พุทธธรรมกับมนุษย์สัมพันธ์
ชื่อผู้เขียน พญ อมรา มลิลา
วันที่ วันที่ 29 มกราคม 2529
ณ ตึกวชิรญาณวงศ์ ชมรมพุทธธรรม โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
หมวด
อันดับที่
คนเราจะอยากมีมนุษยสัมพันธ์ หรือไม่อยากมีมนุษยสัมพันธ์ก็ ตาม เราอยู่คนเดียวไม่ได้ในโลกนี้ ต้องมีหมู่ มีผู้อื่นอยู่ด้วย
การที่คนตั้งแต่สองคนขึ้นไปอยู่ด้วยกัน เรียกว่าเกิดมนุษยสัมพันธ์ต่อกันแล้ว สังคมทุกวันนี้ ทำให้แต่ละคนรู้สึกว่า ตนไม่ได้ดั่งใจ ไม่ต้องดูอื่นไกล ในครอบครัวตนเอง ก็รู้สึกว่า กับคนข้างเคียงของตน แท้ๆ ก็อึดอัด ไม่ได้ดังใจ เมื่อในบ้านยังไม่ได้ดั่งใจ เกิดเป็นตะกอน ออกนอกบ้านมาทำงาน มาเผชิญโลกภายนอก ก็ยิ่งรู้สึกว่าบีบคั้น
คับเครียดหนักเข้าไปอีก เราจึงควรมาค้นหากันว่า จะเอาพุทธธรรม มาช่วยเหลือ คลี่คลายความสัมพันธ์ในใจ ต่อผู้คนรอบข้างได้ อย่างไร เราก็มาพิจารณาดูว่า พุทธธรรมเป็นอย่างไรบ้าง พุทธธรรมนี้ ถ้าดูให้ละเอียด ก็จับหลักได้สองประการ ที่ท่านรวมเรียกว่า ธรรมวินัย ธรรม คือส่วนที่เป็นหลักคําสอน ที่เรานํามาปรับปรุงตัวเองให้มี คุณภาพดีขึ้น กับ วินัย พระพุทธองค์ทรงเล็งแลเห็นแล้วว่า การที่คน อยู่ร่วมกันเป็นหมู่ เป็นสังคมนั้น ต้องอาศัยวินัย วินัยคืออะไร ? วินัยก็คือระเบียบนั่นเอง ที่เราตราเป็นกฎ ข้อบังคับ ในบ้าน แม่ก็มีกฎกับลูกๆ ว่า ตื่นขึ้นมาแล้ว ต้องดูแลทํา ที่นอนให้เรียบร้อย อะไรทํานองนี้ กฎเหล่านี้ พูดกันด้วยปาก กับคน ใกล้ชิด ทำให้ไม่รู้สึกว่าจำเป็นหรือศักดิ์สิทธิ์ แต่พอขยับมาเป็นกฎของ โรงเรียน ผู้คนที่เกี่ยวข้องมีจำนวนมากขึ้น ถ้าใครไม่ทำตามกฎ ครูลงโทษ เป็นต้นว่า ให้ไปยืนหน้าเสาธง หรือถูกตีหน้าชั้น เราก็จํา ฝังใจ เพราะอะไร? เพราะอาย เดี่ยวคนจะเห็นว่า เราเป็นคนไม่ดี ต่อมา ถึงระดับประเทศชาติ ก็กลายเป็นกฎหมาย ต้องลงโทษเข้าคุก เข้าตะราง หรือยิงเป้า ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นกฎหรือกฎหมาย ก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะ พื้นฐานจิตใจผู้คนในสังคม ไม่เข้าใจซึ้งถึงว่า ระเบียบวินัยนั้นมีความ จําเป็นอย่างไร ลองมาพิจารณาแบบแผนของพระพุทธเจ้า ท่านมีพระวินัยซึ่งหมู่สงฆ์ต้องประพฤติปฏิบัติตาม แล้วพระวินัยได้ผลศักดิ์สิทธิ์ เพราะวินัยของท่านตราขึ้นด้วยเหตุผล เป็นสิ่งที่ใครก็ตามประพฤติปฏิบัติแล้ว ผลที่ออกมา เป็นความร่มเย็นของสังคมรอบข้าง และของตัวผู้ปฏิบัติตามนั้นด้วย
ท่านเห็นแล้วว่า วินัยที่ตราออกมา ไม่ใช่เป็นเครื่องบีบ บังคับ หรือไปทำ ให้ผู้ที่ต้องปฏิบัติตามวินัย อีดอัดคับข้อง หรือสิ้นอิสรภาพ
ท่านพิจารณาโดยรอบคอบแล้วว่า ใจของคนเรา มีทั้งส่วนที่ดี คือ พุทธะ และส่วนที่ป่าเถื่อน คีกคะนอง คือ กิเลส ก่อนที่เราจะรู้ซึ้ง ถึงธาตุแท้ของตัวเราเอง เราต้องอาศัยผู้ที่รอบรู้มากกว่าเรา และเที่ยง ตรง วางกฎเพื่อกำราบส่วนที่เป็นกิเลส ที่เป็นความเห็นแก่ตัว ความ เอารัดเอาเปรียบ ให้ไม่งอกงามไปทําความระคายเคืองให้ผู้อื่น
เพราะฉะนั้น วินัยของท่านจึงเป็นของที่ใครฝึกฝีนตัวเอง บังคับ ใจตัวเองแล้ว ผู้ที่จะได้ผลดีเป็นคนแรกก็คือ ตัวผู้ประพฤติปฏิบัตินั่น เอง จะบังเกิดอุปนิสัยที่ดีขึ้นมา แล้วความสงบร่มเย็นจะมีในสังคม ที่ตัวอยู่
ท่านทรงตระหนักชัดแล้วว่า สังคมและตัวเราก็คือสิ่ง เดียวกัน
ธรรมของพระพุทธองค์สอนไม่ให้ยึด ไม่ให้มีอุปาทานมั่นหมาย คนเราแต่ละคน แต่ละชีวิต ถ้ามองชีวิตและรู้จักมัน ด้วยสภาพของ
ความเป็น ขันธ์ คือ เป็น “รูป” และ “นาม” เป็น “กาย” และ "ใจ" ล้วนๆ ตามสภาพทีมันเป็น มันก็ไม่เป็นความทุกข์ แต่เพราะเรา เอาความยึดเข้าไปกำหนด เป็น "อุปาทานขันธ์ เมื่อเกิดอุปาทานขันธ์ก็มีเรา มี ของเรา ขึ้นมา พอมีของเราย่อมมีของที่ไม่ใช่ของเราคู่กันขึ้นมา
สังคมใดก็ตาม ถ้าความยึดอันนี้สูง เห็นว่า ของเราต้องดีหนึ่ง ไม่ใช่ของเรา เป็นบุคคลประเภทสอง อะไรก็ตามที่เราเสพจนเกินพอ แล้ว หรือไม่ต้องการแล้ว จึงผันไปถึงสิ่งที่ไม่ใช่ของเรา ถ้าคิดอย่างนี้ อยู่ในใจ มนุษยสัมพันธ์ของเราไม่มีวันถูกต้อง ไม่มีวันเป็นความ เที่ยงธรรม
เพราะเหตุใด ?
เพราะเมื่อมี “ของเรา” ก็มีอคติขึ้นมาแล้ว ความรักเอาเข้าตัวเอง เกิดความชังผู้ที่ไม่ใช่พวกของเรา เห็นว่าพร่อง ต่ำกว่าเรา เกิดพรรค เกิดพวก เกิดความไม่เสมอภาคขึ้นสิ่งที่ระคายคนทุกคนมากที่สุด คืออะ ไร ? คือความรู้สึกว่า เราไม่ใช่บุคคลที่เขารับเป็นพรรคเป็นพวก เรากลายเป็นเศษเกิน หรือเป็นของแปลกประหลาด ความรู้สึกนี้เป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่ง
ถ้าเราเสแสร้ง คือ คนบางคนที่จิตสํานึก รู้อะไรถูกอะไรผิด อะไรดีอะไรชั่ว แต่จิตสำนึกยังไม่ได้หลั่งรกรากลงไปเป็นอุปนิสัย ก็สามารถเพียงฝืนตัวเองให้เป็นคนที่มีกริยานุ่มนวล มีวาจาไพรเราะ แต่ลืมไปว่า จิตใจที่ไม่ได้ขัดเกลาให้กลมกลืนไปกับเปลือก คือ วาจา และกิริยาภายนอก สามารถก่อผลร้ายได้ เพราะใจของเราเป็นพลัง เช่นเดียวกับพลังทั้งหลายในโลก มีคุณสมบัติกระเพื่อมไปในบรรยากาศ เมื่อเรานึกคิด คลื่นความนึกคิดจะสะเทือนบรรยากาศรอบๆ ตัวออกไป เหมือนคลื่นวิทยุตัวเราเอง ไม่ได้ยินเสียงความนึกคิด คนอื่นข้างๆ ก็ไม่ได้ยิน เสียงความนึกคิดของเรา แต่พลังความสั่นสะเทือนอันนี้เหมือนคลื่น เสียง ซึ่งเดี่ยวนี้เราพบแล้วว่า เสียงที่มีความถี่สูงจนหูเราไม่ได้ยินนั้น สามารถไปทําลายเซลล์ ทําให้เนื้อตัวผู้คนเจ็บปวด หรือแตกทำลาย ได้ คลื่นความนึกคิดที่ไม่ดีของมนุษย์ก็เช่นกัน สามารถไปก่อกวนจิต ใจ ให้เกิดความคับข้อง เกิดความไม่สบาย เกิดผลร้ายต่างๆ นานาได้ ในทำนองกลับกัน คลื่นความนึกคิดที่เป็นเมตตาธรรมต่อกัน มีความเที่ยงตรง มีความยุติธรรมต่อกัน ก็เป็นคลื่นที่สร้าง ความอบอุ่นร่มเย็นให้กับจิตใจ เมื่อใจเห็นเช่นนี้ ก็จะมองลึกลงไป ถึงสิ่งที่พุทธธรรมย้าให้ ระลึกถึง “โลกบาลธรรม” หรือ ธรรมที่เป็นเครื่องคุ้มครองโลก ให้ปลอดภัย ได้แก่ความมีหิริ และ โอตตัปปะ คือ มีความละอาย ใครจะเห็นหรือไม่เห็น เราก็ละอาย เกรงกลัวต่อความผิดความชั่ว หรือบาปทั้งหลาย ความรู้สึกเช่นนี้ เป็นเครื่องคุ้มครองให้โลก ให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข ถ้าสังคมไหนขาดหิริ ขาดโอตตัปปะ ขาดความเกรงกลัว ขาด ความละอายต่อความผิดความชั่วแล้ว สัมพันธไมตรีระหว่างกันก็ ขาดสะบั้นไป เพราะแต่ละคน เป็นความหยาบกระด้าง เป็นพิษเป็น ภัยอย่างสาหัส ต่างคนต่างนึกแต่เพียงว่า อะไรที่ต้องการ ย่อมเป็น สิทธิ์ของตน ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ ก็เอาด้วย คาถา ไม่มีอะไรจะมายับยั้งได้ กฎหมายบ้านเมืองเป็นเพียงเครื่อง ท้าทาย เพราะคนเหล่านี้คิดว่า เมื่อฉันฉลาด มีสติปัญญาแล้ว ฉันย่อมมีสิทธิ์หมุนสติปัญญา เป็นอาวุธ ไปเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ให้ ตัวเองสมปรารถนา โปรดคิดดูว่า มนุษย์เช่นนี้จะเป็นมหันตภัยอย่างไรบ้าง ใครอยู่ ใกล้ก็คงทุกข์เดือดร้อน กฎหมายไม่มีความหมาย เพราะไม่สามารถ เอาคนเหล่านี้มาลงโทษได้ แล้วหลายๆคนก็พลอยเข้าใจไขว้เขวไป คิดว่า เมื่อกฎหมาย ไม่สามารถคุ้มครองได้ เราก็ควรฝึกตัวเองให้เป็นคนเอาตัวรอด เมื่อต้องการอะไร ก็ใช้สติปัญญาเป็นพาลชน โดยลืมไตร่ตรองให้ ถ่องแท้ว่า จริงๆ แล้ว เราได้ เราสำเร็จแน่หรือ? ถ้าเอาสติจับ มอง ใจให้ชัด เราจะพบว่าไม่จริง การครอง ชีวิตอย่างนั้น ไม่ใช่หนทางที่จะทำให้ตัวเองได้ความสุข ความ สําเร็จ เพราะใจจะถูกจองจำในคุกตะรางของความรู้สึกผิดชอบ ชั่วดีของเราเอง บางคนจะแย้งว่าไม่จริง เพราะมีคนทำชั่ว แต่ไม่เห็นเขาทุกข์ เลย นั่นเรามองหยาบๆ เรามองผิวเผิน คนที่บอกว่า ฉันไม่กลัวความผิด ฉันไม่กลัวคุกตะรางนั้น ลองสังเกตดูดีๆ ถ้าจิตสํานึกของเขาสบาย ไม่หวั่นกลัวจริง เหตุใด เขาต้องมีมือปืนคุ้มกัน ต้องมีมาตรการทั้งหลาย ที่จะให้ความ ปลอดภัย ความมั่นใจแก่ตัวเอง จะไปไหนมาไหน ก็ใส่เกราะอ่อน ไว้ข้างใน นั่งรถก็ต้องติดฟิล์มกรองแสงจนมืดหมด อยู่ตรงไหน ที่คนมองเห็นได้ ก็ต้องติดม่านบัง บ้านของตัวเอง ว่าไปแล้ว ก็คือ กรงขังนั่นเอง ถึงจะเป็นกรงที่สร้างด้วยทองคำ ปูด้วยหินอ่อนหรือจะทําด้วยอะไรก็ตาม แต่โดยความหมาย ก็คือกรงนั่นเอง เพราะเป็นเครื่องกันตัวเองออกจากสิ่งที่ตนหวาดกลัว จะกัน อะไร กั้นอย่างไหน ก็พลอยกันอิสรภาพของตนด้วย จิตดวงนั้นเป็นจิตที่ไม่มีเสรีในตัวเอง นึกจะไปไหน ก็ไปไม่ได้ ดังใจปรารถนา เพราะไม่แน่ใจว่า ความปลอดภัยของตัวมีเพียงพอ หรือไม่ บางครั้งก็สะดุ้งฝันร้าย เพราะสิ่งที่ทำลงไป มันฝังอยู่ลึกๆ ในใจ และคอยหลอนความรู้สึกของตัวเอง จิตไร้สำนึก หรืออีกนัยหนึ่ง “ประจุกรรม” ทำหน้าที่จดจำ ทุกอย่างที่เรากระทำ เราพูด เราคิดเอาไว้ แม้ไม่มีใครรู้ ไม่มีใคร เห็น แต่ตัวเองรู้ตัวเองเห็น ประจุกรรมเหล่านี้ คือรากฐานที่ทำให้ มนุษย์มีความผาสุก หรือทุกข์เดือดร้อน ตัวอย่างที่พอจะนำให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าทรงเน้นถึงความ สําคัญของหิริโอตตัปปะ คือ ดั่งได้ยินมา ครั้งหนึ่งสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์เล็งพระญาณดูหมู่สาวกว่า กําลังทําความเพียรกันดี อยู่ หรือเป็นอย่างไร ก็ทรงพบว่า ประดาพระหนุ่มทั้งหลาย แทนที่ จะภาวนา ดูจิตดูใจของตัวเอง เพื่อขจัดกิเลสให้หมดสิ้นไป จิตใจ กลับหมองด้วยนิวรณ์ มีกามฉันทะ หมกมุ่นครุ่นคิด ติดอยู่ในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ไม่สามารถยกใจให้สงบเป็นสมาธิได้ ท่านจึงตรัสสั่งพระอานนท์ให้เรียกพระภิกษุทั้งหมดมาประชุม ด่วน พอพระสาวกมาพร้อมกันแล้ว ท่านไม่ได้ดุว่า แต่ทรงเปรียบเทียบเป็นนิทานให้ฟัง สมัยหนึ่ง มีอาจารย์ทิศาปาโมกข์ท่านหนึ่ง ตั้งสำนักสั่งสอน
ศิษย์อยู่ที่เมืองตักสิลา มีชื่อเสียงโด่งดัง อาจารย์ท่านนี้เป็นหม้าย มีลูกสาวสวยวัยรุ่นอยู่คนหนึ่ง เป็นที่ห่วงของพ่อว่า จะหาใครซึ่ง ดีพร้อม มาตกแต่งเพื่อดูแลลูกสาวให้ปลอดภัย เมื่อตนล่วงลับไป แล้ว อาจารย์มองดูบรรดาศิษย์หนุ่มๆ ซึ่งมาอาศัยเล่าเรียนอยู่ด้วย แต่ละคน ก็มีพื้นเพภูมิหลังต่างกัน อัธยาศัย การอบรม และตระกูล ก็ต่างกัน
วันหนึ่ง อาจารย์ก็เรียกบรรดานักศึกษาหนุ่มที่เป็นลูกศิษย์ ทั้งหมดมาประชุมกันว่า เจ้าทั้งหลายก็รู้อยู่แล้วว่า เรามีลูกสาวอยู่ คนหนึ่ง เราคิดจะจัดงานแต่งงานให้ลูกสาว ก็ใคร่ขอความร่วมมือ จากพวกเจ้าว่า อันธรรมดางานแต่งงานเช่นนี้ ลูกสาวเราก็น่าจะได้ รับของขวัญ เช่น เครื่องประดับและเสื้อผ้าอาภรณ์ พวกเจ้าจงไป ขโมยสิ่งของของพวกญาติ ๆ ของพวกเจ้า แต่อย่าให้ใครเห็น ถ้าใคร เห็นก็ใช้ไม่ได้ สิ่งของนั้น ไม่จัดว่าเป็นของขวัญสำหรับลูกเรา พวก เจ้าต้องขโมยเอามา อย่าได้ให้ใครเห็นเป็นอันขาด
บรรดานักศึกษาเมื่อฟังเข้าใจดีแล้ว ก็ลาอาจารย์กลับไปยัง บ้านเมืองของตน แล้วแอบขโมยสิ่งของของพ่อแม่บ้าง ญาติๆ บ้าง แอบห่อให้มิดชิด นำมามอบให้แก่อาจารย์ของตน
อาจารย์ทิศาปาโมกข์ก็รวบรวมสิ่งของที่บรรดาลูกศิษย์ขโมย มาจากบ้านเมืองของตน ไว้เป็นแผนกๆ และทำบัญชีจดชื่อเจ้าของ ห่อของไว้ทุกห่อ มีนักศึกษาคนหนึ่งกลับจากบ้านเมืองของเขา แล้ว เข้าพบอาจารย์ เพื่อรายงานว่า เขาไม่ได้อะไรมาเลย อาจารย์จึง ถามเหตุผล
ศิษย์ตอบว่า เมื่อข้อแม้ของอาจารย์ไม่ให้ใครรู้เห็น ไม่ว่า เขาจะทำอย่างไรในโลกนี้ไม่มีที่ลี้ลับ ไม่มีที่ที่คนไม่เคยเห็น แม้จะมีที่ใดว่างจากคนอื่น แต่ก็ไม่ว่างจากตัวของเขา ถ้าเขา ขโมย เขาก็ยังเห็น ยังรู้ว่าตัวเองขโมย เขาจึงละอายที่จะทำ แล้วมาอ้างกับอาจารย์ว่า ไม่มีผู้ใดรู้เห็น อาจารย์ทิศาปาโมกข์จึงเล่าให้ศิษย์ฟังถึงเหตุผลของตน ที่ให้ บรรดาศิษย์กระทำดังกล่าวว่า ในบ้านเราไม่มีทรัพย์สินอะไร แต่เราประสงค์จะยกลูกสาวให้แก่ชายที่สมบูรณ์ด้วยศีล ประพฤติดีเป็นสำคัญ อาจารย์จึงตกลงใจยกลูกสาวให้ศิษย์ผู้นี้ เมื่อเสร็จงานแต่งงานลูกสาวแล้ว อาจารย์ได้ประชุมศิษย์ที่ เหลือ แล้วสั่งให้ประดาศิษย์นําสิ่งของที่แต่ละคนแอบขโมยมานั้น กลับไปคืนพ่อแม่และญาติๆ ให้หมด เพราะท่านได้ทำบัญชีและจด ชื่อศิษย์แต่ละคนเก็บไว้แล้ว พระพุทธเจ้าตรัสย้ำแก่พระภิกษุทั้งปวงว่า ศิษย์ทั้งหมดพลาด โอกาสได้เป็นลูกเขยของอาจารย์ทิศาปาโมกข์เพราะเป็นผู้ ทุศีล ส่วนศิษย์ผู้โชคดี ไม่ยอมทำชั่ว แม้ในสถานที่ไม่มีคนเห็น เพราะเห็นว่า แม้คนอื่นไม่เห็น ตนเองก็เห็นการกระทำนั้น หมู่ภิกษุฟังมาถึงตรงนี้เกิดความละอายใจว่า พระพุทธเจ้า ทรงรู้ถึงความนึกคิดของพวกตน ก็สังเวชสลดใจ ตั้งใจฟังธรรม ก็ได้สําเร็จเป็นพระอรหันต์ทังหมด จากอุทาหรณ์นี้จะเห็นได้ว่า จิตใจที่เจ้าของคอยระวังรักษาคอยจับจ้องดูความผิดปกติของตนอยู่นั้น เมื่อมีอะไรจากภายนอก
สะกิดแม้นิดเดียวก็สามารถเตือนตนให้ฉุกคิดได้ หันมาประพฤติสิ่งที่ ถูกที่ควร ทำให้สามารถรักษาความถูกต้องดีงาม หรือ กฎ วินัย เอาไว้ยิ่งกว่าชีวิตของตัวเอง ยังผลให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข
นอกจากเรื่องที่ยกมากล่าวแล้วนี้ในพระไตรปิฎกก็มีที่กล่าวถึงการรักษาวินัย ซึ่งเป็นเรื่องของ ระเบียบสังคมว่า พระอรหันต์เป็นผู้เชื่อฟัง หรือมีวินัยอย่างยิ่ง ดังมี พุทธพจน์แห่งหนึ่งตรัสแสดงว่า พระอรหันต์และพระอริยบุคคล อื่น ๆ หากพระพุทธเจ้าตรัสสั่งให้ก้าวลง ไปในหล่ม ในเหว ก็จะปฏิบัติตาม โดยไม่ปฏิเสธ หรือหลีกเลี่ยงเลยคำกล่าวนี้ แสดงให้เห็นว่า ในสังคมใดก็ตาม ถ้าผู้นำเป็นผู้ ที่ควรเชื่อถือ ศรัทธา และไว้วางใจแล้ว เราต้องปฏิบัติตามคําสั่งของ ท่านโดยเคร่งครัด แม้จะนึกเหตุผลยังไม่ออกก็ตาม การปฏิบัติธรรม จึงสามารถช่วยสถานการณ์ของสังคม ให้ดํารงอยู่ได้ด้วยความสงบ เรียบร้อย
ถ้านำหลักพุทธธรรมข้อนี้มาอบรมสอนใจตัวเอง มนุษยสัมพันธ์และสภาวะความเป็นอยู่ของสังคมประเทศเราในปัจจุบัน จะสงบร่มเย็นขึ้นอย่างมากมาย ปัญหาหลายๆอย่างที่น่ากลุ้มใจ แก้ไม่ตก จนเราท้อ ทอดอาลัย ก็จะแก้ได้เพราะอะไร ?
เพราะทุกวันนี้ สิ่งที่ทำให้ทุกคนหงุดหงิดกันไปหมด คือ ความไม่มีระเบียบวินัย แต่ละคนไม่เคารพกฎเกณฑ์ที่เป็นความ รับผิดชอบของตนคนบางคนมาประจำหน้าที่ที่ตัวทำ แต่ไม่ทำงานที่เป็นความ รับผิดชอบของตน เอาสิ่งนอกหน้าที่ ที่ต้องการจะทํามาทํา หรือ เวลาเราไปติดต่อตามสถานที่ราชการหลายแห่ง เราจะหงุดหงิดกับ ความล่าช้า ไม่เป็นระเบียบ ของที่ควรจัดทําเป็นโต๊ะต่อเนื่องกัน เพื่อเราผ่านแล้วเสร็จในรอบเดียว กลับจัดให้ติดต่อโต๊ะตรงนี้ แล้วส่ง ให้ขึ้นชั้นสอง ครั้นเสร็จจากชั้นสอง ย้อนกลับลงมาโต๊ะข้างๆ เมื่อกี้นี้ ใหม่ แล้วกลับขึ้นไปชั้นสอง หรือชั้นสามอีก กล่าวคือ ไม่มีระบบ สิ้นเปลืองแรงโดยใช่เหตุ หรือบางครั้ง ท่านมีกระป๋องเล็กๆตั้งอิงไว้ข้างเสา บรรจุแผ่นซึ่ง เราต้องกรอกข้อความให้เรียบร้อยก่อน ท่านก็ไม่บอก ปล่อยให้เรา เข้าคิวอันยาวเหยียด เสียเวลาไปหนึ่งชั่วโมง พอคิวมาถึง ท่านก็ชี้ ไปที่กระป๋องว่า นั่น...ไปเอากระดาษตรงนั้นกรอกเสียก่อน แล้วก็ทํา สีหน้าเหมือนเราเป็นตัวโง่ เซ่อ ที่แสนจะน่ารำคาญ แล้วเราก็หลุด จากคิว ไปกรอกข้อความเพียงสองสามตัว เพื่อจะมารอคิวอีกหนึ่ง ชั่วโมง หรือหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ครั้นคิวเขยื้อนไปถึงท่านอีกครั้งหนึ่ง ท่านก็มองนาฬิกา แล้ว เอื้อนวจี สี่โมงครึ่ง หมดเวลาทํางานแล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ นี่แหละ โปรดตรองดูว่า ความรู้สึกของเราจะเป็นอย่างไร มนุษยสัมพันธ์แห้งเกรอะ ติดลบหมด ดิไม่ดี ถ้าเป็นคนปากไว ก็คงผรุสวาจาออกไป แล้วเราก็ขาดทุน เพราะถ้าเผลอทําอย่างนี้ บ่อยๆ ไม่นาน เราก็กลายเป็นคนวาจาไม่ไพเราะ ก้าวร้าว กลาย เป็นคนปากแย่มาก ได้ปริญญา “ป.ม.” ซึ่งมีแต่ทางขาดทุน
ถ้าเริ่มต้นด้วยความมีระเบียบวินัยแล้ว ก็เปรียบเหมือนเมล็ด ที่หว่าน งอกเป็นต้น แผ่กิ่งก้านสาขา ให้ร่มเงากว้างขวางออกไป ในการปฏิบัติงาน จะเคารพผู้บังคับบัญชา โดยไม่ไปสนใจว่า เขารู้ มากกว่าเรา เป็นผู้ใหญ่ หรือ เด็กกว่าเรา หรือเขาเป็นอะไร ซึ่งก็ สอดคล้องตามหลักพุทธธรรมอีก
ในสังคมสงฆ์ ท่านเคารพกันด้วยอายุพรรษา คือจำนวนปีที่ บวช พระถึงอายุจะน้อยนิดเดียว แต่บวชก่อน แล้วเราอายุ 70 เพิ่ง บวช เราก็ต้องกราบท่านองค์นั้นด้วยอาวุโส ที่ท่านเข้ามาสู่สังคมนี้ ก่อน
สังคมของเราก็เหมือนกัน บางครั้งเรามีหัวหน้าอายุน้อย ถ้าเรา ไปยึดมั่นถือมั่นว่า เราแก่กว่าเขา เคารพเขาไม่ได้ เหมือนผู้ใหญ่ หลายท่าน ชอบพูด ฉันอาบน้ำร้อนมาก่อนเธอนะ เป็นทำนองว่า เราอย่าสอนท่าน
การมีความคิดอย่างนี้ก่อความยุ่งยาก ติดขัด ต่อความราบรื่น ในการทำงาน ถ้าน้อมใจให้เคารพระเบียบวินัย งานก็คล่องตัวขึ้นในทำนองกลับกัน พระพุทธเจ้าให้เคารพกันด้วยอายุพรรษาก็จริง แต่ก็มีธรรมบท กล่าวไว้ว่า คนไม่ไช่เป็นเถระ เพียงเพราะมีผมหงอก วัยของเขาจะแก่หง่อม กิเรียกว่า แก่เปล่า ส่วนผู้ใด
มีสัจจะ ธรรม อหิงสา ความควบคุม และฝึกตนผู้นั้นแหละเป็นปราชญ์ คายมลทินแล้ว เรียกได้ว่าเป็นเถระ ท่านเตือนภิกษุทั้งหลาย ให้พิจารณาอยู่เนืองนิจว่า วันคืนที่ล่วงไป ล่วงไป เราได้ขวนขวายให้มีคุณธรรมวิเศษ ควรแก่พระอริยเจ้า อันยิ่งกว่าวิสัยธรรมดาของมนุษย์ ประดับใจของ เรา ให้ควรแก่การที่เขาเคารพกราบไหว้ใส่บาตร เอาปัจจัย ไทยทานมาน้อมถวาย เราเป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญ อื่นยิ่งกว่า แน่แล้วหรือ ถ้านำหลักนี้มาใช้ในสังคมของเรา เตือนตนว่า ถ้าเรามีฐานะ หน้าที่การงานสูงขึ้นไป หรือในครอบครัว เราเป็นผู้ใหญ่กว่าเขา เราได้ประพฤติตัวให้สมควร แก่การเคารพของเขาหรือเปล่า คำ แนะนำของเราเป็นธรรมสมควร ที่เขาจะเอาไปปฏิบัติตามหรือเปล่า ถ้าประพฤติตนได้อย่างนี้ เราจะเป็นคนงามพร้อม เพราะไม่มี ทิฐิ ยกตน ถือตนว่า ข้าแน่ พูดอะไรออกไป มีใครทักท้วง หรือไม่ เห็นด้วย ก็สงบสำรวม ฟังด้วยดี ฟังแล้ว บางครั้ง อาจได้ข้อคิดกว้าง ขวางขึ้น เพราะในสภาวะปุถุชน เรายังรู้ไม่รอบ ถ้ารู้รอบแล้ว เราก็ เป็นอรหันต์แล้ว เมื่อยังเป็นเราอยู่ ด้วยสภาวะธรรมชาติ ใจยังมีอวิชชาเคลือบ บัง เหมือนลูกนัยน์ตามีจุดที่ประสาทตาเข้ามา เรียก “จุดบอด” ต่อให้ของใหญ่โตแค่ไหน ถ้าเหลี่ยมมุมที่แสงสะท้อนมาเข้าตา ตกตรงจุดบอด ก็มองไม่เห็น นี่ก็เหมือนกัน เราจะฉลาดเฉียบแหลม เป็นปราชญ์ขนาดไหน ก็ตาม ถ้าสิ่งนั้นบังเอิญมากระทบ ตรงที่ใจยึดมั่นสําคัญหมายเอาไว้ แล้ว มันก็เป็นจุดบอดในใจของเรา ทําให้มองไม่เห็น ของง่ายๆ ตื้นๆ ของธรรมชาติ ธรรมดา เราก็ไม่เห็น ไม่เข้าใจเหตุผลของมัน ครั้นทำอย่างของเราไปแล้ว มีคนท้วงติง ตอนนั้น ใจไม่ได้ยึด
พระอริยเจ้า อันยิ่งกว่าวิสัยธรรมดาของมนุษย์ ประดับใจของ เรา ให้ควรแก่การที่เขาเคารพกราบไหว้ใส่บาตร เอาปัจจัย ไทยทานมาน้อมถวาย เราเป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญ อื่นยิ่งกว่า แน่แล้วหรือ ถ้านำหลักนี้มาใช้ในสังคมของเรา เตือนตนว่า ถ้าเรามีฐานะ หน้าที่การงานสูงขึ้นไป หรือในครอบครัว เราเป็นผู้ใหญ่กว่าเขา เราได้ประพฤติตัวให้สมควร แก่การเคารพของเขาหรือเปล่า คำ แนะนำของเราเป็นธรรมสมควร ที่เขาจะเอาไปปฏิบัติตามหรือเปล่า ถ้าประพฤติตนได้อย่างนี้ เราจะเป็นคนงามพร้อม เพราะไม่มี ทิฐิ ยกตน ถือตนว่า ข้าแน่ พูดอะไรออกไป มีใครทักท้วง หรือไม่ เห็นด้วย ก็สงบสำรวม ฟังด้วยดี ฟังแล้ว บางครั้ง อาจได้ข้อคิดกว้างขวางขึ้น เพราะในสภาวะปุถุชน เรายังรู้ไม่รอบ ถ้ารู้รอบแล้ว เราก็ เป็นอรหันต์แล้ว เมื่อยังเป็นเราอยู่ ด้วยสภาวะธรรมชาติ ใจยังมีอวิชชาเคลือบ บัง เหมือนลูกนัยน์ตามีจุดที่ประสาทตาเข้ามา เรียก “จุดบอด” ต่อให้ของใหญ่โตแค่ไหน ถ้าเหลี่ยมมุมที่แสงสะท้อนมาเข้าตา ตกตรงจุดบอด ก็มองไม่เห็น นี่ก็เหมือนกัน เราจะฉลาดเฉียบแหลม เป็นปราชญ์ขนาดไหน ก็ตาม ถ้าสิ่งนั้นบังเอิญมากระทบ ตรงที่ใจยึดมั่นสําคัญหมายเอาไว้ แล้ว มันก็เป็นจุดบอดในใจของเรา ทําให้มองไม่เห็น ของง่ายๆ ตื้นๆ ของธรรมชาติ ธรรมดา เราก็ไม่เห็น ไม่เข้าใจเหตุผลของมัน ครั้นทําอย่างของเราไปแล้ว มีคนท้วงติง ตอนนั้น ใจไม่ได้ยึดแล้ว เป็นกลางๆ ว่างอยู่ ก็เหมือนแสงตกลงมาบนจอตา ตรงที่เป็น เนื้อดีๆ ไม่ใช่ตรงประสาทตา มันก็เห็นขึ้นมา พอเห็นขึ้นมาแล้ว ทำอย่างไร? ถ้ามีความกล้า มีความเป็นคนจริง ที่จะบอกว่า เออ...จริงนะ เราลืมนึกไป ขอบคุณที่ท้วงขึ้น แทนที่จะดึงดันต่อไปว่า อืมม์... ถึงจริงก็เถอะ แต่เราใหญ่อย่างนี้ ผิดไม่ได้ เลยพาล “ไม่ต้องพูดมาก ฉันสั่งให้ทำอย่างนี้ ก็ทำตามที่สั่งไป” ถ้าปฏิบัติอย่างวิธีหลัง มนุษยสัมพันธ์ก็แตกร้าว เพราะไม่มี ใครหรอก ที่อยากพูดกับคนไม่มีเหตุ ไม่มีผล เอาแต่อารมณ์เป็น ที่ตั้งอย่างนั้น พูดอะไรแล้ว ก็หัวชนฝาว่า ตัวถูกวันยังค่า ทั้งๆ ที่ ผิดชัดๆ ผู้คนก็หมดกำลังใจจะติดต่อเกี่ยวข้องด้วย แต่ถ้าฝึกตัวเอง ให้ใจกว้าง มีเหตุมีผล อีกหน่อยเราเองนั่น แหลพ จะฉลาดรอบรู้ขึ้น เพราะสิ่งที่เคยนึกว่ารู้รอบแล้วอาจไม่รอบ จริง หรือหากนำความเห็นใหม่ๆ ของคนอื่น มาบวกเข้ากับความเห็น ของเราแล้ว ทําให้เราปรับปรุง ได้วิธีการที่กะทัดรัดกุมขึ้นไปอีก เราก็สามารถพัฒนากรรมวิธีที่ทําอยู่ ให้ได้ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
สิ้นเปลืองน้อยลง ได้เรียนรู้เพิ่มขึ้น ทำให้ผลงานของเราประหยัด รัดกุมขึ้น การจะเป็นอย่างนี่ได้ เราต้องนําธรรมข้อไหนของ พระพุทธองค์มา เราต้องมีสติ มีความสํารวมระวังอยู่ตลอดเวลา เมื่อคอยสอด ส่องฝึกให้ตัวเองมีสติ มีความสำรวมระวังแล้ว จิตใจจะหนักแน่นเป็นเหตุ เป็นผล อารมณ์อะไรมากระทบใจ ก็เหมือนกระทบของ หนักๆ ที่ทอดสมอเอาไว้ มันไม่ปลิวตามไป คนที่โลกธรรมกระทบ เสียงนินทา เสียงสรรเสริญ มากระทบ แล้ว ใจวูบวาบปลิวตามไป คือคนทีขาดสติ ขาดความยับยังชั่งใจ ลมแห่งโลกธรรมจึงพัดให้ปั่นป่วนตามไป ทั้งดี ทั้งร้าย สรรเสริญ ก็ฟูจนเป็นว่าวติดลม ดีไม่ดีถูกลมบนกระตุกขาดลอยไปเลย หลงใหล ในลาภสักการะ ยศ อำนาจ ของตัวเอง ใครตำหนิไม่ได้ ขัดขวาง พอถูกใครวิพากษ์วิจารณ์ก็ฟุบแฟบ โทมนัส น้อยใจ หรือไปข็ง โกรธ เคียดแค้น อาฆาต พยาบาท แทนที่จะไตร่ตรองว่า ที่เขา วิพากษ์วิจารณ์เรานั้น เขาวิพากษ์วิจารณ์ถูกต้องเป็นการติเพื่อก่อ คือ ให้โอกาสเราปรับปรุงแก้ไขตัวเองให้ดีขึ้น หรือ เราถูกต้องแล้ว แต่เขามองไม่รอบ เราก็ชี้แจงให้เขาเข้าใจว่า สิ่งที่เราทำ ก็ทำอย่างนั้น แล้ว แต่ยังไม่ไปถึงจังหวะขั้นตอนนั้น หรืออย่างไร ก็อธิบายกันไป
เมื่อฝึกอยู่อย่างนี้ จนจิตใจมีน้ำหนัก มีเหตุมีผล เป็นอุปนิสัย แล้ว ก็มีธรรมชาติเป็นปกติ คงเส้นคงวา ใครเข้าใกล้ ก็มีความสงบ ผาสุก ใครไม่ทราบอะไร ก็ไม่เกิดความอับอายที่จะมาถามไถ่ ทําให้เขาไม่ทำไปอย่างด้นเดา จนเกิดผิดพลาดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์คนบางคนเป็นคนเก่ง เป็นคนดี แต่ใครๆ ที่จะเข้าไปหาหวาด กลัว เพราะความเก่ง ความดีของท่าน ทําให้ท่านไม่เข้าใจเวลาที่ คนอื่นไม่รู้สิ่งที่ท่านอธิบาย ขาดความอดทน เอาใจเขามาใส่ใจเราอย่างนี้ความเก่งความดีนั้น ก็เหมือนสระน้าที่มีรั้วกัน ทำให้คนใช้ได้
จำกัด ไม่สามารถเป็นประโยชน์กับโลกได้กว้างขวางเต็มที่ น่า เสียดายคุณค่า ทำนองเดียวกับของบางอย่าง เป็นของราคาแพง แต่ถ้ามีที่ใช้ ได้บ่อยครั้ง เป็นต้นว่า เครื่องมือแพทย์อันหนึ่งราคาหนึ่งล้านบาท หากได้นํามาใช้ทุกวัน กับคนไข้ไม่เลือกชั้นวรรณะ ล้านครั้ง ค่า โสหุ้ยก็เหลือครั้งละหนึ่งบาทเท่านั้นเอง คิดแล้ว ถูกมาก แต่ถ้า เครื่องมือราคาล้านบาท ถูกจํากัดเก็บไว้เฉพาะบุคคลสำคัญ ปรากฏ ว่า หมดอายุขัยของเครื่อง เพิ่งใช้ได้สิบครั้ง ราคาย่อมแพงมาก เป็นความสิ้นเปลืองโดยไม่สมเหตุสมผล นี่ก็เหมือนกัน คุณธรรม สติปัญญา ความสามารถ มนุษย์แต่ละคน จัดเป็นทรัพยากรธรรมชาติ ถ้าสามารถนำมา เฉลี่ยแบ่งปัน ให้เป็นประโยชน์กับโลกทั่วไป กับสังคมได้ไม่ จำกัด ทรัพยากรอันนั้นก็คุ้มค่า ไม่เป็นความกดถ่วงของสังคม แต่ถ้าทรัพยากรนั้นถูกขีดคัน ถูกสงวนเอาไว้ เพราะความเป็น อสาธารณะ จำเป็นจะต้องท่านนั้น ท่านนี้ เท่านั้น จึงจะเรียกฉันไปใช้ ได้ ก็ด้อยประโยชน์ไปโดยไม่สมควร เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว ใจของเราจะได้น้อมแผ่เป็นเมตตาอัปป. มัญญา ดังที่พระพุทธองค์ทรงสอน ให้ทำใจสงบ แผ่กุศลผลบุญ ออกไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ถ้าเรามองชีวิตทุกๆ ชีวิตอย่างที่พระพุทธองค์ทรงสอนว่า มีคุณค่าความสำคัญเท่าเทียมกัน เพราะมีความเหมือนกันตรงที่ เกิด แก่ ถ้าไม่ทันแก่ อาจประสบอุบัติเหตุ ก็ข้ามพ้นแก่ไปเจ็บ ตาย
เลย แต่มีลักษณะสามัญร่วมกัน คือ มีความทุกข์จากการเกิดมา แล้ว ต้องตายในที่สุด ชีวิตทุกชีวิต ต่างก็กลัวความตายด้วยกันทั้งนั้น จึงไขว่คว้า ไปสร้างความไม่เป็นธรรมให้คนอื่น ก็เพราะคิดว่า ถ้าได้สิ่งนั้นมา จะช่วยยึดความตายให้ไกลออกไป หรือบางทีหลอกตัวเองว่า มันยึด ไป จนกระทั่งเราไม่มีวันตาย นี่แหละ ทุกๆ ชีวิตเหมือนกัน คือ มีความทุกข์จากความหวาดกลัวที่จะต้องตายไปในวันหนึ่ง แล้ว พยายามเสาะหาเสถียรภาพความมั่นคงให้แก่ใจของตน จนลืมนึก ไปว่า ในการไขว่คว้าหานี้ เราได้ทําความเดือดร้อน ความอยุติธรรม ให้กับคนอื่นอย่างไรบ้าง ถ้าน้อมนึกเมตตาอย่างนี้ไว้เรื่อยๆ เรื่อยๆ ใจของเราก็ไม่ คับแคบ หากขยายกว้างออกไป แผ่ออกไป ค่อยเห็นความสลัก สําคัญของคนอื่น แล้วเกิดความยับยั้งชั่งใจว่า ที่เราไปกอบโกยเอา มานี้ คนขาดแคลนเขาจะรู้สึกอย่างไร ถ้าเราเคยหิว เราก็จะเห็นใจ ว่า ตอนนี้เราอิ่มแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่โลภ เอามากักตุน ให้เขา ได้กิน หายหิวจะดีกว่า เห็นหรือไม่ มันก็เกิดความเป็นธรรมในสังคมขึ้น ถ้าใจดวงนี้ละเอียดต่อไปอีก ถึงหิว แต่เมื่อกี้นี้ เราได้กินแล้ว หากต้องอดมื้อนี้ ก็คงไม่ทรมานถึงขั้นว่า จะเป็นลมตายไปหรอก โถ.นั่นเขาไม่ได้กินมาตั้งสามวันแล้ว มันเกิดความกรุณา เกิดความ เสียสละ เต็มใจสละส่วนที่เป็นของเราให้เขา แล้วก็ปีติอิมใจเมื่อเห็นเขา เป็นสุข คลื่นของใจเขาสั่นสะเทือนมากระทบใจเราได้ เพราะใจเรา
เริ่มละเอียดขึ้นแล้ว มันไม่ได้อาศัยแต่วัตถุ ซึ่งเป็นของหยาบๆ หล่อเลี้ยงให้ร่มเย็นเป็นสุขเพียงอย่างเดียว แต่ก่อน เมื่อยังมีดบอดอยู่ ต้องเป็นวัตถุสิ่งของเงินทอง หรือ ละเอียดปานกลาง ก็เป็นคำสรรเสริญชมเชย บัดนี้ไม่เอาแล้ว อาหาร เหล่านั้นหยาบ จนกระทั่งเราไม่สนใจ เพราะเรารู้จักรสของอาหาร ทิพย์ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่มาสัมผัส มากระทบใจ จากการเห็นเขา ชื่นชม สายตาของเขามีความสุข อิ่มเอมจากสิ่งที่เราสละให้ไป สิ่งเหล่านี้เป็นทิพย์ ให้เราพลอยอิ่มไปกับเขา ปีติไปกับเขา
จิตที่รู้จักเสพปีติ และสุข คือจิตที่เป็นสมาธิโดยธรรมชาติ
เพราะปิติ สย คือองค์ฌาน เพราะฉะนั้นการฝึกตัวเองจากเบื้อง พื้นฐาน คือการมีระเบียบวินัย ก็สามารถพัฒนาสังคมภายนอกให้มี ระเบียบระบบ ร่มเย็นเป็นสุข แล้วสะท้อนผลมาเป็นความปิติ สุข อิ่มเอิบขึ้นในใจของเรา ไม่ต้องไปวิ่งถามหาว่า เราจะไปสํานักไหน จึงจะฝึกทำสมาธิ ด้วยวิธีลัด เร็ว และได้ผลดีที่สุด ความคิดเช่นนั้นเป็นการค้ากำไร ลงทุนเพื่อหวังผล จิตใจไม่สงบไม่สงัด เป็นการเพาะความโลภ ให้ได้ปุ๋ยได้น้ําอุดมสมบูรณ์ แตกกิ่งก้านสาขา แผ่ไปทําความเดือด ร้อนให้ผู้อื่น แต่ถ้าฝึกตนสม่าเสมออย่างนี้ จนใจมีสมาธิ มีสติ คอยสังเกต ว่า คนรอบข้างเรา เขารู้สึกอย่างไร เขาเดือดร้อน เขามีความสุข เราจะเป็นประโยชน์แก่เขา เราจะช่วยให้สังคมเต็มบริบูรณ์ขึ้นได้ อย่างไร เมื่อเป็นอย่างนี้ เราก็จะเป็นผู้รู้ขอบเขต ควรไม่ควร รู้กาลเทศะ รู้หน้าที่ความรับผิดชอบ สิ่งที่ให้คนอื่น ไม่ว่าจะเป็นวัตถุสิ่งของ หรือน้ำใจก็ดี จะไม่เป็น พิษภัย แต่เป็นสิ่งที่ตัวเองเลือกสรรเห็นว่าดีงาม เมื่อดึงาม ก็อยาก ให้คนอื่นได้รสของความสุขเช่นนี้ด้วย ก็เอาไปแบ่งปัน น้อมใจให้ ไม่ใช่เสือกโยนให้ เพราะตัวเองไม่ต้องการ กิริยา “ให้” นี้ ไม่ใช่ว่าจะเหมือนกัน คนบางคนให้ของคนอื่น แล้ว เขาไม่อยากรับ หรือถ้าอยู่ในสภาพจําใจรับ ก็รับ แล้วไม่รู้ใน บุญในคุณ รับแล้ว ไม่สัมผัสใจ ไม่มีเยื่อใย หรือเกิดความกตัญญู ผูกพันต่อกัน เพราะให้ด้วยพระเดช ให้ด้วยความดูหมิ่น เยาะเย้ย ดูหมิ่น ถากถางเขา คนบางคนมักบ่นว่า ไม่รู้เป็นอย่างไร ทำอะไรให้ใครแล้ว ไม่เห็นเขาชื่นชม หรือไม่เห็นเขาอยากได้ แต่อีกบางคน ตรงกันข้าม ไม่ว่าจะให้อะไร ทุกคนเต็มใจอยากรับทั้งนั้น เพราะสิ่งที่น้อมนำมา ให้ มาจากน้ำใจที่เต็มเปี่ยม พอใจแบ่งปันให้ น้ำใจเช่นนี้ เป็นเสมือนลูกกุญแจไปไขหัวใจของคน อื่น ๆ เมื่อเป็นอย่างนี้ มนุษยสัมพันธ์ของคนผู้นี้ ย่อมละเอียดแนบ แน่น ไม่ว่าจะไปที่ไหน เพียงแค่ยิ้มนิดเดียว ก็สามารถเปิดโลกเบิก ทางทุกหนแห่งที่จะไปได้ ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู เพราะอะไร? เพราะใจดวงนี้เป็นใจที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับ ใครๆ ไม่เป็นใจที่ไปเย้ยฟ้าท้าดิน ท้าตีท้าต่อย หรือไปยกตนข่ม ท่าน หากเป็นใจที่สงบสํารวม อ่อนโยน นุ่มนวล ใครได้สัมผัส
ก็พึงพอใจ มีความสุข ใจของคนเรา มีความแปลกอยู่อย่างหนึ่ง คือมองปัญหา หรือ หน้าที่ของตนในแง่ลบ ตระหนี่น้ำใจ ถ้าผู้บังคับบัญชามอบหมายงาน ให้ ก็ตั้งต้นนึกไม่สบอารมณ์ แหม! เราจะต้องไปคอยดูแลรับผิดชอบ คนอื่น ไปแบกภาระของสังคม มาเป็นภาระเพิ่มขึ้น แค่ภาระที่มีอยู่ ก็เป็นปัญหาหนักเยอะแยะไปหมด แล้วเราจะเอาเวลาที่ไหนมาทำ ถ้าเริ่มด้วยความคิดผิด ความเห็นผิดอย่างนี้ ทุกอย่างที่ทำ จะเป็นคุกที่ขังใจของเรา ให้ทุกข์ร้อนหนักขึ้นไปอีก เราปิดใจ ไม่ให้สิ่งดีงามทั้งหลายมาสัมผัสสัมพันธ์ชีวิตจิตใจได้เลย ในที่ สุดเราก็ตายซากอยู่ในคุกที่สร้างขึ้นมาขังตัวเอง เพราะเราไร้ มนุษยสัมพันธ์ ตรงกันข้าม ถ้าเรานึกว่า จริงๆ แล้ว สังคมนี้ก็คือส่วนของ ตัวเรานั่นเอง สมมติเราอยู่กันในน้ำ สังคมก็เหมือนแพ ที่รองรับเราไม่ ให้จมน้ำตาย ถ้าแพรั่ว แพชำรุด และทุกๆ คนคิดว่า ธุระไม่ใช่ เมื่อไรแพจมลงไป ทุกๆ คนที่อยู่บนแพ ก็ย่อมจมน้ำด้วยกันทั้งนั้น การนึกแคบๆสั้นๆ ย่อมเป็นผลร้ายมาถึงตัว หรือถ้ามาไม่ถึงในชั่ว ชีวิตเรา ก็จะไปมีผลต่อลูกหลานของเรา ถ้าสังคมแร้นแค้นหนักเข้า ลูกหลานที่เกิดมาอยู่ในสังคม ก็ต้อง เจอะเจอแต่คนพาล จิตใจหยาบกระด้าง ก่อให้เกิดความหวาดหวัน ทำให้ไม่กล้าทำอะไร หรือออกไปไหน ผลที่สุด มีชีวิตอยู่ ก็เหมือน ยืนต้นตายซาก ขาดชีวิตจิตใจ ขาดความสงบผาสุก
ถ้าตั้งต้นด้วยสัมมาทิฐิ ความเห็นที่ถูกต้องว่า เราทำดีกับ สังคม เมื่อเกิดความร่มเย็น เรานั่นแหละจะได้รับผลของความร่มเย็น อันนั้น แต่ละคนก็จะได้ทั่วกัน คนละกอบคนละกํา ถึงจะยากลำบาก เหน็ดเหนื่อยกับภาระในครอบครัว ในส่วนตัวของเรา แต่ก็คิดว่า ยากจนก็ยากจนด้วยกัน มีก็มีด้วยกัน ทุกคนก็จะเอาธุระกับสังคม ไม่ทอดอาลัยตายอยาก ไม่ไปคิดว่า ช่างมันเถอะเมื่อเป็นอย่างนี้ ความเสมอภาคก็เกิดขึ้น เป็นความ ยุติธรรม เมตตาธรรมต่อกันบางคนคิดไปไกลถึงขั้นว่า เมื่อเมตตากันเสียหมดแล้ว ก็ลงโทษ กันไม่ได้ เมตตากันแล้ว ใครทําผิดอย่างไรก็ต้องอภัย ยกโทษ เพราะ ไปดูว่า ลงโทษเขา เดี่ยวเขาเจ็บซ้ำน้ำใจ
โปรดย้อนกลับไปถึงครั้งแรก ที่กล่าวไว้ว่า พระพุทธองค์ทรง เน้นวินัย วินัยเป็นหลักใหญ่ เป็นตะปูตัวแรกที่ท่านตอกสำหรับ ให้ความสงบร่มเย็นของสังคมแน่นหนา ถ้าเมตตาแล้วปราศจาก วินัย เกิดความยุ่งเหยิง น้อยเนื้อต่ำใจ ความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย สิ่งนั้นไม่ใช่เมตตา แต่เป็นความเห็นแก่ตัว เราให้เขาด้วย สัญชาตญาณ อยากให้เขามารักเรา เราหิวความรัก ต้องการให้ผู้คน เห็นว่าเราดี อย่างนี้ไม่ใช่เมตตา
เพราะเมตตาเป็นกุศล ประกอบแล้วตัวเราเองย่อมอิ่มเต็ม สงบสุข ผู้ได้รับเมตตาของเรา ก็ย่อมได้สิ่งดีงาม เฉลียวฉลาด ไป แก้ไขที่ผิดพลาด ซึ่งอาจก่ออันตราย เกิดเป็นความรู้จริง รู้รอบรักษา ตัวรอดปลอดภัย
พระพุทธองค์ทรงวางรากฐาน เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย ของสังคมสงฆ์ไว้ชัดเจน โดยมีบทลงโทษการละเมิดสิกขาบทไว้ 7 ขั้น ตั้งแต่ขั้นเบา เรียงโดยลำดับ จนถึงขั้นสูงสุด ที่เรียกปาราชิก ปาราชิกคือการให้สึก คือบุคคลผู้พ่ายแพ้ ตัดขาดออกไปจากสังคม สงฆ์ ก็เหมือนเรามีกฎหมายลงโทษประหารชีวิต
โทษที่พระพุทธองค์จัดเป็นอาบัติหนัก พระภิกษุกระทําแล้ว ขาดจากความเป็นภิกษุ มีเพียงสี่สถาน คือ หนึ่งฆ่ามนุษย์ ถ้าเมื่อ ไรก็ตามพระภิกษุฆ่าคน ก็ขาดจากความเป็นสงฆ์ ถูกประหารจาก ความเป็นภิกษุ สอง ลักทรัพย์ ไปขโมยของของเขา มีราคาเท่ากับ บาทหนึ่ง หรือเกินกว่าบาทหนึ่ง สาม เสพเมถุน สี่ อวดอุตริมนุสธรรม คือ อวดคุณพิเศษที่ไม่มีในตน สี่ประการเท่านี้เอง ที่พระพุทธองค์กําหนดเป็นโทษเอาไว้
เราย้อนกลับมาพิจารณาถึงเรืองของเรา ในความเป็นมนุษย์ ปุถุชน ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการฝึกหัดขัดเกลา อบรมบ่มอินทรีย์ ให้ความผิดความชั่วทั้งปวงหมดไป ถ้าการดุว่า ตักเตือน หรือลง โทษใครเป็นบาป ทําให้เขาเดือดร้อน แล้วพิจารณาเทียบกับบทลง โทษที่พระพุทธเจ้ากำหนดสำหรับสังคมสงฆ์ดู ถ้าเรากำหนดว่า ใครขโมยของผู้อื่นเป็นมูลค่าเกินหนึ่งบาท ให้ตัดขาดจากความเป็น สมาชิกครอบครัว ก็แน่ใจได้ว่า ไม่มีใครเหลือเป็นครอบครัวกันได้ เห็นหรือไม่ว่า ความละเอียดสุขุมของธรรมะนั้น มีรากเหง้ามา จากความศักดิ์สิทธิ์ในวินัยของพระพุทธองค์ ถ้าวินัยไม่เป็นวินัยจิตใจเคียด แค้น อยากเข่นฆ่าทําลายเขาให้พังไป เพราะเราไม่ได้ดั่งใจ แต่ทํา โดยที่เราหวังว่า เตือนกันหลายครั้งแล้ว ก็ยังสติหลุดทุกที เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เพราะฉะนั้นถ้ามีบทลงโทษ บทภาคทัณฑ์ มันจะได้ กระตุกใจให้มีสติระลึกได้ แล้วไม่ละเมิดกฎ ทำให้เขาแก้ไขตัวเองจน เป็นคนดีขึ้นมา เพราะไม่ทําสิ่งเป็นพิษเป็นภัยแก่ตัวเอง เกิดอุปนิสัย ที่ดีขึ้นมาเมื่อครั้งเรียนหนังสือ ความตามใจตัวสอนให้เรารักครูที่ใจดี ตามใจเรา แต่พอโตๆ ไปแล้ว ไปทํางาน เรามักนึกถึงครูที่ดุ ที่จําจี้ จําไชเรา เพราะยามคับขัน สิ่งที่ครูเคยดุ เคยลงโทษ จะแวบขึ้นมาใน จิตสํานึก ช่วยให้เราคุ้มตัวรอดมาได้ตัวอย่างนีประสบกับตัวเองมาแล้ว คือสมัยไปเรียนต่อเมือง
นอก ต้องกลับไปเรียนแคลคูลัส เพราะนักเรียนเตรียมแพทย์สมัยนั้น ไม่ต้องเรียนแคลคูลัส แคลคูลัสเป็นวิชาคำนวณ ที่ใช้ความรู้ทางพีชคณิตมาแยก แฟคเตอร์ เมื่อตัวเองกลับไปเรียนแคลคูลัส เป็นเวลาที่ผ่านการเรียน พีชคณิตมาประมาณ 15 ปีแล้ว ครั้งแรกก็หนักใจว่า เราจะเรียนได้ อย่างไร เพราะลืมพีชคณิตไปจนหมดแล้ว บังเอิญครูสอนพีชคณิต เมื่อสมัยที่เรียน เป็นครูที่มีวิญญาณของความเป็นครูครบถ้วน คือ จ้าจี้จ้าไช ดุ เคียวเข็ญให้นักเรียนมีความรู้จริง เวลาให้การบ้าน ก็ยกทีละหมดแบบฝึกหัด บางครั้งเป็นร้อยกว่าข้อ โดยเราไม่มีสิทธิ์ ประท้วง หรือเบี้ยว สมัยนั้น พวกเราสยดสยอง แล้วก็กลัวคุณครูท่านนี้มาก แต่แปลก พอไปเรียนแคลคูลัส บางทีจะแยกแฟคเต้อร์ ก็นึก ตายแล้ว! ใครจะไปจำได้ มันกลับได้ยินเป็นเสียงครูสอนขึ้นมาในใจ แล้วก็แยกแฟคเตอร์ออก สามารถเรียนแคลคูลัสจนจบ สอบผ่านมา โดยไม่เดือดร้อนอย่างที่กลัวเอาไว้แต่แรก แสดงให้เห็นว่า ความรู้ ที่เรานึกว่าลืมไปหมดแล้ว จริงๆ นั้น ยังจดจำติดอยู่ในจิตไร้สํานึก ที่พระพุทธองค์ทรงสอนว่า เราทำอย่างไหน ย่อมได้รับผลอย่าง นั้น เพราะของทุกอย่างเกิดแต่เหตุ ถ้าเราเชื่อและรอบคอบ ละเอียดถี่ถ้วนเวลาจะประกอบเหตุ กล่าวคือ ประกอบแต่เหตุที่ดี เอาไว้ ชีวิตจะรอดปลอดภัย เพราะอะไร ? นึกไปแล้ว ตัวเองก็คงประกอบเหตุที่ดีเอาไว้ ตอนที่เรียน
พีชคณิต เพราะกลัวครู สยดสยอง ไม่กล้าเบี้ยว จึงตั้งใจทําการบ้าน จนเสร็จเรียบร้อยทุกครั้ง ความรู้นั้นก็ติดอยู่ในใจเสียแน่นหนา จนกระทั่งพอเข้าที่คับขัน นึกว่าตัวเองไม่มีสมบัติติดตัว ปรากฏว่า ลองไปปัดๆขึ้นฝุ่นดูเลยพบสมบัติ ยังเป็นทองคำ ใช้ได้ ช่วยให้ขายผ้า เอาหน้ารอด พอคุ้มตัวให้ตลอดปลอดภัยไปได้ จากประสบการณ์นี้ ก็เลยทําให้เกิดกำลังใจเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงสอนว่า ของทุกอย่าง มาแต่เหตุนั้น เป็นความจริง
- ถ้าใจของเราเห็นจริง เชื่อตรงนี้ได้ มีความสะดุ้งกลัว ละอายต่อความผิดความชั่ว ไม่มีต่อหน้าอย่างหนึ่ง ลับหลัง อย่างหนึ่ง ชีวิตจะปลอดภัย มนุษยสัมพันธ์ราบรื่น แม้จะตกไป อยู่ในถิ่นที่พูดกันคนละภาษา ไม่สามารถสื่อความหมายกันได้ ก็สามารถใช้ภาษาใจสื่อสารกันได้ เพราะใจนั้นเอื้อแต่ไมตรี เป็นใจที่ ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร เป็นใจที่เข้าไปตรงไหน ย่อมดึงดูดให้เกิดความเอื้อเอ็นดู เว้นเสียแต่จะเป็นผู้ที่มีเวรมีภัยกันอย่างมหันต์เท่านั้นใจของเราก็รู้สึกอยากแบ่งปันสิ่งที่ดีออกไปเกื้อหนุนผู้ที่มาเกี่ยว ข้อง เกิดเป็นการถ้อยทีถ้อยอาศัยกันเมื่อเป็นอย่างนี้ สังคมรอบข้างก็ค่อยคลี่คลาย เป็นความร่มเย็น เป็นสุข เมื่อสังคมภายนอกร่มเย็นเป็นสุข จิตใจที่อิงอาศัยโลกธรรม คือ นินทา สรรเสริญ ลาภ ยศ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ สุข ทุกข์ มาเป็น อาหารบํารุงเลี้ยง ย่อมคลี่คลาย เบาไปด้วยใจที่คลี่คลาย คือใจที่มีสุขภาพดี พร้อมที่จะฝึกฝนให้
สติปัญญาเจริญงอกงามยิ่งขึ้น ครบองค์ธรรมพระพุทธองค์ กล่าวคือ เริ่มแรก คนเราก็ขวนขวายเลี้ยงดูชีวิตในทางที่ถูกที่ชอบ ทําให้โลกภายนอก คือสังคมร่มเย็นเป็นสุข ต่อไป เราก็เพ่งเข้าภายใน เลี้ยงดูโลกภายใน คือจิตใจของเรา ให้มีคุณค่าคุ้มกับความเป็น มนุสสมนุสโส มนุษย์ที่มีศีลธรรมกํากับใจ มัปัญหาเห็นชอบ มีสมาธิ สติ สัมปชัญญะ ปัญญา คุ้มครองแนะสอนใจ เมื่อภาวะแวดล้อมสงบร่มเย็น อยู่กับผู้คนรอบข้างที่เป็นมิตร ไม่มีความคับแค้น ผูกอาฆาตพยาบาท หรือเหตุให้ลําเอียงด้วยรักใคร่ นี้เป็นของของเรา ต้องจุนเจือก่อน ของของเขา ช่างหัวมันปะไร... อะไรทำนองนี้ ใจก็มีความสม่าเสมอ เป็นปกติสุข เรียกว่า ใจมีศีล แล้วก็เป็นนิจศีลด้วย เพราะเป็นอยู่สม่าเสมอ โดยความเป็นปกติ ธรรมชาติ ธรรมดา ไม่ใช่ศีลที่ถึงเวลา นึกขึ้นได้ ก็รับเอาไว้เสียที หนึ่ง แล้วก็ลืม เผลอให้ขาด ให้ด่างพร้อย กลายเป็นการลูบๆ คลําๆ ทําให้การเคารพพุทธธรรมเหมือนหน้าไหว้หลังหลอก เมื่อจิตใจเป็นปกติ มีศีลเป็นพื้นฐาน มีปีติ มีสุข เป็นอาหาร เป็นครั้งคราว สงบเป็นสมาธิ มีความสำรวม มีสติคอยระแวดระวัง สังเกตว่า คนอื่นรอบข้างเราเป็นอย่างไร ต้องการให้ช่วยอะไรหรือ เปล่า จิตใจของเรามีปัญหาอะไรกระเพื่อมขึ้นมาบ้าง ปัญญาคอย ติดตามแก้ปัญหา แก้ไขสภาวะที่ไม่ราบรื่นให้หมดสิ้นไป โดยบัวไม่ ชั้าน้ำไม่ยุ่น กล่าวคือ เอาน้ำใจของแต่ละคนรินหลั่งเข้ามาช่วยเหลือ เกื้อกูล ที่ใดแห้งแล้ง เดือดร้อน ก็ชุ่มน้ําขึ้น เป็นความสงบร่มเย็น
มนุษยสัมพันธ์ดีงาม ราบรื่น ชีวิตก็พัฒนาไปสู่ความดีงาม ธรรมหยั่งรกรากเป็นต้นไม้ที่แข็งแรง งอกงามอยู่ในหัวใจของ ทุกผู้คนในสังคมนั้น ทำให้ที่นั่นร่มเย็น ไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่ ในที่สุดนี้ ดิฉันหวังว่า การมาพูดสู่กันฟังในวันนี้ คงช่วยให้ มนุษยสัมพันธ์ และคุณภาพชีวิตของแต่ละบุคคล คลี่คลายเป็นสิ่งดีงามอยู่กันด้วยความรักฉันพี่น้อง เป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ที่มีความผาสุกร่มเย็นต่อกัน
พิมพ์โดย ปภัสสร มีพงษ์
แหล่างที่มา http://web.krisdika.go.th/buddha/20_bud_manusaya.pdf
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น