Header Ads

วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2561

บทความหมออมรา บัณฑิตที่แท้จริง 1

บทความหมออมรา
บัณฑิตที่แท้จริง 1

ชื่อผู้เขียน       พญ อมรา มลิลา
วันที่               วันที่ 21 สิงหาคม 2528
ณ                 กลุ่มพุทธธรรม  มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร
หมวด
อันดับที่       


                ท่านประธาน ท่านอาจารย์ ท่านนักศึกษา และท่านผู้มีเกียรติการคุยกันในวันนี้ มิได้หมายความว่าพวก ท่านทั้งหลายไม่เป็นบัณฑิตกัน เพียงแต่ท่าน ประธานติงว่า หากระบุหัวข้อเป็นเรื่องของธรรมแล้ว หลายท่านจะหมดความสนใจ มีปฏิกิริยาต่อต้านหรือ เตรียมง่วงนอนตั้งแต่เริมฟังเลยก็ได้ จึงเลี้ยงไปใช้ หัวข้อที่จะคุยกันว่า บัณฑิตที่แท้จริงโดยรากศัพท์ บัณฑิต หมายถึงผู้ทรงความรู้ผู้มีปัญญา
ถ้าพิจารณาทางโลก การเป็นผู้ทรงความรู้ มี ปัญญานั้น อาจวัดกันได้ตามวุฒิเป็น 3 ระดับ คือ สอบผ่านระดับปริญญาขั้นต้น เรียก บัณฑิต ระดับ ถัดไป เลื่อนเป็น มหาบัณฑิต และระดับสูงสุดเป็น
ดุษฏีบัณฑิตแต่ถ้าพิจารณาทางธรรม ความรู้และปัญญา นั่นเป็นนามธรรม ไม่สามารถใช้รูปธรรมใดๆ มา เป็นมาตรวัด และเทียบขั้นความสามารถกันได้ ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ท่านจึงจํากัดความ หมายของ บัณฑิต ว่าเป็นผู้มีสัมมาทิฐิ รู้จักโลก นอกและโลกใน คือกายและใจของตน ตามความเป็น จริง สามารถบริหารชีวิต หรือนำเวลาในชีวิตมาใช้ให้เกิดคุณค่าสูงสุด ในการเปลื้องปลดปัญหา ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้สินไป
พระพุทธองค์ตรัสว่า คนโดยมากปล่อยกาล เวลาให้กินชีวิตของตนไปโดยเปล่าประโยชน์
เหตุใด กาลเวลาจึงกินชีวิตเราไปโดยเปล่า ประโยชน์?ท่านอธิบายว่า เมื่อใดก็ตามที่เราไม่เอาสติไว้กับใจของเรา กาลเวลาจะกินชีวิตไปอย่างเปล่า ประโยชน์ เพราะอะไรก็ตาม ที่เรานึกว่าเราลืมตาทำอยู ถ้าไม่มีสติ ถงจะลมตาอยู่ ก็มีคุณค่าเหมือน หลับตา เพราะเราไม่ระลึกรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร ลงไป
ดิฉันเคยนึกสงสัย คนบางคนพูดกัน พอพูดเสร็จ คล้อยหลังไป ก็บอกหน้าตาเฉยว่า ไม่ได้พูด อย่างนั้น ทำให้ฉงนว่า เอ๊ะ ท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ เหตุใดจึงปั้นน้ำเป็นตัวอย่างนั้น จึงคอยจับสังเกต ต่อไป... ต่อไป... ก็พบว่า จริงๆ แล้ว ท่านไม่ได้ปั้นน้ำเป็นตัว แต่เวลาที่ไม่มีสติอยู่กับใจ เราจำไม่ได้ว่า เราพูดอะไรออกไปบ้าง
เป็นต้นว่า เรากำลังคุยกับเพื่อน เกิดมีคนมา ขัดจังหวะ เรานึกว่าเราฟังสิ่งที่เขาพูดขัดเข้ามาอยู่ แต่ความจริงเรายังสนใจเรื่องที่พูดติดพันกับเพื่อน เขาขอนัดกับเราว่า ขอจองวันเสาร์ เราพยักหน้า รับ ขณะทีปากก็พูดกับเพื่อนที่ยังติดพันอยู่ว่า นี่นะ วันพุธนะ เราจะจัดการให้เสร็จเรียบร้อย
ครั้นเพื่อนไปแล้ว ในใจเราจําไม่ได้ว่า เรื่องจริงที่คนผู้นั้นนัดเป็นวันพุธ หรือวันเสาร์กันแน่ เราพยายามนึกปะติดปะต่อเรื่องราวที่ผ่านไป... อ้อ เขา ขอจองวันพุธน่ะ เราก็จดลงในสมุดนัดหมายว่า วัน พุธ ทั้งที่ความจริง เขาพูดกับเรา และเราพยักหน้ารับนั้นคือวันเสาร์  แต่ไปวันพุธถัดไป ลองคิดดูก็แล้วกันว่า ความเสียหายจะเพียงไหน
นี่เป็นแค่ตัวอย่างปลีกย่อยนิดๆ หน่อยๆ เพื่อ ให้ฉุกคิด แล้วเอาสติมาคอยจับดูใจของตน แล้วจะ พบด้วยความตกใจว่า เกือบทั้งวันใน 24 ชั่วโมง เราทำอย่างนี้กับตัวเองตลอดเวลาพระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิตเรา เป็นผลมาจากการกระทำของเราเองทั้ง สิ้น สิ่งใดที่กระทำลงไป จะเป็นความคิดในใจ หรือ คำที่พูดออกมาเป็นวาจา หรือการกระทําด้วยกายก็ตามเปรียบเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่เราหว่านลงไปใน ใจของเราเองตลอดเวลา เมื่อหว่านลงไปแล้ว เมล็ดเหล่านี่ก็ให้ผล คืองอกเป็นต้นชนิดนั้นๆ ขึ้นมากล่าวคือ บังเกิดเป็นสิ่งที่เราพบในชีวิตเหตุใดเราจึงเรียนหนังสือไม่ได้ดีเวลาครูสอน เรามัวไปคิดเรื่องโน้นเรืองนี้ หรือแอบเล่นกับเพื่อน เสียงพูดของครูจึงไม่ได้เข้าไปในสมอง ของเรา แล้วเราก็คิดเอาเองว่า ครูพูดอย่างนั้นอย่างนี้ แต่จริงๆ ครูพูดอีกอย่างหนึ่งถึงเวลาสอบ เราเอาเรืองทีคิดตอบลงไป ครูก็ให้คะแนนศูนย์ เพราะไม่ใช่สิงที่ครูสอน น้อยใจว่า เราตั้งใจดีแล้ว ทำไมครูจึงลำเอียง ให้คะแนนเราเป็นศูนย์ เริ่มต้นนั้น เราผิดเพียงหนึ่งกระทงเพราะไม่ตั้งใจแต่ถ้าไม่มองตามความเป็นจริง เราก็คิดเอา เองตามความเคยชินอีก เป็นความผิดครั้งที่สองว่า เราตั้งใจเรียนแล้ว แต่ครูลำเอียง ความเห็นผิดเพิ่ม เป็นสองแล้วถ้ายังไม่มีสติฉุกคิดได้ เราก็ตังหน้าตั้งตา หว่านแต่เมล็ดไม่ดีๆ ลงไป ด้วยการพูดต่อๆ ไปว่า ครูคนนี้ไม่ดีเลย ไม่ยุติธรรม ลำเอียง ครูจะทำอย่างไร ครูอาจเรียกเราไปลงโทษ หรือลงความเห็นว่า เรา เป็นคนไม่ดีที่เกินการเยียวยาแก้ไข ความผิดก็เพิ่มเป็นครั้งที่สาม ที่สี ต่อไปเรื่อยๆทําให้เห็นได้ว่า เมื่อสติไม่อยู่กับใจ และไม่ ย้อนมองที่ผิดของตัวเอง เราจะทำให้ตัวเองยิ่งทรุด โทรมหนักเข้าไป หนักเข้าไป เรา นึกว่าเราแก้ปัญหาแต่แท้ที่จริง เรากลับก่อปัญหาใหม่เพิ่มทับถมขึ้นอีก เรื่อย ๆท่ารจึงเตือนว่า ประการที่หนึ่ง คอยเอาจับดูใจของตนว่า จิตคิดอะไรอยู่ สิ่งที่คิดนั้นมีประโยชน์หรือไม่ ประการถัดไป ก่อนที่จะคิดอะไร
นึกถามตัวเองว่า สิ่งที่คิดนี้ คิดแล้วทำให้เราดี หรือที่มาเกี่ยวข้องดี มีประโยชน์หรือไม่ เรียกว่าถ้า
คิดแล้วไม่ดี เราต้องรีบแก้ที่ตัวเรา ไม่คอยให้ผู้อื่นมาแก้เพราะถ้าผู้อื่นมาติงหรือตำหนิ เราก็เกิดทิฐิ ดึงดื้อถือรั้น หาทางหลีกเลี่ยงต่อไปอีกเหมือนกับเรื่องที่ท่านอาจารย์เล่า ถ้าไปถาม นักโทษว่า เหตุใดคุณจึงมาอยู่ในคุก นักโทษทุกคน จะตอบว่า เขากล่าวหาว่า ผมทำอย่างนั้น อย่างนั้น ไม่มีใครเลยที่จะบอกว่า เพราะผมทำอย่างนั้น อย่าง นั้นทุกคนจะบอกว่า เขากล่าวหาว่าใจที่คิดว่า เขากล่าวหาว่า นั้นแปลว่าการฉันอดทน ยอมถูกขังอยู่ในคุก ฉันไม่ได้ทำผิดนะ พิพากษาตัดสินเอาเอง กล่าวหาเอาตามอำเภอใจ ฉันเป็นคนธรรมดา ธรรมดา ไม่มีกำลังจะไป ต่อต้านคำกล่าวหาของเขาได้ จึงไม่สามารถต่อสู้ เพื่อความยุติธรรมของตัวเองเริ่มต้นด้วยความเห็นผิด เพ่งโทษใส่ผู้อื่น เป็นเหตุให้สนิมในใจเกิดขึ้น แล้วแตกกิ่งใบเป็นความ ขมขื่น ความคั่งแค้น เกิดความรู้สึกว่า โลกนี้ไม่ยุติธรรมกับเราเลยแต่ถ้าเราได้สติ ฉุกคิดออกว่า อ๋อ ที่เราถูก จับมาเข้าคุก เพราะเราไปทำผิด การทำผิดแล้วถูก ลงโทษ เป็นของดีกับตัวเรา เพราะจะช่วยให้เราจดจำไม่ทำผิดเช่นนี้อีก ถ้าไม่ถูกลงโทษอย่างนี้ เรานึกว่าจำได้แล้ว แต่ประเดียวก็เผลอทำผิดเช่นนี่อีก พอทำผิดซ้าครังที่สอง ครั้งที่สาม เกิดเป็นความเคยชินหรือทีเรียกว่า อาจิณกรรม ขึ้น ก็ไม่ดีแก่ตัวเองถ้าระลึกได้อย่างนี้ เราจะเกิดความ ตั้ง ใจ มั่ง มั้น ปลูกฝังให้เป็นอุปนิสัยขึ้น ต่อไปเมื่อจะทำอะไรที่ไม่รอบคอบ สติจะเตือนขึ้น เอ... ถ้าทำอย่างนั้นจะดี แน่หรือ เกิดการไตร่ตรอง ถ้ารู้ไม่แน่ชัด ก็ขวนขวายแสวงหาที่ๆแน่ใจว่าเป็นที่พึง ช่วยแยกแยะให้เห็นว่า ถูก ผิด ควรทําหรือไม่ควรทำ เราก็จะเป็นคนที่แสวงหาความรู้ ความถูกต้อง ให้งอกงามขึ้นใน ใจ ไม่ใช่คิดเอาเอง หรือไปปรึกษาหารือเพื่อนที แนะนําผิด ๆ ครั้นเราเข้าที่คับขัน เพื่อนเหล่านั้นก็ไม่ได้มาทุกข์กับเราด้วย เขาจะแก้ต่างว่า เราเป็นผู้ ทำไปเอง เมื่อทำแล้วต้องรับโทษ ก็รับไปคนเดียวสิ
เหมือนอย่างกับเด็กนักเรียนทีโรงเรียนมัธยม แห่งหนึ่ง มีปัญหา ครูแนะนําให้ผู้ปกครองพาไป ปรึกษาจิตแพทย์ อันทีจริงเด็กไม่ถึงกับมีปัญหาเพียงแต่เด็กช่างสงสัย เป็นต้นว่าครูสอนว่าสมัยเมื่อโลกเริ่มเกิดใหม่ๆ กระบองเพชรมีใบใหญ่โต มาก ครั้นอยู่ไป... อยู่ไป... กระบองเพชรก็ใบเล็กลง โดยลำดับเด็กเกิดสงสัยว่า ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น เพราะ มีความคิดว่า สมัยเริ่มต้น บรรยากาศยังไม่อุดม สมบูรณ์ โลกขาดแคลน อะไรต่างๆ ควรอยู่กันด้วย ความยากลำบาก ครั้นโลกพัฒนาไป พัฒนาไป เกิดความเจริญทางเทคโนโลยีและอื่นๆ มากขึ้น ความเจริญเหล่านี่ควรช่วยให้พืช เช่น กระบองเพชรเจริญดีขึ้น ต้นและใบก็ควรใหญ่ขึ้น ไม่ใช่เล็กลง จึง ถามครูว่า ตนมีความเห็นเช่นนี่ ทำไมคำสอนของ ครูจึงตรงกันข้ามความสงสัยทำนองนี้ของแกคงมีมาก ครูที่ ตะขิดตะขวงใจในการจะกล่าวกับศิษย์ว่า หรือว่าหรือ เอ... เรามาช่วยกันคิดหาเหตุผลดูซิ เลยลงความเห็นว่า เด็กคนนี้มีปัญหา ดื้อดึง คอยตั้งคําถามทำให้เพื่อนฝูงเสียเวลาเรียนเมื่อครูปักใจเชื่ออย่างนี้แล้ว พอมีความผิดอะไรเกิดขึ้น แกจะถูกเพ่งโทษว่า ผิด ทุกครั้งไปครั้งที่เกิดเหตุนี้ อยู่ดีๆ เพื่อนเกิดเอาลูก ฟุตบอลเข้าไปปาเล่นในห้องเรียน โดยปาใส่ผ่าห้อง ซึ่งเป็นไม้อัด ระหว่างทีปากันไปปากันมา จนไม้อัด เกือบทะลุอยู่แล้ว แกก็เดินผ่านมา เพื่อนๆจึงร้องเรียกให้มาร่วมวงด้วย แกขัดเพื่อนไม่ได้ เข้าไปปากับเขา พอปาครังเดียว แจ๊คพอต ฝาทะลุเป็นรูไปเลยพอดีครูผ่านมาเห็นเข้า เลยลงความเห็นว่าแกเป็นหัวโจก ซักพาเพื่อนทั้งหลายให้เอาฟุตบอลมาปาไม้อัดจนฝาทะลุ จากความผิดนี้ แกจะต้องรับ ผิดชอบจ่ายค่าซ่อมฝาที่ช้ารุดนี้ทั้งหมด แกประทัวงว่าไม่ยุติธรรม เพราะแกเพิ่งปาหนนี้หนแรก ขณะที่คนอื่นๆ ปากันไม่ทราบกี่สิบครั้งครูก็ไม่ฟัง เรียกผู้ปกครองมาพบ พร้อมทั้ง แนะนำให้พาแกไปปรึกษาจิตแพทย์เด็กรู้สึกคับแค้นใจมาก เพราะฝังใจว่าไปพบจิตแพทย์คือคนบ้า แกกลายเป็นเด็กไม่ปกติ
ไปแล้วแกเกิดความรู้สึกว่า ทั้งครู ทั้งผู้ปกครองคนทุกคนเป็นศัตรูหมด เพราะเรื่องเพียงแค่นี้ พูด กันดีๆ ไม่ได้ ไม่มีใครเลยที่จะฟังความเห็นของแก ทุกคนปักใจว่าสิ่งที่แกพูดผิดทั้งนั้น
ในสภาพจิตใจเช่นนี้ ก็ไม่มีทางที่จะพูดกันได้ขึ้นพูดต่อไป คำพูดก็ผ่านเข้าหูซ้ายแล้วทะลุออกหูขวาเพราะใจมันปิดเสียแล้ว ไม่ยอมรับเหตุผล อะไรทั่งสิ้นคุณหมอจึงปล่อยให้เด็กระบายปัญหาและความนึกคิดที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมาพร้อมทั้งฝึกให้เด็กรู้จักพูดเล่าให้ผู้ปกครองทราบเมื่อมีปัญหาอันที่จริงเด็กคนนี้เป็นเพียงเด็กที่ช่างสงสัย มากเกินธรรมดาเท่านั้นเองโดยปกติ คนไทยเรามักสอนกันว่า ผู้ใหญ่พูด อะไรเด็กต้องเชื่อฟัง โดยไม่มีข้อสงสัย จิตใจของเด็กคนนี่จะตรงกันข้าม คือเต็มไปด้วยความสงสัย ซึ่งบางครั้งก็เกินจำเป็นเป็นต้นว่า เวลาแกไอ เจ็บคอขึ้นมา แกจะถามว่าเพราะอะไรจึงเจ็บคอ ครั้นเราตอบว่า คง เพราะไวรัส แกก็ซักต่อเหมือนลองภูมิเราว่า รู้ได้อย่างไร ในเมือไม่ได้เอาอะไรไปตรวจสักหน่อยทำไมไม่คิดว่าเป็นเชื่อแบคทีเรียบ้างเล่า เอ๊ะ มันจะ อักเสบอยู่แค่ในคอตามอาการแสดง หรือลุกลามลง ไปถึงหลอดลม ถึงปอดกันแล้ว กล่าวคือ แกจะมีข้อ สงสัยที่ไม่รู้จบเราอธิบายให้แกฟังว่า การมีข้อสงสัยนันเป็นสิ่งปกติ แต่ถ้าช่างสงสัยมากเกินไป จนผิดกาลเทศะ จนผิดกาละเทศะ ก็กลายเป็นผลเสียได้ ดังตัวอย่างเช่น มีชายคนหนึ่ง ถูกลูกศรอาบยาพิษ อาการกำลังสาหัส ญาติพี่น้องไปตามหมอให้มาช่วยผ่าลูกศรออก และให้ยาถอนพิษเพื่อรักษาชายนันหมอมาถึงแล้ว แทนที่จะรีบผ่าเอาลูกศรออกกลับซักคนไข้ว่า ใครเป็นผู้ยิงลูกศรนี้ ไม้เนื่อลูกศรเป็นไม้ชนิดไหน ช่างเหลาหัวลูกศรป้านหรือแหลมอะไรทำนองนี้ไปเรื่อยๆ คนไข้จะรอดหรือจะตายเด็กตอบว่า คนไข้ตายเราก็ชี้แจงให้แกเห็นว่า นี่ก็ทำนองเดียวกัน ของบางอย่าง ความสงสัยในแง่มุมต่างๆ มีประโยชน์ จริง แต่ไม่ใช่จังหวะนั้นเพราะผิดกาลเทศะ ถ้าปล่อยใจให้มัวไปครุ่นคิดสงสัยอยู่เช่นนั้น เราก็เผลอ
ไม่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าทำให้สูญเสียประโยชน์ที่ ควรจะได้รับ หรือกลายเป็นความเสียหายมหาศาลขึ้นได้ เราจึงต้องกรองเอาแต่ที่จำเป็นก่อนเช่นในกรณีนี่จำเป็นต้องเอาลูกศรออกแล้วให้ยาถอนพิษ เมื่อคนไข้อาการทุเลาลงแล้วจะซักไซร้เพื่อศึกษาให้ละเอียดถี่ถ้วนอย่างไร ก็เป็นสิทธิของเรา
ถ้ารู้จักฝึกวิธีคิดให้รอบคอบก็อาจค้นพบแปลกใหม่ ที่มีประโยชน์ได้ แต่หลักมีว่า กระทำสิ่งที่เป็นหน้าที่ ความรับผิดชอบ ให้เรียบร้อยเสียก่อนเมื่อชี้แจงแล้วก็ถามเด็กว่า เห็นด้วยหรือไม่เด็กตอบว่า เห็นด้วย จึงอธิบายต่อไปว่า การยึดว่า ทุกสิ่ง เป็นต้นว่าตัวแกและเพื่อนๆ ต้องเสมอหน้า กัน ย่อมเป็นไปไม่ได้ เป็นต้นว่า นิ้วห้านิ้วของเรา ยังไม่เท่ากัน แม้ใจเราก็ไม่เทียงธรรม ถ้าใครมาตั้งคําถามว่านิวไหนสำคัญ เราอาจตอบไปว่านิ้วหัวแม่มือกับนิ้วี้เท่านันที่สำคัญ ดี มีประโยชน์ เพราะ ใช้หยิบจับอะไรได้ แต่ถ้าสังเกตให้รอบคอบ จะพบ ว่าบางครั้งมีสิ่งของหล่นลงไปในที่แคบ ๆ ซึ่งทั้ง นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชชี้สอดลงไปไม่ได้ ต้องใช้นิ้วก้อย
แทน ในกรณีนี้นิ้วก้อยก็มีประโยชน์ เมือเป็นเช่นนี่ การจะฝังใจว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งดี มีความสําคัญตลอดกาล ย่อมไม่ถูกต้องดังนั้น เราต้องช่วยกันพิสูจน์ให้ครูเห็นว่าเราก็ไม่ได้เสียหายไร้ประโยชน์หมดทุกกรณีที่มาแล้วบังเอิญครูเห็นเราครั้งใด ก็เห็นแต่ในสถานการณ์ที่ เป็นสภาพติดลบทุกครั้งแต่นี่ต่อไป เราจะตั้งใจ ตั้งสติ ประพฤติตน ให้ถูกกาลเทศะ ให้การกระทำเป็นเครื่องพิสูจน์แทนคำพูด ดังคำกล่าวที่ว่ากาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ บุคคลคำพูดคำอธิบายเพียงอย่างเดียว ไม่มีน้ำหนักพอจะเปลี่ยนความเชื่อที่ฝังอยู่ในใจของผู้ใดได้แต่ถ้าเรากระทำให้เขาเห็นด้วยตาเป็นหลักฐานประจักษ์ชัดเจนด้วยของจริงแล้ว เขาย่อมเปลี่ยนใจเชื่อเราได้ แต่นั้นมาแกก็ค่อยปรับวิธีคิดและพฤติกรรม จนสามารถเรียนหนังสือได้เป็นอย่างดี และเข้ากับครูได้อย่างสนิทใจ นิสัยช่างสงสัยก็เป็นเครื่องจูงใจให้แกค้นคว้า เสาะหาคําตอบจากแหล่งที่เหมาะสม
มาเป็นเครืองประดับสติปัญญา ทำให้ตัวเองมีความ รอบรู้กว้างขวาง เป็นประโยชน์แก่ตนสืบไป แทนที่จะไปเซ้าซี้ถามครู ให้เกิดความเข้าใจผิดเพ่งโทษว่าแกเป็นเด็กไม่มีสัมมาคารวะ แก่น เหลือขอเพราะครูก็ไม่ใช่จะรอบรู้หมดไปเสียทุกอย่างครูก็ยังเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยโลกเช่นกันหรือครูบางคนก็ไปเรียนภาคค่ำเพื่อเพิ่มวิทยาฐานะให้ตนเองเมื่อลูกศิษย์สงสัยในสิ่งที่ตนก็ไม่แน่ใจ ทราบคําตอบ สัญชาตญาณของการป้องกันตัวทำให้ระแวงว่า เอ... นี่เขาจะเฮี้ยวเรา ก่อวินาศกรรม ฉีกหน้ากันหรืออย่างไรถ้าเข้าใจซึ่งถึงจิตใจของแต่ละฝ่ายว่า ต่างก็บริสุทธิ์ใจต่อกัน แทนการคิดระแวงว่า ใครก็ตามที ข้อขัดแย้ง แปลว่าไม่ใช่พรรคไช่พวกของเรา อาจจะเกิดเหตุผลแก้ต่างว่าคนในโลกนี้ล้วนมีจริตต่างๆหรือจะอุปมาว่าเราเป็นนก ไปพบคนที่เป็นนกเหมือนกันเข้าพูดอะไรนิดเดียวก็รู้เรื่องกันแล้ว เพราะต่างก็บินเป็นเหมือนๆ กันแต่บางคนเป็นเต่า
รู้จักแต่คลานไป หรือเป็นหอยทาก ต้องปล่อยเมือกหล่อลืนทางที่จะไปเสียก่อน จึงเคลื่อนไปบนเมือกอย่างช้าๆ เราซึ่งเป็นนกจะไปโกรธหอยทำกว่าไม่รู้จักบิน มัวยืดยาดชักช้าอยู่ก็ไม่ถูก เพราะสุดสติกำลังความสามารถของหอยทาก จะเข้าใจและไปได้ ในอัตราแค่นั่นเอง ไม่ใช่หอยทากแกล้ง ใจของเราก็
เที่ยงธรรม มีเหตุผลเป็นหลักสิ่งใดก็ตาม หากจะนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ เต็มที่ เราต้องศึกษาจนรู้ธรรมชาติของสิ่งนันแจ้งชัดเสียก่อน เป็นต้นว่า จะสังสอนศิษย์ให้ได้ผล ก็ต้องเฝ้าดูจนรู้จักจริตนิสัยที่แท้จริงเสียก่อน มีเพื่อนก็ต้องแยกให้ออกว่าเพื่อนเป็นนก เป็นหอยทาก เป็นเต่าหรือเป็นปลา
 เพื่อจะได้ปฏิบัติต่อเขาถูกต้องเมื่อเข้าใจเช่นนี้ โอกาสอยู่กันอย่างราบรื่นก็มากขึ้นหนทางปรับความเข้าใจกันก็มากขึ้นปกติ คนเรามักคิดว่าคนอื่นก็เป็นอย่างเรา เป็นต้นว่า เราไม่เคยพูดความจริงกับใครเลย เมื่อ ถามอะไรใครแล้ว คำตอบของเขาไม่ตรงกับความ คาดคิดในใจของเรา ปฏิกิริยาแรกคือปักใจว่าเขาโกหก
เพราะอะไร?เพราะเอาตัวเองเป็นไม้วัด ตัวเองไม่เคยพูดจริงกับใครเลย ก็สรุปว่าทุกคนเป็นอย่างตน ฝ่ายตรงข้ามเมื่อถูกตั้งข้อหาว่าโกหก เขาไม่ทันตั้งสติ เพราะพูดความสัตย์ความจริงอยู่แท้ๆ กลับถูกกล่าว หาว่าโกหก เท่ากับตบหน้า สบประมาทกันอย่างแรงถ้าเป็นคนขี่โมโหโทโส ก็ทะเลาะกันจนสัมพันธไมตรีขาด ต่อไปมีธุระอะไรก็พูดไหว้วานกันไม่ได้ มีการงานเกี่ยวเนื่องกัน ก็ไม่ปรึกษาหารือกัน เป็นการ บันทอนประสิทธิผลของตน โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ครั้งหนึ่ง วัดที่ดิฉันไปปฏิบัติภาวนามีงาน
ด้วยความเคยชินที่ตนเองเคยเป็นเหรัญญิกเมื่อสมัยเป็นนักเรียนมา จึงกราบเรียนคุณแม่ชีให้ทำบัญชีค่าช้จ่าย และรวบรวมใบเสร็จต่างๆ ไว้เป็นหลักฐานเพื่อป้องกันความยุ่งยากและปัญหาที่อาจเกิดขึ้นภาย หลังท่านโกรธดิฉันเป็นฟืนเป็นไฟ ประท้วงว่าถ้าท่านจิตใจสกปรก คิดคดโกงปัจจัยที่ญาติโยมบริจาคท่านคงอยู่เป็นชีเช่นนี่ไม่ได้ อย่างน้อยศีลของท่านก็บริสุทธิ์ ละเอียดกว่าศีลของฆราวาสเช่นเราเรา
การที่ดิฉันคิดระแวงล่วงเกินท่านเช่นนันดิฉันตกนรกอเวจีไม่รู้ตัวดิฉันนึกไม่ออกว่า ที่พูดออกไปนั้นมีตรงไหน ที่ไปจาบจ้วงล่วงเกินท่านตกเย็น มีกิจที่ต้องพบกับพระ ซึ่งก่อนบวชท่านจบปริญญามาจากต่างประเทศ จึงปรารภเรื่องนี้ขึ้นเพราะทราบว่าท่านได้รับมอบหมายให้ดูบัญชี ฝ่ายสงฆ์ท่านตอบว่า ท่านเองก็โดนทำนองเดียวกันเลยฉุกคิดได้ว่า สิ่งใดก็ตามที่เป็นของธรรมดาสามัญ ความเคยชิน หรืออุปนิสัยแล้วเราเลยเผลอ คิดเอาว่าทุกคนก็เป็นเหมือนเราด้วยเราลืมไปว่า พระและแม่ชีที่ท่านเป็นชาวบ้านมาท่านไม่เคยทำบัญชี ท่านไม่เข้าใจว่า การทำบัญชีเป็นสิ่งธรรมดาสากล มิใช่ทำเพื่อประจานผู้เกี่ยวข้องว่ามีเจตนาทุจริต เจตนาบริสุทธิ์ของเราจึงเข้าทำนองทำคุณบูชาโทษ โปรดสัตว์ได้บาปถ้าจะเอาความเคยชินมาเป็นมาตรวัด ให้ระวังกาลเทศะ ดังค้าของท่านผู้รู้ที่ว่า ความจริงเป็นสิ่งไม่ตายก็จริงแต่ถ้าผิดกาลเทศะ คนพูดนั้นแหละจะตาย และเมือคนพูดตาย พระพุทธเจ้าไม่ทรง
 สรรเสริญว่า การพูดความจริงในกรณีนั้นเป็นสิ่งดี เพราะพุทธะ คือ ผู้มีปัญญาหรือบัณฑิตย่อมต้อง รู้กาลควรกาลไม่ควรตัวเองก็เคยเป็นประเภทอะไรเป็นความถูก ความจริงแล้ว ต้องพูด ถึงพูดแล้วจะตายก็ไม่ว่า ขอเพียงให้ได้พูดเป็นพอใจท่านอาจารย์สิงห์ทองเคยสอนว่า บัณฑิตต้อง รู้จักประมาณกำลังของตนว่า เมื่อใดจะรบเมื่อใดจะหลบไม่ใช่พอใครมาท้า ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่มีกำลังต่อสู้เขา ก็ยังเดินแผ่อกหราไปให้เขายิงจนตายเปล่า ผู้มีปัญญาต้องรู้กําลังของตน หลีกเร้นจากอันตราย ออกมาก่อนการหลบไม่ได้แปลว่าเราไม่มีศักดิ์ศรี หากเราเป็นคนสำรวม รู้ประมาณกำลังของตนว่า ตอนนี้ยังน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ เราก็มาศึกษาหาความรู้ หรือซุ่มซ้อมให้มีพลกำลังมากขึ้นเสียก่อน จึงไปขึ้นเวทีกับเขา ไม่อย่างนั้น เราเข้าใจว่า ถ้าเขาท้าแล้ว เราไม่รับท้าเป็นการเสียศักดิ์ศรี ไม่สมกับเป็นศิษย์มีครูบาอาจารย์ ไม่ใช่ การทำเช่นนั้นเป็นความไมีมีสติ ไม่เป็นบัณฑิต แต่เป็นพาลชนคือผู้เบาปัญญาพระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า คนพาล คือผู้ที่แบก ภาระที่ยังมาไม่ถึง แต่ไม่แบกภาระที่กำลังเป็นอยู่เหตุใดจึงเป็นอย่างนั้นถ้าจะอุปมาก็ได้ดังนี้อาทิตย์หน้าเราจะสอบเราก็ควรดูหนังสือ ทบทวนบทเรียนของเรา ถ้าเราเบาปัญญาไม่แบกภาระที่เป็นอยู่เห็นผิดเป็นชอบว่าต้องซ้อมเชียร์กีฬาซึ่งจะแข่งเดือนหน้าเตรียมกิจกรรมสำหรับไปค่ายตอนปิดภาค ต้องทํานั่นทํานี่ซึ่งยังไม่จำเป็น เพื่อนคนไหนไม่มาทำด้วยก็ขุ่นเคือง เห็นไปว่าเขาไม่มีน้ำใจใช้ไม่ได้ ต้องลงโทษหรือคว่ำบาตรออกไปจากหมู่คณะ ซึ่งไม่ถูกถ้าเราเป็นบัณฑิต เราย่อมแบกภาระที่กำลังเป็นอยู่ขณะเดี๋ยวนี้ก่อน ไม่ไปแบกภาระที่ยังมาไม่ถึง ต้องรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งควรทำ อะไรเป็นสิ่งที่ละไว้ก่อนได้ ถ้าคอยถามตัวเองอย่างนี้ จะพบว่าสิ่งที่เราทำมามีประสิทธิภาพขึ้นมาก กิเลศเป็นของแปลกเพราะมันมักแทรกซึมเข้ามาบ่อนทำลายไม่ทันรู้ตัว
อย่างตัวดิฉันเอง สมัยเรียนหนังสืออยู่ ถ้าวันจันทร์จะสอบ วันเสาร์วันอาทิตย์ก่อนสอบเป็นต้องอยากไปดูหนัง จนไม่เป็นอันดูหนังสือ หรือมิฉะนั้นก็อยากทำกิจกรรมอื่นทีไม่ใช่วิชาที่ต้องท่องเพื่อเตรียมตัวสอบ ขนาดที่ถ้าไม่ได้ทำจะขาดใจตายครั้นถึงเวลาสอบเข้าจริงๆอ่านข้อสอบตรงนั้นก็นึกกว่าเรารู้นะตรงนี้ก็รู้อีกนั่นแหละ แต่ทำไมถึงติดอยู่แค่ริมฝีปาก คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก จน กระทั่งพอกริ่งหมดเวลา เอากระดาษไปส่งครูพอเดินออกจากห้องสอบ ปรากฏว่าที่ติดอยู่แค่ริมฝีปากหลั่งไหลออกมาเป็นสายเลยเพราะอะไร? เพราะระหว่างทําข้อสอบ ใจของเราเป็นกังวลจิตไร้สํานึกรู้ผิดว่าไม่ได้ทำภาระของตนเต็มที่ จงขาดสมาธิของที่เคยรู็เคยทำได้ ก็นึกไม่ออก เพราะใจมีแต่ความไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจเป็นกังวลอยู่ เลยระลึกไม่ออกมาสักที เหมือนเรามองหาสิ่งของที่ตกลงไปในบ่อน้ำ แต่ตัวเองเป่าผิวน้ำให้เป็นระลอกอยู่ตลอดเวลาทำให้มองเท่าไรๆ ก็ไม่เห็น มองเห็นแต่ระลอกพริวเต็มไปหมด
ครั้นหมดเวลาสอบ ใจที่กังวลวุ่นวายก็สงบเพราะอย่างไรๆก็ทำไม่ได้แล้ว ไม่ต้องนึกแล้ว เดินไปรับประทานข้าวตามสบายๆ คราวนี้ลมสงบแล้ว ผิวน้ำเรียบ ใจของเรานิ่งหมดกังวล ไม่ได้อยาก มองมันก็เห็นเองโธ่เอ๋ย อยู่ตรงนั้นเองแหละ มันเป็นทำนองนี้เพราะฉะนั้น ไม่มีใครหรอกทําให้เราเดือดร้อนหรือทำให้เราแพ้ผู้อื่นเราทำตัวเราเองทั้งนั้นถ้าคอยเตือนตัวเองไว้อย่างนี้ เราจะพบว่า ไม่ว่าทำอะไรจะเรียนหนังสือ ทำการงานอะไร หรือคิดอะไร มันจะมีประสิทธิภาพขึ้นทั้งนั้น ทั้งที่เราก็ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย เพียงแต่คอยเอาสติดูใจ ของเราไว้ว่า สิ่งที่ทำถูกกาลเทศะหรือเปล่า ยับยั้งฝืนใจของตนไว้ เมื่อบอกกับตัวเองว่าเหตุผลที่ถูกที่ควรเป็นอย่างไร แล้วฝืนตัวเองให้กระทำตามสิ่ง ที่ถูกที่ควรนั้น เพราะถ้าเราไม่ฝึกฝึนตัวเองไว้ใจของเราจะเหมือนน้ําที่ทำนบรั่วใจมีธรรมชาติเหมือนน้ำถ้าเราไม่ได้เอาน้ำ ใส่ไว้ในแก้วเป็นต้นว่า ดิฉันเทลงไปบนโต๊ะน้ำจะไหลไปทั่วสารทิศ ครั้นกระหายอยากดื่มน้ำดิฉันแน่ๆแกตอบว่าถ้าคุณหมอรับรองไม่ได้ว่าลูกผมจะรอดเรื่องอะไรผมจะอนุญาตให้หมอมาปาดคอ ลูกผมเล่นเราจะเจาะคอ เพื่อสอดหลอดโลหะเข้าไปใน หลอดลมให้เด็กหายใจได้โดยสะดวก แกกลับว่าไปปาดคอลูกแก ให้ฟังหวาดเสียวเล่นแล้วก็คุกคาม ต่อไปว่าว่าไงล่ะลูกผม ผมก็รักว่าพลางก็ขยับปืน ไปพลาง
ใจดิฉันค่อยๆ หล่นไปที่ข้อเท้า แต่ก็ใจดีสู้เสืออธิบายจนเป็นอันเข้าใจว่า ถ้าไม่เจาะคอเด็กต้องตายแน่ เพราะโรคคอตีบเกิดจากแผ่นเยื่อมาอุด หลอดลม จนอากาศไม่สามารถผ่านเข้าไปสู่ปอดได้ ก็เป็นอันตกลงรู้เรื่องกัน แกยอมเซ็นอนุญาตให้ ผ่าตัดอย่างเสียไม่ได้พร้อมกับสรุปว่าเมื่อคุณหมอเสียเวลาอธิบายอย่างนั้น ก็ตัดใจอนุญาตแต่ถ้าลูก ผมตาย...คุณหมอตายว่าแล้วแกก็นั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องผ่าตัดพร้อมทั้ง ปืน และมีพี่น้องผู้ชายอีก 4-5 คนนั่งอยู่ด้วยตัวเองเวลาเจาะคอทีไรก็เคยมีรุ่นพี่คุมเป็นกำลังใจ ครั้งนี้ต้องแสดงโดยลำพัง มิหนำซ้ำ พยาบาลที่ช่วยเพิงจบมาจากพิษณุโลก กระซิบว่าไม่เคยช่วยผ่าคอตีบมาก่อนเลย บุรุษพยาบาลก็ขวัญบิน ตั้งแต่ เห็นท่าทางผู้ใหญ่บ้านขู่เข็ญเราว่าถ้าลูกผมตาย... คุณหมอตาย ตัวเราและลูกทีมแต่ละคน ล้วนอยู่ในสภาพขาดกำลังใจพอๆ กัน
ดิฉันพยายามยิมปลอบใจ ทั้งๆที่ใจตัวเองสั่นไปหมด เมื่อผ่าเข้าไปจนเจาะหลอดลมได้แล้ว จะเปิดเครื่องดูดเสมหะเพื่อดูดแผ่นเยื่อที่อุดหลอดลม ออกด้วยความที่กลัวจนประสาทเสีย แทนที่บุรุษ พยาบาลจะต่อสายสำหรับดูดเสมหะเข้าเครือง กลับสลับหัว คือต่อเข้ากับท่อที่ปลายจุ่มน้ำแทน พอเปิด เครื่อง แทนที่เครื่องจะดูดแผ่นเยือและเสมหะออก ไป กลับพ่นน้ำจากขวดลงไปในหลอดลมเด็กดิฉันหันไปบอกบุรุษพยาบาลให้เปลี่ยนต่อใหม่ แต่ปรากฏ ว่าบุรุษพยาบาลเป็นลม ทรุดลงไปกองอยู่ทีพื้นแล้วดิฉันไม่รู้จะทำอย่างไร จะเอามือตัวเองไป จัดการเปลี่ยนก็ไม่ได้ เพราะจะแปดเปื้อน ทำให้แผลผ่าตัดของคนไข้ติดเชื้อ ก็นิ่งงันอยู่พยาบาลที่ช่วยเหงื่อซึมเต็มหน้า ดิฉันมองไปรอบๆ เพื่อคิดหาทางแก้ ก็เห็นผ้ากอสบนถาด เลยขยุมผ้ากอสขึ้นมาใจคิดว่าคงพอแก้ขัด ซับน้ำออกมาได้บ้าง อารามว้าวุ่นรีบร้อน มือก็เลยกระแทกโครมลงไป เกิดผล มหัศจรรย์ เด็กไออย่างรุนแรง เป็นผลให้ทั้งน้ำและ ทั้งแผ่นเยื่อเสมหะและอะไรๆที่เราจะดูด พุ่งกระเด็นออกมาหมด เปื้อนกระจกแว่นตาของดิฉันจนมอง อะไรไม่เห็น แต่เด็กหายใจเบาสบายอย่างปกติทำให้ ทุกคนพลอยรอดตายอย่างปาฏิหาริย์ ไม่ใช่รอด เพราะเราเก่ง
เมื่อเสร็จจากห้องผ่าตัดออกมาพ่อและอาๆ ดีใจกันมากแต่เราสามคนหมดแรง รู้สึกอยากล้ม แผ่ลงตรงนั้น สิ้นเรี่ยวสิ้นแรง เหมือนไปทำงาน หนักเกินกำลัง จนหัวใจเต้นไม่ไหวในชีวิตของคนเรา ถ้าไม่มีสติอยู่กับตัวเรื่องม่น่าจะเป็นเรื่องก็เป็นเรื่อง เคราะห์ดีที่ความซุ่มซ่ามทําให้เด็กไอออกมา ถ้าเด็กไม่ไอ ก็คงไม่เหลือมาอยู่ตรงนี้หรอก เพราะถูกพ่อของเด็กยิ้งทิ้งไปแล้วจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ได้คิดว่า ชีวิตคนเราต้องมีสติ มิฉะนั้นจะคุ้มตัวไม่รอดก่อนหน้านี้ก็คิดว่า ชีวิตหมอทผ่านเหตุฉุกเฉินต่างๆมา เป็นการฝึกสติให้เราอย่างดี จนกระทั่งหลงเข้าใจว่าตัวเองมีสติเพียงพอแล้ว ระหว่างไปเรียนต่อที่เมืองนอก ก็เกิดเหตุการณ์ให้ได้รู้ว่าสติของเรายังอ่อนหัดอยู่นั่นเอง ต้องเพียรฝึกฝนต่อไปกล่าวคือ คราวหนึ่ง อาสาขับรถพาเพื่อนไปสอบปากเปล่าเพื่อเป็นผู้เชียวชาญโรคสูตินรีเวชโดยขบจากเมืองที่เราอยู่ ข้ามไปเมืองที่เป็นสถานที่สอบ ซึ่งห่างกันประมาณห้าหกร้อยไมล์ระหว่างขับไปบนซูเปอร์ไฮย์เวย์ตามสบายๆ ก็รู้สึกว่า รถของเราหลุดเข้าไปในหมอกควันทึบ เหมือนควันเวลาเผา กาบมะพร้าวทำให้มองอะไรไม่เห็น เหมือนกับว่าตาบอดโดยกะทันหัน
ความเคยชินทำให้ปล่อยคันเร่ง ชะลอรถลงและคิดว่าควรหักเข้าจอดบนไหล่ทางก่อน เพราะไม่รู้ว่าทางข้างหน้าเป็นอย่างไรบ้าง ขณะที่จะเบนรถ เข้าไหล่ทาง ก็รู้สึกว่า ในหมอกควันมีแสงโลหะที่ถูก แดดสะท้อนมากระทบตาแวบหนึ่ง สัญชาตญาณ บอกว่ากันชนรถขวางอยู่ข้างหน้าก็พยายามหักพวงมาลัยหลบเต็มที่ แต่ไม่พ้นบังโคลนหน้าของรถเราไปติดมุมกันชนรถคันนั้น หยุดแป้กอยู่พร้อมๆ กันนันก็ได้ยินเสียงรถเสียดข้างรถ เราไปอย่างสูสี พร้อมกับเสียงโลหะกระทบกันกึง...กึง...ถึง รถคันทีแล่นตามมา ผ่านเราไปชนคัน ที่เห็นข้างหน้าแล้วรถคันอื่นๆ ที่ตามมาก็ชนกันต่อ เป็นทอดๆ อีกรวมทั้งหมด 8 คันตัวแทนบริษัทประกันภัยที่มาสัมภาษณ์ถามว่า เมื่อหูเราได้ยินเสียง ถึง...กึง. นั้น เสียงก็งดังจากข้างหลังก่อน หรือจากข้างหน้าก่อน เพราะรถคันที่ เฉียดเราไปยืนยันว่าเขาหยุดรถก่อนที่จะชนรถคัน หน้าที่ขวางทางอยู่ แต่แรงจากรถข้างหลังที่มาชนรถเขาทำให้รถเคลื่อนไปชนรถคันหน้า ซึ่งถ้าเป็น ความจริงบริษัทประกันของเขาไม่ต้องจ่ายค่าเสีย หายให้รถคันหน้าเพราะตกเป็นภาระของรถคันถัด ไปที่มาชนท้ายรถเขาดิฉันพยายามระลึกทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ระลึกคราวใดก็แยกมิได้ว่า ถึงข้างหน้าก่อน หรือข้างหลังก่อน ก็ตอบเขาไปตามจริงว่าไม่ทราบ เมื่อผ่านพ้นเหตุการณ์ตอนนั้นมาแล้ว ก็ยอมรับกับตัวเองว่า ที่เคยคิดว่าตัวเองมีสติเพียงพอนั้น ความจริงยังใช้ไม่ได้ ยังไม่พอเพราะจริงๆ แล้วอย่าว่าแต่กึงข้างหน้าหรอกงข้างหลังเลย ความรู้สึกขณะได้ยินสองสามถึงแรก แยกแยะระยะทางไม่ได้ด้วยซ้ำไป เพียงแต่นับจำนวนได้ถูกต้องเท่านั้นความรู้สึกนี่ข้องติดอยู่ในใจ ให้ฉงนว่าทําอย่างไรเราจึงจะฝึกสติ ให้ถึงขันที่รักษาตัวรอด ปลอดภัยได้
เมื่อไปปฏิบัติ ท่านอาจารย์ก็เริ่มจู่โจมเลยว่าโลกนี่คือโรงบ่มบัา พวกที่ร่ำเรียนมีวิชาความรู้เป็นด็อกเตอร์ทั้งหลายนั่นแหละ ตัวบ้าทั้งนั้น ฟังท่านก็สะดุดขึ้นมาในใจว่า ท่านปรามาสมาว่าเราบ้าแต่ลึกลงไปในใจแท้ ๆ ก็ยอมรับว่าจริง เพราะประสบการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาล้วนเป็นเครื่องยืนยัน ครั้นอยู่นานไปนานไป ก็เห็นว่าจิตทีได้ฝึกเต็มที่แล้ว จะมีสติรักษา ให้สามารถแยกสิ่งต่างๆตามที่เห็น เท่าทันอาการทั้งหลายตามเป็นจริง ถ้า หากเพียรฝึกต่อไป เราก็สามารถรู้ได้ เพราะจิตเป็นสิ่งที่ไวเหลือประมาณ ไวยิ่งกว่าการเคลื่อนของแสงเราทราบกันว่า สรรพสิงต่างๆ ในโลก แสงสว่างเคลื่อนเร็วที่สุด ไม่มีอะไรเคลื่อนเร็วยิ่งกว่าแสงเมื่อไหร่ก็ตามที่เราสามารถหาวัตถุที่พาเราเคลื่อนไปแล้วเลยหยิบใส่ปากเสียหน่อย หรือเดินไปธุระ ผ่าน เพื่อนที่กำลังจับกลุ่มกินอะไรกันอยู่ เขาเชิญชวน ให้กินกันหน่อย อือม์...ปฏิเสธเขาไม่ได้ เลยต้องกินเอาใจเขา
ชีวิตของเราเป็นอย่างนี้กับเรื่องของกายเรื่องของใจ ก็ไม่แตกต่างกัน มันอิ่มไม่เป็น อยู่นิ่งไม่เป็น ประเดียวก็ปรุงคิดขึ้นมา ถ้าไม่มีเรื่องจากภายนอกให้ปรุง เราก็คิดขึ้นจากสัญญาเก่าๆ ที่จดจำไว้ หรือจิตสังขารของเราปรุงคิดขึ้นเอง เป็นอาหาร ว่างของใจพาให้อร่อยเพลิดเพลินไปเรื่อยๆใจก็ชอบอาหารรสชาติโลดโผน เหมือนกับกายเหมือนกัน กล่าวคือความคิดที่เป็นกุศล เป็นของทีดีๆนั้น คิดแล้วไม่ทำให้ตื่นเต้น คิดแล้วจืดไม่เป็นรส ก็เลยไม่ค่อยชอบ กลับไปชอบคิดในทาง ระแวงสงสัยให้ร้ายผู้อื่น นันเขานินทาเรานี่นา...
หรือว่า ดูสิ เขาอิจฉาแกล้งเราชัดๆ จิตคิดขึ้น เมื่อไ ล้วนแต่ทำให้ตัวเองขาดทุนทุกทีท่านจึงสอนว่า ถ้าไม่คอยให้มีสติเท่าทัน จับใจของตนไว้แต่ละเวลานาทีที่ล่วงไปทุกวันๆ เราก่อหนี้ล้นพ้นตัวให้กับตัวเองอยู่ตลอดเวลา เราจึงทุกขอยู่อย่างนี้ ทุกข์จนไม่มีทางเงยหน้าอ้าปากทำอย่างไรเราจึงจะตระหนักถึงความจริงข้อนี่ท่านอาจารย์เปรียบเทียบกิเลสที่ดึงใจให้ปรุงคิดกับสติ โดยสมมติให้เป็นหมาไล่เนื้อ 2 ตัว เพราะ กิเลสเคยฉุดลากใจ ให้ปรุงแต่ง นึกคิดตามอำนาจของมันตลอดมา มันจึงว่องไวปราดเปรียวกว่าสติ ครั้งแรกทั้งสองตัวก็หมอบอยู่เคียงกัน สติเฝ้ากิเลส ไม่คลาดสายตา เฝ้าไป...เฝ้าไป...ซักง่วง เลยเผลอ งีบไปประเดียวหนึ่ง กิเลสก็ฉุดใจและกายของเราไป ก่อวินาศกรรมรอบเมือง จนเหนื่อยล้า ก็กลับมานอนพักที่เดิม สติเพิ่งแย้มตาขึ้นมอง เออ...ใช้ได้ยังอยู่เรียบร้อยดี แล้วก็ผลอยงีบไปอีกครั้นผลของวินาศกรรมที่ไปก่อไว้ปรากฏขึ้น ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหาย ได้แก่ความไม่ได้ดัง ใจต่างๆ นานาที่เราประสบ สติก็เถียง...อะไรกัน ฉันเฝ้าอยู่ไม่คลาดสายตา กิเลสไม่ได้กระดุกกระดิกไป ไหนเลย ไม่ยอม...ใส่ไคล้กันชัดๆ
ท่านอาจารย์สอนไว้ว่า ขณะที่ไม่มีสติ ถึงลืมตาตื่นอยู่ ก็เหมือนคนละเมอ ลุกเดินไปโน่นมานี่ พอตื่นขึ้นก็จำไม่ได้ เวลาที่เราเผลอสติ แล้วทำอะไรเสียหายลงไป พอเขามาปรับไหม เราจะยืนยันว่า... เปล่า ฉันไม่ได้ทำอย่ามาใส่ไคล้กันนะ...มันเป็นอย่างนี้ ท่านจึงบอกว่า ถ้าใจของเราเห็น
ชัดอย่างนี้ อะไรเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา พอจะอ้าปาก เถียงว่า ไม่ใช่ ให้ปิดปากเสีย แล้วยอมรับ เราก็ นักเลงเก่าเหมือนกัน ใครจะมาเรียกค่าเสียหายเท่าไร เท่าไร เราก็ยอมชดใช้ทั่งนั้นเมื่อทำใจให้ยอมรับได้แล้ว ความคดอกุศลท จะเกิดตามมา ก็หยุดได้ ดับได้ สติสัมปชัญญะค่อยกลับมาอยู่กับใจทำให้ใจทั้งใจรวมเพ่งอยู่กับปัญหาที่เกิดขึ้นหยิบยกข้อดี ข้อเสียขึ้นมาพิจารณา หาลู่ทางแก้ไข ให้สถานการณ์กลับเป็นปกติ หรือใกล้เคียงกับปกติให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ทำให้เรา สามารถรักษาตัวรอดปลอดภัยอยู่ได้
เหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเหมือน หินให้เรานำมาใช้ลับสติปัญญาของเราให้คมกล้าขึ้นโดยลำดับ จนสามารถเห็นเหตุผลที่จะนำมาแก้ปัญหาทีเกิดขึ้นในชีวิตได้ถ้าขาดสติ เราจะแก้ปัญหาโดยใช้อารมณ์ ทำให้ปัญหายิ่งทรุดหนักลง เหมือนนิทานเรื่องลิงช่วยลง ครั้งหนึ่ง มีสวนแห่งหนึ่ง อุดมสมบูรณ์ไป ด้วยผลไม้นานาชนิด ลิงฝูงหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่แถบนั้น พากันเข้าไปหากินในสวนนี่เสมอๆ เจ้าของจึงคิดหาทางดักจับหัวหน้าฝูง โดยทำกระดานกลพาดไป ตรงปากทางที่ฝูงลิงไต่กิ่งไม้ลงมา เมื่อหัวหน้าฝูงไต่ ไปชนเข้าแผ่นกระดานก็ดีดลงมาทับตัวมัน ไม่สามารถดิ้นหลุดได้พวกลูกฝูงเห็นเข้าก็ตกใจส่งเสียงถามเป็นอย่างไรบ้างกันเซ็งแช่ หัวหน้าถูกกระดานทับจนหมดเรี่ยวหมดแรง ไม่มีเสียงจะตอบลูกฝูงก็เข้าใจว่าไม่ได้ยิน จึงพากันลงมาใกล้ๆ บางตัวก็เหยียบขึ้น ไปบนแผ่นกระดาน ขย่มไปขย่มมา พร้อมกับถามเป็นไงบ้าง... เป็นไงบ้าง...ต่างตัวต่างก็ช่วยกัน
ผลที่สุด หัวหน้าฝูงตาย เพราะนอกจาก น้ำหนักกระดานแล้ว ยังมีน้ำหนักตัวของพวกลูกฝูง ที่วิ่งขย่มอยู่บนแผ่นกระดาน ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆพวกเราก็แก้ปัญหาทำนองเดียวกับลิงช่วยลิง ยิ่งแก้ก็ยิ่งทรุดโทรม ทำอย่างไรเราจึงจะฝึกตัวเอง ให้เอาสติปัญญามาใช้โดยเต็มความสามารถ เห็น
ลู่ทางแก้ปัญหาให้ลุล่วงไปได้ เฝ้าไตร่ตรองอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ ครั้งแรกๆ ยังแก้ไม่ได้ เพราะปัญญาไม่มีสติยังขาดๆ หลุดๆทำนองเดียวกับเรื่องของตัวเองที่เรียนให้ทราบ เมื่อเจาะคอคนไข้แทนที่จะดูดแผ่นเยื่อและเสมหะ ออกกลับพ่นน้ำจากขวด ลงไปในหลอดลมเด็กถ้าเรามีสติ บอกตัวเองว่าสิ่งที่ทำนั้นมาจากเจตนาสุจริต เราไม่หวันกลัว ไม่หดหูท้อถอย ใจจะค่อยตั้งมั่น เห็นเหตุผลขึ้นมา ปัญญาเกิด เห็นเท่าทันปัญหาทำให้เราไม่ถึงขั้นคับขันอับจน สติจะมาคุ้มครองเราเร็วขึ้น เร็วขึ้น จนเราสามารถป้องกันเหตุ ร้ายได้
เมื่อใจเริ่มกระเพื่อมปรุงคิดในทางไม่ดี สติที่ ตามรู้เท่าทัน จะหยุดความคิดนั้นได้ เหมือนอย่าง กับพรายน้ำเริ่มต้นเกิดที่กันบ่อ ครั้งแรกเราไม่ทันรู้สึกขณะที่พรายน้ำเริ่มไหวตัวผุดขึ้นที่ก้นบ่อ เราต้องคอยจนกระทั่งมันกระเพื่อมขึ้นมาทั่ผิวน้ำแล้วแผ่กระจายเป็นระลอกไปกระทบฝั่ง เราจึงรู้ว่า... อ้อ... วินาศกรรมเกิดเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว เพราะผลของมันคือระลอกทีไปกระแทกเซาะตลิงให้ร่วงพังลงมาฝึกไป ฝึกไป สติไวขึ้น ถ้าใจเริมไหวตัว จะคิดอะไรสติรู้ทันแล้ว ความคิดก็ดับ เหมือนคนไข้หอบหืดบางคนที่อาการเกิดขึ้น้พราะความชื้นพออากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน เขารีบกินยาขยายหลอดลม ป้องกันเอาไว้ เขาก็ไม่จับหืด แต่บางคนชะล่าใจ ถึงครึ้มฟ้าครีมฝน เดียวอาจมีลมมาพัดเมฆไปทางอื่น เราอาจไม่จับหืดก็ได้ อย่าเพิงกินยาเลย เอาตั้งรอไว้ก่อนเถอะ อีกประเดียวเดียวตัวเองก็จับหืด และเมื่อเริ่มอาการแล้วไม่ใช่ว่ากินยาเข้าไปตอนนั้นอาการจะหยุด มันก็ยังหอบหืดของมันไปเรื่อยๆ ดีไม่ดีต้องไปให้ออกซิเจนคนไข้ที่เป็นหืดจะรู้ดีว่า การป้องกันเป็นสิ่งสำคัญและถ้าเราสามารถระวัง ให้ระยะเวลาที่ไม่จับหืดต่อเนืองกันได้ยาวขึ้น ยาวขึ้นถ้าคนไข้ ยังเด็กอยู่อาการอาจหายขาดได้ใจของเราก็ทำนองเดียวกัน ถ้าสามารถฝึกให้ มีสติคอยระวัง ให้เราไม่คิดชั่ว ไม่พูดชั่ว ไม่กระทําชั่ว ต่อเนื่องกันได้บ่อยๆ เข้า ก็เกิดเป็นอุปนิสัยที่ดี ทำให้ทีเคยโมโหหุนหัน คิดประทุษร้าย ระแวงสงสัยผู้อื่น เปลี่ยนเป็นคิดในทางที่เป็นกุศล เมตตา ต่อกัน
มีอะไรเกิดขึ้น แทนที่จะคิดว่าเขาแกล้งเราก็คิดว่า เขาไม่ตั้งใจหรอก ถ้าพิสูจน์ได้ว่าเขาตั้งใจก็คิดแก้ให้เขาว่า เขารู้เท่าไม่ถึงการณ์อภัยเสียเถอะจะได้จบหมดกันไป ใจก็เยือกเย็น ถ้าฝ่ายตรงข้าม ใจคิดไม่งาม เขาก็จะค่อยรู้สึกตัวว่า เราท่าเขาเขาก็อภัย ไม่โกรธตอบ แล้วเราไม่ละอายบ้างหรือไม่มีวิธีสอนใดจะสัมฤทธิ์ผลดีไปกว่าการเอา ตัวของเราปฏิบัติเป็นแบบอย่าง การสอนด้วยปากอย่างเดียวมักไม่ได้ผล ดังภาษิตทีว่า สิบปากว่าไม่ เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าลงมือกระทำครูสอนจริยธรรมนักเรียนว่า อย่ากินเหล้า เหล้าเป็นของไม่ดี แต่ครูเองยังกินเหล้า อย่าสูบบุหรี่ จะทำให้เป็นมะเร็ง แต่ครูสูบ หรือเราสอนคนอื่นว่า อย่าโกรธการโกรธเป็นของไม่ดี ทั้งๆ ที่เรายังโกรธหน้าดำตาแดง ก็ไม่มีใครเชื่อเรา แต่ถ้าเรา บอก การโกรธเป็นของไม่ดี และเราระงับความ โกรธได้ ผู้ที่เห็นย่อมคล้อยตาม เพราะได้เห็นประจักษ์กับตาแล้วว่า เราฝึกตัวเราได้ดังคำที่สอนผู้อื่นเมื่อพากเพียรฝึกฝนตนเองไป วันละเล็กละ น้อย ผลที่สุด อุปนิสัยไม่ดี ไม่ดี ทีคิดอยากแก้ไขก็จะสามารถเปลี่ยนให้กลายเป็นดีขึ้นมาได้ เมื่อไดที่ทำได้อย่างนี้ เราก็เริ่มเป็นบัณฑิต เพราะอะไร?เพราะบัณฑิตคือผู้มีปัญญา เมื่อมีปัญญาก็รู้ วิชชา วิชชาในที่นี้ไม่ได้หมายถึงวิชาทางโลกเฉยๆ หาก เป็นวิชาที่ทำให้จิตใจของเราสะอาด หมดจดจาก เครื่องเศร้าหมองคือกิเลสทั้งหลายทั้งปวงทำให้จิตใจของเรายกระดับขึ้น จากการเป็นมนุษย์เพียงร่างกาย มาเป็นมนุษย์ที่กายกิเป็นมนุษย์ ใจก็เป็น มนุษย์ หรือเรียกว่า มนุสมนุสโสเมื่อฝึกต่อไป ใจก็ยกระดับขึ้นอีก จากการเป็นมนุษย์ที่มีศีลธรรมประจำใจ ดำรงตนอยู่ในเหตุในผลแล้ว ยังมีความละอาย สะดุ้ง เกรงต่อบาป เป็น มนุสเทโว
จิตที่ฝึกปฏิบัติไม่ท้อถอย ย่อมมีสติปัญญาคมกล้าขึ้นโดยลำดับ จนกระทั่งเห็นสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นตามสภาพเป็นจริง เพิกความสําคัญผิด ยึดมั่นถือรั้น ในตนในตัวว่า เป็นอย่างนัน เป็นอย่างนี่ เห็นสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย รวมทั้งตัวเอง มีสภาพเสมอกัน คือล้วนทุกข์ลําบาก ถูกคุกคามด้วยความเกิด ความแก่ความเจ็บ และมีความตายเป็นที่สุดคอยอยู่ด้วยกันทั้งนั้น หมดความข้องใจสงสัยในพระ พุทธเจ้า ในพระธรรมคําสอนของท่านว่า จะนํา มรรค ผล อันเป็นความผาสุก ตื่นรู้เบิกบาน มาสู่จิตใจของเราได้หรือไม่ จึงตั้งอกตั้งใจฝึก เจริญ สติให้อยู่กับใจมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น พิจารณา จนได้ปัญญาเห็นชอบแล้ว จึงตกลงใจกระทำลงไปเรียกว่าเป็นผู้ปฏิบัติจิตใจอยู่ตลอดเวลา ไม่เพียงแค่ลูบคลำ หรือปฏิบัติพอเป็นประเพณีถ้าทำได้อย่างนี้ เราก็เที่ยงตรงต่อการเป็นบัณฑิตที่แท้จริงสามารถมีตนเป็นที่พึ่งแม่ใจจะยังไม่สิ้นภพ สิ้นชาติ ยังติดวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏก็มาอุบัติในภพภูมิที่มีสติ มีปัญญา พอรักษาใจและอบรมฝึกฝนให้ละเอียดเที่ยงตรงยิ่งๆ ขึ้นไปชีวิตคนเรา คือ การฝึกฝน แก้ใจที่ถูกผูกมัด ไว้ด้วยโลกธรรม ได้แก่ คําวิพากษ์วิจารณ์ นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข์ มียศ เสื่อมยศ มีลาภ เสื่อม ลาภ ติดข้องด้วยความยึด ความอยาก ในกามวัตถุ ที่มาสัมผัสทางตา หู ลิ้น กาย หรือระลึกนึก
ขึ้นจากความจำ และความคิดปรุงของใจ ที่อาลัยรักชอบ หรือเกลียดชังผลักไส ให้หลุดเป็นไทแก่ตน
จิตใจที่ยังหมุนอยู่ในภพ คือ สังสารวัฏนี้เปรียบเหมือนอะไรก็ตาม ที่ขว้างหลุดไปแล้วก็ถูกแรงดึงดูดของโลก ดึงดูดกลับตกลงมาสู่โลกอีกก่อนทีมนุษย์จะส่งจรวดขึ้นไปดวงจันทร์สำเร็จ เราไม่เคยคิดว่าเราจะสามารถออกไปสัมผัสอวกาศได้ เพราะความจริงที่ได้เห็นทำให้เราสิ้นสงสัยว่า ทุกอย่างต้องถูกแรงดึงดูดของโลกดูดกลับคืนมาสู่โลก ตลอดกาล เมื่อเราพากเพียรคิดค้นหาลู่ทาง จนสร้างฐานพลังที่ฉุดจรวดให้สามารถเคลื่อนไปด้วย ความเร็วสูง เกินกว่าที่แรงดึงดูดของโลกจะต้านทานสำเร็จ จรวดก็หลุดเป็นอิสระ ไปลอยตัวในอวกาศที่ ไร้น้ำหนัก ไร้แรงต้านทานจากความดึงดูดของโลกเคลื่อนไหวไปสู่ดวงจันทร์สําเร็จใจของเราก็ทำนองเดียวกัน ถ้าเมื่อไรก็ตามเราพากเพียรฝึกฝนสติปัญญาให้มีกำลังเข้มแข็งเพียงพอที่จะฉุดจิตใจของตัว ให้ฝึนกิเลส จนกระทัง หลุดพ้นจากแรงดึงดูดของกิเลสได้ หรือเกิดปัญญา เห็นแจ้งตามความเป็นจริง ใจก็เพิกจากความรู้ผิดๆความยึดมั่นสำคัญหมาย เป็นอิสระ หลุดเข้าไปใน อวกาศของจิต ดังที่ท่านอาจารย์พระมหาบัวเทศน์ ไว้ในหนังสือ อวกาศของจิตของธรรมใจของเรา ก็ไปถึงที่ที่เราเป็นไทแก่ตน ปลอดภัยจากการหลงวนเวียน ติดข้องอยู่ในสังสารวัฏ

พิมพ์โดย      ปภัสสร   มีพงษ์
แหล่งที่มา     http://web.krisdika.go.th/buddha/17_real_bandit.pdf

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Back To Top