Header Ads

วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

บทความหมออมรา ไขใจ

บทความหมออมรา
ไขใจ


ชื่อผู้เขียน       พญ อมรา มลิลา
วันที่               7 มีนาคม 2522
ณ                   บรรยายพิเศษ ณ โรงแรมนารายณ์ กรุงเทพฯ สำหรับบริษัทกรุงเทพประกันภัย จำกัด
อันดับที่       



สวัสดีค่ะ ท่านเจ้าหน้าที่บริษัทกรุงเทพประก้นภัย จำกัดดีฉันเองออกจะไกลจากศิลปะการประกันภัย แต่คิดว่างานหมอกับงานประกันภัยกิมีอะไรที่พอจะ คล้ายคลึงกันจนสามารถนำมาเล่าสู่กันฟัง เป็นการ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำงานของกันและ กัน เพื่อให้เกิดความเข้าใจกว้างขวางลึกซึ้งขึ้นได้สิ่งหนึ่งที่มีความคล้ายคลึงกัน คือ หมอก็ พยายามป้องกันไม่ให้คนเกิดความเจ็บไข้ได้ป่วย คือ พยายามให้คนทุกคนมีสุขภาพแข้งแรง หรือหากเกิด เจ็บป่วย กิเยียวยาให้หายหรือให้เจ็บป่วยน้อยที่สุด ทำนองเดียวกับพวกคุณกิพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้ อุบตเหตุภัยกันตรายอะไรที่งสิ้นเกิดขึ้น
เราคงไม่ทำประกันเพื่อหวังให้เกิดภัยขึ้นมา เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าถูกต้องที่มีประภัน เมื่อไม่อยาก ให้เกิดภัย เรากิเครียด เพราะพยายามค้นคิดว่า ทำ อย่างไรถึงจะไม่เกิดเหตุร้ายที่งปวง บางครั้งเมื่อเหตุ เกิดขึ้นเรากิยอมรับไม่ไต้ กัวแต่โต้แย้งว่ากันไม่น่า จะเกิด ทำไมถึงเกิดได้นะตรงนี้แหละคือจุดที่ทำให้เรามีความทุกข์โดย ไม่จำเป็น เพราะเมื่อไปคิดว่ากันไม่น่าจะเกิด ทำไม ถึงเกิด หูเราเลยดับจากความเป็นจริงสิ่งที่ควรรับเข้ามาเพื่อเป็นข้อมูลที่ถูกต้องเริ่ม บกพร่อง เพราะไป ยึดติด ตรงที่ว่า มันไม่น่าจะเกิด จากประสบการณ์ที่ผ่านมากิไม่เห็นเคยเป็นอย่างนี้ แล้วทำไมครั้งนี้ถึงเป็นไปได้นะใจหนึ่งของเราไม่อยากรับรู้เรื่องที่กำลังเป็นอยู่ กิเลยทำให้เราแก้ปัญหาไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร หรือ เครียดมากกว่าที่ควรจะเครียด แล้วเลยพาลไปว่า งานเป็นสิ่งที่ทำให้เราไม่สนุกกับกันเสียแล้วถ้าเป็นอย่างนี้ ดิฉันขอเรียนว่า อะไรจะเกิด มันกิต้องเกิด ให้คอยบอกตัวเองไว้ว่า การมาทำงาน
ก็เหมือนเรามาอ่านนวนิยายลึกสับ อะไรจะมัน ก็เกิดได้ทั้งนั้นแหละ อย่าไปโต้แย้งกับมันสักเรื่องเดียว อะไรเกิดขึ้นมาเราทำใจให้สนุกได้ทุกเรื่องวันนี้ไม่ไต้ตั้งใจว่าจะมาเจอเรื่องบู๊ล้างผลาญ เกิดมีพระเอกบู๊ล้างผลาญโผล่เข้ามา กิเอากัน วันนี้ ไม่ได้คิดจะมาเจอนวนิยายโศกสลดนั้าตาเป็นเผาเต่า เกิดจะมืลูกค้าของเราเป็นอย่างนั้นก็เอากันไงก็ได้ทั้งนั้นถ้าใจเราเป็นอย่างนี้ เป็นใจอิสระ เราเริ่มสนุก ขึ้นไม่อย่างนั้น เรายึดว่า เมื่อวานปวดหัวแล้ว วันนี้ขออย่าเจออย่างนั้นอีกนะ พอใครเซเข้ามา ตาย แล้ว ตัวปวดหัวคอยอยู่เต็มไปหมด มันรู้สึกใจหมดกำลังใจรู้สึก....ทำไมต้องเป็นเราด้วยนะพอเป็นอย่างนี้แล้วใจหมดสนุก ถึงสติปัญญา เรามีอยู่ก็เหมือนไม่มีเพราะถ้าใจไม่คิดอย่างนี้ มองปราดเดียวเรา ก็แก้ไขปัญหาได้แต่เมื่อใจคิดอย่างนี้แล้ว คำตอบทั้งหลายที่มือยู่ในใจไม่รู้หายไปไหนหมด เหมือนใคร
เอาไปใส่กุญแจลั่นเก็บไว้อย่างดี แล้วก็หากุญแจไม่ พบ ไขเอาออกมาไซไม่ได้ พอเป็นอย่างนี้ เราก็ยิ่ง ตกใจเพิ่มขึ้นอีกเราเคยทำอะ ไรก็ทำได้อย่างใจนี่นา ทำไมวัน นี้ถึงคิดอะไรไม่ออก หรือคิดไปแล้ว แนะนำทำลงไปแล้ว เกิดคิดใหม่ว่า ...ฮึไม่เห็นเข้าท่า เราน่าจะทำ ได้ดีกว่านั้นเราเกิดความรู้สึกหงุดหงิดตามมา วันนั้นเลย ไม่สบายใจทั้งวัน งานที่ติดตามมาก็ไม่ได้ผลเท่าที่ ควรกลับไปบ้าน แทนที่จะเอางานกองไว้ที่ทำงาน อ้าว ยังหอบกลับไปด้วย... เกิดคนข้างเคียงเหนื่อยมา จะปรับทุกข์ให้ฟัง อารมณ์เสียหมดเลยนอกจากวันนี้ที่ทำงานจะไม่ดีแล้ว อารมณ์ไม่สุนทรีย์ กลับ เข้าบ้านยังวางระเป็ดเพลิงใส่บ้านอีกลูกเต้าระส่ำระส่ายไปหมด...ไม่รู้ว่าจะพูดลับ พ่อดีหรือพูดลับแม่ดีในที่สุด ทุกคนก็หงอยกลับเข้าห้องของตัวไป
เราเองก็คอยจะให้มีใครมาถาม จะได้คุย จะได้ระบาย แต่ทุกคนก็ไม่แน่ใจว่าสลาตันจะเกิดแบบ ไหน เมื่อไหร่ มันก็เลยทำให้ทุกคนเซ็งไปหมดพอเป็นอย่างนี้แล้ว เราก็พาลหาเหตุ...หาเหตุ ว่างานไม่สนุกหรือ ทำอย่างไร เราถึงจะก้าวหน้ากว่าที่เป็น อยู่ขณะนี้ตามธรรมชาติคนเรา เมื่อเกิดความไม่พอใจ ก็ขุดตุ้ยหาเหตุ เพื่อพิสูจน์ว่าเราไม่ได้บกพร่อง เป้าเลยพุ่งไปที่งาน เห็นไปว่าชักจะไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร เราติดไปเองทั้งๆ ที่งานก็ก้าวหน้าเท่าที่ควร แล้ว หรือก้าวหน้าดีอยู่แล้ว แดใจที่หงุดหงิด ต้อง หาอะไรเป็นเหตุสักอย่าง ทำให้สร้างความเครียดให้ ตัวเองมากขึ้นไปอีกถ้าเป็นอย่างนี้ เราเดือดเนื้อร้อนใจ ดิฉันมีความเชื่อว่าการทำงานนั้นเราเลือกไม่ได้ ชีวิตของคนเราทุกคนเมื่อพ้นภาวะเดีกไปแล้วก็ต้อง ทำงานสันทั้งนั้น ไม่ว่าจะทำงานบริษัท ทำราชการ หรือทำงานส่วนตัว ทำอะไรๆ ก็เป็นการงานทั้งนั้น

เพราะ ชีวิตคือการงาน เมื่อเรารู้ว่าเราต้องทำงานกันอยู่แล้วหลีกเลี่ยง ไม่ไต้ เปรียบเหมือนวันนี้เราตั้งใจจะไปเดินมาราธอน แล้วทำไมเราถึงเลือกรองเท้าคู่ที่คับ คู่ที่ไม่สบายที่สุด เอาใส่ไปเดินมาราธอน
แน่นอน...การเดินวันนั้นของเราย่อมเป็นการ เดินวิบากแล้วเราก็หงุดหงิด ดีไม่ดีเท้าเราพองไปหมด แล้วไม่ไข่ว่าเท้าพองแค่วันนั้น กลับมาถอดรองเท้า แล้วจะหาย มันยังพองอย่างนั้นอยู่ต่อไปอีกหลายวัน แม้เราจะกลับไปใส่รองเท้าคู่ที่ถูกใจ มันก็ยัง ไปเสียดลีเข้า ทำให้รู้สึกว่ารองเท้ากี่คู่ ๆ ก็ใม่ถูกใจ ไปหมด
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเวลาที่ทำงาน เราเลือกใช้ ของที่ไม่พอเหมาะพอดีกับงานของเรา เป็นต้นว่าใจ ของเรานี่แหละ เป็นเบื้องต้นเรารู้ว่าเราจะทำงาน แต่ไม่จัด ใจ ของคัวให้ พอเหมาะกับสิ่งที่เราจะไปทำ ใจก็เริ่มต้นเป็นรองเท้า กัดเท้าเรา ใจที่เป็นอุปสรรคต่อคัวเองคือใจชนิดไหน
บ้างเราต้องดูก่อนว่า ที่เรามาทำงาน เรามาทำอะไร?ส่วนใหญ่ ขออนุญาตดิฉันเปรียบเทียบนะคะ ว่า งานของเราเปรียบเหมือนการทำไร่มะขามหวาน ดิฉันแน่ใจเลยว่า คนที่ทำไร่มะขามหวาน ไม่มีใครหรอกที่ตั้งใจปลูกมะขามหวานเพื่อให้ไต้ ต้นมะขามหวาน แล้วก็พอใจแค่ไต้ฝักมะขามหวาน ร้อยทั้งร้อย ถ้าสัมภาษณ์ชาวไร่มะขามหวาน จะคิดเสรีจเลยว่าไร่ของเรามืมะขามกี่ต้น ต้นหนึ่ง ควรไต้ฝักกี่กิโล กิโลหนึ่งราคาจะเท่าใด แล้วก็คอย ฉับฉัน ว่าฝักมะขามหวานคือใบสีม่วงๆ แขวนอยู่ และถ้าฝักมะขามหวานไม่แปรเป็นใบสีม่วง ๆ เท่าที่ คาดหฉังไว้ แปลว่าการทำไร่ของเราล้มเหลวเห็นไหมคะ วิธีคิดเกี่ยวสับการทำงานนี่ เรา ไม่ไต้คิดจาก ก ไปสู่ ข ไปสู่ คเราจะเห็นเราปลูกมะขามหวาน แต่ฝักมะขามหวานกลายเป็นธนบตรใบละห้าร้อยแขวนอยู่ ตามเป้าที่เราคูณเสรีจเอาไว้ในใจ ในระหว่างนั้น เรา
ไม่เคยคำนึงว่า การที่มะขามหวานจะมีราคาตรึงอยู่ อย่างที่เราปรารถนา จะต้องมีเหตุปัจจัยอะไรบ้าง เราจะได้ศึกษา เตรียมกรุยทางเอาไว้ให้เป็นไปดังปรารถนาเป็นต้นว่าการทำไร่มะขามนี้โอกาสที่มะขาม จะกลายรสเปลี่ยนไปมีสูงแค่ไหนเราจะต้องศึกษาว่าควรทำอย่างไรบ้างเพื่อให้ฝักมะขามของเรามีรส เป็นที่ถูกตลาด มีเนี้อหนาไม่แห้งเกินไป หรือว่าไม่ แฉะเกินไป ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราไม่ไต้นึกถึงเลย เพราะ...ใจเราไปจดจ่ออยู่ที่ ค แล้ว ที่มาทำงาน ถ้าใจเราไม่รึก็งาน ไม่ได้สนุกกับ งาน ไม่ไต้คิดว่าประสบการณ์จากงานแต่ละวันๆ ที่ เกิดขึ้น คือสิ่งที่เราพอใจ สิ่งที่เราสนใจใคร่จะเรียนรู้ และสนุกด้วยดังที่ดิฉันเรียนแล้วว่า เราจะมาอ่านนวนิยายลึกจับซึ่งเราไม่เคยรู้เรื่องมาก่อนแต่ละหน้าๆ ที่อ่านไปนั้นสนุกทุกตัวจักษร บางคนตั้งใจอ่านทุกหน้า แต่บางคนอ่านครึ่งหน้า แล้วพลิกข้าม ๆ ไปถึงหน้า หจังเลย แล้วก็สรุปเอาเอง เดิมความในช่องว่างเอา
ตามอำเภอใจ...จบแล้ว รู้เรื่องหมดแล้วถ้าเป็นอย่างนี้ ใจของเราเป็นศัตรูกบงานของ ตัวเอง เราจะเซ็ง จะรู้สึกว่างานไม่เป็นไปอย่างที่ปรารถนาเพราะตรงซ่องว่างเราเติมเอาไว้เต็มแล้ว เรา ไม่ทำไปตามขนตอนของงาน คาดหวงแต่ ผลพลอย ได้ ที่จะได้จากงานที่เรา คิด ว่าเราทำแต่เดิมดิฉันก็มอ งไม่เห็นว่าใจตัวเองก็เป็น อย่างนี้ จนกระทั่งเข้าไปฝึกปฏิบติใจกับท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ถามดิฉันว่า เป็นอย่างไร มาหัด ทำสมาธิ ใจเป็นสมาธิหรือยัง ดิฉันตอบ ยังเจ้าค่ะท่านอาจารย์อธิบายว่า การฝึกใจตัวเอง ก็ เหมือนอย่างกับว่าอาจารย์เอาเลื่อยให้ศิษย์ไปเลื่อย ต้นไม้ใหญ่ขนาด 3 คนโอบ แล้วอาจารย์ก็สั่งว่า... เลื่อยไป... ตงหน้าตั้งตาเลื่อยไปเรื่อยๆ อย่าหยุด นะดิฉันไปถึง แทนที่จะก้มหน้าก้มตาเลื่อยไป ตามท่านอาจารย์สั่งกลบคิดใปเราเป็นคนสมสมัย
สมัยนี้เป็นสมัยของเครื่องผ่อนแรง มือก็เลื่อยไปนิด เดียวยังไม่ทันได้งานเท่าไหร่เลย ใจเราร้อน คิดหวัง ผลไปแล้ว ...ที่เลื่อยไปนี่คงจะต้องกินเข้าไปจนกระทั่ง ต้นไม้จวนล้มแล้ว เราก็ยืนเท้าสะเอวมอง... ตาม
วิชาการที่คำนวณ มันน่าจะเอนลงแล้วล้มลงไต้แล้ว มัน ควร จะต้องเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้
เพราะเราเป็นนักทุ่นแรง ผ่อนแรง และอาศัยเทคโนโลยีทั้งหลายทั้งปวงทำไม...เลื่อยจนเหนื่อย จนหัวใจจะวายแล้ว ทำไมถึงยังไม่ขยับเขยื้อนอีกท่านอาจารย์บอก จริงๆ แล้วเราใส่แรงเข้าไป ไม่ถึงหนึ่งสลึง แล้วก็มาแบมือทวงท่านว่า แรงงาน ที่ใส่เข้าไปหนึ่งร้อยบาทแล้วพวกเราเป็นนักค้ากำไรเกินควร เป็นทันอย่าง นี้ทั้งนั้น เราถึงไม่สนุกและไม่มืคิลปะในการทำงาน ทำแล้วก็ร้สึกว่างานไม่เป็นที่ถูกใจเรา...เจ้านายไม่ดี ...เพื่อนร่วมงานไม่ดี ...ทุก คนไม่ดีหมดเลยเราดีคนเดียว
เราเหนื่อย เราตั้งอกตั้งใจทำอย่างดีแล้ว เขา ก็ไม่เห็นดีกับเรา เขาก็มาตำหนิเราทำแล้วเขาก็บอก ว่าไม่เข้าทำ ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่มาทำเสียเองล่ะพอคิดอย่างนี้ ใจก็ผิดไปหมด ชัดส่าย ปรุง ต่อไปว่า ...น่ากกัวเขาคงจะแกล้ง เราระแวง พอผล เกิดมาไม่ตรงกับที่เราอยาก...ระแวงเพิ่มขึ้น ทำไม๊ ..ทำไม... เราถึงจะคิดแต่สิ่งดีๆ ได้ดิฉันเคยเปรียบเทียบจริตนิสัยของคนเราว่า ต่างๆ กัน มองดูแล้วเราก็ว่าคนเหมือนๆ กัน แต่... จริงๆ แล้วบางคนก็เป็นหมี บางคนก็เป็นปลา ดิฉัน เพิ่งอ่านนิทานของหลานมาค่ะ เรื่องหมีกับปลาในนิทานเล่าว่า หมีน้อยถูกแม่สอนเอาไว้ว่า เวลาจะทำอะไร ให้ทำให้เพื่อนๆ เหมือนกับที่เราทำ ให้ตัวเอง เพราะว่าคนอื่นๆ ก็มีจิตใจเหมือนเรา ถ้า เราไม่ชอบความทุกข์ เพื่อนๆ ก็ใม่ชอบความทุกข์ เหมือนเรา
วันหนึ่ง หิมะตก ในป่าหนาวจัดมาก หมีน้อย หนาว แม่ก็ออกไปหากิน หมีน้อยจำได้ว่าถ้าหนาว อย่างนี้ แม่สอนให้ก่อไฟผิง ก็ไปเก็บกิ่งไม้มาก่อไฟ
ขณะกำลังนั่งผิงไฟอุ่นสบาย ก็เหลือบไปเหินลูกปลา ที่เป็นเพื่อนเล่นกันนอนนิ่งอยู่บนโขดหินตื้นๆ ก็นึก ถึงที่แม่สอน ตัวเรามีอะไรต้องแบ่งปันให้เพื่อนลูกปลาคงหนาวเหมือนเรา แล้วก็อยู่ในนํ้า ไม่มีไฟผิงอย่ากระนั้นเลย เรายอมขยับออกจากกองไฟหน่อย ไปหากิ่งไม้มาทำกองไฟให้ใหญ่ขึ้น แล้วอุตส่าห์เสียสละเอาเท้าจุ่มไปในนํ้า ช้อนลูกปลา ขึ้นมา เอามาวางบนหินข้างๆ กองไฟคิดดูสิคะว่าอะไรจะเก็ดขึ้นกับลูกปลา...มีไย ลูกปลาจะบอกหมีน้อยว่า ไม่เอา...ฉันจะลงไปในนํ้า หมีก็ไม่รู้เรื่อง เข้าใจไปว่าที่ลูกปลาตื้นเพราะยัง หนาวมาก ก็เลยตะปบให้ใกล้ๆ ไฟเข้าไปอีกลูกปลาก็แทบจะตาย อกสั่นขวัญแขวนว่า ตายแล้ว เพื่อนเราวันนี้เก็ดอะไรขึ้นมาถึงจะฆ่าจะ แกงเรา เราก็ไม่ไต้ไปทำอะไรให้ลูกหมีเจ็บชํ้านํ้าใจ ลักหน่อยหนึ่งกำลังทุลักทุเลกันอยู่อย่างนั้น พอดีแม่หมี กลับมา แม่หมีตกใจมาก สั่งลูกให้เอาลูกปลาไปปล่อย ลงนํ้าเดี๋ยวนี้
ลูกหมีประท้วงแม่ว่า ก็แม่สอนฉันเอง เวลา ฉันมีอะไรดีๆ ต้องแบ่งให้เพื่อน ปลาหนาวจนกระดุก กระดิกไม่ได้ ฉันลู้อุตส่าห์เสียสละเอาเท้าไปจุ่มนํ้า อุ้มปลาขึ้นมา แล้วแม่ยังจะดุฉันอีกหรือแม่หมียังไม่มีเวลาอธิบาย รีบจับลูกปลาไปใส่ ในนํ้า แล้วอธิบายว่า ธรรมชาดิของปลาต้องอยูใน นํ้า ธรรมชาติของหมีอยู่บนบก มันคนละเรื่องยัน นี่ค่ะ ถ้าเราเก็ดขัดเคืองเพื่อนร่วมงานว่า โอ๊ย ...เราทำดีแล้วยังมาตำหนิว่าร้ายเรา จะฆ่าจะแกง กันหรือยังไง นี่จะมาเหยียบเราแล้วเอาดีใส่ตัวหรือ ยังไง ให้นึกถึงนิทานเรื่องนี้เอาไว้ ...ไมใต้เจตนา ...เขาไม่รู้ว่าเราไม่ใช่จริตเดียวยับเขา ก็เลยเกิด ความเข้าใจผิดยันอย่างนี้พอเรารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาจนกระทั่งพูดไม่ ออก ...อย่าเพิ่งพูดค่ะ จากยันไปที่ไหนเสียก่อน ให้ใจสบายขึ้นก่อนแล้วค่อยกลับมาถามหาเหตุผลที่เธอทำอย่างนี้นี่เพราะอะไร ช่วยอธิบายให้ ฉันเข้าใจเหตุผลหน่อย แล้วระหว่างที่ฟังก็ล้างสมอง ของเราออกให้หมด อย่าฟังด้วยความร้สึกที่ว่า...ฉันรู้หรอกว่าเธอทำอย่างนั้นเพราะเธอ แกล้ง ฉัน หรือเธอเจตนาไม่ได้...ถ้าเราคิดเอาไว้อย่างนี้เสียงที่เขาพูด เราก็ไม่ได้ยิน เหมือนเมื่อกี้นี้ ดิฉัน ไปบรรยายที่โรงพยาบาลรามาธิบดิ ตรงข้ามโรงพยาบาลรามาธิบดีคือองค์การเภสัชกรรม ถัดจาก องค์การเภสัชฯ คือกระทรวงอุตสาหกรรม มีคนถามว่าพรุ่งนี้ดิฉันจะไปบรรยายที่ไหน ดิฉันก็บอก องค์การเภสัชฯ ผู้ฟังถามต่อว่า ห้องไหนล่ะ ดิฉันบอก ถังไม่รู้ ไม่ได้ถามเขา แต่ว่าพอไป ถึงถามเอาก็รู้หรอก ถ้าอยากฟัง เธอก็ไปถามเอาแล้วถันนะเขาสรุปว่า ก็ห้องเก่านั่นแหละ ห้อง 200 ตึก ส.ม.อ.ปกติ กระทรวงอุตสาหกรรมมีบรรยายทุก อาทิตย์ซึ่งเขาไปฟังเป็นประจำ หูก็ฟังดิฉันบอกว่า องค์การเภสัชฯ ซึ่งดิฉันอุตส่าห์ชี้มีอไปฝังตรงถัน ข้ามว่า องค์การเภสัชฯ อยู่ตรงข้ามถับรามาธิบดีนะ กระทรวงอุตสาหกรรมถังอยู่เยื้องต่อออกไปแต่ ความเคยชิน ทุกครั้งเขาจะไปที่กระทรวงอุตสาหกรรม ห้อง 200 ตก ส.ม.อ.
เทปเขาก็เต็ม เสียงดิฉันจึงไม่มีความหมาย คลื่นรบกวนแครกครากจนไม่เป็นความหมาย เขา ถึงบอกว่าห้อง 200ซึ่งเป็นห้องที่มีกิจกรรมเป็น
ประจำและถ้าหากว่าดิฉันไม่ฉุกใจ หรือเขาไม่ได้ พูดออกมา พรุ่งนี้เขาก็ไปที่ห้อง 200  แล้วจะต้อง โทรศัพท์มาต่อว่าดิฉันว่า เธอโกหก หลอกลวงให้ ฉันไปนั่งรอที่ห้อง 200 โดยไม่มีกิจกรรมอะไรเลย
มันเป็นอย่างนี้แหละ เวลาที่ใจของเรายึดอยู่ กับสิ่งที่เรา คิด สิ่งที่เรา นึก ว่าเรา รู้ ดีแล้ว แต่ความ จริงเป็นคนละแห่งคนละเรื่องกันเลย การทำงานก็มี หลายๆ ครั้งที่เราพูดกัน และเราก็สิ่อความหมาย กันวิธีนี้ แล้วก็เกิดผิดพลาดกันขึ้น แล้วก็ถึงคราวถ้าเราเข้าไปนั่งในหัวใจแต่ละฝ่ายได้ ไม่มีใคร ผิด ต่างคนต่างถูก เมื่อตอนที่เขาฟังเขาไม่ได้แกล้ง ฟังผิดๆ ใจ เขา ได้ยิน อย่างนั้นจริงๆ ความเคย ชิน ประสบการณ์ ทำให้เขาได้ยินอย่างนั้น และเชื่อ ไปอย่างนั้น ทั้งๆ ที่หูได้ยินว่าองค์การเภสัชฯ แต่ว่า ใจไปยึดเอาไว้แล้ว ก็เห็นเป็นสภาพห้อง 200 เอา ไว้แล้ว ธรรมชาติของใจคนเราเป็นอย่างนี้กันทั้งนั้น ไม่ใช่แกล้งนะคะถ้าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่หู ได้ยิน แล้วเพื่อนฝูงกันก็ไม่เห็นเป็นเรื่องสลักสำคัญ ที่ต้องไปทะเลาะเบาะแว้ง หรือว่าจะต้องยืนยันให้ เห็นที่ผิดที่ถูก เราก็ผ่านกันไปโดยไม่มีเรื่องอะไรแต่ถ้าเผื่อเรื่องทำนองนี้ไปเกิดขึ้นกับเรื่องที่ เป็นสาระ เรื่องที่มีผลประโยซน้เป็นเงินล้าน มันก็ ไม่สนุกนัก และก็อาจจะถึงเข่นฆ่ากันไปข้างหนึ่งว่า ใครผิด ซึ่งในความรู้สึกของแต่ละฝ่ายก็ไม่มีใครผิด ต่างทำด้วยความบริสุทธใจ ดีที่สุดของเราเมื่อมีปัญหาอย่างนี้เกิดขึ้น เราจะแก้ไขปัญหา อย่างไรถ้าเรามัวแต่คิดว่าใครผิด แล้วต่างก็ยืนยันให้ เห็นเพื่อพิสูจน์ว่าต้องมีฝ่ายหนึ่งผิดและอีกฝ่ายหนึ่งถูก อาจจะต้องออกจากงานทั้งคู่ โดยเป็นการออกจากงานไปหางานใหม่หรือออกจากงานโดยไม่เจตนาเพราะคนหนึ่งกลายเป็นศพ อีกคนกลายเป็นผู้ต้องหาฆ่าคนตายกได้เราไม่รู้ว่าวิบากอะไรคอยเราอยู่อารมณ์วูบเดียวไนใจของคนเราสามารถทำให้เกิด อะไรๆ ขึ้นมาอย่างที่เราต้องมาเสียใจในภายหลังแต่ถ้าเราพิจารณาอย่างนี้ว่า เราเหมือนอยู่ใน เรือลำเดียวกัน ปัญหาผิดพลาดที่เกิดขึ้นก็เหมือนกับ ที่ไม่มีใครเจตนา แต่ว่าเรือไปซนหินโสโครกและเกิด รูทะลุขึ้นมาแล้ว ถ้าเรามัวแต่ถามหาว่าใครผิด .... แน่นอนเรือจม แล้วเราก็จมนํ้าตายทั้งคู่แต่ถ้าเรือไปชนหินโสโครกจนมืรูทะลุขึ้นมาแล้ว ทุกคนช่วยกันอุดรูทะลุนี้ หรือช่วยกันวิดนํ้าออก เพื่อให้กัตรานํ้ารั่วเข้าไม่ชนะอัตราที่วิดออก แล้วเรา ก็เร่งฝัจักรเรือไปจนกระทั่งถึงฝัง ทั้งๆ ที่เรืออังรั่ว นี่แหละ ผลที่สุดเรือก็ไปถึงฝังจนได้แล้วแต่ว่าทางแก้ปัญหาตอนนั้นควรจะเป็น อย่างไหน แล้วเราก็รวมแรงรวมใจกันทำใครจะผิดจะถูกตอนนั้นไม่สำคัญ แต่สำคัญตรงที่ว่าเราช่วย กันแก้ปัญหาให้ลุล่วงผ่านไปได้เสียก่อน
ถ้าคิดอย่างนี้ เราก็จะสนุกกบงาน แล้วก็จะรู้สึกว่าบ้ญหาที่เกิดขึ้นแต่ละครั้งทำให้เราเฉลียวฉลาด ขึ้น ทำให้เรามีประสบการณ์มากขึ้น ได้งดเอาวิชา ความรู้ทั้งหลายมาใช้แล้วก็เห็นฑ่ที่เล่าเรียนมามี
ประโยชน์นะ หรือบางทีไม่ได้เรียนมาเลย ที่เรียนมา นั้นง้ดเอามาใช้แล้วไม่ได้ประโยชน์ แต่ความรู้อื่นๆ ที่ มาได้จากประสบการณ์นอกหลักสูตรกลับมีประโยชน์ มากกว่าเราก็จะเป็นคนที่มองอะไรทุกอย่างรอบตัวด้วย ความสนใจ ด้วยความเอาใจใส่ซึ่งจะทำให้เรามีความรู้สึกว่าชีวิตนี้น่าอยู่ อะไรๆ ที่เราทำก็เป็นเรื่อง สนุกทั้งนั้นแต่ถ้าเราไม่มองอย่างนี้ ใจก็คิด เฮ้อ พรุ่งนี้ จะเจอบ้ญหาอย่างนี้อีกไหม ผีบ้าตัวนั้นจะทำให้เกิด เรื่องวุ่นวายอีกหรือเปล่าตกลงเราก็เป็นกังวล ใจเราก็ระแวง ใจเราก็หมกมุ่น และเราก็ เสีย ใจส่วน หนึ่งไปตระเตรียมวางแผน ถ้าเป็นอย่างนี้จะทำอย่าง นั้น ถ้าเป็นอย่างโน้นจะทำอย่างไหนดี ...เตรียมไว้ ให้พร้อม เราคิดว่าเราเป็นคนรอบคอบ เราเป็นคนไม่ประมาทแต่จริงๆ ไมใช่ เราเป็นคนไม่อยู่กับ
ความเป็นจริง เพราะเรื่องยังไม่ทันเกิด ข้อมูลก็ยิ่ง ไม่มีแต่เราเป็นนักสร้างสถานการณ์ แล้วเรากิ เหนื่อยกับสถานการณ์ที่เราสร้างขึ้นแทบล้มประดาตายครั้นปัญหาเกิดขึ้นจริงๆ เหมือนกันแต่ไม่
ซํ้าแบบกับที่เราคิดแทบล้มประดาตายนั้นเลย กลาย เป็นแบบใหม่ เรากิต้องคิดใหม่ แล้วเรากิหงุดหงิด ถ้าเราทันมองเห็นใจของเราเอง ปัญหายังไม่ เกิด เรากิเกิบใจเราเอาไว้ให้มืพกังเตมที่ ระหว่างนี้ เรากิสนุกกับชีวิตไปก่อน พอถึงเวลาที่มืปัญหาจริงๆ เราค่อยหันไปสนใจกับปัญหา แล้วเรากิเอาเรี่ยวแรง ทั้งหมดของเราไประดมที่ปัญหาจริงๆ อย่างนี้จะมื ประโยชน์กว่าครั้งแรกบอกไต้ แต่ใจไม่หยุดหรอกค่ะ ถ้าเราเคยเป็นคนขึ้กังวล เราบอกอย่างนั้น ใจกิอาจจะหยุดกะพริบตาเดียว เสริจแล้วกิกกับไป กังวลใหม่ เพราะความเคย เคยชินจนเป็นอุปนิสัย เรากิแกไป พอร้ตัวว่ากังวลอีกแล้ว เราก็หยุด ใจไว้
หรือถ้าเผื่อเราหยุดไว้เฉยๆ ไม่ได้ ก็หาอะไร สิ่งอื่นที่เราสนุกเพลิดเพลินกับมัน ทำให้ใจเราไปยึด กับตรงนั้น โดยที่ไม่เผลอวกกกับมาวุ่นกับเรื่องที่ยัง ไม่เป็นเรื่อง เราหาอุบาย หาวิธี ที่ถูกกับจริตนิสัย ฝึกตัวเราไป วันละเล็กกันละน้อย วันหนึ่งเราก็จะ สามารถแก้ไขนิสัยเหล่านี้ที่เราเห็นว่าเป็นเครื่อง บั่นทอนกำลังใจของเราได้สำเร็จพอทำอันหนึ่งสำเร็จได้แล้ว เรารู้สึกใจเรามี กำลังขึ้นต่อมาเราเจออันไหนไม่ดี ที่เห็นว่าเป็นอุปสรรค ทำให้ใจของเราไม่สบายเท่าที่ควร เราก็ แก้ไขได้ง่ายขึ้นถ้าเราทำอย่างนี้ได้ครั้งหนึ่ง เอาครั้งละเรื่อง อย่าทำจับจด เช้าเริ่มต้นเรื่องนี้ยังไม่ทันสำเร็จ บ่าย เจออีกเรื่องเปลี่ยนไปทำอีกเรื่องหนึ่ง คราวนี้ก็จะ กังวลเพิ่มขึ้น เพราะว่าเรื่องนี้ก็ยังไม่ได้เรื่อง เรื่อง โน้นก็มาเป็นปัญหาอีกแล้ว เลยทำให้ใจพะวักพะวน มากขึ้นเราเอาทีละเรื่อง และถ้ายังทำไม่สำเร็จก็อย่า ไปหงุดหงิด อย่าไปคิดว่า ฉันให้เวลา  3
วันก็ควร20 จะเสร็จ เพราะฉันเป็นคนมีเป้า ทำอะไรทุกอย่างจะ ต้องมีเป้าทุกครั้งของบางอย่างแลดูเหมือนง่าย แต่บงเอิญไป เกิดกับบุคคลใกล้ชิดที่ใจเราไปยึดไว้โดยไม่รู้ตัว เลย ทำให้เราทำไม่สำเร็จสักที แต่กับบุคคลที่ไกลๆ ตัว ง่ายดายมาก พอรู้ตัว ตั้งสติ ก็สำเร็จ ถ้าเป็นอย่าง นี้ เราก็อาจจะเข้าใจไขว้เขว คิดท้อถอยว่า ทำไม แต่ก่อนนั้นเราตั้งใจทำอะไรเราก็ทำได้สำเร็จตามที่ ตั้งใจ ทำไมมาบัดนี้จึงทำไม่สำเร็จขออนุญาตยกตัวอย่างอันหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องการ ทำงาน แต่เป็นเรื่องในครอบครัวมีคุณพยาบาล
ท่านหนึ่ง จบพยาบาลมาใหม่ๆ รับจ้างอยู่เวรพิเศษ เพราะตอนนั้นกำสังหาสตางค์สร้างบ้าน เพิ่งแต่งงาน ตอนแต่งงานสามีก็ยังไม่มีหสักฐานมั่นคง ต่างฝ่าย ต่างก็ช่วยกันทำมาหากิน เก็บหอมรอมริบเท่าที่จะ ท่าได้ เพื่อจะสร้างบ้านเป็นของตัวเองให้ได้เร็วที่สุดเมื่อเธออยู่เวรดูแลคนไข้พิเศษ ก็ตั้งใจคอย เอาอกเอาใจเพราะถ้าไม่ถูกใจ เขาก็มีสิทธิเลือกพยาบาลพิเศษคนนี้ไม่เอา ขอเอาคนอื่น ตัวเองก็จะ
ขาดรายได้เธอก็พบว่าระหว่างที่ทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการ ทำงานของตัวเองจริงๆ หรืออยู่เวรพิเศษไม่ว่า
คนไข้จะจู้จี้ขี้บ่นแค่ไหน อารมณ์เยน ทนทานได้ ที่งนั้น แค่พอกลับมาบ้านกลับมีเรื่องหงุดหงิดใน ใจไปทุกเรื่องเริ่มต้นด้วยบ้านที่อยู่เป็นบ้านสวน ละแวกนั้น มีสุนัขเยอะ พอกลับเข้าบ้านมาเธอก็บอกสามีว่า
“พี่ เก็บรองเท้าเข้ามาด้วย เดี๋ยวหมาคาบไป” พี่ก็เฉย เสร็จแล้ว ...เอ้า ไปตามเก็บรองเท้า เข้ามา ขึ้นไปข้างบน พี่ผลัดเสื้อผ้าก็ทำเหมือนเด็ก กองเรี่ยราดรกไปหมด“พี่เก็บพาดหน่อยสิ” พี่ก็เฉยอีก ตกลง บ่นไปแล้ว ตัวเองก็ต้องไปตามเก็บ กลับลงมา พบว่าหม้อข้าวที่ตั้งเอาไว้พี่ก็ไม่ได้ดูให้ อีก เดือดจนนั้าแห้งไปหมดแล้ว“พี่...อยู่ข้างล่างจะช่วยลูให้หน่อยก็ไม่ได้”ข้าวก็ไหม้ไปแล้ว ตกลงเหนื่อยก็เหนื่อย มือ ทำไปปากก็บ่นไป ใจก็หงุดหงิดไปหมด
วันหนึ่ง เธอได้คิดว่าเอ๊ะ...การที่เราไปพยาบาลคนไข้ทั้งหลาย เรา ก็ไม่ได้รักเขา ไม่ได้เห็นเขาเป็นคนสลักสำคัญสำหรับ เราลักหน่อยทำไมเราถึงทนทำได้คำน้อยไม่เคยบ่นไม่เคยว่า ยิ้มอยู่ได้ เอาใจ เขาจนเป็นเรื่องขึ้นชื่อลือชาว่าเธอเป็นพยาบาลยอด มหัศจรรย์ คนไข้ทั้งหลายอยากได้เธอเป็นพยาบาล พิเศษทั้งนั้น นี่สามีของเราที่เรารักที่สุด เราอุตส่าห์ ตกล่องปล่องชิ้นแต่งงานกับเขา เอาชีวิตเราไปผูกพัน ไว้กับเขาแล้วทำไมเราถึงได้หงุดหงิดทั้งแต่เหยียบเท้า เข้าบ้านทำไมเราถึงไม่ทำตัวให้เห็นเขาเป็นคนไข้หนัก ในหออภิบาลที่เราจะต้องดูแลอย่างดีที่สุด คำน้อยไม่ บ่นไม่ว่า มีอะไรที่จะทำได้ เรารีบทำให้ดีที่สุดพอได้คิดอย่างนี้ เธอก็เปลี่ยนวิธีใหม่ เพราะ นี่คือคนที่เรารักที่สุด เราก็ด้องเอาของที่ดีที่สุดของเราให้
คราวนี้เธอไม่บ่นไม่ว่าอะไรเลย วันหนึ่งมาถึง บ้านนึกได้ว่า เรายังไม่ได้ออกไป๓บรองเท้าเข้ามา พอนึกได้ออกไปดู รองเท้าหายไปหมด กำลัง อ้าปากจะร้องโวยวายช่างมันเถอะ ...เอ ...แต่ถ้าหมาคาบไป มัน ควรจะคาบข้างเดียว มันไม่ควรจะคาบทั้งสองข้าง เอ้ะ... ทำไมถึงหายไปเกลี้ยงเกลาทั้งลู่
กลับเข้ามาดู อ้าว ...รองเท้าเข้ามาอยู่เรียบ ร้อยบนชั้นวางรองเท้าแปลกจริง ...เดินขึ้นไปข้างบน กางเกง เสื้อ พาดไว้เรียบร้อยหมด บ้านช่องเป็นระเบียบเรียบร้อย ...งงมาก ...ก็ไม่ได้ว่าอะไร
พอตกเย็น รับประทานข้าวกันสามีไม่เคยตักข้าวให้ มีแต่นั่งเฉย วางท่าเป็นเจ้าพระเดชนาย พระคุณคอยให้เธอตักข้าวให้ ถ้ามีปลาก็ต้องแกะก้าง ออกให้ คือไม่ยอมทำอะไรทั้งนั้น วันนี้ปรากฏว่าสามี ตักข้าวให้ เธอก็ปรารภว่าเอ...พี่วันนี้เกิดอะไรขึ้น พระอาทิตย์หมุนกลับ ข้างหรือยังไง
สามียิ้มแล้วบอกว่า ก็แต่ก่อนนั้นเขาไม่ได้อยู่ กับเมียเขาหรอก อยู่กับยายแก่ขี้บ่น อะไรก็ไม่รู้ บ่นเอาบ่นเอา แล้วก็ดีแต่ออกคำสั่ง ออกคำสั่ง เขาอยู่ ที่ทำงานเขาก็มีนายเกินพอแล้ว เขาไม่ได้แต่งงาน มาเพื่อจะหานายมาเพิ่มอีกตลอด 24 ชั่วโมง เขา ก็ประท้วงสิตอนนี้คนจู้จี้ขี้บ่นออกคำสั่งหายไปแล้ว เขาก็ประพฤติตัวเป็นสามีที่ดีได้คุณพยาบาลคนนี้เล่าต่อไปว่า เราโง่เซ่ออยู่ ตั้งนาน แท้ที่จริงเป็นความผิดของเราเองนะ ถ้าเผื่อ เรารู้อย่างนี้ เราเริ่มด้นให้ถูกเสียตั้งแต่แรก เราก็ ไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องเสียกำลังใจไปจนกระทั่งแทบ จะเป็นบ้าไปแล้วนี่แหละค่ะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ยึดวิธีของคุณ พยาบาลว่าเราเอง... เราบกพร่อง... เราแก้ที่ตัวเราเอง ก่อน แล้วบ้ญหาที่เรานึกว่าแก้ไม่ได้ก็จะแก้ได้เธอเล่าว่า ก่อนที่เธอจะได้ติดว่า เราจะ บริบาลสามีให้เหมือนคนไข้ในหออภิบาลนั้น เธอติด ว่าเราไปฟ้องหย่ากันเสียดีไหม เพราะว่ามันเหลืออด
เหลือทนแล้ว แต่บังเอิญได้คิดเสียก่อน แล้วเริ่มต้น เป็นฝ่ายปรับปรุงตัวเอง แทนที่จะคิดว่าสามีหฤโหด ฉันไม่ได้จะแต่งงานกับเจ้าขุนมูลนายนะ หมั่นไส้ อะไรนิดก็กระดุกกระดิกไม่ได้ อะไรหน่อยก็ไม่ซ่วยกัน ฝ่ายสามีก็หาว่าเป็นความผิดของภรรยา ฉัน ไม่ได้คิดนี่ว่าเธอจะเป็นคนอย่างนี้คนเรา ธรรมชาติสร้างเอาไว้ว่า หน้า เราเอง เรามองไม่เห็น เราไม่เคยเห็นหน้าของเราเอง จน ตายไปเราก็ไม่เห็น ที่เห็น เราเห็น เงา จากกระจก แต่คนอื่นเขาเห็นหน้าจรังๆ ของเราเพราะฉะนั้นใครเขาวิจารณ์เรา ฟังเขาเถอะ เขาเห็น ของจริง เราเห็น เงา จะไปเถียงเขาว่า ฉันรู้หรอกน่ะว่าหน้า ฉันเป็นยังไง... เงา... นะคะถ้าคิดเอาไว้อย่างนี้ เราจะเกิดความเยือกเย็น แล้วฟังเขาได้ พอ ฟัง เป็นแล้ว บางทีเราได้แง่คิด ที่ดี บางทีเขาก็ไม่ได้บอกให้หรอกว่าเราบกพร่อง ตรงไหน แต่ใจของเราที่เปิดกว้าง เรากำลังวนอยู่ที่ เดียวเหมือนกับพายเรือวนในอ่าง พอเปิดใจให้กว้าง ฟังความเห็นของเขา เลยนึกเห็นหนทางแล้วเรา

ก็ไปแก้ไขปัญหาของเราได้ ทั้งๆ ที่สิ่งที่เขาแนะนำ ไม่ใช่คำตอบ แต่มันให้แนวคิด ที่เหมือนกับเราแทงบิลเลียด ลูกกระดอนมาชนกันเข้าทำให้ลูกเราลง หลุมได้
บางครั้งความเห็นของคนอื่นก็มืประโยชน์กับ เราอย่างนี้ถ้าเรารู้จักฟังเป็น ถ้าเราพยายามลด
ศักดิ์ศรีของตัวเองลงไป ไม่อย่างนั้นเราหลอกตัวเอง เราสะกดจิตตัวเราว่าใครจะมารู้จักตัวเราดีกว่าตัวเรา เราอยู่กับตัวเราตลอดมาตั้งแต่เกิด หน้าเราก็ เห็นทุกวี่วัน จริงๆ เราหลอกตัวเอง“คุณ เมื่อเช้านี้คุณไม่ได้ล้างหน้าหรือ ขี้ตา เต็มตาเชียว” เราจงเชื่อเขา เดินไปเข้าห้องนํ้าส่อง กระจกดูทั้งที่เราล้างหน้าแล้ว ก่อนออกจากบ้านเราก็ส่องกระจกแล้วตาเราสวยงามสะอาดสะอ้านแต่บังเอิญระหว่างที่เดินทางมา เกิดลมพัดทำให้มี ละอองอะไรปลิวมาระคายให้เราแสบตา แล้วขี้ตา เราก็ฟูมฟายเป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆถ้าเราทำใจเอาไว้ว่า ใครจะปรักปรำเราหรือ ว่าอะไร เรารับฟังไว้ก่อน อย่าเพิ่งโต้แย้ง อย่าเพิ่ง
บอกว่า ไม่จริง... ไม่ใช่... ถ้าเราทำใจเอาไว้ว่า ไม่ จริง ไม่ใช่ เราปีดกํ้นทางของเราเอง แล้วไม่มีวัน ที่เราจะก้าวหน้าต่อไปได้เพราะอะไร? เพราะถ้าเราดีพร้อมแล้ว เรารู้ ของเราเต็มที่แล้ว เราไม่มีปัญหาอย่างที่เรากำลังหา ทางออกอยู่การที่เรามีปัญหา เราดีดอะไรไม่ออกแปลว่าในขณะเดี๋ยวนี้มีอะไรอย่างหนึ่งที่ทำให้ความ สามารถของเราคุ้มครองตัวเองไม่ได้ เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่เขาเกิดยื่นมือเข้ามา หรือเขาไม่ได้ช่วย ตรงๆ แต่เขาก็อาจจะมีประโยชน์เรารับไว้ ไม่เสียหาย ถ้าเราฝึกให้ใจของเรา เห็น อย่างนี้ได้ เรา ก็ได้เรียนรู้จากสิ่งรอบข้าง แล้วจะทำให้สติปัญญา ว่องไวทันท่วงทีขึ้น เห็นชีวิตและการทำงานเป็นของ สนุกดิฉันยึดหลักเอาไว้อันหนึ่งในชีวิตของดีฉันว่า “อะไรก็ตามที่เกิดขึ้น ดีที่สุดสำหรับตัวเองเสมอเริ่มต้นที่ยึดหลักนี้ ไม่ใช่ตัวเองดีดได้หรอก พ่อ... พ่อสอนเอาไว้... เพราะเมื่อเด็กๆ บางทีเรา
ก็บ่น เพื่อนไม่ดี เพื่อนแกล้ง พ่อจะบอกว่า...อะไร ก็ตามที่เกิดก็กับลูก ดีที่สุดเสมอพอเราเชื่ออย่างนี้ เราก็หาคำอธิบายมาทำให้ ใจเราสบาย แล้วเราก็ไม่ต้องโกรธกับเพื่อน เราไม่ ต้องหงุดหงิดคิดไม่ชอบ หรือไปคิดอาฆาตพยาบาท คนอื่นๆ ไจของเราก็ไส เบาสบายแรกๆ สติป้ญญาเรายังคิดไม่ทัน ก็ไต้แต่มา บ่นกับพ่อ...พ่อว่าดี ไม่เห็นดีเลย แล้วเราก็แย่ทุกทีพ่อปลอบว่า ...เอาเถอะค่อยๆ คิดไป แล้วมัน จะดีเอง..ก็ไต้พบค่ะ ว่าใจของเราสบายขึ้น และต่อๆ มาเราก็เข้าใจต่อมาเราไต้เรียนรู้อะไรๆ เพิ่มขึ้น ก็ใต้เห็น ว่า การคิดว่าอะไรที่เกิดขึ้นกับเราเป็นของดีที่สุด นั้น เป็นกุญแจที่ทำให้ชีวิตของเราเป็นชีวิตที่ไม่มี สนิมในใจ แล้วก็ทำให้บางครั้งเราได้พบสิ่งที่ดีกว่า ที่เราคาดคิดเอาไว้เสียอีกเมื่อดิฉันเป็นนักเรียนเตรียมแพทย์ ไต้อ่าน ประวิตผู้ค้นพบเพนนิซิลลินจนไต้รางวัลโนเบล
ท่านผู้นี้ศึกษาเกี่ยวกับเชื้อโรคทั้งหลาย เริ่ม ต้นท่านไม่ไต้ตั้งใจศึกษาเชื้อราที่เป็นตัวผลิตเพนน้- ซิลลิน ท่านเพาะเชื้อโรคตัวหนึ่งเพื่อศึกษาว่าเชื้อโรค ตัวนี้มีพิษอย่างไรเป็นอยู่อย่างไร ขณะที่ให้ผู้ช่วย เพาะเชื้อโรคเพื่อจะให้มีปริมาณมากพอที่จะสกัดเอา พิษมาศึกษา เกิดความผิดพลาดอย่างไรไม่ทราบ เชื้อโรคตายเรียบหมดเลย แล้วในจานเพาะเชื้อโรคกิ มีราดำๆ ชื้นเต็มไปหมดท่านคงคิดอย่างนี้ว่า อะไรที่เกิดขึ้น ดีที่สุด ท่านไม่ได้ดุว่าผู้ช่วย ไม่ได้โกรธเกรี้ยวอะไร ท่าน กลับมานั่งพิจารณาถึงสิ่งที่เกิดชื้น แล้วกิสรุปว่า ถ้า สมมุติฐานของเราเป็นจริง สิ่งที่เราพบจะดียิ่งกว่า เชื้อโรคตัวนั้นอีก เพราะก่อนหน้านั้นยังไม่เคยมียา ปฏิชีวนะทำให้เชื้อโรคตายได้ ถ้าเราเป็นฝีและเป็น เบาหวานอยู่ด้วย ...เราตาย...เพราะฝีเม็ดเล็กๆนั้นจะกระจายเป็นผิฝักบัวแล้วลุกลามเข้ากระแสเลือด จนกระทั้งเป็นฝีทั้วตัว แล้วเราก็ตายท่านจึงสรุปว่า ถ้าสมมุติฐานของเราถูกต้อง ราตัวนี้จะเป็นการด้นพบที่ยิ่งใหญ่ในวงการแพทย์
ท่านจึงเปลี่ยนเข็มมาเพาะเลี้ยงราตัวนั้นแทน แล้วเอาราที่ได้มาสกัดเพื่อศึกษา เอาไปฉีดในสัตว์ ทดลองที่ทำให้เป็นพบว่าหายเอาไปใส่ในจานเพาะเชื้อที่มีเซื้อโรคอยู่ ก็พบว่ามันสามารถทำให้ เชื้อโรคบางชนิดตาย บางชนิดหยุดยงไม่ถึงตายก็จริงแต่ก็ไม่เติบโตต่อไปแล้วท่านก็ศึกษาต่อจนกระทั่งในที่สุดได้เพนนิชิลลินออกมา ทำให้เดี๋ยวนี้ เราไม่ตายจากโรคติดเชื้อ และเราก็มียาปฏิชีวนะ ตัวอื่นๆ ที่ดีชื้นๆ โดยลำตับ
จากเหตุผิดพลาดที่เก็ดชื้นทำให้ท่านได้รางกัล โนเบล ถ้าท่านไม่ได้เชื่อว่า อะไรก็ตามที่เกิดชื้น
ล้วนดีทั้งนั้น ท่านก็คงขว้างจานเพาะเชื้อที่ราตัวนั้น กินแบคทีเรียของท่านตายเรียบทิ้งไป แล้วก็คงนึก ด่าว่าเราผีบ้าอะไรก็ไม่รู้ ทำให้เราเสียเวลา ต้อง ไปหาแบคทีเรียมาเพื่อฟูมฟักชื้นมาใหม่ ทดแทนที่ รามาทำให้ที่เราฟักเอาไว้ตายไปเรียบ แล้วท่านก็ คงอยู่ไปจนตายอย่างธรรมดา โดยที่ไม่ได้ค้นพบสิ่ง มหัศจรรย์อันนี้ชื้นมาถ้าขณะใดในการทำงานหรือในการดำรงชีวิต เราไม่ต้องการทำอะไรที่กำลังเผชิญอยู่ โปรดนึก อย่างนี้เอาไว้ แล้วจะพบว่าใจเราเป็นใจที่มีความ สุข เพราะเพียงแค่เราคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราก็ไม่ หงุดหงิดกับมัน ใจเราก็มีความสุขแล้ว ใช่ไหมคะไม่อย่างนั้น เรานึก ไม่เอา ไมใช่ ไม่ชอบ... ไม่... เรามีแต่คำว่า ไม่ หรือ ตัว ก็ทำไป แต่ ใจ ก็ต่อต้านเมื่อมีความรู้สึกว่า ทำไมต้องเป็นเราแล้วคนอื่นๆ ล่ะเห็นไหมคะ... เราไม่ได้ตั้งใจเป็นคนขึ้อิจฉานะคะ แต่ทำไมคนอื่นๆ เขามีความสุข เขา มีแต่ความสำเรืจแล้วทำไม๊...ทำไม พระเจ้าถึงไม่ยุติธรรมกับเราอย่างนี้เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว ใจเราหาย ใจเราขาดกำลัง แล้วเราก็เริ่มมีนิสัยที่คอยไปมองคนอื่น มากกว่าที่ จะมองตนเองพอไปมองคนอื่นแล้ว กำลังที่จะมุ่งมั่นจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เราทำอยู่ก็กระจัดกระจายไปแล้ว เหมือนเราทำใจของเราให้ไม่เป็นแว่นแก้วนู้นเมื่อมีแสงอะไรส่องมากระทบแว่นแก้วนูนจะทำให้แสงรวมตัวเป็นจุดเดียว
พูดได้ยิน อย่างที่เขาได้ยินจริงๆ เพราะในใจของคนเรามักมีจุดบอดอย่างนี้อยู่อะไรที่เราเคยทำอยู่ เรายึดโดยที่ไม่รู้ว่าเรา ยึด แล้วเราก็ทำอย่างที่เราทำถ้าเราคอยเอาสติจับจ้องอาการของใจของเราเองเราจะเห็นที่ผิดทำนองนี้เยอะ แล้วบางทีเราก็ไม่สนใจ บางทีเราก็ ขบขัน เพราะเราคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ
ถ้าใครอ่านหนังสือของดิฉันก็คงจะผ่านตัวอย่าง ที่ว่า วันหนึ่ง หลานอายุขวบกว่าๆ ตื่นขึ้นมาหา แปรงสีฟันของตัวไม่เจอ ก็มาบอกดิฉันว่าคุณย่าเอา แปรงสีฟันของเขาไป ดิฉันก็งง คุณย่าจะเอาแปรง สีฟันของหลานไปทำไม เพราะว่าแปรงสีฟันไม่ใช่ ของที่ใครจะใช้สีปนเปกันได้ แต่เขาคงยังไม่โตพอจะ เช้าใจว่าแปรงสีฟันไม่ใช่เป็นของสาธารณะดิฉันก็ไม่ว่าอะไร หาแปรงสีฟันอันใหม่มาให้เขา แล้ว จับเขาแปรงฟัน
พอสายๆ รับประทานข้าวเรียบร้อยแล้ว เขา ไปเล่นตุ๊กตา ก็ปรากฏว่าแปรงสีฟันเช้าไปอยู่ใน กล่องตุ๊กตา เมื่อวานนี้เขาคงเล่นตุ๊กตาแล้วเอาแปรง
สีฟันของตัวไปเล่นสีฟันให้ตุ๊กตา และลืมเอากลับมา เก็บเข้าที่ พอเขาเห็นแปรงสีฟันเขาก็หันมามองหน้า ดิฉัน และเห็นตาดิฉันกำลังมองแปรงสีฟันอยู่ เขา รีบอธิบายว่า“ก็ลูกหาแปรงสีฟันไม่เจอ แล้วคุณย่าก็ไป ร้อยเอ็ดเมื่อคืนนี้ ลูกก็เลยคิดว่าคุณย่าเอาแปรง สีฟันของลูกไป”ห็นไหมคะ เด็กขวบกว่าๆ สัญชาตญาณมอง ออกนอกตัวสอนไห้เวลาที่หาอะไรไม่พบก็ต้องมีเหตุ มีผล เขาก็พยายามหาเหตุผลให้ได้ว่าแปรงที่ไม่อยู่ กับที่นั้นมีสาเหตุจริงๆ ไม่ใช่ว่าเขาเหลวไหลทำ แปรงของเขาหาย และก็ เชื่อ อย่างนั้นจริงๆ จน กระทั่งไปเจอแปรงเข้า เขาถึงนึกขึ้นได้ ก็เด็กนี่คะ เขายังแยกระหว่างความจริงกับความนึกคิดไม่ได้ ก็ บอกตรงๆ ว่าเขาคิดว่าคุณย่าหยิบไปแต่ถ้าเราโตอย่างนี้ เราเห็นแล้ว แต่ไม่ยอม รับว่าเราคิดไปเอง เราก็ยืนยันว่าคุณย่ามาหยิบไป นี่นา เพราะเราเห็นภาพความคิดในใจของเราเป็น สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ
เห็นอย่างนี้แล้วเราจะเข้าใจ บางครั้งเวลา ที่เข้าที่ประชุม ผู้ใหญ่ระดับบริหารสามารถจะพูด ทำนองนี้ เหมือนกับที่เลขานุการท่านหนึ่งเล่าให้ ดิฉันฟัง ในที่ประชุม เจ้านายแถลงว่า เรื่องนี้ได้ให้ เลขาฯเวียนไปให้เจ้าหน้าที่ในแผนกดูหมดแล้วเจ้าหน้าที่เห็นชอบ ตกลงด้วย เพราะฉะนั้น ขอผ่าน วาระไปเจ้าหน้าที่ทุกคนหันมามองคุณเลขาฯ อย่าง กับจะหักคอทิ้งเพราะไม่เคยรู้เรื่อง ไม่เคยเห็นหนังสือเวียนฉบับนี้เลย คุณเลขาฯ ก็หน้าซีดเพราะ ไม่เคยเห็นเหมือนกัน และไม่รู้เรื่องด้วย แดไม่กล้า ค้านอะไรตรงนั้น เสร็จประชุมออกมาก็รีบบอกเจ้า หน้าที่อื่นๆ ว่า“หนูเองก็ยังไม่เห็น คงจะเกิดความเข้าใจผิด อะไร แล้วหนูจะไปจัดการดูแลว่าเรื่องเป็นอย่างไร แน่”พอเจ้านายอารมณ์ดีเธอก็เข้าไปพบ แล้วถาม ว่า ประทานโทษเถอะค่ะ หนังสือเวียนฉบับนี้ท่าน ส่งไปให้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
ท่านก็คิด “เอ๊ะ...หรือผมยังไม่ได้ส่งให้คุณ แต่ ผม ว่า ผมส่งแล้วน่า”ก็ไปรื้อแฟ้มขึ้นมาดู ก็จริง ไม่ได้ส่ง ไม่ได้มี เลยว่าใครรับทราบ ใครรู้เรื่อง แต่ท่าน คิด ของท่าน เอาไว้ คิดเอาเองและคิดว่าได้ให้ลูแล้วและผ่านวาระไปหมดแล้วถ้าเราไม่เข้าใจวิธีคิดอย่างที่คุยสู่กันฟัง เราก็ คงไปแอบนินทาว่าเจ้านายฉันเดี๋ยวนี้ชักจะชราภาพมากแล้วนะ ลูสิหลงแล้วก็ทำอย่างนี้หน้าตาเฉย หรือไม่อย่างนั้น ถ้าเป็นเพื่อนกัน เราก็สรุปเลยนี่เธออย่าไปคบค้าด้วยนะ คนนี้เขาเป็นเจ้าของโรงทำนํ้าแข็ง ป้น่นั้าเป็นตัวเก่งที่หนึ่งเลย แล้ว เราก็ผิดใจกัน เราก็โกรธกันแต่จริงๆ นั้นเป็นอย่างนี้ธรรมชาติของใจของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายเป็นอย่างนี้ ถ้าเราไม่ได้มีเวลา ที่จะคอยตรวจตราและคอยลูว่าตรงไหนที่เริ่มเกลียว หวาน ตรงไหนที่ชักจะลื่นเกินความเป็นจริงแล้ว เพราะนั้ามันหล่อลื่นดีมาก ประสบการณ์สนับสนุน ว่าอะไรๆ ที่ฉันทำถูกทั้งนั้น อะไรๆ ที่ฉันคาดคิด ก็ใช่ทงนั้น มันจะทำให้เราเผลอไปว่า บางทียังไม่ ทันทำเลย ใช่แล้ว... เพราะยังไงๆ ถึงทำมันก็เป็น ทำนองนี้แหละ ทำให้ผู้ร่วมงานปวดหัวหมดเพราะ ติดตามไม่ทัน ท่านเล่นพิสูจน์สมการทีเดียวกระโดด ข้ามไปเสีย 6-7 บรรทัดเมื่อทราบอย่างนี้ เราจะได้ไม่หงุดหงิดเวลา ที่เกิดสิ่งผิดพลาดหรือสิ่งที่เข้าใจไม่ตรงกันในการ ทำงาน เราหนักแน่นเข้าไว้ ถามกันดีๆ อย่าเพิ่งไป ปรักปรำว่าใครผิด ใครถูก ในการทำงาน ถอนคำ ว่าใครผิด ใครถูก ออกไปจากปทานุกรมเสีย เพราะ พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่า ของทุกอย่างมาแต่เหตุแต่ก่อนดิฉันก็คันในหัวใจไปหมด เพราะถ้า หากไม่มีใครถูก ใครผิด แล้วเราจะสอนให้คนรู้จัก รับผิดชอบ ได้อย่างไรเราทำให้คนมีความรับผิดชอบได้โดยไม่ต้องไป ยึดว่าใครผิด ใครถูก การที่เราไปยึดว่าใครผิด ใคร ถูก เราหาปุยใส่ให้อัตตาของเราอ้วนชื้นมาค่ะ แล้ว เราก็ไปเหยียบอยู่บนคอต่อคนอื่นเขา แล้วก็มีความ สุขเหลือเกินที่จะประกาศว่า กูแน่ กูเก่ง
ในที่สุดเราก็จะเป็นคนเดียวดาย เพราะว่าทุก คนจะบอก คุณเก่งตุณก็ทำไปเองสิเราคนไม่เก่ง
ทำไปแล้ว คุณก็ต้องเหนื่อย คอยไปแก้ที่เราทำผิดๆ เรารักคุณนะ เราไม่อยากให้คุณเสียอารมณ์ เพราะ ฉะนั้น เราก็เสียสละไม่ทำอะไรเลย เพื่อคุณจะได้ไม่ หงุดหงิด คอยตามแก้ที่ผิดคุณจะได้ทำได้ตามใจ
ตามวิธีของคณเต็มที่แต่เราไม่คิดอย่างนัน พอเขาทำอย่างน เราปรับโทษว่า ผู้ร่วมงานพวกนี้ดีแต่รู้มาก เอาเปรียบไม่มีนํ้าใจ แต่เราไม่เห็นท่อนแรกที่เราไปทำให้เขาเซ็งจนเขาไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยถ้าเราเห็นอย่างนี้ เราจะได้สอนตัวเองไว้ว่าของทุกอย่างมาแต่เหตุ มีอะไรที่เราไม่ถูกใจ พยายามสาวหาเหตุให้เจอแล้วไปแก้ที่เหตุ โดยไม่ต้องไปหาว่าใครผิด ใครถูกถ้าเรา แกัที่เหตุ แล้วทุกอย่างเรียบร้อยไปเอง ไม่ต้องไปหาว่าใครผิด ใครถูก ธัมมะของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งช่วยปลอบประโลมให้เรามีชีวิตอยู่ในโลก นี้อย่างมีความสข อย่างมีสขภาพจิตสมบูรณ์ท่านผู้รู้เปรียบเทียบธรรมของพระพุทธเจ้า เหมือนมะพร้าว พวกเราเหมือนคนเดินทางที่ไม่รู้จัก ว่ามะพร้าวนี้จะเอามากินอย่างไร พอเราเดินทาง เหนื่อยมากิเจอสวนมะพร้าวแห่งหนึ่ง มีป้ายปักติด เอาไว้ว่า ผลไม้ในสวนนี้ใครหิวจะเอาไปกินไปดื่มไป ทำอะไรกิได้ ยกให้เป็นสาธารณะคนเดินทางคนที่หนึ่งมาถึง ไม่รู้ว่ามะพร้าวนี่ กินอย่างไร เข้าใจว่ากาบมะพร้าวคือเนื้อ เอามีดเฉาะอย่างดี ได้กาบมะพร้าวออกมาเกลี้ยงเกลาหมด แล้วกิเริ่มด้นลงมือกิน พอลงมือกินใครจะไปกินไหว เคี้ยวกาบมะพร้าวกิเหมือนเคี้ยวเชือกแต่ความหิว ก็ปลอบใจตัวเองว่า ถ้าเคี้ยวต่อไปคงหวาน เคี้ยวจนกระทั่งเหงือกระบมไปหมด กลืนกิยังไม่ลง หวานก็ไม่หวานผลที่สุดกิเลยขว้างทิ้งไป พร้อมทั้งด่าเจ้าของว่าโธ่เอ๊ยโง่เซ่อ ไปเอาผลไม้อะไรก็ไม่รู้มา ปลูก ขายที่ไหนกิขายไม่ได้ แล้วยังทำเป็นคนใจบุญสุนทานหลอกเอาไว้ว่าอันนี้ใครจะเอาไปกิได้ ยกให้เปล่า ๆ ไม่มีใครเขาเอาไปทำอะไรหรอก
ก็เหมือนพวกเรานี่แหละ ที่รู้จักศาสนาแต่ เพียงเปลือกประเพณี ถึงวันสำคัญจะต้องทำบุญใส่ บาตรบางคนเคร่งไปกว่านั้น เราต้องใส่บาตรทุกวน มีบ้านใหม่ก็ต้องทำบุญ นิมนต์พระมา ถ้าใคร ไม่เคยทำบุญสร้างโบสถ์สร้างพระประธานเอาไว้ ตาย แล้วจะตกนรกทุกอย่างมีแต่ทำบุญๆ แต่เวลามีทุกข์เดือดร้อน ไม่เห็นศาสนาจะช่วยอะไรเราเลย ไม่จำเป็นจะต้องมีศาสนาก็ไต้ เพราะเราไปเจอเอา กาบมะพร้าวเข้าถัดมา คนเดินทางคนที่สอง ฉลาดขึ้น รู้ว่า กาบมะพร้าวเป็นเปลือกทุ้มเอาไว้ ก็ถากออกจน กระทั่งถึงกะลามะพร้าว แล้วพยายามวับถัดกะลา ไห้ขาดให้ได้ ถัดจนกระทั่งฟันเจ็บไปหมด ดีไม่ดีถ้า ฟันโยกอยู่ก็คงหัก เคี้ยวอะไรไม่ได้ ผลที่สุดก็บอก ตัวเองว่า เจ้าของสวนนี่แย่มาก มาหลอกถันชัดๆก็เหมือนพวกเรานี่แหละ จิตใจเราเขยิบสูงขึ้น มาแล้ว รู้ว่าศาสนาไม่ได้มีแต่ประเพณี ไม่ได้มีแต่ อะไรต่อมิอะไรที่สั่งบังคับไว้อย่างนั้นๆ เรานับถือ ศาสนาเพราะว่าศาสนาเป็น อาหารใจ ทำให้คนดีมี ศีลธรรม ทำให้สังคมอยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุข เมื่อ เรามีศีลธรรมแค่ไหน เราก็คิดว่าเป็นหน้าที่ของเรา ที่จะทำให้เพื่อนร่วมงานและคนใกล้ชิดของเราต้อง มีศีลธรรมเท่านั้นด้วย ถ้าเขาไม่มี เราก็รู้สึกว่าเป็น ความบกพร่องของเรา เราต้องใส่ความพยายามเพิ่ม ขึ้นอีกยกกำลังทวีคูณ เพื่อให้เขามีศีลธรรมให้ได้ใจของเราจึงทุกข์ ผิดหวัง เดือดร้อนอกไหม้ไส้ขม ไม่ผิดลับขบกะลามะพร้าว เพราะเหตุการณ์ ที่ประสบพบในชีวีตประจำวันมีแต่ข่มฟันลัดฟันทน เราต้องเป็นคนดี อดทน เสียสละ เอาชนะความชั่ว ด้วยความดีแต่ใจที่ยังไม่รู้รอบตามเป็นจริงทำให้ยึดตัวเอง เป็นบรรทัดฐาน เป็นมาตรวัดโลกภายนอก...ทำไม เรายังรู้คิดได้ เขาทำไมไม่คิดอย่างเรา ไม่ทำอย่าง เรา ทำไมเขาถึงรู้มากเอาเปรียบอย่างนี้นะ ...ทำไม ...ทำไม ...ทำไมเราหลงเข้าใจผิดไปว่าเรามีหน้าที่รับผิดชอบ จะต้องแก้ไขโลกทั้งโลกให้เป็นโลกพระศรีอาริย์ ทุก คนมีศีลธรรมซื่อตรงต่อตนเอง รับผิดชอบในภาระหน้าที่ของตน
เป็นโลกที่ไม่มีวันจะเป็นจริงขึ้นมาได้ เพราะ กรรมย่อมจำแนกแจกสัตว์และบุคคลให้ทราม และประณีตแตกต่างกันไปเราก็เลยแกว่งไกว สับสน ขมขื่น สรุปกับตัว เองว่าพอกันที ทำดีได้ดีมีที่ไหนกัน สมัยนี้มีแต่ทำ ชั่วได้ดีมีถมไปต่างหาก ขืนยังเชื่อศีลธรรมอยู่ก็คง เป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปีไม่มันเพื่อนทันฝูงเท่านั้นเอง คราวนี้ก็มาถึงคนเดินทางคนที่สาม พินิจพิศคิดลูกมะพร้าว คงเนื้ออร่อยมีคุณค่าเปลือกถึงหนา แข็งแรงดีแท้ ก็เริ่มเฉาะกาบมะพร้าวทิ้งไป พบกะลา ก็พยายามกัดกิน อือม์...น่ากสัวจะเป็นเมีด ลูกไม้ นี่คงต้องกะเทาะเมีดออกเสียก่อนจึงจะกินเนื้อในได้ ก็ยกขึ้นสำรวจตรวจดู ขณะพลิกไปมา หูกใต้ยินเสียง นํ้ากระฉอกอยู่ข้างใน ก็แน่ใจว่าลูกไม้นี้มีนํ้าด้วยกระทาชายนายนื้ก็หามีดมาค่อยคว้านฝากะลา เป็ดเป็นช่องออก ก็ได้ดื่มนํ้ามะพร้าวหอมหวานแก้ กระหาย และกินเนื้อมะพร้าวอิ่มอร่อยขื่นใจ
เปรียบได้กับบุคคลที่ใข้สติปัญญาไตร่ตรอง ศึกษาพิจารณาคำสอนของพระพทธองค์ เห็นว่ามีทั้ง
เปลือก คือขนบประเพณี กระพี้ คือศีลธรรม ที่เป็น หลักให้คนแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ คุ้มครองให้ สังคมผาสุกร่มเย็น แล้วก็ถึง แก่น คือการแกปฏิบ้ติ ใจให้เกิดปัญญาเห็นชอบรู้จัก โลกใน คือตัวเองและ โลกนอก คือสิ่งแวดล้อมรอบตัว ตามเป็นจริง ว่าทุกสิ่งล้วนเกิดแต่เหตุ มีอะ ไรเกิดขึ้นให้ตั้งสติ เพ่ง ค้นหาต้นเหตุให้ได้ แล้วปัญหาทั้งปวงก็จะคลี่คลาย ไปด้วยดี รักษาใจให้เป็นปกติ สงบ อิ่มเต็ม เหมือน คนเดินทางที่ได้กำลังจากนํ้าและเนื้อมะพร้าวอ่อนตัวอย่างที่จะอุปมาให้เห็นประโยชน์ของแก่น ธรรมคือ เมื่ออยู่กับผู้คนก็อย่าเผลอใจไปยึดตามอายุ ของกายเพราะบางคนร่างกายเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ใจของเขายังติดอยู่เท่าใจเด็กอายุขวบ กว่า หรือบางคนอาจจะปัญญาอ่อนยิ่งกว่านั้นอีก ไม่ ยอมรู้เรื่อง เหมือนเราเลี้ยงสัตว์เลี้ยง เราเลี้ยง หมาเล็กๆ เอาไว้ แล้วเราสั่งว่า นี่นะ อย่ายิ่าเข้ามา นะ ตรงนื้ฉันเพิ่งเชีตสะอาดๆ เท้าเจ้าเขึ้อนขึ้ใคลน อย่ายิ่าเข้ามานะ มันก็นั่งกระดิกหาง ทำท่าเหมือน กับว่า... ครับ... ครับ... ครับ...แต่พอเราลุกขึ้นคล้อยหลัง มันก็เอาเท้าที่ เปรอะขี้โคลนยาไปทั่วหมด พอเราออกมาเห็นก็ โวยวายว่า อย่ายํ่าเข้ามา... อย่ายํ่าเข้ามา... มันก็นั่งลงกระดิกหาง เราก็เอ็นดูมัน ใจอ่อน เฮ้อ จะไปตุ อะไรกับหมา มันรู้ภาษาเสียที่ไหนล่ะแต่ถ้าเป็นคนทำอย่างนั้น เราเอ็นดูไหมคะ ...เราก็จะต้องเอ็ดตะโรว่า มีอย่างที่ไหน โตจนเป็น วัวเป็นควายแค่นี้แล้ว พูดกันไม่รู้ภาษาคนหรือยังไง แต่จริง ๆถ้าเรามีตาญาณมองไปเห็นในใจเขาได้อย่างพระพุทธเจ้า ใจของเขาเหมือนลูกหมาที่เรา เลี้ยงไว้ เพราะใจเขาไม่เข้าใจความหมายที่เราบอก ว่า อย่าเดิน... อย่าเดิน...มีครอบครัวหนึ่ง ประหยัดมัธยัสถ์รายจ่าย ด้วยการขัดพื้นบ้านเอง ชื้อนํ้ามันเคลือบพื้นมา สามี ขัดพื้นทานํ้ามันเคลือบจนเสร็จเรียบร้อย แล้วบอก สาวไซ้'ว่า นี่ เจ้าอย่าเดินเข้ามาในห้องนี้นะ พื้นยัง ไม่แห้ง สาวใข้ก็รับคำ... ค่ะ... ค่ะ...สั่งแล้วก็ไปรับประทานข้าว พอกลับเข้ามาถึง ที่ไหนได้ คุณเธอยาเป็นรอยฝ่าเท้าประกับไว้ทั่วห้องหมด สามีก็โกรธมาก ตะคอกถามว่า
แต่สามีรู้สึกว่าถึงจุดระเบิดแล้ว ถ้าฉันยงเห็น หน้าเธออยู่ ฉันต้องตายแน่ๆ หรือไม่ฉันต้องฆ่าเธอ แน่ๆดิฉันก็เลยถามเขาว่า“นี่คุณ ถ้าเผื่อลูกหมาของคุณยํ่าเลอะอย่างนี้ คุณจะโกรธมันไหม?”"เอ๊ะ...คุณจะบ้าหรือไง ผมจะไปโกรธมันทำไม ก็มันเป็นหมา รู้ภาษาที่ไหนล่ะ”“คุณก็อย่าไปมองว่ามันเป็นรอยเท้าคนหรือ รอยเท้าหมาก็สิ้นเรื่อง เพราะจะคนหรือหมาคุณก็ ต้องล้างพื้นทาใหม่เหมือนๆ กันคุณก็คิดว่าเป็นรอย เท้าลูกหมาสุดที่รักของคุณเสียไม่ไต้หรือ”เขาทำท่าว่าอยากจะไล่ดิฉัน ...โน่นประตูเห็นไหม... แต่เขานึกยังไงไม่ทราบ เดินไปอีกห้อง หนึ่ง หายไปสักชั่วโมง กลับมาหัวร่อแล้วบอกว่า“ขอบคุณนะ คุณทำให้ผมสามารถอยู่ต่อไปไต้ และแต่นี้ไปคงไม่โกรธสาวใช้คนนี้อีกแล้ว”ใจของคนแต่ละคนมีความพัฒนาเจริญอายุขัย ไม่เท่ากัน หน้าตา อายุทางโลก อาจจะเป็นผู้หลัก
ผู้ใหญ่ พูดกันแค่นี้ควรจะรู้เรื่อง แต่จริงๆ ไม่รู้เรื่อง กันหรอก โปรดนึกถึงข้อนี้เอาไว้ จะช่วยให้เราเห็น เรื่องไม่น่าสนุกเป็นเรื่องสนุกได้ แล้วงานของเราก็ เป็นสุขขึ้นไม่อย่างนั้นเราอาจจะกลายเป็นผู้ร้ายฆ่าคน หรือไปทำร้ายเขา โดยที่เราเองก็ไม่เจตนา เราทำไปแล้วก็ไม่สบายใจเหมือนที่แฟงหนึ่ง อาจารย์ระตับบริหารไป ท้าชกกับภารโรง เพราะโกรธเคืองพูดกันไม่รู้ภาษา พอโกรธขึ้นมาก็ท้าว่า “เก่งจริงเอ็งมาซกกับข้าสิวะ,’ ภารโรงก็คนจริงเหมือนกัน ก็ถกแขนเสื้อขึ้น อาจารย์ก็หาว่าไอ้นายคนนี้กำเริบไม่เคารพเราก็เลยต่างคนต่างถกแขนเสื้อขึ้นมาชกกันเป็น พัลวัน ชกกันแล้วใครจะชนะล่ะคะ ภารโรงก็ชนะวัน ยังคํ่า ก็โกรธอีก... ต้องเอามันออกจากงาน...เวลาที่เราไม่รู้เท่าทันใจของตัวเอง เราไม่รู้ กาลเทศะ เราไม่มีสติสัมปชัญญะที่จะรักษาตัวชอง เราให้อยู่ในสถานภาพที่เหมาะที่ควร เราก็เลยแปล เหตุผลของสิ่งที่เกิดขึ้นไปในทางเข้าข้างตัวเอง
ท่านให้เหตุผลว่า มันกำเริบ..มันเป็นภารโรง มันบังอาจถกแขนเสื้อ แปลว่าท้าผม ถ้าผมไม่ชกก็ แปลว่าผมไม่ใช่คนจริงสิ แต่อาจารย์ลืมอัดเทปท่อน แรกที่ว่า เก่งจริงเอ็งมาชกกับข้าสิวะ
ภารโรงก็ถือว่าอาจารย์ก็อาจารย์เถอะ ถ้าท้า กันแล้วคักดิ้ศรีคือลูกผู้ชายเหมือนกันนี่นา เป็นอย่าง นี้ เวลาที่เราลุแก่โทสะหรือเราเครียด หรือเรายึดอยู่ กับอะไรอย่างหนึ่ง เรามองไม่เห็นความจริง เรามอง ไม่เห็นรอบคอบ ฝังใจอยู่แต่ว่ามันต้องมืวิธีนี้วิธีเดียว เหมือนอย่างบางครั้งที่เราหยิบเหรียญบาทขึ้นมา เราเห็นต้านที่เป็นรูปพระเจ้าอยู่หัว เราก็บอกว่า เหรียญบาทนี้มีแต่พระเจ้าอยู่หัวทั้งนั้นเลย เหรียญ ไหนๆ พลิกดูสิมืแต่พระเจ้าอยู่หัวทั้งนั้นเลย ไปเจอ คนยียวนเข้า เขาก็บอกว่าไม่จริง พลิกเจอครุฑก็มื เรือหงส์ก็มื ซึ่งมันก็จริงของเขา เพราะเขาควาอีก ต้านหนึ่ง ในโลกนี้มือย่างนี้ทั้งนั้น ไม่มีอะไรที่จะเป็นเพียงหนึ่งเดียว นอกจาก ธรรมอะไรก็ตามที่เป็นอยู่โดยธรรมชาติ เราไม่ไป บัฌฌ้ติขึ้น มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น เป็นต้นว่าเราเดินไปเห็นพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศไหน ไม่ว่าจะเป็นคน พูดภาษากันรู้เรื่องหรือไม่รู้เรื่อง ทุกคนจะตกลงเป็น อันหนึ่งอันเดียวว่าทิศตะวนออก เพราะว่ามันเป็น สัจธรรม ของมันอย่างนั้นไม่มีใครจะบัญญติเป็น
อย่างอื่นไปได้ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็เป็น หนึ่งเดียวคนที่เป็นคนจรืง เป็นคนมีเหตุมีผล พูดกันแล้วก็จะ จบลงที่เดียวกันในภาวะที่เราเป็นอยู่ เรายังไม่ได้ไปจนถึงจุด นั้น เราก็ยังเจอของจริงบ้างของปลอมบ้าง เป็นต้น ว่า คนๆ หนึ่งที่เราลงความเห็นว่าเป็นคนจริง เพราะ เราพบเขาแต่ในภาวะที่ชีวิตเขายังไม่ถูกบีบคั้นถึง ขั้นวิกฤตจนสติหลวม เขาก็ยังเป็นคนจริงอยู่ถ้าเราไปยึดไว้ว่า เขาต้องจริงเหมือนพระ อาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกทุกที แล้วเราไปพบ เขาในภาวะวิกฤตเข้า เขาเกิดเฉไปเป็นตะวันอ้อม ข้าวละก็ เราก็จะไปคลั่งเอากับเขาเข้าให้เราหาวัคซีนบ้องกันเอาไว้ว่า อะไรๆ ใน โลกนี้มันไม่เที่ยง มันแปรปรวนทั้งนั้น ถ้ามันจะเกิด วิปริตไปอย่างนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นก็ดีมีประโยชน์ เพราะช่วยสอนให้เราหาภูมิคุ้มฉันให้ตัวเอง เราจะไดไม่ผิด หวังเราจะได้ไม่ไปพยายามหาว่าใครผิดใครถูกเราจะได้เตือนตัวเองว่า เราลูกพระพุทธเจ้า ของทุกอย่างมาแต่เหตุ เหตุครั้งนี้เหตุอะไร ถ้าเรา ค้นเหตุถูก วางยาก็เรียบร้อยเราจะพบว่า ที่แต่ก่อนนั้นเอะอะอะไรฉันต้องแน่ ใจเราต่อยคลายจาก ความรู้สึกอย่างนี้โปโดยที่เราไม่รู้ตัวพออะไรเกิดขึ้น เราไม่ได้ตืดว่าใครแน่แล้ว แต่เราจะตืดว่า เออ ...จะช่วยฉันทำอย่างไรถึงจะทำให้ไม่เกิดความเสีย หายร้ายแรง มันก็เกิดความสามัคคีขึ้นโดยไม่รู้ตัว เพราะทุกคนมิความรู้สึกว่าเราเป็นส่วนของสถานที่ นี้เท่าๆ ฉันงานอันนี้โม่ใช่ของเฉพาะใคร ไม่ใช่งานของห้วหน้า ไม่ใช่งานของคุณคนเก่ง แต่เป็น งานของ เราทุกคนเมื่องานเสร็จออกไป บริษัทของเรามีชื่อเสียง บริษัทของเราดี ผลทะลุเป้าขึ้นไปเราก็เกิดความ เป็นนํ้าหนึ่งใจเดียวฉันขึ้น โดยที่ไม่ต้องคอยเสแสร้ง ไม่ต้องคอยหมั่นประชุมเพื่อเตือนความจำ หรือมิ สติ๊กเกอร์ดีดเปรียบเปรยชี้แนะเอาไว้จนเอียนไปหมดมันมาจากความรู้สึกข้างในของเราจริงๆ ว่า เราร่วมมือร่วมใจกัน อะไรนิดๆ หน่อยๆ ซึ่งแต่ก่อนนั้น แหม...รำคาญที่ต้องคอยบอกเข้าบอกเย็น ทุกคนก็เกิดความจำได้ เพราะอะไร เพราะเกิดความรักความเอาใจใส่ เกิดเป็น อิทธิบาทสี่ ขึ้นมาพอเกิด อิทธิบาทสี่กิเกิดพอใจ มีฉันทะในงานที่ทำ พอใจในงานที่ทำเราไม่ได้รู้สึกว่างานเป็นสิ่งบีบบังคับที่ต้องกัดฟันทำแต่เรารู้สึกเหมือนเป็นงานอดิเรกที่
เราอยากรู้ นึกสนุกว่า เออ... พรุ่งนี้เป็นอย่างไร ที่ เราทำไว้เมื่อวานนี้จะเป็นอย่างไรต่อไปเหมือนกับเรากำลังปลูกต้นไม้ กิอยากรู้ว่า วันนี้มืใบอ่อนแตกขึ้นมาอีกใบหรืออุส่ามีช่อดอก ออกมาหรือยังเรากระดือรือร้นอยากจะมาดู มาพินิจพิเคราะห์ติดตามผลเราก็มีฉัแทะ มีวิริยะ พากเพียรพยายามจะ ทำ มีจิตตะ ฝักใฝ่ มืวิมังสาคอยพิจารณาไตร่ตรอง ตรงไหนผิดพลาด ตรงไหนจะมืทางที่ดีกว่านี้ เราจะ ได้รีบทำให้ดีขึ้น ไม่ต้องคอยจนกระทั่งผิดไปแล้วเรา ถึงจะมาแก้ เมื่อมีอิทธิบาทสี่เป็นแรงขับเคลื่อนอยู่
อย่างนี้ งานก็สนุกมีผลดีเดีมที่ เพราะได้แรงจากทั้ง กายทั้งใจทุ่มเทเข้าไปใจคนเราเป็นภาชนะที่ยืดหยุ่นได้ บางทีเรา บอกว่า 4 โมงครึ่ง จบกันแล้ว ไม่ทำแล้ว เพราะว่า เลิกเวลาทำงานแล้ว แต่ถ้าใจเราสนุก เราไม่ดูหรอก 4 โมงครึ่งเมื่อไร เราลูใจเรา ถ้ายังไม่เหนื่อย บาง ที 2 ทุ่มแล้ว เราก็รู้สึกเหมือนไม่ทัน 4 โมงครึ่งแต่ถ้าใจเราเหนื่อย บางทเพิ่งบ่าย 2 โมง... น่ากลิวนาพึกาตายนะ มนเป็นอะไรไป ...แล้วระหว่าง 2 โมงถึง 4 โมงครึ่ง มือก็ขีดเขียนไปแต่สมองไม่ ทำงานเลย ตกลงไม่ได้ผลงาน แล้วเราจะไปเพ่ง
โทษว่าแกล้งทำก็ไม่ได้ เพราะความจริงไม่ได้แกล้ง แต่ใจไม่ยอมทำถ้าใจ๓ดความสนุก ๓ดความพึงพอใจ รู้สึก อยากจะทำแล้ว มันไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อย มันทำได้เอง ไม่ได้วางแผน ไม่ได้เสแสร้ง มันเป็นอย่างนั้นของ มันเองเมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เราจะได้คอยเลี้ยงใจของ เราให้รู้สึกสนุก ให้คิดแต่ทางที่เป็นแง่บวก แล้วเรา
เองก็มีกำลงใจด้วยถ้าเราทำงานด้วยความกังวล เรากลัวไป หมดว่าผลจะดีหรือไม่ดี หรือเราเครียดว่าเราจะต้อง หนึ่งอยู่เสมอ เราต้องแน่อยู่เสมอ เราพลาดไม่ได้ ทั้งๆ ที่งานเราก็บรรลุผลสำเร็จแต่สุขภาพจิตแย่
เลย แล้วเราก็แก่เกินวัยดีไม่ดีแทนที่จะอยู่ไปจนกระทั้งอายุ 80 แค่อายุ 40 เท่านั้นแหละ เส้น เลือดแตก เพราะเส้นเลือดทนต่อความดันที่หัวใจ สูบฉีดสูงด้วยความเครียดอยู่ตลอดเวลาไม1ไหว ก็ เลยแตกทะลุไปเลย เส้นเลือดแตกถึงตายไปก็แล้ว เรื่องไปแต่ตายก็ไม่ตาย เป็นอัมพาตช่วยตัวเองไม่ได้
เวลาร่างกายเป็นอัมพาต ใจไม่เป็นอัมพาต ด้วยใจยังรู้ทุกอย่าง ยังกระฉับกระเฉงว่องไว
เหมือนสมัยที่ร่างกายของเรากำลังแข็งแรงมันก็ยิ่งทุกข์ทรมานหนักเข้าไปอีกสิคะว่า เพื่อนคนนี้ก็ แข็งแรง เพื่อนคนนั้นไปไหนมาไหนก็ได้ ตัวเรา อยากจะลุกขึ้น อ้าว...ร่างกายเหมือนตรึงติดกับที่ เอาไว้ หนักไปหมด ขยับเขยื้อนไม่ได้ ใจก็หงุดหงิด ใจก็เฉา แล้วมันก็ร้อนเป็นไฟเผาตัวเอง เราก็สร้าง แต่ทุกข์ขึ้นมาเผาตัวเองแต่ถ้าเราคอยระวังจับ ใจของเราให้เห็นตามเป็นจริงอย่างที่พูดมานี้ ไม่มีใครที่จะทำให้เรา เป็นสุขได้ ถ้าไม่ใช่ตัวของเราทำให้เราเองถ้าเห็นอย่างนี้แล้วเราอยากจะมีความสุข เรา ก็หากุญแจที่จะไขให้เป็นสุข ถ้าเราไม่อยากเป็นสุข เราก็ไขไปทางตรงกันข้าม แล้วไม่ต้องกลัวหรอกค่ะ มันทุกข์ชัดๆ เลย ไม่มีใครมาทำให้ทุกข์ เราก็ทำไห้ ตัวเราทุกข์ไม่รู้จบรู้สิ้นเห็นหนทางชัดเจนอย่างนี้แล้ว ดิฉันเชื่อว่า คุณคงรู้แล้วว่าคุณจะทำอย่างไร หรือคุณเห็นว่ายัง ไม่แน่ใจตรงไหน อยากถามอะไรก็เรียนเชิญเขียน คำถามไว้ได้ ดิดว่าได้เวลาที่เราจะเดิมอาหารให้กาย กันนิดหน่อยถึงใจจะสู้ก็เถอะ แต่ร่างกายอุทธรณ์ว่ามันไม่ใช่อิฐไม่ใช่ปูนนี่นา เราพักกันเสียหน่อย นะคะ
ถามตอบ ปัญหา
ถาม รู้ว่าลักษณะงานที่เราทำอยู่กิดี ตรงกับที่เรา ต้องการ แต่เราเบื่อวิธีการ การกังกับกัญชามาก
จนอยากจะลาออกต^หลายครั้ง ขออาจารย์กรุณา แนะนำว่าจะต้องทำอย่างไร
ตอบ ถ้ายึดหลักที่ดิฉันเรียนให้ทราบว่า อะไรที่เกิด ขึ้นกับเราดีทั้งนั้น เราเป็นคนอิสระไม่ชอบให้ใครมา บังคับกัญชา เรากิธีเนใจว่าดี๊ดี ที่มีนายแกไขจุดอ่อน ให้คอยกังกับกัญชาเรา ทำให้เราไต้สร้างภูมิตุ้มกัน ต่อไปถ้าเราไปอยู่ที่ไหนแล้วบังเอิญเจอคนเข้มงวด อย่างนี้อีก เรากิอยู่ไต้สบายอันนี้เป็นงานที่ห้าทาย เพราะเราบอกแล้วว่า ลักษณะงานกิดีตรงกับที่เราต้องการ เราโซคดีแค่ ไหน หลาย ๆ คนจะบอกว่า เขาอยากทำอีกอย่างหนึ่งซึ่งไม่ไต้ทำ แล้วกิไม่ถูกใจในงานที่ทำ ต้องทน ทำ เราโชคดี โซคดีที่งานกิดี ตรงสเป็กทุกอย่างเสียอย่างเดียว ผู้กังกับกัญชากังกับกัญชามากไป หน่อยจนเราเบื่อ
ความเบื่อเป็นสนิมในใจเรา จริงๆ แล้วไมใช่ ผู้บงคบบัญชาที่ทำให้เราเบื่อ แต่เราเอง เราเอา ใจ ไปเบื่อเสีย ถ้าเราควานหาให้เห็นสาเหตุและวิคราะห์ ให้ตรงตามความเป็นจริง ความเบื่อไม่มีหรอก บัน คือเงาในใจของเราเอง แล้วเราก็เหมือนเด็กที่กลัว ผีเด็นเข้าไปในห้องมืดๆ หน่อยก็ ...อุ้ยผี ...พอเปิด ไฟเข้าก็ไม่เห็นมีผี นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรานั่งดูใจของ เราจริงๆ ไม่มีหรอกค่ะความเบื่อ แต่เราไป คิด เอา ว่าเรา เบื่อ
ถ้าเราทำใจเสียว่าเขาไม่ได้บังคับเราลักหน่อย หนึ่ง เราเองก็พอใจจะทำอย่างที่เขามาสั่งอยู่แล้ว เพราะเรามองจนเห็นเหตุเห็นผลแล้ว ข้อมูลที่ให้มา ว่างานก็ดีตรงกับที่เราต้องการ แสดงว่าสิ่งที่เขาบอก ให้เราทำต้องเป็นสิ่งที่มีเหตุผลและก็ต้องดี เพราะถ้า ไม่ดี งานจะออกมาตีไม่ไต้ เพียงแต่เราติดอยู่นิด
เดียว เราไม่ชอบให้ใครมาบอก ไม่ชอบให้มาเข้มงวดออกคำสั่งบังคับบัญชา เราเป็นโคนันทริศาล อยากให้เขาเปลี่ยนวิธีพูดให้เพราะๆ หน่อยเราอย่าไปตั้งข้อแม้อย่างนั้นสิคะเรานึกว่านี่เป็นคำท้าให้เรา หัดทำ ในสิ่งที่เราไม่ชอบ ส่อไปนี้ เราไปอยู่ที่ไหน เราก็อยู่ได้ทั้งนั้น พอนึกได้อย่างนี้ เราก็สนุก เราก็ทำไป แล้ววันหนึ่งเราก็พบว่าที่เรา เบื่อนั้นไม่เห็นมีตรงไหนที่เบื่อเลย จะได้จบปัญหา กันนะคะ
ถาม ในกรณีที่ไม่ถูกกับผู้บังคับบัญชาในด้านการ ปฎิบัติงาน ควรทำใจอย่างไรจึงจะสามารถยอมรับได้
ดอบ การที่เราไม่ถูกกับเขาในด้านการปฏิบัติงาน ไม่น่ามีปัญหาเลย เพราะส่วนใหญ่มีปัญหาว่าไม่ถูก กับผู้บังคับบัญชาทางด้านส่วนคัวและชอบเอาเรื่อง ส่วนตัวมาเป็นเรื่องการงานการที่เราไม่ถูกกันในด้านปฏิบัติงาน แสดงให้ เห็นว่ามีทฤษฎีกันคนละอย่าง ก็เหมือนอย่างกับเรา เล่นกีฬากัน เราก็เรียนให้ผู้บังคับบัญชาทราบถึง ความคิดความเห็นของเราว่าเรามีเหตุผลอย่างนี้ๆ ถ้า ผู้บังคับบัญชาไม่เห็นด้วย เขาแสดงความคิดความ เห็นของเขามา แล้วเขาจะใช้สิทธิของผู้บังคับบัญชา ว่า ผมจะเอาอย่างนี้แหละ เราก็เคารพว่ากระดาน นี้เป็นกระดานเขา เขาเป็นคนเตะลูกก่อน เขาเป็น ผู้บังคับบัญชา
ดิฉันเคยมาแล้วค่ะ สมัยที่จบออกมาใหม่ๆ เลือดร้อนมากบังเอิญผู้บังคับบัญชาของดิฉันท่าน
ไม่เห็นด้วยกับวิธีรักษาคนไข้ของดิฉัน แต่ท่านก็ไม่ เรียกดิฉันมาพูดตรง ๆ ท่านขีดคำสั่งที่ดิฉันสั่งในใบ รักษาคนไข้ทิ้ง แล้วบอกให้พยาบาลทำตามคำสั่ง ของท่านพอดิฉันมาดูคนไข้ก็ตกใจไปหมด เราสั่งการ รักษาไว้อย่างหนึ่ง กลับกลายเป็นอีกอย่างหนึ่ง พยาบาลก็เล่าให้ฟังว่า ท่านผู้อำนวยการมาเปลี่ยน คำสั่งของคุณหมอแล้ว ตอนนั้นดิฉันมีความรู้สึกว่า ไม่ได้ ผู้บังคับบัญชาก็ผู้บังคับบัญชา แต่เวลารักษา คนไข้เราศักดิ์ศรีเสมอกัน เป็นหมอเท่าเทียมกันดิฉันเข้าไปหาท่าน ประท้วงว่า อาจารย์... อาจารย์ทำอย่างนี้ไม่ถูก ผิดมารยาทหมอ อาจารย์ ต้องมาขออนุญาตดิฉันก่อน เพราะคนไข้เป็นคนไข้ ของดิฉัน อาจารย์มาก้าวก่ายเปลี่ยนการรักษาโดย   ไม่ขออนุญาตเจ้าของไข้ก่อนได้อย่างไรอาจารย์ก็ไม่ว่าอะไร เพราะดิฉันชี้แจงถึงข้อ เสียของคำสั่งการรักษาของท่านเปรียบเทียบกับคำสั่ง ของดิฉัน รัวใส่ท่านเป็นปืนกลจนท่านไม่สามารถ จะคัดง้างได้แต่ท่านสรุปว่า “หมอ ถ้าผมแทงเรื่อง ใปที่กรมว่าหมอขัดขืนคำสั่งผู้บังคับบัญชานี่ หมอไม่ มีทางเถียงผมเลยนะ”แทนที่ดิฉันจะได้สติว่าเราไม่รู้กาลเทศะ ดิฉัน บอกเอาเลยอาจารย์แทงขึ้นไป ดิฉันจะเอาใบลาไป วางบนโต๊ะผู้อำนวยการกรมฯ เหมือนกัน เห็นความ บ้าเลือดของดิฉันหรือยัง ฟังแล้วท่านก็บัวเราะว่า “หมอ...ล้อเล่นแค่นี้ หมอก็ทำเป็นเรื่องจริงจังด้วย”ดิฉันก็เลยได้สติว่า อ๋อ ถ้าผู้ใหญ่ท่านพูด อย่างนี้แล้ว เราจะเอาอะไรมากไปกว่านั้น ดิฉันจึง เริ่มเข้าใจว่า ในระบบต้องมืบัวโขน เหมือนกับเรา เล่นละครกันถึงเราจะเป็นเพื่อนกัน แต่ในบทว่านี่เป็นพระเจ้าแผ่นดินนะ ในละครเราก็ต้องเคารพ เขาว่าเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ใช่ไหมคะเขาเป็นผู้บังคับบัญชา ถ้าเขาเผด็จการว่าเขา จะเอาอย่างนั้น เราก็ไม่ต้องไปคิดอะไร เราก็ตกลง ทำตาม แต่ถ้าทำตามแล้ว เราเฟ้นว่าจะเกิดผลเสีย หาย เราก็ไปบอกท่านอีกครั้งหนึ่งว่า นี่นะครับ ที่ผม ชี้แจงแล้วครั้งก่อนๆ ว่าถ้าทำไปมันจะเป็นอย่างนี้ๆ คราวนี้ถ้ายังทำต่อไปมันจะเสียหาย เพราะอย่างนี้ ...อย่างนี้ถ้าท่านยังจะยืนยันกระต่ายขาเดียวอย่างนั้น ต่อไป เราก็ต้องยอม เพราะว่าเวลาเล่นฟุตบอลหรือ เล่นกีฬาอะไรกัน ก็ต้องมีกติกา ตราบเท่าที่สถานที่ นี้เฟ้นว่าท่านเหมาะสมที่จะเป็นผู้บังคับบัญชา เราก็ ต้องยอมเคารพหัวโขน ถ้าเขาถึงวาระหลุดออกจาก ผู้บังคับบัญชา เราก็อาจจะขึ้นมาเป็นผู้บังคับบัญชา ก็ได้ ถึงตอนนั้นก็บริหารอย่างที่ใจเราชอบ แต่ตอน นี้เราก็ต้องเคารพกฎกติกาที่ดีฉันพูดอย่างนี้เพราะทุกอย่างมันมีเหตุกัน มาค่ะเราแต่ละคนที่ทำงานอยู่นี่ ก็เปรียบเหมือน
กับเราเป็นชาวนา หน้าที่ของเรามีอย่างเดียว เสือก เมล็ดพันธ์ข้าวให้ดีที่สด สิ่งที่เราจะทำลงไป คือกาย
กรรมของเรา คำพูดวจีกรรม ความคิดมโนกรรม ของเรา กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของเรา
เหมือนเมล็ดข้าวเราเลือกได้ จะเลือกให้ดีวิเศษอย่างไร ได้ทั้งนั้นเมื่อเอาเมล็ดไปหว่าน เราเลือก ที่นา ไม่ได้ว่า จะเอาไปหว่านที่ไหน เราต้องหว่านไปตามกฎเกณฑ์ ที่มีอยู่เขาบอกว่าหว่านตรงนี้ก็ต้องหว่านตรงนี้
และเมื่อหว่านไปแล้ว ผลจะได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย หรือไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยของผู้ ร่วมงาน เจ้านายเรา นโยบายของบริษัทฯ ม็อะไร ต่ออะไรหลายอย่างซึ่งอยู่นอกความรับผิดชอบของเรา ถ้าเหตุปัจจัยเป็นไปอย่างนั้น เราก็ต้องยอมอย่างนั้นถ้าเราไม่ชอบใจเพราะไม่ถูกกับผู้บังคับบัญชา ในด้านการปฏิบติงาน เราไม่สามารถทำใจของเรา ให้รับกับนโยบายนั้นได้ ก็ม็ 2 อย่างค่ะ เราหางาน ทำใหม่ หรือหาทางปฏิวิติ จนกระทั้งผู้บังคับบัญชา ไม่ฟ้นผู้บังคับบัญชา
ถาม ถ้าเรามีปัญหาส่วนตัวซึ่งจะต้องส่งผลกระทบ ต่อการทำงาน แม้ว่าเราจะควบคุมความรู้สึกของเราเองแล้วก็ตาม ดังนั้น เราควรจะปฏิปัตอย่างไร
ตอบ การมีปัญหาส่วนดัวแล้ว ถ้าเรายิ่งไม่มีงาน ไม่มีเงินเดือนอีก ปัญหานี้คงยิ่งหนักขึ้น ถ้าใจเฟ้น จริงอย่างนี้ ดิฉันเชื่อว่าความยับยั้งชั่งใจจะสูงขึ้น เพราะว่าแค่นี้ก็เป็นปัญหาเกินพอตีอยู่แล้วถ้าไม่พยายามควบคุมความรู้สึกของเรา ทำให้เกิดความ บกพร่องในการงาน แน่นอนปัญหาส่วนตัวจะเพิ่ม ขึ้นอีกคราวนี้จะมีปัญหาเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เราจะตีศึกเหนือเสือใต้พร้อมกัน หรือเราจะ เอาแต่ด้านเดียวปัญหาส่วนตัวให้อยู่ที่บ้าน พอมาถึงที่ทำงาน เราก็ปีดสวิตช์ เอาอันนั้นใส่ลิ้นซักไม่เอามาเกี่ยวข้อง ตรงนี้เราก็ทำงานของเราให้เตีมที่ถ้าทำอย่างนี้ได้เราจะพบด้วยความแปลกใจว่า ปัญหาส่วนตัวที่เรา คิดว่าหนักหน่วงเหลือเกิน ระหว่างที่เรามาตั้งใจ เอา ใจจดจ่อกับงานจริง ๆ นันเกิดผลพลอยได้เป็นปัญญา เฟ้นสู่ทางแก้ปัญหาส่วนตัวได้เป็นอย่างดีก่อนหน้านั้นใจมัวแต่ไปกังวล มันก็เป็นอารมณ์ พายเรือวนอย่ในอ่าง เราก็หงดหงิด แล้วก็มาทำที่ทำงานให้ไม่ดีเหมือนสุภาพสตรีท่านหนึ่ง ทำงานเลขานุการ มีปัญหาส่วนตัว จนควบคุมความรู้สึก ของตัวเองไม่ได้ ระหว่างนึ่งฟังเจ้านายพูดให้จดบันทึก ก็จดไปตามคำเจ้านายบ้าง ตามบ้ญหาส่วนตัวที่แวบ ชื้นมาในใจบ้าง หรือพิมพ์จดหมายไปก็ผิดพลาด เจ้านายให้ไปแก้ใหม่ พอแก้ใหม่แต่เดิมที่ไม่ผิดก็เกิด ผิดอีก พอถึงครั้งที่ 3 เจ้านายก็หมดความอดทน ขยำทิ้ง... คุณจะปรับปรุงตัวเองหรือจะหางานใหม่ เธอเลยร้องไห้ว่าเจ้านายหฤโหด เราทุกข์ ถึงแค่นี้แล้วยังซํ้าเติมเราอีก ไม่เห็นว่าการท่างาน ของตนตกตํ่าลง ก่อนหน้าเราเคยท่างานด้วยจิตใจจดจ่อ ตอนนี้งานตกตํ่าลงไม่เห็น ไปคิดแต่ว่าเราทุกข์เหลือเกิน เอาความทุกข์มาขยายจนกระทิ้ง มองอะไรไม่เห็น เมื่อเป็นอย่างนี้ เราทำตัวของเรา เองให้มีบ้ญหามากขึ้นต่างหากถ้าคิดได้อย่างนี้เห็นตามความเป็นจรืงอย่างนี้ เราก็จะปรับที่ใจของ เราและเห็นทางออกถาม เมื่อเพื่อนร่วมงานได้รับแต่งตั้ง มีตำแหน่ง โดยที่การทำงานก็มืระยะเวลาทำงานไล่เสี่ยยัน จึงไม่ ยอมรับ จะทำใจได้อย่างไรให้ไม่คิดว่าทำไมตัวเราจึง ถูกแกล้ง หรือหัวหน้าไม่ยุติธรรม
ตอบ การคิดอย่างนี้ทำให้ใจเราเป็นสนิม แต่ถ้าคิด ใหม่ อีกทางหนึ่งอย่างที่ดิฉันจะเรียนให้ทราบ แทนที่ จะคิดว่าทำไมเราจึงถูกแกล้ง หรือหัวหน้าไม่ยุติธรรม เราคิดว่า เออ... เราก็ว่าเราเก่งแล้ว แต่ถูกข้อสอบ คราวนี้หนัก ทดสอบให้เราหาทางให้เก่งยิ่งขึ้นไปกว่านี้เราเผลอไปคิดเอาเองว่าเราควรจะได้ตำแหน่ง ได้บรรจุเท่าเขา โชคดีเท่าไหนน่ะที่ไม่ได้ ทำให้เรา พบว่าใจเรากระเทือนอย่างนี้ ถ้าได้อย่างใจ เราไม่มี โอกาสรู้หรอกนะว่า เราเป็นคนใจแคบนิดเดียว เป็น เดีกขึ้อีจฉาตาร้อนเมื่อเป็นอย่างนี้ เราจะได้ฝึกใจเราค้นหาว่าทำไมเราถึงไปขึ้อิจฉาเขา คิดหวังเอาไว้ว่าเราจะ ต้องได้ตำแหน่ง ที่เรานึกว่า เราทำงาน เรารักงาน ไม่ใช่หรอก... เราหลอกตัวเอง แท้ที่จริงเราอยาก ได้ตำแหน่ง หรือดูใจจนจบแล้ว เปล่า เราไม่อยาก ได้ตำแหน่ง แต่เราทนเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ คน อื่นจะว่า ๆ ก็เห็นเก่งอยู่ แต่ทำไมคนอื่นเฉือนเอาไป
ได้ล่ะ เสียศักดี้ศรีหมดหน้าถลอกหมดเราค่อยๆ หาเหตุไปจนเจอให้ได้ พอเจอแล้ว เราก็จะแก้ไขได้เป็นด้นว่า เราพบว่าจริงๆ ไม่ได้รักงานหรอก แต่เรารักผลพลอยได้ของงาน เราก็จะ ได้พยายามแก้ไขวิธีคิดของเรา แล้วปรับปรุงตัวเอง ถ้าพบว่าเราไปหวั่นไหวในคำพูดของผู้อื่น พระพุทธเจ้าก็ทรงสอนแล้ว ถ้าเราปล่อยใจให้ เป็นต้นไม้ไม่มีรากแก้ว เราอยู่ไม่เป็นสุขในโลกนี้ เพราะว่าคนมันต้องพูดรันยังคํ่า พระพุทธเจ้าตรัส เอาไว้แล้ว ถ้าเราสามารถก่อไฟให้ไม่มีควันได้ นั่น แหละเราจึงจะห้ามคนมิให้นินทาได้ แม้กระทั่งพระพุทธองค์ทรงเป็นผู้บริสุทธิ์หมดจดแล้ว ท่านก็ยังถูก คนใส่ร้ายปัายสีนินทาขอโอกาสยกตัวอย่างเรื่องของตัวเอง เมื่อ ดิฉันกลับจากเมืองนอก มีวุฒิเป็นผู้เชี่ยวชาญโรค เฉพาะเด็กและได้ปริญญาเอกทางสรีรวิทยายัดราเงินเดือนจึงสูงกว่ายัดราปกติที่ตั้งไว้หนึ่งขั้นดิฉันไม่ทราบว่าถ้าทางแผนกธุรการไม่จัดการดำเนินเรื่อง ปรับวุฒิของดิฉันให้เรียบร้อยก่อนปีงบประมาณใหม่
อัตรา 1 ขั้นของดิฉันก็จะ เสียไปโดยอัตโนม้ดิพอปีถัดไป ดิฉันไม่ได้เงินเดือนเพิ่ม 1 ขั้น ตามวุฒิของดิฉัน ตกลงดิฉันก็ได้เงินเดือนเท่ากับคน อื่นๆ ดิฉันพบว่าใจที่เคยกระดือรือร้นอยากทำงาน มันเซ็งไปหมด มีความรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม ดิฉันถาม ตัวเองว่า ดิฉันเดือดร้อนกับเงินเดือนที่หายไป 1 ขั้น หรือ ...ไม่เดือดร้อน ...แล้วเดือดร้อนอะไร เดือดร้อนหน้าถลอกไป คนจะไม่รู้ว่าเรานี่เก่งกว่าคนอื่น เขาตลกนะคะพอเห็นเหตุผลที่ตัวเองรู้สึกก็ขบขัน ว่า...เราเดืกทารกถึงขั้นนั้นหรือ...แต่ก็อังปลดสนิมออกไปจากใจไม่ได้จน
กระทั่งหาเหตุผลมาอธิบายกับตัวเองว่า แล้วเรารู้ หรือเปล่าว่าตัวเรามีวุฒิอะไร มีความสามารถแค่ ไหน ก็เมื่อเรารู้แล้ว เราไปเดือดร้อนทำไมถ้าคนอื่น ไม่รู้ เห็นไหมคะว่า ใจของเรานี่ความรู้ท่วมหัวเอา ตัวไม่รอดถึงแม้จะรู้แล้วเราก็อังไม่มีกำกังของใจถ้าไม่เคยปีกใจให้มีความหนักแน่น เชื่อตามที่ปาก เรายกมาพด มันเป็นอย่างนี้
เพราะใจเราไปยึดติดในค่านิยมเอาไว้โดยไม่รู้ ฅ้ว พ่อแม่ พี่น้อง ใครๆ บอกกันมา ถ้าเงินเดือน เท่านั้นแปลว่าเก่ง มีความสามารถ เราก็ยึดเข้าไป โดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว ปากเราก็บอกว่า เราไม่แคร์ ไม่ แคร์แต่พอข้อสอบออกมาจริง ๆ เราถึงรู้ว่าเราแคร์ เหมือนอย่างกับมีท่านหนึ่ง ท่านบอกว่า ผม ไม่ชอบงานบริหาร อย่าส่งชื่อผมขึ้นไปนะ ผมไม่เอา หรอก แล้วท่านก็เชื่ออย่างนั้นจริงๆแต่การณ์ปรากฏว่า ในครั้งนั้นชื่อของท่านถูกส่งขึ้นไปเป็นผู้สมัครผู้หนึ่งถอนตัวไม่ได้ ปากก็บอกว่าท่านไม่เอา อย่าเลือกผมนะพอผลการเลือกปรากฏออกมา เดืกรุ่นน้อง ของท่านได้รับเลือกเป็นผู้บริหารท่านกลับมาถึงบ้าน ท่านพบว่ามันเสียใจ แล้วก็ตกใจว่า ปากก็บอกเองว่าไม่เอา ไปบอกใครๆ ไม่ให้เลือก เขาบอกไม่ได้ ถอนตัวไม่ได้ท่านเองก็ทำใจแล้ว บอกใครๆ ไปว่าอย่าเลือกผมนะผมไม่ อยากเอาถ้ารักผมแล้วอย่าเลือกกัน
ครั้นเขาไฝเลือกจริง ๆ กลายเป็นรุ่นน้องได้ ตกกลางคืนเข้านอน ใจมันเสีย รู้สึกว่า เอ๊ะ นี่เรา ไม่มีค่าถึงขั้นว่าเสนอชื่อขึ้นไปแล้วเขาไม่เลือกเรา เชียวหรือใจคนเราเจ้าเล่ห์แสนกลอย่างนี้ ถ้าไฝเจอข้อ ทดสอบเราก็ไม่รู้ แล้วก็หลงว่าเราแน่แล้วการที่เราเจอฟ้ญหาอย่างนี้ อย่าไปคิดให้เกิด ขึ้สนิม อย่าไปคิดว่าเราถูกกลั่นแกล้งหรือหัวหน้า ไม่ยุติธรรมแต่ให้คิดอย่างที่ดิฉันเรียนให้ทราบว่าเราโชคดีที่ได้เจอข้อสอบ ทำให้เราได้เห็นจุดที่ไม่ เคยเห็นในตัวของเราเอง ถ้าเรากำลังมีเรี่ยวแรง มี กำลังวังชา เราจะได้แก้ไขในตัวเราให้ดีงาม ถ้ากว่า จะไปรู้อย่างนี้ เราอายุ 60 กำลังจะเกษียณ เราคง แย่ ดีไม่ดีอาจถึงไม่สบายต้องหาหมอเป็นประจำ เศรษฐกิจทรุดโทรม ราคาค่าหมอเดี๋ยวนี้แพงจะตาย ไปถ้าเราคิดว่าอะไรที่ เกิดขึ้น กับเรา ดี ทั้งนั้น เรามีทางออกที่จะ ทำให้ใจเรามีกำลังขึ้น แล้ววันหนึ่ง เราจะพบว่า เป็นสิ่งดีที่เกิด อย่างนี้ ขึ้น แทนที่จะ
 เกิดอย่างที่เรา อยาก ได้
ถาม ถ้าวันใดวันหนึ่งเราศึกษาการทำงานจนเข้าใจ ในสิ่งใหม่ๆ ที่ต้องการจะเรียนรู้และสามารถปฎิบ้ติถูกต้องแล้ว เรายังตกอยู่ในสถานะเดิมอีก มัน ทำให้เราเบื่อหน่ายยับการทำงานซํ้าๆ นั้น เราจะมี วิธีแก้ไขอย่างไรไม่ให้เบื่อหน่ายยับการทำงานซํ้า ๆ นั้น
ตอบ เรา คิด ว่าการทำงานนั้นชํ้าๆแต่จริงๆแล้ว ทํ้งๆ ที่เรากินข้าวทุกวัน วันละ 3 มื้อ 4 มื้อ ไม่เห็นมีใครว่าเบื่อเหลือเกิน ทำอย่างไรจึงจะเลิก กินข้าวได้ แสดงว่าที่เรากินทุกวันไม่มีชํ้าเลยแต่
เพราะเราไป เซ็ง ยับงาน เราคิดเอาไว้โดยที่ไม่รู้ ตัวว่า เมื่อเรียนรู้และปฏิบตถึงตรงนี้จะต้องมีการ เปลี่ยนแปลง ครั้นมันไม่เป็นไปตามกิเลสในใจเรา เราก็เลยบอกว่า ซํ้าซากน่าเบื่อหน่าย
ความจริงใจเราเอง ถ้าใจเรานึกว่าไม่ซํ้าซาก และเราดูอย่างเป็นกลาง มันก็ไม่ชํ้าซาก มันมีอะไร ใหม่แปลกให้เราได้ศึกษาทุกวัน
ถ้าเราคิดจะเบื่อ บอกตัวเอง เรากินข้าวมา ตั้งแต่วันเกิดชํ้าซากทุกวัน ลองงดกินดสักอาทิตย์
ถ้างดกินสักอาทิตย์แล้วรู้สึกว่าไม่กินก็ยังได้ ไม่ใช่ ไม่กินข้าวแล้วไปกินขนมปังนะคะ งดกินจริงๆ แล้ว ดิฉันจะตอบปัญหานี้ไหม่ค่ะ
ถาม ขอเรียนรบกวนถามเรื่องที่อาจารย์บรรยาย ว่า ถ้ายังไม่มีปัญหาเกิดขึ้น ก็ควรทำงานไปอย่างมี ความสุข โดยไม่กังวลถึงปัญหา มิฉะนั้นจะเป็น การโก่งหน้าไม้โดยที่ยังไม่เห็นกระรอกดิฉันมี
ความเห็นว่า การที่เราเตรียมตัวก่อนเนิ่นๆ ก่อนที่ จะเกิดปัญหานั้น เป็นการ palning ที่ดี เพราะถ้า เกิดปัญหาขึ้นมาจริงๆ ก็จะได้จัดการได้ทันเวลา มิ ฉะนั้นก็จะเสียเวลามาคิดอีก ซึ่งอาจจะไม่ทันการ จึง อยากจะขอความเห็นเพิ่มเดิมค่ะ
ตอบ การที่ดิฉันบอกไม่ให้ไปกังวล ไม่ได้หมาย ความว่า ดิฉันห้ามไม่ให้คิดเตรียมตัววางแผน การ คิดอย่างมีเหตุผลหรือการวางแผน กับการคิดวิตก ไปโดยใช่เหตุ ไม่เหมือนกันการทำงาน เราต้องมีการวางแผนเตรียมตัว เพราะเราต้องรู้ว่างานของเราจากจุดนี้ต่อไปจะเป็น อย่างไร จะมีข้อบกพร่องอย่างไร เราจะป้องกัน แก้ไขไว้อย่างไร เราต้องคิดไตร่ตรองเหมือนเราไปทำไร่ในป่า แล้วเห็นว่าพอถึงเน้าแล้งมีต้นไม้แห้งหญ้าแห้งช่วยให้ไฟป้าลุกลาม ได้ เราคิดป้องกันเอาไว้ก่อนว่าจะทำอย่างไร เผา รอบบริเวณกันเอาไว้ก่อน เพื่อว่าลมพัดมาไม่มีตรง ไหนที่เป็นเชื้อไฟ จะได้ไม่ลุกลามเข้ามาไต้หรือเตรียมนํ้าเอาไว้ พอมีไฟมา นํ้าของเรามีเพียงพอ ที่จะสกัดกั้นตับไฟได้ หรือหามาตรการอื่นป้องกันไว้ การวางแผนอย่างนี้เราทำได้แต่ไม่ใช่ว่ากำลงทำอะไรอยู่ ก็คิดฟังซ่านสร้างสถานการณ์ไปว่า ไฟป้ามาแล้วกำตังตับอย่างนี้ๆ ทั้งที่งานกำลังทำอยู่ ก็วางมือไม่ได้หรือกำตังนอนอยู่ ก็คิดกังวลไปว่าไฟป้าติดชื้นมาแล้ว อย่างนั้นเราเรียกว่าประสาท แล้วพอไฟป่ามาจริงๆ ก็ตกใจ คิดอะไรไม่ถูก ทำ อะไรไม่ไต้ ไฟก็เลยไหม้หมด สิ่งที่คิดเอาไว้ กังวล เอาไว้ ลืมหมดเลยเพราะตกใจ
การอยู่กับปัจจุบน อยู่กับความเป็นจริง คือ การไม่คิดวิตกกังวล ตีตนไปก่อนไข้แต่เรามีการ
เตรียมพร้อมด้วยสตีปัญญา ด้วยความรอบคอบ มี อะไรเกิดขึ้นปับเราสามารถแก้ไขได้กันท่วงที ไม่เสีย เวลาว่าจะเอาอย่างไร ลังเลว่าอันไหนตีกว่าอันไหน เราจะไม่เสียเวลาไปกับการกังวลสงลัยอย่างนี้
ถามเคยอ่านบทสัมภาษณ์คุณหมอ ในหนังสือสยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ มีอยู่ตอนหนึ่งคุณหมอเล่า ว่า พระอาจารย์คุณหมอท้วงว่าคุณหมอไปฟังคนที่ กินอาหารอิ่มแล้วมาสอนให้คนที่ยังไม่ได้กินอาหาร ปฏิบัติตาม ผมเข้าใจว่าพระอาจารย์ของคุณหมอ คงจะเปรียบเทียบทางธัมมะให้ฟังแต่ผมยังไม่เข้าใจเท่าใดนัก ขอให้คุณหมอช่วยอธิบายธรรม เพิ่มเติมหน่อยครับ
ตอบ ข้อความที่ยกมานั้นไม่ตรงนัก ถ้าดิฉันจำไม่ ผิดดิฉันเล่าไว้ว่า ท่านอาจารย์มีวิธิสอนที่แปลก
ประหลาด คือ เริ่มด้นตีฉันเข้าใจไปเองว่า เมื่อมี คิษย์มาฝากตัว ขอให้ท่านสอนการฝึกทำสมาธิ ฝึก
สติ แกภาวนาให้ใจมีกำลัง ควรเริ่มทำอย่างไร ใน ฐานะที่ตัวเองเคยเป็นครูสั่งสอนลูกศิษย์มา ก็ด้นเดา ไปตามที่เราเคยสอนว่า เราจะสอนอย่างนี้... อย่างนี้ แทนที่ท่านอาจารย์จะสอนตามที่เราคิดไว้ ท่านก็ไม่สอน กลับท้าทายเราว่า ท่านเองไม่เคยมี ปริญญาหมอ เมืองนอกก็ไม่เคยไป จบแค่ประถม 2 ถ้าท่านสามารถทำสมาธิได้ การทำสมาธิสำหรับ ดิฉันนี่ ท่านว่าหลับตาปอกกล้วยเข้าปากยังยากกว่า การทำสมาธิเสียอีกดิฉันก็งง... จะเอาลันอย่างนั้นก็เอา ดิฉันก็ มาไต่ถามเพื่อน ถามคุณแผ่ซีในวัดว่า การทำสมาธิ ท่าอย่างไร เหมือนอย่างลับเราจะไปเรียนอะไรลัก อย่าง ก็ต้องถาม แล้วเก็บข้อมูลมา แล้วก็ปฏิบ้ต เมื่อปฏิบัติก็ต้องมีการบ้านส่งให้ตรวจรุ่งเช้าท่านมาถามดิฉันว่า เป็นอย่างไรบ้าง ดิฉันก็กราบเรียนท่านว่า รู้สึกอย่างนี้...อย่าง นี้ มันเป็นอย่างไรกันเจ้าคะท่านก็ย้อนกลับมาว่า มหาวิทยาลัยเขาสอน กันอย่างนี้หรือหมอเป็นคนกินข้าว แล้วมาถาม อาจารย์ว่า ท่านอาจารย์เจ้าขา อิ่มหรือยง ๆ ...พิกล จริง...ท่านจะว่าดิฉันว่า ก็เราเป็นคนทำกับมือของ เรา แล้วทำไมไม่มืความมั่นใจในสิ่งที่เราทำ ต้องคอยให้คนอื่นออกประกาศนียบ้ตรวิชาการทางโลกเขาเรียนกันอย่างนี้หรือท่านจะกระทุ้งให้ดิฉันเห้นว่า อัตตาของเรา ใหญ่แค่ไหน ไต้ผลจริงๆ ค่ะ ใจดิฉันฝึกขึ้นมา...เออ ไม่บอกก็อย่าบอก เราก็ทำของเราเองเป็นเหมือนกัน ดิฉันเกิดมานะ แต่มานะที่เกิดนั้นไม่ไต้เกิดในทาง สร้างสรรค์ เกิดมานะนึกคับข้องนินทา วิจารณ์ท่าน ไป แทนที่ใจเราจะสงบเป็นสมาธ ก็เลยไต้แต่ความ หงุดหงิดงุ่นง่านท่านอาจารย์จะสาธิตให้ดิฉันเห็นว่า กิเลส ของตัวอยู่ที่ไหนบ้าง เพราะดิฉันนินทาท่านในใจ ไหนบอกว่าหลับตาปอกกล้วยเข้าปากก็อังง่ายกว่า มีที่ไหนกัน ประหลาดแท้ เราอุตส่าห์มาฝากเนื้อ ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ก็เพราะไม่ร้จะเริ่มทำตรงไหน จะบอกเราลักนิดว่าเริ่มต้นตรงไหนก็ไม่บอก
แท้ทจริงท่านเป็นอาจารย์ที่ดีมาก บอกทุก อย่างที่ศิษย์ต้องการแต่เราโง่เอง เราไม่รู้จักแปล
ตามความจริงที่ท่านบอก เราแปลตามอุปาทานในใจ ของเรา... เพราะเราเคยเป็นครู ท่านอาจารย์น่าจะ ทำอย่างนี้ๆ เราไม่ไต้เข้าไปเป็นลูกศิษย์ท่านหรอกเราสำคัญว่าเราเป็นอาจารย์ท่าน คือ ท่านจะต้อง ทำอย่างที่เราเคยทำกับลูกศิษย์เรา... โดยที่คัวเอง ก็ไม่รู้ตัวเลย เมื่อเป็นอย่างนี้ท่านก็เลยเปรียบเปรย ให้ไต้สติคิดแต่ก็ยังไม่ไต้สติ ยังบ้าบวมไปตามนิสัยของ เรา ...ท่านอาจารย์ไม่ดี ...ไอ้โน่นไม่ดี ...ไอ้นั่นไม่ดี ตัวเองดีหมดค่ะ
ถาม วิธีเอาใจเจ้านายโดยไม่ประจบทำอย่างไร
ตอบ อ้าเจ้านายของเราเป็นคนจริง ดิฉันเชื่อว่า ท่านคงอยากเฟ้นผลงานของลูกน้อง แล้วคงอยากจะ มีลูกน้องที่ไม่ต้องไปจับมือบ้นทุกอย่าง พอบอกอะไร แล้วลูกน้องก็เป็นลูกคนโต ไว้วางใจไต้ อะไรที่ท่าน เผลอท่านหลงลืม ลูกน้องก็สามารถทำแทน แล้วทำได้อย่างเรียบร้อยวิธีเอาใจเจ้านายแบบนี้ คือ งานอะไรที่ได้รับ มอบหมายมา เราตั้งอกตั้งใจดูว่า อะไรสำคัญ ควร ทำก่อนหลังแค่ไหน แล้วผลเกี่ยวข้องจากตรงนี้ควร วางแผนอย่างไรต่อไป ถ้าเจ้านายปรารภขึ้นมา เราก็ตอบได้คันท่วงทีไม่ใช่ว่าขอผมไปคิดดูก่อน 3  วันครับ ทำให้เสียเวลาถ้าเราทำอย่างนี้ เจ้านายคงชื่นใจ มีอะ ไรก็ไว้วางใจอย่าไปเข้าใจผิดนะคะ มีลูกบางคนมาบ่นว่า พ่อแม่สำเอียง รักลูกไม่เท่ากัน เห็นเขาเป็นอะไร ก็ไม่รู้พ่อแม่จะใช้เขาอยู่คนเดียว ลูกคนอื่นไม่ใช้แท้ที่จริงพ่อแม่รักมาก ไว้วางใจ เพราะทำอะไรแล้ว ได้อย่างใจ ไม่ต้องพูดมาก กลับไปเช้าใจว่าการที่พ่อแม่ไว้วางใจมอบหมายธุระให้เป็นการไม่รัก แต่ ไปรักลูกที่ใช้งานไม่ได้
ถ้าเจ้านายเกิดชื่นใจแล้วเอางานมามอบหมาย ให้มากขึ้น อย่าไปดีดนะคะว่า เพราะเราไม่ประจบ เจ้านายเลยไม่รักมันต้องแปลความหมายให้คลื่น
ตรงกันค่ะ
แต่ถ้าเจ้านายเราเป็นคนไม่ทำงานจริง ชอบ ประจบสอพลอ เราก็ไม่จำเป็นต้องปรับตัวเราให้คุณ ภาพตกตาตามไป เพราะเราจะติดเชื้อกลายเป็นคน ดีแต่พูด ละเลงขนมเบื้องด้วยปากแล้ววันหนึ่ง
เราไปเจอเจ้านายคนทำจริงเข้า คราวนี้เราก็ซักเบื่อ เพราะเราละเลงขนมเบื้องด้วยปากเสียนาน พอจะ ละเลงจริงๆ เข้า ซักฝืดเป็นเสือปืนฝืดเราก็จะมีปัญหาอีกโปรดนึกไว้ในใจว่า ถ้าเจอของปลอม เราจะได้ศึกษาให้รู้ไว้ว่า การเป็นของปลอมเป็นความทุกข์ ของสังคมคนรอบข้าง จะได้สอนใจตัวเองว่า ถ้าเรา ใหญ่โตเป็นเจ้านาย เราจะไม่ทำให้ลูกน้องเดือดร้อน อย่างนี้เพราะเราเป็นอันขาดแทนที่จะขึ้งเคียดเจ้านาย เราก็ขอบคุณเขาว่า เขามาสอนให้เรารอบคอบเตรียมตัวเป็นเจ้านายที่ดี
ถาม วิธีแก้ปัญหาให้ดูที่ต้นเหตุ แต่ดูแล้วแก้ที่ต้น เหตุไม่ได้จะทำอย่างไรตอบ ต้องปลงค่ะ เพราะว่าเราพยายามจนสุดความสามารถแล้ว เหมือนอย่างกบคำจำกดความของ
อุบ้ติเหตุ ไม่ได้หมายความว่าเพราะประมาทขาด สติแต่เราได้พยายามทุกวิถีทางแล้วก็ยังจะต้อง
เกิดอย่างนั้นขึ้น จึงเรียกว่าอุบิตเหตุเป็นสิ่งที่ปัองกันไม่ได้ ห้ามไม่ได้เพราะฉะนั้น เมื่อเราไต้พยายามแล้วสาว ไปถึงต้นเหตุแล้ว พยายามแก้ไขแล้ว สภาวะแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยมันจะต้องเกิดข้อเสียหายอย่างนี้ เอาไงก็เอากันสิ เราก็มืสติปัญญาอยู่กับตัว ถึง เสียหายระเบิดหมดแล้ว เราค่อยดูชิ้นส่วนที่เหลือว่า จะเอามาประกอบขึ้นใหม่อย่างไรได้บ้างถ้าทำใจไต้อย่างนี้แล้วเราก็จะสบาย หลายๆ อย่างในโลกนี้ห้ามไม่ไต้ ป้องกันไม่ได้ถ้าแกใจของเราให้เห็นละเอียดยิ่งขึ้นไป ใจของเราไม่ได้มีรูปร่างให้เห็นด้วยตาเนื้อ ไม่ได้มอง เห็นได้เหมือนดอกไม้ดอกนี้ แต่เป็นสิ่งที่ละเอียด ดัชนีหักเหของแสงเกือบจะเท่ายับอากาศเราจึงมอง ไม่เห็นแต่ท่านที่ฝึกจิตจนกระทังมีตาญาณถ้าเปรียบเทียบก็คือตาที่ละเอียดยิ่งกว่ากล้องอิเล็กตรอน ก่อนที่เราจะมีกล้องจุลทรรศน์ เราก็เชื่อกันว่าเวลาที่ มีอหิวาตระบาดเป็นเพราะเราทำผิด เทพเจ้าจึงลง โทษอย่างนั้น ทำให้คนตายเป็นเบือเราบวงสรวงอ้อนวอนขอให้เทพเจ้าเมตตายกโทษให้พอมีกล้องจุลทรรศน์จึงเฟ้นเหตุว่านํ้าสกปรกมีตวเชื้ออหิวาต์ถึงทำให้เป็นโรค เราก็เลิกบวงสรวงอ้อนวอน เพราะรู้ความจริงแล้วต่อมาเราก็พัฒนามีกล้องอิเล็กตรอน ช่วยให้รู้ว่ายังมีที่เล็ก กว่าเชื้อโรค เรียกไวรัส ทำให้เราเป็นสมองยักเสบ เป็นหวัด ไม่ใช่ว่าใครต่อใครมาทำอย่างโน้นอย่างนี้ ใส่กันหรอก
ถ้าเราสามารถเฟ้นละเอียดยิ่งกว่ากล้องอิเล็กตรอนอย่างพระพุทธเจ้าท่านเฟ้น เราก็จะเฟ้นเหตุที่ มีมาประกอบกัน เฟ้นจิตใจของแต่ละคนที่ทำไมคิด อย่างนี้ ทำไมถึงดื้อดึงอย่างนั้น ทำไมถึงดึอย่างโน้น ทำให้เรารู้อดีต รู้อนาคตได้
อย่างตัวอย่างที่คุณถามว่า ถ้าเราพยายามทุกอย่างจนหมดแล้วก็ยังแก้ต้นเหตุไม่ได้ มันก็มีในสมัยพุทธกาล สมัยพระญาติของพระพุทธองค์ที่เป็นวงศ์ศากยะ ท่านยึดถือในสายเลือดของท่าน แบบ
ฮิตเลอร์ถือว่าเยอรมันเป็นเผ่าอารยันเจ้าหญิงศากยะจะไปแต่งงานกับวงศ์อื่นไม่ไต้เพราะว่าเลือด
ของเราเป็นเลือดประเสริฐครั้งนัน อีกแคว้นหนึ่ง พระเจ้าปเสนทิไกศล ทรงเฟื่องฟูกำลังทหารมาก ต้องการแผ่อาณาเขต ครอบคลุมศากยะให้ได้ แต่ไม่ต้องการได้ซื่อว่าไปรุกราน ก็จึงแต่งราชทูตมาขอเจ้าหญิงศากยะไป อภิเษกเป็นพระมเหสี ศากยะรู้ว่าเราสู้ฝ่ายนั้นไม่ได้ กำลังทหารไม่เก่งเท่า แต่ก็ยังคิดโกง ยกเจ้าหญิงให้ก็เสียตักดิ์ศรี จะทำอย่างไรดีในที่สุดเจ้าศากยะองค์หนึ่งมีราชธิดาที่เกิด จากนางทาสีก็เลยแก้ปัญหาว่า เอาเกิดถึงแม้จะเป็นลูกเรา แต่ก็ไม่ใช่เลือดศากยะบริสุทธิ์ มีเลือด นางทาสีปนยกให้คงไม่เป็นไร ก็ตกลงยกเจ้าหญิงองค์นี้ให้ไปอภิเษกสมรสเป็นพระมเหสีของพระเจ้า
แผ่นดินฝ่ายนั้น โดยที่พระเจ้าแผ่นดินไม่ทราบว่า เจ้าหญิงมีแม่เป็นนางทาสี ฟานก็อภิเษกให้เป็นพระ มเหสี เมื่อมีพระราชโอรสก็ยิ่งยกย่อง เจ้าหญิงองค์ นี้มีสติปัญญา รู้การใดควรไม่ควร สามารถช่วย ราชการแผ่นดินให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง เป็นที่ โปรดปรานสนิทเสน่หามาก
เมื่อเจริญว่ยขึ้น เจ้าชายวทูฑภะราชโอรส สงสัยว่ามเหสีองค์อื่นๆ รวมทั้งโอรสธิดาเหล่านั้น ต่างมีญาติทางฝ่ายแม่ไปมาหาสู่ มีข้าวของส่งมา เยี่ยมเยียนกันเสมอ จึงถามพระราชมารดาว่าตายาย เรา พี่น้องเราไปไหนหมด พระมเหสีรู้ความจริงอยู่ แต่ไม่ทราบจะบอกลูกอย่างไร ก็หาอุบายว่าเมือง
เราอยู่ไกลลูกตายายก็แก่แล้ววิทูฑภะฟังแล้วก็นิ่ง ไป
พอโตเป็นหนุ่มก็ขอร้องพระราชมารดาว่าจะ ขอไปเยี่ยมตายายเสียหน่อย พระมเหสีไม่รู้จะขัด ขวางยังไงได้ ก็แต่งราชทูตไปส่งข่าวที่กรุงกบิลพัสดุ ว่าท่านมาอยู่ทางนี้พระเจ้าแผ่นดินทรงชุบเลี้ยงเป็น อย่างดี ขออย่าได้ทำลายความสุขอันนี้เลยทางฝ่ายโน้นก็จัดงานต้อนรับวิทูฑภะอย่างสม เกียรติ แต่ก็ยังโกงแบบเดิม พระญาติที่เป็นรุ่นเด็ก กว่าวิทุฑภะส่งออกไปอยู่ชนบทหมด เมื่อวิพูฑภะมา ถึง องค์นั้นก็ตา ยาย ลุง อา พี่ ต้องกราบไปหมด ทุกองค์ วิทูทภะก็สงสัยว่าเด็กๆ ที่กรุงกบิลพัสดุไม่มี หรืออย่างไร ญาติก็ตอบว่าบังเอิญเป็นวันนักขัตฤกษ์ พวกเด็กๆ ออกไปเที่ยวกัน
หลังจากที่พักอยู่นั้นพอสมควรแล้วก็ลากลับ เมื่อออกเดินทางกลับไป นายทหารคนสนิทลืมดาบ ไว้ก็ย้อนกลับไปเอา ตามธรรมเนียมของพระเจ้า แผ่นดินสมัยนั้น ที่ตรงไหนก็ตามที่คนตํ่าศักดิ์กว่าไป อยู่ปะปนด้วย เมื่อผู้นั้นไปแล้ว ก็จะเอานํ้านมไปราด แล้วขัดเพี่อชำระล้างเสนียดออก นางทาสีที่จำต้อง มานั่งขัดทุกแห่งที่เจ้าชายวิทูฑภะประทับ เหนื่อย เข้าก็โกรธ ขัดไปก็ด่าทอไปนายทหารคนสนิท
เข้ามาถึงก็สงสัยว่าเกิดอะไรถึงต้องเอานั้านมมาล้าง ขัดกันเป็นการใหญ่ ก็ถามขึ้นนางทาสีก็บอกว่า เจ้านายของเจ้านั้นแหละ
แม่ของเจ้าชายของเจ้านั้นแหละเป็นลุกของนางทาสี ซักไซ้ไต่ถามจนรู้ความจริง นายทหารคนสนิทก็ไป เล่าให้หมู่เพื่อนฟัง รวมทั้งริทูฑภะด้วยความก็รู้ ถึงพระเจ้าแผ่นดินพระเจ้าแผ่นดินกริ้วมาก ถอดพระราชโอรสออกจากตำแหน่งรัชทายาท ถอดพระมเหสีออกจำภัตบริเวณไว้ เสร็จแล้วไม่สบายพระทัยก็มาเฝ้าพระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้ารู้สาเหตุแล้วทรงขออภัยที่ญาติของพ่านทำไม่งามแล้วทรงเล่าถึงสมยโบราณ มีพระจักรพรรดิองค์หนึ่งได้นางทาสีมาเป็นบาทบริจาริกา โปรดให้แต่งตั้งขึ้นเป็นมเหสี ปรากฏว่ามเหสีเป็นกำลังช่วยให้ราชการแผ่นดินเจริญรุ่งเรือง พระราชโอรสที่เกิดจากนางทาสีนั้น หลังจากที่ พระจักรพรรดิสวรรคตแล้ว ได้ขึ้นครองราชย์ ก็ แผ่อาณาเขตให้ไพศาลออกไป ทำความเจริญรุ่งเรือง ให้กับแคว้นมากมาย จนได้รับการยกย่องให้เป็น มหาจักรพรรดิเกรียงไกรยิ่งกว่าพระชนก เรื่องมี ปรากฏอยู่พระพุทธเจ้าทรงปรารภเรื่องนี้ แล้วก็ตรัส ถามพระเจ้าแผ่นดินว่า พระมเหสีได้ทำอะไรให้ท่าน
เสื่อมเสียพระเกียรติบ้างหรือเปล่า
พระเจ้าแผ่นดินฟังแล้วกีตอบว่าไม่มี ย้อนนึก ถึงความเฉลียวฉลาด ความจงรักภักดี คุณงามความ ดี ยิ่งรู้ว่าในอดีตเคยมีอย่างนี้ ตัวพระมเหสีเป็นถึง นางทาสีไม่ใช่เพียงครึ่งหนึ่งที่แม่เป็นนางทาสีแต่
พ่อเป็นเจ้าชายอย่างมเหสีของพระองค์...เสด็จกลับ ไปกีเอาพระมเหสีและวิทูฑภะมาแต่งตั้งใหม่เมื่อ
พระเจ้าแผ่นดินสวรรคต วิทูฑภะกีใด้ขึ้นครองราชสมบ้ติพอขึ้นครองราชสมบ้ติ วฑูฑภะยังเจ็บแค้นไม่หายว่าพระญาติของพระองค์เหล่านี้ดูถูกเหยียด หยามนํ้าพระทัยกีเลยกรีธาทัพไป หมายเอาเลือด ตายายและศากยวงค์ทั้งหลายล้างเท้าเสียให้สมแค้นพระพุทธเจ้าเสด็จมาประทับยืนตรงชายแดน แคว้นกบิลพัสดุต่อกับแคว้นของวิทูฑภะ ประทับยืนอยู่ใต้ต้นไม้ที่ตายโกร๋นไม่มีใบเลย วิทูฑภะเคารพ พระพุทธเจ้า พอเสด็จมาถึงเห็นพระพุทธเจ้ายืน ประทับตากแดดอยู่ภายใต้ร่มไม้ที่ไม่มีกิ่งใบ ก็ทูล เชิญให้เสด็จมาแคว้นของพระองค์ซึ่งร่มรื่นด้วยต้นไม้ กิ่งใบหนา พระพุทธเจ้าทรงตอบขอบพระทัย แต่ ภายใต้ร่มเงาของญาติเรามีความสุขเสมอ
วิทูฑภะก็รู้ว่าพระพุทธเจ้าตั้งไว้ ตกลงกรีธา ทัพกลับ เป็นอย่างนี้ถึง 3 ครั้ง แต่กลับไปแล้วก็ ทักใจไม่ได้สักทีหนึ่งเหมือนเรานะคะ คิดว่าจะไม่แล้วก็ยังหักใจไม่ได้ พระพุทธเจ้าทรงเล็งพระญาณ เห็นว่า อดีตเหตุร้ายแรงมากทำอย่างไรๆ ก็ไม่สามารถกล่อมใจวิทูฑภะให้ตัดใจอโหสิกรรมนี้ใด้ จะต้องตายหมดทั้งผู้แพ้ผู้ชนะ
ไหนๆ จะตายกันแล้ว ท่านก็เลยไปโปรดทาง ฝ่ายญาติของท่าน ซึ่งปฏิบ้ติ เชื่อถือพระพุทธเจ้าอยู่ ท่านทรงแสดงให้เห็นว่าของทุกอย่างมาแต่เหตุ เริ่ม ต้นเราท่าเหตุไม่ดีเอาไว้ เราไม่ชื่อตรงกับเขาทั้งๆ ที่ เขาก็ไม่ได้ท่าอะไรให้เราเจ็บชํ้า แล้วเรายังไปยึดในศักดิ์ศรีท่าให้มีเหตุบาดหมางต่อไป เพราะ ฉะนั้นถึงคราวใช้หนี้ อะไรเกิดขึ้นเราก็ด้องยอมรับ ผลเหล่านั้น พระญาติของพระองค์ฟังแล้วพิจารณา ตาม จิตก็ตกกระแสเป็นพระโสดาบันเริ่มเป็นพระ อริยบุคคลเบื้องต้น เห็นว่าวิทูฑภะจะกรีธาทัพมา เราก็ไม่ลุกขึ้นต่อสู้เพื่อให้ประชาชนต้องเดือดร้อน คนเหล่านั้นไม่ไต้ร้ดืร้ชั่วจะต้องมาเสียชีวิตลงเพราะ เราโดยใช่เหตุ
พอครั้งที่ 4 พระพุทธเจ้าไม่ไต้เสด็จไปห้าม วิทูฑภะก็กรีธาทัพเข้ามาสำเร็จ ลับพระญาติพระ วงศ์ฆ่าล้างแค้นได้สมพระทัย แล้วก็ยกทัพจะกลับ เมืองทั้งที่เหน็ดเหนื่อยมาก ก็เลยไปตั้งพักทัพที่หาด ทรายริมฝังแม่นํ้าซึ่งนํ้าแห้งอยู่ เพราะวิบากกรรมที่ พระพุทธเจ้าทรงเล็งเห็นว่าจะต้องตายทั้งผู้แพ้ผู้ชนะ ขณะที่กำลังหลับสนิทนั้นก็มีพายุใหญ่มา ฝนตกอย่าง แรงทำให้นั้าไหลบ่าจากแม่นํ้าขึ้นมาพัดกองทัพ วิทูฑภะกวาดลงนั้าไป ตายหมดทั้งผู้แพ้ผู้ชนะถ้าเราแก้ที่ต้นเหตุก็ไม่ได้ อย่างพระพุทธเจ้าพยายามแก้ก็ไม่ไต้ มันก็ต้องเป็นไปตามเหตุตั้งเดืม ที่มีอยู่ เราไม่ไต้มืตาญาณเห็นเท่าพระพุทธเจ้า เรา ได้ทำเต็มสติป้ญญาความสามารถแล้ว เมื่อได้แค่นี้ ไม่ต้องไปติดดิ้นรนต่อไป แต่เมื่อหลังจากที่เหตุ การณ์นั้นผ่านพ้นไปแล้ว เรานึกถึงอะไรได้อีก พอ ทำได้เราก็ทำไม่ใช่ว่าทำไปแล้ว มันเป็นอย่างนั้น แล้ว ถึงนึกได้ เรื่องอะไรจะไปทำอย่าไปขี้เหนียว แรงเอาไว้อย่างนั้นคนเราเรียนรู้จากวันเวลาที่ผ่านไป จากความ ผิดพลาดที่เกิดขึ้น นำกลบมาพินิจพิจารณาให้เกิด สติสัมปชัญญะปัญญาเห็นชอบ เพื่อคุ้มครองจิตใจ เราให้เป็นปกติ
ถาม เวลามีปัญหาเกิดขึ้น ถ้าเราต้องเป็นฝ่ายยอม เสียก่อน มีเป็นการเสียศักดิ์ศรี ทำให้เขาได้ใจแล้วประพฤติตนตามอำเภอใจเซ่นนี้เรื่อยไปหรือ
ตอบ เพราะใจของเรายังคุ้นเคยกับวิธีคดแบบแว่น แก้วเว้า คือกระจายใจตัวเองออกไปแก้เหตุนอกกาย นอกใจตน ลืมภาษิตที่ว่า การชนะคนอื่นหมื่นแสน ก็ไม่มีค่าเท่าการชนะใจตนแม้เพียงครั้งเดียว
โปรดนึกถึงเรื่องของคุณพยาบาลที่ติฉนยกมา เล่าเป็นอุทาหรณ์ เริ่มด้นเธอก็คิตเหมือนเรา...เรา พิกลจริง ๆ แต่งงานกันมาก็ควรจะเห็นใจกันเข้าใจ กัน ช่วยกันคนละไม้คนละมือเรื่องอะไรถึงจะให้
เราเป็นฝ่ายคอยเอาใจ ก็ตักดศรี1ของเราล่ะ เธอถึงได้บ่นอยู่อย่างนั้น
ถ้าเธอยังคงบ่นต่อไปเพราะรักศักดิ์ศรีเอาไว้ ดิฉันเชื่อว่าด้องหย่ายันแน่เลยค่ะ หรือไม่หย่าก็จริง แต่ว่าบ้านคงแตกสาแหรกขาด สามีก็แกล้งทำเป็น ไม่รู้ไม่ชี้ และอาจจะแกล้งหนักเข้า ทำเป็นเด็กเล็ก อะไรก็เหวี่ยงทิ้งตรงนั้นตรงนี้เรี่ยราด ให้เธอประสาทแต่พอเธอนึกขึ้นได้ว่าสามีนี่เธอเลือกของเธอ เอง พ่อแม่จะให้แต่งยับคนอื่นก็ไม่เอา ถ้าเผื่อไม่ให้ แต่งยับคนนี้ยอมตายเสียดิกว่า เธอเลือกของเธอเอง นะแล้วพอเข้ามาอยู่ด้วยยัน ยังไม่ยันไรเลยก็ทำ ทำว่าเราจะทนไม่ได้แล้ว เธอก็ได้คิดว่าเธอควรลดศักดิ์ศรีลง
แต่แรกเธอนึกว่าถ้าเธอทำอย่างนั้นเขาคง เยาะเย้ยเหยียบยํ่าซํ้าเดิม พอทำเข้าจริงๆ ผลดีเกินคาด
เขาเองเขาก็รักศักดี๋ศรีเหมือนยัน ถ้าเราไป ง้องอนคอยเอาใจ เดี๋ยวเขาจะดูถูกว่าเราเป็นชี้ข้าเขา เพราะเขาเองก็นึกว่าเราไม่มีความสามารถไปหางาน พิเศษ หาเงินได้น้อยกว่าเขาถ้าเราจะไปคอยเอา
ใจเขาเดี๋ยวเขาเข้าใจว่าเรารักเงินของเขายิ่งเหยียบยิ่าเราหนักเข้าไปอีก
เห็นไหมคะว่ามันคิดกันไปคนละอย่างก็เลยไม่ ได้เรื่องแต่ถ้าเริ่มต้นเราเป็นฝ่ายยอมก่อน ดิฉัน
เรียนเอาไว้ไงคะว่ามันเหมือนเล่นกีฬากัน ถ้าทั้งสอง ฝ่ายต่างก็บอกว่าตูจะเป็นคนเตะก่อน ไม่ได้เตะลูก บอลหรอก มันเตะแข้งกัน แต่ถ้ายอมว่า เอาคุณเตะก่อน คราวหน้าถึงทีผมนะ ก็ได้เล่นกันสนุกนี่ก็เหมือนกัน การที่เราจะลดศักดิ์ศรีของ เรายอมเป็นฝ่ายให้ก่อน อย่าไปคิดว่าการที่เราให้ ไปนี้เป็นการเสียหน้า แต่ให้คิดว่าการให้นี้เราเป็นพี่ คนโต ยอมทำตัวเป็นแบบอย่างเสียสละเพี่อน้องๆ จะทำตาม คิดอย่างนี้แล้วมันจะดีขื้น เหมือนอย่าง ที่ดิฉันเคยสงสัยว่า เวลาที่พระท่านสอนให้สวดแผ่ เมตตา แล้วเมตตาไปถึงผู้รับจริงๆ หรือเปล่า...การแผ่เมตตานั้น ท่านอาจารย์อธิบายให้ฟัง ว่า ให้สังเกตใจตัวเอง เวลาที่เราโกรธคนอยู่ ใจของเรารู้สึกอย่างไรบ้างแล้วเวลาที่เรานึกอภัยให้เขา แผ่เมตตาให้เขา ใจเราเป็นอย่างไรบ้าง
ใจเราจะรู้สึกเบาขณะโกรธเราคอยคิด เขาเป็นอย่างไรแล้ว บ้าง จะรับผลกรรมที่ทำไว้หรือยัง เราเอาใจเรา ไปใส่กรงขังติดกับตัวเขาไว้ บางทีนอนหลับอยู่...เอ๊ะ ตอนนี้เขากำลังมีความสุขอยู่หรือได้รับความทุกข์ แล้วเห็นไหมคะ เราเอาตัวเราไปเกาะอยู่ทุกแห่ง
ที่เขาอยู่ ไม่เป็นสุขแต่พอเรานึก ช่างมันเถอะนะ อโหสิ อภัยให้ เขาไป เราสบาย รู้สึกเขาหายไปจากโลกนี้เลย เราจะทำอะไรเราก็เริ่มสนุกอยู่กับเรื่องของเรา ใจเราเป็น อิสระ
ท่านบอกว่าเมตตาจะไปถึงเขาหรือไม่ อย่า เพิ่งไปสนใจ แต่อานิสงส์ของการแผ่เมตตาก็ทำให้ ตัวเราได้รับความร่มเย็นใจ ได้รับความมีสติสัมปชัญญะมาเป็นของตัว พอเราเป็นอย่างนี้แล้ว ที่แต่ ก่อนเห็นหน้าเขาหมั่นไส้นัก จะยิ้มด้วยเคี้ยวก็จะว่า เราง้อ ฝ่ายเขาเองก็อยากยิ้มกับเรา พอเห็นเรา เป็นอย่างนั้นก็เลยขยาด เอ...ถ้าเราเข้าไปหาเคี้ยวจะว่ายั่วโทสะ หลีกไปก่อนเถอะ รอให้เขาอารมณ์ดีก่อน
พอเราอกัย อโหสิ เจอหน้าก่นก็ไมคดอะไร แล้ว เราก็ยิ้มปกติธรรดา เขาก็มาพูดจาด้วยดีก็
แสดงว่าเมตตาได้ผลทั้งตัวเราตัวเขา มันเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น อย่าเสียดายว่าเราเสียศักดิ์ศรี ถ้าเราเป็นฝ่ายยอมเสียก่อน ให้เสียก่อน เขา กลับยิ่งเคารพเรามากขึ้น ศักดิ้ศรีเรายิ่งสูงส่งขึ้นไปถาม ถ้ามีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน ในกรณีที่ว่าเขา ไม่ยอมปรับตัวเอง ไม่ยอมเข้าใจปัญหา แล้วยังพูด อีกว่าไม่มีใครสามารถทำอะไรเขาได้ เขาทำแบบนี้ เขาก็ยังอยู่ได้ จะแก้อย่างไรเราชั่งใจตัวเองแล้วและเราไม่ได้เข้าข้างตัวเอง เพื่อนๆ ก็เบื่อเขามากตอบ อันนี้ก็เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าเราเป็นพิมเสน เขาเป็นเกลือ แล้วเรื่องอะไรเราจะเอาพิมเสนแลก กับเกลือ การที่เราจะเอาตัวของเราไปทำอะไรให้ สาสมกับเขา เราทำให้ตัวเราขาดทุน เพราะบอกอยู่ แล้วว่าเขาไม่ยอมปรับตัวเอง ไม่ยอมเข้าใจปัญหา เขาเป็นคนปัญญาอ่อน แล้วเราก็ปรับตัวเราเองให้ปัญญาอ่อนตามเขาไปเรื่องอะไรคะ เรารู้ว่าเขา
กำลงเป็นโรคระบาด แล้วเราก็ยอมเอาตัวเองไปติด เชื้อให้เป็นโรคระบาดอย่างเขา แล้วใครเดือดร้อน เราก็เดือดร้อน เราก็ได้ นิสัยไม่ดี มาเป็นของตัวการที่เราซึ่งนึกว่าตัวเองดืแต่ยังไม่ถึงที่สุด เพราะท่านอาจารย์บอกว่าล้าเราดืถึงที่สุดเราไม่เกิด แล้ว เราเป็นอรหันต์นิพพานไปแล้ว ที่มีตัวเราอยู่ โทนโท่ก็แสดงว่าเรายังมีที่บกพร่อง เรายังมีที่ที่เรา จะปรับปรุงตัวเองได้
เจอแบบฝึกหัดแบบนี้ก็เหมือนเราไม่ได้ติด สอบเทียบ สอบข้ามชั้น หรือสอบเอ็นทรานช์เลย แล้วเหตุการณ์จัดสรรให้เราได้ทำ ก็เป็นกำไรชีวิต สิคะ
เขาเป็นอย่างนี้สอนให้เห็นว่า เวลาที่เราไป ยึดมั่นถือมั่น ไม่ฟ้งเสียคนอื่นนั้นน่าเกลียดอย่างนี้ นะ ทำให้คนอื่นเหนื่อยไปหมด ที่งๆ ที่เรายังไมใด้ ทำอะไรเลย เราขอบคุณที่เขาเป็นตัวอย่างให้เราเห็น สี่มิติเลย ไม่มีข้อสงสัยอะไรอีกแล้ว เมื่อไหร่กิเลส ตัวนี้จะโผล่โฉมออกมาขอยืมปากเรา ขอยืมกาย
กรรมของเราไป เราจะไม่ตกหลุมมันเป็นอันขาดพอเราเป็นคนดีมีใครมาชม เราก็นึก ขอบคุณ นะที่คุณมาสอนให้ผมมีความรอบคอบ มีความละเอียดละเมียดละไมถ้าคิดได้อย่างนี้เราก็ไม่
หงุดหงิดกับเขา แล้วไม่คอยไปจ้องเอาผิดเขา เพราะ ถ้าเราคอยจ้อง มันต้องมีที่ผิดอยู่วันยังคา เพราะ เราจ้องอยู่ตลอดเวลา ใช่ไหมคะเราเปลี่ยน เราไม่ชอบโทรทัศน์ช่องนี้ เราก็หมุนไปดูช่องอื่นเสีย อารมณ์ของเราก็ดีขึ้น แล้วเราก็รู้สึกว่าโลกนี้น่าอยู่ ไม่อย่างนั้น ทันไปทางไหนก็เห็นนายคนนี้ เต็มจอ ซํ้าร้าย บางทีนอนหลับยังไปฝันถึงนายคน นี้ด้วย โอ๊ย...ประสาทนะคะเราปรับที่ใจของเรา ไม่ต้องไปคิดเชื้อโรคมา จากเขา การคิดว่า เขาไม่ดีเราต้องเตือนเขาไม่อย่าง นั้นเขาจะทำให้โลกเดือดร้อน เหมือนกับการคิดของ คนเดินทางคนที่ 2 ขบมะพร้าวจะเอากะลาให้ทะลุ ให้ได้ถ้าเราเห็นต่อไป เราก็จะเป็นคนที่ 3 คือ
พยายามจะขบกะลา เมื่อขบเท่าไหร่ก็ไม่ออกแล้ว ก็ศึกษาต่อมะพร้าวเป็นยังไงนะ นํ้ากระฉอกอยู่
ข้างในด้วย เราก็ไปหาอะไรที่จะช่วยทำให้กะลา ทะลุให้ได้ ผลที่สุดก็ได้นํ้ามะพร้าวและได้เนื้อมะพร้าว ได้แก่การที่เรามาปฏิบติจิตอย่างที่พูดกันอยู่นี้ธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่หมายความ ว่า ถ้าเธอจะปฏิบติธรรม เลิก ไม่ต้องมีครอบครัว ไม่ต้องทำงาน เข้าป่าไปนั่งหลับตานับเม็ดลูกประคำ ไม่ใช่ถ้าพระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนั้น ท่านคงให้พุทธบริษัทมีแต่นักบวชแต่นี้ท่านบอกว่า พุทธบริษัทจะต้องครบด้วย องค์ 4 คือ อุบาสก อุบาสิกา ภิกษุ ภิกษุณี สมัย นี้ไม่มีภิกษุณี เราก็ถือว่าผู้หญิงที่ไปบวชไปปฏิบติ เป็นตัวแทนของผู้ปฏิบัติฝ่ายหญิง เก้าอี้ต้องครบ 4 ขา อุบาสก อุบาสิกา ก็จะต้องขยันหนั่นเพียรท่า การงานให้ก้าวหน้า มีหลักฐาน อย่างอนาถบิณฑิก เศรษฐี นางวิสาขา หรือใครๆ ที่รั๋ารวย หรือพระเจ้า แผ่นดินอำมาตย์เสนาบดีผู้ประสบความสำเร็จทาง โลกท่านไม่ได้บอกว่า ถ้าปฏิป้ติธรรมแล้ว ต้องเข้าป่าอย่างเดียวเรามารู้อย่างนี้แล้ว เราก็จะเหนว่า ทุกวันๆ นี่ ปัญหาที่เราเจอในที่ทำงาน ปัญหาที่เราเจอใน ครอบครัว หรือปัญหาที่เราเจอตามท้องถนนนี่ คือ แบบัฝิกหัดให้เราปฏิปัติจิตใจ ให้เราหามีดมาปอก เฉาะกะลามะพร้าวจนกระ ทั่งได้เนื้อ ได้นํ้า มะพร้าว เพราะว่าเราแก้ปัญหาเสรืจทีหนึ่ง ใจเราสบาย ปีติ ยินดีนั่นคือนํ้ามะพร้าว เนื้อมะพร้าว ที่ทำให้เราชื่นใจ แล้วก็มีกำลังใจว่า การปีกใจให้ติดในทาง ที่ถูก และบังคับตัวเองให้ทำตามสิ่งที่ติดได้ เป็น ความผาสุกอย่างนื้เองถาม งานมากงานหนัก หัวหน้าชอบใช้คำสั่ง เพื่อน ร่วมงานชอบเอาเปรียบ ควรจะทำตัวอย่างไรจึงจะมี ความสุข
ตอบ ก็อย่างที่ดิฉันเรียนแล้ว ล้ารู้สึกว่าเติมกลืน มากเกินไป แบกไม่ไหวแล้ว หางานใหม่ ลาออก จากงาน แต่ด้องเตรียมใจเอาไว้นะคะว่า ถ้าสิ่งที่เรา เฟ้น เป็นเงาในใจเรา พอเราไปที่ใหม่เราก็จะเจอ ปัณหาอย่างนื้ยกกำลัง แล้วเราก็ต้องหางานใหม่อีกตอนที่ดิฉันไปผึเกอยู่ที่วัด มีคนหนึ่งเขามี ปัญหาอย่างนี้น่ะค่ะ ไปหาท่านอาจารย์ทีหนึ่งเขาก็ บ่นอย่างนี้แหละ ท่านอาจารย์ก็บอก เออ...เราก็ลอง ท่าใจให้สนุกดูซิเขาก็ไม่ว่าอะไร กลับไป หายไป 2-3 เดือน ...ผมเปลี่ยนงานใหม่แล้วควับ ...พออีกลัก 1เดือนต่อมา ไม่ไหว ที่ใหม่ยิ่งแย่เส็งเคร็งยิ่งกว่าเดิมดิฉันนับดู เขาเปลี่ยนงาน 7 แห่ง ท่าน อาจารย์ก็ไม่เคยว่าอะไร ก็วับฟังเขาก็ปลอบให้กำลังใจพอถึงครั้งที่ 8 ท่านอาจารย์เริ่มต้นบรรยาย ว่า เท่าที่อาจารย์ฟังมา ทุกแห่งก็เป็นคนใหม่ทั้ง นั้นเลย เจ้านายก็เป็นคนใหม่ แด่มีคนเก่ายืนโรงอยู่คนเดียว คือตัวคุณนึ่เองมันอาจจะมีอะไรที่
บกพร่องอยู่ในตัวคนเก่าคนนี้ที่ทำให้ไปอยู่ที่ไหนๆ ซึ่งเขาเคยสงบเรียบร้อยมีความสุขดื ก็เลยเกิด
วปรีตไปหมด แล้วก็เร่าร้อนไปหมด เพราะว่าก่อน ที่คุณจะย้ายงาน คุณก็บอกอาจารย์ว่า ตรงนี้ดี เรียบร้อย นายก็ดี ใจกว้าง แล้วทำไมพอคุณเข้าไป
อยู่มันเกิดเหตุอาเพศอย่างนี้ทุกทีเลย อาจารย์ว่า คุณเปลี่ยนที่ตัวคุณจะดีกว่ากระมัง คุณคนนี้ก็เลย หายไปจากวัดท่านเลยดิฉันกิไม่ทราบว่าเขาไปปวับที่ตัวเขาแล้วได้ ผล หรือเขาจะดิดว่าไม่เหยียบแล้ววัดอย่างนี้ เพราะ คำแนะนำไม่ถูกหูเขา
ถาม ช่วยกรุณาอธิบายเกี่ยววับ เลนส์นูน และ เลนส์เว้า เกี่ยวข้องวับตัวเราอย่างไร
ตอบ การที่เราปวับใจของเราให้เป็นเลนส์นูน กิคือ การมองเข้าตัวเองอย่างที่ดิฉันเรียนให้ทราบ
ถึงเราดีแค่ไหนกิตาม เรากิยังดีเพียงมาตรฐานทาง โลกเรายังไม่ได้ปฏิบัติให้ใจของเรามองเห็น
ละเอียดไปอย่างที่เราควรจะทำ เรากิเลยยังดิดอยู, ในโลกธรรม อยายัศสรรเสรืญสุข เรา
ก็เลยเดี๋ยวกิสุข เดี๋ยวกิทุกข์เมื่อได้สมใจเรากิดีใจ
ไม่ได้สมใจเราก็หนักในใจ ผิดหวัง เซ็งถ้าเรามีเรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจเราก็เอาใจไป สนใจเรื่องอื่น ย้ายเป้า เราก็สบายขึ้นมา แต่ประเดี๋ยวก็เป็นอีกเหมือนก็บเราเป็นโรค แต่เราไม่ได้ไปหาหมอให้วางยารักษาโรคที่ถูกต้อง พอปวด หัวที่เราก็กินยาแก้ปวดหัว พอปวดท้องเราก็กินยา แก้ปวดท้อง แต่เราไม่ได้รู้ว่าจรงๆ เราเป็นมะเร็งวันหนึ่งโรครุนแรงขึ้นมาเราก็แย่เพราะเรา ไม่รู้จะทำอย่างไรคือตอนที่เราทุกข์ หรือเราเจ็บหรือเราจะตาย หรือคนที่ใกล้ชิดเราเป็นอย่างนั้น เราก็ทำใจไม่ได้ถ้าเราเห็นอย่างนี้ อะไรที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เราน้อมเอามาเป็นแบบ?เกหัดที่จะแก้ไขปรับปรุงตัว เราให้มีคุณภาพดีขึ้นเรื่อย ๆอย่างที่ดีฉันเคยเล่าในหนังสือเล่มหนึ่งว่า มี อาจารย์ท่านหนึ่งท่านเป็นคนดี ใครๆ ก็ลงความเห็น ว่าท่านเป็นคนดีมาก อายุ 30 เศษๆ ท่านเกิดเป็น มะเร็ง แล้วมะเร็งก็ลุกลามไปเรื่อยๆ ไม่ว่าหมอจะ รักษาอย่างไร ท่านประท้วงดีฉันว่า ท่านรู้ว่าคนเรา ทุกคนต้องตาย และตายอายุเท่าไรก็กำหนดไม่ได้ แต่ท่าไมท่านถึงต้องมาตายด้วยโรคทรมานอย่างนี้ ตายธรรมดา ๆ ไม่ให้เจ็บไม่ให้ปวดไม่ได้หรือ นี่มัน
เป็นบาปเป็นกรรมอะไร ท่านไม่เคยได้ไปทำให้ใคร เดือดร้อนสักอย่างหนึ่งดิฉันก็เรียนท่านว่า ทำไมท่านไม่คิดว่านึ่เป็น พรที่ประเสรีฐของท่าน เพราะถ้าท่านยังทำอะไรๆ แล้วประสบความสำเรีจอยู่เรื่อย ท่านก็เพลิน แล้ว ทำแต่งานอย่างเดียว ไม่ได้คิดที่จะดูแลใจให้มีภูมิ คุ้มกัน ให้มีสมบดิติดตัวแต่พอท่านมาเป็นอย่างนี้ ถ้าท่านปรับใจท่าน ให้เป็นเลนส์นู้น ท่านก็จะคิดว่า อ้อ... เรายังภาวนา ไม่เป็น สดิที่จะรักษาใจให้รับสภาวะตามความจริง ก็ยังไม่มี เพราะฉะนั้น เวลาเจ็บอย่างนี้ ไปทำงาน ก็ไปไม่ได้ เท่ากับได้โบนัสเห็นไหม ยังไม่ทันเกษียณอายุเลย เราก็ได้เงินเดือนทุกเดือนแต่ไม่ ต้องไปทำงาน มีเวลาที่จะมาปฎิบ้ตเรื่องส่วนตัวคือ เรื่องของใจ เป็นเสบียงเอาไว้ นี่เป็นเลนส์นูนนะคะถ้าเป็นเลนส์เว้า เราก็โวยวาย ถ้าพระเจ้า มีจริงก็อยุติธรรม หรือไม่อย่างนั้น เกิดมาไม่เคยทำความผิดความชั่วเลย แล้วลูลิ ทำไมถึงเป็น อย่างนี้ไปได้ แล้วเราก็หงุดหงิดไปหมด ภรรยาก็ไม่ดี ลูกก็ไม่ดี พอมาขยับเราหน่อยก็ทำเราเจ็บไป หมดอีกหน่อย ทั้งภรรยา ทั้งลูก ก็ไม่มีไครเข้าหน้าด้วย เราก็ยิ่งโกรธหนักเข้าไปอีก อย่างนี้เรียก ว่าเราทำใจของเราให้เป็นเลนส์เว้า แล้วเราก็ทุกข์ เดือดร้อนทีนี้ถ้าเราจะหาเหตุผลมาปลอบใจเรา ให้เรา เฟ้นว่าสิ่งที่เกิดกับเรามันเกิดขึ้นได้ทั้งนั้นแหละ ทั้งๆ ที่เราว่าเราไม่ได้ทำอะไรชั่ว เพราะของทุกอย่างใน โลกนี้มีสองด้านอย่างที่ดินันเรียนให้ทราบแล้ว ยก ตัวอย่าง เราเดินไปตามถนนเกิดไปเฟ้นงูตัวหนึ่ง กำลังจะเขมือบเขียดเข้าไป เราก็เป็นคนถือศีลนึ่คะ งูมันบาปกรรม จะไปกินเขียด พลเมืองดีก็จัดแจง เข้าไปไล่งู จนกระทั้งมันปล่อยเขียดออกไปถึงกลางคืนเราสวดมนต์ เราก็ภูมใจ ปีติว่า วันนี้เราได้ทำบุญให้ชีวิตเขียดหนึ่งชีวิต เราคงจะได้ อานิสงส์เยอะแยะ แล้วเราก็ชื่นฉํ่าในหัวใจแต่ถ้าเราไปนึกถึงในแง่งูบ้าง งูไม่ร้หรอกนะ คะว่าที่จะกินเขียดเพื่อให้หายหิวนี่มันเป็นบาปเพราะแม่งูก็ไม่เคยสอนว่าเจ้าอย่าไปกินเขียดนะ มัน
ก็รู้แต่เพียงว่า ถ้าหิวปับ มีเขียด มีสิ่งมีชีวิตอะไร ผ่านมาก็กินได้ ใส่เข้าไปในท้องแล้วก็จะได้หายหิว งูคงคิดว่าวันนี้ซวยสะบดช่อเลยเรากำลังจะ กินสเต๊กดีๆล่ะนะ เกิดมียักษ์อะไรก็ไม่รู้มาลากออก ไปจากปากเรา แล้วก็ใจร้ายใจดำ จะหาเศษอะไร มาให้เราใส่เข้าไปในท้องพอให้เต็มท้องไม่แสบท้องก็ไม่มีถ้าเป็นอย่างนี้นะคะ งูก็คงไม่โมทนาบุญกับเรา กลับจะแช่งว่า เจ้าประคุณเอย ขอให้ไอ้ยักษ์ตัวนี้ ไปเจออะไรที่มันหิวโหยอย่างเรา จะได้รู้บ้างว่าการ แกล้งเรานี่มันเป็นอย่างนี้หนาถ้าคิดรอบคอบอย่างนี้ อะไรๆ ที่เราทำในโลกนี้นี่ ที่เรานึกว่าดี๊ ดีดีนี่ก็อาจจะมีผลไม่ดีได้ ใช่ ไหมคะพออะไรเกิดขึ้นมา เราจะได้ไม่ไปคิดว่า ทำไมถึงเป็นอย่างนี้แต่จะนึกว่าเออ ดีนะที่เกิดอย่างนี้ เรานึกไม่ถึงเราจะได้ปรับตัว ปรับใจเราแล้วจะได้หาวิธีแก้ไข เราจะได้อยู่ในโลกด้วยความ มั่นใจว่า อะไรจะเกิดขึ้น เรามีสต็ปัญญาพอคุ้มตัวได้
เราก็ไม่ไปยึดอยู่กับความดีความชั่วเสียจน กระทั่งเหมือนเราขบฟัน กัดกะลามะพร้าวอยู่เรื่อย แล้วเผลอ ๆ เราก็ต้องไปหาหมอฟันหรือเผลอ ๆ
เราก็บอก เบื่อ... ไม่อยู่แล้ว โลกนี้มืแต่คนชั่วทั้งนั้น แต่เราก็หนีไปไหนไม่ไต้ก็ต้องเจออยู่ทุกวี่วัน
อย่างนี้แต่เราก็บ่น...บ่นแล้วก็ต้องอยู่กับสิ่งที่บ่นนั่นแหละเหมือนกับท่านอาจารย์ดุพวกเรา สมัยหนึ่ง รถไฟไปอุดรฯ ไม่เคยเข้าตรงเวลา ท่านอาจารย์ก็ ท้วงว่า ก็เห็นบ่นทุกที แตกมารถไฟทุกที บ่นแล้ว ก็อย่าไปใช้บริการของเขาสิ นี่บ่นแล้วก็เห็นยังใช้ เขาทุกทีก็รถไฟน่ะเขามาตามเวลา คือเขาไมได้มาตรงเวลา เขาตามเวลาที่กำหนดมาเห็นไหมเขาไม่เคยเข้าก่อนเวลา แล้วยังจะไปว่าเขาอีกก็ถ้าเราคิดอย่างนี้เสีย อะไรๆ ก็ดีทั้งนั้นแหละ เราก็ทำใจเราให้เป็นเลนส์นูนได้ในทุกกรณี
ถาม ทำงานอย่างมีความสุขโดยใช้ธรรมเข้ามาช่วย ดับโมหจริต ไม่น่าจะเป็นไปได้ คิดว่าการทำงาน
อยู่อย่างสบายๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก หรือทำตามคำสั่ง จะทำให้มีความสุขมากกว่า กรุณาอธิบายด้วยครับ
ตอบ สมมุติว่าเราทำงานอย่างสบายๆ ไม่ต้องคิด อะไร เขาสั่งอะไร เราทำเหมือนกดปิบก็ติดปับ บังเอิญเราไปได้นายที่เป็นนักเลงโต มาเพียงเขาสั่งว่า แกยิงนายคนนั้นให้ที กดปุ้บก็ติดปั๊บ เราก็ยิงคนนั้นพอยิงเสร็จตำรวจมาสอบสวน ได้รอยนิ้วมือไปเพื่อ ควานหาตัวจนจับเราได้ พยานมัดตัวเราว่าเราเป็น มือปีนจริง เขาก็จับเราไปเข้าคุกเราจะบอกว่า ผมไม่ได้ทำอะไรเลย ผมทำ ตามคำสั่งของนายนายก็ว่าตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นหน้านายคนนิ้เลยแล้วเราจะทำอย่างไรคะ เรา ก็เข้าปีง ดีไม่ดีอาจจะถูกตัดสินประหารชีวิตหรือ จำคุกตลอดชีวิตพอถึงจุดนี้แล้ว การทำงานอย่างสบายๆ ไม่ ต้องคิดอะไรมาก ทำตามคำสั่ง จะมืความสุขมากกว่าที่เราจะทำอย่างมืสติ แล้วปกป้องตัวเองตามควรแก่เหตุไหมคะ
ถาม เวลาเบื่องานคิดว่าจะออก มีวิธีแก้ไขหรือ ปรับปรุงตัวอย่างไร
ตอบ ก็คิดอย่างที่คิฉันเรียนให้ทราบแหละค่ะ ว่า ถ้าออกไปแล้วเกิดไปเจอคนใหม่เลวกว่าเดิมยกกำลัง ทวีคูณแล้วเราจะทำอย่างไรคะ เมื่อสมัยที่ดิฉันเรียน อยู่เมืองนอก เจ้านายของดิฉันสอนว่า the devil you know is better than the one you don't know สัตว์นรกที่เรารู้จักห้วนอนปลายเท้า ย่อม ดีกว่าไอ้ตัวที่เรายังไม่รู้จักอย่างน้อยเราก็ยังรู้แล้วว่า มันชอบให้พูดเพราะๆ ด้วย หรือชอบให้เราอย่า ไปยุ่งเวลาโทสะ เราก็ยังพอจะหายุทธวิธีให้อยู่กัน อย่างไม่เดือดร้อนนักได้แต่ถ้าเผื่อเราย้ายไปใหม่ ซุ่มซ่าม ไปเจอเอาชนิดที่ร้ายกว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไร ก็ถูกกระทำทั้งขึ้นทั้งล่องเราก็จะเสียใจ คิดเสียดายว่า รู้อย่างนี้
ก็คงจะไม่ลาออกหรอกหรือไม่อย่างนั้น เราก็คิดอย่างนี้สิคะว่า ถ้า เผื่อเราขาดใจเสียตอนนี้ เราก็ไม่ต้องทำงานอันนี้ อีกแล้ว มันก็ทำแค่ตายเท่านั้นเองแหละ แล้วไปเบื่อ มันท่าไมกัน
ถาม นั่งดูใจ ดูอย่างไร
ตอบ ก็เวลาท่างานไปนี่ค่ะ มีอะไรมากระทบปุ๊บ เรารู้สึกใจที่กำกังสบายๆ อยู่ไหวพึ่บขึ้นมา เหมือน อย่างกับมีดอกไม้ไฟระเบิด นั้นแหละค่ะ คือการลูใจ เอาสติลูไว้ว่า พอพึ่บขึ้นมาอย่างนั้นแล้ว
วาจาของเราจะเป็นปีนกลออกไป หรือว่ามือของเรา หรือว่าขาของเรา จะเหวี่ยงอะไรออกไป แล้วคอย หยุดมันให้ทันว่า นั้นผิดกาลเทศะอย่างนี้เรืยกว่าการดูใจ แล้วก็ดูได้ทันแต่ถ้าเรานั้งลูใจของเรา พึ่บระเบิดไปแล้ว ปรากฏว่าเราก็ปล่อยให้ปากของเรากลายเป็นขี้ข้า ด่าเขาไปกันใหญ่ จนกระทั่งเขาลุกขึ้นซัดเรา เราถึง นึกได้ว่าเราทำเกินเหตุ ที่จริงเราก็ไม่ควรพูดหรอก นะ ถ้าอย่างนี้ขาดทุน เรียกว่าลูไม่ทัน ลูไม่เป็นนะคะถาม ผมว่าชีวิตคนไม่ยุติธรรมนะครับ มีคนรวยคน จน ผมอยากให้เป็นคอมมิวนิสต์ จะได้ทัดเทียมกัน
ตอบ มันไม่ทโดเทียมก้นหรอกคะ เพราะคอมมิวนิสต์ก็ยังมีระดับเจ้านายคอมมิวนิสต์ที่คอยออกคำสั่ง แล้วก้ไม่ได้ลงมาอยู่กลางดินกินกลางทรายอย่างเรา ไม่มีหรอกค่ะอะไรในโลกนี้ที่จะให้ยุติธรรมดังใจเรา
ถาม ถ้าชีวิตคนมีความยุติธรรมคงไม่มีคนขอทาน นั่งตามถนนใช่ไหมครับ ผมเดินผ่านเห็นพวกเขา แล้วสงสารจริง ๆ ผมกิคิดว่าพวกเราไม่ต่างอะไรกับ พวกเขา เราจะต่างกันตรงไหนครับ ป.ล. ผมหมายถึงคนที่จนจริงๆ มิใช่ที่สิ้นคิด แล้วก็มาขอทาน
ตอบ การที่เรามองเห็นสั้นๆ ด้วยตาเนื้อของเรา แล้วก็หลงเชื่อว่า เราเห็นครอบจักรวาลหมดแล้ว ทำให้เราเกิดความคิดที่ยังไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง พระพุทธองค์ท่านเห็นแล้วว่า ชีวิตคนไม่ได้ ตั้งด้นที่ลมหายใจที่เริ่มตรงชาตินี้ ที่เราจำได้ แล้วกิ จบหมดสิ้นลงเมื่อลมหายใจดับไป เมื่อเป็นอย่างนี้ มันกิปรากฏอย่างที่ตุณถามมาว่า ทำไมมีคนรวยคน จนถ้าทุกอย่างเริ่มต้นเสมอกันตอนที่เริ่มลมหายใจ มันก็เหมือนของที่เราผลิตออกมาจากโรงงาน เมื่อ ผลิตแก้ว แก้วทุกใบจากโรงงานควรจะเหมือนกัน หมด ไม่มืเลยที่จะมืแก้วใบไหนผิดแปลกไปแล้วทำไมคนเราจึงเป็นอย่างนี้ พ่อแม่ที่ผลิต ลูกออกมา ไม่มืใครหรอกอยากไต้ลูกโง่ๆ ผู้ที่ผลิต ออกมาก็อยากผลิตได้ชั้นดีชั้นหนึ่งถูกใจทั้งนั้นเลย ขนาดได้ลูกแฝดออกมาแล้วยังไม่เหมือนกัน เลย เพราะอะไร ก็เพราะมันมืมูลเหตุดั้งเดิมที่เราเฟ้นเป็นตัวตนกันอยู่นี่เป็นเพียงแด่เปลือก เป็นเพียงบ้านเรือน เหมือนเราดูบ้านจัดสรรสมัย นี้ เราเลือกดูชอบใจอันไหนเราก็ไปดาวน์แล้วผ่อนส่ง มาเป็นกรรมลิทธิ์ของเรานึ่ก็เหมือนกัน ร่างกายของเราที่เห็นๆ อยู่นี่ ก็คือบ้าน แต่ตัวที่อยู่ข้างในที่ทำให้มืพฤติกรรมแตก ต่างกันคือใจ ซึ่งทางธรรม พระพุทธเจ้าเรียกว่า อมตธาตุ ธาตุที่ไม่ตาย หรือธาตุรู้อมตธาตุนี้มองไม่เห็นด้วยตาเนื้อ เพราะเป็น พลัง มีการหักเหของแสงใกล้เคียงกับอากาศมาก จึง

มองไม่เห็น แต่เราก็เชื่อด้วยสัมผัสว่า ใจมีจริง
พอมีใครตาย เราบอกว่าเรากลัวผี เพราะเรา ไปคิดว่าใจที่ไม่มีร่างกาย ไม่มีบ้านให้เราแลเห็น คือ ผี ถ้าเป็นคนดี เราไม่กลัว เพราะเขาไปเป็นเทวดา ผีดีเราเรียกว่าเทวดาเรากลับไปบนบานศาล
กล่าว อ้อนวอนขอให้เขามาช่วยเรา ขอให้เขามา ดลบันดาลให้เราสมปรารถนา เราไปคิดสินบนเขา ทีนี้การที่เกิดมาแล้วเราจน เรารวยต่างกันนี่ ก็เพราะบาปทรัพย์หรืออริยทรัพย์ของอมตธาตุ เป็น ตัวทำให้ชีวิตที่เกิดมาประสบความวิบ้ต หรือประสบ ความสำเร็จเป็นต้นว่า ถ้าใจอันนื้ไม่ได้รับการสิกมาเลย ไม่มีบุญกุศลเป็นเสบียง ไม่เคยเอื้อเฟ้อเผื่อแผ่ ใครเลย พบใครก็ใจร้ายกับเขาตะพึดตะพือไปหมด นิสัยอันนี้ก็ฝังอยู่ในเนื้อใจเมื่อโตขึ้นมา ทั้งๆ ที่อยู่ท่ามกลางพ่อแม่ที่เอื้อเฟ้อเผื่อแผ่มันก็คอย
พยายามชักจูงให้เราเป็นคนเอารัดเอาเปรียบ เห็น แก้ตัว เพราะความเคยชื่นที่เป็นมาในเนื้อผ้าเจอ
เพื่อนก็ไปทำนิสัยอย่างนี้ เพื่อนก็เลยไม่คบค้าด้วย คนที่เคยขโมย มีโอกาสเป็นขโมยเรื่อยไป เมื่อเกิด
มายอมยากจน เพราะไม่เคยทำทุน ไม่เคยสะสม เสบียงอะไรเอาไว้เลย ไปที่ไหนก็ไม่มีใครให้ ไม่มี ใครเอื้อเอ็นดูจึงทำให้คนบางคนเกิดมาเป็นคนจนบางคนเกิดมาเป็นคนรวยหรือคนบางคนเคยเป็นคนดี เคยทำบุญเอาไว้ แต่บังเอิญช่วงเวลาที่จะตายไปเกิดมีเหตุสุดวิสัยทำ ให้เขาเผลอ เพราะยังฟิกใจไว้ไม่ได้ที่ ปล่อยให้ถูก อกุศลครอบงำจึงเกิดความวิบีตขึ้น เขาก็ไปเกิดเป็น ลูกคนยากคนจน แต่เพราะมีบัตรเครดิตคือคุณความ ดีที่ทำไว้ดีติดเป็นเสบียงอยู่ในใจ เพียงเป็นเดีก เลกๆ ก็มีคนไปเห็น เดีกคนนี้น่ารักจัง ขอเอามา เลี้ยง พอมาเรียนหนังสือก็เรียนได้ดี มีสติบัญญา เพราะเขาเคยฟิกฝนตัวของเขาเอาไว้แล้ว ฟังครูสอนก็รู้ก็เข้าใจ เรียนต่อไปจิตใจก็ใฝ่หาความรู้ สอบได้ดี มีคนมาให้ทุนการศึกษาตังนี้ เป็นต้น
เหมือนอย่างสมัยโบราณ เจ้าพระยายมราช ผู้สำเรีจราชการในรัชกาลที่ 5 เป็นลูกชาวนาแท้ๆ แล้วทำไมลูกชาวนาคนนี้จึงมาเป็นถึงสมเด็จเจ้าพระยา เป็นผู้สำเร็จราชการ ในขณะที่ลูกชาวนาอีกตั้งเยอะ
แยะก็ยังเป็นชาวนาอยู่หรือในทำนองกลับกันลูกเศรษฐีก็จบชีวิตลงด้วยการไม่มีจะกินต้นทุนบุญกุศลที่เป็นบัตรเครดิตติดอยู่ในใจ เป็นตัวบ่งชี้ว่า ทำไมเหตุที่เราพบในชีวิตจึงมีความ ไม่สมาเสมอ เหลื่อมลํ้าตํ่าสูงอย่างนี้ทราบเช่นนี้แล้วเราก็เริ่มด้นสิคะ เพราะว่าไม่ ว่าของเก่าจะเป็นมาอย่างไร แค่ไหน ย่อมไม่ยั่งยืน ทนทานไปตลอดกาล ถ้าเราตั้งด้นด้วยโอกาสทอง ของ ปัจจุบัน นี้ เปลี่ยนวิถีเสียใหม่ อะไรที่เรารู้ว่า เป็นบัตรเครดิตปลอมก็ขุดทิ้งไป ตั้งสติเอาไว้ว่า เรา จะไม่โกงตัวเองเป็นอันขาด เราจะไม่ยอมปล่อยใจ เราให้เผลอทำอย่างนั้นอีกเป็นอันขาดอะไรที่เป็นของดี เรารู้มา ด้วยมีคนสั่งสอน อ่านจากหนังสือ หรือความตรึกนึกคิดของตน แล้วเห็นว่าเป็นของดี น่าทดลอง เราก็ลองทำเหมือนเราอยากกินผลไม้น่ะค่ะ เราก็ไปหา เมล็ดผลไม้ชนิดนั้นมา เหนื่อยยากปลูก คอยรดนํ้า คอยเฝ้าดูไม่ให้ตัวแมลงมากัดยอด เมื่อต้นไม้นั้นโตถึงจังหวะที่จะมีลูกมันก็มีลูกออกมา คราวนี้ถึงเรา
จะอยากหรือไม่อยากแค่ไหน ผลก็เป็นไปตามมูล เหตุปัจจัยดั้งเดิม คือเมล็ดที่เอามาปลูก กาลเวลา ปุ๋ย นํ้า และอุณหภูมิของดินฟ้าอากาศหาได้เป็นไป ตามสมมุติฐาน หรือความคิดหจังของเราไม่
ใครสร้างเหตุอย่างไหนไว้ย่อมได้รับผลอย่างนั้น เพราะของทุกอย่างมาแต่เหตุ ความยุติธรรมจึงเป็น อย่างนี้ ไม่ใช่ความยุติธรรมที่เรามาดั่งผู้พพากษา ดั่งศาล ตัดสินคดีความ แล้วเราก็บัญญ้ดิว่า อะไร เกิดขึ้นจะต้องมีคนผิดและคนถูก แล้วเราก็ไปก่อเวร ต่อไป เพราะคนผิดที่เราว่าผิดในครั้งนี้ แท้ที่จริงคือ คนที่ถูกรังแกไว้แต่ครั้งก่อน เขามาเอาหนี้ของเขา คืนเพราะขัดแค้นใจ แต่เรามองช่วงสั้นๆ
เรามองรูปแต่ละกรอบ แต่ไม่เคยเอาไปฉาย เป็นหนังให้เห็นติดต่อกันไป แล้วเราก็ไปยึด ตรง นี้ เลยเกิดเป็นความยุติธรรมแบบของเรา จึงมีผลเป็น คนรวย คนจน มีคอมมิวนิสต์ มีค่ายเสรีประชาธิปไตย แล้วก็มีปัญหาซํ้าซ้อนบนการแก้ปัญหาของ เรา...ไม่รู้จบ แล้วเราก็หาจุดยุติไม่ได้
แต่ถ้าเรามองอย่างที่ดิฉันเรียนให้ทราบอย่าง นี้ วันหนึ่งเราก็จะไปลู่จุดจบได้ เพราะเราเห็นว่า อะไรก็ตามที่ไม่พึงปรารถนา ล้วนมีเหตุของมันมา ถ้าเรายอมเป็นฝ่ายเสียสละเสียก่อน เรื่องก็จบกันที่ ตรงนั้น อย่างน้อยใจเราก็เป็นอิสระ อย่างเรื่องของ วิทูฑภะกับวงศ์ศากยะที่ดิฉันเล่าให้ฟัง มันหลีกเลี่ยง ไม่ได้ มองทางโลกจะสูญเสียไปหมด ไม่ยุติธรรม ตรงไหนเลย แต่ถ้ามองทางธรรม ไมได้สูญเสีย
เพราะอะไรคะฝ่ายศากยะหมุนใจให้เป็นฝ่ายชนะกิเลสของ ตน รับธัมมะ ได้เป็นอริยบุคคล เป็นโสดามัน ทำให้ ใจอโหสิ ยอมรับความริบต เพราะว่าเราเป็นฝ่าย ไปทำร้ายเขาก่อน เพราะฉะนั้น เวลาที่เขามาทำ
เราก็ควรจะให้เขาได้ทำตามสบายใจ ให้เขาสุขสม ใจ จิตใจของท่านเป็นอิสระ
ฝ่ายริทูฑภะแต่เดิมคั่งแค้น พอได้ฆ่าพระ ญาติพระวงศ์เหล่านั้น เอาเลือดมาล้างเท้า ความ แค้นก็ละลายหายไปหมด ใจท่านก็เป็นอิสระเหมือน กัน ถึงแม้ว่าท่านจะต้องมาเกิดลำบากตรากตรำอีก
เท่าใด แต่ใจอันนี้ก็เป็นใจอิสระ ไม่ได้คุมแค้นอยู่ ถ้ามองทางโลกจะแลดูสูญเสียไม่มีชิ้นดีเลยแต่ในพัฒนาการของชีวิต เท่าอับได้ปลด หนี้สินต่ออันหมดไประดับหนึ่งแล้วแล้วค่อยไปว่าอันตามเนื้อผ้าต่อไป ถ้ามีสติปัญญาตุ้มครองก็มี โอกาสที่จะเดินไปถึงจุดสุดท้ายพบความผาสุกที่แท้ จริงได้ถ้ามองอย่างนี้แล้วกทำให้เราไม่จน หรือไม่ รู้สึกว่าพวกขอทานน่าสงสาร เราก็จะไม่เป็น ขอทาน แต่จะเป็นคน ร่ำรวย เพราะเรามีสติปัญญาที่จะหมุน ทุกอย่างให้เกิดเป็นความรํ่ารวยได้
ถาม การที่ชีวิตดำเนินด้วยสายกลาง ผู้คนพอแล้ว ทุกสิ่งทั้งประเทศ แล้วใครจะพัฒนาชาติเล่าคริบ
ตอบ ดิฉันเรียนให้ทราบเมื่อกี๋ไงคะว่า พระพุทธเจ้า ตรัสว่า อุบาสก อุบาสิกา ถ้าหากรู้หน้าที่ก็จะต้อง ขวนขวายสร้างหลักฐาน สะสมคุณงามความดี แต่ ว่าสันโดษในความชั่ว อะไรที่เราอยากมี เรามีด้วย นํ้าพักนํ้าแรง ด้วยสุจริต ไม่ใช่มีด้วยการไปโกงเขา ไปก่อเวร ทำให้เขาเจ็บซํ้านํ้าใจเกิดความรู้สึกว่าคนเราไว้ใจกันไม่ได้ จะต้องฆ่ามันเสียก่อนทีมันจะ ทำร้ายเรา ทำให้เราแห้งแล้งนํ้าใจต่อกัน โลกนี้ร้อน ไปทุกหย่อมหญ้าถ้าเราอยู่ด้วยทางสายกลาง ประเทศจะพัฒนา สูงสุด เพราะเราจะทำงานด้วยความหวังในความ เจริญของประเทศชาติ เห็นประโยชน์ส่วนรวมสำคัญ กว่าประโยชน์ตนเราอยู่ในเรือสำเดียวกัน เราจะสามัคคีกัน เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน แต่ทุกวัน นี้เราอยู่กันด้วยกิเลสตัณหา เราอยู่ด้วยว่าฉันต้องมี ตำแหน่ง ฉันต้องเป็นหัวหน้า ใครคนอื่นจะเป็นอะไร ช่างหัวมัน มันจึงได้เป็นอย่างนี้
ถาม กรณีที่เกิดปัญหาชีวิต ทางต้านจิตใจหรือต้าน อื่นๆ ก็ตามจึงหาที่พึ่งโดยหันหน้าเข้าวัดทำบุญ
สุนทาน อย่างนี้เรียกว่าหนีปัญหาเข้าวัดหรือเปล่า โดยปล่อยให้ปมปัญหากลายเป็นอดีตสำหรับชีวิต แต่ ปัญหายังคงเป็นสำหรับคนอื่นต่อไป กรุณาชี้แนะด้วย
ตอบ ถ้าเราเข้าวัดด้วยโมหคติ ด้วยความหลง มัน ก็เป็นอย่างที่คฺณถาม เพราะเราไม่ไต้เข้าวัดเพื่อที่จะ
ปรับปรุงอะไรเลย เราเข้าวัดเพื่อหลอกตัวเอง แล้ว ตัวเราก็ไม่มีความสุข เข้าวัดแล้วก็ไปอธิษฐาน เจ้าประคุ๊ณที่ทำบุญอย่างนี้ฃอให้มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น ถ้า เรากำลังขัดสนเรื่องเงินทองก็ขอให้เราถูกล็อตเตอรี่ รางวัลที่หนึ่ง หรือไม่อย่างนั้นก็ขอให้เราเล่นแชร์ แล้วก็ได้ดอกเทำนั้นเท่านี้ใจเราก็ไม่มีความรู้ ตื่น เบิกบาน เพราะว่า เจตนาที่เราเข้าวัด เราไม่ได้เข้าวัดเพื่อที่จะไปขัดล้าง ความผิดความชั่ว หรือปรับปรุงตัวเองเราเข้าวัดด้วยไปติดสินบนพระ เรากำลังไปทำการค้าโดยหวัง กำไรเกินควร หวังในสิ่งที่นอกเหนือความสามารถ แล้วเราก็เป็นคนที่ไม่มีความนับถือตัวเอง เพราะไม่ เชื่อในความสามารถของตัวเอง ไม่ได้คิดว่า ทุก อย่างเราจะต้องมีตนเป็นที่พื่งแห่งตนแต่ถ้าเราเข้าวัดเพราะเราเห็นว่า ปัญหาที่ เราแก้ด้วยความรู้ทางโลก ที่เราคิดว่าเราเก่งเราแน่ ที่สุดแล้วนี่ เรายังไม่แน่บางทีอาจจะมีอะไรที่เรายังไม่รู้ ที่เราจะได้เรียนรู้ และไม่ปล่อยให้เวลากิน ชีวิตเราไปโดยเปล่าประโยชน์ เราพร้อมที่จะเรียนถ้าเราเข้าไปด้วยสติปัญญาอย่างนี้ เราก็จะได้ไปปรับ ตัวของเราให้เกิดสัมมาทิฏิเพื่อมีความเห็นชอบ พระพุทธองค์ไม่เคยสอนเลยว่า ให้เราแก้ปัญหาด้วย การหนีปัญหาพ่านสอนว่า เหตุเกิดที่ไหนต้องดับ
ที่นั่นครั้งหนึ่ง เดียรถีย์จ้างพวกอันธพาลให้คอย ไปรังควานพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเสด็จไปเมือง ไหน เดียรถีย์ก็จ้างอันธพาลไปคอยด่าทอ ขดขวาง ไม่ให้ประชาชนใส่บาตรพระพุทธเจ้า พระอานนท ก็เป็นทุกข์ เดือดร้อน อับอายมาก จึงทูลเชิญพระ พุทธเจ้าให้เสด็จไปเมืองอื่นพระพุทธเจ้าถามว่า แล้วถ้าไปเมืองอื่นเจอ อย่างนี้อีกล่ะ เราก็ไปเมืองอื่นตัอๆ ไป ยังมีอีกตั้ง หลายเมือง พระอานนท์ทูลตอบพระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ อานนท์ เหตุเกิดที่ไหนต้องตับที่นั่น ตรงนั้นเราต้องอยู่ที่เมืองนี้ จนกระทั่งเราไม่เกิดความคับข้องไจ เราไม่เดือดร้อน แล้วเมื่อนั้นเราจะไปไหนเราจึงไปได้ แด่เราต้องแก้ ปัญหาให้สำเร็จก่อนกรณีของเราก็ทำนองเดียวกัน เราไปหากำกัง ใจจากพระด้วยการไปฟังคำสอน เพื่อให้เราสามารถ ปรับใจให้เป็นแว่นแก้วนูนได้ทุกครั้ง ไม่เผลอสติออก ไป เราจะได้ไม่พลั้งไม่เผลอ แล้วย่นเวลาในการแก้ ปัญหาของเราให้เหลือลั้นที่สุด เพราะเราเข้าซุปเปอร์ไฮเวย์ ไม่ใช่ไปอยู่บนถนนรัชดาฯ ถนนวงแหวน แล้วก็วนกันอยู่ที่นั่นแล้ว ทำให้ของที่ควรจะเสร็จใน รันหนึ่งเลยกลายเป็นเสร็จไปปีหนึ่ง แล้วเราก็ท้อใจ
ถาม ทำอย่างไรจึงจะแยกเรื่องส่วนตัวกับงานได้
ตอบ เราก็ต้องตั้งสติให้ดีค่ะว่า อะไรก็ตามที่เป็น งาน มันไม่มีตัวสัตว์ไม่มีบุคคล ผีแต่ว่าเราอยู่ใน เรือลำเดียวกัน เป็นหุ้นส่วนกัน มีอะไรที่จะช่วย กันคนละไม้คนละมีอให้งานชิ้นนี้เสร็จไปโดยเร็วที่สุด เราจะทำ
เหมือนนิทานเรื่องหนึ่ง เล่าต่อๆ กันมาว่า ซามูไรคนหนึ่งมีภรรยาสาวสวยและลูกชายคนหนึ่ง แล้วก็มีนายทหารคนสนิทที่ยังหนุ่มแน่น วันหนึ่งก็ พบว่านายทหารคนสนิทลอบเป็นชู้กับเมียซามูไรมี
ความอบอายขายหน้ามาก ตามธรรมเนียมญี่ปุ่นก็ เลยคว้านท้องตายภรรยาหนีไปอยู่กับชู้ ลูกก็เติบโตขึ้นมาใน แวดวงญาติพี่น้อง เด็กคนนี้โตขึ้นก็คิดว่าเขาจะติด ตามให้เจอชู้ของแม่แล้วก็จะต้องฆ่ามันเสีย เพี่อกู้ คักดิ์ศรีของวงศ์ตระกูลคืนมาเด็กหนุ่มดั้นด้นไปจนในที่สุดเจอชู้ของแม่กล่าวถึงนายทหารหนุ่มคนนั้น หลังจากเป็นชู้ กับเมียของเจ้านายแล้ว อยู่กันไปความรู้สึกผิดชอบ ชั่วดีก็กัดกร่อนชีวิตจิตใจ จนในที่สุดต่างคนต่างก็ แยกทางกัน คัวเขาเองก็พยายามทำแต่คุณงามความ ดีเพี่อล้างบาปในใจเมืองที่อยู่นี่ เวลาจะไปติดต่อกับเมืองอื่น ต้องเดินทางเวียนอ้อมไหล่เขาเพราะมีภูเขาใหญ่กั้น อยู่เขาจึงคิดสร้างสิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์เพี่อล้างบาปกรรม ด้วยการเอาแรงกายของเขาขุด อุโมงค์ทะลุภูเขาให้เป็นเส้นทางตรงเพี่อการเดินทาง ติดต่อระหว่างเมือง ไม่ต้องอ้อมภูเขาผจญความทุรกันดารยากลำบาก อาจเจึบไข้ได้ป่วย เป็นไข้ป่า
 เป็นอะไร หรือถูกโจรผู้ร้ายปล้นสะดมขณะที่ลูกชายมาเจอ คือตอนที่นายทหารคน นี้กำลังขุดอุโมงค์ไปได้ครึ่งอุโมงค์แล้ว เมื่อพบ ลูก ชายก็บอกให้ฟังว่าเขาคือใคร ติดตามมาเพื่ออะไร นายทหารก็บอกว่าเขายินดีให้เด็กคนนี้ฆ่า แต่ขอ เวลาขุดอุโมงค์จนเสร็จตามความปรารถนาก่อน เพราะการ1ขุดอุโมงค์นี้ไม่ใช่ผลประโยชน์ส่วนตัว แต่ เพื่อประโยชน์ของประซาซนทั้งเมืองนี้เด็กหนุ่มก็นึก... ไม่เป็นไร ยังไงๆ มันก็อยู่ ในเงื้อมมือเราแล้ว ก็ตอบตกลง นั่งเฝืา นอนเฝ้าเฝ้าไป... เฝ้าไป... รู้สึกเรื่องอะไรเราต้องนั่งเฝืา คอยนานอยู่เฉยๆ เราช่วยขุดจะได้เสร็จเร็ว ๆ พอ เสร็จเราจะได้ฆ่า แล้วเราก็ไปทำอะไรอย่างอื่นของ เราต่อไประหว่างที่อยู่ด้วยลัน ต่างฝ่ายต่างทั้งหน้าทั้ง ตาทำงานเพราะมืจุดหมายร่วมลันว่าเราจะขุดอุโมงค์ ให้เสร็จ ฝ่ายหนึ่งเสร็จเพื่อล้างหนี้อุทิศเป็นทางสาธารณะ อีกฝ่ายหนึ่งเสร็จแล้วจะได้ฆ่าศัตรูล้าง แค้นแม้ว่าวัตถุประสงค์จะต่างลันก็ตาม แต่ว่า
ความมุ่งหมายตั้งใจในการทำงานเต็มที่เท่ากัน
โดยไม่รู้ตัว เพราะตอนนี้ใจไม่ได้คิดแล้วว่า จะนั่งคอยจับผิดนายทหาร เด็กหนุ่มก็ได้เห็นจริยา วัตรของศัตรูคู่แค้นว่า เป็นคนน่านับถือ เป็นคนต็ม ระหว่างที่ขุดอุโมงค์ไปจนเสริจ เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าใจ ของตัวเปลี่ยนไปแต่เมื่อใด พอเสร็จเรียบร้อย นาย ทหารก็ชำระร่างกายให้สะอาดหมดจด แล้วมานั่งขัด สมาธิ บอกเราพร้อมแล้ว ขอเชิญท่านตัดคอเราได้ เด็กหนุ่มก้มลงกราบนายทหาร บอกว่า ผม จะฆ่าอาจารย์ของผมได้อย่างไรนายทหารก็ว่า เราท่าให้ตระถูลของท่านมัว หมอง เราเองเห็นที่ผิดที่ชั่วก็ยินยอมรับผิด ให้ท่าน ฆ่าเสียให้บรรลุวัตถุประสงค์ แล้วท่าไมท่านจึงมา เปลี่ยนใจอย่างนี้เล่า
เด็กหนุ่มเลยเล่าว่า ตอนแรกที่ช่วยขุดอุโมงค์ ก็คิดว่าการคอยให้ท่านขุดฝ่ายเดียวมันชักช้าไม่ทันใจ ก็เลยช่วยขุดจะได้ฆ่าล้างแค้นเร็วขึ้น เมื่อใจไปผูกอยู่ กับงานแล้วก็เลยเห็นตามเป็นจริง คุณงามความดี ของท่านค่อยๆ มาละลายใจของผมให้เห็นว่า คนเรา ทุกคนย่อมมีเวลาพลาดพลั้งทำผิดทำชั่วได้ทั้งนั้น การที่เราทำผิดทำชั่วแล้วรู้สึกนึกผิดชั่ว ทำชีวิตที่ เหลือให้เป็นคุณงามความดี นั่นเป็นสิ่งที่น่าให้อภัย น่าเคารพนับถือถ้าเราแยกเรื่องส่วนตัวภับงานได้อย่างเด็กหนุ่มคนนี้เราจะเห็นว่า จริงๆ แล้ว เรื่องส่วนตัว ที่เราคั่งแด้นเสียเต็มประดานั่น ไม่ใช่เรื่องเหลือบ่า กว่าแรงที่เราจะปรับใจเข้าหาภันไม่ได้นะคะ ลองทำดู
ถาม ในกรณีที่มีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน โดยที่ เพื่อนส่วนรวมมีความคิดว่า เราคอยจับผิดหรือล้มทับเขาทั้งๆ ที่ไม่ได้เจตนาที่จะไปทำอย่างนั้น แล้ว ก็งานของเขาก็ไม่เกี่ยวข้องกับเราเลย เราก็พยายาม ที่จะอธิบายให้เขาฟังแต่เขาก็ไม่ฟัง เราจะทำอย่างไร ทั้งๆ ที่รู้ว่าเราต้องทำใจของเรา แต่เวลามีปัญหา แล้วเราก็ไม่สบายใจ
ตอบ อันนี้เป็นธรรมชาติธรรมดาของคน ลองคิด อย่างนี้ว่า การที่เขาระแวงว่าเราไปคอยจับผิดเขา หรือไปหาเรื่องเขา คือการที่เขาเอาตัวของเขาออกมาส่องกระจกให้เราเห็นว่าเขาเป็นคนที่ระแวงคน อื่น เขาเป็นคนที่ถ้ามีโอกาสก็คอยจับผิดคนอื่น เขา จึงคิดว่าคนอื่นเป็นอย่างนั้นถ้าใจเราเป็นนั้าแก้วนี้ ถ้านั้าในแก้วใสไม่มี ตะกอนของความระแวง เราไม่เคยไปจับผิดใคร หรือเราไม่เคยไประแวงใคร เราจะคิดได้อย่างไรว่า คนอื่นเขาระแวงเราจับผิดเราอะไรที่เราคิด แปลว่าเราต้องเคยทำ แล้วเรา ทำเสมอๆ จนกระทั่งเป็นนิสัยถ้าเราเห็นตามเป็นจริงอย่างนี้ เราก็จะไม่ หงุดหงิดสับเขา เราได้อธิบายแล้ว เขาไม่ฟัง หยุด เสีย เราทำหน้าที่ของเราดีที่สุดแล้วดิฉันเองก็เคยเป็นอย่างคุณค่ะ เข้าใจดีว่าใน ภาวะอย่างนี้ตุณมีความคับใจอย่างไร ครั้งหนึ่ง ดิฉัน เคยกราบเรียนท่านอาจารย์ว่า คนเราเวลามีปัญหา สันก็ต้องอธิบายให้รู้เรื่องสิ มนุษย์เราประเสริฐกว่า สิ่งมีชีวิตอื่นๆ เพราะเรามีภาษาที่ใช้พูดสันได้ เพื่อ ทำให้เรื่องที่ไม่เข้าใจสันเข้าใจได้ ท่านย้อนว่า คำพูดคนสามารถเปลี่ยนอุปาทาน ความยึดผิดเห็นผิดให้เห็นถูกได้หรือ ถ้าเห็นได้ เจ้า ชายสิฑธัตถะไม่ออกบวชให้โง่หรอก เจ้าชายสิทธัตถะทรงมีปัญญาเหนือกว่าเราตั้งไม่รู้เท่าไร ท่านคงเริ่มประกาศพุทธศาสนาตั้งแต่ตอนนั้นเลย คนฟังก็ จะเยอะแยะไปหมดเพราะท่านเป็นเจ้าชาย ใครๆ ก็ ต้องฟัง แต่นี่เจ้าชายลิทธัตถะสู้อุตส่าห์ไปตกระกำ ลำบากบวชอยู่จนแทบล้มประดาตาย ก็เพราะท่าน เห็นแล้วว่าคำพูดนี่มันไม่สามารถจะแก้หรืออธิบายให้ใครเปลี่ยนความเห็นผิดเป็นความเห็นชอบได้ดิฉันเงียบ
ตั้งแต่นั้นมา พอดิฉันคันในหัวใจว่าถ้าไม่ได้พูด จะอกแตกตาย ดิฉันนึก...พูดให้โง่ เจ้าชายสิทธัตถะ ท่านเลิศประเสริฐกว่าเราท่านยังยอมแพ้ แล้วขนาด ท่านสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านยังว่าท่านสอน ได้แต่เฉพาะคนที่ควรสอน คือ เวไนยสัตว์ เท่านั้น ไม่ใช่ท่านประกาศว่าตถาคตสามารถเปลี่ยนความ คืดของทุกคนได้ถ้าใจเขาเป็นแก้วนํ้าที่ควํ่าอยู่ แล้วคุณเอานํ้า เทใส่ลงไป มันจะเข้าไปได้ไหมคะ มันก็หกเรี่ยราด เสียหมด ท่านสอนได้แต่เฉพาะคนที่หงายใจขึ้นเป็น ภาชนะรับธัมมะท่านเท่านั้น
ถ้าเราทำทุกอย่างดีที่สุดหมดแล้วเราก็สบายใจ เพราะอะไร เพราะถ้าจะมีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นมา เราไม่ต้องสะดุ้งในใจว่า ...ถ้าเราไปทำอีกอย่างหนึ่งเสีย มันคงไม่วิบตร้ายแรงอย่างนี้
เราทำทุกอย่างดีที่สุดเพื่อให้ใจเราเป็นอิสระ จากการที่จะมาลงโทษตัวเองเมื่อมีเหตุการณ์อะไร ร้ายแรงเกิดขึ้นต่างหาก เราไม่ได้ทำเพื่อจะให้ทุกสิ่ง ทุกอย่างเป็นไปตังกดปุมตามที่เราต้องการ เพราะ เหตุปัจจัยคือที่นาของเขา เราก็ไม่ร้ว่าเป็นนาหิน ดานหรือนาอะไร เรามีหน้าที่อย่างเดียวคือ เลือก เอาเมล็ดฟันธุที่ดีไปหว่าน หว่านแล้วขึ้นหรือไม่ขึ้น ช่วยไม่ได้ เราไม่มีสิทธิที่จะไปล่วงลํ้าเข้าไปในสิทธิ ส่วนบุคคล ไปแหวะหัวใจของเขาออกมาดูว่า นา คุณมีปุ๋ยแค่ไหน และถ้าเราจะเอาปุ๋ยไปใส่ เขาอาจ จะเหินไปว่าคุณบุกรุกบ้าน เขาไปเรียกตำรวจมาจับ
ดีไม่ดีเอาปืนมายิงเราเมื่อรู้อย่างนี้ นิสัยเขาขี้ระแวงคอยจับผิด คนอื่น เราจะได้ระจังตัวเอาไว้ จันหน้าอยู่ดีๆ เรา ทำอะไรพลาด เขาใส่ไคล้เรา เราจะได้...อ๋อ ก็รู้อยู่ แล้ว ไม่เสียใจ แต่ไม่ใช่ไปนึกว่าพิกลจริง เราไม่ได้ ไปจ้างให้คอยมาจับผิด งานก็ไม่เกี่ยวข้อง เราไม่รู้ เรื่องแล้วยังมาระแวงทาเรื่องหาราวเราอีกเขาอยากจะพูดไปให้ปากฉีกถึงท้ายทอยก็ ปล่อยเขาไป เราไม่ได้เหนื่อยสักหน่อยหนึ่ง ถ้าทน ฟังไม่ได้ ท่านอาจารย์สอนว่า หูเขาอยู่ใกล้ปากเขา มากกวาหูเรา เรื่องอะไรเอาหูเราไปเสียบระหว่าง ปากเขายับหูเขา แล้วมารำคาญ อุบายนี้ไม่สงวน ลิขสิทธึ๋ค่ะ จะเอาไปใช้ก็ได้
ถาม ถ้าเกิดปัญหาขึ้น และที่ท่านแนะน่าให้แถ้ที่ เหตุ ในกรณีที่เหตุคือผู้ใหญ่และเราคือผู้น้อย เหตุที่ ไม่ยอมจับฟังและไม่ยอมแก้ไขที่ตัวเอง เราจะมีวิธี ใดที่จะทำให้เหตุนั้นยอมจับและเช้าใจได้หรือไม่
ตอบ ก็ถ้าเหตุยังไม่ยอมรับและไม่แก้ไข ก็แสดงว่า มนยังไม่ถึงเวลา เหมือนอย่างกับเรานี่แหละคิด ว่ามะม่วงลูกนี้น่าจะแก่เด็ดมาบ่มได้แล้ว แต่ถ้ายัง ไม่ถึงวาระ เราไปเด็ดมาบ่มมันก็เน่า หรือไม่อย่าง นั้นมันก็เสีย กินไม่ได้ท่านละเมออยู่ ยังไม่ยอมตื่น เราก็ต้องเคารพ สิทธิของท่าน ปล่อยให้ท่านละเมอต่อไป เมื่อไร
ท่านตื่นแล้วเราค่อยเก็บมาบ่ม ถ้าบังเอิญท่านไม่ตื่นเลยก็ สัพเพ สัตตา... กรรมใครกรรมมันค่ะ
ถาม ถ้าเรามีงานมากและผู้ช่วยงานในส่วนเดียว กันสามารถช่วยเราทำงานนั้นๆ ได้ ซึ่งเป็นงานที่จะ ต้องรับผิดชอบร่วมกัน แต่เขาไม่ช่วย แล้วเราไม่ กล้าเอ่ยปากให้เขาช่วยทำเนื่องจากเกรงใจที่เขามี วัยวุฒิสูงกว่า จะทำอย่างไรดีให้เขาร้ว่างานนั้นเรา ทำไม่ทัน แล้วเราอยากให้เขาช่วยเราจรืง ๆ
ตอบ ถ้าพบว่าความเกรงใจมีมากจนทำอย่างไรๆ เราก็อ้าปากไม่ขึ้น เราก็ตัดใจว่า ทำอย่างไรได้ล่ะ
เราเป็นคนสุภาพเสียจนกระทั่งช่วยตัวเองไม่ได้ เอา
แค่ตาย ทำได้แค่ไหนก็ได้แค่นั้นแหละ แล้วมันเสร็จ แค่ไหนก็แค่นั้นเมื่อถึงตอนนั้น เขาก็รู้เองแหละว่าเราแย่เต็ม ทนแล้ว ถ้าเขายังไม่ช่วยอีก เราก็ใม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเรากระดาก เราไม่รู้จะพูดอย่างไรแค่ถ้าเราเฟ้นว่า การที่เรามัวแค่เกรงใจอยู่ แล้วงานเก็ดผลเสียหายขึ้น มันจะเสียหายแก่ส่วน รวมมากมาย เราก็ต้องตัดสินใจโดยคิดว่าเป็นไรเป็น กัน เขาจะด่าว่าเราก็ช่าง พูดแล้วเขาไม่มาช่วยเรา จะได้สบายใจว่า ถ้าเราไม่บอกกล่าวเขา เกิดทำไป แล้วเป็นลมตายไป เขาจะได้ไม่มาแช่งชักหักกระดูก เราเราก็เดินเข้าไปขอร้องเขาดีๆ ว่า นี่แหละครับ งานมันเป็นอย่างนี้ๆ เพราะฉะนั้นผมจึงอยากจะขอ ให้คุณช่วยหน่อยถ้าเขาว้ากเพ้ยเอา เราก็เดินออก มา แล้วเราก็ทำของเราแค่ตายถาม คนอื่นเฟ้นว่าเรา เป็นคนอย่างไรก็ได้ เขาชอบ บงการให้ทำงานให้บางครั้งตะคอกใส่เราทั้ง ๆ ที่เป็นพนักงานระลับเดียวลัน เราควรจะทำอย่างไรดี
ตอบ วิธีที่ไม่รุนแรง ไม่อยากให้เขาโกรธเรา วัน ไหนอารมณ์เราดีๆ แล้วเขาก็กำลังอารมณ์ดีๆ เราก็ ลองเอาวาจาของเขานั่นแหละมาตะคอกใส่เขาดูบ้าง ถ้าเขาไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบกลับมาเลย เราจะได้ บอกลัวเองว่า ธรรมชาดีของเขาเป็นอย่างนั้นเอง เขาดีดว่าวาจาอย่างนี้สุภาพแล้ว แต่เราบังเอิญเป็น คนขวัญอ่อน แปลรุนแรงเกินกว่าเหตุไป เราก็จะได้ หาพจนานุกรมฉบับใหม่ไห้ตรงลับคำแปลของเขาแต่ถ้าเราตะคอกอย่างนั้นแล้ว เขาเกิดหงุด หงิดขึ้นมา เราก็บอกว่า ผมนึกว่าตุณชอบแบบนี้ เพราะคุณพูดทีไร คุณใช้วาจาดอกไม้แบบนี้ทุกทีเลย ผมก็เลยเอามาใช้ลับคุณบ้างก็เป็นการหยกแกม หยอกให้เขารู้ว่า เราไม่ชอบนะถ้าเราทำอย่างนี้แล้วเขาไม่ชอบ แต่ว่าเขาก็ ยังทำลับเราอยู่อีก เราก็อย่าไปถือสาเขาเลย ถือเสียว่าเขาจะพูดอย่างไรก็ปากของเขา เราอย่าไปเกี่ยว ก็แล้วลัน เรากรองเอาแต่เนื้อความมาแล้วปฏิบัติ
 ตาม คนอื่นๆ ได้ยินก็รังเกียจเขาเองแหละว่าวาจา อย่างนี้ไม่อยากเข้าใกล้ เราไม่ต้องทำตัวให้ติดเชื้อ จากเขา หนักเข้าวาจาเราก็จะขรุขระยิ่งกว่าเขาอีกก็ได้
ถาม ผู้บังคับบัญชาแสดงออกอยู่เสมอว่า เป็นผู้ปฏิบัติธรรม แต่ในทางปฏิบ้ติกับลูกน้องนั้นเหมือน กับผู้ไม่มีธรรม แม้แต่เมตตา หรือมีขันติกับลูกน้อง ซึ่งด้อยกว่าทั้งในด้านการศึกษาและอาวุโส มีแต่แสดงออกเหมือนกับตัตรูกันตลอดเวลาจะทำอย่างไรดีกับผู้บังคับบัญชา ให้รู้จักคิดบ้างหรือในแง่ที่เป็นลูกน้อง จะปฏิบ้ติคัวอย่างไรดี
ตอบ ในแง่ที่เป็นลูกน้อง เราก็อภัยก็สงสารท่านเสีย เพราะว่าท่านเข้าใจผิดว่าท่านปฏิบ้ติธรรมแล้ว แต่จริงๆ ท่านไม่ได้ปฏิบ้ติถ้าท่านปฏิบ้ติ ธรรมแล้ว ท่านจะไม่ยกตนข่มท่าน คนที่มืธัมมะจะมอง คนรอบข้าง เป็นเพื่อน ร่วมเกิดแก่เจบตาย ไม่มีนาย ไม่มีลูกน้องเวลาจะว่ากล่าวตักเตือนก็จะเตือนด้วยเมตตา เพราะรู้แล้วว่า ถ้าเขาทำอย่างนี้ต่อไปจะติดเป็นอุป นิสัย ทำให้เขาได้รับความเดือดร้อนภายหลัง เราก็จะเลือกกาลเทศะที่เหมาะ ที่เขาเปีดใจรับฟัง แล้วก็ไม่ไปว่าต่อหน้าธารกำนัลให้เขาอับอายขายหน้า ที่ท่านแลลูเหมือนผู้ปฏิบตธรรมนี่ ท่านกำลัง เล่น ท่านนึกว่ารัดที่ไปเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ พอท่าน เข้าไปแล้วกิเลสก็จะหนีออกไปจากใจของท่าน ท่าน ก็นึกว่ารันพระท่านไปถือศีล ท่านเป็นคนมืธัมมะแล้ว แต่จริงๆ ไม่ใช่หรอก ท่านไปเพื่อหาประกาศนึยบัตร มาบอกอับตัวเองว่า เดี๋ยวนี้ฉันเป็นคนพัฒนาแล้ว ฉันปฏิป้ตธรรมแล้ว ท่านก็เลยอังหลงตัวเองว่าท่าน ดี เพราะฉะนั้นเลยอนุรักษ์แต่กิเลสเอาไว้เหมือนอย่างเรานี่แหละ แต่ก่อนเราก็ลูกทุ่ง อากาศร้อนก็รู้ว่าร้อน จำเป็นด้องออกไปเดินตากแดดหัวแดงเราก็ตากแดดหัวแดงได้ เดี๋ยวนี้อยู่ในห้องแอร์ พอออกไปข้างนอกปับนี่ เราแทบจะคลั่ง เลย เพราะว่าเราทำตัวเราให้คุ้นอับห้องเย็น
แต่ก่อนลูกน้องเคยทำตัวอย่างนี้เราพอทนได้ เดี๋ยวนี้ฉันปฏิบติธรรมแล้ว ฉันเป็นคนละเอียดแล้ว พอเจอลูกน้องทำอะไรผิดนิดหนึ่งก็เลยขยายใหญ่โต ทนไม่ได้ มันเป็นอย่างนี้ค่ะ
เมื่อเราเห็นอย่างนี้เราก็อย่าไปตอบโต้เลย บอก ตัวเองว่า ขอบคุณที่เจ้านายมาทำให้เราเห็นว่าการ ปฏิบติธรรมนี่ ถ้าไม่รอบคอบ ไม่เอาสติปัญญาเข้า ไปปฏิบติด้วย เดี๋ยวปฏิบติแล้วกลายเป็นเถรส่อง บาตรไปอย่างนี้ แล้วคนอื่นๆ เขาก็จะขบขัน แล้ว ก็หัวเราะเยาะอย่างนี้
ส่วนในแง่ที่เราต้องการจะเปลี่ยนท่าน คงยากเพราะถ้าท่านมีโอกาสให้เปลี่ยน พระที่วัดคงจะ เปลี่ยนท่านได้แล้วละค่ะ นี่พระก็ยังเคารพศักดิ์ศรี และสิทธิมนุษย์ชนของท่าน เราเป็นใคร เราก็อย่าไปแบกหามภาระที่หนักเกินกำลังของเราเลย เอาแค่ท่าอย่างไรเราถึงจะรักษาใจของเราให้มีสุขภาพ จิตสบาย ๆ ไม่ให้ท่านมาบีบคั้นให้หงุดหงิดก็แล้วกัน เราจะได้ไม่ท่าตัวของเราให้คนอื่นเดือดร้อน เพราะ ว่ามีพระอาทิตย์อยู่ดวงเดียวก็ร้อนเกินพอดีอยู่แล้วอย่าเอาเตาอั้งโล่มาใส่เข้าไปอีกอันหนึ่งแข่งกับแสง อาทิตย์เลย คนอื่นก็จะแย่ดิฉันว่าเวลาล่วงเลยมามากแล้วค่ะ หวังว่าที่ เรามาคุยกัน เล่าสู่กันฟังในวันนี้ คงพอเป็นหลักให้ คุณเอาไปปลอบใจตนเองเวลาเจอปัญหาที่คาดไม่ถึง เพราะชีวิตคือการเจอะเจอและแก้ปัญหา
ถ้าไม่เจอปัญหาเลยเราขาดทุน เพราะเป็น ชีวิตที่หลง เราไปคิดว่านํ้านึ่โสแล้ว แต่จริงๆ มีใบ ชาอยู่เต็มเลย ดิฉันไม่กล้าเขย่า เดี๋ยวนํ้ากระฉอก คนที่นึ่จะหาว่าดิฉันไม่มีมารยาททำโต๊ะเขาเปียก
การที่เราเจอปัญหาในชีวิตนั้น ไม่ว่าจะเป็น เรื่องการงานหรือเรื่องส่วนตัว เราเป็นคนโชคดี พระ ประทานพรให้เราไม่ลุ่มหลง ทำให้เราได้กลับสติ ปัญญาของเราให้คมกริบ ทันการอยู่เสมอ ทำให้เรา รอบคอบ มีประสบการณ์ นุ่มนวล ละมุนละม่อม สามารถหาวิธีแก้ไขอะไรๆ ทุกอย่างที่คิดว่าเป็นปัญหา เป็นอุปสรรคได้เที่ยงตรง รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ สูงสุด
เราจะได้ภูมิใจในตัวเอง พึ่งพาตัวเองได้ เมื่อ เป็นอย่างนั้นแล้ว ชีวิตเราก็เป็นชีวิตที่บรมสุขแน่ๆ ที่เราหลงเป็นทุกข์อยู่ก็เพราะไม่ร้ว่า แท้ที่จริงเราไม่ได้ต้องการตำแหน่ง ไม่ได้ต้องการการงานหรอก เรา ต้องการความนั้นใจว่า ตราบจนวินที่เราจะหมด ลมหายใจนั้น เราจะคุ้มครองตัวเองได้ปลอดกัย
ก็เมื่อสิ่งที่จะคุ้มครองตัวเอง เป็นบัตรเครดิต ที่อยู่ในใจของเรา เป็นคุณธรรมในใจของเรา เราแน่ใจนั้นใจว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราก็พึ่งตัวเอง ได้ แล้วเราจะต้องเอาอิสรภาพของเราไปแขวนอยู่ กับอะไรที่ไหนอีกล่ะเมื่อใจเราเป็น ไท เราย่อมมิความสุขจริงไหมคะ


พิมพ์โดย    ปภัสสร   มีพงษ์
แหล่งที่มา     http://web.krisdika.go.th/buddha/25_kaijai.pdf

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Back To Top