไม่ได้ ต้องลงมาสำรวจดู จึงพบว่า ที่ซุ้มประดูหน้าบ้าน มีคนเข็ญใจคนหนึ่ง มาอาศัยเป็นที่พักนอน เมื่อทำอะไรเสร็จเรียบร้อย เอนตัวลงนอน ก็เอาขลุ่ยออกมาเปาอย่างมีความสุขท่านเศรษฐีก็นึกลังเวช ...ดูเอาเกิด บ้านก็ไม่มีจะอยู่ สมบัติอะไรก็ไม่มี ยังไม่รู้จักคิดขวนขวาย มานอนเป่าขลุ่ยอยู่ได้ คิดอีกทีก็ดีแฮะ ....ทำให้ชีวิต เรารื่นเริงขึ้น ท่านเศรษฐีจึงตกรางวัลคนเข็ญใจ โดยเอาเงินมาให้หนึ่งชั่ง เออ... เป็นค่าจ้างเป่าขลุ่ย ให้ฟังทุกคืนๆคืนรุ่งขึ้น ปรากฏเงียบ ไม่มีเสียงขลุ่ย ท่าน เศรษฐีนึก อุตส่าห์ให้เงินไปชั่งหนึ่ง นึกว่าจะเป่าขลุ่ย ให้ฟังทุกคืน นี่คงหนีไปไหนแล้ว คืนที่สองก็เงียบ อีก คืนที่สามท่านเศรษรีทนไม่ได้ ด้อมไปดที่ซุ้มประตูบ้าน อ้าว ... เจ้าคนเข็ญใจก็ยังอยู่ แต่วุ่นกังวล ไม่เป็นอันกินอันนอน เพราะเงิน 1 ชั่งของท่านเศรษฐีตอนแรกก็ขุดดินข้างๆ ซุ้มประตูฝังเอาไว้แล้วมานอน นอนไปสักครู่ก็สะดุ้ง ลุกขึ้นไปขุดหาว่า เงิน 1 ชั่งยังอยู่หรือเปล่า จะเอาไปฝังใหม่ก็กลัวใคร มาขุดเอาไป จึงเอาผ้าขาวม้าที่ปูนอนมาท่อ แล้ว ผูกไว้กับพุง ล้มตัวลงนอน พอลงนอน เงินคงคํ้าพุงจึงปลดออกมา ตกลงเจ้าคนเข็ญใจมีสมบติเพียง 1 ชั่ง ก็ไม่เป็นอันมีสุข เพราะห่วงกังวลไปสารพัดท่านเศรษฐีนึกขอบคุณ เริ่มแรกได้ฟังเสียง ขลุ่ย ช่วยให้ชีวิตเบิกบานขึ้น มาขณะนี้ยิ่งขอบคุณ ที่ให้ปัญญาตูสิ ...มีเงินเพียง ๑ ชั่ง ก็กังวลจนไม่เป็นอันกินอันนอนกระทั่งขลุ่ยก็ไม่ได้เปาแล้วเพราะฉะนั้น ที่เรากินไม่ได้นอนไม่หลับ ก็ทำนอง เดียวกันแหละถ้าเราวางเสีย มีกิจการอะไร ก็ทำไปให้ดีที่ สุด เดิมสติกำลังความสามารถ แล้วไม่ไปกังวล กับผล สมปัติมีได้ ก็หมดไปได้ หมดไปแล้ว เดี๋ยว เราก่อร่างสร้างตัว มันก็มีมาใหม่ได้ เป็นธรรมดา
เวลากินก็กิน ถึงเวลานอนก็นอน จะอุดมสมบูรณ์ ก็อุดมสมบูรณ์ จะวิบตก็วิบตท่านเศรษฐีเลยนึกขอบคุณเจ้าคนเข็ญใจคนนี้ ที่ทำให้พ่านได้คติธรรม มาเตือนใจตัวว่า คนเราต้องรู้จักทำใจของตัวให้พอ ถ้าใจอิ่มแล้วพอแล้ว สมบตจะมีเท่าไหร่ไม่ สำคัญเพราะใจเป็นปีติ อิ่มเติม สุขภาพใจปกติแข็งแรงไม่อย่างนั้น ใครๆ อิจฉาความสมบูรณ์พูนสุขของพ่านเศรษฐี แต่พ่านเศรษฐีกลับอนาถา เข็ญใจ เพราะมี เท่าไหร่ก็เหมือนไม่มี ซํ้าร้ายใจยัง ทุกข์กงวล แบกหามไปเสียทุกสิ่งทุกเรื่อง
ถ้าเราเอาคติของพ่านเศรษฐีมาสอนตัวเราว่า ทุกสิ่งอยู่ที่เรา ดูให้เป็น อย่ให้เป็น แล้วเราจะเย็น สบาย จะมีมากมีน้อย ก็มีอย่างชนิดที่ว่า เราได้เอา มาใช้สอย แลกเปลี่ยนเป็นความสะดวกสบาย ความ สุขตามฐานะ อย่าให้มีแล้วเรากลายเป็นช้าทาสของ มัน เหมือนที่พ่านอาจารย์เคยเปรียบเปรยว่า พวกเรา มีร่างกายแล้วก็ให้ร่างกายมาเป็นนาย เราเป็นขี้ช้า ท่านเปรียบเทียบร่างกาย ว่าเหมือนรถยนต์ รถยนต์มีไว้เพื่ออะไร เพื่อเวลาที่เราไม่สามารถเดินถึง ไปถึงที่หมายได้ทัน เราก็ใช้รถช่วยผ่อนแรง ให้ไป ถึงทีได้ ในเวลาที่มีจำกัดแค่นี้ เราก็สามารถทำกิจ ธุระได้สำเร็จแต่เราทุกวันนี้ ไม่ได้ทำอย่างนั้นกับร่างกาย เรามีรถยนต์ แต่ถึงเวลาจะเดินทาง เรากลับเสียดาย รถยนต์ เอาผ้ามาคลุมเก็บไว้ในโรงรถ แล้วตัวเองไป ยืนตากแดด ตากฝน คอยรถเมล์ ซึ่งไม่รู้ว่าจะมา หรือไม่มา เราก็เลยทำภารกิจของเราไม่ได้ ...ต้อง หาอะไรกินเสียก่อน เดี๋ยวจะหิว จะเป็นโรคกระเพาะ ...ต้องพักแล้วแหละ เดี๋ยวไม่สบาย ตกลงเรามัว แต่ห่วงหวงร่างกาย เอาร่างกายของเราคลุมผ้าเก็บ เอาไว้ แทนที่จะใช้ร่างกายเป็นพาหนะ พาให้ใจของ เราได้พินิจพจารณาสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น จนรู้เห็นตามเป็นจริง เรากลับปล่อยให้เวลาล่วงไป กลนกิน ชีวิตเราไป โดยไม่ได้ฝึกฝนตนสักอย่างชีวิตเลยไม่เกิดประโยชน์โพธผลอันใด ใจก็ยิ่ง เหลาะแหละอ่อนแอ ท้อแท้ เกียจคร้านไปเรื่อยๆ แทนที่มีฟ้ญหาอะไรจะขมีขมันแก้ปัญหาไปตามเนื้อผ้า ให้เกิดเป็นสดิปัญญา เป็นสุขภาพใจที่ปกติแข็งแรง รู้เท่าทันตามเป็นจริง กลับเหลาะแหละ ย่อหย่อน อ่อนแอ ท้อแท้ เกียจคร้าน กลายเป็นคนหนีปัญหา เกิดอะไรขึ้นก็ไม่ยอมสู้ ไม่คิดอ่านแก้ไข ไม่ทำอะไร ทำให้ใจหมดกำลัง มีแต่ความหวั่นกลัว วิตก กังวล คิดแต่จะพึ่งหมอดูหมอเดา หวังพึ่งสิ่งโน้น สิ่งนี้ สิ่ง นั้นไปเรื่อย แต่ไม่ยอมลงมือกระทำภาระหน้าที่ตาม ความเป็นจริง ตามที่ควรจะทำ
ทุกวันนี้สังคมจึงวิปริต เพราะใจของผู้คนเป็น ใจที่ไม่มืความรับผิดชอบ ไม่ ยอมที่จะช่วยตัวเอง แก้ไขสถานการณ์ให้คลี่คลายไปในทางที่ดี เมื่อดิฉัน กังเด็กอยู่ จำได้ว่า ถ้าลูกศิษย์เรียนหนังสือตรงไหน ไม่เข้าใจ คุณครูจะเรียกให้มาทำแบบฝึกทัดเพิ่มเป็น พิเศษ หรือสอนพิเศษให้เราทั้งที่ไม่ได้อะไรเป็นค่า ตอบแทน จนแน่ใจ มั่นใจว่าเรามีความรู้ในวิชานั้น ซัดแจ้งถ่องแท้ อย่างที่ดุณครูหวังว่าลูกศิษย์ควรจะ รู้ เราต้องทำการบ้าน เพราะถ้าไม่ทำ เราก็จะไม่มื ทางทราบว่าเราเข้าใจวิชานั้นๆ แน่แล้วหรือ
เด็กนักเรียนสมัยนี้ การบ้านก็ไม่ทำ หรือทำ งานผิดแล้วต้องกลับมาแก้ ก็ไม่แก้ เรียนก็ซังกะตาย
เรียนไปอย่างนั้นเอง พอเราดุว่า ... ทำไมถึงทำอย่าง นี้ เดี๋ยวสอบตกนะ เขาก็จะตอบไปคนละโลกว่า
สมัยนี้ไม่มีการสอบตกก็นแล้ว แสดงว่าความคิดเห็น ของผู้คนสมัยนี้วิปริตวิปลาสกันไปหมดแล้ว สิ่งที่เรา พาดำเนินว่าเป็นสัมมาทิฐิ เขากลับเห็นไปว่าเป็น มิจฉาทิฐิ เพราะฉะนั้นทิศทางที่ผู้คนไปกันทุกวนนี้ จึงไม่ได้ไปสู่หนทางสิ้นปัญหา แต่กลับลุยไปบนพง หนาม เตลิดเข้าป่าหลงหาไม่พบทางกลับ
ที่มาทำกิริยาเรียนหนังสือ ก็ไม่มีความรับผิด ชอบกับวิชาความรู้ ไม่ได้เรียนเพื่อรู้ให้จริง เพราะ ไม่ว่าจะทำอย่างไรๆ ก็สอบได้แล้ว นั้งๆ ที่ตัวเอง เหมือนกระป๋องกลวง ไม่มีด้นทุนคุณความรู้ใดๆ ติด อยู่ ก็พอใจ เพราะไม่เคยรู้ไม่เคยเข้าใจจุดมุ่งหมาย ในการกระทำของตัว ใครไปเดี๋ยวเข็ญเข้าหน่อย ก็ สติแตก ทำไม่ได้ จะบ้าแล้ว ... เหนื่อยแล้ว ... เพราะ อะไรดิฉันเปรียบใจเป็นเหมือนดิน ถ้าไม่เคยปีกฝน ให้หนักเอาเบาสู้ สติที่จะมาตามระลึกรู้ อยู่กับความ เป็นจริง เปรียบเหมือนน้ำ ที่มาคลุกเคล้าให้ดินเกาะเคารพนบไหว้ ก็ได้เงินจากเรา ถูกเราจ้างให้มาสอน ต่างหากที่จะรู้สึกเทิดทูนผูกพันสุดหัวใจ อย่างที่
ท่านอาจารย์พูดถึงพ่านพระอาจารย์มั่นว้า พ่อแม่ครู จารย์ คือเป็นทั้งพ่อ เป็นทั้งแม่ เป็นทั้งครูอาจารย์ เป็นพร้อมทุกอย่างในชีวิต คนสมัยนี้ไม่มีความรู้สึก อย่างนั้น ไม่เคยรู้จัก ไม่เข้าใจ
เด็กหลายคน พอเราสอนว้า ต้องเคารพพ่อ แม่ เพราะพ่อแม่ให้ชีวิตแก่เรา เขาก็สวนคำเลย ...อาจารย์พูดอะไรกัน ความเชื่ออย่างนั้นน่ะ ไดโนเสาร์เต่าล้านปีแล้ว พ่อแม่เขาสนุกกันต่างหาก เมื่อ สนุกกันแล้วเกิดผลพลอยได้ขึ้น ก็เป็นหน้าที่ถูกไหม ครับ ที่จะต้องรับผิดชอบเลี้ยงดู แทนที่จะเทินตาม เป็นจริงว่า พ่อแม่จดจ่อรอคอยจะมีลูกด้วยความรัก ความเด็มอกเต็มใจ ฟูมฟักรักถนอม หวังให้มาเป็น ตัวแทน เป็นความหวัง เป็นแก้วตาดวงใจ สารพัด ทุกสิ่งทุกอย่างเขากลับเห็นผิดเป็นชอบ คิดวิปริตไปว้า ช่วย ไม่ได้ เมื่อทำให้เราเกิดมาแล้ว ก็ต้องรับภาระดูแล เลี้ยงไป เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่พ่อแม่บังเกิดเกล้าอีก ไปแล้ว กลายเป็นสมัยลูกบังเกิดเกล้าแทน ลูก จะร้องเอาไอ้โน่น ไอ้นี่ ไอ้นั่น ไม่หยุดปาก ตาม อำเภอใจ เพราะถือสิทธิว่า ทำให้ฉันเกิดมายุ่งยาก ลำบากได้ยังไงเมื่อความคิดวิปริต โลกกิวิปริต อะไรๆ ก็ พลอยวิปริตกันไปหมด จะพูดอะไร อบรมบ่มปันอะไร กิเลยไม่ได้เรื่องได้ราวเหมือนบ่มผลไม้ด้วยแก๊สหวานก็ไม่หวาน อร่อยก็ไม่อร่อย รสชาติพิลึกพินั่นถ้าจดจ่อเพ่งดูที่ตรงนี้ จะแก้อะไรทั้งหมด ต้องมาแก้กันที่ใจก่อน เรามาอบรมบ่มใจเราเป็นเรื่องแรก เพราะเราต้องรับผิดชอบตัวเราก่อน การ จะไปอบรมบ่มปั้นคนอื่นนั้น เราต้องสอนด้วยการ ทำให้ดูเป็นติวอย่าง คืออบรมบ่มปั้นตัวของเรา จน กระทั่งคนใกล้ชิด ลูกเต้า พี่น้องเพื่อนฝูงสังเกตเห็น เกิดศรัทธา เกิดความรู้สึกทึ่งขึ้นมา นั่นแหละเขาจึง จะเป็ดใจของเขาให้เราไปบ่มปันไต้ ถึงตรงนั้นจึงจะ ประสบความสำเร็จได้การอบรมบ่มปันคนนั้นใช้เวลาชั่วชีวิต ถ้าเรา จะปลูกหญ้า ใช้เวลาอาทิตย์เดียวก็ปลูกขึ้นแล้ว ปลูก ข้าวใช้เวลา 3 เดือน ปลูกต้นสักใช้เวลาเป็นสิบๆ ปี แต่ปลูกคน ต้องใช้เวลาชั่วอายุขัย คือนับเป็นร้อยปี เพราะฉะนั้น ถ้าหวังจะให้คนมีคุณภาพ เราเริ่มฝึกตั้งแต่วันนี้แล้ว ไม่ใช่ว่าพรุ่งนี้จะได้ผล ไม่รู้ว่าทำ แล้วจะไต้ผลหรือเปล่าการกระทำใดๆ ให้มุ่งประกอบแต่เหตุ อย่า ชัดส่ายใจไปหวังที่ผล ถ้าไม่เริ่มต้นหว่านเม็ดพันธุ์ พากเพียรพยายามกันเสียแต่วันนี้ เราก็ไม่รู้ว่า สังคมของเราจะแปรเป็นสังคมอะไรไป ทุกวันนี้ มี คนเกิดมากขึ้น จำนวนประชากรล้นโลก หลายๆ คน สงสัย ... ไหนว่าใจไม่มีการเพิ่มจำนวน แล้วทำไม จำนวนคนถึงเพิ่มขึ้นๆ จนล้นโลกล่ะท่านพระอาจารย์สิงห์ทองเคยอธิบายว่า ใจ ของสิ่งมีชีวิตนั้น ไม่ไต้หมายความว่า ถ้าเกิดเป็น คนแล้ว ก็จะไต้เกิดเป็นคนตลอดไปสิ่งม็ชีวิตที่มีใจครองอยู่ จะอยู่ในภพภูมีที่สวมเสื้อผ้าเป็นสัตว์ หรือเป็นคนก็ตามธรรมชาติของใจในร่างเหล่านั้น
จะเป็นธาตุเดียวเสมอกัน คือ เป็นใจรู้ ตื่น เบิกบาน เหมือนกันทั้งนั้นธาตุรู้ไม่ว่าจะอยู่ในภพภูมิสัตว์ ภพภูมิของ คน หรือของกายละเอียด ที่เป็นเทวดาเป็นพรหม ล้วนเป็นธาตุเดียวกันที่นั้น แต่ต้นทุนบุญกุศล หรือ บาปอกุศล คือตัวมาจำแนกรูปกายให้หยาบละเอียด แตกต่างกันไป
ถ้าตอนที่ลมหายใจจะตับ ใจกำลังจะเปลี่ยน ภพภูมิ เรารักษาใจของเราให้เกาะอยู่กับบุญกุศล กับเหตุผล มิสติรักษาเป็นปัจจุบันขณะ เราก็ไต้กาย มนุษย์มาอีก แต่ทุกวันนี้ท่านผู้รู้อธบายว่า กายที่เป็นสัตว์เดรัจฉาน หาที่พอเหมาะพอเจาะไม่ไต้ เพราะ ป่าไม้ก็ถูกเบียดเบียน ถูกทำลายหมดไป ผืนนํ้าก็มี มลพิษมาทำให้เน่า ให้เสีย หรือมิเขื่อนมีสิ่งกีดขวาง ทำให้สัตว์นํ้าบางชนิดไม่สามารถก่อกำเนิดตามธรรมชาติได้ แต่กรรมเวรที่เกิดในจิตใจสัตว์เหล่านั้น ไม่ ได้ถูกยับยั้งไปด้วย เพราะฉะนั้นใจเหล่านั้นต้องแสวง หาภพภูมิเกิดตามเหตุแห่งกรรม จึงมาเกิดในภพ ภูมิของมนุษย์ แต่ใจก็ยังเป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่
เหมือนที่พระพุทธองค์ทรงจำแนกมนุษย์ตาม ภพภมิฃองใจไว้ว่า มนสสนิรโย กายเป็นมนุษย์ ใจ
เป็นสัตว์นรกมนุสสเดรัจฉาโน กายเป็นมนุษย์ ใจเป็นสัตว์ เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานนั้นมีใจที่ว่ายากสอนยาก ใจที่ยังไม่รู้เหตุรู้ผล สติไม่พัฒนาพอจะจดจำอะไร ได้ พูดวันนี้พรุ่งนั้ก็ลืมแล้ว เราก็ต้องพูดเป็นแผ่น เสียงตกร่องอยู่ตลอดไป บางทีพูดเสร็จ พอคล้อย หลังก็ลืมไปอีกแล้ว เดรัจฉาน คือ ขาดความระลึก รู้ด้วยธรรมชาติของมัน ทำให้ว่ายากสอนยากมนุสสมนุสโส กายเป็นมนุษย์ ใจเป็นมนุษย์ เพราะมีศีลธรรมรักษา มีศีล 5 เป็นเครื่องอยู่มนุสสเทโว กายเป็นมนุษย์ แต่ใจมีความสะดุ้ง ละอายบาป เกรงกลัวต่อบาป คือ มีหิริโอตตัปปะ หรืออีกนัยหนึ่ง เทวธรรม ความชั่วไม่ทำ ถึงมีใคร เห็น ไม่มีใครเห็น ที่สับ ที่แจ้ง ก็ไม่ทำ เพราะมี ความละอายใจ มีความสะดุ้งละอายต่อผิดต่อบาป เพราะใจคนเหล่านี้รู้ซึ้งแล้วว่า เราประกอบ เหตุอย่างไรไว้ ต้องไต้รับผลอย่างนั้น กรรมนี้มีผล เป็นเหมือนเงาตามตัวของเรา ใจที่รู้เห็นจนหมดข้อ สงสัย เป็นเหมือนเกราะที่รักษาเรา ให้ไม่ทำลายเบียดเบียนตัวเองแต่คนที่ยังไม่รู้ถึงขั้นนี้ คิดไปตามกิเลสเสี้ยมสอนว่า โอย .. มัวแต่กลัวผิดกลัว บาปแล้วจะอยู่รอดได้อย่างไร ในสังคมทุกวันนี้ ก็ ต้องมือใครยาวสาวได้สาวเอา ไม่ได้ด้วยเล่ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็เอาด้วยคาถา
ถ้าคิดอย่างนี้ เราขาดภูมิคุ้มกัน เราเบียด เบียนตัวเราเอง ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ครั้นอะไรเกิดขึ้นก็จะเสียใจ เพราะถึงตอนนั้นไม่ใช่จะแก้ กันได้ ถึงรู้ปั๊บ จะแก้ปั๊บ ก็ใช่ว่าจะหยุดได้มันควัน เหมือนเราหว่านเม็ดอะไรลงไป เม็ดนั้นก็งอกเป็น ต้นไม้ไปแล้ว กว่าจะรู้ ด้นก็หยั่งรากยึดไปถึงไหนๆ แล้ว เราก็จำทนวับผลของกรรมที่เกิดแล้วนั้นไปจน กว่าจะจบสิ้นจำพวกสุดท้ายคือ มนุสสอริโย ใจสามารถละสังโยชน์ คือกิเลสที่ผูกวัดคนไว้กับวัฏสงสาร เข้าสู่ ความเป็นอริยบุคคล เมื่อละสังโยชน์เช่นสักกายทิฐิ เป็นลำตับ จนหมด 10 ประการ ก็เป็นพระอรมันต์ เหมือนเจ้าชายสิทธัตถะและพระสาวก ตลอดจน ท่านผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ใจก็สามารถถึง กระแสแห่งความเป็นอริยบุคคลได้ถ้าเห็นอย่างนี้แล้ว อบรมบ่มใจของตนไป เรื่อยๆ จนกระทั่งใจรู้เห็น ละเอียดลุ่มลึกตามเป็น จริง ใจนั้นย่อมมีสิทธิ์เป็นมนุสสอริโยได้เพราะพระพุทธองค์ประทานความหวงไว้ว่าในภพภูมิของมนุษย์นี้ เรามีศักยภาพที่จะพัฒนาสติให้คมไว พอจะรักษาใจของตนให้ปลอดจากกิเลสที่จะลากจูง เราไปสู่อบายภูมิได้ถ้าปิดอบายภูมิได้ เราก็เข้ากระแสเป็นโสดาบัน คือเป็นอริยบุคคลขั้นต้น ถึงสติจะยังไม่เต็มรอบ แต่ ก็มีศักยภาพพอจะรักษาให้ใจไม่กลิ้งไปตามโลภ โกรธ หลง ถึงขั้นที่จะดึงเราไปลงนรก ก็เรียกว่าคุ้มค่าเพราะเปรียบเหมือนเรากำลงปีนป่ายขึ้นหน้าผาชน เราก็ไปถึงพื้นราบพอที่จะเดินต่อไปได้ อย่างไม่ต้อง ใจหายใจควานักการตกกระแสเป็นโสดาบัน คือการที่ใจเชื่อ เลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแน่วแน่ ไม่แสวงหาอะไรนอกพุทธศาสนา ไม่ใหลหลงในสิ่ง ที่จะทำให้เราเฉไฉออกนอกล่นอกทาง ดำรงตนมั่นคงอยู่บนอริยมรรค มีสัมมาทิฐิคือปัญญาเห็น ชอบ แล้วจึงลงมือกระทำเหตุ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ทำไปจึงเป็นกุศลทั้งนั้น เป็นเสบียงให้ใจมีหลัก มี ความอบอุ่น มีความเชื่อนั้น พึ่งตัวของตัวได้ใจก็มีความเบาสบาย ถึงยังไม่ได้ภาวนา ไม่ ได้ทำสมาธิ ใจที่ตรงไปตามมา ไม่มีที่สับที่แจ้ง ทำ ทุกอย่างด้วยนํ้าใสใจบริสุทธ ถึงปัญญายังมีไม่พอ พบในภายหลังว่า สิ่งที่ทำไปนั้นทำผิด ใจเราก็ยอม รับความผิด ไม่เก็ดความยับอายขายหน้า กลับรู้สึก ขอบคุณที่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น เพราะช่วยให้ได้รู้ว่า ตรงนี้ เรายังไม่รู้ หรือรู้ผิดๆ เราก็แก้ไขให้ถูกต้อง ตกลง เราก็ได้แทนที่อวิชชาด้วยวิชชา ใจก็สะอาดขึ้นสว่างขึ้น เบาสบายขึ้น
ใจที่มีแต่นั้าใสใจบริสุทธิ้ ไม่สะด้งกลัวว่าใคร จะมาปรับไหม ใครจะมาเห็นที่ผิด ที่บกพร่องของ ตน เพราะถ้าเห็นที่ผิด ที่บกพร่อง เราก็ขอบคุณ ที่ จะได้เปลี่ยนอวิชชาให้เป็นวิชชา ถ้าสิ่งที่ทำไปถูก ต้องแล้ว ก็ไม่ยกหู ชูหาง ไปเหยียบคอต่อใคร เรา ก็ชื่นใจ นั้นใจว่าพอจะพึ่งตนเองได้ เพราะความเห็น
ของเราเป็นเหตุผล อยู่ในมรรค เป็นเครื่องพิสูจนั้นให้ เกิดความมั่นใจในตนเอง เราก็ปฏิบัติต่อไปด้วย ความเสมอต้นเสมอปลายใจที่เสมอต้นเสมอปลายนี้ เหมือนเพ่งอยู่กับ ปัจจุบันขณะไม่กังวลว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรเพราะเชื่อว่าเม็ดที่หว่านลงไป เป็นเรื่องดีๆ ทั้งนั้น อดีตก็ไม่ไปห่วง เพราะอะไรที่เป็นความผิดความชั่ว ใจหวนดีดขึ้นมา เราแก้ไขไปตามเนื้อผ้าแล้ว ใจซึ่ง แต่ก้อนนั้น เดี๋ยวก็หดหู่ท้อถอย เดี๋ยวก็ลังเลสงสัย เดี๋ยวก็ฟ้งซ่านรำคาญใจ ค่อยหดติวสงบเข้า จน กระทั้งเป็นใจปัจจุบัน ตัวอยู่ตรงไหน ใจอยู่ตรงนั้น เมื่อตัวอยู่ตรงไหน ใจอยู่ตรงนั้น อะไรมา กระทบ ก็จะรับรู้เป็นข้อมูลคมชัด เมื่อใจได้ข้อมูลคมชัด โอกาสที่จะแก้ปัญหา ย่อมถูกต้องเที่ยงตรง อะไรที่กระทำลงไป จะเป็นกุศลผลดี ไม่ใช่ทำไปแล้ว โอย ... รู้อย่างนี้ ไม่ทำก็ดีกว่า ละล้าละลัง ไม่เชื่อมั่น ในตัวเอง เกิดความลังเลใจที่ผึเกฝนตามธรรมชาติอย่างนี้ ถึงไม่ได้ ภาวนาก็เหมือนภาวนา ถึงไม่ได้ตั้งใจทำสมาธิก็เป็นสมาธิ มีความปีติเป็นอาหารหล่อเลี้ยงใจ ทำให้ใจ ของเราใส รู้ ตื่น คมไว มีกำลัง ไม่เบียดเบียนตัว เอง ให้เดี๋ยวก็วุ่นวาย แห้งแล้ง หดหู่ กังวลตรงนี้ ตรงนั้นกินไม่ได้ นอนไม่หลับ เกิดเป็นโรคทางกายต่อไปอีก เป็นด้นว่า โรคกระเพาะ ความดันสูง หอบ หืด
การเข้าใจสภาวะชีวิตจิตใจของเราตามความ เป็นจริง จะทำให้ง่ายต่อการครองชีวิตที่ถูกต้องเที่ยง ธรรม เมื่อเราครองชีวิตถูกต้องเที่ยงธรรมแล้ว ใจ ก็ได้อาหารหล่อเลี้ยงถูกต้อง กายยังต้องการอาหาร ถูกหมู่เหล่า ต้องออกกำลังกายให้พอเพียง จึงจะ เป็นปกติแข็งแรง ไม่มีโรคกัยไข้เจ็บแล้วเหตุใดจึงไม่ดูแลเรื่องของใจกันบ้าง สุขภาพกายที่แข็งแรง แต่ใจไม่ดี ก็ไปไม่ถึงไหน อุปมา เหมือนรถชั้นเยี่ยมกำลังดี แต่คนขับไม่รู้ทาง ก็ใช้ ไม่ไต้ พังพีนาศหมด เราต้องหาคนขับที่เชี่ยวชาญ ชำนาญ ถึงรถจะไม่ดีนัก แต่ความชำนาญของคน ขับก็ทำให้รถชั้น 2 ชั้น 3 ชนะรถชั้นเยี่ยมไต้ เพราะ ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกอย่างสำเร็จไต้ด้วยใจเมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว เราจะได้ให้เวลากับ อาหารใจดูแลเลือกเฟ้น ให้ตัดสินใจทำอะไรลงไปแล้วใจเกิดความอิ่มเต็ม เบาสบาย รู้ อยู่กับปัจจุบัน เรียกว่ามีสุขวิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่ ใจได้พัก ได้ อาหารคือ ปีติ อิ่มเอบ เหตุผล สติปัญญา
ถ้าใส่ใจพยายามกันอย่างนี้ ไม่มีใจดวงไหนที่ จะดื้อด้าน จนกระทั่งปีกไม่ได้ ใจของทุกสิ่งมีชีวิต ธาตุเดิมแท้คือ รู้ ตื่น เบิกบาน อยู่แล้ว เพียงแค่เรา ปัดขี้ฝ่นสิ่งแปลกปลอม คือกิเลส ออกเท่านั้น เราก็ ยังขี้เกียจขี้คร้าน แม้แต่จะปัดขี้ฝ่น ก็ยังทำไม่ได้ .. ทำไม่ได้ ... เอาแต่ร้องโวยวายไปตอนนี้หลายคนร้องโวยวายว่า โอย ... ประเทศ เราเป็นหนี้เขาแสนๆ ล้าน แล้วใครจะไปใช้หนี้ไหว ถ้าเรามัวแต่ร้องว่า เป็นหนี้แสนๆ ล้าน ใครจะไป ใช้ไหว แต่ละวันที่ผ่านไป ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นทุกวัน ที่เป็นแสนๆ ล้าน ก็อาจเป็นสองเป็นสามแสนๆ ล้าน คราวนี้เรายิ่งแย่ใหญ่เลย
ถ้าเป็นหนี้เขาแสนๆ ล้าน เราก้มหน้าก้มตา ใช้เขาไปเต็มสติกำลังความสามารถ แสนๆ ล้านก็ ลดลง เหลือเป็นหมื่นล้าน ในที่สุดก็หมดไปได้ เพราะ อะไร เพราะถ้าเราลงมือทำจริงจงแล้ว ต้องมีทาง สำเร็จเสมอถ้าเราไม่ทำอะไรเลย นั่งงอมืองอเท้า เอาแต่ บ่น วันหนึ่งก็ต้องล้มละลาย จมตายไปกับดอกเบี้ยที่ งอกขึ้นเรื่อยๆ จนกระนั่งท่วมเงินต้น เราก็ไม่เหลือ อะไรติดตัวบุคคลจะล่วงทุกข์ไต้เพราะความเพียรถ้าใจเห็นตรงนี้แล้วเริ่มแก้ที่นิสัยของเรา ป็ญหาต่าง ๆ จะคลี่คลายไปในทางดีแน่นอนเมื่อตัวเองไปฝึกปฏิบ้ติกับท่านพระอาจารย์ สิงห์ทอง ที่วัดป่าแก้ว ช่วงหนึ่งมืผ้าป้า ซึ่งจะมีเด็ก นักเรียนมาพันกว่าคน ท่านอาจารย์เป็นห่วงว่าเด็ก ๆ จะหิว เราจะมีอะไรไว้ต้อนรับคณะผ้าป่า คุณแม่ชีก็ ตกลงว่าจะท่าข้าวต้มมัด แจกคนละ 2 มัด เพราะ ฉะนั้นจำนวนข้าวต้มมัดจะเป็นประมาณ 2,400 มัดการท่าข้าวต้มมัดจำนวนมากอย่างนี้ จะใส่สัง ถึงนึ่งย่อมไม่ทันการณ์ คุณแม่ชีจงใช้วิธีใส่ปีบ แล้ว เติมนั้าให้ท่วมมัดข้าวต้ม ต้มจนนํ้าเดือด ข้าวต้มมัด สุกทั่วกัน จึงยกลงจากไฟการทำวิธีนี้ ผู้ห่อข้าว เหนียวผัดถั่วดำหุ้มกล้วยด้วยใบตอง จะต้องห่อด้วย ความระมัดระวัง และมัดตอกให้แน่น โดยไม่ให้ใบ ตองแตก เพราะถ้าใบตองแตก หรือมัดไม่แน่น นํ้า เข้าไปได้ ข้าวต้มมัดที่ควรจะนุ่มเหนียว จะกลายเป็น ข้าวต้มแฉะเปื่อย เสียซื่อเสียง หมดสิมือการห่อใบตองที่บางใบก็แข็งกรอบ เราไม่ทัน ระวัง พอพับกลีบก็แตกแล้ว คุณแม่ชีก็ดุ ทุกคนเลยขยาด บุญกุศลก็ไม่อยากได้แล้วต่างคนต่างอ้างว่าจะเร่งทำความเพียร นั่นคือวิธีเลี่ยงไม่มาช่วย ในครัวท่านอาจารย์เลยดุให้ว่า การปลีกตัวไปเร่งทำ ความเพียรในยามที่ทุกคนเหนื่อยยากอย่างนี้ ไม่เรียก ว่าเร่งความเพียรหรอก เรียกเร่งสะสมกิเลสต่างหากท่านชี้แจงว่า คนเราจะปฏิบัติขัดเกลาใจ ซึ่ง เป็นของละเอียดยิ่งนักให้ดีพร้อม ต้องเริ่มจากมรรค หยาบก่อน คือ งานการทางโลก เวลาที่คนอยู่ด้วย ทันทุกข์เดือดร้อน เพราะเกิดปัญหาที่ไม่ได้คิดฝัน แล้วเราก็ดีดตัวไป ไม่ร่วมรับผิดรับชอบ ปลีกเอาตัว รอดไปคนเดียว แบบนั่นเรียกว่าคนเห็นแก่ตัวถ้าเห็นแก่ตัวอย่างนี้ พอไปนั่งภาวนาทำมรรค ละเอียด ก็เป็นภาวนาสะสมกิเลส แทนที่จะภาวนา เพื่อให้มีใจเมตตา เอื้อเพื่อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น กลายเป็น ภาวนาว่าเจ้าประคุณ ... ฉันมาปฏิบ้ติแล้ว ให้ฉันได้ โน้น ได้นี้ ได้นั้น ท่านเรียกภาวนาด้วยความโลภ เรียกว่า พุทธพาณิชย์ ไม่ได้เรียกว่าภาวนา อย่างที่ พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนดิฉันก็ประทับใจกับคำนี้ อ้อ ... เราต้องเริ่ม ต้นที่มรรคหยาบ เวลาทำอะไร เกี่ยวข้องกับสังคม เพื่อนฝูง เราต้องมีนํ้าใจ รับผิดชอบ เอื้อเพื่อเผื่อแผ่ ครั้งนั้น ดิฉันนั่งท่อข้าวต้มมัด เริ่มตั้งแต่กิน ข้าวเข้าเสร็จ ไปช่วยคุณแม่ชีท่อจนกระทั่งถึง 5 ทุ่ม 2 ยาม คนมีหน้าที่ต้มก็ต้มไป คนมีหน้าที่มัดก็มัด ไป เรามีหน้าที่เอาสติไว้กับมือที่จับใบตองท่อ เผลอ สติทีไร ใบตองแตก กรีอบ ...ก็โดนดุทันที เราก็ เตือนตัวเอง เออดี ... นี่แหละ เราชอบเผลอสติ เพราะฉะนั้น ตรงนี้แหละ ถ้ามีสติ เราก็ทำให้ใบตองไม่แตกได้ สติก็จดจ่อมั่นขึ้น แล้วก็จริง ใบตอง ก็ไฝแตก เราก็มีความเชื่อมั่นในตัวเองขึ้น
ผลพลอยได้ คือ เสร็จจากวันนั้นแล้ว เห็น ข้าวต้มมดที่ไหน มีความรู้สึกว่า ไม่เอาแล้ว ทั้งที่ ก่อนหน้านี้ เป็นคนชอบกินข้าวต้มมีดเป็นที่สุด พอ เห็นทีไร จะนึกเห็นภาพขณะที่นั้งห่อ พร้อมที่งรู้สึก ถึงสติที่ตั้งมั้น จดจ่อ ความอยาก ความอร่อย กิเลส ที่พากินด้วยรส ด้วยความชอบ เลยเหือดหายไป ทำ ให้เข้าใจถึงการฝึกฝนตนด้วยมรรคหยาบทุกเวลา นาทีที่มีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้น แล้วเลยเข้าใจไปถึง ปฏิปทาของครูบาอาจารย์ ทำให้เกิดกำลังใจว่า เรา จะทำอะไร ถ้าเอาจริงเอาจังอย่างนี้ เราก็ทำได้ ทำ สำเร็จทุกครั้งถ้าไม่ละเลยที่จะฝึกมรรคหยาบ ทีละอัน ทีละอัน อย่างนี้เรื่อยไปจนเป็นอุปนิสัย พอคิดจะปฏิบ้ติ กิเป็นเหมือนความเคยชินขึ้นแล้ว เราจะตั้งสติจดจ่อ ดูใจของเราพอจะท้อถอย ขี้เกียจขี้คร้าน สติจะเตือนไม่ได้ .. ทำอะไรแล้ว ต้องทำให้เสร็จ ทำให้ดี ด้วย ถ้าทำเพียงให้พ้นหน้าอย่าทำเวลาปฏิบัติ บางครั้งก้เหนื่อย เดินอยู่ ก็สัก แต่ว่าเดินๆ ให้ครบตามเวลา สติก็เตือนขึ้นมา ท่านอาจารย์เคยว่า ถ้าสักแต่ว่ามีขาก็เดินไป แต่ไม่เอา สติมาเดินด้วย หมามี 4 ขา มันเดินเร็วกว่าเราอีก จะเดินแพ้หมานะ จะมีอุบายทำนองนี้เตือนขึ้นมา ในใจ ทำให้เกิดความมุ่งมั่น พากเพียรพยายาม เมื่อสิกฝนอบรมตนอยู่เรื่อยๆ ผลที่สุดจะกลายเป็น อุปนิสัย เมื่อจะทำแล้ว ทำให้ดี ไม่เกเรเกะกะ ทำ ไปก็บ่นในใจไปเหมือนครั้งเริ่มห่อข้าวต้มมัด ...ทำไมต้องเป็นเราด้วยนะ แหม ... จริงๆ เซียว มือ ก็ห่อไป แต่ขอให้ได้บ่น .... บ่น ....บ่น ....เสร็จแล้วก็เพ้อ บ่นไปไต้สักพัก หนึ่งก็ได้สติครูบาอาจารย์ทำ นี้มีหูทิพย์นะ ขณะที่ท่านฉันข้าวต้มมัดของเราไป ไอ้เสียงบ่นของ เรา ก็คงติด แถมเข้าไปด้วย เป็นเหมือนกรวดทราย ไประคายตำคอท่านแล้ว เรายังจะบ่นบ้าอยู่ อีกหรือ ก็ค่อยๆ มี แยบคาย อุบาย มาเตือนตัวเองให้ใจ รู้ อยู่ กับตัวไปเรื่อยๆต่อไป เมื่อจะทำอะไรใจ ยอม รับว่า เออ ... เรา จะทำทั้งกายทั้งใจก็กลมเกลียวกันสงบเสงี่ยมระดมหัวทำไปด้วยกันผิดก้มแต่ก่อน คือ มือก้ทำไป แต่ใจวุ่นวาย ทะเลาะเบาะแว้งกับตัวเองเวลาที่เราไม่รู้เท่าทัน
ความจริง เราไปเพ่งโทษคนที่จะทำผ้าป่า ...เรื่อง อะไรต้องให้นักเรียนมาเป็นพ่นคน แทนที่จะคิด อนุโมทนา เด็กๆ เขาอุตส่าห์จัดก้น มาแล้วเขาชื่น ใจ ได้กินข้าวต้มมัดอร่อยฝึกคิดให้เป็นกุศลอย่างนี้ เราก็ชื่นใจไปก้มเขาทุกครั้ง แต่ใจที่เป็นกิเลสยังคิด อย่างนี้ไม่เป็น ไอ้ผีบ้า ...ทำไมต้องแห่กันมาเยอะ แยะอย่างนั้นเมื่อสติเริ่มคมไว จนทันเห์นตัวเราตามความ เป็นจริงแล้ว เราเกิดความสมเพชตัวเอง ก่อนที่จะ มาผิกปฏิบติ ใจของเรามันสารพัดพิษ น่ากลัวจริงๆ ท่านอาจารย์สอนว่า การปฏิบตินั้นต้องทำตัวเราให้ เหมือนแผ่นดิน ใครจะเหยียบจะยา ก็ไม่ไปโกรธ แค้นเขาใครจะยกย่อง เราก็ไม่ไปฟูฟ่องตามเขา ให้หนักแน่น เป็นเหมือนแผ่นดิน หรือเป็นให้เหมือน ฟองนี้าที่ถูกบีบเอานั้าออกจนแห้งหมดแล้วเขาจะ เอาไปชุกไปซอกใส่ที่ตรงไหน เราก็ไม่บุบบ้บี้ฉีกขาด เมื่อเขาเอาออกมา เราก็ฟองฟูอย่างเดิม
เราปฏิบ้ติไป ก็สังเกตตัวเองไปเออ ..
อุตส่าห์ขัดเกลาตัวเอง จนเราว่าเราเป็นฟองนํ้าแล้ว นะ วนหนึ่งท่านอาจารย์ลงมาเทศน์ เทศน์ไปท่าน ก็ให้คะแนนลูกศิษย์ไปทีละคน พอถึงเรา ท่านก็ว่า ที่ ปฏิบติมานี้ ตัวตนก็ดูยุบยอบอยู่หรอก แต่ยังไม่เป็น ฟองนํ้านะ มันเป็นสก็อตไบรห์ ใครเอามือไปกำเข้า ถลอกเลือดซิบๆ เลย เพราะเราสำรวมปาก สำรวม กายก็จริง แต่ใจยังให้ร้าย เพ่งโทษไปทั่วตักรวาล ท่านก็เปรียบเทียบให้ฟัง
แต่ตอนนั้น ยังฟังไม่เป็น ...ท่านอาจารย์ปรับ ไหมเราเกินเหตุ ... ครั้นสติดีขึ้น จึงเห็นว่ามันไม่ใช่ แค่สก็อตไบรห์นะ บางทียิ่งกว่าฝอยเหลืกขัดหม้อ หรือเชือกป่านคมที่ใข้เล่นว่าวเสียอีก เมื่อเด็กๆ เคย เล่นว่าว แล้วตำแก้วเอาไปทำป่านคม พอเผลอทีไร ก็ถูกป่านคมบาดมือตัวเอง จึงรู้รสชาติว่า ใจของ เรานั้นร้ายกาจ สารพัดพิษ ปานๆ กับป่านคมนั้น แหละ เพราะฉะนั้น ถ้าใครจะมาว่าเรา ฉันทนเธอ ไม่ได้ เขาไม่ได้ว่าเกินเหตุเกินผลเลย แต่กํอนที่สติ จะมีถึงขั้นนี้ ใครมาว่าอย่างนี้ เป็นได้ข้ามศพกันแน่
ไม่ต้องพูดกันละ
การที่เรามาพบพระพุทธศาสนา ได้มาฝึก ปฏิบัติก็เพื่ออย่างนี้ปฏิบัติเพื่อให้เห็นที่ผิด ที่บกพร่องของตัวเราเอง แล้วก็ฝึกก็ฝึนตัวของเราให้ทำแต่สิ่งที่ถูกควร ที่เป็นกุศล เป็นเสบียงแก่ตน จริงๆ แล้ว เรามีพลังที่เป็นคุณเป็นประโยชน์มากมาย มหาศาลที่จะเอามาแบ่งปันให้กันมาเกื้อหนุนสังคมให้ผาสุกร่มเย็น แต่แทนที่เราจะเอาพลังอันนี้ มาใช้ในทางสร้างสรรค์ เรากลับเอามาเชือดเฉือน เบียดเบียนตัวเอง ทำให้สูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์เราทำไปด้วยความไม่รู้ เพราะอวิชชาที่บดบัง ใจอยู่ เพราะความยึดมั่นสำคัญผิด อุปาทาน ที่เสี้ยม สอนเรา ถ้ารู้ ...ไม่มีใครทำ แต่ก่อนนั้น ดิฉันไม่ เช้าใจ เมื่อท่านอาจารย์บอกว่า จะไปว่าอะไรเขา เขายังเมาอยู่ ยังละเมออยู่ดิฉันก็โกรธ ที่ท่านไปปกป้องคนผิด ต่อมาจึงเริ่มเข้าใจเวลาที่เราถูกอวิชชาปิดบังอยู่ มันเป็นอย่าง นั้นจริงๆ คนอื่นเขาสุดจะทนกับเรา แต่ตัวเราเอง เห็นไปว่า ฉันนี้ ...ดีที่สุดเลย มันก็เหมือนละเมออย่างพ่านอาจารย์ว่าเพราะฉะนั้น เมื่อเราฝึกสติ
ให้ตามเห็นใจของเราที่ติดไป ดิ้นไป ได้เท่าทัน จน เข้าใจแล้ว เราจึงเข้าใจคนอื่น ใจของทุกสิ่งมีชีวิต เหมือนกันทั้งนั้น เป็นทำนองเดียวกับเมื่อหมอเอา ปรอทไปกัดไข้ จะเป็นใครก็ตาม ถ้าไข้ขึ้นถึงระติบ นี้แล้ว จะซักเหมือนกันทั้งนั้นกิเลสในใจคนก็เหมือนกัน ถ้าหนักหนาถึงขั้นนี้แล้ว เป็นแก้ผ้าเต้น ระบำเหมือนกันหมดติวเราไม่รู้หรอกว่า เรากำกังแก้ผ้าเต้นระบำ แต่คนอื่นที่มองเราอยู่ เขาเห็น แล้วก็ใจหายใจคว่ำ แทนถ้าเราฝึกฝนใจของเรา จนสติตามรู้เท่าทันเป็นปัจจุบัน เราจึงเห็นเรา ด้วยสภาพตามเป็นจริง อย่างที่คนอื่นเห็น แล้วจึงเกิดความละอาย เกิด ความสำรวมระกัง เราจึงเริ่มเป็นเรา ที่คนอื่นพออด พอทนเราไหว ต่อไป เราก็ทัฒนาขึ้น จนคนอื่นไม่ ต้องอดทนกับเราอีกแล้วเมื่อเราดีขึ้น จนไม่ไปเบียดเบียนใคร เราก็ เป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วไป เมื่อใจใดหมดกำกัง สิ้น หวังเพราะความทกข์ เขาเห็นเรา หรือนึกถึงเรา ใจเกิดความหวง เออ ...คนดีกิยังมือยู่นะ เลยมีกำลัง ใจ คิดจะปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้นมา คราวนี้เราก็มีแนวร่วมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โลกกิซุ่มเย็นเป็นสุขขึ้น ไม่ ใช่สิ่งเหลือบ่ากว่าแรงอะไรขอแค่ให้เราเป็นคนจริง ลงมือพัฒนาตัวเอง อย่างจริงจังและต่อเนื่องยัน ถ้าทำไปๆ เกิดรู้สึก เฟืองขึ้นมาว่า อือม์... เราพอจะเลี้ยงตัวเราได้แล้ว แหละ เว้นไปสักอาทิตย์หนึ่งจะเป็นไรไป ก็ปล่อยตัว เองให้รื่นเริงบันเทิงไป พอกสับมาทำใหม่ ใจที่ทำท่า เชื่อง อยู่ในโอวาท กลับพยศสุดๆ เลย ท่านอาจารย์ เปรียบเทียบว่าเหมือนเสือบาดเจ็บ กิเลสกิเหมือนเสือ เริ่มแรกกิเลสกลัวคน ขณะที่เราเอาจริงเอาจัง เสือ ได้กลิ่นคน ก็กระโจนหนีเข้าป่าบันไม่ทำร้ายคนแต่ถ้าเราไปทำร้ายเสือก่อน แล้วไม่ถึงตาย กลายเป็นเสือเจ็บ คราวนี้ พอบันได้กลิ่นคน สัญชาตญาณของความหวงแหนชีวิต ทำให้เสือเจ็บ ต้องกำจัดยันตรายให้สิ้นซาก คือฆ่าคนเสืยก่อน กิเลสกิเหมือนเสือเจ็บ เมื่อไรที่เราเอาบันไม่จริงไม่ จัง ฉันพอสบายแล้ว ... พักสักหน่อยก่อน พอคิด
เริ่มจะปฏิบติใหม่ ที่เคยถึงเวลานั่ง จิตถึสงบ คราว นี้กระสับกระส่าย ฟังซ่านซัดส่าย ไม่เป็นท่า เดี๋ยว ปวดตรงนั้น เจ็บตรงนี้ เวทนาทั้งจิตทั้งกายรุมสกรัม จนเรากระจุยกระเจิงมีผู้ปฏิบัติท่านหนึ่ง เล่าให้ฟังว่า ช่วงที่ท่าน ปฏิบติได้ผลดี เจริญขึ้นโดยลำดับนั้น ถึงท่านออก จากสมาธิแล้ว สติที่ยังต่อเนื่องอยู่กับใจท่าน ทำให้ ไม่ว่าท่านจะทำอะไรอยู่ มองไปทางไหน จะเห็นคน กลายเป็นโครงกระดูกไปหมด ใจของท่านไม่มีรัก ไม่ มีชัง ไม่เห็นเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เห็นเป็นแต่โครง กระลูกไปถ้วนทั่วหน้า ใจของท่านไม่เป็นอคติ พบ อะไรก็เห็นเป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตาย เสมอหน้ากันช่วงหนึ่งท่านไปหลงเอาว่า ท่านคุ้มครองตัว เองได้แล้ว ท่านเลยไม่ค่อยได้ปฏิบัติให้สมาเสมอ ประกอบกับมีการงานยุ่งเหยิงติดพัน ท่านก็งดเว้น ไป พอรู้สึกตัว เริ่มปฏิบัติใหม่ คราวนี้มันไม่เป็น โครงกระลูกแล้ว มันกลายเป็นเรา เป็นเขา มีที่รัก ที่ชัง ยุ่งว่นวายไปหมดท่านเห็นใจของท่านที่เคย
สงบสบาย เป็นเหมือนมียางเหนียวไปหนึบติดที่ ตรงนั้น ยืดย้ายจากตรงนี้ จนท่านเองก็รำคาญตัวเอง ท่านเพียรปฏิบัติจะให้ได้สมาธิเพื่อเห็นเป็นโครงกระดูกอย่างนั้นอีก ใจก็ไม่ยอมเป็นไห้มันจะ
เจ็บตรงนั้นปวดตรงนี้ มีเหตุอย่างโน้นไปเรื่อยๆนับเป็นปีๆท่านก็ยังทำไม่ได้เมื่ออายุมากขึ้น ขันธมารก็มารบกวน สุขภาพท่านทรุดโทรมลงเรื่อย ๆจนเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติเรื่องของใจนั้นละเอียดอ่อนมาก ถ้าเราทำตัว เหมือนเด็กนักเรียนที่เรียนไม่สมื่าเสมอ เรียนบ้าง เล่นบ้าง พอสอบตกเป็นเสือเจ็บแล้ว ไม่คุ้มกันเลย ถึงเราปฏิบัติต่อไปใหม่ยังไม่ได้ผลเราก็ทำให้สม่ำเสมอเอาไว้ ให้เหมือนเข้าเรียนทุกชั่วโมงตาม ตารางสอน ผลจะเป็นอย่างไร อย่าไปใส่ใจ มุ่งหน้า ทำให้ติดเป็นอุปนิสัยต่างหากช่วงหนึ่ง ดิฉันพบว่าตัวเองนั่งสมาธิแล้วมี อาการง่วงเหงาหาวนอน ท่านอาจารย์เคยบอกว่า ถ้านั่งแล้วง่วง หลับใน จะติดเป็นนิสัย กลายเป็น กรรมฐานบัวตอพอเริ่มง่วงเหงาหาวนอน เราก็เลิก แล้วไปนอนทุกที
ต่อมาเริ่มจับสังเกตว่า บางทีนั่งยังไม่ถึง 5 นาทีเลย เริ่มหาวติดๆ ยันจนนํ้าตาไหลอีกแล้ว เอ๊ะ ...นี่จะเอาอย่างไรยันนะ น่ากลัวเราเสร็จกิเลสไป แล้ว กิเลยตกลงใจว่า ถ้าจะเป็นกรรมฐานหัวตอ กิ ให้เป็นกรรมฐานหัวตอไป เพราะรู้อยู่ว่า ไม่ได้จะ นั่งเอาคุณภาพ แต่จะนั่งเพื่อจัดหลังกิเลสว่า เคย นั่งได้ครึ่งหรือหนึ่งชั่วโมง ก็จะต้องนั่งให้ได้เท่านั่น ตามกำหนดเวลา ถึงจะไม่เป็นสมาธิก็ไม่ว่ายัน เอา ยันคนละครึ่งทาง คือถ้าจะนอน กิต้องนั่งหลับ จะ ไปนอนสบายๆ เป็นไม่ได้เด็ดขาด จะมานั่นรอนไม่ ให้ได้สมาธิก็ไม่ว่ายัน เอายันคนละครึ่งทางอย่าง นี้แหละพอเราเอาจริงเอาจังอย่างนั่น ตอนแรกก็ทำ ท่าง่วง ง่วงจนกระนั่งเราเกือบจะพ่ายแพ้ ตกหลุม กิเลสไปอีก ในที่สุดก็บอก ไม่ได้ ต้องเอาให้เด็ดขาด นั่งหลับเป็นหลับ ถึงที่สุดเข้า ง่วงกิหายไป กว่าจะ รู้ว่าเราเสร็จกิเลสมาไม่รู้เท่าไรแล้ว ก็ต้องเอาจริง เอาจัง อย่างที่ท่านอาจารย์บอก ถ้าเอาแค่ตาย เราตาย แต่กิเลสไม่ตาย เราต้องเอาฟากตาย คือเกิน ตาย นั่นแหละกิเลสจึงจะตาย แต่เราไม่ตายถ้าเอาแค่ตายทีไร เราเสร็จมันทุกที ไปต่อไม่ไต้ ต้อง เอาเกินตาย คือเรียกว่าเป็นไงเป็นกัน ให้มันรู้ดำรู้ แดงไปเลยในหนังสือประว่ดิท่านพระอาจารย์ฝัน ที่แจก ในงานศพท่าน มีเล่าถึงเมื่อท่านกังเป็นพระหนุ่ม ติด ตามท่านพระอาจารย์เสาร์เข้ามากรุงเทพฯ ...พักอยู่ ที่วัดบรมนิวาส วันหนึ่ง ไปบิณฑบาตเสร็จ กำลัง เดินกลับวัด ตามท่านพระอาจารย์เสาร์มา ก็สวน กับผู้หญิงคนหนึ่ง จูงลูกเล็กๆ อายุประมาณขวบ สองขวบมาด้วยผู้หญิงไม่ทันเห็นท่านด้วยซํ้าไปเพียงแค่ว่าท่านเห็นผู้หญิงจูงลูกเล็ก ๆ ก้มหน้าก้มตา เดินสวนไปแค่นั้นเมื่อกลับถึงวัด ต่างองค์ต่างก็จัดอาหารลง บาตรของเจ้าของเท่าที่จะฉัน ท่านพระอาจารย์ฝัน พบว่า ใจท่านไม่เป็นอันอยู่กับตัวเองไปคิดถึงแต่ผู้หญิงคนนั้น มีความรู้สึกอยากได้เขา แต่ใจหนึ่งก็ ค้านว่า เขามีลูกแล้วนะ กิเลสก็กล่อมว่า ถึงจะตกนรกหมกไหม้ก็ยอมท่านก็ตกใจ จะไปกราบเรียนท่านพระอาจารย์เสาร์ ตอนนั้นก็ไม่ใช่โอกาสอันควร ท่านเลยตัดสินใจไม่ฉันจังหนเช้านั้น เอาอาหารที่ บิณฑบาตได้ไปเทรวมลงกองกลาง แล้วไปเดินจงกรมเมื่อท่านพระอาจารย์เสาร์เสรีจก็จ ท่านก็ขอ โอกาสไปเล่าถวายว่า ใจเกิดอาการอย่างนี้ๆ ขึ้นมา ท่านพระอาจารย์เสาร์ก็ถามว่า แล้วท่านคิดจะแก้ไข ตัวเองอย่างไรล่ะ ท่านก็ตอบว่า ท่านตั้งใจจะอดอาหาร เร่งความเพียร ท่านพระอาจารย์เสาร์ก็ว่าดิท่านก็ทำความเพียร เดินจงกรม นั่งสมาธิ แต่จิตใจไม่เป็นอันเดินจงกรมหรือนั่งสมาธิ เฝ้าคิด ถึงแต่ผู้หญิงคนนี้ ตั้งๆ ที่เห็นเธอจูงลูกอยู่เต็มตา กิเลสก็อังจะเอาให้ได้อยู่ท่าเดียว ท่านก็กำราบกิเลสว่าอยากบ้าก็บ้าไป ถ้าใจอังไม่สวัดจากกามราคะ ก็ไม่ออกบิณฑบาต จะเร่งความเพียร ไม่เลิกเดิน จงกรม นั่งสมาธิเต็ดขาด ถึงใจจะไม่ลงรวม จะตาย ก็ให้ตายไปในที่สุด ท่านนึกว่าท่านคงตายจริง ๆ เพราะ กระตั้งถึงวันที่ 7 ที่ท่านอดอาหาร เร่งความเพียร ใจของท่านก็ยังไม่สงบสงัดจากนิวรณ์ ท่านเดินจน ฝ่าเท้าแตกเจ็บระบมไปหมด ร่างกายกะปลกกะเปลี้ย หมดเรี่ยวแรง ทั้งอ่อนเพลียจากอดอาหาร ทั้งเจ็บ ทั้งเมื่อยเหนื่อย แต่ใจของท่านก็ยังฮึดสู้ที่จะเอาชนะ กิเลสให้จงได้ ไม่ยอมถอยทั้งที่ทั้งใจมุ่งมั่นอย่างนั้น กิเลสก็ยังแทรกเข้า มาทำให้เห็นไขว้เขวไปได้ว่า ถ้าเราจะเอาชนะกิเลส ให้ได้ เราก็ต้องสงวนร่างกายนี้เอาไว้ เพราะถ้าตาย ไปตอนนี้ เราก็ตายเปล่า แล้วสดิก็มาทำให้ท่านฉุกคิดเอาให้มันฟากตายสิน่าท่านพระอาจารย์สิงห์ทองก็เคยบอก ถ้าตาย อย่างนี้ ให้อธิษฐานช้อนไปเลยว่า เมื่อเกิดใหม่ พอ ได้เห็นแม้ชายผ้าเหลือง ไม่ว่าจะเป็นเด็กเลีกแค่ไหน ยังพูดไม่ได้ก็ตาม ขอให้ระลึกถึงการปฏิบติได้ อยากบวชเลย รีบบวชทันทีทีมโอกาส กิเลสจะได้ไม่มาย่ำยีจิตใจท่านพระอาจารย์ฝันอธิษฐานว่า ตายเป็นตาย ขอให้เราตายในผ้าเหลือง เพื่ออานิสงส์ของผ้าเหลือง คุ้มครอง ให้ใจของเรามีที่พึ่งที่พักพิง มุ่งมั่นปฏิบัติ
ต่อจนลุสุขอันเกษม ขณะที่ท่านเข้าใจว่าท่านกำลัง ตายแน่ๆ ใจวูบเหมือนเป็นลม หมดความรู้สึกไปนั้น จิตของท่านกลับลงรวมใหญ่ แล้วเลยไปรู้ว่า ชาติ ภพหนึ่งท่านกับผู้หญิงคนนี้เคยเป็นคู่ครองกัน
ท่านบอก ดูเอาเถอะ ความจำที่ว่าเคยเป็นคู่ กันมา เพียงแค่ได้เห็นเท่านั้น ใจมันเดือดร้อนทุรน ทุราย จะเอาของมันให้ได้ ถึงขั้นผิดศีล ตกตํ่าจากความเป็นสมณะ ไปตกนรกหมกไหม้ก็ยอม ถ้าไม่มี สติยับยั้งเอาไว้ ผลุนผลันสึกออกมา แล้วผู้หญิงบอก ไอ้บ้า ฉันไม่ยุ่งไม่เกี่ยวด้วยลักหน่อย ก็อาจหน้ามืด ฆ่าเขาได้ หรืออาจจะทำอะไรที่หนักหนาสาหัสยิ่ง ไปกว่านี้อีกก็ได้ท่านผู้รู้ถึงบอกว่า ถ้าเราไม่รู้ให้เท่าหันใจของ เรา ไม่ฝึกไม่ฝืนมันอย่างเด็ดเดี่ยว เราไม่มีโอกาส จะเอาพลังอันมหาศาลนี้ ไปใข้ให้เกิดเป็นคุณเป็นประโยชน์ มืแต่กิเลสจะฉุดลากเอาเราไปตกอยู่ในทุคติภูมิแล้วพลังนี้ก็เลยกลายเป็นพลังเพื่อเบียดเบียนทำลายล้างกันเมื่อได้ยินได้ฟังอย่างนี้ เราค่อยมีกำลังขึ้น ค่อยยอมรับว่า ที่เราต้องเกิดมาในยุคบ้านเมืองเป็น อย่างนี้ ต้องมีเหตุ อย่าไปคิดถามหาเลยว่า ใครเป็น สาเหตุ แต่ในฐานะที่เราต้องมีส่วนร่วมอยู่ด้วย เรา กิรับผิดชอบทำส่วนของเรา ให้เต็มสติกำลังความ สามารถเหมือนเราลงเรือลำเดียวกัน ตอนลงเราก็ว่าเราเลือกดีแล้ว แต่ทำไมเรือเกิดรั่วขึ้นมาถ้าเรามัวจะมาหากันว่า คนไหนที่ทำเรือรั่ว ต้องมาจัด การปะเรือให้หายรั่ว ทุกคนคงตายเปล่าถ้าเรามีชัน กิเอามายารอยรั่ว มีอะไรจะวิด นํ้าออกกิช่วยกันวิดนํ้า หรือมีสิพายดีกช่วยกันพาย เพื่อทำให้เรือไปถึงจุดหมายปลายทางได้ โดยไม่ล่ม สลายไปเสียก่อนอะไรที่จะแก้ไขสิ่งผิดพลาด เป็นเหตุผลเป็นธรรมถูกต้อง อย่ามัวเกี่ยงงอน อุปมา เหมือนมีคนไข้ถูกธนูอาบยาพิษมา แทนที่เราจะเอา ยาถอนพิษพอกให้คนไข้ เรากลับไปซักถามว่า คุณ ไปอยู่ตรงไหนให้ถูกเขายิง ลูกธนูทำมาจากไม้อะไร พอดีคนไข้เลยตายเสียก่อน ถึงยาเราจะดีวิเศษแค่ ไหนก็ตาม
มีเรื่องเล่ากันว่า คนไข้ผ่าตัดตา หลังผ่าตัด เสร็จ ต้องระวังไม่ให้คนไข้ท้องผูก จาม หรือไอ เพราะอาการเหล่านี้จะทำให้ความดันในลูกตาสูงขึ้น จนมีเลือดซึมออกมา ถึงหมอผ่าตัดจะแมือดีอย่างไร ก็ตาม ผลก็คือคนไข้ตาบอดคนไข้ผ่าตัดตารายหนึ่งแพทย์ฝึกหัดลืมสั่งยา ระบายหลังผ่าตัด ผลคือคนไข้ตาบอดเพราะท้องผูก เลยมีคำล้อกันว่า การผ่าตัดครั้งนี้ประสบความสำเร็จเยี่ยมยอดแต่คนไข้ตาบอดตาบอดนี้ไม่ใช่ความผิดความบกพร่องของ หมอผ่าตัด แต่เป็นเพราะลูกน้องไม่รอบคอบ ลืมสั่งยาระบายบางครั้งเราก็เรือล่มเมื่อจอด เพราะมัวแต่ ห่วงกิจกรรมใหญ่กัน จนลืมของนิดๆ หน่อยๆ ซึ่งกัน ที่จริงแล้ว ก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันเราอย่าไปมองผ่านของนิดๆ หน่อยๆ หัดไว้ ให้เป็นอุปนิสัยถ้าเผลอตรงนี้แล้ว ภูมิคุ้มกันของเราจะเสื่อมสลายไป ถึงจะมีต้นทุนบุญกุศลแค่ไหน รํ่ารวยเท่าไร ถ้าขาดปัญญาเห็นชอบ ก็ล้มละลาย ได้ คือล้มละลายจากความเป็นมนุษย์ ล้มละลายได้ ง่ายๆ เพียงแค่เราทอดทิ้งศีลไปเสียสมัยนี้เราไปเห็นผิดเป็นชอบว่า ศีลไม่ใช่ของ สสักสำคัญ ถ้าเราไม่เห็นคุณประโยชน์ของศีลสังคมจะระสาระสายแค่ไหน ลูกเขาเมียใคร เรานึกอยาก จะเอา เราก็เอาโดยพลการ สังคมคงระสาระสายไป หมด เมื่อผิดศีลข้อนี้แล้ว เรื่องพูดจริงไม่มีเหลืออยู่ เลย คอยสับหลีกรางให้ดี เพราะฉะนั้น พูดอะไรก็ พูดไปได้เรื่อยๆ ไม่หลงเหลือความจริงพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ถ้าใครคนใดสามารถ พูดปดได้ทั้งที่รู้อยู่ ไม่มีความชั่วอะไรอีกแล้ว ที่ตถาคตกล้ารับรองว่าคนๆ นี้จะไม่ทำ เพียงแค่พูด ปดอย่างเดียว พระพุทธองค์ปรับไหมไว้รุนแรงถึง ปานฉะนี้ถ้าพูดปดได้ทั้งๆ ที่รู้ อย่ามารับรองว่าคนๆ นี้ความชั่วไม่ทำลองพูดปดได้อย่าง คนๆ นี้ล้มละลายแล้ว อย่ามาทำกิจธุระอะไรด้วยคัน ไม่เชื่อ ถืออีกแล้ว ตกลงไม่เหลือความเป็นคนอยู่แล้วศีลข้อ 3 หมดไป ไม่พูดปดก็หมดไป จะไม่ ลักขโมย ก็ไม่เหลือ เพราะลักขโมยเวลาที่ควรจะอยู่ กับครอบครัว เอาไปแบ่งปันให้ใครก็ไม่รู้ คอรัปชั่น สารพัดอยางฆ่าฟันชีวิตให้สิ้นไป ถึงไม่ฆ่าฟันให้ตายเป็น ศพๆ แต่ก็ฆ่าหัวใจกัน จนกระทั่งตายทั้งเป็นกินเหล้าเมายาไม่ต้องพูดถึง กลุ้ม... ไม่รู้จะหาทางออก อย่างไร ก็ต้องกินเหล้า ไม่เหลือแล้ว ศีล 4 ข้อ เพียงแค่ข้อเดียวก็รักษาไว้ไม่ได้
ตอนนี้ถ้าเราทุกคนเอื้อเฟื้อต่อศีล เอื้อเฟื้อต่อ จิตใจของตัว ทำอาหารที่ถูกต้องให้กินให้อยู่ มีปีติ เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงใจ ให้มีใจที่เป็นปัจจุบัน มีสุขวิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่ จะได้ไม่อนาถาเข็ญใจ อย่างน้อยก็มีบ้านพักผ่อน มีอาหารถูกสุขกักษณะ สุขภาพ ใจจะไต้แข็งแรง เป็นคนดี คนปกติ ไม่ใช่คนวิปริต วิปลาส เมื่อวิปริตวิปลาสแล้วพูดกันไม่รู้เรื่อง จะทำธุระอะไรกันได้เพราะฉะนั้น อยู่เป็นเย็นสบายนั้น ไม่ใช่อยู่ เฉพาะตัวเอง สังคมรอบข้างก็เย็นสบายไปด้วย โลก ทั้งโลกก็เย็นสบายไปด้วย ถ้าอยู่ไม่เป็น ถึงจะไปอยู่ในห้องแอร์ ถึงจะมีหิมะตกลูกเห็บตกใจก็รุ่มร้อนจนกระทั่งบ้าคลั้งสิ่งที่เอามาคุยกันวันนี้ คงพอเป็นกำกังใจ และเป็นเครื่องสะกิดใจให้เวลาที่เราท้อถอยหรือว้าวุ่นจะได้ฉุกคิด เออ... อย่าไปขันเกลียวจนกระทั่ง เกลียวมันหวาน ค่อยๆ คลายออก จะได้หยุด เบียดเบียนตัวเอง เกิดเป็นความเย็นสบายขึ้นบ้าง
พิมพ์โดย ปภัสสร มีพงษ์
แหล่งที่มา http://web.krisdika.go.th/buddha/46_yupenyensabai.pdf
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น