Header Ads

วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2561

บรรยายของหมออมรา พลังแห่งการตื่นอยู่เสมอ

บรรยายของหมออมรา
พลังแห่งการตื่นอยู่เสมอ


บรรยายโดย พญ.อมรา มลิลา
เมื่อ เมื่อ 23 มกราคม 2523
ชมรมพุทธธรรม โรงพยาบาลรามาธิบดี
หมวด
อันดับที่        

เราทึกทักกันเองว่า ถ้าลืมตาก็แสดงว่าตื่นอยู่ แต่การตื่นที่จะพูดกันวันนี้หมายถึง การที่เรามีจิตใจที่ตื่นอยู่ ที่มีสติกำกับอยู่ รู้ตัวทั่วพร้อม และมีสัมปชัญญะตามรู้ในทุก ๆ ขณะว่า เรากำลังทำอะไรอยู่ ซึ่งฟังดูแปลก เพราะเหตุใดเราจะไม่มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมขณะที่ลืมตาตื่นอยู่นี้จิตเป็นนามธรรม มองเห็นไม่ได้ จับต้องไม่ได้ เป็นธรรมชาติที่ไม่เคยหยุดนิ่ง เราจะรู้ว่ามีจิตอยู่ก็โดยตามจับกระแสความคิด หรือวาระจิต บ่อยครั้งที่เราคิดว่า เรารู้ เรารู้สึกอยู่ เราติดตามมันอยู่ แท้ที่จริงเราตามมันไม่ทัน เพราะอะไร เพราะว่ามันสามารถคิดครอบคลุมจักรวาลด้วยความเร็วปานจักรผัน เร็วยิ่งกว่าแสง ยิ่งกว่าพลังใด ๆ ในโลกขณะที่จิตคิดไปต่าง ๆ นานา นั้น เราเคยเฝ้าสังเกตบ้างหรือไม่ว่า มันคิดถึงอะไรบ้าง คิดเป็นลำดับด้วยความเป็นระเบียบ หรือคิดไปด้วยความขัดแย้งสับสน หลายต่อหลายครั้งที่เราตื่นขึ้นมาตอนเช้า และพบว่า ตัวเองเพลียละเหี่ยใจไปหมด ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ลุกจากที่นอนไปทำอะไรเลย เราเคยค้นหาเหตุหรือไม่ว่า เป็นเพราะเหตุใดบางครั้งเรามีปัญหาหลายอย่างที่แก้ไม่ตกติดค้างอยู่ในใจ ทำให้กังวลวุ่นวายครุ่นคิด แต่ก็ไม่สามารถจัดระเบียบให้คิดได้ว่าจะเอาอะไรก่อน เอาอะไรหลัง เราก็เลยคิดเรื่องที่หนึ่งให้ได้สองสามประโยค กระโดดไปคิดเรื่องที่สองหรือเรื่องที่ห้า เรื่องที่สิบ จนมันขัดแย้งสับสนกันไปหมด จนเราเองก็ทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องไหนกันแน่
เหมือนการจราจรในกรุงเทพฯ ตรงสี่แยกที่ไม่มีไฟจราจรยามเช้า ทุกคนจะรีบไปทำงาน ทุกคนต่างต้องการเป็นผู้ไปก่อน ไม่มีใครยอมใคร ต่างคนต่างก็เอารถจ่อไปขัดปิดทางของกันและกันไว้ ทำให้ไม่มีใครสามารถนำรถของตนเคลื่อนผ่านไปได้ ผลที่สุดแทนที่จะพอมีทางไปได้ก็กลายเป็นสร้างเครื่องกีดขวางขึ้นดักตนเอง ความคิดของเราก็เช่นกัน เวลาสับสน รีบร้อน เราจะทำตัวเองให้เป็นเหมือนการจราจรตรงสี่แยก กล่าวคือ เราเอาความคิดหลาย ๆ เรื่องเข้ามาประสานงากัน แล้วเราก็สับสน เราก็ไม่ได้คำตอบ เรื่องไหนก็ไม่ได้คำตอบทั้งนั้น แต่เราก็คงปล่อยให้ความคิดทั้งหลายเหล่านั้นเกิดอยู่พร้อม ๆ กัน โดยตัดสินใจไม่ได้ว่า ควรคิดเรื่องไหนก่อน เรื่องไหนหลัง
หากเราเอาสติเข้ามากำหนดรู้ ก็เปรียบได้กับมีจราจรเข้ามาจัดการปล่อยรถ ให้ผลัดกันเคลื่อนไปทีละคันอย่างมีระเบียบ สติก็จะกำหนดพิจารณาปัญหาทีละปัญหาจนได้คำตอบ เป็นการสะสางความสับสนวุ่นวายให้หมดไปจิตใจที่มีสติ รู้อยู่ตื่นอยู่นั้น จะได้รับการสะสางจัดระเบียบให้เป็นหมวดหมู่ เพื่อว่าผลของการทำงานจะได้มีประสิทธิภาพดีขึ้น เมื่อเรารู้อยู่อย่างนี้ เริ่มจัดระเบียบอย่างนี้ ความยุ่งเหยิงก็จะเริ่มเข้าที่เข้าทาง เกิดเป็นความปกติ จิตใจที่ไม่มีความเป็นปกตินั้นจะยุ่ง จะสับสน จะหงุดหงิด ครั้นเมื่อมีความเป็นปกติเกิดขึ้นก็จะเป็นระเบียบเรียบร้อย หรือจะกล่าวว่าเป็นจิตใจที่มีศีลกำกับก็ได้
ศีล คืออะไร ศีล คือความเป็นปกติของใจ
เมื่อใจปกติแล้ว เราพบว่า ความวุ่นวาย ความยุ่งเหยิงจะค่อย ๆ ลดลง เกิดเป็นความสงบขึ้น ใจที่สงบนิ่งนี้หากจะเรียกให้เป็นศัพท์ทางวิชาการก็ว่า ใจมีสมาธิ เมื่อมีสมาธิแล้ว ของอะไรก็ตามที่เราคิดว่าเหลือบ่ากว่าแรง ของอะไรก็ตามที่เราคิดว่าเป็นปัญหายุ่งยากลึกลับซับซ้อน ก็ค่อย ๆ มีลู่ทางที่จะได้คำตอบออกมา ก็เกิดเป็นปัญญาขึ้น อะไรที่เคยคิดว่าทำไม่ได้ก็กลายเป็นสิ่งซึ่งพอจะทำได้ หรือสามารถจะทำได้ หรือทำให้ลุล่วงไปได้ด้วยดีที่สุด ด้วยมีประสิทธิภาพได้เมื่อมีสติกำกับใจอยู่อย่างนี้ เราสามารถเห็นวิถีที่กระแสจิตของเราจะคิดไป เพราะฉะนั้นเมื่อมีอะไรมากระทบ แทนที่จะสนองออกไป รับรู้ออกไปอย่างฉับพลัน ด้วยความเคยชินอันเป็นอุปนิสัย ซึ่งอาจไม่มีเหตุ ไม่มีผล อาจเป็นการรับรู้ที่ผิด เพราะเห็นไปตามความยึดมั่นเพราะอคติ หรือเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อันจะนำไปสู่ลูกโซ่ของการตัดสินใจผิด สติจะสามารถชะงักให้เกิดความเนิบช้าลงในการจะสนองอะไรออกไป ดังนั้นพออะไรมากระทบ แทนที่เราจะตัดสินโดยอัตโนมัติ ด้วยความจำได้หมายรู้แต่เก่าก่อน สติจะยับยั้งให้คิดว่า อะไรที่ได้ยินนั้น มีเหตุผลอย่างไรบ้าง เราจะค่อย ๆ ไตร่ตรอง เราจะค่อย ๆ นำสิ่งนั้นมาทวนหาเหตุผลและประมวลหาคำตอบที่ใกล้เคียงกับสภาพความเป็นจริงที่สุดออกมา แล้วจึงลงมือกระทำหรือพูดหรือคิดต่อไป ซึ่งเท่ากับเราวางแนวให้สิ่งที่จะกระทำนั้นเป็นสิ่งที่อยู่ในขอบข่ายของเหตุผล
สิ่งใดก็ตามที่เราทำอยู่เรื่อย ๆ จะหยั่งรากลงเป็นความเคยชินและในที่สุดก็กลายเป็นอุปนิสัยติดตัวเรา ถ้าเปรียบตัวเราเป็นผ้าผืนหนึ่ง อุปนิสัยที่พอกพูนนอนเนื่องอยู่ แล้วชักนำให้เราประพฤติสนองตอบผัสสะต่าง ๆ ออกไปก็เปรียบได้กับเส้นด้าย แต่ละเส้นในเนื้อผ้า เมื่อเห็นเส้นด้ายเส้นใดขาดชำรุดทรุดโทรม หรือไม่ดี เราก็รู้ว่าไม่ดี และยอมรับ เมื่อใจยอมรับตามเป็นจริงแล้ว ก็คิดหาทางแก้ไข โดยอาศัยเหตุผลมาประกอบการพิจารณา จัดเป็นการลับปัญญาให้เพิ่มขึ้นการที่เราเริ่มยั้งคิด และไตร่ตรองนี้ ทำให้เกิดความกล้าสู้ความจริง แล้วลงมือแก้ไขข้อบกพร่อง เมื่อทำอยู่ทุกวัน ๆ มีสติรู้อยู่ มีสติบังคับอยู่อย่างนั้น ความเคยชินแต่ดั้งเดิมจะค่อยถูกลบล้างไป เกิดนิสัยใหม่เข้ามาแทนที่ ด้วยสติและด้วยปัญญาที่เป็นผลจากการกำหนดรู้ เพ่งดูวิถีจิตของเราอยู่อย่างนี้ทุก ๆ ขณะ ทุก ๆ อิริยาบถ ผลประโยชน์ที่มีขึ้นคือจิตจะเริ่มมีระเบียบ มีความสงบ มีกำลัง และมีเหตุผล ประกอบแต่สิ่งที่ถูกที่ควรเมื่อเราทำซ้ำ ๆ อยู่อย่างนี้ การรักษาสติซึ่งเคยเป็นของลำบาก ต้องพยายามระวังอย่างยิ่งยวด เพราะเผลอเมื่อใดจะหลุดไป ก็เปลี่ยนเป็นของง่ายและเคยชินขึ้น แบบเดียวกับการหัดเด็ก เราต้องคอยบอกซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกระมั่งมันเคยชินฝังเป็นอุปนิสัย เมื่อเป็นดังนี้ เราก็สามารถแกไขสิ่งที่ไม่ดีของเราได้ ขณะเดียวกันเมื่อแก้สิ่งที่ไม่ดีทิ้งไปแล้ว ก็ปลูกฝังสิ่งที่ดีเข้าไปแทนที่ เมื่อเป็นอย่างนี้ บ่อย ๆ เข้า เราจะพบว่า สติของเรา ซึ่งแต่เดิมนั้นต้องเขม็ง ต้องใช้ความพยายามที่จะรักษาให้กำกับอยู่กับจิตที่ขะปลุกตัวให้มีความรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ตลอดเวลานั้น ได้กลายเป็นความเคยชิน และคอยปกป้องรักษาเรา แทนที่จะเป็นเราต้องคอยปกปักรักษามันอยู่ตลอดเวลามันก็เริ่มสนุกขึ้น เพราะเริ่มเห็นผลของงาน เราไม่ต้องเขม็งระวัง เพราะมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของเราแล้ว พอมีอะไรเกิดขึ้น สิ่งที่เคยฝึกไว้จนหยั่งรกรากเป็นอุปนิสัย ก็จะชี้นำให้เราเกิดเห็นตามความเป็นจริง หรือเรียกว่าสัมมาทิฐิขึ้นเมื่อมีสัมมาทิฐิแล้ว ย้อนกลับไปดูตัวเอง จะพบว่า แต่เดิมนั้น พอมีอะไรเกิดขึ้น เราจะตอบออกไปทันทีด้วยความเคยชิน สิ่งไหนที่ชอบ ก็ตอบด้วยความชื่นชมพอใจ ด้วยใจที่ฟูด้วยสุข ส่วนสิ่งที่ไม่ชอบ ทั้ง ๆ ที่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เราก็หงุดหงิดขัดข้อง ปัดมันทิ้ง หรือมีปฏิกิริยาต่อต้านทันที แต่เมื่อมีสติรู้อยู่อย่างนี้ ก่อนที่จะตอบสนองไปอย่างนั้น เราจะเกิดความชะงัก เกิดมีความยั้งคิด ให้ได้สอบสวนตัวเองว่า อะไรกันแน่ ที่ทำให้เรารู้สึกแตกต่างอย่างนั้น จนพบว่า เพราะจิตที่ไปยึดอยู่ ที่ไปสำคัญมั่นหมายอยู่ เคลือบบังจนไม่เหลือเหตุผลหรือความเห็นชอบนั่นเอง
ขอยกตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น เป็นต้นว่า ทองคำ โดยธรรมชาติก็เป็นโลหะชนิดหนึ่ง เช่นเดียวกับโลหะอื่น ๆ เช่น สังกะสี ตะกั่ว หรือเหล็ก ก่อนที่จะนำมาทำให้บริสุทธิ์ ก็อาจพบปะปนอยู่ในก้อนกรวด หิน ดิน ทราย ที่เราเหยียบย่ำกัน แต่ทำไมทุกคนจึงคิดว่า ทองคำเป็นสิ่งมีค่า ก็เพราะว่าเราไปกำหนด ไปยึด ไปสำคัญหมายว่า ทองคำเป็นของหายาก ทองคำจึงถูกเราตีราคาให้ค่าสูงขึ้นไปอย่างนั้น มันจึงกลายเป็นสิ่งมีค่าขึ้นมา สมมติมีที่แห่งหนึ่ง เป็นเหมืองทองคำ ที่ผู้คนอยู่กันตามธรรมชาติและไม่เคยทราบว่า แร่ธาตุชนิดนี้ถูกมนุษย์กลุ่มหนึ่งกำหนดให้มีราคาสูง เขาก็อาจเอาทองคำมาใช้โรยถนน เหมือนกับก้อนกรวด และในสำนึกของเขาเหล่านั้น ทองคำและก่อนกรวดก็มีราคาเสมอกัน เพราะเป็นธาตุข้นแข็งด้วยกัน นี้คืออิทธิพลของความสำคัญมั่นหมาย อุปาทาน ความยึดมั่นที่มากำหนดความนึกคิดของเราให้เหห่างออกไปจากความจริงเพราะฉะนั้น จึงต้องระวังอย่าให้สิ่งที่เราสมมติขึ้นมา บัญญัติขึ้นมา เพื่อใช้ติดต่อสื่อความหมายกับบุคคลอื่น ๆในสังคมมีอิทธิพลเหนือเรา ทำให้เราติดข้อง ไปเป็นทุกข์เพราะหลงยึดถือว่า มันคือที่สุดของความปรารถนา เอาสติกำหนดใจให้รู้เท่าทันตามสภาพความเป็นจริง ว่าสิ่งนี้เราเป็นผู้กำหนดคุณค่าขึ้นมา เพื่อเป็นสื่อกลางสำหรับอำนวยความคล่องตัว ความสะดวกสบาย หรือเพื่อนำมาทำให้เป็นประโยชน์กับเรา เมื่อใดก็ตามที่เราติดตามมันไปจนตกเป็นทาส เราก็จะมีสภาพเหมือนลิงที่เห็นชาวประมงทอดแห แล้วจัดแจงเอาแหมาหัดทอดบ้าง แต่เพราะลิงไม่รู้ว่าทอดแหนั้นทำอย่างไร มันจึงถูกแหพันจนกลิ้งตกลงไปในน้ำ และในที่สุดก็จมน้ำตาย อย่าให้เราไปติดข้องในสิ่งที่บัญญัติขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือ แล้วหลงไปด้วยความหลับ ด้วยความที่ไม่มีสติกำกับ จนถูกสิ่งนั้นเอ่อท่วมจนเราจมตายไป ด้วยเหตุนี้ เราทุกคนจึงควรฝึกให้มีสติอยู่ทุกขณะจากที่พูดกันมานี้ จึงเห็นได้ว่า ถ้าเราจะตื่นอยู่เสมอ เราก็ต้องมีสติกำกับอยู่กับความคิดของเรา กับจิตของเราในทุก ๆ ขณะจิต ในปัจจุบันนี้ ทุก ๆ ขณะ เพื่อที่เราจะได้รู้ตัว เพื่อที่เราจะได้ตื่นพร้อม ที่จะรับรู้เหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้น และสามารถพิจารณาเห็นมันได้ตามความเป็นจริง ไม่ใช่ตามที่เรานึกอยากให้มันเป็น
เราจะมีคำถามตามมาว่า ถ้าอย่างนั้น เราจะเอาเวลาที่ไหนมาประกอบการงานอย่างที่ทำอยู่ทุกวันนี้ได้ เพราะเรามิต้องเสียเวลาทั้งหมดทั้งปวงไปในการที่จะฝึกสติเท่านั้นหรือ ดังได้กล่าวแล้วว่า สตินี้คือการเพ่งรู้อยู่กับปัจจุบัน ทุก ๆ ขณะ เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะทำอะไรอยู่ เราสามารถฝึกสติร่วมไปด้วยได้เสมอ บางครั้ง เราไม่อยากทำสิ่งที่ต้องทำ เราไม่พอใจ เป็นต้นว่า เราอยากอ่านหนังสือ หรือทำอะไรของเรา แต่มีภาระที่จะต้องทำอย่างอื่น วิธีแก้ไขคือ ทำใจของเราให้พอใจกับสิ่งที่ต้องทำนั้น เมื่อพอใจก็เกิดความเต็มใจ ความตั้งใจที่จะทำ เราก็รู้อยู่ในสิ่งที่เราทำนั้น อันนั้นก็เป็นการฝึกสติไปในตัวแล้ว หรือถึงเวลาก็ต้องกิน เราก็กิน เราก็รู้อยู่แต่ในสิ่งที่กำลังกิน รู้ทันในทุก ๆ ขณะที่กำลังเอาช้อนตักเข้าปาก เคี้ยว และกลืนไป ให้รู้ทัน ชัดอยู่เช่นนั้น ไม่ใช่ว่าเราทำประหนึ่งตัวเราเป็นเครื่องจักรเครื่องหนึ่ง พอเอาช้อนตักข้าวใส่เข้าไป มันก็ตั้งต้นบดของมันไปโดยอัตโนมัติ ใจก็คิดถึงเรื่องโครงการที่ยังทำไม่เสร็จ หรือคนไข้ที่ตรวจค้างอยู่และยังวินิจฉัยโรคไม่ได้ ถ้าเป็นดังนี้ ก็เกิดความแตกแยกกันขึ้น ระหว่างกายที่เราเอาช้อนตักข้าวป้อนเข้าไปกับจิต เราไม่รู้เลยว่า เรากำลังกินอะไร เพราะจิตของเราทั้งดวง ไปคิดผูกอยู่ในเรื่องที่ติดค้างอยู่ในใจ มันจึงเกิดความหงุดหงิดขัดข้องกับสภาพความเป็นอยู่ในปัจจุบัน ตกลงเราก็เปรียบเสมือนไม่ได้มีชีวิตอยู่ เราคิดต่อต้านเป็นปฏิปักษ์กับสภาพความเป็นอยู่ในขณะนั้น ทั้ง ๆ ที่เราก็ยังหายใจอยู่ ยังทรงร่างอยู่ แต่เราก็ยืนอยู่อย่างกับต้นไม้ตายซากที่ยังยืนต้นอยู่ เพราะเราไม่ได้รับรู้ เราไม่ได้ใช้ความคิดมีชีวิตของเราอย่างเต็มที่ อย่างมีชีวิตที่สมบูรณ์ ที่จะเฝ้าดูทุก ๆ ขณะที่เกิดขึ้นอย่างตื่นอยู่ อย่างรู้อยู่ เพราะฉะนั้น การอยู่ของเราจึงไร้ประโยชน์ เราสร้างความเศร้าหมอง ความหงุดหงิด ข้อข้องกับใจของเราเอง และสะท้อนผลมาถึงกาย เพราะกายและใจเป็นของสืบเนื่องเกี่ยวกันอย่างใกล้ชิดเมื่อเห็นอย่างนี้ เริ่มมองด้วยความมีเหตุผลอย่างนี้ เราจะพบว่า เรามีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี แต่ก่อนนั้น พออะไรเกดขึ้น เรามักรับรู้ด้วยอารมณ์หรือด้วยการจำได้หมายรู้ ด้วยความเคยชินที่เคยทำมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย จนกระทั่งฝังรกรากกลายเป็นนิสัย เราเริ่มพิจารณาทุกอย่างด้วยเหตุด้วยผล แม้ว่าบางครั้งเราชอบ บางครั้งเราไม่ชอบ แต่ความมีเหตุผล ความมีสติ และปัญญาที่งอกงามขึ้นมาจากการฝึกสตินี้ จะเป็นเหมือนเบรก หรือเป็นเหมือนอย่างกับความยั้งคิดที่ฉุดรั้งเราให้ค่อย ๆ ไตร่ตรอง ให้มีกำลังบังคับตนเอง ให้กระทำแต่สิ่งที่ใจได้คำตอบออกมาว่า ควรเป็นอย่างนั้น ควรทำอย่างนั้น เพราะนั่นคือความถูกต้อง
พอคิดได้อย่างนี้ เราจะพบว่าใจที่เคยฟู เมื่อประสบกับของที่ชอบ หรือแฟบเมื่อเจอของที่ขัดข้อง จะค่อย ๆ มีรากฐานมีความทรงตัวของตัวเองที่จะอยู่ตรงที่เป็นจุดศูนย์กลาง เมื่อมีเหตุให้มันฟูมันก็ไม่ฟูขึ้นไปมาก เพราะรู้อยู่ว่าเมื่อชอบ เดี๋ยวก็ต้องมีของที่ไม่ชอบ หรือเมื่อทุกข์ เดี๋ยวก็ต้องมีของที่ทำให้สุข สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ในโลกล้วนเป็นของคูกัน เมื่อมีกลางคืนแล้วก็ต้องมีกลางวัน เมื่อมีของสิ่งหนึ่งก็ย่อมมีอีกสิ่งหนึ่งที่ตรงกันข้ามอยู่เสมอ เหมือนอย่างกับของที่อยู่บนไม่วัดอันเดียวกัน แต่ทว่าอยู่คนละฝั่ง ของแต่ละคู่นี้ ล้วนเป็นธรรมชาติอันเดียวกัน เพราะหากเราสุข ประเดี๋ยวเราก็ทุกข์ ถ้าเราทุกข์ ประเดี๋ยวเราก็สุข นั้นเป็นเพราะเหตุใด เพราะใจของเราไปกำหนดไว้ ถ้าเราชอบ ใจของเราก็ไปยึดติดมัน เรารู้สึกดึงดูดเข้าหามัน ถ้าเขียนเป็นสัญลักษณ์ เราก็ว่าเป็นพลังฝ่ายบวกที่ดึงดูดเรา ครั้นไปพบของที่ไม่ชอบเข้า เราก็รู้สึกอยากหลีกหนีมัน หรือพยายามผลักมันออกไป มันคือพลังฝ่ายลบ ไม่ว่าจะเป็นลบ หรือเป็นบวก แท้ที่จริงมันก็วิ่งไปวิ่งมา กระดอนอยู่ระหว่างปลายของเชือกเส้นเดียวกัน หรือของไม้อันเดียวกันนั่นเอง เมื่อเราเห็นตามสภาพความเป็นจริงเช่นนี้ มันจะเกิดคิดตามมาเอง พอเราสุขก็จะไม่ปล่อยใจให้ฟูขึ้นไปเหมือนว่าวติดลม หรือเวลาทุกข์ เราก็ไม่ทุ่มตัวให้เศร้าโศกไร้สาระอะไรทั้งสิ้น ใจของเราจะค่อย ๆ หนักแน่นขึ้น และมองทุกอย่างด้วยสายตาที่เที่ยงธรรมขึ้น ความรู้สึกที่ยึดอยู่ว่า นี่คือเรา พอใครพูดไม่ถูกหู เราเคยหงุดหงิด ทนไม่ได้ รู้สึกไปว่า เขาดูถูกดูหมิ่น เราก็จะรู้สึกว่า มันเป็นเพียง สักแต่เสียง จะให้คนทุกคนมีความเห็นเหมือนกันทั้งหมดนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะแม้แต่หน้าตายังไม่มีที่เหมือนกัน
เราก็จะเกิดความเข้าใจ ทนได้ และเห็นอกเห็นใจขึ้นมาแทน ใจก็หาเหตุผลมาอธิบายแก้ต่างว่า ช่างเถิด เขาอาจไม่ชอบเรา แล้วไตร่ตรองในเนื้อหาที่เขาพูดว่ามีเหตุผลหรือไม่ หากสิ่งที่เขาพูดมีประโยชน์ มีสาระ เราเห็นว่าตัวเองยังบกพร่องอยู่ ก็เกิดความอดทนที่จะนำมาแก้ไขตัวของตัว แต่ถ้าพิจารณาโดยรอบคอบแล้วพบว่า สิ่งที่เขาพูดนั้นไม่มีสาระ เราก็มีน้ำใจที่จะอภัยให้เขาโดยคิดว่า เพราะเขาไม่รู้ ไม่ได้เจตนาร้าย ถ้ามีโอกาส เราก็จะไปชี้แจง หรือบอกให้เขาเข้าใจเสีย เมื่อเป็นดังนี้ ความขัดข้อง ความโกรธ ความขัดแย้ง ความเป็นอยู่ที่ทนได้ด้วยยาก ก็จะค่อย ๆ จางคลายไป กลายเป็นละมุนละม่อมเข้าหากัน คนเราก็จะอยู่กันด้วยความสุขยิ่งขึ้น ที่เคยเบียดเบียน ที่เคยมีเขา มีเรา ก็จะค่อย ๆ น้อยลง
เราจะเห็นทุกอย่างตามสภาพจริงอย่างที่มันเป็น ไม่ใช่ตามสภาพที่เราปักใจยึดมั่นอยากให้มันเป็น หรือหลงทึกทักเอาเอง ดึงดันเอาเอง คิดว่าเราจะต้องถูกตลอดกาล เมื่อเป็นอย่างนี้ คนทุกคนก็จะมีความคล่องตัวในการที่จะอยู่ด้วยกัน หรือทำงานด้วยกัน สิ่งที่แต่ก่อนนี้เป็นความขัดข้อง เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เป็นสิ่งที่เรารู้สึกว่าเป็นปัญหาหนักอก ก็จะเป็นปัญหาที่สลายตัวสิ้นไปเอง เพราะว่าไปแล้ว ความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงในชีวิต ส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากสิ่งที่เป็นจริงเป็นจัง แต่มาจากใจของเราเองที่ไปกำหนดขึ้น หรือไปสร้างสถานการณ์ขึ้น แล้วหลอกตัวเอง และเอาตัวของตัวไปติดข้องกับสิ่งนั้น ถ้าเราหัดมีสติ หัดตื่นอยู่ตลอดเวลา เราจะพบว่า ชีวิตที่เราเคยคิดว่าคับแค้น ทนอยู่ด้วยยาก จะค่อยคลี่คลายออก และไม่ได้ยุ่งยากถึงปานนั้นเลย ทุกสิ่งเป็นเพียงเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นแล้วเป็นไป เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป ไม่มีอะไรคงทนเที่ยงแท้ถาวร เราต้องคอยตามรู้จิตของเรา เราต้องตามรักษามัน แล้วพยายามทำให้มีประสิทธิภาพที่สุด
การทำใจให้มีประสิทธิภาพที่สุดก็โดยขจัดความสับสนออกจากกระแสความคิด เมื่อใดที่เผลอสติ ใจจะสับสนคิดไปคนละทิศละทาง ขัดแย้งกันเอง ผลที่สุด เราเหนื่อยเปล่าโดยไม่ได้อะไรเลย แต่ถ้าเรามีสติรู้อยู่ ตื่นอยู่ ความสับสนจะไม่เกิดขึ้น ทุกอย่างจะไปตามระเบียบ เกิดเป็นแรงรวมคือจิตสงบ เมื่อเกิดปัญหาหรือต้องการนำไปใช้ทำอะไรแล้ว มันก็จะมีกำลัง มีประสิทธิภาพ เพราะมันพร้อมไปด้วยปัญญา พร้อมไปด้วยเหตุ พร้อมไปด้วยผล เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจะทำอะไรย่อมเกิดประโยชน์กับทั้งตนและผู้อื่น เพราะใจที่มีสติกำกับ มีแยบคายปัญญาแนะสอน ย่อมเห็นสิ่งทั้งหลายเที่ยงตรงตามสภาพเป็นจริง มันอาจฟังเข้าใจยาก หรือฟังดูเหมือนอย่างกับ ว่า เป็นสิ่งที่ไม่สำคัญ แต่มันคือทางไปสู่คุณธรรมทั้งหลายทั้งมวล สิ่งที่คนเราทุกคนขาดเกือบตลอดเวลาคือ สติ เพราะส่วนใหญ่เราจะสนองตอบผัสสะที่มากระทบโดยไม่ทันไตร่ตรองหาเหตุผล สนองตอบผัสสะที่มากระทบโดยไม่ทันไตร่ตรองหาเหตุผล สนองออกไปโดยอัตโนมัติด้วยความเคยชิน ด้วยความจำได้หมายรู้ที่เคยเป็นมา เมื่อเราปล่อยให้เกิดขึ้นได้ครั้งหนึ่ง ก็จะเกิดครั้งที่สอง ที่สามง่ายขึ้นจนเป็นความเคยชิน เป็นนิสัย เมื่อติดเป็นนิสัยแล้ว มันยากที่จะแก้หรือตัดแปลง แต่ถ้าเรายั้งมัน ไม่ให้โอกาสมันเติบโตต่อไปจนกระทั่งฝังราก มันก็จะค่อย ๆ อ่อนกำลังลง เหมือนอย่างกับการหัดเด็ก ถ้าเราปล่อยให้เด็กแอบทำบ่อย ๆ ในที่สุดสิ่งนั้นก็จะกลายเป็นนิสัย แต่ถ้าเราไม่ให้โอกาสโดยคอยป้องกัน คอยตะล่อมไว้ คอยชักจูงด้วยปัญญา หาเหตุผลมาอธิบายให้เด็กเล็งเห็น ให้ความเมตตา ให้ความรักแก่เขา ใจของเด็กจะค่อย ๆ เกิดความเพียร ความพอใจ เต็มใจที่จะไม่ทำสิ่งนั้นเอง จัดเป็นการปลูกฝังนิสัยที่ดีให้เกิดขึ้น ซึ่งเปรียบเสมือนเส้นด้ายที่เหนียวและทนทาน ในที่สุดผ้าผืนนั้นก็จะเป็นผ้าที่มีคุณภาพดี
กิเลส เป็นสิ่งที่ทำให้ใจของคนเราเศร้าหมอง แต่ สติ ทำให้จิตใจแจ่มใส ปละจะช่วยให้ถึงภาวะที่บริสุทธิ์ได้ หากเราคิดว่า สิ่งเหล่านี้เป็นของเหลือบ่ากว่าแรง เป็นสิ่งที่มาดึงเวลาของเราไปเหมือนเราไปเข้าโรงเรียน หรือจำต้องงดกิจกรรมประจำวันทั้งหมดเพื่อเอาเวลามาฝึกสติ ก็โปรดเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ วิธีเช่นนั้นไม่ใช่วิถีธรรมชาติ ไม่ใช่วิธีที่เราจะได้รับประโยชน์อันแท้จริง เปรียบได้กับการไปเข้าหลักสูตรเรียนอะไรสักวิชาหนึ่ง ระหว่างที่เรียนสามเดือน หกเดือนแรก เรายังจำได้ แต่ครั้นเรียนจบแล้วไม่ได้นำมาใช้อีก มิช้ามินานก็ลืมหมด เพราะสิ่งนั้นยังเป็นเพียง สัญญา เหมือนกับเราท่องหนังสือสอบ พอสอบเสร็จได้ไม่เท่าไรก็ลืมหมด แต่ถ้าเราเข้าใจทะลุปรุโปร่งตามเหตุปัจจัย และนำมาฝึกฝนอยู่ทุกวัน ๆ ดัดแปลงให้สะดวก เหมาะสมกับชีวิตประจำวันของเราอยู่ทุก ๆ ขณะ ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนล้มตัวลงนอน เราบอกกับตัวเองว่า แต่นี้ต่อไป ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามเราจะมีสติรู้อยู่ในปัจจุบันนี้ทุก ๆ ขณะ ไม่ว่าจะดูคนไข้ หรือกำลังทำงานอะไร ก็ใส่ใจอยู่กับสิ่งนั้นด้วยความเต็มใจ ด้วยความพอใจ ในที่สุด สติจะกลายเป็นคุณสมบัติอันหนึ่งที่ประจำอยู่ในจิตใจของเราแล้วคอยปกป้องรักษา ให้เหตุให้ผลกับเราอยู่ตลอดเวลา โดยไม่ต้องเสียเวลาที่จะไปเข้าหลักสูตร เพื่อฝึกหรือละภาระหน้าที่ไป เพราะการทำเช่นนั้น ไม่ใช่วิธีที่ประสานกลมกลืนไปกับชีวิตประจำวันสติ นี้คือสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นหนทางสายเดียวที่จะพาเราไปสู่ความรู้แจ้งเห็นจริง รู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งใด ? รู้แจ้งเห็นจริงในสภาวธรรมทั้งมวล นั่นคือ การมองทุกอย่าง ปรากฏการณ์ทุกอันที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ตามความเป็นจริงของมัน เพราะสิ่งที่เป็นธรรมก็คือ สิ่งที่เป็นอยู่แล้วตามธรรมชาติ ไม่ว่าชาติไหน ศาสนาไหนมีโอกาสเห็นทั้งนั้น แต่เพราะจิตของเราสับสน จิตของเรายุ่งเหยิง จนไม่มีกำลังที่จะมอง เพ่ง นิ่งเข้าไป แลเห็นความเป็นจริงนั้นได้ เราจึงต้องอาศัยหลักที่พระพุทธองค์ทรงค้นคว้าทดลองด้วยพระองค์เอง แล้วนำมาเรียบเรียงจัดหมวดหมู่เป็นลำดับ เป็นหัวข้อให้ง่ายต่อการเข้าใจ มาเป็นแนวสอนใจ ช่วยให้เราเล็งแลเห็นได้ ผู้ใดก็ตามหากฝึกสติฝึกสมาธิให้แน่วแน่ และมองเพ่งนิ่งเข้าไปในจิตใจของตนเอง มองเพ่งนิ่งในสิ่งที่ปรากฏขึ้นแต่ละขณะ แต่ละขณะ ย่อมเห็นความจริงได้ด้วยกันทุกคน สิ่งใดที่เป็นธรรมะเป็นธรรมชาติที่แท้จริงแล้วไม่ว่าชาติใด ภาษาไหน มองแล้วย่อมเห็นอย่างเดียวกันทั้งสิ้น คำตอบย่อมเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น ไม่มีความขัดแย้ง ไม่มีความสับสน ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ คือสิ่งที่เราหมายถึงการตื่นอยู่เสมอ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อชีวิตประจำวันของคนทุกคน
เมื่อฟังแล้ว ประโยชน์ที่จะบังเกิดขึ้นมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นกับการนำไปประยุกต์ใช้ ดังคำพังเพยที่ว่า สิบปากว่า ไม่เท่าหนึ่งตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าลงมือกระทำ หากฟังแล้วไม่คิดนำไปทดลองปฏิบัติก็เป็นการเปล่าประโยชน์ เป็นต้นว่า มีผู้เอาเครื่องมือมาโฆษณาขาย เราซื้อแล้วเก็บใส่ถุงพลาสติกตั้งทิ้งไว้ใต้โต๊ะ นานวันเข้า ขี้ฝุ่นขี้สนิมจับจนผุพังไป ก็จัดเป็นการสิ้นเปลืองโดยไร้ประโยชน์ ตรงกันข้าม ถ้าใครนำอุปกรณ์มาสาธิตให้ฟัง เมื่อฟังแล้วเกิดความคิดว่า น่าจะนำไปขุดดิน เพราะช่วยทุ่นแรง เราก็ลองนำไปขุดดิน หรือนำไปใช้ตามความเหมาะสม จึงจะเป็นประโยชน์สมกับคุณค่าฐานะของแต่ละสิ่ง ทั้งหมดที่ได้สาธกไปนั้น ท่านผู้ฟังผู้ใดเห็นประโยชน์และคิดว่าพอจะนำไปดัดแปลงใช้แก้ปัญหาประจำวันของท่านได้ ก็จักเป็นความยินดีอย่างยิ่ง


คำถาม      ดิฉันรับราชการก็ปรารถนาอยากทำงานให้มีคุณภาพ และก็ได้พยายามใช้สติและปัญญาที่มีบ้างไม่มีบ้างเป็นครั้งคราวอย่างที่คุณหมอว่า ถ้าเมื่อใดกำหนดสติไม่ได้ ปัญหาที่พบอยู่จะทำให้หงุดหงิด ขัดข้อง และขมขื่น ดิฉันคิดไม่ตกว่า จะใช้วิธีอย่างใดจึงจะทำให้ความทุกข์น้อยลงได้ ยกตัวอย่างเช่น ตั้งแต่ปี ๒๕๐๓ เป็นต้นมาที่เริ่มทำงานเกี่ยวกับการกู้เงินจากต่างประเทศ เราได้พยายามวางกฎเกณฑ์กติกาในการพิจารณาให้รัดกุม พยายามล้างข้อบกพร่องของระบบราชการ เช่น การเล่นพวก เล่นพ้อง และได้สู้ตลอดมาแต่ไม่เคยชนะเลย ตรงกันข้าม ความพ่ายแพ้นี้ยิ่งนานวันเข้ายิ่งรุนแรงเพิ่มขึ้น อันนี้เป็นความทุกข์อย่างหนัก ดิฉันจะแก้ไขอย่างไรดี
ตอบ     ปัญหานี้ต้องแยกออกเป็นสองประเด็น เพราะประกอบด้วยตัวเรา และผู้ร่วมงาน เราเห็นว่า สิ่งที่ทำเป็นสิ่งถูกต้อง เป็นสิ่งที่มีเหตุ มีผล ถ้าจะเปรียบการกระทำของเราเป็นน้ำฝนก็พอจะเปรียบได้ดังนี้ เมื่อฝนตกลงมานั้น ไม่ได้จำเป็นว่ามันจะตกเข้าไปในภาชนะมุกอันเท่ากัน เพราะภาชนะแต่ละอันที่มีอยู่นั้น ไม่ได้ตั้งอยู่ในภาวะที่พอเหมาะเท่ากัน เป็นต้นว่า บางอันคว่ำอยู่ หรือบางอันหงายอยู่ก็จริง แต่มีฝาปิด ถ้าเป็นเช่นนั้น ต่อให้ฝนตกจนน้ำท่วมโลกก็ย่อมไม่มีน้ำฝนเข้าไปในภาชนะเหล่านั้นได้ เมื่อเห็นจริงตามนี้แล้ว ใจเราจะเปิดกว้างออก และยอมรับว่า คนบางคนอาจมีความยึดมั่นถือมั่น หรือความหลงบังตาอยู่มาก จนเห็นผิดเป็นชอบ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเราจะพยายามเพียงใด ใจของเขาก็เปรียบเหมือนถ้วยที่มีฝาปิดสนิทแน่น อย่าว่าแต่น้ำจะไม่เข้า แม้แต่ฟองอากาศก็ยังซึมเข้าไปไม่ได้ เมื่อเป็นอย่างนั้น เราก็ต้องทำใจให้เป็นกลางวางเฉย เพราะเราได้ช่วยจนสุดความสามารถแล้ว พระพุทธองค์ทรงสอนว่า ความจริงเป็นสิ่งไม่ตายก็จริง แต่ถ้าใช้ผิดกาละเทศะ ความจริงนั้นสามารถฆ่าเราให้ตายได้ ท่านสอนว่า ถ้าเรามัวแต่เมตตาคนหมดทั้งโลก โดยขาดสติ จนความเมตตานั้นกลายเป็นปัญหาเผาใจเราให้เกิดทุกข์ ก็เป็นเมตตาที่ผิด เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เราเมตตาโดยฆ่าตัวเอง ถ้าเราเมตตา เราพยายามทุกทางหมดแล้ว แต่เขาไม่เข้าใจ ไม่รับฟังเรา ก็ต้องหยุดการกระทำของเราแต่แค่นั้น ปละน้อมใจแผ่กุศลไปยังเขา เพื่อว่า สักวันหนึ่ง คงมีอะไรที่สามารถสะกิดใจเขาให้เกิดฉุกคิดขึ้นมาได้
คราวนี้หันมามองตัวเรา ขณะที่มีสติเพ่องอยู่กับใจนั้น เปรียบได้กับแว่นแก้วนูน ซึ่งรวมแสง พอมีอะไรเกิดขึ้น เราจะมองเข้าข้างใน คือใจของตน ว่ายังมีอะไรบกพร่องบ้าง ด้วยความตั้งใจจริงอย่างมากมาย เราอาจกระด้าง แลดูก้าวร้าว เหมือนอย่างกับไม่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น คนบางคนมีตัวมีตนมาก ความผิดของตัวเองแลไม่เห็น จะเห็นแต่ของคนอื่น เพราะฉะนั้นเอาสติมาเป็นแว่นแก้วนูน เอาคมมีดถากตัวของเราก่อน ถ้าสงสัยอะไรให้ผลประโยชน์แก่จำเลยโดยลงโทษตัวเราก่อน แก้ไขปรับปรุงตัวเราก่อน แล้วในที่สุดด้วยจิตที่ตั้งไว้เที่ยงธรรมและทำทุกอย่างด้วยเมตตาต่อเขา ด้วยความบริสุทธิ์ใจต่อเขา จิตของคนเราเป็นพลังงานซึ่งส่งกระแสไฟฟ้าไปสัมผัสกันได้ กระแสที่เมตตาและเที่ยงธรรมนั้นก็อาจน้อมให้ความแข็งข้อ หรือความมีปมของเขาค่อย ๆ คลายลงจนทำให้ของที่เคยพูดกันไม่ได้ แสลงหู ขัดหู กลายเป็นสิ่งที่พอประนีประนอมกัน เป็นสิ่งที่มาพบกันที่ครึ่งสะพานได้ ตรงข้ามถ้าเราปล่อยใจให้โทมนัสน้อยใจ ขัดข้อง ขมขื่นถึงปานนั้น เราก็ขาดสติ ซึ่งผิด เพราะถ้าเรายังมีสติอยู่เราเราจะใคร่ครวญทุกอย่างด้วยเหตุผล และเห็นว่าเราได้ประกอบเหตุเต็มที่แล้วไม่สามารถทำอะไรได้ดีกว่านี้หรือมากกว่านี้ได้ เพราะสุดสติกำลังความสามารถของเราแล้ว ก็ต้องยอมรับผลที่เกิดขึ้นว่ากรรมจำแนกไว้อย่างนั้น อาจเพราะภาวะโอกาสยังไม่เหมาะเหมือนอย่างกับเรามีหน้าที่นำเมล็ดพันธุ์พืชไปหว่านลงในแปลง เรารู้ว่าเมล็ดที่หว่านไปนั้นเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดี ที่เลือกคัดแล้วทุกเมล็ด แต่เรากำหนดที่ดินไม่ได้ ที่ดินแปลงที่เราได้มานั้นอาจเป็นหินดานหรือขาดปุ๋ย ขาดน้ำ เหล่านี้ไม่ใช่ความผิดของเรา หรืออยู่ในความรับผิดชอบของเราเลย หรือเราจะกำหนดดินฟ้าอากาศว่าฝนต้องตกเมื่อนั้น ตกมาแล้วต้องได้น้ำแค่นั้นมิลลิเมตร ย่อมเป็นไปไม่ได้ สิ่งเหล่านี้แต่ละคนที่มีความรับผิดชอบร่วมกับเราต้องร่วมใจร่วมมือด้วย ผลจึงจะงอกงามออกมาอย่างที่เราต้องการการแก้ไข คือ การรักษาสติให้กำกับอยู่กับใจ มองทุกอย่างให้ถ่องแท้ แดทนรับความจริงที่เกิดขึ้นอย่างสงบเยือกเย็น รับด้วยความเข้าใจ ด้วยความเต็มใจ ด้วยความเต็มใจ หากทำได้ดังนี้ ใจที่ทุกข์คงคลายไป

คำถาม     พวกเราที่ทำงานกันอยู่เดี๋ยวนี้ สติที่จำเป็น คือ สติที่จะอยู่กับงานหรืออยู่กับสิ่งที่ทำทุกวัน ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปฝึกสมาธิตามแบบแผนใช่หรือไม่
 ตอบ      จะสรุปดังนั้นก็ไม่ถูกแท้ การฝึกสติควบไปกับการทำงานนั้นเป็นของยาก เพราะไหนจะมีเสียงรบกวน ไหนจะมีปัญหาขัดข้อง ไหนจะมีผู้คนมาเกี่ยวข้องรอบข้าง ส่วนการฝึกในที่สงบเงียบอย่างเป็นแบบแผนนั้นย่อมเป็นผลง่ายกว่า อุปมาได้ดังนักมวย หากอยู่ ๆ ก็ขึ้นชกบนเวทีเลย โอกาสที่จะชกแพ้ย่อมมีมากกว่าที่จะชนะ แต่ถ้าเรามีเวลาไปฝึกซ้อมกับกระสอบทราย มีคู่ซ้อม มีครูฝึกที่คอยบอกเราว่า ต้องทำอย่างนั้นต้องทำอย่างนี้ มีระฆังกำหนดเวลาว่า ครั้งแรกเอานานเท่านี้ แล้วค่อยเพิ่มขึ้นไปโดยลำดับ หรือการซ้อมวิ่งทนยิ่งมีชั่วโมงฝึกมากเท่าไร กำลังและความคล่องตัวย่อมทวีตาม แต่คนทุกคนไม่สามารถปลีกตัวไปฝึกสมาธิอย่างเป็นแบบแผนได้ เช่น เรารับราชการอย่างนี้ หากจะขอลาพักเพื่อไปหัดทำสมาธิสัก ๒ เดือน คงไม่มีใครอนุญาต ถ้าเรายึดว่า หากจะฝึกสติก็ต้องเริ่มด้วยการทำสมาธิตามลำดับขั้นตอน ถ้าไม่ได้อย่างนั้นก็ไม่ทำ เราก็ทิ้งเวลาให้เสียไปเปล่า ๆ เพราะเราไม่รู้ตัวว่า ตัวจะเจ็บก่อนแล้วจึงตาย หรือต้องอายุเท่านั้นเท่านี้จึงจะตาย เรากำหนดไม่ได้ เราไม่รู้การณ์อนาคต ดังนั้นจึงควรฝึกตัวเองให้คิดว่า อะไรก็ตามที่สามารถทำได้เดี๋ยวนี้ จงลงมือทำทันที อย่าผัดวันประกันพรุ่ง แม้จะยากลำบาก จะลุ่ม ๆ ดอน ๆ ขาด ๆ เกิน ๆ ก็ตาม เราก็จะพยายามโดยสุดสติปัญญาความสามารถ และนำมาประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ถ้าบังเอิญโชคดีทีอายุยืนนานต่อไป เราจะได้มีเวลาซ้อมมากขึ้นเพื่อให้เกิดความชำนาญ เกิดความคล่องตัว ถ้าโชคร้าย เกิดคับขันต้องตายลง เราก็ยังมีอะไรพอเป็นชิ้นเป็นอัน ติดไม้ติดมือไปบ้าง ถึงจะไม่ครบถ้วนเป็นแกงหม้อใหญ่ ก็อาจจะมีเครื่องแกงหลายอันจัดใส่พกใส่ห่อของเราติดตัวไป พอเป็นเสบียงกรังได้
จุดสำคัญคือ ให้เราพยายามที่จะพึงพอใจกับความเป็นไปในทุก ๆ ขณะที่เราเป็นอยู่นั้น มีหัวหน้าครอบครัวหนึ่ง บ่นหงุดหงิด ว่าไม่มีเวลาเป็นของตัวเองเลย ตอนเย็นก็ต้องดูแลลูกให้ทำการบ้าน ตอนค่ำต้องช่วยภรรยาล้างชามตอนเช้าต้องซักผ้า เป็นต้น ครั้นถึงตัวเองก็ไม่มีเวลาเหลือแล้ว อยู่มาวันหนึ่ง ฉุกคิดได้ว่า เหตุใดเราจึงไม่เอาใจของเราไปชื่นชมกับการดูลูกให้ทำการบ้าน และเข้าไปขบคิดการบ้านเหล่านั้นเสมือนเป็นปัญหาของเราระหว่างล้างชาม ก็ทำใจให้เต็มใจล้างชาม เอาสติอยู่ที่ชามที่กำลังล้าง แล้วล้างให้ประณีตละเอียดลออทุกขณะที่ทำ อย่าไปคิดว่าเราทำเพื่อผู้โน้นเราทำเพื่อผู้นี้ เราต้องทนทำงานที่ไม่อยากทำ ให้เปลี่ยนวิธีคิดเสียใหม่ โดยนึกว่า ถึงเราทำงาน เราก็ฝึกสติไปด้วยได้ โดยเอางานนั้นแหละมาเป็นทุ่นให้ใจเกาะ แล้วใส่ความจงใจ ความตั้งใจลงไปในงานนั้น เมื่อทำเช่นนี้แล้ว เวลาที่ไม่ได้ทำงาน เช่นนั่งพักหรืออยู่เฉย ๆ ก็เอาลมหายใจมากำหนดไว้ ให้ใจรู้อยู่กับลมที่เราหายใจนั้น การมีชีวิตอยู่โดยไม่มีสติรู้อยู่กับสภาวะปัจจุบันของเรา เปรียบเหมือนคนที่ตายแล้ว เพราะลมหายใจเปรียบได้กับชีวิต หยุดหายใจเมื่อใด ชีวิตก็สุดสิ้น จิตที่ไม่มีสติอยู่ คือจิตที่ไม่มีสำนึก เพราะฉะนั้น เมื่อเอาสติไปกำกับจิตก็เป็นจิตสำนึก ชีวิตและจิตสำนึกเอามาประสานกลมกลืนกันด้วยการที่เอาสติมากำหนดรู้จิตของเราเอง และเฝ้าตามรู้อยู่ในลมหายใจ เมื่อสติตามรู้อยู่เช่นนี้ กายและใจของเราจะอยู่ในอารักขาของสติ การกระทำซึ่งจัดเป็นกายกรรม คำพูดคือ วจีกรรม หรือจิตที่นึกคิดไป ซึ่งเป็นมโนกรรม ก็จะเป็นสิ่งที่ผ่านการกลั่นกรองของสติออกไป ย่อมเป็นสิ่งที่มีสาระ ประกอบด้วยเหตุผล ไม่ได้ไปตามอารมณ์ อคติ หรือ ความยึดมั่น ความเข้าใจผิดอะไรทั้งสิ้น ชีวิตเราก็จะเป็นชีวิตที่บริบูรณ์มีคุณค่า แต่ถ้าเราสามารถปลีกตัวไปฝึกสมาธิอย่างเป็นแบบแผนด้วยเป็นครั้งคราว ก็เป็นของดียิ่ง
คำถาม     การฝึกสมาธิแบบไหนดีที่สุด และจำเป็นต้องฝึกนาน ๆ หรือไม่
คำตอบ     การฝึกโดยกำหนดสติให้อยู่กับใจตั้งแต่ลืมตาตื่นเป็นดีที่สุด เราพยายามรู้อยู่ในการกระทำ คำพูดและความคิดทุก ๆ อย่างของเราให้ต่อเนื่องกันไปทุกขณะ ๆ แต่ที่พูดนี้คือทฤษฎี เราตั้งวัตถุประสงค์ไว้เช่นนั้น แต่ความจริงนั้นมันไม่ได้ เพราะใจของเราเป็นธรรมชาติที่ไม่อยู่นิ่ง ปละเผลอสติอยู่เป็นอาจิณ มันจะคิดโน่นคิดนี่ไปทางโน้นทางนี้ เมื่อไรที่รู้ตัว เราก็หยุดมัน แล้วเอาสติกำหนดดูต่อไปอีก ความสม่ำเสมอก็มีส่วนช่วยมาก สมมติเราจะหัดเด็ก เคยสอนว่า ทุก ๆ วันต้องทำอย่างนี้ ๆ พอทำไปสองสามวัน เราก็เริ่มหลวม โดยปล่อยให้เด็กไปดื้อไปซนอะไรก็ได้ พอถึงวันที่สี่ สิ่งที่ฝึกไว้ย่อมถอยหลัง เพราะขาดความสม่ำเสมอต่อเนื่องในการฝึก ใจของเราก็เช่นเดียวกัน ความยาวนานของการฝึกคือปริมาณ ไม่ว่าจะทำสิ่งใด ทั้งคุณภาพและปริมาณย่อมมีความสำคัญเสมอกัน บางท่านพบว่า ถ้าฝึกวิธีนี้จะไม่ได้ผล เพราะไม่สามารถกำหนดสติได้ แม้จะใช้ลมหายใจเป็นทุ่นก็ยังสับสนว่าจะกำหนดอย่างไร ดึงลมบังคับลมจนเหนื่อยเพลีย แต่ใจก็ไม่ยอมนิ่งให้ ต้องฝึกโดยวิธีให้เสร็จธุระการงานหมดแล้ว อาบน้ำ สวดมนต์ ก่อนเข้านอนจึงมีเวลานั่งเงียบ ๆ เพื่อทำสมาธิ โปรดพยายามทำให้ตรงเวลา สม่ำเสมอ เหมือนอย่างกับเป็นตารางสอนว่า ถึงเวลานี้เราต้องทำ อาจประมาณครึ่งชั่วโมง หรือหนึ่งชั่วโมง ก็สุดแล้วแต่ แบบนี้ก็เป็นวิธีหนึ่งที่หลาย ๆ ท่านทำแล้วพบว่าถูกกับจริตของตน ถ้าเราเป็นประเภทเก็บเล็กผสมน้อยก็ทำวิธีแรก คือพอลืมตาตื่นขึ้นมาก็พยายามให้มีสติรู้อยู่กับการกระทำของเราทุก ๆ อย่าง ทุก ๆ ขณะ หากเผลอไป เมื่อใดที่รุ้ตัวก็เรียกสติกลับคืนมา ข้อสำคัญคือ อย่าหงุดหงิดว่า ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ ตั้งใจเอาไว้แล้วก็ยังเผลอไปอีกได้ ความคิดอย่างนั้นมันจะยิ่งทำให้แย่ยิ่งขึ้น เพราะแทนที่ใจจะสงบ จะเป็นสมาธิ เลยมัวแต่ไปหงุดหงิดอยู่อย่างนั้น ยอมรับความจริงแล้วมองให้เห็นว่า ใจของเราไม่เที่ยงอย่างนี้เอง เราคิดว่า เราควบคุมตัวเองได้ แต่แท้ที่จริงนั้น ควบคุมไม่ได้ บอกให้นิ่งก็เถลไถลคิดปรุงไปต่าง ๆ นานา เราเฝ้าดูรู้อยู่อย่างนั้น ครั้งแรกเราก็อาจเผลอคิดปรุงไปตั้งค่อนวันกว่าจะรู้สึกว่าเราสติขาดไป เมื่อฝึกอยู่สม่ำเสมอนานเข้า ๆ ช่องว่างของความเผลอสติจะค่อยสั้นเข้า สั้นเข้า เลือกดูอย่างไหนเหมาะกับเราสะดวกกับเรา สะดวกต่อการปฏิบัติ ก็ถือว่าแบบนั้นดีที่สุดสำหรับเราคำถาม     คนที่ปฏิบัติธรรมฝึกสติ จะต้องศึกษาธรรมะมาก ๆ หรือเปล่า คือบางคนศึกษาพระอภิธรรม รู้ว่าเจตสิกมีกี่ดวง กิเลสมีอะไรบ้าง บางคนรู้หมดเลย แต่ยังทำอะไรไม่ได้สักอย่าง มีหลายคนรู้ขนาดเขียนหนังสือธรรมะเล่มใหญ่ แต่ก็ไม่ปฏิบัติเลย
คำตอบ     ไม่จำเป็น เพราะสิ่งที่เรียนจากหนังสือนี้เป็น สัญญา บางคนพอเรียนรู้แล้วเกิดความหลงตัวเอง คิดว่าเรารู้หมดแล้ว มีท่านอาจารย์องค์หนึ่งเล่าถึงองค์ท่านเองว่า ก่อนที่ท่านจะปฏิบัติ ท่านก็ศึกษาจนสอบได้มหาเปรียญ ปละท่านภูมิใจในปริยัติของท่าน ใครมาถามถึงกิเลสตัวใด ท่านตอบได้โดยพิสดาร ครั้นมาปฏิบัติได้พักหนึ่ง จึงรู้ว่า ขณะที่เราว่าให้เขาฟังนั้น กิเลสยังอยู่ในตัวเราเต็มไปหมด มีทั้งที่ขี่หลังนั่งคอ รวมทั้งกระทืบอยู่บนหัว เราก็มองไม่เห็น ซ้ำร้ายยังคิดเฟื่องว่า เมื่อเราเรียนรู้ถึงกิเลสตัวใดแล้ว ก็แสดงว่าเราขาดจากกิเลสนั้น ๆ  แล้วเพราะเหตุนี้จึงได้บอกว่า การเรียนอภิธรรม หรือศึกษาตำรานั้น เหมือนเรากางแผนที่แล้วแล่นเรือบนบก ปละคิดว่าเราแล่นเก่งแล้ว ครั้นต้องเอาเรือลงน้ำเข้าจริง ๆ มันเป็นคนละเรื่องกับที่เราเคยแล่นบนบเลย เพราะฉะนั้น ถ้าตกลงจะปฏิบัติ ไม่ต้องลังเล ไม่ต้องคิดว่าเราจะต้องไปเรียนก่อน ลงมือปฏิบัติเลย แล้วมันจะรู้เห็นตามความเป็นจริงขึ้นมาเอง ซึ่งพอถึงตอนนั้นแล้ว ไม่ต้องไปเรียนอภิธรรมเราก็รู้ เพราะพระพุทธองค์ตรัสว่า ธรรมะนั้นรู้เห็นเป็นขึ้นในใจของผู้ปฏิบัติทุกคน
คำถาม     ทำไมบางคนเข้าวัดแล้วยังขี้โมโห
คำตอบ     ก่อนเข้าวัดเราก็ขี้โมโหอยู่เท่านั้นแล้ว แต่สติยังคมไม่ทันจะตามเห็น คือเราโมโหออกไปโดยไม่เห็นตัวของตัวเอง ครั้นเข้าวัดแล้ว สติเริ่มคมขึ้น จึงเห็นความโมโหของตนเองได้ อันนี้เป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติควรระวัง เพราะมีหลายคนบ่นท้อใจว่า ก่อนปฏิบัติก็คิดว่าตัวเองเป็นคนดี แต่พอมาปฏิบัตินานวันเข้า ยิ่งต้องยอมรับกับตัวเองว่าเลวลง นั่นไม่จริง ถ้าจะเปรียบจิตของเราเหมือนน้ำในตุ่มที่มีตะกอน เพราะความไม่ดีของเรา กิเลสของเราที่ตัวเองยังมองไม่เห็นนั้น เปรียบเหมือนตะกอน ไม้ไม่มีอะไรไปกวนน้ำ ตะกอนจะนอนก้นอยู่ ทให้น้ำข้างบนแลดูใส ใจของเราก็เช่นกัน ถ้าไม่มีสิ่งภายนอกมากระทบ กิเลสก็นอนตัวเงียบ ๆ อยู่ในใจ ไม่มีหนทางแสดงตัวให้เราได้รู้ได้เห็น ครั้นมาปฏิบัติเข้า สติคมขึ้น ทำให้เรามองเห็นลึกลงไปถึงก้นตุ่มได้ เราจึงไปเห็นของที่มีอยู่แต่ดั้งเดิม ไม่ได้มีใครใส่เข้าไปใหม่เลย แล้วเราก็ตกใจ เพราะแต่ก่อนนั้นเราคิดเอาเองว่า เมื่อไม่เห็นคือไม่มี คือเรานี้ดี ดีที่สุดแล้ว ใครตำหนิไม่ได้ พอวันหนึ่ง จู่ ๆ เกิดไปมองเห็นความจริงที่น่าเกลียดเข้า เลยตกใจ ท้อใจ ซึ่งไม่ถูก ตรงกันข้าม ควรพอใจว่า การปฏิบัติเริ่มแสดงผล เพราะสติมีสมรรถภาพขึ้น แต่ปัญญายังแยบคายไม่พอ จึงเกิดความตื่นกลัวเงาของตนเอง ต้องพากเพียรให้มากขึ้น หรืออีกกรณีหนึ่ง เมื่อสติคมขึ้น จิตจะละเอียดตาม ทำให้สิ่งซึ่งแต่เดิมรู้สึกธรรมดาเกิดครูดตามความรู้สึกของเรา เป็นต้นว่า เมื่อก่อนต่างถือวิสาสะหยิบข้าวของของกันและกันใช้โดยไม่เห็นเป็นข้อบกพร่อง ครั้นมาปฏิบัติเห็นความหมายของศีลลึกซึ้งขึ้น คอยระมัดระวังตนเองไม่หยิบฉวยของใครก่อนได้รับอนุญาต เกิดเพื่อนของเรามาหยิบของที่เตรียมไว้เพื่อใส่บาตรไปกินโดยไม่ทันได้คิด เพราะเคยทำมาจนเป็นธรรมดา พอเรารู้เข้าก็หงุดหงิด เพราะอุปาทานที่ว่าเราไม่ทำเช่นนั้นแล้ว เพื่อนย่อมต้องไม่ทำเช่นกัน เราก็ตัดสินเขาไปโดยไม่เที่ยงธรรม ถ้าไม่สำรวจตนเองอย่างเข้มงวดและเกิดปัญญา เข้าใจถึงสมมติฐาน เราจะกลายเป็นคนจุกจิกจู้จี้ ขี้โมโห เป็นต้นว่า เราสงบไม่ทำเสียงรบกวนใคร ตั้งใจจดจ่อเพ่งสติให้ต่อเนื่องกัน ก็เลยทึกทักเอาว่า ทุกคนต้องทำอย่างเรา ต้องเข้าใจเรา และรู้จักเกรองอกเกรงใจเรา ครั้นใครเปิดเพลงเสียงดังไปนิด หัวเราะสนุกสนานกันตามปกติที่เคยเป็นมา เราก็หงุดหงิดทนไม่ได้ รู้สึกว่าเสียงนั้นดังคับห้องดังนี้เป็นต้น อาการเหล่านี้บ่งถึงโรคแทรกซ้อนของการภาวนา ต้องระวังอย่างหนัก อย่าให้สำแดงอาการขึ้นได้ เพราะเมื่อมีอาการขึ้นแล้ว ยากต่อการรักษา จิตเป็นมิจฉาทิฐิ เป็นการภาวนาสะสมกิเลส แทนที่จะเป็นการภาวนาเพื่อละกิเลสดังที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน
คำถาม     การฝึกสมาธิคนเดียวหรือฝึกเป็นกลุ่มดี
คำตอบ     การฝึกคนเดียวเป็นวิธีถูกต้อง เพราะธรรมะสอนให้เรามีตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ความเงียบขณะอยู่คนเดียว ช่วยให้เราเพ่งดูจิตของเราได้ชัดขึ้น ความนึกคิดนั้นคือเสียงพูด แต่เป็นเสียงพูดที่เบามาก ปกติเราจึงไม่ได้ยิน เพราะเรามัวไปฟังเสียงข้างนอก จนมันดังกลบเสียงความนึกคิดของเราเสียหมด การฝึกเป็นกลุ่ม มักมีเสียงภายนอกรบกวน เพราะใจของเราที่เคยหัดไว้ให้เป็นเหมือนแว่นแก้วเว้า คือคอยแต่จะกระจายออก พอมีอะไรจากภายนอกเกิดขึ้น ใจของเราจะกระจายออกไปรับ ถูกดึงดูดออกไปสัมผัสกับสิ่งนั้น แทนที่จะรวมอยู่ภายในตัวของตัว คอยเพ่งฟัง เพ่งดู ความนึกคิดของตน เพราะฉะนั้นยิ่งมีหมู่มากเท่าใด โอกาสที่จะทำสมาธิก็ยิ่งยากเท่านั้น แต่ถ้าเราจะน้อมการมีหมู่มากเป็นเครื่องช่วยบังคับใจของเรา เช่น เราเกิดปวดเมื่อยคิดอยากเลิก แต่ยังเห็นหมู่ยังภาวนาอยู่ เกิดละอาย บังคับใจให้ฝึกทนทำต่อไป หากคิดแบบนี้ การฝึกเป็นกลุ่มก็ให้ประโยชน์
ของทุกสิ่งในโลกโดตัวของตัวเป็นสิ่งกลาง ๆ ไม่มีดีไม่มีเสีย แต่มันจะดีหรือเสีย ก็เนื่องจากแยบคาย ปัญหาของแต่ละบุคคลที่นำมันไปประยุกต์ใช้

พิมพ์โดย   ปภัสสสร มีพงษ์
แหล่งที่มา  http://web.krisdika.go.th/buddha/1_life.pdf

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Back To Top