Header Ads

วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

บทความหมออมรา คนจริง

บทความหมออมรา
คนจริง

ชื่อผู้เขียน       พญ อมรา มลิลา
วันที่              วันที่ 16 กรกฏาคม 2551
ณ                 ห้องประชุมชัน 2 ตึกวชิรญาณวงศ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
หมวด
อันดับที่       


สวัสดีค่ะ ท่านผู้สนใจใฝ่ธรรม ที่ตั้งชื่อข้อสนทนาวันนี้ว่า คนจริง เพราะเมื่อเริมต้นไปปฏิบัติที่วัดท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ท่านสอนว่าในการปฏิบัติของเราให้คอยถามตัว เองอยู่เรื่อยๆ ว่าเราเป็นคนจริงหรือคนปลอมเราว่าเราก็เป็นคนจริงแต่ท่านอาจารย์ก็ยังย้ำให้คอยดูตัวเอง แล้วถามตัวเองเสมอๆ ว่าเรา คนจริงหรือคนปลอมเราก็นึก ... ท่านอาจารย์ เราก็ต้องรู้สิว่าเราเป็นคนจริง แต่เมื่อปฏิบัติไป... ปฏิบัติไป เราก็เริ่ม พบว่าเรายังเป็นคนปลอม เพราะอะไรบางครังที่ฟังท่านอาจารย์เล่าถึงการปฏิบัติ ของท่าน เราก็ว่า... คืนนี้เราจะเดินสัก 3 ชั่วโมง ขณะที่ท่านอาจารย์เล่าว่าท่านเดินตลอดคืน เราก็ ประมาณตนว่าเอาสัก 3 ชั่วโมงเถอะ เดินไป...เดิน ไป เราว่านี่ต้องเกิน 3 ชั่วโมงแล้ว เพราะรู้สึกขา เราเหมือนกับเอาก้อนหินมาถ่วงไว้ พอดูนาฬิกา ปรากฏว่ายังไม่ถึงชั่วโมงเลย กิเลสพาให้สงสัยว่า นาฬิกาเราคงแอบตายเสียละกระมัง ก็เลยหาเรื่อง ออกจากทางจงกรมไปดูนาฬิกา ที่ครัวบ้าง ที่ไหนบ้าง แท้ที่จริง ความปลอม ความเหลาะแหละ พา เราเถลไถลไปหรือบางวันอากาศร้อนมาก ท่านอาจารย์ก็ ว่า ร้อนก็ให้ดูมันไป มันมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ ดับไป มันร้อนได้ ประเดี่ยวเหงื่อออกมากๆ ลม พัดก็เย็นไปเองอยู่ต่อมา เราว่าวันนี้เราจะไม่ออกจากป่า ถ้าไม่นั่งสมาธิก็เดินจงกรม คุณแม่ชีเคยบอกว่า ทางจงกรมเราต้องรักษาให้สะอาดสะอ้าน มีวัชพืช มีอะไรก็ต้องถอนออก มีหญ้าต้องทำให้เรียบร้อย ถ้าฝนตก ทรายเป็นหลุมเป็นบ่อ ก็ต้องไปหาทราย มาเติมเกลี่ยให้เรียบ เวลาเดินใจจึงจะสงบ ไม่สะดุดตะปุ่มตะป่ำ เราก็ว่าวันนี้จะอยู่ในป่า ถึงจะไม่เดินไม่นังตลอดเวลา ก็จะไม่ออกจากป่า จะ ดูแลทำนุบำรุงเสนาสนะของเรา ก็ตั้งใจไว้เป็นอันดี ประเดียวเดียวเท่านัน พอรู้ตัวเข้า ปรากฏว่าเข้าไป
อยู่ในห้องน้ำแล้วก็เลยรู้ว่าความเป็นคนจริงของท่านอาจารย์นี้ ไม่ใช่ง่ายเลย เมื่อไรสติกะพริบปุ๊บ มันไปแล้ว ไปไม่รู้ตัวด้วย บางที่ไปจนเพ้อเจ้อถึงไหนๆ กว่าจะรู้ตัวก็หลายชั่วโมง แล้วก็ได้สติว่า ถ้าระหว่างนี้ เกิดหมดลมหายใจไป ท่านอาจารย์ก็ไม่รู้จะไปหา ตามเราที่ไหน เพราะมันไปแล้วก็ไม่รู้ตัวด้วย ถ้าก็ยังพอจะตะโกนในใจได้ว่า ท่านอาจารย์เจ้าขา ศิษย์หลงมาที่ตรงนี้ ตามมาคีบเอากลับคืนไปด้วย แต่นี่เพ้อเจ้อ เพลิดเพลินสบายมากพอรู้ตัวขึ้นมา นี่เราอยู่ที่ไหนเพราะฉะนั้น เวลาที่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วเรา ไปหงุดหงิดว่า ทำไมถึงต้องเป็นเรา เรานี่ทำแต่ความดีทั้งนั้น ทำไมถึงมีเรืองอย่างนี้เกิดขึ้น ให้ทบทวนดีๆ เถิด เรา... เรา... ทังนันแหละ เพราะไม่มีใครทำร้ายเราได้เท่ากับใจเราที่ไม่มีสติ แล้ว ก็ปรุงคิดเป็นคุ้งเป็นแควไป
ถ้าเป็นสมัยนี้ก็เหมือนมีโทรทัศน์วงจรปิดเราก็คอยเช็คโทรทัศน์วงจรปิด แต่ถ้าเราเป็นคน ปลอมมากๆ พอดูโทรทัศน์วงจรปิด เราก็จะกล่าว โทษว่า ใครทำวิดีโอเถื่อน มาตัดต่อเอาหน้าเราไป ใส่ จริงๆ นั่นไม่ใช่เรา เวลาที่ไม่มีสตินี่ มันเพ้อไป ได้ถึงอย่างนั้นเมื่อเห็นอย่างนี้ เราก็เริ่มมีสติ เริ่มจดจ่อดู เรา พิจารณาเรา ... เราผิดนะ เราไม่ดีนะ เพราะฉะนั้น มีอะไรเกิดขึ้น เราจะปิดปาก จะขอโทษเขาแต่เปล่าหรอก เมือถึงเวลามีเรื่องจริงๆ เกิดขึ้น เขาคุกคามเรามากๆ เข้าที่ว่าเราจะปิดปากเราจะดูใจของเรา เราจะตังสติของเราให้ดี ไม่รู้สติหายไปไหน กลับคิดว่าเรื่องอะไรจะปล่อยให้เขามาคุกคามเราอย่างนี้แล้วก็ไม่ ช่ว่าประทัวงเขาเบาๆนะ ถ้าเขาขึ้นเสียง 1 เท่า เราก็ต้องขึ้น 2 เท่า ให้เห็นว่าฉันเก่งกว่าเธอ มันจะจบอย่างนี้ทุกที
แล้วอัตตาตัวตนก็ชนะ ไม่ใช่การปฏิบัติธรรมชนะ หรอก อัตตาที่ว่าเราจะลดละ เราจะจัดการมันให้ ราบเรียบไปนั้น กลืนกินเราเรียบวุธเข้าไปในไส้ ในพุงมัน ไม่เหลือซากท่านพระอาจารย์มั่นสอนให้เราทําตัวเหมือน แผ่นดิน เขาจะกระทืบ เขาจะเหยียบย่าอย่างไร เราก็สุภาพนอบน้อม เขาจะเอาไปแขวนบูชาที่ข้าง ฝ่า เราก็คงเส้นคงวา สุภาพนอบน้อม ไม่พองขนออกมาแต่นี่เพียงเขาพูดขัดหูเข้าหน่อย ก็จัดแจง แล้ว ดีไม่ดีไม่ใช่แค่ขึ้นเสียงเท่านั้นออกกิริยาตบ โต๊ะ ข่มขู่ นี่เธอจะพูดหรือฉันจะพูด มันเป็น อย่างนั้นทุกที่ไปเลย ครั้นถูกท่านอาจารย์ปรามเข้า เราก็บอก.. เราคนจริง เรา พุทธัง ธัมมัง สังฆัง ะระณัง คัจฉามิ แต่เวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน ขณะ อยู่ในเหตุการณ์จริงๆ ปรากฎว่า เรากลับ เทวทัต สะระณัง คัจฉามิ ทุกทีท่านอาจารย์พูดอย่างนี้ เราก็น้อยใจว่าท่าน อาจารย์ปรับไหมเราเกินเหตุเกินผล ท่านอาจารย์
ก็ให้เราค่อยๆ ประจักษ์ในความจริงได้เอง ท่าน อาจารย์พูดเสมอๆ ว่า มันไม่ได้อยู่ที่กิริยาเดินอยู่
บนทางจงกรม หรือนังทําท่าเป็นพระพุทธรูป แต่ มันอยู่ที่ใจ ต้องมองใจว่า กายที่ทำกิริยาอย่างนั้น มันภาวนาจริงๆ หรือเปล่าแล้วก่อนที่จะบอกให้ต่างคนต่างไป อาจารย์ ก็จะไปทำของอาจารย์ ศิษย์ก็ไปทำของศิษย์ ท่านก็จะมีวิธีวางยา ทำให้เราสติพลัด คือ ให้เรากังขา ที่ท่านว่าเราว่าอย่างนั้น เราไม่ได้เป็นอย่างที่ว่าสัก หน่อย แต่ท่านไม่ให้โอกาสเราชี้แจง เพราะท่าน รวบรัดว่าการกระทำดังกว่าคำพูด ดังนั้นไม่ต้อง พูด จะทำอย่างไรก็ทำไป หนทางพิสูจน์ม้า กาล เวลาพิสูจน์บุคคล ต่างคนต่างก็ไปปฏิบัติครั้นเราไปถึงทางจงกรม ตัวก็ถึงทางจงกรมเท้าก็ก้าวเดิน ใจผิวๆ ก็ ซ้าย-ขวา ซ้าย-ขวา แต่ใจลึกๆ ยังอารมณ์ค้าง ต่อล้อต่อเถียงท่านอาจารย์ ตกลงก็ไม่เป็นอันเดิน ใจไม่ยอมนิ่ง พอเดินไป จนเหนื่อยหอบ ก็ได้สติ ท่านอาจารย์บอกแล้วว่าถ้าสติไม่อยู่กับเท้าที่ก้าวเดิน ใจไม่ได้ตั้งมันอย่างนั้นอะไรๆ มันก็เดินได้ ทีนี้เวลาเราไม่ชอบใจตัว เอง เราก็จะตำหนิตัวเราว่า... ไอ้หมาบ้า... เพราะ เรากับหมารักใคร่กัน เราก็ว่าตัวเอง ไอ้หมาบ้า เดินไร้สติให้เมือยเปล่าๆ แล้วมันจะได้อะไร บัดนี้รู้สติแล้ว ทบทวนเห็นทีผิดของตัวเองแล้ว รักษาสติเอาขึ้นไปนอนเสียก่อนก็แล้วกัน พรุ่งนี้แต่เช้าจะตั้งสติเสียให้ดี เดินให้เหมือนคนเดิน ไม่เดิน ให้เหมือนหมาบ้า ถึงตอนเช้า ท่านอาจารย์จะไปบิณฑบาต ท่านก็เดินเฉียดมาบอกว่า อาจารย์จะบอกให้ฟังนะหมานี้มันมี 4 ขา เพราะฉะนัน มันเดินได้เร็วกว่า เรา เดินชนะเรา ถ้าเราเดินไม่มีสติ ก็อย่าไปเดิน ให้เสียเวลาเหนือยเปล่า แพ้หมาอีกต่างหากเราก็สติแตก โกรธอีกแล้ว เรื่องอะไรมาว่าเราเป็นหมา ลืมที่เราเคยไปนึกค่อนท่านว่า ท่าน อาจารย์พูดอะไรเราฟังไม่รู้เรื่องไม่พูดภาษาเดียวกับเรา เราก็ไปเดินจงกรม เดินได้สักพัก สติดีขึ้นก็เราเองด่าตัวเราเมือคืนว่า หมาบ้า... ท่านอาจารย์ก็ร่วมสมัยกับเรา ใช้ศัพท์เดียวกันให้ฟังได้รู้เรื่องเมื่อเข้าใจแล้วเราก็ดีขึ้นท่านอาจารย์จะสอนด้วยการวางระเบิดเวลา ถอดสลักหรือกับดักไว้อย่างนี้ ถ้าเผลอสติเมื่อไร เราก็ตกหลุมท่าน เสร็จแล้วใครเดือดร้อน เรา เดือดร้อน ส่วนท่านก็อยู่สบายๆ ของท่าน แล้ว คงนึกสังเวชว่า ลูกศิษย์เรามันแย่จริงๆดิฉันตามเพื่อนมาปฏิบัติกับท่าน เพราะไป หน้าแตกที่เมืองนอก ครูใหญ่โรงเรียนมัธยมที่ เมืองฟิลาเดลเฟียซึ่งเป็นคริสต์มีความคิดว่า ถ้าหากเด็กนักเรียนได้ทำสมาธิแล้วการเรียนจะดีขึ้นคะแนนสอบไล่ก็จะดีขึ้น จะทําให้โรงเรียนได้ขยับอันดับขึ้นมาอยู่ 1 ใน 10 ของประเทศได้แต่เขาเข้าใจผิดว่าคนเอเชียทุกคนทำสมาธิเป็น เหมือนเต่าที่ออกจากไข่แล้วก็ช่วยตัวเองคลานลงน้ำได้ เขาก็แจ้งไปที่ผู้ดูแลนักเรียนต่างชาติว่า ถ้ามี นักเรียนจากเอเชียมา ก็ขอชื่อขอที่อยู่ด้วย เขาก็ได้ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ดิฉันไป แล้วก็ติดต่อมาอธิบายให้ดิฉันฟัง ดิฉันก็บอกว่าทําสมาธิไม่เป็น เขาก็ว่าไม่เป็นก็ไม่เป็นไร ไอ้ไม่เป็นของเขา ก็จะทำนองที่เต่าออกจากไข่แล้วคลานลงน้ำได้เอง เธอทำสมาธิไม่เป็น ก็มาเล่าเรื่องพระพุทธเจ้าให้ ลูกศิษย์ของฉันเกิดแรงบันดาลใจ ฟังแล้วอยาก ทำสมาธิก็พอแล้วเราก็ฟังไม่เป็น หลงใหลได้ปลื้มว่าเขาเป็น คริสต์ยังเห็นว่าพระพุทธเจ้าของเราน่าเคารพนับถือ ให้เราไปเล่าเรื่องของท่านเพื่อให้ลูกศิษย์เขามีกำลัง ใจอยากทำสมาธิ เราก็รับปากเลยครั้นไปพูดเข้าจริงๆ เด็กนักเรียนกลับไม่เป็น อันฟัง เพราะได้รับการบอกเล่าไว้ว่า วันนี้จะมีผู้ เชียวชาญการทำสมาธิมาตอบทุกคำถามที่คันอยู่ใน หัวใจพวกเขา เพราะฉะนั้น เด็กเหล่านี้จึงอยาก จะถามคำถาม ไม่ได้อยากฟังหรอกเราก็ถามว่า มีอะไรสงสัย เราพูดอะไรให้ มเขาเจตรงเหนหรอ เด็กคนหนึ่งกลุกขึ้นถามว่า เมื่อครูฝึกพาทำสมาธิ ใจอยู่กับคำบริกรรมจน เป็นสมาธิแล้ว รู้สึกว่าตัวเหาะได้เราก็ได้แต่มอง... ผมสีทอง ตาสีฟ้านี่ บอกว่าเหาะได้ ซึ่งคนที่รู้จักคุ้นเคยกันมาก่อน ยังไม่เคยมีใครบอกว่าเหาะได้ เคยแต่อ่านจากหนังสือ ว่าโยคีที่หิมาลัยหรือที่โน่นทีนี้เหาะได้ ไม่เคยเจอ คนจริงๆ เหาะได้เลยทั้งที่ในห้อง แอร์ก็เย็น ช่วงนั้นประมาณ เดือนตุลาคม อากาศก็เย็น แต่ดิฉันเหงื่อแตกพลักเลย ซ้าปากยังเก่ง เอ้า... ใครเหาะได้อีก พวกเด็ก ก็ชูมือกันสลอน ไม่ใช่ว่าเหาะได้ ทุกคนมีคำถาม ร้อยแปดที่คันอยู่ในหัวใจ ซึ่งเราฟังแล้วมึนเลยในที่สุด ดิฉันก็ว่าถ้าให้ถามต่อไปคงเอาตัว ไม่รอด เลยตัดบทว่าไม่ให้ถามอีกแล้ว พวกที่ได้ ถามก่อนก็คิดว่าจะได้คําตอบ ดิฉันมองพวกนั้น แล้วบอกว่าไม่มีคําตอบ อาจารย์ใหญ่ของเธอให้ฉันมาเล่าเรื่องพระพุทธเจ้า ไม่ได้ให้ตอบคำถาม เพราะฉะนั้น เธอทั้งหลายจงฟังเรื่องพระพุทธเจ้า ต่อไป ก็ขายผ้าเอาหน้ารอดสำเร็จ เด็กก็ฟังเรื่อง พระพุทธเจ้าอย่างสงบเสงียม ฟังจบ หลายคนติดใจ บอกให้มาคุยอีกสิ เรื่องพระพุทธเจ้านี่แหละรากลับถึงที่พักแล้ว นึกในใจว่าตังแต่เกิดเป็นตัวเป็นตนมา ไม่เคยโง่เซ่ออย่างนีเลย อย่ดีไม่ว่าดี เอาหน้าไปให้เขาฉีกเป็นริ้วๆ นี่จะไปหา ศัลยแพทย์ตกแต่งที่ไหนมาเย็บให้หน้าเราติดได้
อย่างเดิมนี่คือเหตุให้ดิฉันอยากมาปฏิบัติ ไม่รู้หรอก ว่าการปฏิบัติเป็นอย่างไร ครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติ กันอย่างไร คิดแต่เพียงว่าเราไปเรียนปริญญาโท แล้วก็ตกไม่เป็นท่า เพราะฉะนั้น ต้องไปหาเรียน ใหม่กับปรมาจารย์ แล้วคราวนี้ใครถามอะไรเรื่อง สมาธิ รับรองไม่มีอับจน ก็ปรากฏว่ามาได้เป็นศิษย์ ท่านอาจารย์ระหว่างที่ตัวดิฉันร่อนเร่ไปเรียนวิชาแพทย์เพื่อนนักเรียนแต่ชั้นมัธยมสนใจไปกราบหลวงปู่ฝัน หลวงปู่เทสก์ พระกรรมฐานทางอีสาน จนเกิด ศรัทธาปสาทะว่า ผู้ชายมีบุญได้ลาไปบวชปฏิบัติทั้งพรรษา เราผู้หญิงบวชเป็นพระไม่ได้ ก็บวชใจ เอาก็แล้วกันเพื่อนก็เริ่มมองหาใครที่จะชวนไปด้วยอีก 1 คน เพราะหากวัดที่เลือกไปปฏิบัติไม่มีแม่ชี ตอน ใดที่ชาวบ้านเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนไม่ได้เพราะติดพันทํานา ท่านอาจารย์จะได้ไล่เขากลับบ้านไม่ได้ เขาจะได้อยู่ต่อเนื่องให้ครบ 1 พรรษาเหมือนผู้ชายที่บวชพระเราไม่รู้รายละเอียดถึงขั้นนั้น รู้แต่ว่าเพื่อนย่อมจะรู้จักครูบาอาจารย์ดี รับรองว่าไปแล้วต้องเป็น สํานักตักศิลาแน ไม่ได้พาไปสํานักเถื่อนที่ไหนจึง ตกลงปลงใจตามไป โดยที่เชือว่าท่านอาจารย์คง สอนเรา เพราะเราไม่เคยทําสมาธิ ท่านคงสอนว่า จะนั่งอย่างไร เอามือวางอย่างไร เหมือนเราสอน เด็กนักเรียนแพทย์ของเราปรากฏว่าท่านไม่ทําอย่างนันเลย ท่านบอก ว่า อาจารย์เรียนมาแค่ประถม 3 ถ้าอาจารย์ทำ สมาธิได้ ศิษย์จบจากเมืองนอกเมืองนา ทำไมจะ ทำเองไม่ได้ หลับตาปอกกล้วยเข้าปากยังยากกว่าทำสมาธิ อาจารย์ใจกว้างนะ ศิษย์จะทำวิธีไหน อาจารย์ไม่ว่าเลย ให้ใจมีสติรักษาอยู่เป็นปัจจุบันแค่นันแหละเราก็นึกอุตส่าห์ดันดันมาเป็นศิษย์ ท่านกลับว่า จะทำอะไรก็ทำไป อาจารย์ไม่ว่า แต่มีวัตถุประสงค์เพียงว่าต้องมีสติอยู่กับตัวตลอดเวลาที่ ลืมตาตีนจนเอาหัววางบนหมอน เราก็คิดแบบเรา ง่ายจะตาย ก็เรามีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์อยู่แล้ว ไม่ใช่คนบ้าคนใบ้ที่ไหนถึงได้บอกว่า พูดภาษาไทยด้วยกันนี่แหละแต่ความหมายละเอียดลึกซึ่งต่างกัน ไม้วัดของ ท่านเป็นไมครอน ของเราเป็นกิโลเมตร เพราะ ฉะนั้น วัดไปแล้ว มันก็ต่างกันไปคนละทิศคนละ ทาง ท่านก็ปล่อยให้เราบ้าบวมของเราไปแล้วเราก็ค่อยๆ ได้รู้ว่า สติที่เราว่ามันมี บูรณ์นั้นยังไกลปืนเที่ยงแค่ไหน สิ่งที่เราทำไปแล้วก็วิพากษ์วิจารณ์ตัวเองในใจไป ก็ไปขึ้นจอ เรดาร์ท่านหมด เพราะท่านอ่านใจพวกเราได้เป็นเรื่องธรรมดาตกกลางคืนท่านลงมาเทศน์ ท่านก็เล่าเป็น เรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ แล้วก็บอกว่าใครมีสติ ก็จะรู้จักเลือกเอาเองว่าเรืองไหนเป็นของใคร ต่าง คนก็เลือกเอาไปตามสัดส่วนของตัว เพราะฉะนั้น ที่ท่านเทศน์มานี่ ทุกคนก็ได้ทั้งนั้นแหละท่านก็ว่าเรา นี่นะ ถ้าพระพุทธเจ้ายังมีชนม์ชีพอยู่จนถึงทุกวันนี้ แล้วมามองพวกเรา ท่านก็คงสมเพชเรา เหมือนที่เราเข้าไปในโรงพยาบาล โรคจิตแล้วสมเพชคนไข้โรคจิตเพื่อนดิฉันเคยเล่าถวายท่านว่า เมื่อดิฉัน เป็นนักเรียนแพทย์ ต้องไปดูงานที่โรงพยาบาล สมเด็จเจ้าพระยา เราจึงจับฉลากว่าใครจะได้ไป ตึกคนไข้โรคจิตชนิดเบาหรือชนิดอุกฤษฏ์ ดิฉัน จับฉลากได้ประเภทอุกฤษฏ์ บางคนก็ไม่นุ่งผ้านุ่ง ผ่อนเลย พอกลุ่มเรานักเรียนแพทย์เข้าไป คนไข้ คิดว่านี่น้องใหม่มา ก็จัดแจงมาต้อนรับ ... โอ๊ย.. ใส่เสื้อผ้าทำไม ก็จะมาช่วยทำให้เป็นพรรคพวกเดียวกันคือชีเปลือย เราก็นึกตายแน่แล้ว เราจะ รอดปลอดภัยออกมาได้อย่างไรเพื่อนเคยฟังเราเล่า เขาก็ไปเล่าถวายให้ท่านอาจารย์ฟัง ท่านก็เลยเอามาเปรียบเทียบว่า ถ้า พระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพอยู่ แล้วนั่งมองพวก เรา ท่านก็คงสมเพชเรา เหมือนที่เราสมเพชคนไข้โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา เราก็นึก เกินไป...ท่านอาจารย์ เรายังห่างไกลอย่างเทียบกันไม่ได้ครั้นปฏิบัติไปๆ เราจึงค่อยๆ เห็นความ หยาบของสติที่คุ้มครองตนเองไม่รอดอย่างไร มัน ก็ปานกันนั่นแหละ เพราะฉะนัน เราถึงได้ว่า ว่า เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูด คนจริงหรือคนปลอม ท่านมองไป สติที่อยู่กับใจท่านต่อเนื่องจนกระทั่ง อะไรกะพริบนิดหนึ่งก็เห็นแล้ว แต่ของเรานั้น ต้องขนาดสึนามิหรือนากิส เราถึงจะรู้ว่าสติของฉัน หลุดไปแล้ว ท่านจึงคอยทำประหนึ่งเป็นสติให้ เรารู้ เราจะได้คอยจดจ่อของเราได้เองถ้าท่านเทศน์ไปตามธรรมดา เราไม่เคยเห็น ไม่เคยเข้าใจ เราก็จะไม่รู้ ท่านจึงใช้วิธีทำระเบิดเวลาถอดสลักไว้ หรือแยงให้กิเลสของเรา ดต้นงิ้วขึ้นมา ถ้าเราเอาสติคอยเฝ้าดู เราก็จะเข้าใจ ไม่อย่างนั้น ท่านพูดอะไรไป มันก็แบนราบอยู่บนกระดาษเราก็ไม่เห็นที่เราสะดุดตรงนั้น ทุกทีแต่ถ้าท่านทําให้มันเต้นงิวขึ้นมา ทั้งโรง เป็นสามมิติ ครั้งแรกเราพลาด แต่พลาด แล้ว เอากลับมาทบทวนใหม่ นี่ไง. ที่ท่านเทศน์และเราว่าเราเข้าใจหมดแล้ว ทําไมเรายังพลาดอีก เมื่อเห็นแล้ว ท่านก็จะมาตรวจการบ้าน ท่านมาเทศน์ว่า เพราะเรามาแต่อวิชชา อวิชชาไม่ โง่เซ่อหรือหลงอย่างที่เราคิดหรอกนะ มันผ่องใส อย่างยิ่ง คราวนี้เราก็เข้าใจ เพราะเรามาแต่อวิชชา ที่ผ่องใสจนเราตกหลุมมัน ตกไปหัวแตกขาหักท่านก็ให้กำลังใจว่า ธรรมชาติของมนุษย์เรา ต่อให้ฉลาดรอบรู้สักแค่ไหน ก็ยังต้องเรียนรู้จาก ความผิด มีความผิดเป็นครูแล้วพอเรากำลังรู้สึก. เออ... ที่ผิดนี่ไม่ต้อง อายหรอกนะ ท่านก็จัดแจงย้าต่อ แต่พวกเรามัน ไม่ใช่ผิดเป็นครู ผิดเพราะสติมันยุ่ย แล้วก็ผิดจน เป็นอาจิณกรรม จนกลายเป็นนิสัยพระพุทธเจ้าหรือครูบาอาจารย์ท่านคอยเอา สติจดจำไว้ ผิดครั้งแรก ท่านก็อธิษฐานจิตว่าผิด ครั้งนี้ครั้งเดียวเป็นครู จะไม่ยอมผิดอีก จะยอม ตายถ้าเผลอผิดอีกแต่พวกศิษย์น่ะหรือ...ผิดแล้วจะจํา อาจารย์ ยังไม่ทันจะหันหลังกลับเลย ศิษย์ก็ผิดอย่างนั้นอีก
แล้วยังจะมาบอกผิดเป็นครู มันผิดจนเป็นอาจิณกรรมเราจะโดนทั้งสับทั้งโขกจนเสียศูนย์ไปหมดเลย พอเราฟุบแฟบเสียศูนย์ ท่านก็ปลอบใจ พอเรามี กำลังฮีดสู้ขึ้นมา ท่านก็สับลงไปอีก ท่านว่าวิธีนี้จะ ทำให้สติของเราคมไวตื่นตัวทั่วพร้อม เราก็สะบัก สะบอม จนไม่รู้ว่าสติมันอยู่ตรงไหน หาไม่เห็น จับไม่ได้ ท้อใจไปหมดเลย ท่านก็จัดแจงเล่าถึง สมัยท่านว่าท่านเคยท้ออย่างไรครั้งหนึ่ง ดิฉันคิดจะไม่อยู่แล้ว กลับบ้าน ดีกว่า ท่านก็เล่าถึงสมัยที่ท่านบวชตอนแรก ชาว บ้านก็มาเอาอกเอาใจ หมู่บ้านนั้นก็เอาใจ หมู่บ้าน นี้ก็เอาใจ ท่านชอบอะไรก็หามา เหมือนกับจะให้ ท่านเลือกว่าหมู่บ้านไหนสะดวกสบายกว่า คือเขา อยากให้ท่านอยู่จำพรรษาด้วย จะได้เทศน์สอน เพราะชาวอีสานถือเป็นประเพณีว่า ในระหว่างพรรษา ถึงเขาจะดำนา จะทำอะไร เขาก็ปฏิบัติกัน ด้วย เหมือนพระเณรมุ่งมันเร่งปฏิบัติ อยู่ๆ ไป ท่านก็เริมได้สติว่า เราจะบวชมาเอาความสะดวกสบายหรือมาเอาธรรมกันแน่ท่านก็ตั้งใจไว้เลยว่า ปีนี พอออกพรรษาแล้ว ท่านจะไปธุดงค์ และระหว่างธุดงค์ ก็จะหมายตาดูไว้ว่าถ้าไหนหรือตรงไหนที่พอจะค้างอ้างแรมอยู่ ได้ทังพรรษา ก็จะไปอยู่ตรงนั้น จะไม่เข้ามาอยู่ใน หมู่บ้านพรรษานันท่านก็ว่าท่านเก่งมาก เลือกได้ถ้าเปิด อากาศก็โปร่ง มีพลาญหิน ถ้าพระจันทร์สว่าง ดีก็ออกมาเดินจงกรมนอกถ้าและนั่งสมาธิได้ แต่ ท่านไม่รู้ภูมิประเทศว่าพื้นถ้าตรงไหนเป็นร่องน้ำ ธรรมเนิยมของพระกรรมฐาน เมื่อปักกลดแล้วช่วงคืนนันจนถึงรุ่งเช้าจะถอนย้ายที่ไม่ได้เหมือน อธิษฐานแล้วต้องรักษาคำมั่นสัญญาขณะท่านปักกลดไว้ ฝนยังไม่ตก คืนนั้น ฝนเริ่มตก ตอนแรกก็ตกน้อยๆ ก่อน แล้วตก หนักไปทังคืน ตรงที่ท่านปักกลดเป็นร่องที่น้ำไหลผ่าน ฉะนั้น น้ำก็ค่อยๆ เอ่อขึ้นมา จนท่านต้องเก็บผ้าปูนอน เก็บแล้ว น้ำก็ยังท่วมขึ้นมาจนชาย กลดเปียกไปหมด ท่านจะออกไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ได้เพราะน้ำเอ่อเต็มไปหมด ท่านเลยต้องเอาข้าวของ ใส่เข้าไปในบาตร เพราะบาตรพระเหมือนกระเป๋าเดินทาง แล้วท่านก็ขึ้นไปอยู่บนฝาบาตร เราหลับ ตานึกสภาพ ท่านเหมือนนกเกาะอยู่บนก้อนหินท่านก็มานึกสงสารตัวเองว่า หากเราอยู่ใน หมู่บ้านนันหมู่บ้านนีที่เขานิมนต์ ห้อยู่ เราก็สบายแล้ว เสร็จแล้วท่านก็ได้สติขึ้นมา ... เราคนจริงหรือคนปลอมเรากำลังฟังท่านเพลินๆ ... เรายังดีนะ มีกุฏิมีหน้าต่าง ประตู อย่างน้อย ฝนตกเราปิด เราก็ ยังอยู่ได้ ไม่ถูกน้ําท่วมอย่างท่าน เราก็นึกว่าที่ท่าน เคียวเข็ญทรมานเรา และเราว่าท่านทารุณนะ ยังดีกว่าท่านตังเยอะ เพราะไม่ต้องจุมบุ๊กอยู่บนบาตร ไปไหนไม่ได้ท่านเห็นทิฐิมานะในใจเราลดลงแล้ว ท่านก็ฟาดเปรียงเลย อาจารย์จำได้ว่าตอนศิษย์มาขออยู่ด้วย อาจารย์ก็ไม่ได้ออกบัตรเชื้อเชิญ ศิษย์มา เองด้วยนําใสใจสมัคร แค่นั้นยังไม่พอ ... คนจริง อาจารย์ไม่กลัว กลัวแต่คนไม่จริง ยิ่งผู้หญิงน่ะ
เปลี่ยนใจวันละห้าร้อยหนคราวนี้เราก็ตกหลุมท่าน บ้าเลือดขึ้นมาว่าฉันจะอยู่ทำให้ท่านเห็นว่าฉันนี้คนจริง...คนจริง ท่านมีวิธีทำให้เรารู้สึก อย่างไรๆ ก็ต้องทําให้ได้ เกิดความมุ่งมันตั้งใจเด็ดขาด ตายเป็นตายหลวงปู่องค์หนึ่งท่านเทศน์เป็นภาษาอีสาน ว่า ต้องเอาให้มันฟากตาย ให้เกินตาย ท่านว่า ถ้า เราทำกันเพียงแค่ตายนัน กิเลสมันยังอยู่ แต่ถ้า เราทำให้เกินตายนี้ กิเลสมันตาย แล้วใจตัวแท้ตื่นเบิกบาน จึงจะหลุดจากกิเลสเป็นแห่งธรรมตอนแรก เราฟังก็ไม่เข้าใจ ครูบาอาจารย์ ท่านพูดอะไรนะ เอาให้ฟากตาย จนท่านอาจารย์ อธิบายว่า ฟากตายคือเกินตาย เอาให้ทะลุตายไป เลย ตายเป็นตายแต่ละองค์ที่ท่านเล่า ทำให้เราเห็นเลยถึง ความเป็นคนจริงของท่าน ความที่ท่านเอาให้ฟากตายนีมันเป็นอย่างไรอย่างหลวงปู่ฝัน ท่านเล่าถึงองค์ท่านทีเป็น ไข้ป่า ตอนนั้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่านไม่มี
ยาควินิน ไม่มีอะไรเลย แม้กระทั่งยาลดไข้ ยา แก้ปวดก็ไม่มี ท่านรู้สึกปวดจนหัวจะแตก สติก็ ไม่อยู่กับตัว ท่านเอาน้ำราดหัว ราดตัว ในที่สุด ก็นึกว่าใช้ธรรมโอสถก็แล้วกัน ก็พยายามนั่งสมาธิ ให้ได้ ถ้าตายเป็นตาย ถ้ารอดก็รอดมา เสร็จแล้ว จิตท่านลงรวมได้ ไม่รู้ว่ารวมอยู่นานเท่าช่วงที่จิตจะถอนออกมา ท่านรู้สึกเหมือนมี ตัวอะไรออกไปจากสีข้างท่าน พอท่านลืมตา ท่าน เห็นต้นหญ้า ต้นไม้ในป่ามันไหว เหมือนที่ท่านว่า มีตัวอะไรออกจากองค์นี่ มันออกไปจริงๆ พอ ท่านรู้สึกตัว ไข้ก็หายไปหมดท่านว่าตอนก่อนหน้านั้น ถ้าเอาปรอทไปวัด ไข้ คง  40 กว่าๆ องศา แต่หลังจิตรวมแล้ว ท่าน ว่ามันหายเรียบร้อย ท่านนึกเพียงแค่ว่ามันคงจะ รักษาให้ไข้หายเพียงครั้งนี้เท่านั้น แต่ต่อมาท่าน ธุดงค์ไปกับหมู่เพื่อน เข้าไปในดงไข้ป่า บางองค์ เป็นไข้ป่าขึ้นสมองถึงเสียชีวิต บางองค์เป็นหนัก สะบักสะบอมไป แต่ท่านไม่เคยเป็นไข้ป่าอีกเลย เหมือนท่านแผ่ส่วนกุศลอุทิศให้ จนกระทั่งเจ้ากรรมนายเวรรับ และอโหสิกรรมให้ โรคนี้จึงหาย ขาดเลยท่านบอกว่า โรคที่เราเป็นอ ยู่นี่เป็นโรค โรคเวร เราคงเคยไปทำอะไรเขาไว้ เขาจึงได้จอง เวร... เออ... ให้เธอรู้สึกบ้างว่าทำฉันเจ็บนันเป็น อย่างไร ครูบาอาจารย์หลายองค์เล่าถึงประสบ การณ์ของท่านเวลาทีอธิษฐานแล้วท่านก็หายขาด จากโรคนั้น ไม่ใช่จะหายเฉพาะครั้งนั้น แต่เป็นอย่างไร สิ่งที่เราได้เป็นคติ คือ เราต้องทำให้เกินตายครั้งหนึ่ง ท่านอาจารย์สิงห์ทองเข้าใจว่าท่านเป็นอหิวาต์ ท่านถ่ายท้องเป็นนำโกรกไม่ยอม หยุด จนลุกจากส้วมไม่ได้ คิดว่าคงตายตรงนัน แล้ว เพราะมันถ่ายจนหมดเนื่อหมดตัวเอ้า...ตายเป็นตาย ท่านบอกไม่รู้ว่าจิตมัน ลงรวม หรือตัวเองสลบหรือเป็นอะไรไป พอเซซังมาถึงกุฏิได้ ก็ล้มแผ่ไปเลย จนเช้าจึงเริมรู้สึกว่า มีจุดสว่างอยู่ที่กลางอก แล้วค่อยสว่างออกไป มี แขน มีขา แล้วจึงมีตัวขยับเขยื้อนพลิกตะแคงได้
ค่อยๆ ลุกขึ้นได้ ท่านออกจากกุฏิมาเพราะคิดว่า เป็นเวลาไปบิณฑบาตแล้ว ท่านไม่ได้มองดูองค์ ท่านเองว่าเล็กลงไปแค่ไหน รู้แต่ว่าน้ำคงออกไป จนหมดเนื้อหมดตัว เวลาเดินเหมือนลอยไป พอหมู่เพื่อนเห็นก็ตกใกันหมดว่าองค์ท่านจริงๆ หรือผีกันแน่ มันคงซีดซูบเหมือนโครงกระดูกหุ้มหนังหมู่พวกบอกว่าตัวท่านเหลือไม่ถึงครึงของตัวจริงๆนี่แหละ คนจริง ของจริง แต่ละองค์ท่านผ่านแบบ นี้กันมาทั้งนั้น
หรือหลวงปู่ฝั้นที่ท่านเอาชนะกามราคะของ ท่าน ท่านติดตามพระอาจารย์เสาร์มากรุงเทพฯ พักที่วัดบรมนิวาส พอบิณฑบาตเสร็จจะเดินกลับ เข้าวัด ก็มีผู้หญิงจูงเด็กผู้หญิงอายุประมาณสัก 2 ขวบเดินสวนมาผู้หญิงไม่เห็นท่านด้วยซ้ำ ต่างก็ เดินสวนกันไป ตอนแรกท่านก็ไม่ได้คิดอะไร แต่ เมื่อถึงวัด ขณะกําลังแบ่งอาหารลงบาตร ใจเกิด อยากได้ผู้หญิงคนนั้น สติก็เตือนว่า เขาต้องมีผัว แล้ว เพราะจูงลูกมาด้วย กิเลสแย้งว่า... ถึงศีลจะทะลุ ตกนรก 2-3 ชาติท่านตกใจองค์ท่าน ลุกเอาอาหารไปใส่กอง กลาง วันนั้นไม่ฉันจังหัน ลงไปเดินจงกรม คอย จนญาติโยมกลับหมดแล้ว หลวงปู่เสาร์ว่าง ท่าน จึงขึ้นมาขอโอกาสเล่าถวายให้หลวงปู่ฟังว่ามันเกิดเรื่องอย่างนี้หลวงปู่เสาร์ถามความเห็นว่าแล้วท่านคิดจะ ทำอย่างไรกับองค์ท่าน ท่านตอบว่า จะอดอาหาร เร่งทำความเพียร จนกว่าจิตใจจะกลับเป็นปกติ หลวงป่ว่า ดีแล้ว ให้ทำต่อไปท่านก็ลงไปเดินจงกรม แต่ใจไม่ยอมอยู่กับ คําบริกรรม มันไม่เป็นอันอยู่กับอะไรทั้งนั้น จะเอาแต่ผู้หญิงคนนี้ให้ได้ ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่ได้แม้แต่ จะชายตามองท่าน แต่ท่านก็รุมร้อน สติกระจุย กระจาย อยากได้จนยอมแม้ศีลทะลุก็จะไปเอาให้ ได้ ท่านเดินจนฝ่าเท้าแตกเจ็บระบมไปหมด จากวันที่ 1 วันที 2 ถึงวันที 7 กายทำท่าจะตายเอาจริงๆ เพราะจิตไม่รวมเลย แล้วท่านก็ไม่ยอม ฉันอาหาร เข้าถึงวันที 7 ก็แทบจะลงคลานแล้วเพราะหมดเรี่ยวแรงกิเลสกระซิบว่าต้องเก็บธาตุขันธ์ไว้เป็นเรือแพ ถ้าไม่มีอายตนะ ไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย มารับ ผัสสะเราก็ไม่รู้ว่ากิเลสในใจของเรายังเหลืออยู่ เท่าไร ตายไปตอนนี้ปฏิบัติก็ยังไม่ถึงฝัง เครื่องไม้ เครื่องมือก็พัง เพราะฉะนัน ถนอมมันเอาไว้ก่อนเถอะ กินข้าวเสีย กินข้าว...ตอนแรกท่านก็จะไป แต่พอมานึก... นี่ขนาดไม่ได้กินข้าว กิเลสยังมีแรงถึงแค่นี้ ถ้ากิน เสร็จ มันแน่ ผ้าเหลืองหลุดลุ่ยแน่ ก็อธิษฐานว่า ตายเป็นตาย ขอตายในผ้าเหลือง ท่านกำผ้าเหลืองไว้ แน่น รู้สึกเหมือนจะตายเอาจริงๆ เพราะเหนื่อย เพลียจากไม่ยอมฉันข้าว ท่านอธิษฐานต่อว่า ถ้า เกิดใหม่ ยังไม่ทันพูดได้เดินได้ เห็นผ้าเหลือง เมื่อไร ให้คิดอยากบวชจนไม่มีโอกาสไปเถลไถล ที่ไหน กิเลสจะได้ไม่มีฤทธิ์มากเท่าอย่างนี้ท่านปลงใจว่าท่านตายแน่ เพราะความรู้สึก ค่อยๆ วูบดับไป แต่เสียววินาทีนันทีท่านคิดว่าตายแน่ จิตรวมเข้าถึงฐานเลย เกิดความรู้ขืนว่า ผู้หญิงคนนีกับท่านเคยเป็นคู่ครองกันมา สัญญาเก่านี่ พอเราเอาจริง มันตามมาทดสอบอย่างนี้เมื่อท่านรู้อย่างนี้ พอจิตถอนออกมา ก็เกิดกำลังใจ กามราคะที่เล่นงานอยู่สงบไป ท่านออก พิจารณาต่อ เพราะได้กําลังจากสมาธิกลับคืนมา ขณะที่ช่วง  7วันที่ผ่านมา จิตไม่ยอมสงบ ไม่ยอมลงรวมให้ท่านจึงเข้าใจที่ครูบาอาจารย์ว่า อน่างไรก็เอากำลังของสมาธิเป็นหินทับหญ้าไว้ก่อน เมือจิตลง รวมแล้ว มันทำเหมือนกับว่า เมื่อ 7 วันที่แล้วมานันเป็นฝันร้ายครั้นตื่นขึ้นแล้วใจก็นิ่งสงบอย่างที่เคยปฏิบัติอยู่ แต่ถ้าเราประมาท หินขยับ นิดเดียว ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะกู้สถานการณ์กลับ คืนมาได้หรือไม่ท่านอาจารย์สิงห์ทองบอกว่า ถ้าเราทำเสือเจ็บ แล้วประมาทว่าเราควบคุมมันได้คราวนี้มันเอาเราถึงตาย เพราะปกตินันเสือกลัวคน เริมต้น ปฏิบัติครังแรก เราทําสมาเสมอ ได้สมาธิเป็นหินทับหญ้าแล้ว เราเถลไถล ทําบ้างไม่ทําบ้าง จนหินเขยื้อน คราวนี้เกิดวิกฤตขึ้น เกินกำลังที่จะเข้า
สมาธิได้ ท่านเปรียบใจเราว่าเหมือนเสือเจ็บ มัน ะฟุ้งซ่าน ซัดส่าย สติแตก เหมือนเสือขบหัวเรามันไม่ยอมเราแล้ว เพราะถ้าปล่อยให้เรามีแรง มันก็ตายมีตัวอย่างคือ แม่ชีท่านหนึ่งอายุ 12 -13 ปี ท่านเจ็บหนัก ก็ตังจิตอธิษฐานว่า ถ้ารอด ตายจะบวชชีตลอดชีวิต ท่านก็รอดมาและบวช ตั้งแต่บัดนัน ตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเรือยมาท่านเล่าว่า ปกติ เมือเสร็จภาระหน้าที่แล้ว กลางคืนก็สวดมนต์ ทําสมาธิ พักผ่อนนอน เช้า ดีนแต่ตี 3 ทำสมาธิ แล้วเข้าครัว ดูแลทำอาหาร ใส่บาตร ดูผักในแปลงที่ปลูกไว้ ขณะอยู่ในชีวิต ประจําวันอย่างนี้ เห็นคนไปคนมา ตอนแรกก็เห็นเป็นคน แต่แวบเดียวกลับกลายเป็นโครงกระดูก ไปหมด ไม่รู้ว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง จิตใจก็สงบ ดีมาก ทำการงานไม่มีเหน็ดเหนื่อยแต่ช่วงหนึ่ง ท่านยุ่งกับภาระวิกฤตในวัด ไม่ได้ภาวนาสม่าเสมออย่างเคย สมาธิจึงเสื่อมไป ทำอย่างไรๆ ใจก็ไม่ยอมสงบ นั่งไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
ก็เริ่มเมื่อยตรงโน้น เจ็บตรงนี้ ขันธมารมารุมเร้า จนปฏิบัติไม่ได้ ต่อมาท่านล้มเจ็บ อาการทรุด อย่างรวดเร็ว จิตใจกระสับกระส่ายไม่เป็นสมาธิ เลย แล้วตายไปชนิดที่หมดเนื้อหมดตัวพวกเราเสียดายมาก เพราะฟังที่ท่านเล่า เมื่อปฏิบัติ นั่งปุ๊บจิตก็ลงรวม ขนาดปฏิบัติ แล้ว ออกมาทำงานทำการ ปลูกผักทำสวนครัว มองอะไรยังเห็นเป็นโครงกระดูกไปหมด จิตใจ สงบ ชุมเย็น เบา สบาย เรานึก ... มนุสสเทโว เหมือนอยู่ในสวรรค์แล้วดูสิ ประมาทกะพริบตาเดียวเท่านั้นแหละ เพราะไปยุ่งติดพันกับโน่น กับนั่น กับนี่ ไป คิดว่า ใจของเราเคยสงบอย่างนี้แล้ว มันก็คงเป็น อย่างนี้เรื่อยไป ไม่ได้นึกว่า มันแค่แม่เหล็กชั่ว คราว ยังไม่เป็นแม่เหล็กถาวร ยังไม่เที่ยง ยังเป็น ไปตามไตรลักษณ์ถ้าเราไม่เป็นคนจริง ไม่ทำจริงจังสม่ำเสมอ ไม่พยายามให้เป็นใจปัจจุบันต่อเนื่องกันอยู่ทุกขณะ จนเป็นอัตโนมัติ มันปฏิบัติไปเถอะ ก็เหมือน ลูบๆ
คลําๆ ทําเล่นๆ แล้วก็ไม่ได้มรรคผลอะไรขณะที่ดิฉันขับรถมาที่นี่ ฟังวิทยุเสียงธรรม ของหลวงตามหาบัว เป็นกัณฑ์ที่หลวงพ่อชาเทศน์ ว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนเรานั้น ไม่ได้สอนอะไร หรอก สอนให้เราดูเรา ให้เราเห็นเรา แล้วจัดการ กับตัวเรา อะไรที่ขาดตกบกพร่องก็แก้ไข ถ้าเรา ดูเราและเอาจริงกับตัวเรา เห็นตรงไหนที่ขาดตก บกพร่องก็แก้ไข รับรองได้ว่าใจเรานี่สามารถขัด เอากิเลสทั้งหลายออก จนกระทั่งคืนกลับไปเป็นธาตุแท้ ตื่น เบิกบานได้ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับเราแล้ว พวกทฤษฎีนี้ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายบอกกล่าวเอาไว้เยอะ แต่ถึงคราวเอาจริงนี่ เราจะเอาจริงได้แค่ไหน นั่นเป็นอีกเรื่องเวลาที่ยังไม่ได้อยู่ในภาวะวิกฤต เราพูดได้ว่า เราเป็นคนจริง แล้วก็เชื่อว่าตัวเองเป็นอย่างนัน จริงๆ จึงยืนยัน ฉันก็ทำอย่างที่พูดนี่แหละ เมือ ถึงวิกฤตเข้าจริง สติที่ยังไม่ได้ฝึกให้อยู่กับใจได้คงเส้นคงวา ถึงช่วงนั้น ไม่รู้มันแวบหายไปไหน แล้วเราไม่รู้ตัวของเราด้วยว่า ที่เคยพร่ำสอนให้คนอื่นทำอย่างโน้นอย่างนี้นั้น เมื้อถึงเวลาเข้า เราทำอีกอย่างหนึ่ง ทําแล้วก็ไม่รู้ตัวด้วยมันก็เป็นจริงดั่งคำท่านอาจารย์ ที่เราว่าเราลืมตาตืนกันอยู่นี่ แท้ที่จริงเราละเมอ คนบางคน ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตายไม่เคยตีนจากละเมอเลยดิฉันว่าจะเป็นไปได้อย่างไร แต่เมื่อตั้งสติ จดจ่อดู ช่วงที่เหนื่อยมากๆ หรือเราไปครุ่นกังวล อยู่กับอะไรที่สติไม่อยู่กับปัจจุบัน เราพูดกับเขา เสร็จไปแล้ว รู้สึก เอ๊ะ... เราพูดอะไรไป หรือพูด โทรศัพท์กับคนนั้น รับปากรับคำกับเขาเป็นอันดีว่ามาพบกันตรงนันตรงนี้ อย่างนันอย่างนี้ แต่พอ วางหูโทรศัพท์ มีคนมาพูดกับเราคำสองคำ พูดจบ แล้ว เราก็....เมื่อกี้ที่พูดโทรศัพท์นี้ นัดกันวันไหน ที่ตรงไหนกันนะ นี่แหละ ใจไปแล้ว มัวละเมออยู่ ขณะที่ทำกิจกรรมทั้งปวงเพราะฉะนั้น เราถึงแย่ ไม่เคยรักษาผล ประโยชน์ของตัวเอง หรือขวนขวายสะสมเสบียง สร้างคุณงามความดี ให้มีตนเป็นที่พึงได้ แล้วปากก็ร้องว่าเราเป็นคนจริง แต่ถ้ามีโทรทัศน์วงจรปิดลองเปิดดูเถิด ถ้าไม่เมาในอารมณ์ ก็ละเมอเพ้อพก ไปเรื่อย เมื่อมีใครมาว่าเข้า ก็แย้งว่าใครจะรู้จักฉันดีเท่ากับตัวฉันได้ มันเป็นเสียอย่างนี้สิ่งที่จะรับรองว่าสติเริ่มมาอยู่กับใจคือฉันมีเพื่อนรุ่นเดียวกันเป็นจิตแพทย์ เราไม่เคยรู้ตัวว่าเวลามีใครมาพูดอะไรเกียวกับตัวเรา เราจะมีเหตุผลห้าร้อยสีพันอย่างมาอธิบายปกป้องตัว เรา เมื่อดิฉันไปปฏิบัติแล้ว อยู่มาวันหนึ่ง เพื่อน จิตแพทย์ผู้นี้มาอำดิฉัน กล่าวหาอะไรก็จำไม่ได้ แล้ว ซึ่งไม่ใช่ความจริง ดิฉันไม่ได้โต้ตอบอะไรดิฉันพิจารณาไปตามคำพูดเขา ว่าเราเผลอ สติทำอย่างนั้นจริงๆ หรือเปล่า พิจารณาแล้วก็ นึกไม่ออกว่าได้เคยทำอย่างนั้น ก็สบายใจ แต่ก็ ไม่ได้พูดอะไร เพราะเขาทําท่าว่าเขายังพูดไม่จบเพื่อนดิฉันมองดิฉันเหมือนเห็นสิ่งประหลาด มหัศจรรย์ แล้วกล่าวว่า อือม... แสดงว่าการปฏิบัติ มีผลจริงๆปกติอัตตาของคนเราทำให้เราฟังคน อื่นไม่เป็น เราเป็นแต่พูดอย่างเดียว แต่นี่เธอ สงบนิ่ง ฟังได้ขนาดนี้ ทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่องไม่จริง
การที่เธอไม่ลุกขึ้นกรีดใส่นี่มันประหลาดมหัศจรรย์ดิฉันจึงรู้ว่า เมื่อมีสติอยู่กับใจแล้ว พฤติกรรมเราเปลี่ยนไป เรามีความรู้ตัว พินิจพิจารณา พูดไปให้เสียเวลาทําไม ท่านอาจารย์เคยสอนไว้ว่า เวลาใครกล่าวหาอะไรเรา สิ่งที่เราทําไปแล้วเปรียบ เหมือนเมล็ดที่เราหว่านลงดินไป ถ้าเราลุกขึ้นกรี้ด กร้าด จัดแจงไปเอาเสียมมาขุด แทนที่จะได้เมล็ด นั่นมาชี้แจงกับเขา มันกำลังแตกใบอ่อนขึ้นมา เรา ก็ไปฟันมัน ตกลงเราทำร้ายตัวเอง ไม่มีพยาน หลักฐานอะไรจะไปพิสูจน์กับเขาได้แต่ถ้าให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ให้เมล็ดนั่น ค่อยๆ งอกขึ้นมา คนที่เป็นคนจริง พอเห็นใบ อ่อนว่าเป็นไบอะไร เราไม่ต้องพูดแล้ว ความจริง พิสูจน์ตัวมันเอง มันก็จบกันแค่นั้น ก็ไม่มีเรื่องมี ราวอะไรดิฉันพิจารณาแล้วนึกถึงท่านอาจารย์สอน อย่างนี้ เพื่อนเป็นจิตแพทย์ เขาก็ว่าตามตำราจิตวิทยา ซึ่งดิฉันเห็นว่ามันสอดคล้องกัน ถ้าคนเราไม่มีสติอยู่กับใจ เราฟังคนอื่นไม่เป็น ที่มันมีเรื่อง เพราะต่างคนต่างพูด ไม่มีใครฟังใคร มัน เลยตีกัน แต่เมือเรามีเหตุผล มีสติ เราจะฟังคน อื่นเป็นดิฉันก็ได้ความรู้ ของทุกอย่าง ไม่ว่าเป็น ทางโลก จะเป็นทางธรรม ถ้าเป็นความจริง มันจะ
มาบรรจบทีเดียวกันความจริงของพระพุทธเจ้า ท่านไช้จิตเป็น ตัวทดสอบ เป็นตัวตรวจสอบ มันก็ไม่มีหลักฐาน ะไรที่เป็นงานวิจัยออกมา จริงๆ แล้วพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ในระดับที่ยิ่งกว่านาโนมีเตอร์อีกเพราะอะไร เพราะพระพุทธเจ้าสามารถเห็นด้วย ตาใจของท่าน เห็นด้วยจิตเราสร้างกล้องอิเล็กตรอนได้ซึ่งมันยังหยาบกว่ากล้องของพระพุทธเจ้าและของครูบาอาจารย์ท่านมีตาทิพย์ที่มองกายละเอียดได้ ถ้าเราเปรียบ เทียบ กายละเอียดนีมันโปร่งแสงเกือบเท่าอากาศ เพราะฉะนั้น เมื่อเรามอง บางครั้งเราก็ว่าเราเห็นผีหรือ แต่พอมองซ้าอีกที มันก็ไม่มี เพราะมิติของมันบางเบาจนตาเนื่อเราสัมผัสไม่ได้แต่เดียวนี้ ด้วยตาดิจิตอลของกล้องถ่ายรูป เราเห็นรูปต่างๆ นานาทีเรียกกันว่า ดวงเทพ ดวง อะไรที่มันไม่ดี เป็นดวงอกุศล ดิฉันจำชื่อไม่ได้เขาอธิบายว่า ดวงเทพนี ถ้าขยายขึ้นไป ดูดีๆ ข้างในจะเห็นเป็นธรรมจักร ถ้าเป็นดวงอกุศลจะเป็น รูปเหลียม สามเหลี่ยมบ้าง สีเหลียมบ้าง ข้าวหลามตัดบ้าง ก็ว่ากันไป แทนที่จะดูใจของเราให้รู้ว่ามี สติหรือมีกิเลสประทับทรงอยู่ จะได้แก้ไขตัวเองให้เป็นคนจริงขึ้นเมื่อปฏิบัติไป เราจะเห็นว่าธรรมทุกอย่างเป็น เรื่องของเหตุและผลทังนัน เราประกอบเหตุอะไร หว่านเมล็ดอะไรไป ก็ได้ผลอย่างนัน ถ้าไม่พอใจ
ไม่ได้ แต่ก็เห็นผลประจักษ์เพราะฉะนั้น เตือนตัวเองไว้ เวลาจะเผลอ หว่านอะไรชุยๆ ลงไป หายใจยาวๆ เอาสติมายัง คิดก่อน แล้วค่อยหว่านไปด้วยความรับผิดรับชอบคราวนี้เราก็จะสบายใจขึ้น แล้วผลที่ได้ซึ่งแต่ก่อนนั้นเราจะโอดครวญ ทําไมเป็นเราอีกแล้ว มันก็จะเริ่มเป็นผลที่พอใจขึ้น แล้วเราก็ไม่ไปท้อใจมีคนบางคนบอกว่า เขาแก่แล้ว คงจะฟื้นคืนดีไม่ได้ เหมือนดวงอาทิตย์ที่คล้อยต่ำ ไม่นานก็จะตกดิน มันจะตกนรกก็ให้ตกไปเถอะ อย่าไปคิดอย่างนั้นเป็นอันขาดในสมัยพุทธกาล มีพระภิกษุองค์หนึ่งท่าน พิจารณาเรืองร่างกายเป็นของสกปรกเป็นของปฏิกูลแต่แทนที่ท่านจะยกจิตเป็นธรรมได้ ท่านกลับไปติดข้องตรงนี้ เลยเห็นอาหารที่ฉันเข้าไปเป็นของ เน่าบูด ของปฏิกูล ตัวเองก็เน่ามีน้ำเหลืองเฟะ ท่าน เลยคลุ้มคลัง เอามีดมาฟันคอตัวเองแต่ความที่ท่านฝึกปฏิบัติอยู่เสมอ สติมา เตือนว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เราถือสิทธิอะไรมาฟันมัน ฉะนั้น เวลาที่เหลือน้อยนิดก่อนที่ลม หายใจจะหมดไป ถ้าเราตังใจจริง พลิกจิตเราดีๆ พิจารณาให้เป็นธรรม เราก็จะแก้ไขสิ่งทีเสียหายตรงนี้ให้เสียหายน้อยที่สุดได้ปรากฎว่าเมือท่านตังจิตมองร่างกายว่าไม่ใช่ ของเรา เป็นธรรมชาติอันหนึง มันสกปรกอะไรกัน อย่างที่เราเห็นขี้ดิน มันก็เป็นปุ๋ย แล้วก็มาเป็นต้นไม้ แล้วก็มาเป็นอาหารของเรา นี่ก็เหมือนกัน, น้ำเลือดน้ำเหลืองในตัวเราก็เป็นปุ๋ยที่ทําให้ร่างกาย เรามีชีวิตอยู่ เราก็เอาแรงงานของเรามาทำคุณทำ ประโยชน์ ท่านพิจารณาของท่านจนกระทั่งจิต พลิกเป็นอรหันต์ได้ก่อนที่ท่านจะหมดลมหายใจเพราะฉะนั้น เราอย่าดูถูกดูหมินว่าเวลา มันเหลือเพียงนิดเดียว เพราะเพียงลมหายใจเดียว พระพุทธเจ้าท่านว่าก็มีค่ามาก ถ้าเรานิงพอทีสติ และปัญญามาสัมปยุตกันได้พอดีเกิดเป็นปัญญาญาณขึ้นมา เราจะสามารถรู้เห็นอะไรที่เป็นธรรมได้ ถ้าเราคิดแบบนี้ เป็นคนจริงอย่างนี ท่านอาจารย์ก็รับรองว่า ถ้าเราเป็นคนจริงเสียอย่างไม่ว่าจะมี หนีสินล้นพ้นตัวเท่าไร ก็มีทางจะเป็นไทได้แต่ถ้าเป็นคนไม่จริง จะเหมือนเรื่องใน อินเดียโบราณ ที่พ่อแม่ร่ำรวยหาคู่ครองตกแต่ง ลูกของตน ก็มี 2 ตระกูล ฝ่ายเจ้าบ่าวก็กองเงิน
ให้ลูก 40 โกฏิ ฝ่ายเจ้าสาวก็น้อยหน้าไม่ได้ ก็ ให้ลูกสาว 40 โกฏิ ตกลงบ่าวสาวคู่นี้ออกเรือน ด้วยกองทุนรวมแล้ว 80 โกฏิ เราก็นึกว่า เป็น เรา จนตายไปแล้ว ก็จะยังเหลือสมบัติอีกอเนกปรากฏว่าหนุ่มสาวคู่นี้ปล่อยให้เพื่อนฝูง ปอกลอกเอาไปหมด บันปลายชีวิตถึงกับต้องถือ กระเบื้องไปเทียวขอข้าวชาวบ้านเขากิน บ้านช่อง ก็ไม่เหลือ มืดค่ำมีสุมทุมพุ่มไม้ตรงไหน มีศาลา พักร้อนตรงไหน ก็นอนตรงนั้นพระพุทธเจาทานวา ถ้าเราไม่ฝึกให้มีสติ ปัญญา โลกทรัพย์ก็รักษาไม่ได้ จากนัน ท่านตรัส กับพระอานนท์ว่า 2 คนผัวเมียไม่ใช่แค่ผลาญ 80โกฏินี้เท่านั้น ถ้าพวกเขาใส่ใจปฏิบัติตังแต่เด็กๆ ศักยภาพของใจพวกเขาก็จะบรรลุธรรมเป็นอรหันต์ ได้ ถ้ายังขี่เกียจขีคร้าน มาปฏิบัติตอนหนุ่มสาก็จะได้เป็นอนาคามี ถ้ายังเถลไถลเพลิดเพลินอีกมาปฏิบัติตอนกลางคน ก็ยังจะได้เป็นสกิทาคามี ถ้าปฏิบัติเมื่อวัยชรา ก็จะได้เป็นโสดาบัน แต่นี่ปรากฏว่า ทั้งโลกทรัพย์ ทังอริยทรัพย์ เป็นหมันสูญไปหมดเราฟังแล้วก็นึก จริงๆ นะ บางทีเรามีสมบัติดีๆ ในตัวแล้วก็มองไม่เห็น มัวเถลไถล เพราะความเป็นคนปลอมของเรา ของดีๆ ก็เลยขินขีสนิม เป็นของหมดคุณค่าไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์เราระลึกถึงพระพุทธองค์ ว่าท่านให้กำลัง ใจเราอย่างไร เมื่อท่านปลงพระทัยจะนำธรรมมา สอนประชาชนให้เป็นที่พึ่งที่เลี้ยงตัวรอดปลอดภัย ท่านมันพระทัยว่า ถ้าเราตั้งใจปฏิบัติจริงตามคำสั่งสอนของท่าน ก่อนที่ลมหายใจจะหมดไป เรา ทุกคนสามารถปิดอบายภูมิได้ เราทุกคนจะตก กระแสเป็นอริยบุคคลเบื่องต้นคือโสดาบันถ้าเราเชื่อ เราเห็นธรรมของท่านเป็นที่พึงเป็นสรณะที่แท้จริง เป็นพุทธัง ธัมมัง สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ จริง ก่อนหมดลมหายใจ เรา ทุกคนที่เปรียบเหมือนกำลังปีนภูกระดึง ก็จะขึ้นไปถึงที่ราบ ไม่ไปตกค้างอยู่ที่ซ้าตาแหก หรือตามทางลาดชัน เราจะแนใจมันใจได้ว่า เราเที่ยงตรงอยู่บนมรรค ถ้าเราเป็นคนขยันที่หมายปลายทางเร็ว ถึงขี้เกียจขี้คร้านอย่างไรดๆ ก็ถึง เพราะเราปิดทุคติภูมิได้แล้ว ถึงยังจะเกิดอีก ก็ไม่ตกตํากว่าความเป็น มนุษย์ไปบัดนี้ก็ใกล้จะเข้าพรรษาแล้ว ขอถือโอกาสนี้ เป็นกำลังใจให้พวกเราพากเพียรปฏิบัติ ท่าน อาจารย์สิงห์ทองสอนว่า ใครทำใครก็ได้ ใครกิน ใครก็อิ่ม ก็ขอฝากสิ่งที่ปรารภสู่กันฟังในวันนี้ไว้เป็นกําลังใจให้เพียรปฏิบัติกันสืบต่อไป


พิมพ์โดย        ปภัสสร   มีพงษ์
แหล่งที่มา       http://web.krisdika.go.th/buddha/realMan.pdf

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Back To Top