Header Ads

วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2561

บรรยายของหมออมรา พึ่งตน

บรรยายของหมออมรา
พึงตน

บรรยายโดย พญ.อมรา มลิลา
เมื่อ -
  ไม่มีบรรยาย
หมวด
อันดับที่            

เด็กหญิงวัยรุ่น ชื่อเสียงเรียงนามว่า เอื้อย ตัดสินใจหอบผ้าผ่อนสมบัติประดามี หนีตามหนุ่มน้อยที่เพิ่งรู้จัก นับเบ็ดเสร็จได้เก้าวันพอดิบพอดี เหตุผลในใจของเอื้อยคือ เธอต้องการอิสรภาพ การเป็นลูกคนโต ที่มีน้องเรียงกันปีละคนถึงเก้าคน เป็นความวุ่นวายและเบียดเบียนสิทธิส่วนตนของเธออย่างมหาศาล ความรู้แค่จบประถมหก ทำให้เอื้อยไม่ฝันเฟื่อง ยิ่งภาวะครอบครัวเป็นเช่นว่า เอื้อยก็ถูกฝึกให้เป็นคนหนักเอาเบาสู้ หยิบจับทำงานทุกอย่างที่ขวางหน้า โดยไม่มีเวลาบวกลบคูณหารว่า เป็นการถูกกินแรงโดยไม่ยุติธรรมหรือเปล่า
เมื่อตกลงปลงใจเป็นนก บินออกจากคอนไปสู่โลกกว้าง เอื้อยก็บอกกับตนเองว่า เธอจะเรียนรู้ทุกอย่าง แล้วปรับปรุงตัวเองให้เข้ากับสภาพแวดล้อม เพื่อความอยู่รอด
หนุ่มน้อยของเอื้อยมีชื่อเรียกขานว่าอ้าย มีประวัติหนีออกจากบ้านมาตั้งแต่อายุสิบสี่ เพราะพ่อเมาเหล้าทั้งวัน มีข้าวของเงินทองเท่าไรก็เอาไปละลายเป็นน้ำเหล้า จนบางวันอ้ายไม่ได้กินอะไรเลย ถ้าไม่มีเงินไปซื้อเหล้าให้พ่อ พ่อก็จะอาละวาดเฆี่ยนตีอ้ายอย่างหนัก แม่ของอ้ายไม่สามารถทนทานต่อทารุณกรรมของพ่อได้ ก็ล้มเจ็บด้วยความตรมตรอมใจ และตายจากไปตั้งแต่อ้ายอายุเพิ่งได้แปดขวบ
วันที่อ้ายตัดสินใจหนีออกจากบ้าน เป็นเวลาปิดเทอม อ้ายเพิ่งสอบมัธยมสามได้ วันนั้นทั้งบ้านไม่มีเงินเหลืออยู่เลย พ่ออยากเหล้าจนขาดสติ สั่นไปหมดทั้งตัว อ้ายหาสมบัติทั่วบ้าน เพื่อจะเอาไปแลกเป็นเหล้ามาให้พ่อก็ไม่มี พ่อคว้าได้เข็มขัดหนัง ก็ฟาดอ้ายจนหลังแตก แล้วยังกระหน่ำฟาดต่อไปโดยไม่หยุดยั้ง ตาพ่อแดงกล่ำด้วยพิษโทสะ และขวางไร้แววจากความขาดสติ เพราะร่างกายทุคนทุรายด้วยความกระหายเหล้า
อ้ายมองดูพ่อแล้ว ก็รู้ขึ้นในใจว่า ยามนี้พ่อของอ้ายคือผีบ้าที่เป็นทาสน้ำเหล้า ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี หรือเหตุผลใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าอ้ายยังอยู่ขวางหน้า พ่อก็คงตีจนตายโดยไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังทำอะไรลงไป อ้ายจึงตัดสินใจวิ่งออกจากบ้านไปตัวเปล่า ๆ ไม่มีทรัพย์สมบัติมรดกสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย เดินตุหรัดตุเหร่ไปจนค่ำ จึงนึกได้ถึงเพื่อนรุ่นพี่ที่ทำงานเป็นช่างฟิตอยู่อู่รถ อ้ายก็ออกเดินอย่างมีจุดหมายไปที่อู่นั้นและที่นั่น อ้ายได้เริ่มชีวิตใหม่ที่ยืนบนลำแข้งของตัวเอง เริ่มตั้งแต่เป็นลูกมือรับใช้ทุกอย่าง และเรียนรู้การทำงาน ซ่อม แก้ ฟิตเครื่องยนต์ เรื่อยไปจนหัดขับรถประสบการณ์จากพ่อ ทำให้อ้ายเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่แตะต้องเหล้า ไม่สูบบุหรี่ หรือเครื่องเสพติดใด ๆ เพราะรู้ถึงพิษภัยของมัน ขยันขันแข็งในการงาน หนักเอาเบาสู้ จึงเป็นที่รักใคร่เอ็นดูของนาย
อยู่มาวันหนึ่ง นายเรียกอ้ายไปพบ มอบหมายให้ขับรถบรรทุกอะไหล่ไปส่งลูกค้าที่ต่างจังหวัด พร้อมทั้งอยู่บริการซ่อมแก้เครื่องยนต์ของเขาจนใช้การได้ ที่นี่เอง ที่อ้ายพบกับเอื้อย ได้พูดคุยกัน เกิดความสนิทสนม คุ้นเคย รักใคร่ ตกลงปลงใจจะร่วมชีวิตเป็นคู่ผัวตัวเมียกัน
อ้ายอายุยี่สิบ เอื้อยอายุสิบสี่เอื้อยบอกกับอ้ายตรง ๆ ว่า เธอกลัวการมีลูก เพราะการได้เห็นแม่เป็นเหมือนเครื่องผลิตลูก ทำให้เธอพิศวงว่า การทำลูกขึ้นมาโดยไม่คิดให้ถี่ถ้วนเสียก่อนว่า จะสามารถเลี้ยงดูได้เหมาะสมหรือไม่นั้น ถูกหรือผิด อ้ายเห็นว่าความกลัวของเธอไร้เหตุผล เขาเชื่อว่า เมื่อเราเป็นเจ้าของชีวิตของเรา เราก็ควรเชื่อความรู้ ความสามารถของตนเอง เมื่อมีครอบครัว ก็ควรมีลูก เอื้อยแย้งว่า ประสบการณ์ของผู้อื่นก็มีส่วนสอนให้เรารอบคอบ ไม่ต้องเอาตัวเองไปติดบ่วงเช่นนั้นโดยไม่จำเป็น ถ้าเรายังไม่รู้จักวิธีเป็นพ่อและแม่ที่ถูกต้อง เราก็ควรใช้เวลาศึกษา แสวงหาความรู้ ก่อนจะสุ่มสี่สุ่มห้าทำอะไรลงไป แล้วค่อยคิดแก้ไขภายหลัง เข้าทำนองล้อมคอกเมื่อวัวหายชีวิตทั้งหลายก็มีสามัญลักษณะเช่นนี้ คือ มาจากความไม่รู้ รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง รู้ไม่รอบ รู้ไม่จริง เพราะใจที่ครอบครองเรือนร่างแต่ละรูปกายอยู่ มีความหลง อวิชชา และความยึดผิด อุปาทาน เคลือบแฝงคลุกเคล้าอยู่ ถ้าเปรียบใจเป็นน้ำ สิ่งแปลกปลอมหรือสารมลพิษเหล่านี้ อันได้แก่ อวิชชา อุปาทาน ตัณหา กิเลส ก็เปรียบเหมือนน้ำมัน น้ำและน้ำมันมีธรรมชาติที่คลุกเคล้าเข้ากันไม่ได้ ต่างอันต่างอยู่ เพราะใจแท้ ๆ ที่ชำระด้วยสติสัมปชัญญะ ปัญญา จนบริสุทธิ์ เป็นพุทธะ เฉกเช่นใจของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และของพระอรหันตสาวก เป็นวิมุตติ แต่กิเลส ตัณหา อวิชชา อุปาทาน เป็นสมมติวิมุตตินั้น เป็นโลกุตตระ คือสิ่งเหนือโลก เหนือสมมติบัญญัติทั้งปวง แต่สมมติคือโลก คือความไม่เที่ยง แปรปรวนหาสาระแก่นสาร ตัวตนที่เอาเป็นหลัก เป็นที่พึ่งพาอาศัยไม่ได้เมื่อสมมติ และวิมุตติมาคลุกเคล้าอยู่ด้วยกัน วิมุตติก็เสื่อมคุณภาพ น้ำกับน้ำมัน เมื่อเอามาเทใส่ภาชนะเดียวกัน เขย่าไปเขย่ามา ก็เสียความใสบริสุทธิ์ กลายเป็นหยดของเหลว ขุ่นขาว ใช้กิน ใช้ดื่ม หรือเอามาชำระซักฟอกสิ่งของ เช่นคุณสมบัติเดิมไม่ได้ใจที่ปล่อยให้ความเห็นผิด ยึดผิด ครอบงำจนเป็นอัตโนมัติก็สูญเสียความใสบริสุทธิ์ กลายเป็นพิษเป็นภัยต่อตนเอง และผู้คน ตลอดจนสิ่งของรอบข้าง เพราะหาความสม่ำเสมอ เที่ยงตรง เอาเป็นที่พึ่งที่อาศัยไม่ได้ มีเหตุการณ์ใดมากระทบ ก็ไหวหวั่นรวนเร ซวดเซตามไป เพราะขาดหลักของใจ ใครว่าอะไรก็เป็นมงคลตื่นข่าว เห็นดีเห็นงามคล้อยตามไปทุกเรื่อง

ถ้าเราเฉลียวฉลาด รู้จักฝึกใจให้เที่ยงตรง รู้คิด พินิจพิจารณา ไตร่ตรอง เรียนรู้จากสิ่งผิดพลาดและประสบการณ์ที่ผ่านมา เราจะเริ่มมีสำนึก ระลึกรู้เท่าทันกระแสความนึกคิด ปกติคนเราปล่อยใจให้ปลิวตามสิ่งกระทบไปด้วยอารมณ์ความเคยชิน กระเซอะกระเซิง กระจายไปอย่างไร้ทิศทาง เพราะปราศจากเข็มทิศ และหางเสือ ครั้นกระทบอะไร แม้นิดหน่อย นาวาชีวิตจึงอับปางลงอย่างง่ายดายชัยเป็นเด็กหนุ่มร่างกายกำยำล่ำสัน อายุครบเบญจเพส ขับรถไปรับเพื่อนหญิงไปกินข้าว เที่ยวเตร่ พักผ่อนหย่อนใจ แล้วจะพาไปส่งบ้าน พอดีรถสิบล้อแซงรถในทางของเขา ในระยะกระชั้นชิด เลยพุ่งเข้าใส่รถของชัยแบบประสานงาเพื่อนหญิงตายคาที่ชัยกระโหลกศีรษะแตก ตกเลือดในช่องสมอง ไม่รู้สึกตัว ถูกนำส่งโรงพยาบาลเพื่อทำการผ่าตัด เมื่อฟื้นจากผ่าตัด ชัยเคลื่อนไหวร่างกายซีกขวาไม่ได้ แต่แพทย์คิดว่า อาจฟื้นคืนดีได้ เพราะอาการเหล่านี้เป็นผลจากเลือดที่มาคั่งในช่องสมองนาน ทำให้สมองบวม ชอกช้ำ เมื่อสมองกลับเป็นปกติ อาการของอัมพาตก็ควรทุเลาไป แพทย์ผู้รักษาจึงส่งชัยไปทำกายภาพบำบัดเพื่อป้องกัน และรักษากล้ามเนื้อไม่ให้ฝ่อลีบจากการไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว หรือไม่ได้ทำงานระหว่างมีอาการอัมพาตนี้ชัยไม่สามารถปรับใจให้รับสภาพความเป็นจริงได้ ไม่ยอมบังคับตัวเองให้พากเพียรฝึกทำกายภาพบำบัด ร่ำร้องไห้ คร่ำครวญแต่ว่า “เอาผมกลับไปนอน เอาผมกลับไปนอน นี่มันฝันร้าย ไม่ใช่เรื่องจริง นอนตื่นแล้ว ผมก็จะพ้นจากฝันร้ายน่าสยดสยองนี้”
ใจที่ไม่มีกำลัง ไม่เคยฝึกสติให้เข้มแข็ง คอยระลึกรู้ตามเป็นจริง คอยระวังคุ้มครองใจอย่างใกล้ชิดทุกขณะ จะขาดภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงกะทันหันที่เกิดขึ้นในชีวิต อุปาทานซึ่งเป็นยางสารพัดพิษ ตรึงยึดใจไว้กับความจำ ได้หมายรู้เก่า ๆ กับความคิดปรุง ที่อยากให้ตัวของตนมีอย่างนั้น ๆ เป็นอย่างนี้ ๆความยึดเหล่านี้ เหนียว แน่นหนา และทรงประสิทธิภาพ จนดึงดูดใจให้เลื่อนหยุดจากความรู้ตามเป็นจริง ไปติดอยู่กับความคิดอยากเหล่านั้น
ชัยจึงคร่ำครวญแต่ว่า ความจริงคือฝันร้าย แล้วร่ำร้องจะให้ความยึดอยากของใจ กลายเป็นความจริงเมื่อใจเห็นวิปริตผิดความจริงเช่นนี้ ก็รังแต่จะสร้างทุกข์ขึ้นมาทับถมตัวเองโดยถ่ายเดียว เพราะการปล่อยปัจจุบันให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ คือการฆ่าตัวเอง
แต่ละเวลานาที่ที่กล้ามเนื้อไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ออกแรงต้านน้ำหนัก นั่นคือสาเหตุให้เกิดการฝ่อลีบไปโดยอัตโนมัติ ครั้นสมองที่ชอกช้ำจากการกระทบกระแทกอย่างแรงค่อยทุเลา กลับสู่สภาวะปกติ ส่งอาณัติสัญญาณให้กล้ามเนื้อหดคลายตัวตามปกติได้ กล้ามเนื้อเหล่านี้ก็เสื่อมสภาพไปหมดแล้ว เส้นใยที่เคยแข็งแรง สมบูรณ์ กลายเป็นเยื่อพังผืด ฝ่อลีบ ไม่สามารถหดคลาย เคลื่อนไหวไปมาได้ดังเก่าก่อน ผลจึงทำให้ผู้นั้นกลายเป็นอัมพาตไปอย่าถาวร เป็นอัมพาตที่เจ้าตัวเองสรรค์สร้างขึ้นมาทำร้ายตัวของตัว ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ครั้นเหตุการณ์ล่วงเลยไปถึงจุดนั้นแล้ว ใจคลายจากความยึดผิด ค่อยคลี่ขยายออกรับรู้ความเป็นจริง เต็มอกเต็มใจ พร้อมใจ ทำกายภาพบำบัด ก็หมดโอกาส เพราะเวลาเปรียบเหมือนสายน้ำ ผ่านไปแล้ว ไม่เคยหวนกลับคืนมา ผู้ปรับใจให้รู้สภาวะของปัจจุบันแต่ละขณะ แต่ละขณะ ไม่เท่าทัน ไม่ชัดแจ้งแทงตลอด ย่อมประสบความวิบัติ เพราะพลาดจังหวะดีงามทั้งหลายของชีวิตไป เข้าทำนอง กว่าถั่วจะสุก ก็งาไหม้
ชัยบังเอิญโชคดี ตัวของตัวคุ้มตัวไม่รอด แต่คุณหมอที่รักษา ช่วยประคับประคองให้ชัยผ่านช่วงวิกฤตินั้นไปได้ทันเวลา เมื่อชัยตีอกชกหัว ร่ำไห้จะกลับไปนอนท่าเดียว คุณหมอก็ปล่อยให้ระบายอารมณ์คั่งแค้นผิดหวังออกมาเต็มที่ ขณะเดียวกันก็คอยจังหวะ ครั้นชัยได้ระบายจนสมใจแล้ว คุณหมอก็พาไปดูคนไข้ที่นอกจากจะเป็นอัมพาตอย่างชัยแล้ว ยังกลั้นปัสสาวะ อุจจาระไม่ได้ เพราะประสาทและกล้ามเนื้อที่ควบคุมการขับถ่ายเสียไปอย่างถาวรคุณหมอถามชัยว่า ถ้ามาเป็นอย่างนี้ กับที่กำลังเป็นอยู่ อย่างไหนจะดีกว่ากัน
ชัยสะดุด สติเริ่มเกาะกับใจกระชับขึ้น ทำให้เกิดความระลึกรู้ตามเป็นจริง เริ่มเห็นเหตุและผลดี ผลเสียที่คุณหมอเฝ้าเพียรชี้แจง อธิบาย สติสัมปชัญญะปลุกชัยให้ตื่นจากความยึดผิดดึงดัน ถือรั้นที่จะให้ตนกลับคืนเป็นปกติโดยไม่ทำอะไรเลย กลับกลายเป็นชัยที่รู้เหตุ รู้ผล หัวอ่อนว่านอนสอนง่าย กระตือรือร้นทำกายภาพบำบัดตามคำสั่งโดยเคร่งครัด แต่ก็ยังอดเซ้าซี้พิรี้พิไรไม่ได้ คือจะให้คุณหมอสัญญาว่า เมื่อตนเพียรทำกายบริหารแล้ว ทุกอย่างจะฟื้นคืนสู่สภาพปกติ กลับไปทำงานได้ทัน ก่อนสิ้นกำหนดเวลา
คุณหมอชี้แจงว่า สิ่งเหล่านี้อยู่นอกเหนืออำนาจที่คุณหมอจะสัญญา และบันดาลให้เป็นไปได้ แต่อยู่ที่ตัวชัยเอง ถ้าชัยตั้งอกตั้งใจ เคร่งครัดดูแลรักษากล้ามเนื้อเหล่านี้ได้ออกกำลังเคลื่อนไหว รับน้ำหนัก เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ทรงตัวแข็งแรงตามสภาพปกติ เพราะยังถูกใช้งานอยู่ ตราบจนร่างกายกลับเป็นปกติ สมองทำงานเต็มที่ เส้นประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อส่งคำสั่งให้มีการเคลื่อนไหว ซ่อมแซม บำรุงรักษาตัวตามปกติได้ ทุกอย่างก็เรียบร้อย
ผลการรักษาปรากฏว่า ชัยฟื้นสภาพได้อย่างน่าพอใจ สามารถไปรายงานตัวต่อที่ทำงานเมื่อครบวันลา หัวหน้าก็มีน้ำใจโยกย้ายชัยให้มาทำงานนั่งโต๊ะ แทนที่จะต้องออกพื้นที่และไปต่างจังหวัดเช่นแต่ก่อน ทำให้สามารถจัดเวลาช่วงบ่ายมาทำกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลต่อไปไดเมื่อมาอยู่ด้วยกัน
ธรรมชาติของวัยหนุ่มสาว ทำให้เอื้อยโอนอ่อนผ่อนตามความปรารถนาของอ้ายโดยไม่รู้ตัว จนมีลูกด้วยกันสองคน เป็นผู้ชายทั้งคู่ แม้อ้ายจะขยันขันแข็งแค่ไหน การรับผิดชอบถึงสี่ปากท้อง ก็ไม่ใช่ของง่าย เอื้อยจึงต้องขวนขวายหางานทำเพื่อช่วยภาระครอบคัว ครั้งแรกก็ลองทำอาหาร ให้ผู้คนที่ผ่านไปมา ซื้อใส่ถุงพลาสติกกลับบ้าน ต่อมา อ้ายแนะนำให้ทำปิ่นโตส่งตามบ้านด้วย โดยอ้ายรับภาระช่วยส่งปิ่นโตให้ รายได้ก็ค่อยเป็นกอบเป็นกำ ให้ทั้งคู่ค่อยมั่นใจว่า คงสามารถส่งเสียลูกเข้าโรงเรียนได้โดยไม่เดือดร้อน
ปกติเอื้อยเชื่อในคุณงามความดี เชื่อว่า ถ้าเราทำถูก ทำดีแล้ว เทพยดา ฟ้าดิน สิ่งศักดิ์สิทธิ์รู้เห็นเป็นพยาน ท่านจะต้องคอยช่วยเหลือ คุ้มครอง ปกปักรักษาคนดีให้ได้รับแต่ผลดี คนชั่วทำชั่วแล้ว ก็ต้องได้รับการลงโทษให้รู้สำนึก อ้ายแย้งว่า ถ้าทฤษฎีของเอื้อยเป็นจริง โลกนี้ก็ไม่ต้องมีคุกตะราง ไม่มีคนโกง คนรู้มากเอาเปรียบ เพราะผลที่ได้รับเป็นเครื่องบีบบังคับให้ทุกคนระมัดระวัง ทำแต่ความดี เพื่อจะได้ผลดีตอบแทนเอื้อยก็เริ่มสับสน
ถ้าเป็นจริงอย่างอ้ายว่า ทำไมพ่อแม่ปู่ย่าตาทวดเอื้อยจึงสอนว่า เทพยดา ฟ้าดิน สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง พระสยามเทวธิราชท่านทรงปกป้องคุ้มครอง ประเทศของเราจึงเป็นเอกราชอยู่ได้จนทุกวันนี้ ขณะเดียวกัน ความจริงที่เอื้อยรู้เห็นจากวิทยุบ้าง หน้าหนังสือพิมพ์บ้าง ล้วนทำให้เอื้อยระส่ำระสาย หาที่ยึดที่เกาะไม่ได้
ประเดี๋ยวก็มีข่าวเครื่องบินตก คนตายกันทั้งลำ หาความผิดกับใครไม่ได้ ประเดี๋ยวรถทัวร์ชนกัน ไฟลุกไหม้ ครอกผู้โดยสารตาย คนขับมหาภัยหนีรอดไปได้ ตกลงผู้โดยสารตายฟรี รถสิบล้อชนคนแล้วถอยหลังกลับไปทับใหม่ เพื่อให้แน่ใจว่าตายคาที่ แล้วคนขับก็ลอยนวลหนีไป ทุกข่าว ทุกเรื่อง ความเสียหายล้วนตกอยู่กับผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร แต่บังเอิญมาเป็นผู้เคราะห์ร้าย คุ้มครอง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เรื่องใกล้ตัวเข้ามา เห็นจริงเห็นจังขึ้น คือเรื่องของชัย เพราะอ้ายติดตามข่าวคืบหน้ามาโดยตลอด เนื่องจากบริษัทประกันรถของชัย ใช้บริการอู่ซ่อมรถของนายของอ้าย ซ่อมรถลูกค้าเป็นประจำ
ก่อนนอน อ้ายจะมีเวลาคุยกับเอื้อยถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่ตนได้ประสบมา เล่าสู่กันฟัง แล้วก็นำมาถกเถียง เพื่อหาข้อสรุป เป็นความรู้รอบตัว เผื่อตนไปประสบปัญหาเช่นนั้น ๆ บ้าง จะคิดแก้ไขอย่างไร
เรื่องนี้ทำให้เอื้อยหวั่นคลอนอย่างหนัก เพราะเอื้อยหาคำอธิบายไม่ได้ว่า ทำไมคนไม่มีความผิด อย่างเพื่อนหญิงของชัย จึงต้องเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่า ๆ เหตุอะไรกันที่บันดาลให้สิ่งน่าสยดสยองเหล่านี้เกิดขึ้น เหมือนฝันร้าย เหมือนเด็กเล่นตุ๊กตา ไม่พอใจตัวไหน ก็ขยำทิ้งไป
ถ้าเป็นเช่นนี้ เอื้อยควรพึ่งใคร เพื่อความตลอดปลอดภัยของตนและครอบครัว ?!
ระหว่างทำงานบ้าน หรือทำอาหารปิ่นโต เอื้อยมักฟังวิทยุไปด้วยเป็นการเพิ่มพูนความรู้ให้ตนเอง เรื่องของเทพยดาฟ้าดินสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยังติดข้องอยู่ในใจของเอื้อย และก่อกวนความรู้สึกนึกคิดเป็นครั้งคราว แม้เอื้อยจะคลายความเชื่ออย่างงมงายลงแล้วก็ตาม แต่จะทำกิจการอะไร ก็อดเผลอบนบานขอความช่วยเหลือไม่ได้ ถ้าอ้ายทราบ ก็จะตำหนิ และคอยห้ามปรามเสมอ ๆ
วันหนึ่งรายการวิทยุที่กำลังฟัง อ่านข้อความจากหนังสือ พุทธธรรม ของพระราชวรมุนี ถึงเรื่องเกี่ยวกับเทวดา ทำให้เอื้อยได้ทราบว่า การที่พ่อแม่และผู้คนในหมู่บ้านเอื้อยเกรงกลัวเทพกันหนักหนา ก็เพราะเชื่อถือตามลัทธิศาสนาที่มีมาก่อนพุทธกาล เชื่อว่า มีเทพสูงสุดเป็นผู้สร้างโลก และบันดาลทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งมนุษย์ไม่มีทางเจริญล้ำกว่าเทพได้
เมื่อพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นแล้ว ก็สอนให้ทราบว่า การหวังพึ่งเทวดาย่อมมีขอบเขตจำกัด เพราะเทวดาทั่ว ๆ ไปก็ยังมีอวิชชา ไม่รู้สัจธรรมเช่นเดียวกับมนุษย์ ส่วนใหญ่ยังเป็นปุถุชน มีกิเลส มีเชื้อความทุกข์มากบ้าง น้อยบ้าง ยังหมุนเวียนขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่ในสังสารวัฏ ดังเช่นพระพรหม แม้จะมีคุณธรรมสูง แต่ก็ยังประมาทเมาว่าตนอยู่เที่ยงแท้นิรันดร เพราะไม่รู้อายุของตนตามจริง พระอินทร์เมาประมาทในทิพยสมบัติ ยังไม่หมดราคะ โทสะ โมหะ ยังมีความหวาดกลัว สะดุ้ง หวั่นไหว
การอ้อนวอนหวังพึ่งเทวดา นอกจากขัดกับความเพียรพยายามโดยหวังผลสำเร็จจากการกระทำ ขัดหลักพึ่งตนเอง และความหลุดพ้นเป็นอิสระแล้ว ยังมีผลเสียที่ควรสังเกตอีกหลายประการ เป็นต้นว่า
การที่มนุษย์ไปเฝ้าประจบยกยอ บนบานเทวดาที่ยังเป็นปุถุชน ไม่เพียงแต่มนุษย์เท่านั้นที่ประสบผลเสีย เทวดาทั้งหลายก็พลอยเสียไปด้วย เพราะเกิดความหลงใหลมัวเมาที่คำยกย่องสรรเสริญ ติดในลาภสักการะ สิ่งเซ่นสรวงสังเวย ปรารถนาจะได้ให้มากยิ่ง ๆ ขึ้น โดยนัยนี้ ทั้งเทวดาและมนุษย์ต่างก็มัวมาฝักใฝ่วุ่นวายอยู่กับการบนบาน และการให้ผลตามบนบานละทิ้งกิจหน้าที่ของตน หรือไม่ก็ปล่อยปละละเลยให้บกพร่องย่อหย่อน เป็นผู้ตกอยู่ในความประมาท แล้วทั้งมนุษย์และเทวดาก็พากันเสื่อมลงไปด้วยกัน
เมื่อเทวดาประเภทหวังลาภมาวุ่นวายกันอยู่มาก เทวดาดีที่จะช่วยเหลือคนดีโดยไม่หวังผลประโยชน์ ก็พากันปลีกตัวออกไป มนุษย์ก็เลยรู้สึกกันมากขึ้นเหมือนว่าทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วจึงได้ดี ก่อให้เกิดความสับสนระส่ำระสายในสังคมมนุษย์มากยิ่งขึ้น
เมื่อมนุษย์อ้อนวอนเรียกร้องเจาะจงต่อเทพบางท่านที่เขานับถือ เทพใฝ่ลาภก็ลงมาสวมรอยรับสมอ้างหลอกมนุษย์ทำเรื่องให้พวกมนุษย์หมกมุ่นมัวเมายิ่งขึ้น
จึงเห็นได้ว่า คนที่ได้รับความช่วยเหลือจากเทวดา ไม่จำเป็นต้องเป็นคนดี และคนดีก็ไม่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากเทวดา ที่เป็นเช่นนี้เพราะ ทั้งมนุษย์และเทวดาต่างก็เป็นปุถุชน ต่างก็ปฏิบัติผิด พากันทำให้ระบบต่าง ๆ ที่ดีงามในโลก คลาดเคลื่อนเสื่อมทรามลงไป
แม้เทวดาจะมีฤทธิ์อำนาจเหนือกว่ามนุษย์ แต่ถ้ามนุษย์ปรับปรุงตัวเองให้มีคุณธรรม ก็สามารถเท่าเทียม หรือเหนือกว่าเทวดาได้ ดังเรื่องในชาดก เล่าถึงกษัตริย์สองเมือง จะทำสงครามกัน ฝ่ายหนึ่งไปถามพระฤๅษีมีฤทธิ์ ซึ่งติดต่อกับพระอินทร์ได้ ได้รับทราบคำแจ้งของพระอินทร์ว่า ฝ่ายตนจะชนะจึงประมาท ปล่อยเหล่าทหารสนุกสนานบันเทิง ส่วนกษัตริย์อีกฝ่ายหนึ่ง ทราบข่าวทำนายว่าตนจะแพ้ ก็ตระเตรียมการให้แข็งแรงยิ่งขึ้น ครั้นถึงเวลารบจริง ฝ่ายหลังก็เอาชนะกองทัพกษัตริย์ฝ่ายที่มัวประมาทได้พระอินทร์ถูกต่อว่า ก็อธิบายว่า ‘ความบากบั่นพากเพียรของคน เทพทั้งหลายก็เกียดกันไม่ได้>’
เอื้อยฟังแล้วก็เห็นจริงตาม เพราะชีวิตของพ่อแม่เคยเป็นเช่นไรก็เป็นอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครกล้าเสี่ยงทำอะไรที่ผิดแบบแผนจารีตประเพณีออกไป ผิดกับอ้าย ที่มีความมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว เมื่อเห็นว่าหมดทางปรับปรุงแก้ไขพ่อได้ อ้ายก็ตัดสินใจไปตายเอาดาบหน้า หนักเอาเบาสู้ทุกอย่าง เริ่มต้นด้วยการเป็นลูกมือเรียนรู้การเป็นช่างฟิต แล้วขยับไปหัดขับรถให้เป็นด้วย
ครั้นเมื่อได้เอื้อยมาอยู่ด้วย อ้ายก็หาลำไพ่พิเศษ ด้วยการขับรถเมล์เล็กผลัดค่ำ เก็บหอมรอมริบจนสามารถซื้อรถกระบะเก่า ๆ คันหนึ่ง มาตกแต่ง ซ่อมแซม จนใช้การได้ดี และใช้เป็นพาหนะสำหรับส่งปิ่นโตลูกค้า สมดังคำพระอินทร์ที่ว่า ‘ความบากบั่นพากเพียรของคน เทพทั้งหลายก็เกียดกันไม่ได้’
เพราะอ้ายเชื่อเช่นนี้นั่นเอง จึงโกรธเอื้อยหนักหนา เวลาเอื้อยบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยเหลือ อ้ายจะโวยวายว่า เรื่องอะไรต้องไปติดสินบนนักเลง ตัวของตัวช่วยตัวเองไม่เป็นหรือ เอื้อยก็มัวไปวิตกทุกข์ร้อนว่า อ้ายล่วงเกินเทวดา เดี๋ยวจะเป็นอันตราย

ยิ่งพูด ก็ยิ่งไม่เข้าใจกันมากขึ้นทุกที ชีวิตผัวเมียที่ระหองระแหงกัน แล้วบานปลายไปเรื่อย ๆ ก็คงทำนองนี้ ตัวอยู่ใกล้ชิดในบ้านหลังเดียวกัน แต่ใจคิดกันไปคนละฟากฝั่ง
ชัยเล่าให้คุณหมอฟังว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียนสอนใจที่มีคุณค่ามหาศาล ปลุกสติสัมปชัญญะของเขาให้รู้ และเข้าใจในสาระของปัจจุบันว่า คือ การขวนขวายพึ่งพาตัวของตัวเองนั่นคือ ถ้าเขาไม่ได้มาเป็นคนไข้ของคุณหมด ไม่ได้ฝึกฝืนใจตัวเองให้มีสัจจะ สม่ำเสมอ ซื่อตรงต่อการทำกายภาพบำบัด เขาคงกลายเป็นคนพิการไปแล้วจริง ๆ และไม่มีโอกาสได้ทราบว่า ไม่ใช่อุบัติเหตุทำให้เขาพิการ แต่เขาทำตัวของเขาเองชัยเป็นกำพร้ามาแต่เล็ก เติบโตขึ้นมาด้วยการอุปการะดูแลจากคุณป้าที่เป็นสาวโสด เคร่งครัดในบวรพุทธศาสนา แต่ไม่เข้าใจวิธีถ่ายทอดสิ่งดีงามเหล่านี้ให้หลานชาย จึงเกิดช่องว่างระหว่างวัย ทำให้การพูดคุย สื่อความหมายกัน ไม่เกิดสาระเท่าที่ควร เป็นต้นว่า คุณป้ามักย้ำ ...เออ คอยดูไปเถอะ ใครทำอย่างไหนไว้ ก็ต้องได้รับผลอย่างนั้นแหละ หนีไม่พ้นหรอกฟังแล้ว แทนที่ชัยจะเห็นเป็นเรื่องของเหตุและผล กลับขบขันว่า คุณป้าคอยเพ่งโทษแช่งให้เขาเดือดร้อน คุณป้าพร่ำเตือนให้ชัยสวดมนต์ ไหว้พระ ทำสมาธิก่อนนอน เพื่อใจจะได้สงบ ร่มเย็นเป็นสุข แทนการเที่ยวเตร่ สำมะเลเทเมา ปล่อยชีวิตให้หมดไป เปลืองไป โดยเปล่าประโยชน์ ชัยก็เถียงข้าง ๆ คู ๆ ไปว่า เวลาของคุณป้าเหลือน้อย ก็ขอเชิญคุณป้ารีบเร่งภาวนาไปก่อนเถิด สำหรับเขา ต้องใช้เวลาเพื่อเรียนรู้ชีวิตให้ครบทุกกระบวนการก่อน เพื่อว่า ตายไป ยมบาลซักถาม จะได้ไม่เสียดายว่า นี่ก็ยังไม่รู้ นั่นก็ยังไม่เคยลอง เสียชาติเกิดเปล่า ๆ อุบัติเหตุครั้งนี้ กระตุกชัยให้ได้เห็นความไม่แน่นอนของชีวิต ไม่มีสิ่งใดจะยึดเป็นกำหนดหมายได้ ชัยเชื่อเสมอมาว่า คุณป้าต้องตายก่อนเขาแน่นอน ตัวเองยังหนุ่มแน่น แข็งแรง เวลามีเหลือเฟือสำหรับทดลอง เรียนรู้ชีวิตในแง่มุมต่าง ๆ ให้สิ้นอยากเสียก่อน
เรื่องของศาสนา คือ บทปลอบใจยามแก่ ไม่ให้ว้าเหว่ ไร้ที่พักพิง แค่นั้นเองความจริงที่ปรากฏเป็นประจักษ์พยาน ย้ำรอยชัดแจ้งให้ชัยไม่มีข้อโต้เถียงว่า ความตายเป็นของไม่เที่ยง ไม่มีใครทราบล่วงหน้า เขาเองจะตายขณะใดก็ได้ทั้งสิ้น อาจก่อนคุณป้าด้วยซ้ำไป เวลาที่เชื่อว่ามีเหลือเฟือพอ หายวับไปกับตาเหมือนเล่นกล ชัยเกิดความหลั่นกลัวจับใจว่า ถ้าเขาเกิดตายไปในช่วงอุบัติเหตุ จะมีอะไรเป็นเสบียง จะพึ่งตนเองให้ตลอดปลอดภัยได้อย่างไรเพิ่งเข้าใจความหมายของคำคุณป้าที่ว่า ใครทำอย่างไหนไว้ ก็ต้องได้รับผลอย่างนั้นแหละ หนีไม่พ้นหรอก เมื่อคุณหมอพาเขาไปดูผู้ป่วย ที่ช่วยตัวเองไม่ได้แม้กระทั่งเรื่องของการขับถ่าย พร้อมทั้งป้อนคำถามให้เขาย้ำคิด ถามตัวเองว่า จะพึ่งตนเอง คิดสู้กับความยากลำบาก หรือจะปล่อยเวลาให้กลืนโอกาสทองของชีวิตไปโดยไร้คุณค่า เพราะไม่สร้างเครื่องป้องกัน ไม่ช่วยตัวเอง
เหตุที่คนไข้เหล่านั้นประสบมา ย่อมรุนแรงกว่าเหตุของเขา อุบัติเหตุที่เกิดจึงมีผลบั่นทำลายประสาทที่ไปควบคุมระบบขับถ่ายด้วย ทำให้ได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส เขาเองเมื่อแรกก็โกรธ หงุดหงิด คับข้องกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น เขาถูกต้องทุกประการ เหตุไฉนจึงประสบผลวิบัติเช่นนี้ ?!
เมื่อเวลาล่วงไป...ความละเอียดพิสดารของความเป็นจริงโดยธรรมชาติ ค่อยประจักษ์ชัดขึ้นในใจ สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง ไม่ควรแก่การยึดมั่นถือมั่น เราพึงเป็นอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิดเขาประมาทเอง ประมาทขาดสติ ไปยึดเชื่อว่า กฎจราจรเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใดปฏิบัติตามโดยเคร่งครัดแล้ว ย่อมปลอดภัยจากอุบัติเหตุทั้งปวง ความยึดมั่นอันนี้เอง ทำให้ใจของเขาขาดความคล่องตัว ที่จะมองปัญหาเฉพาะหน้าตามที่มันควรเป็น และหาทางป้องกัน แก้ไขเขาจึงไม่คิดหักพวงมาลัยหลบ หรือทำอย่างไรอย่างหนึ่ง ที่ผิดแผกไปจากการขับรถในภาวะปกติทุกวัน ทุกวัน ปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้น เป็นไป ตามกระแสของเหตุปัจจัย เสมือนงอมืองอเท้า ปล่อยตัวเองให้กลิ้งไปตามกำลังสลาตัน
พระพุทธเจ้าตรัสสอนถึงการฝึกฝนอบรมให้พึ่งตน ให้พยายามสร้างนิสัย ทำอะไรด้วยสติปัญญาความสามารถของตัวเอง เพื่อเกิดเป็นความเคยชิน จะได้มีตนเป็นที่พึ่งแห่งตนในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อเคราะห์ของเขายังดี มีอัศวินขี่ม้าขายมาช่วยให้สติปัญญาไหวตัวตื่นขึ้นมาทันได้พิสูจน์ความจริงข้อนี้ ได้พึ่งตน ขวนขวายป้องกันไม่ให้ร่างกายหมดสมรรถภาพ จนกลายเป็นคนพิการทุพพลภาพ จริงแท้ตามคำคุณป้า ใครทำอย่างไหนไว้ย่อมได้รับผลอย่างนั้นแหละก่อนความรู้สึกจะวูบดับไป เมื่อรถของเขาประสานงากับรถสิบล้อ ชัยรู้สึกเพียงว่า เล่นบ้า ๆ อะไรกันนี่ ก็เห็นออกชัดเจนว่า มันทางของตู้แท้ ๆ ขณะนั้น เขาเชื่ออย่างนั้นหมดหัวใจ..มันทางของตู้แท้ๆ...แต่พอสติสัมปชัญญะกลับคืนมา เมื่อเหตุการณ์ผ่านพ้นไปแล้ว เขาจึงได้เห็นด้วยความตระหนกตกใจว่า มันทางของใครกัน เราไปสมมติกติกาขึ้นมาว่า ในเมืองไทย ซีกซ้ายของถนนคือทางของเรา ใครล่วงล้ำเป็นฝ่ายผิด แล้วเราก็ยึดเอาว่า ทุกคนต้องปฏิบัติตามกติกานี้โดยเคร่งครัด มีหลักประกันให้อบอุ่นใจว่า ใครฝ่าฝืนย่อมถูกลงโทษ
บัดนี้ คนขับรถสิบล้อฝ่าฝืน ตัวบทกฎหมายระบุว่า จะต้องถูกจับกุมมาลงโทษ แต่โทษอะไรเล่า จะลบล้างผลเสียหายที่เกิดขึ้นให้หมดไปได้ โทษอะไรเล่าจะชุบชีวิตเพื่อนหญิงให้กลับฟื้นคืนมีลมหายใจมาใหม่ได้อีก
ผลเสียหายจากรถที่พังยับเยินไปโดยไม่สมควรแก่เวลา ความเดือดร้อนของครอบครัวคนขับรถสิบล้อ ที่หัวหน้าครอบครัวหลบโทษ กระเซอะกระเซิงหนีไป ตลอดจนตัวของเขาเองที่รอดพ้นความตายมาได้อย่างหวุดหวิด การสูญเสียความเป็นปกติแข็งแรงของกำลังกาย กำลังจิตใจ การสูญเสียผลผลิตที่พึงได้จากจำนวนเวลาที่ล่วงไประหว่างความเจ็บป่วยครั้งนี้ โทษทัณฑ์อะไรจะมาชดเชย ชำระล้างความเสียหายเหล่านี้ได้
ตรงกันข้าม มีแต่จะบานปลาย กลายเป็นการก่อหนี้สินล้นพ้นตัวเสียซ้ำไป เพราะถ้าเขาไม่ได้ความรู้คิดจากคุณหมอเขาก็คงจะกระเหี้ยนกระหือรือ จองเวรกับคนขับรถสิบล้อ เพราะเห็นเป็นว่า เป็นผู้ผิด เป็นเหตุให้เขาสูญเสียเพื่อนคู่หมายที่จะแต่งงานกันในไม่ช้านี้ สูญเสียทรัพย์สิ่งของ เงินทอง เวลา ตลอดจนสุขภาพไปโดยใช่เหตุ สู้เราแต่ละคน แต่ละคน ไม่ประมาท ช่วยกันรักษาใจตนให้อยู่กับความเป็นจริง ป้องกันอย่าให้เหตุร้ายเกิดขึ้น จะไม่ดีกว่าหรือ ?

เมื่อสติมาระลึกอยู่กับใจแล้ว ชีวิตและโลกนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับความฝัน อะไรจะเกิดขึ้นย่อมได้ทั้งนั้น มันไม่มีคำอธิบายอย่างที่เราคิดค้นด้นเดา แต่ถ้าเปิดใจให้ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น มองสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วรับตามธรรมชาติธรรมดา เราจะได้ความรู้ความฉลาด ความโปร่งเบาของจิตใจที่ไม่เคยรู้จักหรือลิ้มรสมาก่อน อะไรเป็นหน้าที่ ความรับผิดชอบ ความถูกต้องตามกฎ ระเบียบ ของกรอบประเพณี ก็ประพฤติปฏิบัติไปแต่ไม่ปล่อยใจไปยึดถือ เอาเป็นเอาตายกับมัน
ถ้าเหตุการณ์เป็นไปตามความคาดคิด ก็ขอบคุณ อนุโมทนากับความราบรื่นเรียบร้อยนั้น
ถ้าพลิกล็อค แกว่งไกวเป็นไปอย่างอื่น ก็ดีเหมือนกัน เราจะได้ฝึกสติสัมปชัญญะปัญญา ให้แกร่งแข็งยิ่งขึ้น เพื่อให้แน่ใจว่า เราพึ่งตนได้ หนทางมรณะที่พาเราให้เผลอใจ หลุดไปอยู่กลางกองทุกข์ ก็คือการเห็นผิด ยึดมั่นถือรั้นว่า อะไร ๆ ในจักรวาลนี้คือของเรา เพราะเผลอใจไปยึดเป็นจริงเป็นจังว่ามันทางของตูแท้ ๆ เขาเลยเกือบกลายเป็นผี เฝ้าทางตรงนั้นจริง ๆ
อุบัติเหตุครั้งนี้ มีคุณค่ามหาศาลจริง ๆ สำหรับชีวิตของชัย
เวลา นาที ที่ผ่านไป นำประสบการณ์ต่าง ๆ มาให้เอื้อยได้รู้เห็น ทำให้เกิดความเข้าใจแม่ดีขึ้น เมื่อเด็กเอื้อยคั่งแค้นที่แม่ผลิตแต่น้อง ๆ ออกมาให้เป็นภาระของเอื้อย ครั้นประสบกับตัวเอง จึงรู้ซึ้งถึงอิทธิพลของอารมณ์รักใคร่ใฝ่หา มันเหมือนในตัวเอื้อยมีคนสองคนครอบครองอยู่ คนหนึ่ง รู้เหตุ รู้ผล รู้ตัว แต่อีกคนหนึ่งนั้นเหมือนลมพายุ ไม่มีวี่แวว ไม่มีนิมิตหมายอะไรเป็นเครื่องบอกกล่าวล่วงหน้า นึกจะมาก็พัดกรรโชกขึ้น ม้วนหอบใจของเอื้อให้ปลิวตามไปจนหมดเนื้อหมดตัว บทจะไปก็สงบเงียบหายไปโดยไม่กล่าวร่ำลา ปล่อยเอื้อยให้หล่นตุ้บมาอยู่กับความเป็นจริงใหม่ แล้วก็หงุดหงิดไม่เข้ใจพฤติกรรมของตัวเอง เพราะเหมือนเป็นคนกลับกลอก ปากอย่างใจอย่างความรู้จากการฟัง ทำให้เอื้อยพอเข้าใจว่า ลมพายุนั้นคือกิเลส คืออารมณ์ของใจ ที่คอยยุให้รำ ตำให้รั่ว พาเราเข้ารกเข้าพง หลงออกนอกลู่นอกทางอยู่ร่ำไป พระท่านสอนให้ฝึกสติเพื่อรู้เท่าทันอารมณ์ของใจ เราจึงจะควบคุมพฤติกรรมของตัวเองได้ ปากว่าอย่างไหน ใจจึงว่าอย่างนั้น เป็นอันหนึ่งอันเดียวสอดคล้องตามกันสตินั้นเป็นอย่างไร เอื้อยพิศวง พยายามเพ่งหา ก็ยังไม่แน่ใจว่าใช่เอื้อยก็เลยยังเคว้งคว้างอยู่ในสังสารวัฏ ไขว่คว้า พยายามหาขอนเกาะ เพื่อกระทุ่มเข้าฝั่ง
วันที่เอื้อยคิดว่าตัวเองพอจะรู้จักสติ คือ วันที่เพื่อนบ้านข้างเคียงของเอื้อยประสบความวิปโยคอย่างสาหัส ป้าใหญ่เป็นหม้ายมานานปีแล้ว อยู่กับลูกชายวัยฉกรรจ์ ซึ่งทำงานเป็นพนักงานซ่อมบำรุงที่การไฟฟ้า มีกันสองคนแม่ลูกเท่านั้น ป้าใหญ่ชื่นชมในตัวลูกชายมาก ที่เป็นเด็กเรียบร้อย ขยันขันแข็ง และรักใคร่เชื่อฟังแม่เป็นอันดีอยู่ ๆ บ่ายวันหนึ่ง เจ้าหน้าที่การไฟฟ้าก็มาแจ้งข่าวกับป้าใหญ่ว่า ลูกชายประสบอุบัติเหตุ สิ้นชีวิตแล้ว
ป้าใหญ่เป็นลมหมดสติไป ครั้นรู้สึกตัวขึ้นมาก็ไม่เป็นสมปฤดี เพื่อนบ้านต้องช่วยจัดการกันคนละไม้ คนละมือ เอื้อยไปติดต่อให้อ้ายมาช่วยจัดการรับศพ ไปวัด จัดการตระเตรียมพิธีกรรมต่าง ๆ ตัวเองก็อยู่เป็นเพื่อนดูแลป้าใหญ่ ปลอบประโลมให้กลับฟื้นคืนสติขึ้นมาถ้าไม่มีสติอยู่กับใจ ใครก็ตาม จะกลายเป็นเด็กเล็ก ๆ ไปได้ทั้งนั้น ไม่รับรู้เหตุผลความเป็นจริง คร่ำครวญแต่จะให้เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความฝัน แล้วเอาความยึดอยากปรารถนาของใจมาบีบบังคับ ดึงดัน จะให้กลายเป็นความจริงขึ้นมาแทน ป้าใหญ่ก็เช่นกัน พิลาปร่ำรำพันถึงลูกชาย ประหนึ่งจะให้ถ้อยคำเหล่านั้น ชุบชีวิตลูกให้ฟื้นคืนกลับมาเอื้อยดูแล้วก็สะดุดใจ
ถามตัวเองว่า ถ้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้กลายเป็นเรื่องของอ้ายกับเอื้อย เอื้อยจะครอบตัวให้รับรู้ความเป็นจริงได้ดีกว่าป้าใหญ่ไหม? เพียงแค่คิดถาม เอื้อยก็กระตุก ชาไปทั้งหัวใจ แข้งขาอ่อนเปลี้ย หมดเรี่ยวแรงความยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวเรา เป็นของเรา เหนียวแน่น รุนแรง ร้ายกาจ อย่างนี้เอง ถ้าใครไม่ประสบกับตัวเองก็ยังพูดปลอบโยน ให้สติเขาได้ แต่ถ้าถึงวาระของตัวเข้า เข้าตำรา “มีความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด” “ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง”คืนนั้น เมื่อมีเวลาอยู่กันตามลำพัง อ้ายเล่ารายละเอียดให้เอื้อยฟังว่า น้อย ลูกของป้าใหญ่ ถูกวานให้เอาของเข้าไปส่งให้เพื่อนที่กำลังซ่อมเครื่องอยู่ ปกติกฎของการไฟฟ้ามีว่า ผู้ใดจะผ่านเข้าออกในบริเวณที่มีงานซ่อม จะต้องสวมหมวกนิรภัยทุกครั้ง เพื่อป้องกันอันตราย ทั้ง ๆ ที่บริเวณเหล่านั้นก็มีตาข่ายขึงรอบรับเศษ สะเก็ด วัตถุ ที่อาจร่วงหล่น หรือกระเด็นลงมาอยู่หลายระดับแล้วก็ตาม
น้อยเพิ่งออกเวรผลัดนั้น เก็บหมวดนิรภัยเรียบร้อยแล้ว เห็นว่าเพียงแค่เดินเอาของไปส่งให้เพื่อน แล้วก็กลับออกมาคงไม่เป็นไร อยู่มาร้อยวันพันปี ก็ไม่เห็นเคยมีสะเก็ดอะไรลอดตาข่ายลงมา ทำอันตรายใครได้
พอน้อยเดินเข้าไป ก็พอดีกับสะเก็ดท่อเหล็กที่เพิ่งเลื่อยขาดจากปลายที่อยู่ระดับเดียวกับตึกสิบชั้น ร่วงหล่นลงมาหลุดผ่านตาข่ายที่ขึงรองรับทุกสารทิศ หลายระดับ ลงมากระแทกศีรษะน้อยอย่างแรง จนถึงแก่ความตาย ไม่ทันได้ปฐมพยาบาล หรือเยียวยาแต่ประการใด
อ้ายสรุปว่า มันต้องเป็นคราวของน้อยจริง ๆ จึงเกิดเหตุบังเอิญเหลือเชื่ออย่างนี้
แต่เอื้อยแย้งว่า คราวเคราะห์ของป้าใหญ่ต่างหาก เพราะน้อยไม่ทันรู้สึกเจ็บปวด หรือเดือดร้อนอย่างไร กระแทกปุ๊บ ตายปั๊บ พ้นเคราะห์ไป แต่ป้าใหญ่นี่สิ ตายทั้งเป็น แกทุ่มชีวิตจิตใจผูกพัน มุ่งหวังว่า น้อยจะอยู่เป็นหลักดูแลเลี้ยงดูจนแกตายจากไป แล้วอยู่ดี ๆ ก็มีฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมา โดยไม่มีลมมีฝนอะไรเตือนล่วงหน้าเลย เปรี้ยงเดียวนั้น เด็ดชีวิตน้อยติดไปด้วยเหมือนฝัน อย่างนี้จะไม่เรียกว่า เป็นคราวเคราะห์ของป้าใหญ่ แล้วจะเรียกว่าอะไรหลังจากตั้งศพสวดสามวันแล้ว ป้าใหญ่ก็เผาศพน้อย
แม้ศพจะมอดไหม้เป็นเถ้าธุลีไปหมดแล้ว แต่ป้าใหญ่ก็ยังไม่สามารถเผาความทรงจำ รำลึก ผูกพัน อาลัยหาน้อยได้ ดังนั้น พอเสร็จกิจส่วนตัว ป้าใหญ่ก็จะมาขลุกอยู่ที่บ้านเอื้อย ช่วยหยิบจับทำโน่น ทำนี่ หรือมิฉะนั้นก็ดูลูกสองคนของเอื้อยซุกซนกันตามประสาเด็กวันนี้ก็เช่นกัน ป้าใหญ่กำลังเพลินดูเด็ก ๆ เล่น พอดีรายการวิทยุที่เอื้อยเปิดเล่าถึงชาดกเรื่องหนึ่งว่ามีพราหมณ์ผู้หนึ่ง รักใคร่ลูกชายโทนหัวแก้วหัวแหวนมาก อยู่ดี ๆ ลูกชายซึ่งกำลังรุ่นหนุ่ม แข็งแรงเป็นปกติดี ก็เป็นลมปัจจุบัน สิ้นชีวิตไป เมื่อฝังศพลูกชายเรียบร้อยแล้ว พราหมณ์ก็นำอาหารมาเซ่นทุกวัน พร้อมทั้งร่ำไห้ โศกเศร้า อาลัยหาลูกที่ตายไป เป็นดังนี้ทุกวี่วันลูกชายของพราหมณ์นั้น เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า รักษาศีลและภาวนา เมื่อตายไป ก็ไปอุบัติเป็นเทพ เล็งญาณเห็นบิดาของตนทุกข์โศก เพราะความยึดผิดเห็นผิด จึงคิดหาทางช่วยบิดาเช้าวันต่อมา เมื่อพราหมณ์นำถาดอาหารมาที่หลุมศพลูกชาย ก็พบเด็กชายวัย 7-8 ขวบ นั่งร้องไห้อยู่ข้าง ๆ หลุมศพพราหมณ์จึงไปปลอบด้วยความเอ็นดูว่า เจ้าโศกเศร้าด้วยเรื่องอันใด จึงมานั่งร้องไห้อยู่ ณ ที่นี้เด็กตอบว่า เขาทำรถที่วิจิตรพิสดารขึ้นมาคันหนึ่ง แต่ยังขาดวัสดุจะประกอบเป็นล้อทั้งสองข้าง พราหมณ์ก็แย้มยิ้มพลางว่า เท่านั้นเองหรือ เราจะซื้อหาให้เจ้าเอง ขอให้บอกว่าเถิดว่า สิ่งใดที่เจ้าต้องการนำมาประกอบเป็นวงล้อรถของเจ้าเด็กก็ตอบอย่างสุภาพว่า เขาต้องการดวงอาทิตย์มาเป็นล้อข้างหนึ่ง ดวงจันทร์เป็นล้ออีกข้างหนึ่ง จึงจะสง่างามสมกับความวิจิตรพิสดารของตัวรถพราหมณ์จึงว่า เด็กเอ๋ย เจ้าเป็นบ้าเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร ใคร ๆ ก็รู้ว่า ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์นั้นยิ่งใหญ่เกินพลังมนุษย์จะหาญไปเอามาใช้เช่นนั้นได้เด็กจึงแย้งว่า แล้วท่านเล่า? ถ้าท่านกล่าวหาว่าตัวเราบ้า เราก็ยังมุ่งปรารถนาในสิ่งที่เห็นเป็นรูปร่างตัวตน มีอยู่ พิสูจน์ได้ด้วยตาของทุกผู้คน แต่ท่านนั่งร่ำไห้ คร่ำครวญถึงคนที่ตายไปแล้ว เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่ จับต้องไม่ได้ ร่างกายก็ถูกฝังเน่าเปื่อย กลายเป็นดินไปหมดแล้ว ระหว่างเรากับท่าน ใครจะบ้าเสียสติมากกว่ากัน ?

พราหมณ์ฟังคำเด็กน้อย ก็ได้สติ หลุดจากความวิปโยคโศกศัลย์ ขอบคุณที่เด็กน้อยมาเตือน เด็กจึงบอกว่า เขาเองคือลูกชายของพราหมณ์ ผลของการรักษาศีล ทำภาวนา ทำให้จิตใจสงบสำรวม มีสติปัญญารักษาใจ คุ้มครองให้ไปอุบัติเป็นเทพ แม้จะตายโดยกะทันหัน ขอพ่ออย่าห่วงกังวลพราหมณ์ก็เห็นงามตามตั้งแต่นั้น พราหมณ์ก็ไปทำบุญใส่บาตรพระพุทธเจ้าและพระสาวก ฟังพระธรรมคำสั่งสอน นำมาประพฤติปฏิบัติตามด้วยจิตใจเลื่อมใสศรัทธา ชีวิตก็มีความสงบ ผาสุก จิตใจมั่นคง ในคุณงามความดีของตน หมดความกังวลว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เพราะรู้ว่าตนพึ่งตัวของตัวได้ป้าใหญ่รู้สึกเหมือนเสียงวิทยุสั่นกระเทือนเข้าไปปลุกสติสมปฤดีที่หลับใหล ให้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา จริงสิ การนั่งคร่ำครวญถึงคนที่ตายไปแล้ว จะช่วยให้อะไรดีขึ้นมาได้ ทำไมเราจึงไม่อยู่กับความเป็นจริง ถ้าน้อยยังมีชีวิตอยู่ แต่กลายเป็นคนพิการ ไม่มีความรู้สึก ได้แน่นอนหายใจเป็นตุ๊กตามีชีวิตอยู่อย่างเดียว เราจะพอใจ หรือจะทุกข์โทมนัสยิ่งกว่านี้ ?!
หรือถ้าน้อยเกิดเกกมะเหรก เกเร ไปติดคุกติดตะราง ไปหลงใหลผู้หญิงที่เข้ากับเราไม่ได้ หัวปักหัวปำ เมื่อความรู้ตัวตามเป็นจริง กลับมาเป็นสมบัติของใจ ป้าใหญ่ก็ค่อยเห็นสิ่งต่าง ๆ ชัดเจนขึ้น เห็นถึงความมีโชคของตน ที่มีลูกเป็นสมบัติของตน ตราบจนตายจากกัน จะระลึกนึกถึงเมื่อไร ก็มีแต่ความปลาบปลื้ม สมดังใจไปทุกอย่าง ที่ร่ำไห้ไม่ได้ดังใจอยู่ทุกวันนี้ ไม่ใช่เพราะความบกพร่องของน้อย แต่เพราะความรักตัวเอง ห่วงตัวเอง กลับความทุกข์ยากที่ตนจะต้องเผชิญโดยลำพัง เพราะขาดลูกเป็นเกราะคุ้มภัย เป็นแก้วสารพัดนึก ที่จะดลบันดาลความสะดวกสบาย ปลอดภัยนานัปการให้

เมื่อได้เห็นถึงใจตัวเถื่อนคะนอง ตัวที่รัก ทะนุถนอมตน เป็นที่ตั้งชัดแจ้งดังนี้ ป้าใหญ่ก็สลดสังเวชใจ นึกละอายตนเองจนน้ำตาไหล ที่เคยภูมิใจว่ารักลูก เสียสละความสุขทุกอย่างเพื่อลูกนั้น แท้ที่จริงก็เป็นการลงทุน เพื่อความเป็นอยู่อย่างปลอดภัยของตนเท่านั้นเองใจของคนเราเหมือนแก้วที่แสนบาง มาเรียงซ้อนกันอยู่หลายหลากชั้น จนเราเองก็ไม่รู้ชัดว่า มันกี่ชั้นกันแน่ จะคิดว่าอ่านอะไร นึกว่าเที่ยงตรงเป็นจริงแล้ว ครั้นเพ่งดูใหม่ให้ชัดจึงพบว่า หาใช่อย่างที่คิดไม่ เพราะเราไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง จึงพึ่งพาตัวเองไม่ได้ในยามวิกฤตพอป้าใหญ่คิดได้ตามเป็นจริง จิตใจที่หนักอึ้งด้วยความทุกข์ก็คลี่คลาย สงบ เบาขึ้น เกิดความอาจหาญ เชื่อมั่นว่า แม้ไม่มีน้อย ตนก็สามารถดูแลเลี้ยงชีวิตตัวเองไป จนสิ้นอายุขัยได้ชีวิตที่ผ่านมา สอนเอื้อยให้เห็นถึงคุณค่าของความเป็นมนุษย์ว่า แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ตรงความสามารถในการฝึกใจของตน ให้มีสติ ระลึกรู้ตามเป็นจริงได้เท่าทันกับแต่ละขณะ แต่ละขณะที่เหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์เกิดขึ้น ป้าใหญ่เป็นตัวอย่างให้เอื้อยเห็นรายละเอียดต่าง ๆ ได้ชัดเจน
ตั้งแต่ทราบข่าวความตายของน้อย ถ้าเปรียบกายกับใจของป้าใหญ่เป็นกระดาษสองแผ่นที่ปะติดกันเข้าไว้ด้วยกาว คือสติ ช่วงนั้น กาวก็แห้งหลุดล่อน ปล่อยให้กายของป้าใหญ่เคลื่อนตามเวลานาทีที่ผ่านไปเหมือนหุ่นยนต์ ส่วนใจกลับไปเปียกน้ำ แปะติดอยู่กับอดีต ไม่ยอมรับรู้ และมาอยู่กับความเป็นจริง กายและใจจึงแตกกระจัดกระจายกันไปคนละทิศละทางเวลาไม่มีสติอยู่กับตัว เราเหมือนคนที่ตายไปแล้ว เพราะพูดจาอะไรก็ไม่เข้าใจกัน ประสาทสัมผัสไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น ดึงดื้อแต่จะเอาตามอำเภอใจ และไม่มีใครพยากรณ์ใครได้ด้วยว่า จะตกอยู่ในสภาพนั้น ยาวนานเท่าไร
การฝึกฝนอบรมใจเท่านั้น จะเป็นเครื่องช่วยให้เราผนึกสติไว้กับกายกับใจได้แน่นหนา ทันท่วงเหตุการณ์ เพราะขณะใดที่สติหลุดไปจากกายจากใจ เราเหมือนคนบ้าที่พึ่งพาตัวเองไม่ได้ ท่านผู้รู้พร่ำสอนว่า ใจของเรานั้นฉลาดเฉียบแหลม รู้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบโลกธาตุ แต่ที่ทุกวันนี้ เราหลงทำผิด ทำถูก พึ่งตนเองไม่ได้ ก็เพราะเราปล่อยให้เมฆหมอกของความสับสนวุ่นวาย ไร้สติ ขาดปัญญามาปิดบังกางกั้นใจของเราไว้ เอื้อยเริ่มดู ‘ใจ’ ของตัวเองเป็น เริ่มเป็นอาการกระเพื่อมหวั่นไหวของมัน ตามผัสสะที่มากระทบ และเริ่มรู้จักตั้งสติ หยุดความหวั่นไหวนั้น ไม่ให้พัดปลิวเป็นสลาตันไปตามความจำได้หมายรู้ ตามอารมณ์ที่ใจปรุงคิด ตกแต่งมาหลอกล่อให้ตัวเองเผลอตามความจำได้หมายรู้ ตามอารมณ์ที่ใจปรุงคิด ตกแต่งมาหลอกล่อ
ไม่ว่าจะทำอะไร เอื้อยพยายามเอาสติเป็นกาวปะกายกับใจไว้ด้วยกัน กายอยู่ตรงไหน ทำอะไรอยู่ เอื้อยระวังรักษาใจให้ซื่อสัตย์ เป็นเพื่อนตาย จดจ้องอยู่ตรงนั้นด้วย ไม่ปล่อยใจให้เผลอเพลิน เอาแต่สุขสนุกสนาน แอบไปเที่ยวคิดปรุงเรื่องโน้น เรื่องนี้ ปั้นน้ำเป็นตัว สร้างวิมานในอากาศมามอมเมาให้หลงเชื่อเป็นจริงเป็นจังตามไป
เมื่อปฏิบัติเช่นนี้แล้ว เอื้อยพบว่าตัวเอง ‘ฟัง’ คนอื่นพูด ได้เนื้อถ้อยกระทงความดีขึ้น ขณะฟังจิตใจก็จดจ่ออยู่กับแต่ละคำที่พูด ปัญหาที่แยกแยะ ตอบโต้ก็ชัดแจ้ง ฟังจบ คำตอบก็มีขึ้นมาทันท่วงที และเป็นคำถามที่เหมาะสม ไม่เลือกที่รักมักที่ชังหรือสร้างความเดือดร้อนให้ใคร อ้ายและลูก ๆ ก็ไว้เนื้อเชื่อใจ เชื่อฟังตามคำพูด มีเรื่องอะไรก็พูดจาถามไถ่ ปรับความเข้าใจกัน ทำให้ชีวิตครอบครัวราบรื่น ผาสุก

เอื้อยนึกถึงพ่อแม่ และน้อง ๆ อยากให้บุคคลเหล่านั้นได้รู้รสความมั่นคง ปลอดภัย และผาสุกเช่นนี้บ้าง นึกเผื่อแผ่ไปถึงพ่อของอ้าย เมื่อปรารภเรื่องนี้สู่กันฟัง อ้ายก็เห็นด้วยว่าครอบครัวของเขาควรไปสืบเสาะหาบุพการี หากท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็จะได้อุปการท่านเป็นการแสดงกตเวทีคืนนั้น เมื่อเอื้อยสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอนเสร็จ รู้สึกใจสว่างไสว เบา เหมือนตัวเองลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ในใจของเอื้อยบอกขึ้นมาว่า ใจที่รู้จักกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดา คือภาชนะที่เหมาะแก่การรองรับธรรม และธรรมนั้นก็ไม่ใช่อะไรพิสดารเกินที่เราจะกำหนดรู้ได้ ธรรมคือความเสมอภาค ไม่เหลื่อมล้ำเอาเปรียบซึ่งกันและกัน ต่างคนต่างมีน้ำใจช่วยเหลือเกื้อกูลกัน แต่ก็ไม่ปล่อยตัวของตัวให้เป็นภาระแก่ใคร เพราะใจที่เป็นธรรมย่อมพึ่งแต่ตนเอง มีตนเองเป็นสรณะ
เอื้อยปีติจนน้ำตาไหล บอกกับตัวเองว่า ตนโชคดีที่ได้รู้จักบำรุงรักษาจิตใจให้อยู่ในลู่ทางที่ถูกที่ควร ทุกเวลานาทีที่ชีวิตยังมีอยู่ เอื้อยจะฝึกฝนเพื่อรู้จักการพึ่งตน

พิมพ์โดย  ปภัสสร มีพงษ์
แหล่งที่มา  http://web.krisdika.go.th/buddha/18_puengton.pdf

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Back To Top