อย่างไรคืออุเบคขา
ชื่อผู้เขียน พญ อมรา มลิลา
วันที่ _
ณ _
อันดับที่
หมวด
อุเบกขานี้ หมายถึงสภาพจิตใจของเรา ท่านให้ เราปรับที่ใจของเรา ให้ไม่ไปยึดหวังในผลของสิ่งที่ เราได้ท่มเททำลงไป ไม่ปล่อยใจให้ไปยึดแบกหามสิ่ง ทั้งปวง จนเกิดทุกข์เดือดร้อน แต่ท่านไม่ได้บอกให้ กายของเราก็พลอยทอดธุระในภารกิจหน้าที่ไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น เรามีลูก เราก็ปลุกปั้นหวังให้ เขาเป็นดั่งใจเรา อยากให้เขาเลือกเรียนวิซาที่เราคิด ว่าดี แต่เขาไม่เห็นดีด้วย เราพยายามชักจูงทุกสิ่งทุกอันแล้ว เขาก็ยังไม่ใส่ใจลนใจ ขึ้นนจะพยายามต่อไป ก็อาจถึงขั้นแตกหักกันไปก็ได้ เราก็ต้อองวาง .1. วางใจ ของเราว่า ...เออ... เขาเป็นลูกของเราจรีงแต่ร่างกาย เท่านั้นนะ ส่วนจิตใจของเขา เป็นของเขาเองโดย สมบูรณ์แบบ เราจะไปถือสิทธบีบบังคับ จับปันให้ เขาเป็นด้งใจเราไม่ได้ แต่ก็ไมใช่ทอดธุระว่า เออ... ตัว ใครก็ตัวมัน จะไปทางไหนเชิญไปเลย เราไม่เอาเรื่อง ด้วย เพราะอุเบกขาแล้วเรายังคงพูดจาปราศรัยกับเขาเช่นปกติ เขา อยากท่าอย่างไรก็ใหัโอกาส...ลูกลองท่าให้แม่ดูสิ ... เคยคิดบ้างหรือเปล่าว่า เมื่อได้ท่าอย่างที่พอใจแล้ว จะมีอะไรดีขึ้นบ้างไหมระหว่างที่ยอมให้เขาทำอย่างที่ต้องการ เราก็ ยังติดตามถามไถ่ แสดงความลนใจ คือกิริยาของเรา ยังคงความเป็นแม่เป็นลูก ห่วงใย รักใคร่ ผูกพ้นต่อ กัน แต่ตั้งสติคอยกำราบใจของเราไว้ ไมให้เผลอไปบงการว่า โอ๊ย ..ของลูกไม่เข้าท่าหรอก ต้องของแม่ สิ ดีกว่า .. ตรงนี้คืออุเบกขาไมใช่เราบอก .. เออ แม่อุเบกขาแล้ว ตัวใคร ตัวมัน ลูกจะไปขึ้นเหนือลงใต้ ตกนรกที่ไหน แม่ ไม่รับรู้ด้วย ... แล้วเราก็ปั้นปึง เย็นซา หมางเมิน เพราะคั่งแค้น เลียใจ นอยใจ แต่กลบไปแปลว่า นี้ คืออุเบกขาเหมือนอย่างกับคุณแม่ท่านหนึ่ง ซึ่งมีลูกซาย คนเดียว กำลังเข้าว้ยรุ่น ท่านไม่รู้ตัวว่า ท่านหวงแหนยึดผูกพ้น อยู่กับลูกชายมากเพียงไร ล้าลูกชายพา เพื่อนผู้หญิงมาที่บ้านทีไร ก็จะมีเรื่องระหองระแหง กันทีนั้น เพื่อนผู้หญิงกี่คน กี่คนก็ไม่เป็นที่ถูกใจคุณ แม่สักรายผลที่สุดก็จบลงด้วยการเลิกลาจากกันไป มาถึงรายที่เป็นเรื่องให้นำมาเล่านี้ ผู้หญิงก็เป็นคน พอดีพองาม เพียบพรอมทั้งชาติตระกูล ฐานะ การศึกษาอบรม แต่คุณแม่ก็ยังหาเหตุมาติงว่า เก่งมาก เกินไป เพราะลูกชายมีทีท่าว่าจะเชื่อฟังผู้หญิงไป ทุกเรื่อง คือ คุณแม่พบคู่แข่งเขาแล้วแต่ก่อนคุณแม่พูดอะไร ลูกชายก็อยู่ในโอวาท มาคราวนี้ คุณแม่พยายามให้เหตุผลว่า ลูกก็ยังเรืยน ไม่จบ แม่ว่ามันเร็วเกินไปที่จะเอาตัวไปผูกมัดกับใคร คนใดโดยเฉพาะ เดี๋ยวไปพบคนที่ดีกว่า ก็จะเข้า ทำนองพบไม้งามเมื่อขวานบิ่น แล้วลูกจะทำอย่างไร แม่โมให้ลูกไปรับไปส่งเขาทุกวัน เพราะเป็นการผูกมัด ตัวเองลูกก็ว่า เขาไม่เห็นเหตุผลที่แม่มาหวงห้ามอย่าง นั้น ทำไมเพื่อนกันจะรับล่งกันไม่ได้คุณแม่ชักเหตุผลมาอ้างเท่าไร...เท่าไร...เท่าไร ก็ไม่ได้ผล แม่ก็สุดจะอดทน เลยยื่นคำขาดกับลูกว่า จนแม่อธิบายเหตุผลกระจ่างแจ้งออกอย่างนี้แล้ว ลูก ยังดึงดื้อถือรั้น แสดงว่าลูกหลงเขาหัวปักหัวปำ เห็นเขาดีกว่าแม่ที่ฟูมฟักเสี้ยงดูมา แม่เหนื่อยเต็มทนแล้ว จะอุเบกขาลูกแล้ว ลูกเลือกเอาก็แล้วกัน ถ้าอยาก
คบกับเขาต่อไปโดยไม่ฟังความแม่ ก็ไปเลยจะไป ไหนก็เชิญไปตามใจชอบเลย แล้วไม่ต้องกลับมาใท้ แม่เห็นหนาอีกแล้ว เพราะเห็นกันแล้ว จิตใจแม่ไม่ อุเบกขา แต่ถ้ายังรักใคร่ เป็นลูกกันอยู่ ก็ต้องเชื่อฟัง ทำตามที่แม่บอกเธอมาเล่าใหัดฉันฟังว่า นี่..นี่ฉันปฎิปัตอุเบกขา กับลูกแล้วนะดิฉันประท้วงว่า “ขอโทษเถอะ คุณไม่ได้ปฏิบัติ อุเบกขาหรอก คุณปฏิบัติการออกคำสั่ง บีบบังคับลูก ว่า...เจ้าจงทำตามกิเลสของฉันนะ...”เธอก็ไม่เห็น คงยืนยันว่า ฉันอุเบกขาจริงๆ นะ ลูกทั้งคนฉันสู้ตัดใจ ก็พระพุทธเล้าทรงสอนแล้ว เรา ให้แต่ร่างกายเขา แต่จิตใจเขาเป็นใครเราก็ไม่รู้เวลาที่กิเลสเต็มอยู่ในหัวใจเรา เราเอาธัมมะ ของพระพุทธเล้ามาแปลตามกิเลสของเรา เหมือนคัง ที่ท่านอาจารย์พระมหาบัวเคยเปรียบเทียบว่า ธัมมะ ของพระพุทธเล้าเมื่อแรกออกจากพระโอษฐ์ของ ท่านนั้น เหมือนเครื่องต้นของพระเล้าแผ่นดินที่ชาว ท้องเครื่องทำอย่างดิ คัดใสในภาชนะทองคำ เป็นอาหารประณีตดีวิเคษ แต่เมื่อถูกชำระรวบรวมมา เป็นพระไตรปิฎก ครั้งแรกที่อรหันตสาวกเป็นผู้ชำระ ธัมมะนั้นก็ยังเป็นของเสวยประณีตดีวิเศษอยู่ครั้นต่อๆ มา ผู้ชำระหาใช่อรหันต์ กิเลสที่มี อยู่ในใจของท่านเหล่านี้ ทำให้ทั้งที่ไม่มีเจตนาจะ บิดเบือน แต่ที่สุดของสติปัญญาความสามารถจะเข้า ใจได้ มีอยู่เพียงแค่นั้น ก็เปรียบเหมือนผู้เชิญเครื่อง ด้นมาถือไม่ดี ทำอาหารหกจากภาชนะหล่นลงไปที่พื้น มองดู พื้นก็ละอาดดี ก็หยิบกลับมาใสในภาชนะทอง คำอย่างเดิม
เราก็เหมือนกัน เมื่อฟังธัมมะ ธัมมะนั้นก็เป็น ธัมมะ แต่เพราะใจของเราเหมือนพื้นที่มืขี้ฝ่นฃี่ผง เพราะอวิชชา อุปาทานในใจ ก็เลยปฏิรูปธัมมะไป เสียแล้ว ทำให้สิ่งที่เราเอามาประยุกต่ไข้ลูกบิดเบือน กลายเป็นเครื่องมือของกิเลสไป
ท่านอาจารย์ก็เลยว่าพวกเราว่า ...ใช่... เรา ปฏิบัติกัน ใครๆ ก็ปฏิบัติเพื่อลดละกิเลส แต่เผลอ กะพริบตาเดียว กลายเป็นปฏิบัติเพื่อสะสมกิเลสไป แล้ว เพราะฉะนั้น แต่ละคำของธัมมะที่เราเอามาใช้
พูดกันนั้นก็ถูกปฏิรูปแล้ว สุดแล้วแต่กิเลสมากกิเลส น้อยของเรา
ฉะนั้น คำว่าอุเบกขานี่ ในสถานการณ์ที่อะไร ต่อมิอะไรมันวุ่นวายอย่างทุกวันนี้ มันจึงถูกนำมาใช้ ในภาพสักษณ์ที่ผิดๆ เช่น เราหงุดหงิดไม่ได้ด้งใจ แล้ว เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เราก็ว่า เออ...เออ....เออ.... ฉันอุเบกขาแล้ว คือคิดว่าฉันจะไม่เอาธุระ แต่มัน ไมใช่อุเบกขาในความหมายของพระพุทธเจ้าเช่นกรณีของคุณแม่ท่านนี้ หากเธอจะอุเบกขา จริงแล้ว ก็ด้องพิจารณาตามคำสอนของท่านว่า ลูก ชายของเราเขาคลอดออกมาโดยเราเป็นผู้คลอดนั้น เราก็เป็นเล้าของเขาแต่รูปกาย ส่วนจิตใจของเขา รวม ทั้งมูลมรดกคือกรรมวิบากที่เขามีของเขามา เราก็ไม่ ได้ใปรู้ของเขา ใครจะมาเป็นคู่ครอง เราก็ไม่รู้
แต่เรามีส่วนที่ว่า ล้าใจของเขาเปิดรับความรัก ความเมตตาของเรา โดยเราพากเพียรใช้คุณธรรม ความดี และจึตที่เมตตาต่อเขาเป็นที่ทั้ง แล้วเพื่อน คนนี้จะไม่ท่าให้ชีวิตของเขาเจริญรุ่งเรืองจริงอย่างที่ เราคาดคิด อย่างที่สังขารจิตพาให้คิดไป หากใจที่ มุ่งมั่นและกระแสความหวังดีของเราที่มืต่อเขา มี กำลังไปทำให้เขารับทราบ เกิดแยบคายอุบาย เป็น ความยับยั้งชั่งใจ เต็มใจจะปลีกตัวออกมา ถ้าเป็น อย่างนี้ เรากิสามารถช่วยให้เขาเบี่ยงเบนวิถีของ วิบากกรรมเป็นอโหสิกรรมได้แต่ไมใช่ว่าเราไปบีบจมูกเขา ยื่นคำขาดว่า เธอ จงเลือกเอา ถ้าจะติดต่อกับเพื่อนคนนั้นต่อไปกิไป เลย ไม่ด้องกลับมาเหยียบบ้านลันอีก ซึ่งคำพูดนี้ ถ้าฟังอย่างเที่ยงธรรมแล้ว ก็จะรู้ที่เราไม่ได้อุเบกขา ตรงกันข้าม เราบีบบังลับลูกชายอย่างชัดเจน เพราะ เชื่อมั่นในอำนาจของความเป็นแม่ว่า ถ้ายื่นคำขาด อย่างนี้ ลูกจะไปไหนรอด ถ้าขัดขืน เขาก็จะกลายเป็น คนไม่มีที่อยู่ มรดกลักสตางค์หนึ่ง เธอก็ไม่ต้องมา แตะของฉันนะ เพราะฉันบอกชัดเจนแล้ว... ถ้าติดต่อ กับเพื่อนคนนั้นต่อไป เชิญออกจากบ้านไปเลยเรามองไม่เห็นกิเลสของเรา ใจที่ยึดมั่นสำคัญ ผิดดึงดื้อถือรั้นจะปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองนี้ก็ อวิชชาคือความผ่องใสอย่างยิ่ง มีเหตุผลให้ตัวเอง สบายใจว่า ลันอุเบกขา ลันไม่ไปยุ่งไปเกี่ยว เขาอยาก ติดต่อกันก็เรื่องของเขา แต่อันที่จริง ฉันวางระเบิด เวลาถอดสลักเอาไว้เริยบร้อยแล้วว่า...ไปเลย ไปแล้ว ไม่ต้องกลับมาเหยียบบ้านอีก เพราะจิตไร้สำนึกของ ฉันรู้นี่ว่า เขาจะต้องยอมโดยไม่มีข้อแม้ มีฉะนั้น เขาจะกลายเป็นคนไม่มีบ้านอยู่ ไม่มีเงินไข้ ไม่มีทุก สิ่งทุกอย่าง แล้วจะอยู่ไปอย่างไรแต่ไม่ได้เห็นไปถึงอีกแง่หนึ่งว่า ถ้าวิบากกรรม ของเรากับลูกมีมาต้วยความไม่เข้าใจกัน มุ่งทำลาย ล้างกัน การพูดอย่างนี้สามารถทำให้ความรักความ ผูกพ้นที่เขาเคยมีกับแม่ สัญชาตญาณที่เชื่อว่า เมื่อไร ที่เขามีทุกข้มีกัย แม่ย่อมเป็นที่พึ่งที่อบอุ่น ปลอดภัย และมั่นคงที่สุด แหลกสลายกระจัดกระจายไปหมดเขาคงพิศวงว่านี่แม่เราจริงๆหรือคนแปลกหบ้า ที่ไหนก็ไม่รู้
หากเขาเกิดฮึดขึ้นมาว่า “...เออ...ก็ดี เราเสิยใจ เสียแต่ตอนนี้หนเดืยว ดีกว่าอยู่ภับเขาไป อยู่...อยู่ไป แล้ว ต่อมาอีกกันหนึ่ง เขาเกิดทำกับเราอย่างนี้ขึ้นมา อีกเราก็แย่เพราะฉะนั้นไหนๆ เราก็ต้องเรียนรู้จัก ชีวิตอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องเอาอะไรเลย เอาแต่ตัวของเรา นี่แหละเป็นที่พึ่ง เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง” แล้วก็ไปเสี่ยง ดวงเอาเดิมทีเดียว เขาอาจไม่ไดีคิดจริงจังอะไรกับเพื่อน คนนี้ แต่เพราะความละเทือนใจกับกิเลสของแม่ และ เพื่อปกป็องตัวเองไม่ให้เหตุการณ์ทำนองนี้เกิดซาอีก เขาก็เลยตัดใจว่า ในเมื่อแม่เป็นคนผลักไสเราออกไป ทั้งที่เราไม่ไดอยากจะทำอย่างนี้เลย เขาก็เลยออกจาก ห้านไปจริง ๆ ทีนี้อะไรจะเกิดขึ้นใจที่เราว่ากำลังปฏิบัติ เราวางอุเบกขา เราระลึก รู้ห้างหรือเปล่าว่า อุเบกขาเป็นพรหมวิหารธรรม คือธรรมที่เป็นเครื่องอยู่ของพรหม ไม่ใช่ของปุถุชน คนหนาที่ยังเต็มไปด้วยอคติ ทำนองเดียวกับหิริโอตตัปปะเป็นเทวธรรม เมื่อไรเรามีหิริ ความละอายต่อ การทำความชั่ว โอตตัปปะ เกรงกลัวต่อความชั่ว รูปร่างกายยังเป็นมนุษย์ก็จริง แต่เรายกจิตใจของเรา ขึ้นไปเป็นเทวดาเป็นเทพแล้ว นี่เราร่างเป็นมนุษย์ แต่ สำคัญว่าจะประพฤติใหิถึงพรหม กำลังทำพรหมวิหาร แต่ความจริงนี่ เราประพฤติธรรมปฏิรูป พอลูกออกจากบานไปอย่างนั้นจริง ๆคุณแม่ก็จะทวงบุญทวงคุณ .. เสียแรงเราฟูมฟักรักใคร่เลี้ยง มาตั้งแต่ฝ่าตีนเท่าฝาหอยถ้ารู้ว่าจะมาเนรคุณอกตัญญอย่างนี้ คงไม่เลี้ยงมาถึงอย่างนี้..ใจขุ่นหมอง มีแต่อกุศลไปหมด
ถ้าไม่เอาสติจ้บดูการกระทำของตัวเองให้ถี่ถ้วน เรานึกว่าเราปฏิบัติธรรม แต่แท้ที่จริงเราปฎิบัติกิเลส แต่เติมที่ได้ยินท่านอาจารย์มหาบัวพูดว่า ระวังนะทุกคนก็อยากหลุดพ้น ทุกคนก็อยากปฏิบัติเพื่อลดละ กิเลสตั้งนั้น แต่ถ้าเราไม่ถี่ถ้วน ไม่มีสติของเจ้าของ ไห้เป็นสัมมาสติ ท่านยาว่า เวลานาทีที่ผ่านไปยิ่งทำ ให้เราขาดทุน เพราะเราภาวนาสะสมกิเลส
ติฉ้นก็สงสัยว่า มันจะสะสมได้อย่างไร ยิ่งนาน วันเข้า ดิฉันก็ค่อยเห็นชัดเจน โดยเฉพาะกบตัวเรา เอง ที่เราว่าเราปฏิบัติ...ปฏิบัตินี่ บางทีก็สะดุ้งในใจว่า เออ...หรือเราสะสมกิเลสเข้าไปด้วยความรู้เท่า ไม่ถึงการณ์อีกแจ้ว เมื่อปฏิบัติไป ปฏิบัติไป จิตใจ ของเราค่อยๆ เห็นรายละเอียดมากขึ้น ก็ทำให้ความ ระมัดระวังเพิ่มขึ้นทุกฝีก้าวแม่กระทั่งคำง่ายๆ ที่เราคิดว่าเรารู้กระจ่าง แต่ ก่อนนี้ ใครพูดถึงคำว่า อุเบกขา ดิฉันรูสิกเข้าใจ คือ ความว่างเฉย ปล่อยวาง ไม่ไปยุ่งไปเกี่ยวไปแบกไป ห้ามอะไรเอาไว้ แต่พอมาพิจารณาตอนนี้ ดิฉันไม่ แน่ใจว่า เก่าสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ของการกระทำของตัว เองนี่ คงจะเป็นปล่อยวางของกิเลสนั่นแหละ..น่า หมั่นไล้นัก หรือ...เหนื่อยเต็มทนแล้ว...เออ ดี เจ้าก็ลองดูสิ แล้วพอหน้าแตกก็จะได้รู้ตัวเสียบาง ความจริง เราไปหมั่นไล้เขา อาฆาตเขา ลึกๆ ลงไปในจิตไร้ สำนึกของเราเป็นอย่างนี้ มันจึงไม่ได้ปล่อยวางหรอก แต่คอยอยู่ คอยที่จะสมนี้าหน้ากับความวิบัติของเขาในกรณีที่เกิดความทุกข์เดือดร้อน เป็นวิกฤตการณ์ขึ้น แล้วจิตใจของเราเป็นอย่างนี้ อะไรจะเกิด ขึ้นกับสถานการณ์ที่เป็นปัญหานั่นการแก้ปัญหาย่อมไม่ตรงเป้า เพราะเราบริหารไปตามกิเลส ตาม อารมณ์ ด้วยสติที่รูไม่เท่าทันความเป็นจริง อะไรๆ กิไม่ดีขึ้นในฐานะที่พวกเราล้วนเป็นนักวิทยาคาสตร์ด้วย กัน ถ้ามาพิจารณาตามหลักวิทยาศาสตร์ว่า นิวเคลียส ของสารทั้งหมดทั้งปวงจะมั่นคงอยู่ได้ ปริมาณของ ประจุสะเทินกับประจุบวก คือนิวตรอนและโปรตอน ต้องมีจำนวนพอดี ถ้ามีประจุบวกเพิ่มขึ้นมา มันจะ ไม่มั่นคงและเริ่มส่งกัมมันตรังสีออกไป ซึ่งก็ตรงกับ การทดลองของนักวิทยาศาสตร์สมัยนี้ ที่หันมาศึกษา เรื่องของจิตใจ
คนเราเวลานึกคิด ความคิดถือเป็นเสียงพูดที่ เบาที่สุด มีคุณสมบัติเป็นคลื่นที่มีความถี่สูงมาก จนหูเราไม่ไดียนเสียง แต่คลื่นเหล่านี้มีพลังไปทำใหัเกิด การเปลี่ยนแปลงในบรรยากาศรอบ ๆ มีปฏิกริยากับ จิตใจของลื่งมีชีวิตที่อยูในรัศมีของคลื่นนี้ได้เขาพบต่อไปว่า เวลาจิตใจของคนเราสงบ ปรารถนาดีต่อกัน เป็นคลื่นที่สรัางสรรค์ละก็ มันจะ สะสมประจุลบไว่ในบริเวณนี้น แต่ถ้าเป็นคลื่นความ มุ่งร้ายทำลายกัน มันจะสะสมประจุบวก ซึ่งตรงกับที่ ดิฉันเล่าเมื่อกี้นี้เขาก็ทดลองต่อไป โดยใช้กระแสไพ่ฟัาแยกเอา ประจุบวกพ่นเช้าไปในกรงสุนัขที่เลี้ยงเอาไว้ สุนัขที่ อยู่กันอย่างสบายๆ อารมณ์ดี เปลี่ยนเป็นตาขวาง เข้าใส่กัน แล้วก็กัดกันชนิดเอาเป็นเอาตาย เจ้าของ ซึ่งเคยควบคุมได้ เข้าไปหาม มันก็ไม่ฟัง ซํ้ายังหัน มาทำท่าจะกัดเจ้าของอีกด้วย เขาเลยต้องถอยกลับ ออกมาผู้วิจัยเปลี่ยนขั้วเป็นแยกเอาประจุลบพ่นเข้าไป แทนประจุบวก สุนัขที่กำลังกัดกันชนิดจะต้องให้ตาย ไปข้างหนึ่ง ทำคล้ายๆ กับมีอะไรไปกระตุกให้รูลกตัว มันผละออกจากกัน สะบัดหัวคล้ายเพิ่งตื่นนอน แล้ว มองไปรอบ ๆ อย่างไม่เข้าใจว่าเมื่อครู่นี้อะไรทำให้ เกิดเหตุการณ์อย่างนั้น แล้วต่างตัวต่างก็หันหลังให้ กัน เดินไปหามุมโปรดของตัว แล้วล้มตัวลงนอน อย่างสบายอารมณ์ถ้าเราเห็นจริงดามการทดลองนี้ ขณะที่เรานึก ว่าเราปฏิบัติธรรม แต่จริงๆ ใจของเราจ่ายแจกประจุ บวกออกไปอื้ออึงเลย แล้วนึกดูเถอะว่า วิธีแถ้บัญหา ของเราจะเป็นการเพิ่มปัญหา หรือยุติบัญหากันแน่ มันทำให็จิตใจเราเองเร่าร้อน ไปก่อกวนให้คนรอบ ข้างเร่าร้อน แล้วมีปฏิกริยาที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น บัญหาถึงซ้ำซ้อนท่วมทับขึ้นมาแล้วทำอย่างไรเราถึงจะรู้ว่า ที่เราอุเบกขานี่ มันอุเบกขาจริงของพระพุทธเจ้า หรืออุเบกขาของ พระเทวทัดก้นแน่ เราก็คอยดูจากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น คนอื่นพูดเราไม่อยากฟังเพราะเชื่อตัวของตัว แต่ผล ลัพธ์ที่เกิดขึ้นมานั้นเป็นความจริงที่จะเถียง หรือจะ หลีกเลี่ยงไม่ยอมรับก็ไม่ได้ เพราะเป็นรูปธรรมที่ เห็นๆกันอยู่เมื่อเป็นอย่างนี้ เราจะได้คอยสอดล่องดูว่า ที่ปฏิบัติ ปฏิบัติก้นอยู่นี่ มันถูกจริงแล้ว หรือว่ายัง ปลอมๆ อยู่ ทุกวันนี้ ความเครียด ความเหนื่อยกับ เวลาที่ถูกจำกัดไปอย่างมาก รวมเขากับปัญหาสารพัน ในชีวิตประจำวัน ทำให้เราค่อนข้างจะอุเบกขาก้น แบบเทวทัต เพราะเราเหนื่อยล้า ไม่ไหวแล้ว ไหล่เรา ลู่เกินกว่าจะรับอะไรได้อีกแล้ว อยากจะทำเหมือนก้น แต่เมื่อคำนวณดูเวลาแล้ว คงไม่ไหว เพราะฉะนั้น ช่างมันเถอะ คือเราเริ่มบัดสวะให้พ้นๆ ตัวไป แล้ว ปลอบตัวเองว่า ฉันกำลังปฏิบัติปล่อยวาง และขณะ นั้น เราก็เชื่อว่าตัวเองปล่อยวางจริง
ถ้าจะเปรียบก็เหมือนที่ดินเรามีวัชพืช เราควร ถอนตั้งแต่มันยังเป็นต้นอ่อน เพี่อว่ารากจะไดไม่ขาด ดิดค้างอยูในดิน แต่ถ้าเห็นแล้ว...ช่างมันเถอะ เผลอ อีกหน่อย มันโตขึ้นมาเกะกะ คราวนี้เราเปลี่ยนใจ ไม่ช่างมันเถอะแล้ว จัดการถอน แต่รากก็ยังขาดล้างฝังอยู่ในดิน อีกไม่ช้าไม่นานมันได้น้ำ ได้แดด รากที่มี ชีวิตนี้นก็แตกเป็นหน่อใหม่ขึ้นมาอีก ทำให้เราต้อง เลียเวลากับสิ่งงนั้นไม่เสร็จสักที เพราะไม่ไต้แถ้ที่ สาเหตุ เพียงแต่แก้ตามอาการเป็นครั้งคราว มันก็ไม่ จบสิ้นเหมือนเรารู้ว่าคนใต้บังคับบัญซา หรือผู้เกี่ยว ช้องกับเรา ประพฤติไม่ถูกต้อง แต่เราไม่อยากไปลง โทษเขา เพราะไม่อยากมีปัญหา ราก็สัดบทกับตัวเองว่า ปล่อยวางเถอะครั้นมีหสักฐานร้องเรียนขึ้นมา เราก็ไม่จัดการให้เด็ดขาดลงไป คือแทนที่จะสืบสวน ชี้ชัดถึงความผิดแล้วลงโทษไปตามเนื้อผ้า เรากลับจับ เขาไปโวที่อื่นให้เรื่องสงบไปชั่วคราว แบบเอาแกลบ กลบเพี่อดับไฟปรากฏว่า เขาก็ไปซ่องสมผู้คนในที่ใหม่ ทำให้คนเหล่านั้นซึมซับวิธีคิดและความประพฤติผิด ๆ ไปจากเขาเมื่อเกิดปัญหาขึ้น ก็เท่ากับเราเป็นผู้ทำ ให้เรื่องง่ายกลายเป็นเรื่องยาก ปัญหาเลยยืดเยื้อ เยื้อรังไม่รู้จบปัญหาใหญ่ของทุกวันนี้คือ แต่ละคนไม่รู้หน้าที่ ความรับผิดชอบของตัวเอง แลวก็ไม่ใช้อำนาจใน หน้าที่ความรับผิดชอบของตัวเอง ตัดสินปัญหาให้ ถูกต้องตามกฎระเบียบวินัย เพราะอคติที่มีอยู่ในใจ เพราะเราไมใช่คนจริง เมื่อไมใช่คนจริง ก็เกรงว่า ถ้า เด็ดขาดลงไปแล้ว เขาจะไม่รักแต่ไม่ได็คดให้รอบคอบว่าถ้าคนพาลรักเรานี่อันตรายนะ วันนี้เขารักเพราะผลประโยชน์อันเป็น ที่พึงปรารถนาของเขา แต่ทั้งๆ ที่รัก ถ้าผลประโยชน์ ไม่เป็นที่พึงปรารถนาปุ๊บ เขาก็แทงเราได้ ก็คนพาลนี่ นะ เราไม่ทํนได็คิดอย่างนั้นเราคิดแต่เพียงว่า เราอยู่ในสังคม เราต้องการ ให้ทุกคนนิยมซมชอบเรา ต้องการคนรักมากกว่า
คนชัง เราก็ไม่จัดการตามหน้าที่ที่ควรจัดการ เพราะเข้า ใจผิดว่า การลงโทษเขาหรือไปทำอะไรนี่ เป็นการไม่ เมตตา ไม่อุเบกขา เราไปทำร้ายเขา เมื่อเป็นอย่างนี้ อคติที่อยูในจิตใจก็ทำให้การดำรงชีวิตอยู่ด้วยกันของ คนที่ยังไม่มีหลักใจนั้น มีแต่ความเดือดร้อนลับสน มี อะไรเกิดขึ้นก็ไม่รู้จะเลือกประพฤติตัวอย่างไรเหมือนสมัยที่ดีฉันสอนหนังสืออยู่ ที่คณะมี ห้องสำหรับบริการสุขภาพนักศึกษา บางครั้งที่ขาดแพทย์ประจำเขาก็ขอร้องให้ลงไปช่วยตรวจถ้ามีนักศึกษาเจ็บป่วยมา วันนั้นปรากฏว่ามีนักศึกษามาพบดิฉันเรียนอยู่ภาควิชาเคมีเขาไม่ได้เจ็บเป็นอะไร แต่ มาขอร้องให้ออกใบรับรองย้อนหลังว่าป่วยให้ เพราะ สอบเคมีไม่ผ่านเขาอ้างเหตุผลว่า ต้องพยาบาลพ่อซึ่งเจ็บหนักแล้วเพิ่งเสืยชีวิต ทำให้การเรียนของเขาไม่เติมเม็ด เติมหน่วย ถ้าเขาต้องช้ำชั้นคุณแม่และครอบครัว ของเขาจะเดือดร้อนสำบากมาก เขาจึงอยากได้ใบรับรองว่าป่วยเพี่อเอาไปให้อาจารย์เล้าของวิชาปรับ คะแนนให้ใหม่ เขาอ้างว่ามันเป็นความเป็นความตายของเขาทีเดียวดิฉันอธิบายให้เขาฟ้งว่า ถาเขามาพบก่อน ประกาศคะแนนออกมา ดิฉันมีทางช่วยหรือทำให้ อะไรดีขึ้นได้ เป็นต้นว่า ไปพบอาจารย์เจ้าของวิชา ขอมาเรียนพิเศษหรือทำอย่างไร เพื่อไห้เขามีความรู สมควรที่จะให้สอบผ่านได้แต่เมื่อผลประกาศออกไปเช่นนี้แล้ว ถ้ามีการ ช่วยปรับคะแนนให้เขา แล้วคนอื่น ๆ ที่ถูกประกาศ ว่าสอบตกด้วย จะมีการปรับให้หรือไม่ ถ้าเผื่อปรับอาจารย์เด้าของวิชาจะรูสึกอย่างไรในเมื่อผลประกาศออกไปเรียบร้อยแล้ว อยู่ดีๆ ก็มีนักศึกษามายืมมือ ดิฉันไปทำในสิ่งที่ดิฉันรู้อยู่ว่าไม่ถูกต้อง เพราะเขาไม่ ได้ป่วย เป็นการออกใบรับรองเท็จเขาก็คราครวญร้องไห้ทั้งๆ ที่เป็นผู้ชาย ตัดพ้อ ต่อว่า ...ถ้าดิฉันไม่ช่วย เขาจะไปฆ่าตัวตาย เพราะ ปัญหาครั้งนี่ใหญ่หลวงนักดิฉันก็ยืนยันว่า ถ้าเขาตัดสินใจอย่างนั้นจรืง ๆ ดิฉันก็ด้องยอมให้เขาไปฆ่าตัวตาย เพราะถ้าสมยอม กับเขา แล้วผลิตบัณฑิตคนหนึ่งที่มีจิตใจอย่างนี้ขึ้นมากว่าเขาจะหมดอายุขัย ดิฉันไม่แน่ใจว่า เขาจะเป็น ภัยกับสังคมมากกว่าจะเป็นประโยชน์แค่ไหน บัณฑิต เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่จะไปพัฒนาสังคม ประเทศ และโลกไหเจริญก้าวหน้า มีความผาสุกร่มเย็น เขา จะรับผิดชอบต่อภาระหน้าที่นี้ไดแน่หรือ ก้าเขายังไม่ ยอมเปลี่ยนใจ ดิฉันก็เต็มใจยอมรับว่า ตัวเองเป็น ความบีบคั้นให้นักศึกษาคนหนึ่งต้องไปฆ่าตัวตาย
เขาก็ว่าดิฉันใจร้ายใจดำดิฉันชี้แจงว่า ครูไม่ไดํใจรัายใจดำ คุณไปคิดดู ดีๆ ก็แล้วกัน ก้าคุณมาเป็นครู คุณจะทำอย่างที่ครู พูดให้พัง หรือทำอย่างที่คุณอยากจะทำ คุณลอง ไตร่ตรองดู ถ้าครูสงสารคุณในทางที่ผิด ปล่อยให้คุณ ไต้อย่างใจตรงนี้ คุณก็จะติดนิสัยว่า ฉันจะเอาอะไร ฉันต้องเอาใหัได้โดยไม่คำนึงถึงความผิดความถูก ต่อไปคุณจบแล้วไปทำงาน คุณมีปัญหาทำนองนี้หรือ มากกว่านี้ และคุณไม่สามารถเอาหัวชนฝาให้ทะลุไปได้ เมื่อถึงตอนนี้ คุณจะทำอย่างไร เพราะตอนนี้ แทนที่ครูจะให้ภูมิคุ้มกันกับคุณ ให้รู้จักชีวิตตามเป็น จริง ครูกลับไปทำให้คณเสียนิสัยคนเราถ้าไม่รู้จัก ความผิดความถูก ความควรความไม่ควร ไม่รู้จักเอา ชนะใจตนเองแล้ว ชีวิตย่อมมีแต่ปัญหาดิฉันก็คิดโดยรอบว่าตัวเองทำถูกแล้ว เขากลับ ไปทั้งที่ยังร้องไห้ และยืนยันว่า คุณหมอคอยฟังเถอะ มันจะต้องมีโศกนาฏกรรม เพราะผมจะไปฆ่าตัวตาย แน่ๆ ดิฉันก็ให้สติเขาว่า ล้าคุณไม่ฟังเหตุผลกัน จะเอาแต่ไจอย่างนั้น ครูก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร แต่คุณคิดดู ดีๆ นะว่า การทำอย่างนั้น ตัวคุณเองก็ทุกข์เดือด ร้อน คนรอบข้างก็ทุกข์เดือดร้อนเมื่อเขาไปแล้ว ดิฉันก็ใจไม่ดิเหมือนกัน เพราะ ถ้าเขาไปทำอย่างที่ขู่จริงๆ เราจะเป็นอย่างไร แต่เมื่อ คิดทบทวนด้วยเหตุผลแล้ว ดิฉันก็เห็นในใจของตัวเอง ว่า มีความปรารถนาดีต่อเขาเป็นที่ตั้งดิฉันก็บอกตัวเองว่า เรารับผิดชอบเขาไต้แค่นั้ เพราะฉะนั้นอย่า เอาใจไปกังวล เราต้องอุเบกขา ดิฉันก็ไม่ได้ไปนึกถึง เขาอีกอาทิตย์หนึ่งผ่านไป บังเอิญเจอเพื่อนของเขา ก็ถามว่าได้ข่าวคราวนายคนนี้บ้างไหมเขาก็บอกเขากลับบ้านต่างจังหวัดครับ ไม่ไต้ข่าวเลย ดิฉันก็สะดุ้งในใจเหมือนกันสองอาทิตย์ผ่านไป ดิฉันชักกังวลขึ้นมาอีก ก็เตือนตัวเองว่า เราตัดสินใจแล้ว กระทำเส็รจสิ้นไปแล้ว เราก็ต้องยอมรับผลการกระทำของ เรา ทำใจของเราให้อยู่กับปัจจุบัน อะไรจะเกิดก็ต้อง เกิ พออาทิตย์ที่ลาม เขาโผล่มา หน้าตาดีขึ้นแต่ก็บังโยเยว่า ผมมาคิดดูแล้ว ที่คุณหมอพูดก็มีส่วน จริงอยู่ ผมเลยยังไม่ฆ่าตัวตาย ก็โล่งใจไปเป็นอันว่า เขาต้องเรียนซ้ำขึ้น แต่เขาก็มาที่ห้อง บริการสุขภาพพบกันทีไรก็บังตัดพ้อต่อว่า ดิฉันทำให้ชีวิตเขายุ่งยาก ดิฉันก็ว่ายุ่งยากเสียแต่ต้น เพื่อ ได้นิสัยที่จะรู้จักแก้ปัญหาในจังหวะที่ยังแกได้ ไมใช่ ปล่อยจนกระทั่ง กว่าถั่วจะสุกก็งาไหม้ ซึ่งเป็นนิสัยที่น่ากลัวมากแล้วคุณจะรู้เองว่า ที่ครูสอนนี่ดีอย่างไร เขาก็ยังมองไม่เห็นเท่าไรตอนนั้น แต่ความคิด ของเราคงแทรกซึมเขาไปในชีวิตของเขาพอลมควร เพราะเขาก็บังมาแวะเวียนตอแยกับดิฉันอยู่เรื่อยๆจนจบไป หลังจากจบไปแล้ว เขาก็เขียนจดหมายมาบ้าง เมื่อทำงานนี้ได้สัก 2 ปี เขาเขียนมากราบขอบคุณ ที่ดีฉันทำให้เขาได้ฝึกแก้นิสัยซึ่งมีคุณประโยชน์กับตัวเขา อย่างมาก เพราะเขาไปมีปัญหาที่ๆ ทำงาน ทำนอง อย่างเมื่อเรียนหนังสือและเขาย้อนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งนั้น ทำให้สามารถแก้ปัญหาออกมาได้อย่างดี ทำให้เพิ่งเห็นประจักษ์ว่า ถ้าครั้งนั้น ดิฉันยอมตามที่ เขาอยาก ครั้งนี้เขาคงเอาตัวไม่รอดดิฉันเลยได้กำจังใจขึ้นมา โดยนำผลที่เกิดนั้น มาเป็นเครื่องพิสูจน์ บางครั้งกว่าผลจะปรากฏงอก ขึ้นมา มันแสนจะยาวนาน ในระหว่างรอคอย ใจเราก็แกว่งไปเหมือนกัน เพราะเราเองก็ยังไม่รู้ ต่างก็ เหมือนนักเรียนด้วยกันทั้งนั้นว่า ที่เราว่าเราทำถูกนี่ ก็ยังไม่มีคำเฉลย ไม่มีครูมาตรวจการบ้านจักทีหนึ่ง แล้วเราจะแนใจมั่นใจได้หรือเปล่าถ้าตั้งสติคอยดูใจของเรา และคอยเก็บเกี่ยว ผลอย่างที่ดิฉันเรียนให้ทราบอย่างนี้ เราก็จะได้ความ มั่นใจจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นถ้าเป็นธรรมของ
แท้ของพระพุทธเจ้าผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องได้รับความ สุขความสบายทุกฝ่าย แต่บางทีผลความสุขความ สบายอาจเกิดข้าจักหน่อย เพราะเราไปขวางกิเลสของเขาเขาเลยดิ้นตามกิเลสเราก็อย่าไปเข้าใจผิดว่า
เมื่อมันดี ทำไมเขาถึงทุกข์เดือดร้อน เขาถึงร้องห่ม ร้องไห้ เขาถึงได้มาว่าให้เราเจ็บซ้ำน้ำใจตรงนี้เรา
ต้องแยกให่ได้ แต่พอถึงที่สุด หนทางพิสูจน์มัา กาล เวลาพิสูจน์คน ทุกสิ่งจะออกมาผาสุกร่มเย็น เพราะรู้ เข้าใจ ตามเป็นจริง เราก็ซุ่มชื่นใจอุเบกขานี่เป็นเรื่องของใจ คือกิริยาอาการของ กาย เราก็ยังทำต่อไปตามโลก ซึ่งถ้าตอนนั้น ดิฉันใข้ อุเบกขาของกิเลส พอเขาขู่ว่าจะฆ่าตัวตาย ดิฉันคงยุส่งว่าเออไปเลย แล้วก็บอกกับตัวเอง ในเมื่อเรา บอกดี ๆ แล้ว ยังอยากดื้อด้านตันทุรัง ก็ให้รับผิดชอบ ตัวเองไปก็แล้วกันอีก 3 อาทิตย์เขากล้บมาบอกว่า ไปไตร่ตรอง ดูแล้ว ที่อาจารย์พูดก็เข้าทำเราก็คงเหน็บแนมว่า
อ้าว ก็ไหนเธอเป็นคนจริง เธอบอกจะฆ่าตัวตาย แล้วทำไมไม่ฆ่าเสียล่ะ เราก็คงเอานั้ามันเชื้อเพลิงราด เข้าไป แล้วเอาไม่ขึดจุดให้อีกด้วย มันก็คงไปกันยก ใหญ่เวลาที่เราจับวาระจิตของเราเองไม่ทัน เราก็ สามารถเอากิเลสไปถล่มทลายคนอื่น โดยบอกตัวเอง
ว่า นี่ฉันกำลังปฏิบัติธรรมนะ ฉันกำลังสอนให้เขารู้ว่า คนเราพูดคำไหนก็ห้องเป็นคำนั้น เพื่อเป็นคนมีสัจ- วาจา แต่จริงๆ ไมใช่ กิเลสในใจของเรา ที่อยากให้ พังกันไปข้างหนึ่ง เพราะความเจ็บใจว่า อุตส่าห์พูด อย่างดีแล้ว ก็ยังไม่เคารพเชื่อพัง ยังมาพูดจายอก ย้อนให้เราเจ็บซ้ำน้ำใจตรงนี้แหละ เป็นตรงที่เราต้องคอยระวังท่านจึงว่า ล้าสติของเรายังไม่คมเท่าพันใจของ เราอมนั้ามนต์เอาไว้ ก่อนจะพูดอะไรออกไป พัง เขาแล้วเอามาพิจารณาให้แน่แพัเสียก่อน เมื่อเห็นชัด อย่างนี้แล้ว อุเบกขาคือการที่กิริยาของเรายังห้องทำ ไปตามภาระหน้าที่ แต่ใจนั้นปล่อยวาง ไม่คาดหวัง ผลที่จะเกิดขึ้นยกตัวอย่างเช่น เราเป็นครู แล้วลูกศิษย์เราเป็นอย่างไรๆ ก็ไม่ไหวแล้ว ดุก็แล้วลงโทษก็แล้ว แต่ถ้า เขามาขอพบ เราก็ยังห้องเปิดหูรับพัง และห้องให้ เวลากับเขาอยู่ต่อไปอีกแต่ใจนี่อุเบกขาว่า ถึงพูดหมดไปชั่วโมงหรือ 2 ชั่วโมง จะเหมือนถมนั้าลายลงเหว ก็ห้องตั้งอกตั้งใจทำไปอย่างเติมที่ ดีที่สุด เพราะ อ้นนี้คือภาระหน้าที่ส่วนใจนั้นวางเฉย ไมใปหวังสักนิดหนึ่งว่า จะเปลี่ยนแปลงเขาได้ แต่ก็ตองทำเพื่อว่าจะเป็นเชื้ออยูในใจของเขา วันนี้ยังไม่เกิดผลก็จริง แต่ถ้าเมี่อไรเกิดภาวะพอเหมาะพอเจาะเหตุปัจจัยของเขาถึงตอนที่มันจะงอกชื้นมาเขาย้อนฉุกคิดได้ เออ... ครูก็ร้กหวังดีให็โอกาสเราอย่างที่สุดแล้วนะ ถ้า เราไม่ลุกชื้นช่วยตัวเองแต่ตอนนี้ใครจะช่วยเราได้มันจะไปเป็นกำลังหนุน ตอนที่เหตุปัจจัยของ เขาถึงวาระสุกงอมพอดี ซึ่งตรงนี้ เราไม่รู้ เพราะไม่ มีญาณหยั่งรู้อย่างพระพุทธเจ้า แต่เราให้ทุกอย่างเต็มที่ เตรียมเอาไว้เพื่อวาระนั้นมาถึงเขาจะได้พร้อมบริบูรณ์ด้วยสิ่งจำเป็นถ้ารู้เห็นได้อย่างนี้ เราก็จะอุเบกขาอ้นได้ด้วย คุณภาพที่ดีฃึ้นเรื่อย ๆแล้วใจของเราเองก็จะถึงซึ่งความปล่อยวาง ไม่อย่างนั้นเรานึกว่าเราปล่อยวาง แล้ว แต่เราไปผิดทิศทางคือปล่อยวางด้วยการกระทำ ส่วนใจกลับขุ่นมัว สะดุ้งผิด เป็นกังวลอยู่ว่าเขาจะเห็นเราใจร้ายใจดำหรือเปล่า
พุทธะผู้รู้ของเรานี่มันรู้1ทุกอย่างตามความเป็น จริง ทำให็จิตไร้ลำนึกสะดุ้งผิด เขาจะว่าเราใจร้ายใจ ดำกับเขาหรือเปล่า เมื่อมีความคิดอย่างนี้ขึ้นมาในใจ ก็แสดงว่า ที่เรานึกว่าเราปล่อยวาง มันไมใช่ปล่อยวาง เสียแล้วถ้าปล่อยวางจริง เมื่อใจคิดสงสัยขึ้นมา เหตุผลจะบอกว่า เราได้ให้เขาทุกสิ่งทุกอย่านแล้ว ถ้าเขาไป ค่อยๆ คิดอย่างเป็นกุศล เขาจะเห็นความปรารถนาดี ของเราว่า เราทำดีที่สุดทุกสิ่งอันแล้ว ใจก็เกิดความ สงบ ...เออ ...รอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ก็แล้วกันแต่ถ้าไม่ใช่ ใจเราจะสะดุ้งไหวหวั่นกิริยาเรา ปล่อยวางจริงแต่ใจจะแบกหามอยู่ตลอดเวลา เหมือนนิทานเซ็นเรื่องหนึ่งเล่าว่า ที่สำนักแห่งหนึ่ง ปรากฏมีนายคนหนึ่งซึ่งโง่เง่าก่อปัญหาให้เพื่อนร่วมสำนักจนเพื่อนๆ สุดจะอดจะทน เพื่อนทุกคนจึงประชุม กัน ทำหนังสือถึงอาจารย์เจ้าสำนัก ให้เลือกเอา ระหว่างศิษย์แสนโง่เจ้าปัญหาคนนี้ กับพวกเขาทั้ง หลาย ซึ่งล้วนรู้หน้าที่ความรับผิดชอบ เจ้าสำนักจะ เลือกใคร ล้าเลือกพวกเขาก็ต้องไล่ศิษย์คนนั้นออก
จากสำนักเจ้าสำนักอ่านคำร้องเรียนแล้ว ก็เรียกประชุม เพื่อชี้แจงว่า อาจารย์เห็นใจพวกเจ้าทั้งหลายว่าอึดอึด ขัดข้องใจอย่างไรบ้างอาจารย์เองก็เหมือนกันแต่เมื่อพิจารณาดูแล้ว ศิษย์แต่ละคนที่ดีๆ เหล่านี้ อาจารย์แน่ใจว่าจะคุ้มครองตัวรอด ถ้าจะออกจากที่ นี่ไปอยู่สำนักไหน อาจารย์อื่นๆ ย่อมยินดีเต็มใจรับไว้ แต่ศิษย์ใง่เซ่อนั้น อาจารย์ก็หนักใจ ล่งไปที่ไหนๆ ก็ คงไม่มืใครรับ
ในฐานะที่อาจารย์เป็นอาจารย์ มีหน้าที่รับผิด ชอบต่อศิษย์ อาจารย์จำต้องเลือกศิษย์โง่เซ่อเอาไว้ ไม่ใช่เพราะรักใคร่หรือลำเอียงอะไร แต่เพราะเป็น ภาระหน้าที่ชองอาจารย์ เมื่อเราเองก็เหลือทีจะเคี่ยวเข็ญแล้ว จะผลักไสไปให้คนอื่นทุกข์เดือดร้อน ก็เป็น การไม่สมควร ถ้าศิษย์ทั้งหลายจะโกรธอาจารย์ก็ต้อง ยอม เพราะได้ทำดีที่สุดแล้วอาจารย์ไม่สามารถบังคับใจชองศิษย์ทั้งหลาย ให้เห็นตามได้ ถึงอาจารย์จะเสียดายพวกเจ้าเพียง ไร เมื่อเป็นความสมัครใจของเจ้าที่จะทิ้งอาจารย์ไป อาจารย์ก็ต้องยินยอม เพราะนี่เป็นภาระหน้าที่ของอาจารย์ จะให้พวกเจ้าต้องมาช่วยแบกหาม มันก็ไม่ยุติธรรม เอาเถอะ อาจารย์อวยพรให้เจ้าไปประสบ ความสำเร็จรุ่งเรือง ไปอยู่ที่ไหนก็สามารถได้สิ่งดีงาม จากสำนักนั้นๆ ติดตัวไป
ปรากฎว่าศิษย์ทั้งหลายฟังแล้วก็ใจอ่อน ไม่กล้า ทั้งอาจารย์ไป เลยปรองดองกันอยู่ช่วยอาจารย์ เมื่อศิษย์ทุกคนตระหนักแล้วว่า ไมใช่อาจารย์จะให้ ท้ายศิษย์เง่เซ่อ แต่เพราะเป็นภาระหน้าที่ ทุกคนก็เลยเอื้อนั้าใจช่วยก้น ประดาศิษย์เหล่านั้นก็เกิดความ วางเฉยในใจไต้ ช่วยอาจารย์ทำหน้าที่ เมื่อใจดีแด่คลื่นที่เยือกเย็น ทำให้ศิษย์ใง่เซ่อไม่ประสาท ไม่ เครียด ก็ค่อยๆ ปรับตัว ทำตัวให้ดีขึ้นมาไต้
เมื่อใจของเราอุเบกขาแล้วการสอนการตัก เตือนที่ทำออกไปจะได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่อย่างนั้นปากเราว่าฉันวางเจ้าแล้วล่ะนะ แต่จริงๆ ใจเราไม่วาง ยังตึงเขม็งเลย เราก็ยิ่งแต่ประจุบวกไป ทิ่มแทง ทำให้เขาเหมือนหมาที่ลุกขึ้นบ้ากัดกั้นศิษย์ ที่ถูกว่างี่เง่าก็นึกไหนๆ เขาก็ด่าเราว่างี่เง่าแล้ว เพราะ
ฉะนั้นก็งี่เง่าใหสมบูรณ์แบบ เอาให้เขาผู้ฉลาดได้รู้ เสียห้างว่า มันเป็นยังไง มันก็เลยพังกันไปเลย
แต่เมื่อใจรู้จักคิดหาเหตุผล เราจะเอาอะไรกับ เขาล่ะนะ เขาก็เหมือนเด็กอายุ 2 ขวบ แล้วเราจะไป หวังให้เขารู้เหมือนเราซึ่งอายุ 20 แล้ว เป็นบัณฑิต แล้วได้อย่างไร เราก็เกิดความใจเย็น ค่อยๆ หาวิธีที่ จะทำให้เด็ก 2 ขวบรู้เรื่องกันได้ เขาเองก็เริ่มรู้ว่า เพื่อนฝูงและอาจารย์อดทนอดกลั้น มีน้ำใจกับเขา ถึงปานฉะนี้ เขาก็พยายามเรียนรู้ และตั้งใจยิ่งขึ้นใจที่เปิดเข้าหากัน เกิดความรัก ความมีนั้าใจต่อ กัน ก็เป็นพลั้งที่ทำให้เหตุการณ์ทั้งหลายคลี่คลายไปสู่ ความดีงามที่พระพุทธเล้าทรงสอนว่า เมื่อเราได้พยายาม ทุกสิ่งอันเมตตาก็แล้ว กรุณาก็แล้วมุทิตาก็แล้วยัง ไม่ประสบผลให้เราวางเฉย คือวางความยึดมั่น สำกัญผิดของเราเสีย ว่าเราไม่ลามารถเปลี่ยนแปลง เขาได้ หรือว่าเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์อันนี้ได้ ให้ เราสุภาพอ่อนห้อมถ่อมตัวของเรา ยอมรับว่าเหตุ ปัจจัยยังไม่พอเหมาะพอดี อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
ปล่อยวางอัตตาของเราเสีย ไม่ใช่ปล่อยวางภาระ หน้าที่ตรงนั้น ขณะเดี๋ยวนั้น ไมใช่ทอดธุระ ปล่อยเช้าชามเย็นชาม ถ้าอย่างนั้นทุกอย่างยิ่งตกหนักเข้าไปอีก ถ้าจะเอาคำของท่านพุทธทาสที่ว่าทำการงาน ทุกอย่างด้วยจิตว่างมาใช้ ก็คือ อะไรพอทำได้ทำไป นึกวิธีไหนออก ก็ลองนำมาทำใส่ใจพยายามหาวิธี ปรับปรุงแก็ไขเรื่อยไปแต่ไม่ได้ปล่อยใจใหไปยึดไว้ว่า ผลจะต้องได้เหมือนอย่างกับที่คิดเอาไว้เมื่อดิฉันเพิ่งกลับจากเมืองนอก ถูกลัดให้สอน นักเรียนปริญญาโท ดิฉันทุ่มเทเวลาเตรียมการสอน 30 ชั่วโมง 40 ชั่วโมง เพื่อไปบรรยาย 1 ชั่วโมง ตรง ความหวังว่า ระหว่างที่บรรยาย นักศึกษาคงสนใจตื่น เต้นตาแป๋วฟัง ที่ไหนได้ บรรยายไปก็เหมือน พูดให้ประตูหน้าต่างฟัง ประดานักศึกษานั้งเข้าภวังค์กัน ไปตามลำดับพอจบเรียบร้อย ดิฉันถามว่าจะมีคำถามไหม เงียบสนิท ดิฉันหมดลาน ตอนนั้นคิดว่า เราปล่อยวาง แต่ความจริงไมใช่พอถึงเวลาที่จะเตรียมสำหรับคราวกัดไป ในใจ ดิฉันนึกเรื่องอะไรเราจะไปเตรียมให้เหนื่อย พูดอย่างไรประตูหน้าต่างก็ไม่ได้ยินหรอกซึ่งถ้าทำอย่าง นั้นจริง ตัวเราเองขาดทุน เพราะอะไร ความที่เรา ตั้งความหวังไว้มาก เมื่อหวังไว้แล้วไม่ได้นี่ ใจส่วน ไร้สำนึกของเราก็เกิดความไม่รับผิดชอบ ทอดธุระ แต่ใจที่สำนึกระลึกรู้บอกกับตัวเองว่า ฉันอุเบกขา ซึ่ง ไมใซ่อุเบกขาที่ถูกด้อง เพราะทำใหเราขาดทุน
ล้าเราเตรียมการสอนอย่างสนใจใส่ใจ วิชา ความรู้ของเราก็แน่นขึ้น มองอะไรก็เห็นชัดเจนขึ้น แล้วใครได้ผล เราเองได้ผล เราเชื่อมั่นในความรู้ของ เรา ล้าตองไปทำเกี่ยวกับเรื่องนั้น เราก็รู้ว่า ถ้ามี ปัญหาอะไร เรามีทางพลิกแพลงแก้ไขได้ เพราะใน ใจของเราได้ฝืกซ้อมเอาไว้คล่องแคล่วแล้ว แต่เพราะ ไม่รู้เท่าทันกิเลส พอไปเจอเอานักศึกษาแบบนี้มา เป็นข้อสอบซ้อมในเราก็โวยวายว่าไม่เอาแล้ว ฉัน อุเบกขา ใครจะไปน้าอดดาหลับขับตานอนเตรียม ให้โง่เราโกงตัวเราเอง ไม่ทำภาระหน้าที่ที่สมควร ทำ แล้วอีกหน่อยเราก็จะติดนิสัยไม่รับผิดชอบ ไม่ เตรียมการสอน ไม่ติดตามวิชาการอ่านวารสาร พอ ไปฟังใครพูด ก็ฟังไม่รู้เรื่อง เพราะเรืองจากวิชาความรู้ แต่ไม่เข้าใจตัวเอง ไปเพ่งโทษผู้พูดว่าพูดภาษาอะไรก็ไม่รู้ เราก็ติดเชื้อจากน้กศึกษา ไปฟังอะไรที่ไหนก็ ไปนั่งไม่รู้ไม่ชี้ เขาเปิดโอกาสให้ซ้กไซไต่ถามก็เฉย เพราะม้ัวแต่วางอุเบกขาเสีย เราก็เลยกลายเป็นหุ่น กลวงๆ ตั้งเกะกะอยู่เปล่าๆน่าแปลกที่ตัวเราเป็นคนแรกที่จะเสืยหายจาก การกระทำเช่นนั้น แต่กิเลสมาปิดบ้งเราเอาไว้ สติไม่ คมไวเท่าทันที่จะทำให้เห็นตัวเอง ก็อย่างที่พูดมานั้น แหละไมใช่อุเบกขาแต่ธุระไมใช่ เข้าชามเย็นชาม แล้วใครเดือดร้อนกันล่ะ ก็เรานั่นแหละเดือดร้อนต่อไปเราอยากทำดี เราอยากทำถูกต้อง เราก็ ทำไม่เป็นแล้ว เพราะความชั่วนี้ฝึกง่าย ความฝึกยาก ทำความชั่วนั้นเหมือนเทนาจากภูเขา เทพรื่บ มันไหล พริบตาเดียว เกลี้ยงหมดแห้ว ถ้ามีเหวอยู่ข้างๆ ก็ ลงไปถึงกันเหว ไม่ค้างคาอยู่ที่พื้นด้วย แต่ทำความ ดืนี่ เหมือนเข็นครกชึ้นภูเขา ดีฉันเคยบ่นก้บท่าน อาจารย์ว่าให้เข็นครกชื้นภูเขาเหนื่อยจะตายท่านกลับว่า อย่าเข้าใจผิดนะถ้าคิดว่าแค่เข็นครกชึ้นภูเขา
ม้นทำไม่สำเร็จหรอก ไอ้ทำความดีนะ มันเข็นครกขน จอมปลวกดิฉันก็งง ขึ้นภูเขากับขึ้นจอมปลวกมันต่างกัน อย่างไรขึ้นภูเขานั้น พื้นภูเขายังแน่น ถาครกดันเรา ลื่นลงมา ภูเขาก็ยังช่วยยันร้ปเอาไวิให้เราทรงตัวอยู่ ได้ อ้าเข็นครกขึ้นจอมปลวกนี่ ขณะเราเหยียบขึ้น ไปบนจอมปลวก ถึงดัวเราเบาๆ จอมปลวกก็ยุบยอบ ลงไปแล้วอ้าไม่ระวัง ครกเลยทับเราแบนท่านอาจารย์ท่านมีวิธีที่จะทำให้ศิษย์เกเรแลบกับตัวเองทุกที อ้าปากพูดทีไร นึกว่าเราได้ประท้วงให้ ท่านเห็นสักหน่อยว่า ท่านร้ายกับเราเหลือเกิน ปรากฏว่าท่านตอบกสับมาเราหน้าแตกทุกที เหมือนอย่างเคยประห้วงท่านว่าใครๆ เขาว่าเข้าวัดมีความสุข เหมือนขึ้นสวรรค์ศิษย์เข้าวัดแล้วรูสกเหมือนเข้าโรง เรียนดัดสันดาน คือจะเหน็บแนมว่า ท่านเป็นผู้คุมโรงเรียนดัดสันดานท่านทำหน้าเฉยพูดเสืยงเรียบว่า แล้วศิษย์ รู้หรือเปล่าว่า โรงเรียนดัดสันดานที่จะทำให็ศิษย่ได้ ประโยชน์เต็มที่นี่ใครเป็นผู้คุม ตัวศิษย์เองนั้นแหละต้องเป็นผู้คุม เพราะถ้าอาจารย์เป็นผู้คุมก็ไม่ไต้ผล เต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนคุกตะราง ถ้ายังอาศัยผู้คุม อาศัยตำรวจอยู่ นกโทษก็ยังแอบทำความผิดได้ นักโทษก็ไม่ได้ประโยชน์ แต่ถ้าตัวเจ้าของเองเป็นผู้คุมตัวเอง ประสิทธิภาพย่อมสูงสุดเราก็ต้องเงียบอีก ที่ไปเหน็บแนมว่า ท่านยอด ทารุณโหดร้ายกับเรา กลายเป็นว่าเราจะต้องคอยเป็น โปลิสจับขโมยของเราเองนั่นเแหละ ถึงจะได้ผลจากหล้กยันนี้ที่ท่านไหไว้ ทำให้เวลามามอง อะไรถึงค่อยๆ เห็น สติค่อยคมไว เห็นตามความจริง เวลาที่เรานึกว่าเราประชดคนอื่น แต้วเขาจะได้เจ็บ แสบ ทุกข์เดือดร้อน ได้รู้ตัวเสียบ้างนี่ ตัวตนของเรา ใหญ่คับจักรวาล ครอบคลุมใจเรามืดมืดหมดแล้วก็ทวงจะให้คนเห็นว่า ฉ้นสลักสำคัญอย่างไร ทำให้เรา ตกลงไปในอวยของกิเลส ไม่ท่าหน้าที่ที่เราควรจะท่า เหมือนเรากำลังวิ่ง...วิ่ง...วิ่งชอมเพื่อจะกระโดด สูงข้ามสิ่งกีดขวาง วิ่งกำลังอยู่ตัว จะกระโดดข้ามพ้น ไปใด้กลับซะลอฝีเท้าเสีย เสร็จแต้วพอจะกระโดดข้าม ก็ไม่มีแรงพอข้ามได้ มันเป็นกันอย่างนี้ จึงทำให้เราท้อใจว่าทำไมนะเราก็ว่าเราปฏิบัติ แต่เพราะเราไม่ถี่ท้วนกับคุณภาพของการปฏิบัติเองเรา แล้วยังส่ง จิตออกนอกไปเพ่งเล็งท่านอาจารย์ท่านปฏิบัติง่ายๆ แล้วทำไมท่านขามไปได้ล่ะ ส่วนเราทำไมข้ามไม่ได้ กลายเป็นว่าท่านอาจารย์วาสนามาก เราวาสนาน้อย เห็นหรือไม่ว่า ใจที่เป็นกิเลสของเรามันทำ ให้เราอุเบกขาตรงที่ไม่ควรอุเบกขา แต่ตรงที่ควร อุเบกขาเราไม่อุเบกขา เพราะฉะนั้นทำทีไร ๆ เราทำตัวเองให้ทุกข์เดือดร้อนหนักเข้าไปทุกที แล้วก็ งุดหงิดขับข้อง ไม่เห็นที่ผิดของตัวกว่าจะมองเห็นอย่างนี้ ดิฉันก็ขวิดข้ายขวิดขวา ท่านอาจารย์มาไม่รู้เท่าไร และตลอดเวลาก็หลงว่า ตัว เองเรียบร้อย เคารพท่าน อุเบกขา แต่ท่านบอกว่า จิตของเรามันสกปรก อาฆาตแค้น เพ่งโทษคนอื่น ดิฉันก็ประท้วงว่า ดิฉันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเวลาที่เรารู้ไม่เท่าทันกิเลส มันน่าเกลียดอย่างนี้ แล้วที่แย่ที่สุดคือเราไม่ทันเห็นตัวของเราด้วย ที่ท่าน ว่าอวิชชามันปกปิดเรา เรานึกว่าเราเป็นผู้ชำนาญ แต่ คนอื่นเขาเห็นว่าเราแสนจะเชย ไม่ได้เรื่อง มันเป็น
อย่างนี้เองเมื่อเราเห็น เรายอมรับความจริงรอนี้ ใจก็ เกิดความเยือกเย็น เวลาถูกใครวิพากษ์วิจารณ์ หรือ ปรับไหมเราโดยที่ในใจของเราเห็นว่า เราไม่ได้ผิด อย่างนั้น เราไม่ได้ทำอย่างนี้น เราก็ยอมเปิดใจเรา รับฟังคำวิจารณ์ของเขาได้ เราเริ่มรู้จักฟัง เป็น ถา อุเบกขายังไม่เป็น เราจะฟังไม่เป็น ที่เรานึกว่าเรา ฟังนั้น ถ้าสติไวทันจะพบว่า ขณะที่เราทำกิริยาสงบ เสงี่ยมฟัง ในใจเราสอดว่า เฮ้อ...ทุเรศ คือเราไม่ได้ ฟังเขาเลย เราเถียงอยู่ในใจตลอด แล้วก็สะกดตัวเอง ให็ไดยืนแต่ความคิดของเราเพราะฉะนี้น พอจากเขาออกมา เขาพูดอะไรเราไม่รู้หรอก แต่เราก็ได้คำตอบเพราะเรามีคำตอบของเราที่ต้องการฟังเอา ไว้แล้ว
พออุเบกขาเป็น ใจว่าง ไมใช่น้ำชาล้นถ้วยเราก็เลยเพิ่งจับได้ว่า แต่ก่อนนั้น ปากเราบอกว่าเรา ฟังอยู่ แต่ใจเราคำรามว่า โธ่เอ๊ย...เชย...คือไม่ได้ ฟังนั่นแหละ เราก็เลยตกใจว่า ใจของเรานี้มันน่า กลัวถึงอย่างนี้ ถ้าใครมาบอกอย่างนี้ เรารับไม่ได้มือนที่ท่านอาจารย์เคยว่าดิฉัน ไหนบอกว่าเชื่อ เรื่องของกรรม ตัวเองอุเบกขา นั่นแหละนะ แช่งเขา อาจารย์เห็นอยู่ พออ้าปากก็เห็นถึงคอหอย แช่งเขา อยู่ชัด ๆ ไม่ไดิขาดคำเลย แต่ตอนนั่นดิฉันไม่เห็นหรอกว่าตัวเองแช่งเขาเหตุการณ์หมุนให้คนที่ดิฉันได้กราบเรียนท่าน อาจารย์ว่า ดิฉันเชื่อเรื่องของกรรม และวางเขาเอาไว้ แลว เกิดเซมาถึงวัดท่านอาจารย์และท่านส่งเณรมา ตามดิฉันไปพบกับเขาที่ศาลาพอพบหน้ากัน เขาก็ดีใจเล่าให้ฟังถึงว่า เขาทุกข์เดือดร้อนอย่างไรบ้างและสรุปว่า ตลอดชีวิตเขาทำแต่ความดี ปรารถนาดี ต่อคนอื่น แล้วทำไม....ทำไม เขาถึงเจอแต่ปัญหา ทุกข์เดือดร้อนไปหมดเมื่อได้ยินว่าเขาทุกข์เดือดร้อน ใจก็คิด ...เออ ...คราวนี้คงจะได้ลมตาตื่นเสียที จะได้รู้ว่า ที่ตัวเอง ทำให้คนอื่นทุกข์เดือดร้อน มันเป็นอย่างนี แต่พอฟังเขาพูดจนจบดิฉันนึกในใจ...กรรมเวร...อวิชชาคือ ความผ่องใสอย่างยิ่ง มันแสนจะน่ากลัวอย่างนี้เอง ความหวังที่จะเห็นเขาได้เห็นที่ผิดของตัวเขา เหมือน แต่ก่อนเราก็ไม่เห็นที่ผิดของเรา แล้วก็ค่อยเรียนรู้ว่า อะไรเป็นอะไร เป็นอันดับสนิท
แต่ขณะจิตแรกที่รู้ว่า เขามาเพราะมีความ ทุกข์เดือดร้อนนี่ สติของดิฉันทันเห็นวาระจิตตัวเอง ว่า เออ...ดี...จะได้รู้รสชาติเสียบ้าง พร้อมๆ กับได้ยิน เสียงท่านอาจารย์ตั้งขึ้นมาในหูว่า เราน่ะ ตั้งโครงการแช่งเขาอาฆาตพยาบาทเขา เพิ่งเห็นใจแท้ของตัว เอง เพิ่งประจ้กษ์ด้วยความตกใจว่า ใจเราเต็มไปด้วย ความอาฆาตพยาบาทเขา รอคอยกันนี้ ที่จะไดรบรู้ว่า เมื่อเขาถูกพิพากษาตามโทษานุโทษแล้ว เขาได้สติ ระลึกรู้ตัวบ้างหรือเปล่าเล่าจบแล้ว เขาก็ขอโทษที่แต่ก่อนไปคิดว่า การเข้ากัดเป็นเรื่องผิด แต่ปัดนี้ยอมรับแล้วว่าดิฉันมองการณ์ไกลขออนุโมทนาด้วย ...ผมเองน่ะอยาก ท่า แต่ก็ปังท่าอย่างหมอไม่ได้
ดิฉันยิ่งสลดสังเวชกับตัวเองเพิ่มขึ้น เขาหกังดิกับเราอนุโมทนากับการกระท่าของเรา ไม่รู้ตัวสักนิด ว่า ทุกสิ่งที่ตัวทำล้วนเป็นการก่อวินาศกรรมให้คนอื่น เดือดร้อน แต่เห็นไปว่าสิ่งที่ทำนั้นล้วนแต่เป็นคุณงาม
ความดี แล้วเราก็จิตโสโครก ไปเฝ้าคอยแช่งว่า เมื่อไร เขาจะทุกข์เดือดร้อนเพราะกรรมตามสนองจะได้ รู้ตัวเสียบาง ก็เลยคืนนั้น แผ่เมตตาเสร็จเกิดความ คิดว่า ถ้าเราสามารถเขาไปนั้งในหัวใจของแต่ละคนได้ ก็จะเห็นว่า เขาทำไปด้วยความตั้งใจดีทั้งนั้นพระพุทธเจ้าจิงทรงสอนให้แสวงหาทิศทางที่ ถูกตองเสียก่อนที่จะลงมือกระทำสิ่งใดลงไปหากขาดสัมมาทิฐิเสียแล้ว ทุกอย่างแม้จะเป็นความตั้งใจดีก็ผลิตผลเป็นความทุกข์เดือดร้อนทั้งสิ้นเหมือนกรณีนี้ เขาเดือดร้อนเพราะไม่เห็นที่ผิดของตัว ทุกข์โทมนัส เพราะเข้าใจไปว่าตัวเป็นแพะร้บบาป ผู้คนรอบข้าง เขาก็เดือดร้อนระสาระสายเพราะความรู้ผิด ๆ ของเขา
ดิฉันตั้งในใจแน่วนิ่ง แผ่เมตตาใหัเขาเป็นสุข ขอเราอย่าได้มืเวรต่อกันและกัน ขอเขาไดีโปรดอโหสิ ให้ความผิดบาปที่เราได้โปคิดล่วงเกินเขาด้วยความรู้ เท่าไม่ถึงการณี และขอให้เขามีสัมมาทิฐิเป็นแลงส่อง ทางในการดำเนินชีวิตเข้าวันรุ่งขึ้น ท่านอาจารย์ถามว่า เห็นหร้อยังล่ะ ไอ้อุเบกขาของเรา มันอุเบกขาของเทวหชัดๆ ดิฉันเห็นจนซึ้งถึงใจกว่าที่เราจะได้เห็นใจฃองเราแต่ละขั้นดอนนี่ มัน ด้องการเวลา แล้วก็ด้องการเรื่องจริงๆ ที่ไม่อิงนิยาย มาทำให้เราถูกต้อนจนมุม เราจึงยอมรับ และดิฉัน ก็ขอบคุณเขาอย่างยิ่ง ที่ทำให้ได้เห็น ได้รู้จักใจของ ตัวเองตรงนั้น เพราะไม่อย่างนั้น ตลอดเวลาเรานึก ว่า ใจของเราปล่อยวางเขาเรียบร้อยแล้ว ทั้งๆ ที่ อุปาทานยังยึดแบกเขาเอาไว้ แล้วก็ไม่รู้ตัว ถ้าตาย จากกันไป เราก็ยังไปเจอะเจอเขาอีกเมื่อเจอะเจอกันเข้า ก็คงหงุดหงิดเขาไปหมด คราวนั้ไม่มีท่านอาจารย์จะมาซวยแกะให้ แล้วก็ไม่ เข้าใจตัวเอง ผลที่สุดเราก็ไปเป็นสภาพอย่างเขา ที่ ครื่าครวญว่า ผมก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงเป็นคนโชค ร้ายอย่างนี้ ทำดี...ทำดี แล้วทำไมเจอแต่เรื่องร้ายเรารู้ทางที่จะปฏิบ้ติ มีโอกาสได้รู้ได้เห็น ได้ไถ่ถอนความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของตัวเองทั้งไป แต่นี้พึง จดจำเอาไว้เป็นบทเรียนว่า ถ้าอุเบกขาก็อุเบกขาให้ จริง ไม่เผลอไปล่วงเถึนเขาว่า ใครทำกรรมอย่างไหนไว้ ก็จะต้องได้รับกรรมอย่างนั้น และขอให้เราได้ทัน เห็นด้วย คือใจส่วนไร้สำนึกย้งไม่ยอมปล่อย ปากว่า ตัวใครตัวมัน ใครทำอย่างใหนไว้ ก็ด้องได้รับผลอย่าง นั้น มรดกใครมรดกมัน แต่ก็แอบใส่วงเล็บเอาไว้ว่า ขอให้เกิดทันฉันได้เห็นด้วยนะ จะได้สาแก่ใจเห็นหรือไม่ กิเลสมันเป็นอย่างนี้แหละ มันเข้า มาปฏิบัติธรรมกับเราด้วยทุกครั้งไป มันถึงทำให้ทำน อาจารย์ย้ำว่า วิดน้ำถ้าน้ำสกปรกออกขันหนึ่ง แต่ถ้าเข้าไปใหม่เป็นปี๊บ แล้วก็ไปบ่น ปฏิบัติแล้วไม่เห็นได็ดื ก็รู้จ้กติงตัวเองเวลาที่จะเทขยะลงไปทีละปี๊บ ๆ บ้างสิ ฟังกันแล้ว คงพอจะกลับไปจับขโมยในใจของ เราได้ทัน แล้วจะไดโล่งใจว่า คราวนี้เราจับมันได้ทัน ก่อนจะเทน้ำโสโครกเข้าไปเป็นป็บ แล้วท่านอาจารย์ ยังทัาอีกว่า ถึงเราขี้เกียจขี้คร้าน ยังไม่วิดออกก็ไม่ เป็นไร แต่อย่าเทใหม่เติมเข้าไปก็แล้วกัน ในชั่วชีวิตนี้ เรามีเวลาเพียงพอสำหรับวิดน้ำเก่าของเราออกได้ทัน ไม่ด้องท้อถอย ท่านบอกเอาไว้เป็นกำลังใจอย่างนี้ ข้อสำคัญคือด้องมัดมือเราเอาไว่ให้แน่น อย่า ให้เผลอเทอะไรเข้าไปใหม่เป็นปี๊บๆ โดยเด็ดขาด ตรง นี้น่ะยากเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดเลยเพราะอะไรเพราะว่าอัตโนมัติของเราที่คุ้นเคยกับกิเลสมา แล้ว สติที่เราเพียรพยายามจะเจริญขึ้นมา มันไม่เคยเจริญ ในอัตราที่เร็วทันจะคุ้มครองตัวไล้สักที่หนึ่ง มันทำ ให้เราว่า เราไม่ทันไล้เทอะไรเขาไป แต่ก็เทไปแล้ว ทุกที ตรงนี้แหละ คือ ตรงที่เราจะล้องพากเพียรแก่ ปฏิบัติกัน
ท่านอาจารย์ไห้สูตรเอาไว้อีกว่า การปฏิบัติก็ เหมือนการกินขาว ใครกินใครก็อิ่ม อาจารย์กินศิษย์ ก็ไม่อิ่ม เพราะฉะนี้น เราล้องขวนขวายปฏิบัติกัน เอาเอง จะไปอธิษฐานว่า เล้าประคูณ ขอท่านอาจารย์ แผ่เมตตามา แล้วทำใหจตใจเราผ่องใสหมดกิเลส มันก็ไม่ไล้ เมตตานั้นท่านก็แผ่อยู่ แต่ว่าตัวใครก็ตัวมัน
ตรงนี้แหละ ที่เราจะต้องพยายามทำเอาเอง พยายามให้ใจของเราที่ว่ามันอุเบกขานี่ เป็นอุเบกขา ที่เที่ยงตรง ไม่ใช่อุเบกขาแล้วเทนาเสียเข้าไปเป็น ปี๊บๆ แล้วก็บ่น อุเบกขาแล้วทำไมถึงยังไม่ดีไม่งาม ขึ้นมาสักทีหนึ่ง ทำไมเราถึงไม่มีบุญวาสนาอย่างนี้ เราจะไล้เลิกปล่อยใจของเราไปเพ่งโทษเขา เอา อกุศลให้เขา
ถ้าเราคอยถี่ถ้วนกับคุณภาพการกระทำของ เรา ทุกเวลานาทีที่สติเท่าทันเห็นใจของตัวเอง ท่าน อาจารย์ถือเป็นการปฏิบัติอยู่ตลอดเวลาแล้ว แต่ก่อน นั้น เราเคยน้อยใจว่า เมื่อไรเราจะมีเวลาว่างได้ปฏิบัติ เมื่อไรจะได้สงบเงียบเสียที เมื่อวานดิฉันมีรายการ ธัมมะสำหรับประชาชน ก็มีผู้ฟังถามว่า เขาอยากจะปฏิบัติ อยากไปวัด เพราะที่น้านเสียงหนวกหูเหลือเกินการงานก็ยุ่ง ไม่มีโอกาสจะปลีกตัวไป แล้ว ทำอย่างไรจึงจะได้ปฏิบัติดิฉันบอก ทุกเวลาแหละ กำล้งฟังอยู่เดี๋ยวนี้กิ ปฏิบัติได้ แล้วดิฉันกิยกตัวอย่างของตัวเอง ช่วงที่น้า อยากไปวัดอย่างเขานี่แหละ พอจะไปทีกิเป็นกังวลว่า ช่วงที่เราไป ขอให้อย่ามีคนอื่นมา ขอให้วัดสงบเงียบ ปรากฏว่า วันที่ไปถึงวัด ซาวน้านเขามีหมอลำกัน พอ เสียงหมอลำขึ้น เราก็ตั้งใจ...พุทโธ...พุทโธ...ปรากฏ พุทใธหลุดไป เสียงหมอลำเข้ามาเต็มหู ตกลงทะเลาะ ตบตีกับเสียงหมอลำอยู่ในใจจนเหนื่อย ก็หล้บไป รุ่งเข้า ไปกราบเรียนท่านอาจารย์ให้ท่านช่วย ปรามเขาให้เอาลำโพงทันลงดินเสีย ท่านเอะอะว่า มันเรื่องอะไร เวลาอาจารย์อยู่กับพระเณร บรรยากาศ กัดก็สงบสกัด ร่มเย็นเป็นสุข พอหมอมา เขาก็ทำหมอ ลำต้อนรับหมอ อาจารย์และพระเณรก็ต้องอดทนอดกลั้นฟังหมอลำไปด้วย แล้วยังจะมาบ่นให้หนวกหู อาจารย์อีกทำไมวาสนาตัวเองจะต้องภาวนากลางตลาดก็ภาวนาไปดิฉันก็หุบปากคืนที่สอง ก็เราต้องภาวนากลางตลาด เพราะฉะนั้นไม่ทุทโธแล้ว ไม่ดูลมหายใจแล้ว กำหนดตาม เสียงหมอลำ หมอลำร้องอะไรก็กำหนดไป มันก็ดิ พอ เราไม่ไปทะเลาะกับเสียงหมอลำ มันก็หมดเรื่อง ใจ ก็สงบได้
ดิฉันก็เลยบอกผู้ถามเมื่อวานว่า วิธีนั้ไม่สงวน ลิขสิทธิ์ตลอด 4 คืนที่อยู่กัด มีหมอลำทุกคืน แต่พอ ถึงกันที่ดิฉันกลับ คืนนั้นชาวบ้านก็หยุดหมอลำสมอย่างที่ท่านอาจารย์เอ็ดตะโรว่า เขาต้อนรับดิฉัน ทำ ให้ท่านและพระเณรพลอยต้องอดทนฟังไปด้วยเวลาท่านจะยกอะไรมาว่า ดิฉันเถียงไม่ไต้ลัก คำเดิยว ก็เลยจำติดใจเอาไว้ พอจะโวยวายว่า หนวกหูจริง ท่านอาจารย่ให้พรเราแล้วว่า วาสนาเราต้อง ภาวนากลางตลาด ล้าไม่เก็บเล็กผสมนอยไปอย่างนี้ ก็คงไม่มีทุนรอนติดตัว เพราะฉะนี้นก็ล้มหนาล้มตา ภาวนากลางตลาดไป ก็เลยเชิญชวนคุณผู้ถามคำถาม นั้นให้เริ่มต้นห้ดภาวนากลางตลาดไปด้วยกัน
ถ้าคิดอย่างนี้ได้ ดิฉันว่าใจของเรามันอุเบกขาได้ มากขึ้น พอไม่ไปทะเลาะกับหมอลำ เราก็ทำสมาธิไต้ ก็สมาธิคือการจดจ่อเป็นอารมณ์เดียวกับสิ่งเฉพาะหน้าเราพบว่ากำลังของพุทโธ มันสู้เสียงหมอลำไม่ ได้ เพราะใจเราชอบส่ายแส่ออกนอก เราก็ร่วมมือ เป็นพันธมิตรกับหมอลำเสียเลยกำหนดตามเสียงที่ได้ยินนั่นเหละ แล้วมันก็ดิเองแต่ล้าเราไปคิดว่า ตูแน่วะ หมอลำจะดังแค่ไหน เราจะทำพุทโธให้ดังกว่า ใจก็เลยไปตบตีกับเสียงเสีย เหนื่อยอ่อนเสร็จแล้วเราก็แพัมัน หงุดหงิดไปหมดเลย แทนที่ภาวนาแล้วจะไต้ความสงบ ก็พับได้โทสะ เพิ่มขึ้นมาอีก แล้วก็ไปเพ่งโทษผู้คนดินฟ้า อากาศ เท นี้าเน่าเข้าไปไม่รูกี่ลิบปีบ จนตัวเองลงนอนสลบไม่รู้ เรื่องถ้าไม่รู้เท่าทัน 4 วันก็คงทะเลาะกับหมอลำอยู่ นั่น กลับมาถึงบานกลายเป็นหมาบ้าไปเลยพ่อแม่พี่น้องเขาคงนึก มันไปวัดกลับมา อาการยิ่งหนักกว่า เก่า แล้วเราก็ไม่รู้ตัว ไปเพ่งโทษว่าทุกคน พ่อแม่พี่ น้องหลาน ๆ ล้วนแต่ทำใหน้านหนวกหูเหลือทน คือ อุเบกขาไม่เป็น เที่ยวได้กัดกับเขารอบด้าน รวมทั้ง กัดตัวเองด้วย ใจเป็นสนิมเกรอะกรังไปหมดหากมองทันความเป็นจริงอย่างนี้ อะไรๆ ก็ สนุกไปหมด แล้วตั้งแต่นี้เวลาอุเบกขาแล้ว ใจของเรา เบาสบายขึ้นจริง ๆการกระทำของเราก็จะมาจากใจที่เมตตา มีนี้าใจเอื้ออาทรมากขึ้น ผลที่เกิดขึ้นก็เป็น การแก้บัญหาที่ถูกด้องเราด้องไม่ละเลยที่จะประพฤติปฏิบัติ อย่างที่ท่านอาจารย์ว่าเอาไว้ ใครกินใครก็อิ่ม ใครทำใครก็ ได้การปฏิบัตินี่ก็เหมือนเราเรียนไปก็เก็บคะแนนละลมไปเรื่อย ๆ อย่าโปรบร้อนหวังผลว่าจะต้องลอบได้ตั้งแต่เทอมนี้ ช่างมัน สอบก็ได้ ไม่สอบก็ได้ สอบ เป็นอย่างไรก็ช่างมัน เรามีหน้าที่เก็บเล็กผสมน้อยไป เรื่อย ๆ เราไม่โลภ เหมือนนิทานเรื่องแม่ผัวกับลูก สะใภ้ใปเก็บเห็ดท่านอาจารย์เล่าว่า พอฝนตก ก็มีเห็ดขึ้นในป่า แม่ผ้วชวนลูกสะใภ้ไปเก็บเห็ดก้น วันนั้นก็เจ้ากรรมเห็ด ขึ้นทีละดอก แม่ผัวชี่ให้เก็บ ลูกสะใภ้ก็บ่นเก็บไปทำไมทีละดอกเดียว เดี๋ยวไปเจอที่ขึ้นเป็นกระจุก เก็บ ทีเดียวได้เต็มตะกร้าดีกว่า แล้วลูกไม่เก็บเหรอ แม่เสียดาย แม่อาจไม่มีแรงเดินไปถึงที่มันขึ้นเป็นกระจุก ล้าอย่างนั้นแม่เก็บนะพูดแล้วแม่ผัวก็เก็บไปเรื่อย
ส่วนลูกสะใภ้คอยจะเก็บทีเดียวได้กระจุกหนึ่งเต็ม ตะกร้าวันนั้นก็ไม่มีเห็ดขึ้นเป็นกระจุกเลย ตะกร้าลูก สะใภ้ก็ไม่มีเห็ด แต่ตะกร้าแม่ผัวได้เห็ดเต็ม กลับถึง บ้าน ต่างคนต่างก็แยกกันไปทำอะไรต่ออะไร ประเดี๋ยวลูกสะใภ้วิ่งมา ...แม่ ...แม่ วันนี้จะทำอะไร กินเล่าแม่ผัวว่าก็เห็ดไงเล่าตั้งตะกร้าหนึ่ง เอาไปอ่อมไปแกงก็ได้ท่านอาจารย์สอนว่า อย่าไปดูถูกการเก็บเล็ก ผสมบ้อย ให้เก็บสะสมไปเรื่อย ๆ ตรงไหนเรานึกได้เราก็ตั้งสติเอาไว้ เห็ดดอกหนึ่งเราก็เก็บมาหรือ อย่างที่ท่านอาจารย์ท่านว่า เราตั้งสติรักษาใจให้สงบ เหมือนเราจะลากเส้นตรงให้ติดต่อกัน แต่ปรากฎว่า สติมันอยู่ได้เดี๋ยวเดียว แล้วมันก็เผลอคิดไปตรงโน้น คิดมาตรงนี้ ก็ไม่เป็นไร จุดเอาไว้ มันยังไม่ม่มีกำลังจะลากเป็นเส้นติดต่อกัน นึกได้ตรงไหนก็จุดเอาไว้พอนึกได้ อ้าว...มันไปอีกแล้ว ก็ดึงกลับมาใหม่ จุดเอาไว้อีกจุดหนึ่ง จุดเอาไว้ จุดไปเรื่อย พอเอาจุด จุด จุด มาเรียงให้มันติดๆ กัน มันก็เป็นเส้นยาว เหมือนกัน ท่านบอกไม่ด้องห้อใจ เราเก็บเล็กผสม น้อยเอาไว้เรื่อยไป อีกหน่อยใจของเรามันก็มีกำลัง ขึ้นมา นี่คือการปฏิบัติอย่างปล่อยวาง อย่างมีอุเบกขา เพราะไม่ได้ใปหวังที่ผลเรามีหน้าที่ปฏิบัติ ปฏิบัติไป ผลจะเป็นอย่างไร เป็นเรื่องของผล เราปล่อยวางเหตุบัจจัยมันพอเหมาะพอดีของมันเมื่อไร มันก็เกิดผลขึ้นมาเองแหละ แล้วเราก็จะพบว่า จุด...จุด ของเราก็ค่อยถี่เข้าถี่เข้า แต่ก่อนนั่น จุดไว้ตั้งแต่เข้า ปรากฏจนเวลานอนลืม จุดใหม่เติมเข้าไว้ เพราะมันวุ่น วุ่นอะไรก็ไม่รู้ มันจะ ค่อยดีขึ้นอย่างนี้เรื่อย ๆหรือเราไปตั้งเป้าไว้สูงว่า พอกำหนดปีบ ใจ ต้องนิ่งเป็นสมาธิเลย ท่านอาจารย์บอก เราไมใช่อิฐ ใช่ปูนนี่ ก็ต้องมีความคิดสิหลายคนไปเข้าใจว่า พอมาปฏิบัติแล้วความคิดเป็นสิ่งน่ารังเกียจมากแต่ท่านอาจารย์บอก ตราบเท่าที่เรายังกำจัดอวิชชากับอุปาทานออกไปจากใจไม่ ไต้ เราจะต้องคิดนิวรณ์ทีนี้สติของเราจะต้องเป็นเครื่องสอดส่องคุณภาพความคิดว่า มันเป็นเหตุให้ เกิดทุกข์ หรือเป็นมรรค ห้าคิดต้วยอกุศล คิดแล้วทำ ให้ใจของเราสนิมขึ้น เร่าร้อนไปเพ่งโทษคนอื่น เราก็ เปลี่ยนวิธีคิด ทำให้เป็นปัญญาเห็นชอบเสียท่านบอก อย่าไปรังเกียจความคิด ถ้าเราไป รังเกียจความคิด การปฏิบัติของเราจะกลายเป็นโมหสมาธิ เพราะว่าเราพอใจแต่จะทำให็ใจนิ่งเป็นหินทับ หญ้า แล้วไม่แกไขปัญหาที่มีอยู่ เราก็จะไม่รู้เท่าทัน ใจของเราตามเป็นจริง อีกหน่อยอยากจะไปคิด แกไขปัญหาอะไร เพราะเราไปปีกแต่นิสัยเอาหินทับ หญ้าไว้ มันก็เลยไม่อยากคิด การมีความคิดเป็นของ ดี อย่าไปกดข่ม แต่ต้องถี่ห้วน แล้วควบคมคณภาพ ความคิดให้เป็นสัมมาทิฐิ เป็นมรรค จะคิดเมื่อไร คิด ให้เป็นมรรคทุกครั้งการคิดอย่างนั้นคือการปฏิอัติ เพราะขณะที่ เราคิดเป็นมรรค ใจของเราต้องเป็นอุปจารสมาธิ ถ้า ใจใม่มีพื้นฐานของความสงบถึงขั้นนั้น มันคิดเป็น มรรคไม่ไต้ ไต้แต่คิดแต้วเป็นสังขารจิตที่มักจะเป็น อกุศล เพราะกิเลสเข้ามาควบคุมคุณภาพความคิด ของเราถ้าเราฝึกจนกระทั่งเป็นนิสัยว่า คิดเมื่อไรแต้ว มันคิดไปต้วยเหตุผล คิดเป็นมรรคทุกครั้ง คราวนี้เรา สบายใจได้ ถึงเราจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ พอมีปัญหา เกิดขึ้น เราจะได้ปัญญาเห็นซอบทุกครั้งไป ชีวิตของ เราก็จะเบาสบายไปเรื่อย ๆ
อะไรๆ ที่เราทำย่อมอยู่ในมรรคตลอด เมื่อผลเกิดขึ้นจะเป็นผลอันไหนก็ย่อมเป็นไปในทางแถ้ ปัญหา เป็นการลดละความยุ่งยาก ถ้าอังเกิดความยุ่ง ยากขึ้นมา เราก็แนใจว่ามาจากวิบากกรรมเก่าอดีต เหตุแต่ครั้งไหนก็ไม่รู้เพิ่งงอกเราก็ไม่ใจเสีย ไม่ อย่างนั้น ตื่นเงา... อะไรอัน ปฎิบ้ติถึงแค่นี้แล้ว ทำไม
ใครยังมาแกล้งได้อีก ใจเลยวุ่นวายไปอีกแล้ว เป็นเหตุ ของทุกขีใปอีก
ล้าเราคอยถี่ล้วนกับคุณภาพของเราอยู่เรื่อย ๆ ใจที่รู้เท่าทันความเป็นจริง จะเป็นอุเบกขาต่อเนื่อง กันอยู่โดยที่เราไม่ได้ไปกำหนดอุเบกขาคืออะไร อุเบกขาก็คือปัจจุบันจิตนั่น เอง ไม่คาดคอยหกังผล ไม่ไปหวนอาลัยกับอดีต บางทีใจของเรายังหวงติดอยู่กับความสุขความสำเร็จที่ เคยได้ ก็ไปอยู่กับอดีต แล้วหวั่นกลัวว่า อนาคตจะดี เท่าที่แล้วมาหรือเปล่า ตกลงยึด ไม่ได้ปล่อยวาง
เมื่อไรเราฝึกปฏิบัติไปจนกระทั่งใจมันเลี้ยงตัวเองได้ อะไรมากระทบ เราพิจารณาไตร่ตรองให้เป็น มรรคไปทุกครั้ง ใจอันนี้จะทรงความเป็นอุเบกขาเอาไว้ในขณะที่ไม่มีปัญหา ไม่มีเรื่องอะไรมาเกี่ยวข้อง อดีตก็ไม่ไปพะวง อนาคตก็ไม่ไปมุ่งหกังคาดคะเน หรือหวั่นกลัว เพราะแนใจมั่นใจในสิ่งที่ได้กระทำไป ด้วยความมีลัมมาสติ มีปัญญาเห็นชอบ...สัมมาทีฐิ ว่ามันยอมทำให้เราทุกข์เดือดร้อนไปไม่ได้ ใจเราก็ ปล่อย ...วาง ...หมด ...มุ่งจดจ่ออยู่แต่เหตุที่จะกระทำ
ในแต่ละปัจจุบันขณะที่กำลังเป็นอยู่การปฏิบัติของเราก็มีฐานที่แน่นหนามั่นคง เรา ก็ตั้งหน้าปฏิบัติสม่ำเสมอเรื่อยไป ไม่ลูบไม่คลำ ไม่ เป็นสีลัพพตปรามาสแต่เดิมเราไปคิดว่าสีลัพพตปรามาส คือประเดี๋ยวก็ทำดี ประเดี๋ยวก็ไม่ทำ คือลูบคลำเอาไว ไม่ไดีถือปฏิบัติให้เป็นความเคยชิน เป็น นิสัย เดี๋ยวก็ทำ เดี๋ยวก็เผลอลืม แต่ความจริงไมใช่ อย่างมั่นลีลัพพตปรามาส คือการที่เรายังไม่รู้จักดูแลใจ ของเราให้เป็นปัจจุบันจิต สมาเสมอต่อเนื่อง จนเป็น อุปนิสัยถาวร เรามีเวลาวันพระจึงปฏิบัติ วันพระจึงไปสมาทานศีลจากพระคือเราลูบๆ คลำๆ มีวันที่เล่น ละครถือเคร่ง สังวรลำรวม กับวันที่ปล่อยติวเพ้อเจัอ มันก็เลยลูบคลำอยู่ตลอดเวลาแต่ถ้าเมื่อไรเราคอยดูใจของเราให้เป็นปกติจิต เป็นนิสัยไปอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ ไม่มีเข้าไม่มีออก จะกำหนดหรือจะไม่กำหนด มีอะไรมากระทบ เราก็ คิดให้เป็นเหตุเป็นผล เป็นสัมมาทิฐิเสมอไป จะแถ้ ปัณหาในสมาธิ หรือนอกสมาธิ ก็มีคณภาพเสมอกันเพราะเรารู้แล้วว่าเราทำสมาธิทำไม เราทำสมาธิเพื่อ จะซ้อมให้แน่ใจว่า พอถึงเวลาที่เป็นอยูในชีวิตจริง ๆ เราสามารถเอาสิ่งที่ซ้อมไว้ มาคุ้มครองใจของเราไม่ ให้ก่อหนี้สินไหตัวเองเพราะฉะนั้น การปฏิบัติก็เริ่มเป็นธรรมชาติ เป็นอุปนิสัยของเราไป ไมใช่ว่า ตอนนี้ฉันทำสมาธิ อยู่นะ ฉันก็เป็นเทวบุตรเป็นนางเทวดา แต่พอออก จากสมาธิแล้ว ฉันก็มีสิทธิที่จะถ้าบวมไปใด้ทุกรูปแบบถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว เมื่อไรเราถึงจะชนะกิเลส เราได้ล่ะ เพราะเวลาที่ทำสมาธิ วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมง อย่างดีก็คงทำได้สัก 6 ชั่วโมง อาจจะไม่ถึงด้วยซา ครึ่งชั่วโมงยังไม่รู้ว่าจะได้หรือเปล่า แล้วเทียบฉัตรา ส่วน ครึ่งชั่วโมง 0.5 หารด้วย 24 มันเป็นเศษส่วน เท่าไร อีก 23 ชั่วโมงครึ่ง กิเลสคาบไปกินเสียหมด มันกู้กันไม่ขึ้น ตีตื้นขึ้นมาไม่ไหวเห็นจุดนี้แล้ว เราจะพากเพียรทำไป...ทำไป ...ทำไป ใจที่ไม่ได้คิดไม่ได้หวังอะไร ทำไปเพื่อให้มี สติรู้อยู่ ก็จะเป็นอุเบกขา เป็นอุเบกขา เป็นอุเบกขา ต่อเนื่องกันขึ้น ทำให้สักษณะของบัจจุบันจิตนั้น ปรากฏขึ้นเป็นพุทธะ ตื่น รู้ เบิกบานถ้าทำให้ถูกวิธีแล้ว เราไม่ต้องไปคอยนึก เอ... ตัวนั้นมันมาอยู่ในใจเราหรือยัง ตัวนั้มันใช่หรือยัง เหตุปัจจัยมันถึงพร้อมเมื่อไร มันเป็นของมัน มัน เต็มอิ่มของมันขึ้นมา เราไม่ต้องไปห่วงไปกังวล เมื่อ เรามานั่งไล่แจกแจง นี่ก็อยู่ในใจเราแล้ว นั้นก็อยู่ในใจ เราแล้ว มันจะเป็นอย่างนี้เมื่อเราปฏิบัติธรรมลมควรแก่ธรรม มันจะทำ ให้ใจของเราสงบผาสุ อิ่มเต็ม เพราะมันรู้ตักวาง มันไม่หิวกระหาย อยากโน่นอยากนี่ ถ้ายังมีความ รู้สกอยาก ไอโน่นก็ไม่พอ ไอ้นี่ก็ไม่พอ ขาดแคลนไป หมดทุกอย่าง เราเลยกลายเป็นคนยากคนจนแต่พอเราวางแล้ว ทุกอย่างมันเต็มพอบริบูรณ์ ของมันเอง มันก็เป็นบัจจุบันจิต บัจจุบันธรรม เป็น ความอิ่มรู้ตื่นเบิกบาน ถ้าทำกันอย่างนี้เราก็จะถึงซึ่งอุเบกขา
พิมพ์โดย ปภัสสร มีพงษ์
แหล่งที่มา http://web.krisdika.go.th/buddha/34_howubekkha.pdf
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น