พุทธศาสนากับความเชื่อทางวิทยาศาสตร์
ชื่อผู้เขียน พญ อมรา มลิลา
วันที่ วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2528
ณ โรงเรียนไตรมิตรวิทยาลัย
หมวด
อันดับที่
ครูดีใจที่ได้มาพูดกับพวกคุณในวันนี้ และยิ่งชื่นใจ อย่างทีสุดที่ทราบว่า พวกคุณอุตส่าห์ตั้งใจมาฟังกัน เพราะ บังเอิญวันนี้ตรงกับเทศกาลตรุษ ครูจะพยายามทําให้ดีคุ้มคุณค่าที่ได้อุตส่าห์เสียสละตั้งใจมาฟังกัน
อาจารย์ตั้งประเด็นไว้ว่า พุทธศาสนามีเหตุมีผล เป็นวิทยาศาสตร์ หรือเป็นเรื่องเลื่อนลอย หลายคนอาจ สงสัยต่อไปว่า ศาสนาจําเป็นต่อเราอย่างไร เพราะวิชา ที่เราเรียน เป็นต้นว่าวิชาคํานวณ วิชาวิทยาศาสตร์ วิชา ทั่วไปอะไรต่อมิอะไรหลายอย่าง เราก็พอมองเห็นประโยชน์ ที่จะนํามาใช้ได้ แต่ศาสนานี่ยังมองไม่เห็นประโยชน์ชัดเจนถ้าเราค่อยๆ คิดดู ของศาสนาได้ เราต้องรู้จักเสียก่อนว่า ในตัวของเรา ใจ
อยู่ที่ตรงไหน ใจและกายสัมพันธ์กันอย่างไร
ร่างกายของเราที่เห็นนั่งกันอยู่เป็นแต่ละคน แต่ มีชื่อเรียกขานให้รู้ว่าใครเป็นใครนั้น แท้ที่จริงทาง พุทธศาสนาอธิบายว่า ประกอบไปด้วยธาตุสี่ชนิด คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ถ้าพูดทางภาษาชีววิทยา ก็ว่า ร่างกายประกอบขึ้นด้วยเซลล์ ซึ่งเป็นหน่วยชีวิต มี ดินมีน้ำบรรจุอยู่ ส่วนที่เป็นดิน คือส่วนที่ข้นแข็ง ได้แก่ นิวเคลียส เป็นต้น ถ้าคุณไม่เชื่อว่าร่างกายเราเป็นดิน เย็นนี้เวลาไปอาบน้ํา ฟอกสบู่ถูขี้ไคล สังเกตดูขี้ไคลที่ ออกมา ดินชัดเจนเลย ขี้ไคลก็คือเซลล์ผิวหนังของเรา ที่ตายแล้วหลุดออกมา คอยสังเกต พิจารณาเช่นนี้ทุกๆ วัน ใจจะเห็นจริงว่า เรามาจาก ดิน ส่วนที่เป็น น้ำ เล่า อยู่ตรงไหน น้ําก็อยู่ในเซลล์ ส่วนที่เหลวคล้ายวุ้นไหลไปมาได้ เรียกว่าไซโตปลาสซึม หรือในน้ำเหงื่อ น้ำปัสสาวะ น้ำมูก น้ำลาย เป็นต้น เราเห็นชัดเจนว่า ร่างกายต้องกินน้ําเข้าไปทุกวันทุกวัน เพื่อทดแทนน้ําที่ระเหยไปทางเหงื่อ หรือถูกเททิ้งไป ทางปัสสาวะ ลมก็คือลมที่หายใจเข้าไป ถ้าเมื่อไหร่ก็ตาม เรา หยุดหายใจ เราตายทันที ลมเป็นธาตุที่สําคัญสําหรับ การดํารงชีวิต รักษาร่างกายให้คงเป็นปกติไม่เน่าไม่เปี่อย ไฟคือความร้อนทีเกิดจากการเผาผลาญสารอาหาร ทําให้ร่างกายอบอุ่นอยู่ได้ ถ้าไปจับคนที่เป็นลมหรือคน ตาย จะพบผิวหนังเย็นชืด บางครั้งเราตัวร้อนไม่สบาย เมื่อรับประทานยาลดไข้ให้เหงือออกแล้ว ตัวเราจะเย็น อาการผิดปกติเหล่านีเกิดจากธาตุไฟในร่างกายผิดปกติ ถ้าไม่ปลงใจเชื่อ ลองนึกถึงน้ำในลำคลองที่เน่า สาเหตุที่น้ำเน่า เป็นเพราะอากาศถ่ายเทไม่เพียงพอ เรา ทิ้งสิ่งแปดเปื้อนลงไปในแม่น้ำลำคลอง จนทำให้อากาศ ไม่สามารถถ่ายเทผ่านลงไปในน้ำได้ ถ้าเมื่อใดแม่น้ำลําคลองเหล่านีได้รับการถ่ายเท หรือพ่นอากาศลงไป ความ เน่าจะหมดไป ร่างกายของเราก็ทํานองเดียวกัน ถ้าเมือไร ลมหายใจถ่ายเทไม่สะดวกเพียงพอ มันก็เริมเน่า หรือ เวลามีบาดแผล น่าเลือดน่าเหลิองเกรอะกรัง ออกซิเจน จากเม็ดเลือดแดงถ่ายเทไปสู่เซลล์ไม่สะดวก แผลก็เน่า ถ้าติดเชื้อด้วยก็มีหนองขึ้นมา เมื่อพิจารณาอย่างนี้แล้ว จะเห็นว่า พุทธศาสนา กับวิทยาศาสตร์เป็นอันเดียวกัน เพราะ ธรรมคําสอนของ พุทธศาสนา คือความจริงที่ปรากฏอยู่โดยธรรมชาติซึ่งเรา จํากัดเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับกายและใจ เพื่อให้ใจเห็นสิ่งทั้ง ปวงตามเป็นจริง จะพูดอีกนัยหนึงว่า พุทธศาสนาคือวิทยาศาสตร์ว่าด้วยธรรมชาติของใจ ก็คงไม่ผิด ส่วนวิทยาศาสตร์ทั่วไป ว่าด้วยธรรมชาติของสิงภายนอก
ที่เรานึกว่าเราวิเศษ แตกต่างจากสิ่งทั้งหลายทั้ง ปวง จากต้นไม้จากสัตว์ เป็นเพราะเราไปยึด เข้าใจผิด ตามที่กิเลสพาให้เข้าใจ จริงๆแล้วมันเหมือนกัน ธาตุน้ำ ในร่างกายของเราก็เหมือนน้ำในแม่น้ำลําคลอง เราเองก็ เหมือนสัตว์ทั้งหลาย พอหยุดหายใจ ลมถ่ายเทไม่ได้ น้ำ ในตัวเรา เป็นต้นว่า น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำในเซลล์ ทั้งหลายทั้งปวงเริ่มเน่า พอเน่าแล้ว ก็เกิดฟองอากาศ ดันส่วนที่เป็นดินให้พังไป จนในที่สุด ก็กลับไปเป็นดิน คลุกเคล้ากับแผ่นดินอีก ถ้าคุณยังไม่เห็นตามนี้ ลองนึก ต่อไปว่า เมื่อแม่ของเราตั้งท้องเราขึ้นมา เรามาจากไหน เล่า? เรามาจากไข่ในรังไข่ของแม่ ที่มีเชื้อของพ่อเข้าไป ผสม เมื่อผสมกันแล้วมีปฏิสนธิวิญญาณคือใจมาอาศัย ทำให้เจริญเติบโต แบ่งตัวเป็นตัวเด็กขึ้นมา ดูดอาหาร ผ่านรกทางสายสะดือมาเลี้ยงตัวอาหารเหล่านี้มาจากไหน ก็มาจากอาหารที่แม่กิน เข้าไป ซึ่งก็มาจากแผ่นดิน แผ่นน้ำ เป็นต้นว่า เมล็ดข้าว ผัก หญ้า หรือเนื้อสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ล้วนมาจากดินทั้ง สิ้น ต้นข้าวเจริญเติบโตขึ้นมาได้ ก็ต้องดูดปุ๋ยดูดน้ําจาก ดินขึ้นไป แล้วนําไปสังเคราะห์จนกระทั่งเป็นรวงข้าว เป็นเมล็ดข้าว ให้เราเอามาหุงเป็นอาหาร สาวไปจนถึง ต้นตอ ก็เป็นดินกับน้ำ สัตว์มีชีวิตเติบใหญ่มาได้ก็อาศัยผักหญ้าหรือเนื้อสัตว์ด้วยกันเป็นอาหาร สรุปแล้ว เนื้อ สัตว์ก็คือดินกับน้ำอีกนั้นแหละ
สัตว์ทั้งหลาย พืชทั้งหลาย ก็มีที่มาอย่างนี้ ส่วน ตัวเรา แทนที่จะใช้รากดูดเอาน้ำเอาปุ๋ยขึ้นมาจากพื้นดิน แบบต้นไม้ทั้งหลาย ก็ใช้ปากแทน กินเข้าไป ใส่เข้าไป เลยเผลอไปว่า เราวิเศษ แตกต่างจากสัตว์อื่นๆ จริงๆ แล้ว ไม่ได้วิเศษดอก เราก็เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งใน โลกนี้เหมือนสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ทั้งหลายนั่นเอง
เมื่อทราบแล้วว่าร่างกายมีที่มาที่ไปอย่างนี้ ครั้น หยุดหายใจ เกิดการเน่าเปื้อย กลับไปเป็นดินตามสภาพ ดั้งเดิม ดินอันนั้นก็ปะปนคลุกเคล้าอยู่ในแผ่นดิน กลับ มาเป็นอาหารของพืชและสัตว์ใหม่ แล้วไปหล่อเลี้ยงคน คนใหม่ต่อไป หมุนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่จบไม่สิ้น
ถ้าชีวิตมีความหมายเพียงแค่รูปกายที่เป็นดิน น้ำ ลม ไฟ ก็คงไม่มีเรื่องยุ่งยาก ไม่มีสงคราม ความโกรธ
แค้นต่อกัน ทําลายล้างผลาญกันและกัน ชีวิตยังมีอะไรอีกอันหนึ่งทีเรียกว่า ใจ ใจอันนีอยู่ที่ไหนเล่า ใจไม่ได้อยู่ที่สมอง เราไปเข้าใจผิด คิดว่า สมอง ทําให้เรามีปัญญา ทําให้เราเก่ง หรือไม่เก่ง ทําให้เรา ประสบความสําเร็จหรือไม่สําเร็จ จริงๆ แล้วไม่ใช่ ธาตุอีกธาตุหนึ่งที่เป็นพลังงาน ธาตุดินและนําเป็นสสาร
ลม และไฟเป็นพลังงาน เมื่อใดที่ระบบหายใจไม่ทำงาน เราไม่สามารถหมุนเวียนลมจากอากาศภายนอกเข้าไป ถ่ายเทให้ร่างกายได้ ลมและไฟในตัวเราก็ดับ ดังนั้นจาก ความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ที่เรียนมา ตัวเราเป็นสสาร และ นอกจากสสารแล้ว ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่เป็นพลังงาน ท่าน เรียกอมตธาตุหรือ ธาตุรู้ ธาตุนี้คือใจของเราใจจึงมีคุณลักษณะเหมือนพลังงานทั้งหลายใน โลก ที่คุณเรียนในวิชากลศาสตร์ พลังอันนี้ไม่มีวันสูญ หาย แตกทําลาย ไม่เกิด ไม่ตาย เช่นเดียวกับพลังความ ร้อน พลังแสงสว่าง
ถ้าคุณเอาน้ําเย็นใส่ในกาต้มน้ำ แล้วเอาไปตั้งบน ไฟ กาน้ำก็ปิดสนิท เมื่อต้มไป ต้มไป ความร้อนเข้า ไปสู่น้ำจากทางไหน จึงทําให้น้ําซึ่งแต่เดิมคุณเอานิ้วจุ่ม ลงไปได้ ครั้นตั้งไว้บนไฟถึงจุดเดือด คุณเอานิ้วจุ่มลง ไป นิ้วคุณพองแน่ เพราะน้ำเย็นกลายเป็นน้ําที่มีความ ร้อน 100°ซ. อยู่ในนั้น ความร้อนทะลุกาที่คุณปิดฝาสนิท เข้าไปได้อย่างไร ใจที่เป็นพลังรู้ก็มีคุณลักษณะอย่างนั้น สามารถ ทะลุอะไรๆไปได้ ถ้าเราฝึกใจของเราให้มีมโนมยิทธิ คือ มีฤทธิ์ทางใจเหมือนหนังกำลังภายใน เราจะทะลุประตู ห้องนี้ไปก็ได้ หรือเราอยู่ที่นี่ จะไปปรากฏกายขึ้นที่อเมริกา
ก็ทําได้ พลังรู้นี้มีความสามารถอเนกอนันต์ ไปได้รอบ จักรวาลในพริบตาเดียว เพียงแค่เราตั้งจิตคิด
คุณลองนึกถึงเวลาที่คุณคิดอยากอะไร เป็นต้นว่า คุณดูภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับประเทศนอรเว เห็น พระอาทิตย์เที่ยงคืน คุณคิดชอบใจ อยากไป ใจก็ไปถึง ตรงนั้นแล้ว ในอาณาจักรของใจ ไม่มีระยะทาง ไม่มีกาล เวลา เพียงตั้งจิตคิดก็ปรากฏ ณ ที่นั้น และเป็นได้เช่น นั้นจริงพลังรู้จึงเป็นพลังที่ยอดเยียม เหนือกว่าพลังใดๆ ทั้งหมดในโลกนี้ จะบันดาลให้อะไรเกิดขึ้นมา ดีที่สุดก็ ได้ ชั่วที่สุดก็ได้ ไม่มีอะไรที่จะเลวไปยิงกว่าใจของมนุษย์ ที่ไม่ได้ฝึก ทั้งป่าเถือน คืกคะนองยิงกว่าอะไรทั้งหมดแต่ถ้าได้ฝึกดีแล้ว ก็ดียอดเยี่ยมกว่าสิงที่มีค่าทั้งหลาย อย่าง จิตใจของพระพุทธองค์ ท่านยังความร่มเย็น ยังแต่สิ่งที่ เป็นความผาสุก ดีงาม ให้บังเกิดแก่โลกทั้งสาม ทําให้ คนทุกข์ยาก ทีหาทางออกไม่ได้ ที่จองเวรจองกรรม ตาม ล้างตามผลาญซึ่งกันและกัน เกิดความเข้าใจถูกต้องตามสภาพเป็นจริง ทําให้ใจสงบสุข มีความหมายขึ้นมาได้เมื่อทราบว่า ตัวของเราประกอบไปด้วยสสาร คือ ร่างกาย และพลังงานคือใจแล้ว เราก็มาพิจารณาต่อไป
ว่า กายกับใจมีความสัมพันธ์กันอย่างไร
กายก็เหมือนกับหุ่นกระบอก ต้องมีคนชัก ใจก็คือ ตัวชัก ชักว่าจะให้กายไปทําอะไร จะให้กายคิดอย่างไร พูดอย่างไร ถ้าคนชักไม่มีศีล ไม่มีธรรม ไม่มีหลักยึด เหนียวในใจ นึกอยากโกงใครก็โกง นึกอยากทําอะไรก็ทํา ดังเช่นวันก่อนนั้น มีคนมาเล่าให้ครูฟังว่า ทีมหาวิทยาลัย แห่งหนึง นักศึกษาคนหนึ่งขับรถมา มองหาที่จะจอดรถ บังเอิญตรงทีร่ม มีรถคันอื่นๆ จอดเต็มหมดแล้ว นักศึกษา ผู้นั้นลงจากรถของเขา จัดแจงเข็นรถที่จอดอยู่ในที่ร่มให้ เคลื่อนไปอยู่กลางแดด แล้วเอารถของตัวเองเข้าไปจอด ในร่มแทน ลองตรองดูเถิดว่า ถ้าไม่มีหลักธรรมในจิตใจ ทุก คนก็จะประพฤติอย่างนี้ และถ้าทุกคนทําอย่างนี้ โลกจะ อยู่เป็นสุขได้อย่างไร สมมุติบ้านของเราไม่มีรั้ว ใครนึกอยากเข้ามาปลูก ต้นไม้ในที่ของเรา เขาก็เดินเข้ามาปลูก หรือเรากําลังกิน ข้าวอยู่ เขารู้สึกว่าข้าวคงอร่อย เขาอยากกินบ้าง ก็ถือ วิสาสะยกจานข้าวของเราไปกินหน้าตาเฉย ถ้าเป็นอย่าง นี้ คุณจะอยากอยู่ในบ้านเมืองนี้หรือไม่ แน่นอน ไม่มีใครอยากอยู่เลย เราจึงต้องมาทําความรู้จักกับศาสนา เมื่อรู้จัก ศาสนาแล้ว จะเชื่อมั่นศรัทธา ปฏิบัติตามแค่ไหน เพียงใด
ก็อยู่ที่ว่า เราลงใจเชื่อหลักธรรมหมดหัวใจหรือไม่ ถ้า เราคิดว่า ศาสนาเป็นเรื่องเลื่อนลอย เพ้อฝัน เป็นเรื่อง ที่ท่านหลอกคนโง่ๆให้ประพฤติตาม ถ้าคิดทํานองนี้ เรา ก็ไม่ศรัทธา ปากเราบอกว่า ใช่แล้ว ฉันนับถือพุทธศาสนา แต่เวลาที่เราเห็นตัวอะไรที่ไม่ถูกใจ ก็ตีหัวมัน หรือฆ่า มันเสียเลย เราไม่เข้าใจว่า ทําไมการฆ่าชีวิตใดๆ จึงเป็น บาป เป็นความผิดร้ายแรง ลองสมมุติดูว่า ถ้ามีสัตว์อะไร ที่ตัวใหญ่อย่างเรา และตัวเราเองเล็กเท่ามด เป็นต้นว่า มียักษ์หลงเข้ามาในโลกนี้ มันไม่พอใจที่คุณเดินเกะกะ ทางของมัน ก็เลยเอามือขยี้คุณเสีย คุณจะชอบหรือไม่ คุณก็คงตกใจและประสาทผวา ด้วยไม่รู้ว่ายักษ์จะเอามือ มาขยี้คุณเมื่อไร สัตว์ทั้งหลายต่างก็มีหัวใจเหมือนเรา หลักของ พระพุทธศาสนามีที่มาอย่างนี่เอง กฎหมายนั้นปกป้อง ได้แต่เฉพาะคนด้วยกัน เรามีกฎหมายว่า การฆ่าคนเป็น ความผิด จะถูกลงโทษตั้งแต่ตัดสินจําคุก หรือประหาร ชีวิตให้ตายตกไปตามกัน แต่ไม่เห็นมีกฎหมายบอกว่า การ ฆ่าสัตว์จะถูกลงโทษจําคุก หรือถูกฆ่าให้ตายไปตามกัน เห็นจะเป็นเพราะว่า เรามองแต่ตัวของเรา ตัวเราเป็น อย่างไร เราแข็งใจ ฝึนใจ เผือแผ่ออกไปอีกนิด แทนที จะรักแต่ตัวเอง เรารักคนอื่นคนอื่นด้วยเช่นกัน
ใจที่ไม่มีธรรม พอไม่ใช่เรา ไม่ใช่ความผิดที่จะ ถูกลงโทษ เป็นอันหมดความหมาย พระพุทธเจ้าไม่เห็น อย่างนั้น พระพุทธเจ้าเห็นว่าใจทุกดวง ไม่ว่าจะเป็นใจ มด ใจปลวก หรือใจอะไรก็ตาม ล้วนมีความรู้สึกนึกคิด เหมือนเราทั้งนั้น เราคิดอย่างไร ต่อให้ชีวะนั้นเล็ก ชีวะ นั้นโง่เซ่อ ต่ำต้อยพิกลพิการเพียงใดก็ตาม มันรู้สึกได้ เหมือนเรา เจ็บปวดเหมือนเรา อยากสุขเหมือนเรา ถ้า ระลึกได้อย่างนี้แล้ว ใจของเราจะเป็นใจที่มีเมตตา ใจ ของเราจะเป็นใจที่อ่อนโยน ไม่เห็นแก่ตัว ไม่คับแคบ เพราะเมื่อจะทําสิ่งใดต่อชีวิตอื่น เรานึกถามตัวเองทุก ครั้งว่าถ้าใครมาทําอย่างเดียวกันนี้กับเรา เราจะชอบหรือ ไม่ ถ้าตอบว่าไม่ชอบ เมื่อเราไม่ชอบ เราก็ไม่ไปทํากับ ผู้อื่นใจที่เป็นธรรม ใจที่เชื่อในศาสนา คือใจที่ไม่คิด เบียดเบียนผู้อื่น เป็นใจที่รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา เมื่อเอา ใจเขามาใส่ใจเรา อะไรที่เราไม่ชอบ เราซื่อสัตย์ต่อตัว เอง ถ้าเราไม่ชอบคนอื่นก็ไม่ชอบ เราก็ฝันไม่ทํา เมื่อ ใจรู้จักที่จะฝึน มีความระงับยับยั้ง เหมือนน้ำ ถ้าคุณ เทน้ำหนึ่งแก้วลงไปบนโต๊ะตัวนี้ น้ำจะไหลไปทางโน้น ทางนี้ ทางนั้น ไม่เป็นทิศเป็นทาง ทำให้ไม่เหลือกําลัง หรือคุณค่าอะไรเลย แต่ถ้าคุณกั้นเขื่อนกั้นทำนบไว้ แล้ว เอาน้ําแต่ละแก้ว แต่ละแก้ว ใส่ลงไปในทำนบ จนได้ ระดับพอสมควร คราวนี้ลองเจาะรู ทําให้ทํานบรัวดู บ้าง เวลาน้ำไหลรัวทํานบออกมา น้ำจะพุ่งแรง ทําให้อะไรที่ขวางหน้าพังพินาศได้ อย่างเช่นเราเคยอ่าน ข่าวเขื่อนพัง เป็นต้น
ใจก็เหมือนกัน ใจที่ได้หัดให้รู้อยู่กับขณะเฉพาะ หน้า ฝักฝันให้มีวินัย มีความรับผิดชอบดีแล้ว จะเป็นใจ ที่มีกำลัง เอาไปใช้ทำประโยชน์อะไรก็ทําได้ เหมือนน้ำ ที่มีทำนบกั้นรักษาไว้ เราสามารถนำพลังน้ําที่เก็บเอา ไว้นั้นไปปั่นเครื่องจักร ให้เกิดเป็นกระแสไฟออกมา เรา ก็มีไฟใช้ โดยไม่ต้องเปลืองเชื้อเพลิง เราไม่มีบ่อน้ำมัน เราก็ใช้พลังน้ำามาทำประโยชน์ทดแทนได้ หลักของพุทธศาสนา คือ การฝึกอบรมใจให้เกิด ปัญญารู้โลกตามสภาพเป็นจริง วิทยาศาสตร์ คือ วิชาที่ กล่าวถึงความจริงต่างๆของธรรมชาติ หรือโลกนั่นเอง
การฝึกใจก็มีขั้นตอน ก่อนจะเกิดปัญญาได้ ต้อง ฝึกสติ คือก่อทำนบให้เกิดเสียก่อน มิฉะนั้นใจจะไหล เปะปะ คิดเรื่องนั้นนิด เรื่องนี้หน่อย ฟุ้งซ่านหาความ สงบนิ่ง เป็นสมาธิไม่ได้ เหมือนน้ำที่ไม่มีทํานบ ไหล ทิ้งเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ใจของผู้ที่ได้ฝึกดีแล้ว จะมีกำลังเหนือผู้ไม่ได้ฝึก
อาจสะกดให้ผู้อื่นคล้อยตามได้ หรือเป็นผู้นำที่เก่ง ฝูงชนให้มีความคิดเห็นสนับสนุนตามที่เขาปรารถนา ทั้ง นี้เพราะผลของการฝึกฝนก่อให้เกิดพลัง เราอยากเป็นอย่างนั้นบ้าง ก็เริ่มฝึกอบรมใจของ ครูเชื่อว่าพวกคุณคงดูหนังกำลังภายในกันทั้งนั้น
ยุทธทั้งหลาย แต่ละคนที่เก่งขึ้นมาได้ เขาทำอย่างไร เขาต้องฝึก ไม่มีใครเลยเก่งขึ้นมาโดยที่นังอยู่เฉยๆ แล้วก็มี สิ่งมหัศจรรย์มาทำให้เขาเก่งขึ้นในพริบตาเดียว เขาต้อง พากเพียร เอาจริงเอาจังฝึก ฝึกจนชำนาญ เราก็เหมือน กัน ถ้าเราอยากเก่ง เราอยากเก่งในสิ่งใด เราต้องฝึกฝน ตัวเอง ฝึกบ่อยๆฝึกเยอะๆ ชั่วโมงบินยิ่งเยอะเท่าใด ยิ่ง เกิดความชํานิชํานาญ เช่น ขี่จักรยาน ถ้าปีหนึ่งเราขี่หนหนึ่ง ขี่แล้วก็ส่ายไปชนโน่นชนนี่ชนนั้นอยู่เรื่อย แต่ถ้าเราขี่ทุกวันอีกหน่อยแทบจะหลับตา เราก็ขี่ไปได้ ความชำนาญเกิดขึ้นมาอย่างนั้น ใจของคนเราก็เหมือนกัน อยากเป็นอะไร ฝึกฝน ทำสิ่งนั้นทุกบ่อยทุกบ่อยเสมอๆ อย่าไปผลัดว่า ไม่เป็นไร วันนี้ช่างมันก่อนเถอะ ถ้ามีข้อยกเว้นอย่างนี้ ก็เป็นอันฝึก ไม่ได้ หรือฝึกแล้วไม่ได้ผลเท่าที่ควร เราอยากให้ตัวเรามีความชำนาญในสิ่งใด เราต้อง ฝึกอยู่เรื่อย ไม่ละไม่ถอย และต้องเด็ดเดียวเข้มแข็งกับ
ตัวเอง เราต้องเป็นผู้ควบคุมตัวเราเอง ไม่ให้ผลัดว่า ช่าง หัวมัน ข้อยกเว้นมีไม่ได้ในการฝึกใจ เราต้องซื่อตรงกับ ตัวเอง ต้องมีความรับผิดชอบ ถึงเวลาทำอย่างนั้น ก็ ต้องทำอย่างนั้น ทำแล้วต้องไม่มีการโกงตัวเอง ทำไม่ได้ ก็ยอมรับโดยหน้าชื่นว่าไม่ได้ แล้วพากเพียรพยายามทำ ให้ได้ จึงจะเกิดผลจริงจัง
ถ้าเราเห็นความสลักสําคัญ เห็นว่า ศาสนาเป็น
เหมือนการปลูกต้นไม้ ใจของเราคือต้นไม้ เมือต้นไม้งอก
ขึ้นมาแล้ว ไม่มีหลักผูก เดียวมันก็เลือยไปทางโน้น เลือย มาทางนี้ พอโตขืนก็เป็นไม้ที่คด จะเอาไปเลือยทำกระดาน ปลูกบ้านก็ไม่ได้ ตกลงต้องเอาไปทำเป็นฟืนทิ้งเสียเปล่าๆ
เมื่อรู้เช่นนี้ เราก็เอาศาสนามาเป็นไม้หลักแล้ว เอาใจของเราผูกเข้าไว้ ผลที่สุดก็ จะได้ต้นไม้ที่ตรง ดีมีประโยชน์ พอต้นไม้ลำต้นตรง แข็งแรงดีแน่ๆ แล้วถึงจะเอาไม้หลักออกไป ใจก็ไม่เลื้อย คิดตามอารมณ์ ตามความอยากที่ไม่มีเหตุผล ไม่มีฝัง มีฝาอีกแล้ว เพราะ ใจที่ได้รับการฝึกฝนเริ่มแข็ง เป็นระเบียบพอที่จะทรงตัว ต้าน ทานความเย้ายวนต่างๆอยู่ได้ เป็นเหมือนไม้ที่เมื่อเจริญ ต่อไป จะมีลำต้นตรงสวยงาม มีประโยชน์ เอาไปใช้ ทำอะไรก็มีคุณค่า ตรงกันข้าม ถ้าเราปล่อยให้เป็นไป ตามบุญตามกรรม ตามลมเพลมพัด มันก็มีผลอย่างที่ครู
ว่าไปแล้ว คือจะเอาไปทำอะไร...อ้าว ตรงนี้คดไปเสีย แล้ว ทำแผ่นกระดานหรือทําภาชนะก็ไม่ได้ในที่สุดต้อง ทําเป็นฟืน หรือทิ้งให้เกะกะ คนผ่านไปผ่านมาก็บ่นว่า ขวางทาง เขาเดินไม่ได้ เรื่องมันเป็นอย่างนี้
ถ้ามาปฏิบัติศาสนธรรม รักษาศีล ไม่ยิงนกตก ปลาฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแล้ว เพื่อนจะหัวเราะว่า ไอ้นี่หน้า ตัวเมีย ไม่ได้ความ ถ้าเรายังไม่เข้าใจแก่นธรรมจริงๆ เราก็จะหวั่นไหวไปตามคำพูดเหล่านั้น แต่ถ้าเราเข้าใจ เห็นด้วยปัญญาว่า ทุกสัตว์ทุกบุคคลมีใจที่ไม่ปรารถนา ความทุกข์ ความเจ็บปวด เราไม่อยากให้ใครทำทุกข์ให้ เรา เราก็ระวัง ไม่ทำเช่นนั้นกับผู้ใดทั้งสิ้น ใครจะหัวเราะ ขบขัน หรือวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร ก็ไม่หวั่นไหว เคย มีตัวอย่างให้เห็นว่า อะไรก็ตามที่เราทำเอาไว้ สิ่งนั้นจะ กลับมาสนองตอบเรา
ผู้ป่วยรายหนึ่งเล่าให้ฟังว่า เมื่อเด็กๆเธอซุกซน เห็นจิ้งจกที่มีไข่อยู่ในท้องจะตะครุบจับมาหงายท้องไว้ แล้วใช้นิ้วดีดท้องที่โตใสนั้น ผลคือจิ้งจกท้องแตกนับไม่ ถ้วน พอโตขึ้น เธอเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาล ถูกผ่าตัด ช่องท้อง ครั้งนี้เป็นครั้งที่แปดแล้ว ทําให้เธอเกิดสำนึก ว่า จิ้งจกเหล่านั้นคงเจ็บปวด ทุกข์ทรมานอย่างนี้ หรือ
อีกรายเล่าว่า สมัยเด็ก เพื่อนๆชวนให้จับเต่ามา ย่างไฟแล้วช่วยกันเขี่ยเต่าเป็นๆ ให้เดินเข้าไป ในกองไฟ เต่าคลานออกมา ก็คอยใช้ไม้เชี่ยกลับเข้าไป จนกระดองหน้าอกของเต่าไหม้หลุดออกมา ครั้นเป็น หนุ่ม ไปถางไร่ เผา เพื่อพลิกดิน เกิดเหตุบังเอิญ ลม หวนพัดเปลวไฟมาลุกติดเสื้อที่เปื้อนน้ำมัน กว่าจะดับ ได้ หน้าอกถูกไฟลวกเป็นแผลลึก ได้รับความเจ็บปวด ทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง ครั้นรักษาหายแล้วมีรอยแผลเป็น เหมือนกระดองของเต่า
หัวใจของพุทธศาสนาสอนอยู่อย่างเดียวคือของทุก อย่างมาแต่เหตุ ถ้าไม่มีเมล็ดมะม่วง ต้นมะม่วงก็งอกขึ้น มาไม่ได้ ถ้าไม่มีไอน้ำไปลอยตัวสะสมเป็นก้อนเมฆ ฝน ก็ตกไม่ได้ ของทุกอย่างต้องมีเหตุจําเพาะของมัน ถ้าไม่ มีเหตุสมควรแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นมาโดยปาฏิหาริย์ไม่ได้ ท่านจึงสอนให้เราละเอียดรอบคอบ เจริญสติปัญญาให้ กำกับอยู่กับใจ จะทำอะไรลงไปแต่ละอย่าง ไม่ว่าจะ เป็นด้วยกาย ด้วยวาจาคําพูด หรือด้วยความคิด ก็เปรียบ ได้กับการหว่านเมล็ดพันธุ์ต่างๆ ลงไปในนา ใจของเรา คือพื้นนา ถ้าเอาเมล็ดพันธุ์ไม่ดีหว่านลงไป สมมุติเรา หว่านหนามพุงดอลงไป อีกสักหน่อยต้นพุงดอก็งอกขึ้น มาเต็มที่นาของเรา พอเราเดินไปทางไหน หนามพุงดอก็งอกขึ้น
ก็เกี่ยวเราไปเรื่อย ทำนองเดียวกับผู้ที่ทำความไม่ดี ของเขาก็จะตกระกำลำบากจากผลของความไม่ดีนั้นเอง ถ้าเราทําความดี ก็เหมือนเราเลือกพันธุ์เมล็ดที่ดี เป็นต้นว่า เม็ดมะม่วงทวายมันมาปลูก พอมะม่วงโต ออกลูก เราก็ได้กิน ได้เก็บไปขาย ชื่นใจ คุ้มเหนื่อย เมื่อความดีที่ทําสัมฤทธิ์ผล เราก็มีความสุข ตอนนี้เป็นตอนที่พวกคุณต้องมาเล่าเรียน ศึกษา หาวิชาความรู้ เราก็ต้องตั้งใจเล่าเรียน ไม่ใช่ว่ากายอยู่ในห้องนี้ แต่ปรากฏว่าใจทะลุผ่านฝาห้องออกไปดูเขาเล่น หูเลยไม่ได้ยินเสียงที่ครูพูด หรือเสียงที่จะเป็นประโยชน์ ต่อตัวเอง เพราะมัวแต่จดจ่อใจทั้งใจลงไปอยู่ที่สนามข้าง ล่างเสียแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้น ตัวเรานั่งอยู่ก็จริง แต่มัน ตายแล้ว เพราะว่าศพคนตายแล้ว ไม่มีจิตใจอยู่ด้วย เอา ไปตั้งไว้ที่ไหน ก็ตั้งอยู่อย่างนั้น คิดอะไรไม่ได้ ฟังอะไร ไม่รู้ ไม่ได้ยินทั้งสิ้น ถ้าเราทําให้ตัวกับใจของเรากระจัด กระจายแตกแยกกัน ก็เสียสตางค์ของพ่อแม่เปล่าๆ ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย พอถึงเวลาสอบ ก็ไม่ทราบว่า ข้อ สอบนั้นครูได้สอนไว้ว่าอย่างไรบ้าง ถ้าเห็นจริงตามที่ครูอธิบายมานี้ ก็จะเกิดความรับ ผิดชอบ อะไรก็ตามที่ได้รับมอบหมายให้มาทำ ก็จะได้ เอาทั้งตัวทั้งใจมารวมทำด้วยกัน ไม่ใช่ตัวอยู่ทางหนึ่ง ใจ
ไปอีกทางหนึ่ง อย่างนั้นมันเกิดแรงเสียดสีกัน ลองดูเรา มีเชือกอยู่เส้นหนึ่ง ถ้าคุณดึงปลายไปทางตู้หลังห้อง ครู อยู่ทางนี้ก็ดึงทางนี้ ดึงมาทางกระดาน ตกลงเชือกขาด หรือไม่อย่างนั้น กําลังทางไหนมากกว่าก็ดึงเชือกไปได้
ส่วนมากกำลังฝ่ายชั่วจะชนะเพราะอะไร? เพราะเราตามใจตัวเองมาตั้งแต่ อ้อนแต่ออก ตามใจมาโดยอัตโนมัติ ไม่มีใครคิดที่จะฝึน ตัวเองน้ำมีธรรมชาติไหลลงสู่ที่ต่ำเสมอ ใจก็เหมือนกัน อะไรก็ตามที่ต้องใช้ความเพียรพยายาม ที่ต้องใช้ความ อดทน ใจไม่อยากอดทนดอก ถ้าให้เลือกระหว่างทำการ บ้านกับไปเล่น ทุกคนจะเลือกไปเล่น ไม่มีใครอยากจะ ทำการบ้าน ครูก็ไม่อยากทำ แต่เพราะครูถูกพ่อแม่สอน ให้รู้ ให้เข้าใจ และฝึกให้เห็นจริงด้วยตัวเองมาแล้วว่าเมื่อเรายับยั้งชังใจ ฝืนบังคับใจของตัวถึงจุดหนึ่งแล้ว ผล
ที่บังเกิดขึ้นเป็นความดีความชื่นใจ เราก็เอาความชื่นใจ อันนั้นมาหล่อเลี้ยง เป็นกำลังใจให้เกิดความอดทน พากเพีนร เหมือนอย่างกับเวลาเด็กเล็กๆ จะทำการบ้าน เราก็บอกว่า ถ้าทำการบ้านเสร็จเรียบร้อย จะให้ลูกกวาด เด็กอยากกินลูกกวาด ก็กัดฟันทำ พอผลดีบังเกิดขึ้น เด็ก สอบได้ที่หนึ่ง เป็นนักเรียนดี ครูยกย่อง คนชมเชย สิ่งเหล่านีก็มาทำให้ใจเกิดกำลัง ขวนขวาย พากเพียรทำ ต่อไป เป็นคนดีต่อไป
คนเราย่อมต้องรู้จักให้สินนําใจแก่ตัวเองให้มีความแน่วแน่ มุ่งมัน ศรัทธา ในสิ่งที่เป็นกุศล ในสิ่งที่เป็น คุณงามความดี เมื่อเกิดความรู้พอเป็นรากฐานได้แล้วว่า ศาสนา เป็นวิทยาศาสตร์โดยแท้ เราก็จะมากล่าวถึงปัญหาที่เขียน ถาม มาว่า การระลึกชาติ เป็นเรืองเชือถือได้หรือไม่ ก่อนที่จะตอบว่า ระลึกชาติเชือถือได้หรือไม่ ขอให้ครูถามนิดหนึ่งว่า ถ้าครูถาม เมื่อวานนี้คุณมาโรงเรียน 1 หรือเปล่า คุณตอบได้หรือไม่ คุณตอบครูว่า ครับ ผม มาโรงเรียน เพื่อนๆ หรือใครๆ ที่ได้ฟังจะคิดว่า คำตอบ นีเป็นเรืองเหลวไหลหรือเรื่องเชื่อถือได้? ทุกคนจะบอก ว่าไม่เหลวไหล หรือถ้าครูถามต่อไปอีกว่า เมือปีที่แล้ว เธออยู่โรงเรียนไหน? คุณยังจําได้แม่นยํา คุณก็ตอบ ครูว่าอยู่โรงเรียนไตรมิตร ผู้ฟังก็เชื่อถือตรงกัน เห็นเป็น เพราะอยู่ในขอบข่ายที่เราระลึกไปในอดีตของเราได้ ในทํานองเดียวกัน ถ้าเรานึกว่าชาตินี้ชาติก่อนก็ เหมือนอย่างกับว่า วันนี้เป็นชาตินี้ เราตื่นขึ้นมาตอนเช้า คือ เราเกิดมา แล้วเราก็โตขึ้น พอถึงกลางวันเราถึงวัยกลางคน เข้มแข็ง ตกตอนเย็นเราเหนื่อย เครียด นันคือ เราแก่ นอนหลับก็เหมือนเราตาย ตกลงผ่านไปหนึ่งชาติ วันรุ่งขึ้นก็เท่ากับเกิดใหม่อีกชาติหนึ่ง มันก็เป็นอย่างนี่ ซ้ำแล้วช้ำอีกอยู่เรื่อย คนบางคนมีญาณ ระลึกชาติได้ เขาฝึกความจํา ของเขา ฝึกเจริญสติให้ระลึกนึกได้ว่า ได้ทําอะไรลงไป บ้าง ถอยหลังจากเมื่อครู่นี้ ไปจนเมื่อเช้านี้เมื่อคืนนี้ เมื่อวานนี้ ไปโดยลำดับ ทุกๆ สิ่งที่ได้ทำลงไป กำหนด ตั้งฝังใจจดจำเอาไว้ กำลังของความระลึกรู้ทีได้ฝึกอบรม บ่มจนแก่กล้า ทำให้ระลึกชาติได้ เมื่อไรที่เพ่งนึกก็จําได้ อ้อ--ชาติก่อนเคยเป็นลูกคนนั้นคนนี้มา หรือเคยเกิดเป็น สุนัขมา เป็นต้น เหมือนทีครูถามว่า เมื่อวานนี้คุณมาโรงเรียนหรือเปล่า
บางคนที่ไม่ใส่ใจ ก็อาจนึกไม่ออกว่า เมื่อวานนี้ เราหนีไปเทียว หรือมาเรียนหนังสือกันแน่ หรือสังเกต ในบรรดาเพื่อนฝูงของเรา แต่ละคนก็มีระดับความจำ ต่างๆ กันไป บางคนจำได้ละเอียดถีถ้วน จนกระทังว่า ตั้งแต่เล็กๆได้ทำอะไรมาบ้าง เป็นอย่างไรบ้าง เล่าได้ความต่อเนื่อง ครบถ้วนดี แต่บางคนจำอะไรไม่ได้เลย จำได้แต่เฉพาะวันนี้เท่านั้น คนทีจำได้เฉพาะวันนี้ จะ กล่าวหาคนแรกว่าเพ้อเจ้อ คิดเอาเองก็ไม่ได้ เพราะมีผู้
ที่ได้รู้เห็นมา เป็นพยานรับรองคำพูดของเขา
ถ้าฟังแล้วยังไม่ปลงใจเชื่อ ลองฝึกตัวเองดูก็ได้ เพราะใจของคนเราเป็นอย่างที่ครูบอกแล้ว ถ้าปล่อยให้ ใจชักเย่อกันเรื่อยๆ เช่น นั่งฟังครูพูดอย่างนี้ เกิดแว่บ ไปนึกว่า เย็นนี้จะมีหนังเรื่องอะไรนะ เรานัดเพื่อนเอา ไว้ เอ๊ะ นี่เดี่ยวจะไปทันหรือเปล่า ถ้าชักเย่ออยู่อย่างนี้ เสียงที่ครูพูดก็ผ่านหูซ้าย ทะลุหูขวา กลายเป็นลมพัดผ่าน ไปเฉยๆ เลยจำไม่ได้ว่าครูพูดอะไรบ้าง เพราะไม่มีสติ อยู่ที่ใจ
แต่ถ้าเราหมั่นฝึกฝน เวลาที่ตัวอยู่ตรงนี้ ครูพูดอะไรเอาใจใส่ไว้กับกาย ไม่ให้กระดุกกระดิกไปที่ไหน เลย รับเต็มเม็ดเต็มหน่วย สิ่งที่ได้ยินผ่านหูก็จำได้ ถ้า ฝึกไปเรื่อย ความจำนี้จะมีกําลัง แกร่ง เจาะลึกลงไป โดยลําดับ อุปมาเหมือนเราเป็นคนตาสั้น มองเห็นแค่ โต๊ะโน้น เรารู้ว่าเราตาสั้น ก็ขวนขวายหาแว่นตามาใส่ ทำให้มองเห็นเลยหน้าต่างออกไป รู้ว่าตรงนั้นมีตึก ถึงจะ เห็นไกลแค่นั้นแล้ว เราก็ยังไม่นอนใจ ฝึกต่อไปอีก เหมือน เราจะดูดาว ก็เอากล้องดูดาวมาส่อง เราก็เห็นดาวชัดว่า ดวงไหนเป็นดาวหาง ดวงไหนไม่เป็น
ตาของกายกับตาของใจก็เหมือนกัน ถ้าฝึกฝนให้มี สมาธิใจเกิดกำลัง ไม่แตกแยกเสียดสีบันทอนกันเอง
สามารถมองเห็นได้ไกลแสนไกล เหมือนบางคนมีตา ทิพย์ เห็นของที่หายไปได้ หรือรู้สิ่งทีเป็นอดีต เป็นอนาคต เหล่านี้ เป็นต้น พระพุทธเจ้าท่านฝึกฝนจนกระทั่งใจของท่านมี พลังมหาศาล เห็นได้ละเอียดยิ่งกว่าตาอิเล็คตรอนสามารถ เห็นตัวไวรัส เห็นสิ่งมีชีวิตที่กายละเอียด โปร่งแสง ซึ่ง เรียกกันว่า กายทิพย์ เห็นแม้กระทั่งจิต ซึ่งเป็นนาม ไม่มี รูปร่างตัวตนให้ตาหยาบของพวกเราสัมผัสได้
นักวิทยาศาสตร์ที่มีชีอเสียงเช่นไอน์สไตน์ค้นพบ ว่า หากเราสามารถหาวัตถุใดที่เคลื่อนเร็วกว่าแสงสว่าง แล้วนำมาทำให้เคลื่อนย้อนทิศทางของแสง เราจะกลับ ไปสู่อดีต หากทำให้เคลื่อนไปในทิศทางเดียวกับแสง ก็จะเข้าไปในอนาคต นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายทุ่มเทความสนใจเพื่อ ค้นหาวัตถุวิเศษนั้น ซึ่งไม่ปรากฏ เพราะวัตถุใดๆ ก็ตาม เมื่อเคลื่อนไปในบรรยากาศแค่เร็วกว่าความเร็วของเสียง ก็ลุกไหม้ขึ้นเองจากแรงเสียดสีขณะเคลื่อนเสียดบรรยากาศ ไปเราจึงชะงักอยู่กับทฤษฎีที่ไร้ทางพิสูจน์ แต่ปัญญาของพระพุทธองค์ลำลึกยิ่งกว่าจอม ปราชญ์ใด แทนการแสวงหาสิ่งภายนอก ท่านฝึกฝน ภายในองค์ท่านเอง เพราะพลังนี้เคลื่อนได้เร็วยิ่ง ยิ่งกว่าสิ่งใดๆทั้งหมด แล้วท่านก็กหนดทิศทาง ในการไปการมา ผลจากการฝึกฝน ทำให้จิตของท่านเกิด ความรู้ยวดยิ่ง หรือที่เรียกกันว่าอภิญญา กล่าวคือแสดง ฤทธิ์ต่างๆได้ มีหูทิพย์ กําหนดรู้วาระจิต ความคิดนึก ของผู้อื่นได้ ระลึกชาติได้ มีตาทิพย์ และมีญาณที่ทำ ให้อาสวะสิ้นไป ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเทศนาสั่งสอนผู้คน ท่านก็นำความรู้เหล่านี้ มาใช้ให้บังเกิดประโยชน์ ถ้าเห็นว่าการอธิบายให้เขารู้ว่า เพราะเหตุอย่างนี้ เขาจึงมาเป็นอย่างนี้ เหตุอย่างนั้น จึง เป็นอย่างนั้น ท่านก็สอน ท่านก็บอก เป็นต้นว่า ตัวเรา เดินอยู่บนฟุตบาทดีๆ เกิดมีรถจักรยานยนต์หลบคนข้าม พุ่งขึ้นมาชนเราเต็มแรง เป็นเหตุให้ขาของเราพิการ เราคงนึก เรื่องอะไรนะ เราถึงโชคร้าย ต้องมากลาย เป็นคนขาพิการ ถ้ามีใครมาบอกเราว่า เมื่อชาติแต่ปาง ก่อน เราไปเตะขาเขาหัก เหตุอันนั้นจึงส่งผลมาให้เรา เป็นอย่างนี้ เพื่อรู้จักความเจ็บที่เราเคยก่อให้ผู้อื่น ได้ระมัดระวัง ไม่ไปทำเช่นนั้นอีก เราคงหมดปัญหา ครูมีตัวอย่างที่จะเล่าให้พวกคุณฟังเป็นอุทาหรณ์ ว่า เรื่องอย่างนี้ควรใส่ใจระวัง ปกติก็มีเด็กไทยหลายๆ คนที่เกิดมาพร้อมกับความพิการแต่กําเนิด พวกหมอก็วิจัยค้นคว้ากันไปว่า เกิดจากความผิดปกติในพันธุกรรม
นอะไรๆ แล้วแต่ที่เราจะค้นคว้ากันไปได้ ซึ่งหากไป ถามพระพุทธเจ้าได้ ท่านก็จะบอกว่า เป็นเพราะอดีต กรรม มันมีมูลเหตุ กรรม หมายถึงการกระทำ อย่าไป เข้าใจผิดอย่างที่เราชอบว่ากัน พออะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ว่า เพราะเป็นกรรมเป็นเวร อดีตกรรมแปลว่าการกระทำ ซึ่ง เป็นเหตุเก่าก่อนมา คุณหมอที่ดูแลคนไข้พิการแต่กำเนิด เล่าให้ฟัง ว่าแม่คนหนึ่งพาลูกมาตรวจ ลูกมีใบหูเป็นรอยผ่านกลาง เหมือนถูกของทื่อๆ ถากเอาไว้ เป็นมาตั้งแต่คลอด แต่ ไม่ถึงกับขาดออกจากกัน ครั้นเด็กอายุมากขึ้น อยู่ๆ ก็เกิด อาการชักขึ้นมา โดยหาสาเหตุไม่ได้ แม่ทุกข์และเสียใจ มาก คุณหมอตรวจเด็กแล้วก็ทราบว่า เป็นความพิการ ของสมองมาแต่กําเนิด ซึ่งเป็นโรคที่พบได้ไม่บ่อยนัก หาใช่สิ่งผิดประหลาดมหัศจรรย์อันใดไม่ แต่แม่เล่าให้ คุณหมอฟังว่า นี่เป็นกรรมของเธอเอง ปกติเธอเป็นคน โมโหร้าย เวลาโกรธใครขึ้นมา จะจับหูคนนั้นบิด เธอทำอย่างนี้อยู่เป็นประจําจนไม่รู้สึกว่า สิ่งที่ทำเป็นของ ผิดปกติ บังเอิญระหว่างตั้งท้องลูกคนนี้ เกิดโมโหเด็ก รับใช้ จับหูเด็กบิดและกระชากด้วยความโกรธ จนเด็ก ร้องและพยายามดิ้นให้หลุด เพราะปวดร้าวในแก้วหู หลัง จากเธอรู้ตัว ปล่อยเด็กไปแล้ว เด็กก็ยังดิ้นร้องครวญคราง
ว่าปวดในหัวไปหมดแล้ว คล้ายกับถูกอะไรมาทุบ มา ระเบิดหัวออกเป็นเสี่ยงๆ เหตุการณ์นี้คงฝังใจ จำได้ พอ ลูกคลอดออกมา เห็นรอยที่ใบหู เป็นคล้ายถูกจับบิดอย่างนั้น ก็คงสะกิดใจเธอ แต่ยังไม่คิดอะไรมาก ครั้นเด็กโต ขึ้นมา มีอาการชัก ทำให้นึกถึงเด็กรับใช้ นึกว่าเป็นผล กรรมของตัวเอง ก็เสียใจคร่าครวญว่า ถ้าเราไม่ไปทำ เขาอย่างนั้น ลูกคงไม่เป็นอย่างนี้
ถ้าเราเห็นเรื่องอย่างนี้เหลวไหล เราก็จะปล่อยใจ ให้กระด้าง และทําอะไรโดยไม่ระมัดระวัง แต่ถ้าศึกษา หลักของกรรมให้ดีๆ อย่างที่พระพุทธเจ้าสอน เราจะ เห็นว่าทุกสิ่งมาแต่เหตุ อะไรก็ตามที่เราทําเอาไว้ ไม่มี ใครมาจดมาจำดอก ใจของเราเองที่เป็นตัวจดบัญชีเอาไว้
วิชาจิตวิทยาอธิบายว่า ใจคนเราแบ่งเป็นจิตสำนึก จิตไร้สำนึก อะไรก็ตามที่ไม่เป็นไปตามปรารถนา จะ ตกค้างอยู่ในจิตไร้สำนึก เป็นต้นว่า เราอยากได้อย่างนั้น เราไม่พอใจอย่างนี้ ความรู้สึกเหล่านี้ถูกเก็บสะสมเอา ไว้ เมื่อเราทำอะไรก็ตาม จิตไร้สำนึกเห็น รู้ จดจําเอา ไว้หมด เราอาจหลอกตัวเองในระดับจิตสํานึกว่า เราไม่ ได้โกรธเขา แต่จิตไร้สํานึกรู้ว่า เราโกรธ เราหาโอกาส ร้ายกาจกับเขา เพื่อชําระล้างความโกรธที่ยังไม่สมปรารถนา
จิตไร้สำนึกคอยลงบัญชีเอาไว้ ทําให้ใจไม่มีความสุข พระพุทธเจ้าสอนว่า เมื่ออยากทำอะไร ถ้าถาม ตัวเองแล้วพบว่า เราไม่อยากให้คนรู้เห็น หรือถ้าใครมา ถามเรา เราอาย ไม่อยากให้ใครรู้ว่า เราเป็นคนทำ โปรดอย่าทำสิ่งนั้น เพราะจิตไร้สํานึกของเราเป็นตํารวจ คอย จดเอาไว้แล้วว่า นี่เราทำความไม่ดี ถ้ามีคนรู้ คนเห็น เราไม่สบายใจ เรากำลังหลอกตัวเอง ถึงยังไม่มีใครรู้ ใครเห็น ข้างในใจของเราเองก็ไม่สบาย เครียดอยู่แล้ว สมัยนี้ เด็กนักเรียนจํานวนมากเป็นโรคจิต จำเป็น ต้องพบจิตแพทย์เป็นประจำ เพราะพ่อแม่ครูอาจารย์ สอนให้ทำอย่างหนึ่ง เราก็ไม่ทำ หนีไปเที่ยวเสียบ้าง หรือไปทําอะไรที่รู้ว่า ไม่สมควรทํา แต่ไม่มีกำลังใจที่ จะฝืน บังคับตัวเองให้ทำสิ่งที่ถูกที่ควร มันจึงเกิดปัญหา กันอย่างนี้ หรือพ่อแม่บางคนติดเหล้า ติดยาเสพติด เพราะ กลุ้มใจ ไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาในบ้านได้อย่างไร ตอนนี้เรายังเด็ก มีเวลา ถ้ารู้จักใช้เวลาเหล่านี้เพื่อ เตรียมตัว ต่อไปเรามีครอบครัว จะได้ทำครอบครัวของ เราให้มีความสุข ไม่ผิดพลาดดังที่เห็นตัวอย่างมาแล้ว เมื่อคุณได้ข้อคิดเกี่ยวกับการระลึกชาติไปอย่างนี้ แล้ว อีกประเด็นหนึ่งที่ควรใส่ใจไว้คือ ของทุกอย่างมีทั้งของเก้ของจริง เหมือนธนบัตรที่ใช้กันอยู่ ก็มีทังธนบัตร เก๊ ธนบัตรจริง ถ้าใครมาบอกคุณว่า เขาระลึกชาติได้ คุณก็ต้องใช้สติปัญญาไตร่ตรองกรองดูตามเหตุผลให้ดี ก่อนปลงใจเชื่อ แต่การระลึกชาติได้ มีจริง ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในชาดก ถ้าผู้ใดฝึกอบรมใจให้ถูกวิธี ก็อาจระลึกชาติได้เช่นกัน ถ้าใครอยากรู้ ก็โปรดทดลองทําดูได้
คําถาม บาปกรรมมีจริงหรือไม่
คําตอบ ก็ดังที่อธิบายไปแล้วว่า มีจริง บาป กรรมคือการกระทําของเราเอง ถ้าเรากระทําดี เราก็เรียก การกระทํานั้นว่า กุศล หรือบุญ หรือความสุข อะไร ก็ตามที่กระทําแล้วใจรู้สึกสบาย สงบ เยือกเย็นเป็นปกติ อันนั้นเป็นความดี เป็นกุศล
ถ้าอะไรทำแล้วใจของเราผิดปกติ ร้อนรุ่ม กระสับ กระส่าย ไม่สบาย มองหน้าใครไม่เต็มตา อันนั้นก็เป็น บาป เป็นอกุศล
คําถาม คนเราเกิดมาได้อย่างไร
คําตอบ ถ้าอธิบายตามชีววิทยา คนเราก็เกิดมา จากไข่ของแม่ผสมกับเชื้อของพ่อ เกิดภาวะพอเหมาะ พอดี รกฝังตัวได้ในผนังมดลูกของแม่ ได้อาหารมาหล่อ เลี้ยงทางสายสะดือ ก็เจริญเติบโตเป็นตัวเด็ก จนกระทั่ง ครบกำหนด คลอดออกมา
ถ้าอธิบายในแง่ศาสนา นอกจากจะมีไข่ของแม่ และเชื้อของพ่อผสมกันแล้ว ยังต้องมีปฏิสนธิวิญญาณ คือใจ คือพลังธาตุรู้ เข้ามารวมกับไข่ และเชื้อที่ได้ผสม แล้ว จึงเกิดเป็นชีวะขึ้นมา ไม่อย่างนัน ไข่และเชื้อของ พ่อของแม่ผสมกันแล้วก็จะแท้ง ไม่เจริญเติบโตต่อเป็น ตัวคน ต้องมีจิต คือปฏิสนธิวิญญาณเข้ามาร่วมด้วย การที่ปฏิสนธิวิญญาณไหน จะเลือกมาเป็นลูก คนนี้ ลูกคนนั้น ก็เนื่องด้วยเหตุที่กระทำไว้เก่าๆ ใจที ผูกพันกันเอาไว้ อาจจะรักกัน หรือเคียดแค้นกัน มาเอา หนีเวรต่อกัน ก็สุดแต่เหตุ จึงมีว่า ลูกบางคนเกิดมาแล้ว เป็นที่รักใคร่ของพ่อแม่ พ่อแม่ทะนุถนอมฟูมฟัก อยาก ได้อะไร พ่อแม่เหนือยยากอย่างไร ก็หามาให้ทั้งนั้น ทั้ง นีเพราะเหตุทีชักพาให้มาพบกันเป็นความรัก แต่ลูกบาง คนน้อยใจว่า ไม่รู้เป็นอย่างไร แม่มีลูกตั้งเยอะตั้งแยะ คอยแต่จะใช้เราอยู่คนเดียว หรือลูกคนอื่นทำผิดเท่าไร ไม่ตีไม่ว่า แต่พอเราผิดนิดเดียว ตีเราแล้ว อย่างนั้นก็มา ประสบกันด้วยการจองเวร หรือแค้นเคืองต่อกัน ไม่ว่าจะรักหรือแค้นกันมา ต้นเหตุมีอย่างนั้นแล้ว อย่าเป็นคนขีเหนียวหนี ใช้เขาไป ให้เขาไป อย่าเอาใจ ของเราไปขุ่น ไปผูกใจเจ็บตอบ เพราะว่าพ่อแม่มีบุญคุณแก่เรา การที่ท่านให้เรามีลมหายใจ เกิดออกมาเป็นคน
ถือว่าท่านเป็นเหมือนพระอรหันต์สําหรับเรา เพราะว่า ภพภูมิของมนุษย์เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในสามโลกธาตุ พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ มาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในภพภูมิที่เป็นมนุษย์เท่านั้น ไม่ปรากฏ ว่าเทวดา พรหม หรือสัตว์เดรัจฉาน สิ่งในอบายภูมิ เคยตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภพภูมิของมนุษย์ จึงเป็นภพภูมิที่เป็นภาชนะรับธรรมได้ เพราะ ภพภูมิ มนุษย์เป็นภพภูมิที่สามารถฝึกอบรมสติปัญญาให้ชําระอาสวกิเลสหมดจากอิตใจได้ สิ่งมีชีวิตอื่นๆไม่สามารถฝึกสติ ถึงจุดที่สามารถเข้าใจ เท่าทัน และยับยั้งชังใจตัวเองจาก สัญชาตญาณ ซึ่งเป็นอาสวกิเลส การที่เราได้เกิดมาเป็นคน ถือว่าเป็นของประเสริฐ ยิ่งกว่าถูกล้อตเตอรีรางวัลที่หนึ่ง สิบใบซ้อนกัน อย่าได้ เอาความประเสริฐนีไปพร่าทิงเสียโดยเปล่าประโยชน์ อย่าเอาไปใช้ในทางทีผิด เหมือนเอาพลังปรมาณูไปใช้ ทําลูกระเบิด มันก็ทำให้โลกพินาศ คนตายเป็นหมืนเป็น แสนในสงครามโลกครั้งที่สอง นอกจากประเทศญี่ปุ่น จะพังแล้ว ยังเหลือเศษของการแพ้กัมมันตรังสี เกิดความ พิการหลายอย่าง พิษร้ายของจิตใจที่ไม่มีธรรม ก็ร้ายแรง เทียบได้กับระเบิดปรมาณู ถ้ารู้จักฝึกใจให้ดี ก็เปรียบเหมือนเอาพลังปรมาณู
มาใช้เพื่อสันติ แทนพลังงานหลายอย่าง ทําให้เกิดประโยชน์ เยอะแยะมากมาย ของทุกอย่างเป็นเหมือนดาบสองคม ถ้าใช้เป็นก็มีคุณ ใช้ผิดก็มีโทษ ดังนั้น ความเป็นคนของ เรา เราต้องเอาไปใช้ให้มีคุณค่าที่สุด
คนเราเกิดมาแล้ว ทำให้โลกเต็มจำนวน หรือทำ ให้โลกทราม หรือทำให้โลกงามก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของ เรา ถ้าคิดแต่เพียงว่า ในโลกนี้จำเป็นต้องมีคนเพื่อเป็น ส่วนประกอบ เราก็เพียงแต่ทำให้โลกเต็มจํานวนขึ้นมา เราจะเกิด มีชีวิตอยู่ หรือเราจะตายไป ไม่มีความดี ไม่ มีความเลวเกิดขึ้น เพียงแค่มีคนอยู่ให้เห็นกัน ไม่ให้โลก โหวงเหวงเงียบเหงาเท่านั้น แต่ถ้าเกิดมาแล้ว เราเอาสติ ปัญญาของเราไปใช้ในทางไม่เป็นประโยชน์ นึกอยากโกง ใคร อยากทําร้ายใคร เราก็ทําตามอําเภอใจ อย่างนั้นก็ ทําให้โลกทราม เพราะเราเป็นพิษเป็นภัย ใครเข้าใกล้ ก็กลัว แต่ถ้าเราเอาธรรมมากล่อมเกลาจิตใจของเรา ให้ เป็นใจที่มีคุณค่า เราก็ทําให้โลกนี้งามขึ้น ทําให้โลกนี้ เป็นความร่มเย็น ใครก็อยากอยู่ใกล้ ใครก็อยากได้รู้จัก วิสาสะด้วย
คําถาม ทําไมคนเราเห็นแก่ตัว
คําตอบ เพราะว่าโดยอัตโนมัติ ใจของคนเรา นึกถึงตัวเป็นที่ตั้ง เมื่อมีอะไรผ่านมา เรานึกก่อนว่า ตัว
เองมีหรือยัง ถ้ายังไม่มี เราก็เก็บเข้ามาสําหรับตัวเอง ก่อน ถ้ามีแล้ว ยังตรองว่า จะเอาไว้อีกสักอันหนึ่งดีหรือ ไม่ ถ้าเป็นคนขี้หวง ถึงมีแล้ว ก็ยังอยากเอาไว้อีกสักอัน หนึ่ง ได้มาแล้ว นั่งทับเอาไว้เฉยๆ ก็ยังดี คือให้ฉันมี พร้อมก่อนก็แล้วกัน คนอื่นไม่มีช่างปะไร ถ้าไม่ได้ฝึก อบรมจิตใจจะเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าเคยถูกฝึก ถูกพ่อแม่สอน มา เป็นต้นว่า เราเป็นพี่คนโต ความจําเป็นในชีวิตบังคับ มีอะไรต้องเฉลี่ยแบ่งให้น้องเท่าๆ กัน ทำให้ค่อยคลาย ความเห็นแก่ตัวออกไป ไม่ใช่ความผิดปกติที่คนเราเห็นแก่ตัว เพราะเป็น สัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ที่จะนึกถึงความ ปลอดภัยของตัวเองก่อน แต่ความเป็นคน ช่วยให้เราปรับ ปรุงตัวเองได้ โดยเอาสติ เอาปัญญาไปไตร่ตรองหาเหตุ ผลว่า ถ้าเราเห็นแก่ตัวแล้วคนอื่นจะเดือดร้อนไหม ถ้า คอยถามตัวเองอยู่อย่างนี้แล้ว เวลาจะทําอะไร มองนัยน์ ตาของคนอื่นที่เขาดูการกระทำของเรา บางทีจะอายและ ได้คิดว่า เขามองนัยน์ตาจะหยด แปลว่าแบ่งกันบ้างสิ ทำให้เกิดใจกว้างขึ้นมา เรารักเพื่อน ก็เลยตัดใจแบ่งให้ ครึ่งหนึ่ง ทั้งที่ตัวเองยังเสียดาย บางทีให้เขาไปแล้ว กลับไปทวงคืนในฝัน--เอาของฉันคืนมา...มันเป็นอย่าง นั้นจริงๆ ทุกคนเป็นโดยอัตโนมัติ แต่ เมื่อฝึกแบ่งปันให้
ให้เรารู้สึกอย่างไรบ้าง ถ้าสภาพแวดล้อมของคุณที่ผ่าน มา ยังไม่มีอะไรสะดุดให้คุณสอบสวนตัวเองว่า เราเห็นแก่ตัวมากน้อยแค่ไหน เมื่อมาฟังวันนี้แล้ว เราจะได้เอา สติคอยดูใจตัวเองว่า เวลาที่มีอะไรผ่านมา เรามีอยู่แล้ว ยังอยากได้อันที่สอง อันที่สามเพื่อเอามาเก็บทับไว้อีก หรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้นซ้อมตัดใจแบ่งปันให้คนอื่นได้ไป ทั่วๆ กันบ้าง ถ้าฝึกเช่นนี้ไปเรื่อยๆ อีกหน่อยเราก็จะเห็น แก่ตัวน้อยลง น้อยลงโดยลําดับ วัตถุสิ่งของทั้งหลายในโลกนี้ มีจํากัด เพราะโลก ใบนี้ไม่ใหญ่ขึ้นหรือเล็กลงเลย ตั้งแต่ดึกดําบรรพ์เคยมีอยู่แค่ ไหนก็ยังคงมีอยู่แค่นั้น ถ้าทุกคนเห็นแก่ตัวต่างเอาไปเก็บ
สะสมไว้เกินจำเป็น ส่วนที่คนอื่นควรจะได้ก็ขาดแคลน ไปโดยลําดับ ที่เรารบกัน ตีกัน ขัดใจกัน ก็เพราะเหตุนี้ ไม่ใช่แต่ละคนแล้วที่เห็นแก่ตัว มันขยายวงกว้างออกไป จนเป็นประเทศต่อประเทศเห็นแก่ความเชื่อของตัว แล้ว แบ่งเป็นค่ายคอมมิวนิสต์ ค่ายประชาธิปไตย จากนั้นก็ ดูสิว่า กำปั้นใครโตกว่ากัน ถ้ากำปั้นคืออาวุธและกำลัง รบของคอมมิวนิสต์โตกว่า คอมมิวนิสต์ก็เอาตามใจตัว เอง จะไม่เป็นธรรมอย่างไร ก็ไม่มีผู้กล้าคัดค้าน ผู้ชนะ ก็ไม่สบายใจ ผู้แพ้ก็จองเวร คอยหาโอกาสที่ตนจะแก้แค้น ถ้ากำปั้นของประชาธิปไตยโตกว่าเมื่อใด ฝ่ายนี้ก็ ดึงเอาคืนมา แล้วก็ดีใจว่าคราวนี้เราสมบูรณ์พูนสุข ใน ขณะที่อีกฝ่ายอดเหียวแห้ง ถ้ายังไม่เห็นสัจจธรรม เราก็ไม่ละความเห็นแก่ตัว ก็รบกันอยู่อย่างนี้ ผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะ คนแพ้ก็จอง เวร ...เอาละ คราวนี้เป็นทีของเจ้า แต่อย่าให้ถึงทีของ ตูบ้างก็แล้วกัน... จิตใจรุ่มร้อนไปหมด คอยจ้องหาโอกาส คนชนะก็ไม่มีความสุข นอนก็หลับไม่สนิท เพราะ หวาดระแวง ประเดี่ยวเขาจะมาดึงเอาคืนไป เป็นอัน เหนื่อยกันอยู่อย่างนี้ ทั้งคนแพ้คนชนะแต่ถ้าเราละลายความเห็นแก่ตัวออกเสียแล้ว ก็จะไม่มีค่ายคอมมิวนิสต์ ค่ายประชาธิปไตย เพราะต่าง ก็เป็นคนด้วยกัน เป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วย กันทั้งหมด ความทุกข์จากความแปรปรวนเหล่านี้ก็มาก มายพอแล้ว เหตุใดจึงต้องเอากิเลสในใจออกมาบริหาร สร้างความเดือดร้อนแก่กันเพิมขึ้นอีกเล่า
มีใครบ้างทีเกิดมาแล้ว ที่เรารู้จัก ไม่เคยตาย ใคร ยกตัวอย่างให้ครูฟังได้บ้าง ไม่มีเลย ใช่หรือไม่ ไม่มีคน คนไหนในโลกนี้ทีเรารู้จัก ทั้งในประวัติศาสตร์และใน ปัจจุบัน ที่เกิดมาแล้ว ไม่ตาย ไม่เพียงแต่คนเท่านั้น สิ่ง มีชีวิตทั้งหลายในโลกนี้ เกิดมาแล้วก็ต้องตายทั่งนั่น และ เมื่อถึงเวลาตาย เอาอะไรติดตัวไปได้บ้าง ที่หวงกันอย่าง นั้นอย่างนี้ ที่ถึงขั้นฆ่ากันตาย เพื่อเอาของนันมาเป็นของ ของเรา ก็เอาไปไม่ได้ อย่าว่าแต่เอาของนั้นไปเลย ตัว ของตัวเองก็ยังหอบไปไม่ได้
เราอย่านึกว่า เมื่อตายแล้ว เขาจะต้องเอาเราไป ใส่โลงสวยๆ จัดสวดอภิธรรมให้ บางทีเราอาจตายตรง ไหนที่ไม่มีคนรู้จัก ตายอยู่ข้างถนนก็ได้ เมื่อตายแล้วเรา ไม่สามารถแม้จะรักษาร่างกายอันนี้ให้ได้รับการดูแลอย่าง สมเกียรติสมฐานะ มันก็เหมือนกับทีเราเห็นสุนัขถูกรถ ทับกลางถนน แล้วเน่าอึด ไม่มีใครเอาไปเผาไปฝัง ถ้านึกได้อย่างนี้ เวลาจะเห็นแก่ตัว ห้ามล้อจะได้เกิดขึ้น นึกถึงภาพตัวเองว่า วันหนึ่งก็ตายเน่าอึดอย่างนั้น หอบอะไร ไปไม่ได้ ช่วยตัวเองให้พ้นความเน่ายังไม่ได้เลย แล้วจะ เห็นแก่ตัว โลภโมโทสัน อาฆาตโกรธเกลียดกันไปทำไม
ถ้าทนไม่ได้ จะชกเพื่อนให้ตายไปข้างหนึ่ง เพราะ ความไม่ได้ดังใจ ให้นึกถึงคำเหล่านี้ของครู แล้วห้ามล้อ จะมีขึ้นมา การที่เราสงบ ยอมไม่ได้สิ่งที่อยาก ใจจะสัมผัส ความรู้สึกที่มีค่าเหนือกว่าสิ่งที่อยาก นั่นคือความชนะใจตน ถ้าเพียรฝึกตนเองอย่างนี้อยู่สม่าเสมอ โลกจะสงบร่มรื่น
จากคําถามที่ว่า ทำไมคนเราเห็นแก่ตัว ขอย้อน กลับไปถึงเมื่อกี้ว่า เราเกิดมาได้อย่างไร ถ้าเรายังเห็นแก่ ตัวกันอย่างนี้ ปฏิสนธิวิญญาณก็ยึดมั่นหน่วงอยู่ในสมบัติ ต่างๆ ไม่ยอมไปไหน ตายจากชาตินี้ก็มาหาที่เกิดใหม่ ตามความเห็นแก่ตัว ดิ้นรนอยากอยู่ในใจ เพื่อจะได้มา ทำสิ่งเหล่านั้นให้สําเร็จดังอยาก ถ้าไม่มาเกิดก็ไม่มีมือที่ จะไปหยิบฉวยอะไรได้ ไม่มีปากที่จะไปพูดบอกว่า...นี่ ของของฉัน เจ้าอย่ามาหยิบเอาไปนะ. จิตที่ยังดิ้นรน เร่าร้อนต้องรีบหาเครื่องไม้เครื่องมือ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เพื่ออาศัยสื่อความหมาย บริหารความอยาก ความเห็นแก่ตัวให้เป็นที่ประจักษ์ได้เต็มที่ ใจอันนี้โหยหิว
ที่เราพูดกันว่า เปรตตัวโตเท่าต้นตาล แต่ปากเท่า รูเข็ม จริงๆไม่ใช่อย่างนั้น ที่นั่งๆ กันอยู่นี้แหละ ปาก เท่าปากธรรมดาๆ ถ้าเมื่อใดก็ตามที่เราอยากแล้วไม่ได้
สมอยาก เวลานั้นปริมาณความอยาก เทียบกับปริมาณ ที่ได้เข้าไป ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าปากเราเหลือขนาด เท่ารูเข็ม ใส่เข้าไปจนเต็มแล้ว ก็ยังไม่ทันใจ ยังอยาก ใส่เข้าไปพร้อมๆ กัน ทีละห้าหกคํา มันเป็นคําเปรียบ เทียบ อย่าไปนึกว่าเปรตมีแต่เฉพาะในชาดกหรือในนิยาย เมื่อไรที่เรามีความอยากเต้นเร่าร้อนอยู่ในหัวใจ อย่างนั้น ให้หลับตานึกภาพว่า เรานี้แหละตัวโตเท่าต้น ตาล ปากเท่ารูเข็มแล้ว ท่านจึงกล่าวไว้ว่า กายเป็นมนุษย์ก็จริง แต่ใจนั้น เป็นได้ต่างๆ นานา หลายอย่าง ใจเป็นเปรตก็ได้ ใจเป็น เดรัจฉานก็ได้ ใจเป็นเดรัจฉานเป็นอย่างไร เวลาไหนที่ครูพูด อะไร หรือพ่อแม่พูดอะไรเราไม่ฟังท่าเดียว ที่บ้านทุก คนคงมีสัตว์เลี้ยง มีแมว มีหมา เราสั่งอะไรมันมันทํา ตามไหม สมมติว่าเช้านี้ก่อนมาโรงเรียนเราสั่งหมาว่า เจ้า อย่าไปไหนนะ เฝ้าบ้านให้ดี แล้วเช็ดบ้านให้เรียบร้อย ด้วย มันทำไหม มันไม่ทำ ดังนั้น เมื่อไหร่ที่ครูสั่งอะไรแล้ว คุณไขหู หรือ พ่อแม่สั่งสอนแล้ว คุณไม่ทําตาม ท่านจัดให้เป็นมนุษย์ เดรัจฉานไปแล้ว ถ้าเราจะไปดูถูกดูหมิ่นว่าใครโง่เป็นควาย ให้นึก
ถึงตัวเองเอาไว้ว่า เราอย่าเผลอสติ ทำกิริยาโง่เป็นควาย หรือดื้อเป็นควายอย่างนั้นขึ้นมาเป็นอันขาด ท่านสอนว่า ถ้าคอยย้อนนึกเตือนตนอย่างนี้ เราก็จะพ้นจากความเป็น เปรต เป็นเดรัจฉาน ถ้าเราฝึกใจของเราให้เป็นเดรัจฉานในกายมนุษย์ อยู่บ่อยๆ พอรูปกายนี้แตกดับตายไป ใจที่คุ้นเคยกับภาวะเดรัจฉาน มีแต่รอยพิมพ์ชนิดนั้น ปฏิสนธิวิญญาณ จึง พาเราไปเกิดตามแบบแปลนแผนผังของรอยที่พิมพ์ไว้ บุญ บาป เปรียบเหมือนเครดิตการ์ดแท้ เครดิต การ์ดปลอม สมัยนี้เขาไม่พกสตางค์กันแล้ว เพราะกลัว ผู้ร้าย เขาใช้เครดิตการ์ดแทน เป็นต้นว่า เราอยากเข้า ไปนอนในดุสิตธานี ถ้าเราไม่มีสตางค์พอ ไม่มีเครดิต การ์ดแท้สําหรับชําระค่าห้องพัก เขาก็ไม่ยอมให้เราเข้า ไป ถ้ายังขึ้นดื้อดึง เขาก็จับโยนออกมาข้างถนน แม้เราอยากเกิดเป็นมนุษย์ แต่ถ้าไม่ทำบุญกุศล
สะสมเป็นรอยพิมพ์ไว้ในใจ พอเห็นคนนี้ คนนั้นตั้งท้อง เราอยากไปเกิดเป็นลูกเขา เขาก็แท้ง คือโยนเราออกมา เราก็ต้องไปเข้าท้องหมู ท้องหมา ตามสมบัติทีพิมพ์ติด ไว้ในใจ แต่ก่อนครูก็ยังไม่เชื่อ ครั้นมาปฏิบัติ จิตใจรู้เห็น ได้ละเอียดลึกซึ่งขึ้น จึงเข้าใจคุณลองนึกถึงใจของคุณเวลาโกรธมากๆ เป็น อย่างไร เวลาทะเลาะกัน ชกกัน หรือจะฆ่าฟันกัน มัน เหมือนสัตว์ที่กำลังแยกเขี้ยวคําราม ต่อสู้กัน ถ้าเราตาย ไปในอารมณ์อย่างนั้น ใจที่เร่าร้อนด้วยความโกรธ ก็โลด แล่นเป็นวัวปากคอก พาเราไปก่อภพภูมิใหม่ ตามอารมณ์
ที่กำลังเสวยอยู่นั้น
คําถาม นั่งสมาธิแล้ว มีแสงเร้นลับจริงหรือไม่
คําตอบ การนังสมาธิคือการมาฝึกรวมใจให้นิ่งเป็นอารมณ์เดียว
ปกติใจของคนเราแตกกระจัดกระจาย เดี๋ยวคิด อันโน้นคิดอันนี้ คิดอันนั้น ถ้าเป็นไฟฉายก็เหมือนกับ ไฟฉายที่ถ่านไม่ดี ส่องอะไรก็แดงริบหรี่ ริบหรี่ เห็น ไม่ชัด เมื่อทําสมาธิ เรารวมใจไม่ให้กระจัดกระจาย ให้มาจดจ่ออยู่กับบทบริกรรมเพียงอันเดียว เหมือนกับสร้าง แรงรวมในกลศาสตร์ ใจก็สว่างเหมือนไฟฉายที่เปลี่ยน ถ่านใหม่ เมื่อเป็นเช่นนี้ ใจเกิดความสว่างขึ้นมา จนบาง ครั้งผู้นั่งเองรู้สึกมีแสงสว่างปรากฏขึ้นทั้งที่หลับตาอยู่ ถ้าคำถามของคุณหมายความถึงว่า นั่งสมาธิแล้ว มีแสงอย่างที่อธิบายมานี้ละก็ใช่ มันเป็นปรากฏการณ์ของใจให้รู้ว่า บัดนีใจรวม นิงเป็นสมาธิแล้ว
คำถาม คนเรามีชีวิตเพื่ออะไร
คำตอบ เรามีชีวิตเพื่อชำระหนีค้างบัญชีให้ หมดไป ถ้าแต่เดิมเราเคยคิดไม่ถูก คิดไม่ดี มีความเห็น ผิดๆ ก็มาแก้เสียใหม่ให้ถูก เคยมีหนีอยู่แค่ไหน เกิดมา พ่อแม่ไม่รักเราก็ไม่น้อยเนื้อตําใจ พากเพียรทําความดี ให้ท่านเบาใจ ไม่ต้องแบกภาระในการเลี้ยงดูเรา การ กระทำเช่นนั้นคือการใช้หนีให้หมดไป ถ้าเปรียบชีวิต
เหมือนการเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปหนองคาย หนี้ที่มี กับบุคคลต่างๆ ก็เหมือนเราต้องแวะซื้อของที่สระบุรี เติมนํามันที่โคราชรับของจากบ้านไผ่ไปส่งกุมภวาปี ฯลฯ --ฯลฯ ถ้าเว้นรายการใดรายการหนึ่ง ถึงหนองคายแล้ว ก็ต้องย้อนกลับมาเพื่อทําธุระที่ลืมนั้นให้ลุล่วงไป
บางคนนึกสนุก ระหว่างแวะทำรายการจำเป็น ก็ทำรายการใหม่เพิมขึ้นมาด้วย เลยเดินทางกลับไปกลับ มาอยู่อย่างนั้น ไม่จบไม่สิน
ถ้าเมื่อไร ใจเกิดเห็นจริงว่า การเวียนเดินทางกลับ ไปกลับมาเช่นนี ไม่มีสาระแก่นสาร น่าเบื่อหน่าย เป็น ทุกข์เราก็ขบวนขวายรักษาธรรม ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ เพื่อเป็นแนวทางออกจากทุกข์ ขัด เกลาใจให้หมดกิเลส หมดสิ้งเคลือบแฝงโดยลําดับ ทํา
ให้ใจบริสุทธิ์อย่างพระพุทธองค์ พระพุทธเจ้าสอนว่า หัวใจของพระศาสนาคือ ละความชั่วทั้งปวง การละความชั่วทั้งปวง ก็เปรียบเหมือน เรามีผ้าอยู่ผืนหนึ่ง ใช้เช็ดขี้ฝุ่นขี้ผงจนกระทั่งมันดำๆด่างๆ เต็มทนแล้ว เราก็เอาไปซักเสียให้สะอาด ทำความดียัง กุศลให้ถึงพร้อม เหมือนกับว่าผ้าผืนนี้สีไม่สวย เราเห็น สีผ้าคนอื่นสวย ก็ไปหาซื้อสีนั้นมา จะได้เอามาย้อมผ้าของเราท่านพระอาจารย์ชา วัดหนองป่าพง เทศน์ไว้ว่า คนสมัยนี้แสวงหาบุญเรื่อยไป ประเดี่ยวผ้าป่า ประเดี่ยว กฐิน แต่ไม่แสวงหาการละบาป เหมือนกับผ้าเช็ดขี้ฝุ่น ขี้ผงสกปรก แทนที่จะซักเสียก่อน เอาทั้งสกปรกไปย้อม เลย เมื่อย้อมออกมาแล้วเลยขี้เหร่ไปกว่าเก่า ดูไม่ได้ แทน ที่จะสวยอย่างที่เราคิดเอาไว้ ท่านจึงสอนให้ ละความชั่วเสียก่อน แล้วทําความดี แล้วทำจิตให้บริสุทธิ์เป็นไปตามลำดับขั้นตอน ชีวิตของคนเราก็เพื่ออย่างนี้ เพื่อละความชั่วทั้ง ปวง ยังกุศลให้ถึงพร้อม แล้วทําจิตของเราให้บริสุทธิ์ ทำ ได้แค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของแต่ละบุคคล ถ้าทำได้อย่างนี้ ชีวิตก็ดำเนินไปในลู่ทางที่ถูก อยู่บนมรรค หนทางที่พาเราไปสู่ความหมดทุกข์
คําถาม หนทางชีวิตมีอะไรเป็นหลัก
คําตอบ หนทางชีวิตมีการกระทำของเราเอง
เป็นหลัก เพราะเราเป็นลูกของพระพุทธเจ้า เชื่อกฏแห่งกรรม เราทั้งหลายมีกรรม คือการกระทำเป็นทีพึงพา อาศัย การกระทำของเราเป็นหลัก ถ้าอยากได้ดี เราต้อง ทำความดี อยากได้ชัว ก็ทำชัว เราอยากเป็นอย่างไหน ก็ยึดอย่างนั้นเอาไว้เป็นหลัก ไม่ใช่ไปคิดว่า คนโน้นคนนี คนนั้นจะช่วยเราได้ เราต้องช่วยตัวของเราเอง เชื่อในคุณ งามความดีของเรา ไม่ไปนึกว่าใครที่ไหนจะให้มรดกแก่
เรา เรานี่แหละเป็นคนทำทรัพย์สินมรดกไว้ให้ตนเอง
บุญและบาป คือสิ่งที่เราทำด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยความคิดของเรา เมื่อทราบชัดอย่างนี้แล้ว จะ ได้รอบคอบ จะทำอะไรลงไปแต่ละอย่าง ให้คิดว่า นี่ คือเม็ดที่เราหว่านลงไปในนาของเรา เราอยากได้ต้น อย่างนี้แน่หรือ ถ้าไม่อยากได้อย่าทำ ถ้าไม่อยากได้อย่า พูด ถ้าไม่อยากได้อย่าคิด เลิกกระทำสิ่งที่ไม่ต้องการผล อย่างนั้นโดยเด็ดขาด จากนั้นค่อยๆ คิดไตร่ตรองว่า เรา ต้องการผลอย่างไหน และผลอย่างที่ต้องการนันจะต้อง ประกอบกายกรรมอย่างไร ประกอบวจีกรรมอย่างไร ประกอบมโนกรรมอย่างไร จึงงอกเป็นผลอย่างนั้นขึ้น มาได้
คําถาม ตายแล้ววิญญาณไปที่ไหน
คำตอบ คำว่าวิญญาณจริงๆ แล้วไม่ได้แปล อย่างที่คุณคิดกัน วิณญาณทางพุทธศาสนา หมายถึง ความรู้ที่เกิดขึ้น เมื่ออายตนะภายในและอายตนะภายนอก กระทบกัน เป็นต้นว่า พออะไรมากระทบตา เช่นครู มองออกไปนอกหน้าต่างนี้ อายตนะภายในคือตากระทบ อายตนะภายนอก คือรูป เกิดจักขุวิญญาณ รู้ขึ้นในใจของครูว่ารูปที่เห็นเป็นหลังคาโบสถ์ หรือหูได้ยินเสียง เกิดความรู้ว่าเสียงเทป อันนี้รู้ได้เพราะเกิดโสตวิญญาณวิญญาณจึงหมายถึงความรู้ที่เกิดขึ้น เมือตา หู จมูก ลิ้น กาย ถูกต้องสัมผัสกับรูป เสียง กลิน รส กาย สัมผัสแล้ว เกิดเป็นความรู้แต่ละอายตนะขึ้นหรือ ใจสัมผัสกับอารมณ์ที่ระลึกนึกคิดขึ้นมาภายในใจเอง เกิดความรู้เป็นมโนวิญญาณขน แต่ทีถามว่า ตายแล้ววิญญาณไปไหน หมายถึง ตายแล้ว ใจไปที่ไหน ใจก็ไปตามเหตุปัจจัย ถ้าเราทำ กรรมดีไว้ ใจก็ไปสู่ทีซึ่งมีความสุขสงบร่มเย็น ซึ่งคน เราเรียกกันว่า สวรรค์ หรือพรหมโลก หรือบางคนแม้ ทํากรรมดีเอาไว้ก็ไม่ปรารถนาสวรรค์ หรือพรหมโลก เพราะเห็นว่าจะไปเพลิดเพลินหลงติดในกามสุข ก็กลับ มาเป็นมนุษย์ใหม่ เพื่อจะได้ใช้เศษกรรมเศษหนีที่ยังค้างชําระอยู่ ให้หมดสินไป จะได้จบสินการเดินทางใน
วัฏฏสงสารหรือถ้าใจเต็มไปด้วยรอยบาปอกุศล เต็มไปด้วย นิวรณ์ ความหวาดหวั่นไม่สบายใจ ที่ได้ไปทำร้ายเขาเอา ไว้ ไปฉัอฉลคดโกงผู้อื่น ใจนั้นก็ไปสู่ภพภูมิที่เรียกว่า อบายภูมิ ไปเป็นเดรัจฉาน ไปเป็นสัตว์นรก ไปเป็นเปรต ไปเป็นอสูรกาย แล้วแต่เหตุปัจจัยที่กระทำไว้ อบายภูมิเป็นภพภูมิที่ต่ำกว่ามนุษย์ลงไป เป็น ภพภูมิที่ไม่พึงปรารถนา จะเรียกว่านรกก็ได้
คําถาม หมอดูเชื่อถือได้หรือไม่
คําตอบ ไม่ควรเชื่อถือ เพราะพระพุทธเจ้าสอน ไว้ว่า ใครจะมารู้เรื่องของเราได้ดีไปกว่าตัวเราเอง ตัว เราเป็นผู้รับผลของการกระทำของเราเอง ไม่มีใครที่ไหน จะมารู้มาเห็นตัว เห็นการกระทำของเราทุกขณะ ทุก วินาที ในยี่สิบสี่ชั่วโมง วันต่อวันเหมือนกับตัวเราเอง เห็นตัวเอง แม้กระทั่งเวลาหลับแล้วฝันไป เราก็รู้ของ เราอยู่คนเดียว ใครที่ไหนจะมารู้กับเรา เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่จําเป็นต้องไปเชื่อหมอดูที่ไหน เรานี้แหละเป็นหมอดู วิเศษที่จะดูได้ว่า เราจะเป็นอย่างไร
เวลาสอบอยากรู้ว่าจะสอบได้หรือสอบตก เรานี้แหละจะเป็นหมอดูแม่นๆ ให้ตัวเอง ถ้าเราเข้าใจวิชาที่ เรียน ทบทวน ท่องหนังสือครบถ้วนเรียบร้อย เราย่อม
สอบได้ ถ้าเราโกง หนีเรียน โดดร่มไปเที่ยวเรื่อยๆ หรือ นั่งหลับในห้องเรียน หรือนั่งลืมตาใสแจ๋ว แต่ใจหนีไป เที่ยวที่ไหนก็ไม่รู้ หรือไปเปิดวีดีโอดูอยู่ในใจ ถึงเวลา ท่องหนังสือเตรียมสอบก็ไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง ถ้าเป็นอย่าง นั้นคงสอบได้ยาก
คำถาม จิตใจของแต่ละคนทําไมไม่เหมือนกัน
คำตอบ เพราะเหตุที่เขาประกอบไว้แต่ละคน ไม่เหมือนกัน เมื่อเหตุที่ประกอบเอาไว้แตกต่างกัน ความ เคยชินอุปนิสัยซึ่งเป็นพื้นฐานของจิตใจ ย่อมแตกต่าง ตามไปด้วย
สมมติว่า เหตุของคนหนึ่งที่ประกอบเอาไว้ ทำให้อุปนิสัยของเขาเป็นนก เขาก็คิดอย่างนก มีอะไรเกิด ขึ้น ก็บินไป เหตุที่อีกคนประกอบไว้ทำให้เขาเหมือน ปลา เขาก็ว่ายน้ําไป พอใจอยู่แต่ในน้ํา การที่ใจแต่ละคนแตกต่างกันไป ก็เพราะเหตุที่ กระทำเอาไว้ต่างกันไปอย่างนั้น
คำถาม แสงที่เปล่งออกจากกาย ที่เรียกว่าแสง แห่งชีวิต คืออะไร
คำตอบ ครูก็ไม่แน่ใจว่าคําตอบต่อไปนี้จะตรง กับความหมายของคำถามหรือไม่ ใจเป็นพลังธาตุรู้ ซึ่งเมื่อรวมให้เป็นสมาธิ คือแน่วนิ่งเป็นพลังรวมหนึ่งเดียว จะเกิดกำลังมาก เหมือน ไฟฉายที่ใส่ถ่านใหม่ มีความสว่างชัดแจ้ง ร่างกายของ เราที่เห็นเป็นวัตถุทึบแสงนี้ ผู้รู้ที่มีตาละเอียด อธิบาย ว่า เป็นกลุ่มของแสงที่เปล่งออกมาจากพลังรู้ หรือใจ ในภาวะที่พอเหมาะ เราอาจเห็นพลังรู้นี้มีแสง เหมือน ที่ชาดกกล่าวว่า พระพุทธองค์เปล่งฉัพพัณณรังสี กระจาย เป็นรัศมีห้อมล้อมพระสรีรกาย ใจที่เป็นสมาธิมีความ สว่าง ท่านที่ปฏิบัติ และมีความสามารถเห็น พลังรู้ จะ เห็นใจมีแสงสีต่างๆ แปรตามอารมณ์ที่ครอบครองในแต่ละขณะ แต่ละขณะ
คำถาม สวรรค์กับนรกนั้นมีจริง หรือจิตเรา คิดไปเอง
คำตอบ ถ้าไปคิดว่าสวรรค์คือดินแดนที่อยู่สูง ขึ้นไปจากแผ่นดิน เป็นสถานที่ เป็นอาณาเขต และนรก ก็อยู่ใต้ดินลึกลงไป คิดอย่างนั้นไม่ใช่ สวรรค์ นรก หรือ ภพภูมิทั้งหลาย ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของพวกกายละเอียด ที่เรียกว่า เทวดา พรหม เปรต อสุรกาย สัตว์นรกนั้น เป็นมิติที่เหลื่อมซ้อนอยู่กับโลกนี้เอง ดังที่ครูบอกแล้ว ว่า เมื่อใดก็ตามที่จิตอันนี้ไม่ได้อาศัยอยู่ในกายหยาบ ที่ เห็นได้ด้วยตาเนื้อ เราก็บอกว่าเขาอยู่ในสวรรค์ ในพรหมโลก ในนรก แล้วแต่เหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งยึดหน่วงเป็นอารมณ์ของใจของเขาในขณะนั้นนั้น กายละเอียดเหล่านี้ จึงไม่ต้องคลอดจากครรภ์ เมื่ออารมณ์เปลี่ยน ใจก็ดับ คือจุติ จากภพภูมินั้นไป เกิดในภพภูมิใหม่ ในบัดเดี่ยวนั้น ตามอารมณ์ของใจ พอเกิดก็โตเต็มที่ และทรงอยู่ในสภาพนั้น ไม่แก่ ไม่มี การเปลี่ยนแปลง จนสิ้นเหตุปัจจัย การดับจากภพภูมินั้นไปสู่ภพใหม่ตามเหตุปัจจัยใหม่ สวรรค์ นรกจึงมีจริง ถ้าเรามีตาละเอียดที่สามารถ เห็นภพภูมิที่ไม่ใช่มนุสภูมิ เราก็จะเห็นพวกกายละเอียด เหล่านี้อยู่ในบรรยากาศรอบๆตัวเราได้ มิติเหล่านี้เหลื่อม ล้ากันอยู่ ถ้าปฏิบัติไป ปฏิบัติไป จิตของคุณสัมผัสได้ คุณจะรู้ว่าสวรรค์ นรก และโลกของเราแทบจะเรียกว่า ซ้อนอยู่ที่เดียวกัน เกี่ยวข้อง สัมพันธ์กันอยู่ เพราะอาณา เขตเหล่านี้ไปถึงได้ด้วยใจ รู้ เห็น สัมผัสด้วยใจ และ ดังที่อธิบายแล้วว่า ในอาณาจักรของใจ ไม่มีระยะทาง เพียงจิตคิด สิ่งนั้นก็ปรากฏถึงกันแล้ว บางครั้งเราจึงรู้สึก คล้ายๆกับว่าญาติที่ตายไปแล้ว ยังอยู่ใกล้ๆ เรา ยังมาเข้า ฝันอย่างที่เคยได้ยินได้ฟัง เพราะฉะนั้น อย่าประมาทในบาปบุญคุณโทษ เราจะได้ไม่ปล่อยชีวิตให้ขาดทุนสูญไปเปล่าๆ เพราะถ้า ใจไม่เชื่อเรื่องบุญ บาป สวรรค์ นรกแล้ว จะคิดว่า เรื่องอะไรเราต้องทำคุณงามความดี เป็นต้นว่าเราเก็บกระเป๋า เอกสารที่มีเงินล้านบาทตกอยู่ ทําไมจะต้องเอาไปให้ ตํารวจประกาศหาเจ้าของ เราเอาล้านบาทมาเป็นของ เรา จะได้มีกิน มีใช้สบายไปไม่ดีกว่าหรือ ถ้าทำอย่างนั้น บาปที่เอาของผู้อื่นมาโดยเจ้าของ ไม่อนุญาต ติดเป็นรอยพิมพ์อยู่ในใจเรา เป็นเม็ดพันธุ์ ชั่วร้ายที่งอก ผลิดอก ออกผล คอยเวลาที่จะสนองผล ไม่ดีให้แก่เรา ความทุกข์ยากที่จะประสบในกาลข้างหน้า ไม่คุ้มกับเงินล้านบาทที่ได้มา เพราะใจเจ้าของย่อมทุกข์ โทมนัส เดือดร้อน ลองนึกเปรียบใจเขามาเป็นใจเรา ถ้า เราเป็นเขาซึ่งกำลังจะเอาเงินนั้นไปชําระค่าทรัพย์สิน หรือลงทุนธุรกิจจำเป็น เราจะอับจนแค่ไหน เงินนั้นจึง เป็นเงินร้อน ตามความทุกข์ร้อนของจิตใจเจ้าของ เรา ได้มา ประเดี่ยวมันก็มีอันวิบัติหมดสิ้นไป แต่รอยบาป ที่ติดอยู่ในใจเป็นเหมือนสนิม ไม่ละลายหายไปด้วยกับ ตัววัตถุ แต่กัดกร่อนทำลายคุณภาพของใจให้ด้อยคุณค่า ไปโดยลำดับ
ถ้าความเชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ เรื่องสิ่งทั้ง ปวงมาแต่เหตุ ฝังรกรากยังไม่ถึงใจ เราจะเชื่อแต่ปาก เพราะความรู้นั้นเป็นแต่สัญญา คือจําที่ท่านสอนมา ยัง ไม่เป็นปัญญาเห็นชอบในใจของตน จึงไม่เห็นเท่าทัน
ตามเป็นจริง เหมือนกับว่า บาปอกุศลเป็นกําแพงแก้วใส ตา เราไม่ดี ใครบอกว่าตรงนั้นเป็นกำแพง เราก็ไม่เชื่อ เพราะ มองไม่เห็น เลยวิ่งไปชนเข้าเต็มแรง พอชนแล้วกำแพง ไม่เป็นอะไร แต่ตัวเราเองอาจคอหักตาย หรือหัวแตก ไม่รู้สึกตัว ต้องไปเข้าห้องฉุกเฉินไม่รู้อีกกี่วัน บาปมีความหมายอย่างนี้ คือความหลงผิดที่เรียก ว่าอวิชชา พาให้เรามองไม่เห็น ผู้รู้บอกให้ก็ไม่เชื่อ ท่านอาจารย์ท่านเปรียบเทียบว่าอย่างนี้ สมมติเรา เดินมาโดยไม่ระวัง โต๊ะก็ตั้งอยู่ตรงนี้ ทั้งๆที่คนอื่นมอง เห็นว่า ตั้งอยู่ตรงนี้ แต่เราไม่มอง ก็ไม่เห็น ทั้งที่ตั้ง อยู่โทนโท่ จึงเดินไปชนเต็มแรง บาป บุญ นรก สวรรค์ ในสายตาของพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ ท่านเห็นชัดเจนเหมือนเรามองเห็นโต๊ะ ตัวนี้ แต่ในสายตาของเรา เราไม่เห็น จึงประมาทด้วย มิจฉาทิฐิว่า เป็นสิ่งไม่มีอยู่ เลยเดินไปชนเข้าเต็มแรง ผลก็คือ เราเจ็บ เมื่อรู้อย่างนี้ ถึงมองยังไม่เห็น แต่ได้ ยินได้ฟังท่านพูด ก็เก็บมาพินิจพิจารณา คอยสังเกตหา เหตุผลมาสอนใจของตน วันหนึ่งเราจะเกิดปัญญา เห็น ตามเป็นจริง
เมื่อไม่มีปัญหาถามแล้ว ครูขอโอกาสเพิมเติมอีก สักนิด หลายคนมีข้อสงสัยว่า ถ้าเราขออะไรจากพ่อแม่ แล้ว ท่านปฏิเสธ เราจะตัดสินได้หรือไม่ว่า ท่านไม่รัก เรา คนหลายคนวัดเอาว่า ถ้าเขารักเรา เขาต้องให้เราได้ ทุกอย่าง สมมติว่า คุณเป็นพ่อแม่ มีลูกวัยรุ่น อายุเท่าคุณ อยู่ดีๆ ลูกก็มาขอว่า เพื่อนมีรถซึ่งกัน อยากได้รถซิ่งสัก คัน คุณรักลูกก็ไปกู้เงินธนาคารเพื่อซื้อรถซิ่งให้ลูก ลูก ได้รถสมใจ ก็สนุกมาก ไปซึ่งกับเพื่อนๆ ชนคนข้าม ถนนตายคาที่ ถ้าพ่อแม่อยู่ในฐานะที่อาศัยอิทธิพล ท่าน ไปคุ้มครองลูกได้ กายของลูกก็ไม่ถูกเข้าคุก แต่ ใจ ที่ รู้ว่าเราไปทําคนตาย เพราะความสนุกคะนอง คงคอย หลอนให้ไม่มีความสุขนัก ถึงไม่เข้าคุกภายนอก ก็เข้าคุก ในใจของเราเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ จะเรียกการที่พ่อแม่ให้ทุกสิ่งที่ขอ แก่เรา เป็นความรักได้หรือไม่ การกระทำอย่างนั้นไม่ใช่ความรัก เพราะความรัก เป็นการเกื้อกูลกันในทางดีงาม บางทีการที่เราอยากได้ ะไร แล้วไม่ได้ดังใจ เป็นการให้ความรักมากกว่าการที่ จะตามใจกัน ไม่มีขีดมีขั้นเลยก็ได้ การตามใจกันตลอดเวลานั้น จริงๆ แล้วไม่ได้ตาม ใจ ที่เป็นกุศล เป็นคุณงามความดี แต่ตามใจกิเลส
ความอยากในใจของคนเราที่ออกมาโดยอัตโนมัติ ยังไม่ทันได้คิดไตร่ตรองว่าควรหรือไม่ควรแค่ไหน อะไร กระทบใจขึ้นมา นึกอยาก ก็พูดออกไปแล้ว ถ้าพ่อแม่ ครูหรือใครก็ตาม ที่เราไปเกี่ยวข้องด้วยปฏิเสธ อย่าเพิ่ง โกรธท่าน อย่าเพิ่งน้อยใจ หมางใจว่า นี้ท่านไม่รักเรา ความรักไม่ได้วัดด้วยการให้อย่างเดียว ถ้ารักกันจริง สิ่ง ที่ให้แก่กันย่อมเป็นของมีคุณค่า ท่านอาจให้ด้วยการ ปฏิเสธ คือสอนให้เรารู้จักผิดหวัง รู้จักยับยั้งชั่งใจ มี เหตุผลที่จะเลือกว่า อะไรคือสิ่งถูก อะไรคือสิ่งไม่ถูก แล้วอดกลิ้นไม่ปล่อยใจให้คิดอยากไปตามกิเลส เหมือน อย่างกับเมื่อกี้นี้ ที่พูดกันว่าทุกคนเห็นแก่ตัวทั้งนั้น แต่ เราฝึกที่จะลบล้างด้วยการเอาของเราให้ออกไป
อย่าไปคิดว่าในชีวิตนี้ ถ้าเมื่อไรก็ตาม ไม่ได้ดังที่ ใจอยากจะได้แล้ว แปลว่าคนทั้งโลกไม่รักเรา ตรงกันข้าม เขารักเราด้วยความรักที่เห็นแก่คุณงามความดีของเรา มากกว่าที่เขาจะตามใจเรา แล้วเมื่อโตขึ้น ไม่มีพ่อแม่คอย คุ้มครอง คราวนี้จะทําอะไรก็ทําไม่เป็น เพราะไม่เคย อดกลั้น บังคับใจตัวเอง เมื่อจำเป็นต้องบังคับ ก็ไม่รู้ จะเริ่มต้นอย่างไร ใจไม่มีเรี่ยวแรง ทำอะไรไม่ประสบ ผลสําเร็จในชีวิต ก็เพราะอย่างนี้แหละ เพราะขาดการ ถูกอบรมให้รู้จักรับคำสั่ง รู้จักความมีกฏเกณฑ์
ข้อบังคับ อยากได้อะไร พอไม่ได้ดังใจ ชีวิตหมดสิ้น กันแค่นั้น อยู่ต่อไปไม่ได้
การที่เราจะอยู่ แล้วมีชีวิตที่ประสบความสําเร็จ เราต้องรู้ว่าอะไรเป็นกฏ เข้าใจและอดทนที่จะปฏิบัติตาม กฏอันนั้นเมื่อคนหลายๆคนมาอยู่ร่วมกัน แล้วจะเอาตาม ใจตัวทุกอย่างไป ย่อมไม่ได้ เป็นต้นว่า ตามท้องถนน ถ้าไฟจราจรเป็นสีแดง เราจะตามใจตัวว่า ฉันจะไป เพราะฉะนั้นไฟแดงก็ไฟแดง เราก็ออกรถ อะไรจะเกิด ขึ้น รถต้องชนกัน หรือเวลาถึงเขตห้ามหยุด ที่ขีดเส้นสี เหลืองเอาไว้ ทั้งที่ไปไม่พ้น ฉันก็จะไป แล้วเลยหยุด ขวางอยู่เต็มเขตห้ามหยุด คนที่จะเลี้ยวออกมาก็เลี้ยวไม่ ได้ เกิดความระสําระสาย
หรือเราจะทำตามกฎเฉพาะเวลาที่มีตำรวจ บ้าน เมืองก็จะสงบราบเรียบไปไม่ได้
เพราะตำรวจไม่มีพอที่ จะคอยประกบคนทุกคนในประเทศ ต้องเอาธรรมมาเป็น ตำรวจอยู่ในใจของเรา และเอากำลังใจฝึนกิเลส เพื่อ ปฏิบัติตามระเบียบวินัย แม้เราจะติดขัดเดือดร้อนเพราะ การร่วมมือเชื่อฟังกฎนั้นก็ตามเมื่อกี้นี้ที่อาจารย์ประกาศขอร้องไม่ให้ไขน้อต ลำโพงเล่น เพราะเครื่องขยายเสียงจะพัง สมมติอายุ การใช้งานของเครื่องนี้เป็น 10 ปี ถ้าใช้ได้ตามอายุ ต้นทุน
ของเครื่องจะมีราคาเท่ากับ 10 บาทต่อวัน ถ้าคุณช่วยกัน ทำให้ของที่จะอยู่ 10 ปี พังในวันเดียว ต้นทุนก็จะเพิ่ม เป็น 10 บาทคูณด้วยจำนวนวันใน 10 ปี คือ 10x365x 10 เท่ากับ 36,500 บาทราคาจึงท่วมท้นขึ้นไปเป็นพันๆ ถ้าเป็นเช่นนี้ ใครจะคอยมาบริจาคให้เรื่อยๆ คนอื่นที่ ควรได้ประโยชน์จากเครื่องนี้ก็หมดโอกาส เป็นการก่อ เวรก่อภัยให้กับตัวเองด้วยความคะนอง รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะไปตัดรอนโอกาสผู้อื่น เท่ากับสร้างหนี้ใหม่ให้ตัวเอง
การทําลายของสาธารณะให้เสียหายโดยเปล่า ประโยชน์ มีผลเหมือนฉ้อโกง เพราะไปลิดรอนโอกาส ผู้อื่น เราก็หอบหนี้ติดตัวไป ดังนั้นทุกคนจึงต้องช่วยกันอะไรก็ตามที่เป็นของส่วนรวม ต้องช่วยกันดูแลรักษา มี น้ําใจ คอยดูว่า เมื่อใช้แล้ว เก็บเรียบร้อยหรือยัง ขึ้ฝุ่น ขี้ผงจับสกปรกหรือเปล่า ดูให้อยู่ในสภาพที่ดี ใช้งานได้ นาน ต่างคนต่างช่วยกันระมัดระวังไม่ให้เกิดการชํารุด เสียหาย ถ้าทุกคนฝึกตัวเองให้มีระเบียบวินัย รับผิดชอบ ต่อหน้าที่ ดูแลสาธารณสมบัติเหมือนสมบัติของตน อย่าง นั้น เราจึงจะอยู่กันด้วยความราบรื่น
ชีวิตของคนเรา เมื่อดําเนินมาถึงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี ย่อมสับสนกังวลว่า จะทําอย่างไรต่อไป เรียน จบแล้วจะไปสมัครเข้ามหาวิทยาลัย หรือจะไปลองฝึก ความสามารถแค่นีเพียงพอที่จะไปต่อสู้กับคนอื่น ได้หรือยัง
เมื่อวานนี ครูไปร่วมปัจฉิมนิเทศที่วิทยาเขตแห่ง หนึ่ง วิทยากรท่านหนึงกล่าวน่าฟังมาก ท่านบอกว่า คน
เราจะทำอะไรก็ตาม ขอให้มีความเชื่อมันในสิ่งที่กระทำ สมมติว่า คุณจะไปสมัครเรียนอะไรต่อ คุณต้องมีความ แน่ใจ มันใจในวิชาทีจะเรียนว่า เรารักเราชอบ เราเห็น ประโยชน์ จะได้ทุ่มเทความตั้งใจเข้าไปเต็มที ไม่ใช่ว่า วิชานีเพื่อนเขาไปเรียนกัน วิชานั้นแม่อยากให้เรียน ไจ ของเราเลยทุ่มเถียงหักล้างกันเอง ทำให้พลังแตกแยก สูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ เหมือนเชือกที่คนหนึ่งดึง ไปทางตู้หลังห้อง อีกคนหนึ่งดึงไปทางกระดาน มันเลย ขาดกลาง
เมื่อเรามีความเชื่อมัน ทุ่มเทความตั้งใจเข้าไปแล้ว วิชาความรู้ยังไม่ใช่ที่สุดของการตัดสินชขาดว่า เราจะประสบความสําเร็จหรือไม่ บุคลิกภาพมีส่วนสำคัญยิง ต่อการตัดสิน ดังเรื่องที่วิทยากรท่านนั้นเล่า คือผู้จัดการ ฝ่ายบุคคลของโรงแรมมีชื่อแห่งหนึ่ง ต้องการเลขานุการ 1 คน จึงประกาศรับสมัคร มีผู้มาสมัครร้อยกว่าคน หลัง สอบข้อเขียน สอบเชาวน์ สอบความรู้สอบทักษะ สอบ
สัมภาษณ์แสร็จหมดแล้ว ท่านคัดผู้มีความสามารถเยี่ยม ทัดเทียมกันได้ 5 คน แต่ตำแหน่งมีเพียงตำแหน่งเดียว ท่านจึงคิดค้นหาวิธีที่จะเลือกให้ได้คนดีที่สุด ในที่สุด ท่านก็พบวิธี จึงเชิญทั้ง 5 คนให้มาสอบทักษะ คือให้ พิมพ์ดีดซ้าอีก
ปรากฏว่าทั้ง 5 คนพิมพ์เร็ว พิมพ์ดีไม่มีที่ผิดทัด เทียมกัน ผู้จัดการก็เรียกมาสัมภาษณ์ทีละคน ทั้งๆ ที่ พอใจในอัตราพิมพ์ และคุณภาพของผู้สอบ แต่ผู้จัดการ ก็ตัดไม้ข่มนาม ทำเสียงเครียดถามว่า ทำไมหนูถึงพิมพ์ ช้าอย่างนี้ล่ะจ๊ะ
ผู้สอบคนที่หนึ่งมองหน้าผู้จัดการยิ้มๆ แล้วตอบ ว่าประทานโทษค่ะ หนูมัวแต่พิมพ์บรรจง ผู้จัดการก็ ว่างานที่นี่ไม่ต้องการบรรจงหรอก หนูไปพิมพ์ใหม่ให้ เร็วกว่านี้ เอาแค่หวัดแกมบรรจงก็แล้วกัน เธอก็รับคํา ว่าจะพยายาม แล้วกลับออกไปผู้จัดการเรียกคนที่สองเข้ามา พูดอย่างเดียวกัน ปรากฏว่าเธอจ้องหน้าผู้จัดการอย่างโกรธจัด แล้วสะบัด เสียงตอบว่า อะไรกันช้า! ถ้าอัตราพิมพ์ของหนูช้าท่าน ก็หาใครพิมพ์เร็วกว่านี้ไม่ได้แล้ว เพราะหนูนี่แหละที่ พิมพ์ได้รางวัลยอดเยี่ยมมาแล้ว ขอให้รับทราบไว้ด้วยเถอะ ว่าแล้วก็พรวดพราดออกจากห้องไปอีกสามรายไม่มีจุดน่าสนใจ
ท่านวิทยากรถามผู้ฟังว่า ถ้าเราเป็นผู้จัดการ เรา จะเลือกใคร ทุกคนย่อมเลือกคนแรก ซึ่งผู้จัดการก็เลือก เช่นนั้น ท่านอธิบายว่า คนเราต้องการจะให้เก่งสักเพียง ไหนก็ตาม สามารถฝึกปรือได้ทั้งนั้น ถ้ารู้เทคนิคและมี ครูที่เชี่ยวชาญ เหนือฟ้ายังมีฟ้า แต่บุคลิกภาพเป็นสิ่ง ฝึกปรือได้ยาก หรือไม่ได้เลย ถ้าเจ้าตัวไม่เห็นความจำเป็น หรือข้อบกพร่อง เพราะมันฝังรกรากเป็นอัตโนมัติไปแล้ว
หากเราเป็นคนที่ทําอะไรลงไปแล้ว คนอื่นตำหนิ ไม่ได้ การทำงานคงไม่ราบรื่น เพราะบุคลิกอย่างนี้ เอา แต่ความเห็นของตนเป็นที่ตั้ง การจะทำงานดีมีประสิทธิภาพ ผู้ร่วมงานต้องอยู่กันอย่างสบายอกสบายใจ เพราะ บางทีการทำงานก็มีผิดพลาดล่าช้าเกินเวลา หรือมีเหตุ สุดวิสัย นึกไม่ถึง ถ้าเราเป็นคนที่นิดหน่อยก็ยืดหยุ่นไม่ได้ พอถึงคราวคับขัน เรือคงล่ม เพราะเราเคยเอียงทางนี้ ก็จะเอียงทางนี้ทั้งๆ ที่ในสภาวะนี้ ต้องเอียงอีกทางจึงจะ รอด
ผู้สมัครรายที่หนึ่งย่อมรู้ว่า ฝีมือพิมพ์ดีดของเธอ อยู่ระดับไหน แต่เมื่อผู้จัดการว่ายังไม่ดี เธอก็ใจเย็น ยิ้ม รับฟัง และมีสติคิดหาคําอธิบายว่า เธอพิมพ์บรรจง เป็นการคลี่คลายสถานการณ์ถ้าผู้จัดการมีกรรมวิธีอะไรชี้แนะให้พิมพ์ได้เร็วขึ้น เธอก็ยินดีรับฟัง และนํามาปรับปรุง ทําให้ทํางานกันต่อไปได้อย่างสนิทใจ เธอรับคําตําหนิมาเป็นครู เพื่อปรับปรุงตนให้ดี ยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น เธอมีสติ มีเชาวน์ปัญญา ที่จะปรับเหตุการณ์ไม่พึงปรารถนา ให้คลี่คลายไปด้วยดี แทนที่จะโวยวายว่า ฉันทําดีที่สุดแล้ว เป็นการปิดกั้นตัว เองจากการเรียนรู้สิ่งที่ตนยังไม่รู้ ทําให้หมดโอกาสปรับ ปรุงตนเองให้ทันโลกทันสมัยอยู่เสมอ เคล็ดลับในชีวิต เคล็ดลับของความสำเร็จอยู่ตรง นี้แหละ บุคลิกไม่ใช่สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นมาเอง เราแต่ ะคนต่างต้องฝึกฝนตัวของตัว ไม่ใช่ว่าเกิดขึ้นมาจากท้อง พ่อท้องแม่ ก็มีพรสวรรค์เช่นนั้นติดมา เราต้องหัดฝึกใจ ให้มีสติกำลัง ฟังคนอื่นตำหนิโดยไม่ปรุงคิดเป็นอารมณ์ ตั้ง สติฟัง เพื่อนำมาแก้ไขปรับปรุงตัวเองให้รอบรู้ดียิ่งขึ้น มิฉะนั้นเรานึกว่า เราดีที่สุดแล้ว พ่อแม่สอนมาแค่ไหน เราก็รู้อยู่แค่นั้น ถ้าครูอาจารย์ หรือเพื่อน หรือใครรู้มา มากกว่าเรา วิพากษ์วิจารณ์แล้ว เราไม่ฟัง เราก็ปิดกั้น หนทางของเราเอง ครูไปที่วัดแห่งหนึ่ง ที่วัดนี้เวลามีคนไปพัก ท่าน อาจารย์ให้พักที่ศาลา ซึ่งใช้เป็นโรงฉันอาหารของแม่ชีปรากฏว่าแม่ชีรูปหนึ่ง เมื่อทราบว่าคนไปพักกางมุ้ง นอนตรงที่ที่ท่านนั่งรับประทานข้าวตอนเช้า ก็ไล่ไม่ให้ เขานอนตรงนั้น อ้างว่าท่านต้องนั่งกินข้าว กรณีนี้สอนให้เห็นว่า ใจของคนเรา ถ้าไม่เอาสติ คอยระวังถามหาเหตุผล คราบเดิมจะออกมา หวงแหน ไปหมด ยึดแม้ที่นั่งบนศาลาว่าเป็นของตน ทั้งที่กลางคืน ตรงนั้นก็ไม่ได้ทำกิจกรรมอะไร หากให้เขาใช้พักนอน เขาทำสมาธิภาวนาได้ดี แผ่ ส่วนกุศลให้แก่ผู้สร้างศาลา รวมทั้งผู้คนที่อยู่ในวัด เรา ก็พลอยได้บุญได้กุศลไปด้วย แต่ใจที่ขาดสติ ถูกกิเลส เคลือบย้อมไว้ให้เศร้าหมอง กลับไม่พอใจ ไปห้ามกั้น กีดทางเขา ทําให้เขาต้องไปกางมุ่งเบียดกันบริเวณอื่น ของนิดๆหน่อยๆเช่นนี้ ถ้าไม่กําหนดสติ คอย ระวังดูใจตัวเอง เราก็จะเป็นคนไม่น่ารัก ซึ่งเมื่อติดเป็น อุปนิสัยแล้ว ใครเตือนก็ไม่ฟัง การอยู่ด้วยกัน หรือไปทํางานอะไรก็ตาม ให้ระลึก ถึงข้อนี้ไว้ วิชาความรู้เป็นสิ่งที่สามารถขวนขวายหาเพิ่ม เติมได้ แต่ บุคลิกของเรา สติปัญญา เชาวน์ ไหวพริบที่ จะมองทุกอย่างในแง่สร้างสรร ปรับเหตุการณ์ให้คลี่คลาย ไปในทางดีนั้น เราต้องเข้มงวดฝึกตัวเองกันตั้งแต่วินาทีนี้ การฝึกจะสัมฤทธิ์ผลเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับรากฐานความเชื่อ ความเข้าใจพุทธศาสนาในจิตใจของผู้ฝึก ชีวิตจะประสบความสําเร็จหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับ ปัญญาเห็นชอบ หรือทีเรามองกันในภาพพจน์ของทัศนคติหรือบุคลิกภาพนั่นเองจะทํากิจการใด ให้ศึกษาไตร่ตรองจนเข้าใจวัตถุประสงค์ถ่องแท้ แล้วตั้งใจมั่น ผูกพัน เอาใจใส่ในกิจการ นั้น ทุ่มแรงกายแรงใจเข้าไป บากบัน ฝึกฝน พากเพียร ที่จะให้รู้จริง รู้แจ้ง ให้เกิดความชํานาญเป็นกุญแจไข ไปสู่ความสําเร็จ
เมื่อเราได้ทราบกันอย่างนี้ว่า พุทธศาสนาคืออะไร เป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ หรือน่าเชื่อถือแค่ไหน แล้ว เราจะเชื่อหรือจะไม่เชื่อ ก็อยู่ที่ตัวของคุณ เราต้องเอา ข้อมูล เหตุผลทั้งหลายที่ได้ฟังกันในวันนี้ ไปคิดไตร่ตรอง ทบทวน ถามหาคําตอบจากตัวเองว่า ที่ฟังมานี้ มีเหตุผล ควรเชื่อถือ นําไปทดลองประพฤติ หรือไม่
ครูหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การที่พวกคุณสู้อุตส่าห์ สละเวลาวันนี้มาฟัง ก็เพื่อได้ความคิดเหล่านี้ไปเป็นแนว ทางของจิตใจ เวลาจะทําอะไรก็ค่อยไตร่ตรองเอาสติเอา ปัญญามาตัดสิน ให้สิ่งที่ทําลงไป เป็นสิ่งดีมีคุณค่าต่อ ชีวิตของเราและผู้อื่น ทําให้โลกงดงามขึ้น ประเทศชาติ จะได้พัฒนาก้าวหน้า เป็นระเบียบน่าอยู่ สงบร่มเย็น มีกําลัง ปกป้องตนเองจากสิ่งไร้ประโยชน์ทั้งปวง ในท้ายที่สุดนี้ ครูขออาราธนาคุณพระรัตนตรัย ให้ปกปักรักษา เป็นกำลังใจให้พวกคุณทุกคนตั้งใจสอบ ได้สมดังปรารถนา สอบแล้ว จะไปสมัครเรียนอะไร หรือทำอะไรที่ไหน ก็ได้สําเร็จสมตามที่มุ่งหวังตั้งใจ
พิมพ์โดย ปภัสสร มีพงษ์
แหล่งที่มา http://web.krisdika.go.th/buddha/payabHdad.pdf
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น