บัณฑิตที่แท้จริง 2
ชื่อผู้เขียน พญ อมรา มลิลา
วันที่ วันที่ 25 กันยายน 2528
ณ กลุ่มพุทธธรรม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร
หมวด
อันดับที่
สวัสดีค่ะท่านอาจารย์ ท่านนักศึกษาทั้งหลายนนี้คงเป็นฤดูใกล้สอบ สมาชิกเลยร่อยหรอไป ทําให้ท่านประธานกลุ่มพุทธธรรมไม่สบายใจ ดิฉัน เข้าใจค่ะ เพราะนึกถึงตัวเองสมัยจะสอบก็เหมือนกันเลยคิดว่าเรื่องที่จะพูดกันวันนี้ คือทำอย่างไรเราจึงจะทำหน้าที่ความรับผิดชอบของเราให้ดีที่สุดได้หน้าที่ มีความหมายลึกซึ่งแค่ไหน แล้วเราเอา อะไรมาเป็นกฎเกณฑ์ว่า แต่ละคนมีความรับผิดชอบ ในหน้าที่ของตัวแค่ไหน เหมือนอย่างกับท่านราชวรมุนีอธิบายถึงจิตใจของคนว่าหยาบละเอียดไม่เท่ากัน คนบางคน ถ้าสิงทีมากระทบไม่สกปรกเท่าคนบางคน ถ้าสิ่งที่มากระทบไม่สกปรกเท่าพื้นตลาด เขาก็ยังว่าสะอาดดีอยู่ ถ้าเราไปดุว่าเขา ไม่มีความรับผิดชอบในเรืองละเอียดกว่านัน เขาก็มองไม่เห็น เพราะมันยังไม่สกปรกเท่าพื้นตลาด แล้วจะให้เขาไปกวาดถูได้อย่างไร
คนบางคนสะอาดกว่านั้น พอสกปรกกว่าพื้นห้องนี้ ก็ระคายเท้า เดินไม่ได้ ต้องกวาดแล้ว
บางคนละเอียดไปกว่านั้นอีก เพียงแค่มีขี่ฝุ่นบนเก้าอี้ พอเอามือลูบปุ๊บ สกปรกแล้ว ต้องกวาดต้องเช็ด
คนบางคนละเอียดถึงขั้นว่า กระจกแว่นตามีขี้ฝ่นนิดเดียวทนมองไม่ได้แล้วถ้าเจ้านายหรืออาจารย์ของเราเป็นคนละเอียดขี้ฝุ่นบนกระจกแว่นตาก็ระคาย คันแล้วท่านจ้ำจี้จําไชดุว่าเรา แต่เราต้องเลาะเท้าพื้นตลาดเสียก่อนจึงเริมรับผิดชอบ ก็แน่นอน เราต้องไม่เข้าใจท่านแล้วนึกค่อนขอดว่า อาจารย์อะไรใจโหดใจหินอย่างนี้เพราะเราไม่เห็นจริงๆ ว่าท่านรักท่านหวังดีกับเรา เมื่อเด็กๆ ดิฉันเองก็เคยนึกอย่างนั้นคุณแม่ของดิฉันท่านสุขภาพไม่ดี มีดิฉันแล้ว ท่านท้องอีกก็แท้ง ท้องทีไรก็แท้ง จนใครๆก็ว่าสงสัยจะมีลูกโทนเสียแล้ว แล้วคงตามใจเสียจนเสียคนพอติฉันจำความได้ คุณแม่จะบอกอยู่เสมอ ว่า ถึงมีลูกอยู่คนเดียว ถ้าทําไม่ดีก็ตัดทิ้งได้ เหมือนนิ้วมือนิ้วไหนไม่ดีนีตัดทิ้งได้นะ คือท่านจะขู่ให้เรา ว่านอนสอนง่าย แต่ตอนนั้นเราไม่เข้าใจว่าท่านขู่ด้วยความรัก ก็นึกในใจว่า ทําไมเราถึงมีแม่ดุร้ายอย่างนี้ก็ไม่รู้ ท่านพูดคำไหนต้องเป็นคํานั้นอย่ามา ต่อรองร้องขออะไร ไม่มีทาง จนบางทีนึกน้อยใจว่า ทำไมเราถึงไม่มีแม่คอยตามใจอย่างเพื่อนๆพอหยุดเทอม เราอยากไปเทียวกับเพื่อน ท่านก็มีรายการภาคปิดเทอมให้ทํา ท่านว่า คนเราจะเป็นนายที่ดีได้ก็ต้องเป็นคนใช้ที่ดีเสียก่อน แล้ว ท่านก็ฝึกว่ากวาดบ้านอย่างไรจึงเรียบสะอาดถูบ้าน จะต้องถูอย่างไร ท่านไม่ได้ถูแต่พื้น ต้องถูขอบที่ติดข้างฝาทั้งหมดด้วยคือถูอย่างประณีตศิลป์ ซึ่งเราว่าสะอาดแล้ว คือใจเราหยาบเท่าพื้นตลาด บังเอิญท่านไม่ได้ ขีฝุ่นที่กระจกแว่นตา ท่านก็คันแล้ว
เราถูของเราก็ว่าสะอาดทั่วหมดแล้ว ท่านมาถึงเอานิ้วลูบปาดไป ขี้ฝุ่นก็ฟ้องติดนิ้วท่าน เราก็นึกขี่ฝุ่นทําไมปลิวมาเร็วเหลือเกิน ท่านสำทับว่า ดูซิ ถ้าเรามีสาวใช้ถูบ้านเป็นอย่างนี้ เราไปดุเขาแล้ว
เขาย้อนว่าคุณลองทำให้ดูซิ เราก็ไม่มีปัญญาทำ แล้ว เราจะไปสอนใครได้ตอนนั้นดิฉันนึกในใจ ชีวิตนี่ลำเค็ญเหลือเกินแต่พอโตขึ้นมา ผลของความดบความดจากการถูกบ่นจ้ำจิ๋จ้ำไช ทำให้เราทีแสนจะไม่เอาไหน คงซึมซับ รับเข้าไปโดยไม่รู้ตัว ทำให้ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่เป็นที่ หนักอกหนักใจใคร ไปเห็นชัดตอนอยู่เมืองนอก ฝรั่งเขาดูแคลนว่า พวกเรากะเหรี่ยง ด้อยพัฒนาแล้วพวกเราก็มีนิสัยอย่างนั้นจริงๆ คือมารยาทในการใช้ห้องน้ำไม่ค่อยจะเอาไหน ทำสกปรกทำน้ำเปียกเลอะเอาไว้ แล้วก็ไม่เช็ดกัน ซ้ำร้ายยังไม่รู้ตัว ว่าเขาจับตามองอยู่ทีนี้คุณแม่ฝึกเอาไว้ว่า ใช้ห้องนําเสร็จทุกครั้ง ต้องเช็ดให้สะอาด ไม่อย่างนันจะแห้งติดเป็นคราบไม่น่าดู เราก็ทำเรียบร้อย แม่บ้านโปรดปรานว่า ตั้งแต่มีต่างชาติมาเช่าบ้านอยู่นี้ ไม่มีใครเลยที่จะถูกใจอย่างนี้ เรากิเริ่มเห็นผลว่า การเป็นลูกมีพ่อมีแม่อบรมสังสอนนันดีอย่างนี้เองต่อมาๆ ก็ได้คิดมากขึ้น เพราะเป็นหมอนี่ ความละเอียดไม่เท่ากัน คนไข้เดินเข้ามา เราตรวจแล้วว่าต้องรับไว้ แต่เพื่อนเราตรวจว่า ไม่เป็นไร กลับบ้านได้ กลับไปบางที่ยังไม่ทันพ้นคืนนั้น ต้อง กลับมาอีกที่ เอาเข้าห้องฉุกเฉิน แล้วก็หยุดหายใจ ไปเลย อะไรอย่างนี้ประสบการณ์ในชีวิต ทำให้เราได้คิดว่า ความ ละเอียดถี่ถ้วนในการทำงานที่ได้รับมอบหมายมานี่ เป็นสิ่งที่ใครก็สอนกันไม่ได้ บอกกันไม่ได้มีนิทานเรื่องหนึ่งเล่าถึงสมัยที่วิชาความรู้มีที่ ตักสิลาเท่านัน ก็มีเด็กหนุ่มสองคนดันต้นไปตักสิลา เพื่อร่ำเรียนศิลปวิทยา ครูก็สอนทั้งสองคนพร้อมกัน เท่ากัน ตลอดเวลาจนสำเร็จ ก็ประสิทธิประสาทพร ให้ทั้งสองกลับมาทำงานเจริญรุ่งเรืองโดยลำดับเมื่อกลับมาบ้านเมือง คนหนึ่งก็ก้าวหน้าไปโดยลำดับ มีความสุขความเจริญ แต่อีกคนหนึ่งทำแล้วก็ติดขัดคับข้องไปหมดในที่สุดคนหลังก็เกิดความระแวงขึ้นในใจว่า เออาจารย์เรานี่คงไม่ซื่อเสียแล้ว คงจะแอบสอนอะไรเพื่อนเรา ทำให้เพื่อนเราประสบความสำเร็จพอความระแวงในใจฟักตัวมากขึ้น วันหนึ่งก็ ไปหาเพื่อน ชวนกลับไปถามอาจารย์ให้แน่ใจว่า ที่อาจารย์สอนเราสองคนนี่ สอนเท่า ๆ กันจริงหรือเพื่อนก็ว่า คุณกเหน เวลาสอน อาจารย์ก็เรียกเราไป ด้วยกันทั้งสองคน เราก็อยู่ด้วยกัน ไม่มีอะไรแอบ แฝงเป็นพิเศษเลย คนแรกก็ว่า ไม่ได้ ไม่ได้ ไปให้สิ้นสงสัยเถอะตกลงทั้งสองคนก็ไปหาอาจารย์ ไปถึงอาจารย์ก็ดีใจ ถามไถ่ข่าวคราวว่าเป็นอย่างไร หลังจากถามไถ่ทักทายกันแล้ว คนหลังก็เรียนให้อาจารย์ทราบถึงข้อข้องใจ อาจารย์ก็ว่า วันนี่มันเย็นแล้ว ทั้งสองคนเดินทางมาเหนือย เพราะฉะนั้น ไปพักผ่อนเสียก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาว่ากัน... แต่เดียวก่อนๆว่าแล้ว อาจารย์ก็ไปหยิบหม้อดินมาสองใบบังเอิญอาจารย์มีธุระจะใช้น้ําผึ้ง ขอให้ศิษย์ทั้งสองช่วยไปชื่อน้ำผึ้ง อาจารย์ต้องการให้เต็มปริม หม้อเลย ว่าแล้วก็ให้หม้อลูกศิษย์ไปคนละใบรุ่งเช้า ศิษย์ทั้งสองก็เอาหม้อดินของตัวคนละใบ เดินออกไปซื้อน้ำผึ้งด้วยกัน ไปซื้อที่แม่ค้าเจ้าเดียวกัน ตอนทีแม่ค้าใส่น้ำผึ้ง ก็มองเห็นว่าแม่ค้าใส่น้ำผึ้งเต็มหม้อทั้งสองหม้อเท่ากัน ก็เอามาให้อาจารย์อาจารย์ลองเปิดหม้อของลูกศิษย์คนหลังก่อนปรากฏว่าน้ำผึ้งไม่เต็มหมัอ อาจารย์ก็บ่นว่า อ้าวไหนล่ะ บอกแล้วว่าอยากได้น้ำผึ้งเต็มหม้อ แล้ว
ทําไมจึงซื้อมาไม่เต็มหม้อลูกศิษย์มองดู น้ำผึ้งไม่เต็มหม้อจริงๆ เมือ ตอนทีแม่ค้าใส่ให้ มันเต็มหม้อ ถือมาก็ไม่ได้ทำหกที่ไหน ก็บอก ตอนที่ซื้อน้ำผึ้งเต็มหมัอ เพื่อนคนแรก ก็เป็นพยานได้อาจารย์เปิดหม้อของคนแรก ของเขาเต็มหม้อลูกศิษย์คนหลังก็สงสัยว่า ตอนซื้อแม่ค้าก็ใส่น้ำผึ้งให้เต็มหม้อเท่าๆ กัน แล้วทำไมหม้อของเราเล่นกล นําผึ้งหายไปข้างไหนอาจารย์ถามลูกศิษย์คนหลังว่า พอให้หมัอไป แล้ว เอาไปทำอะไรบ้าง เขาตอบว่า เอาไปเก็บไว้รุ่งเช้าก็หิวไปตลาดวื้อน้ำผึ้งอาจารย์กถามลูกศิษย์คนแรกว่า แล้วเธอล่ะ เธอเอาหม้อไปทำอะไร บ้างลูกศิษย์ตอบว่า ผมสังเกตว่าหม้อใบนี้เป็น หม้อดินและเป็นหม้อดินใหม่ที่ยังไม่ถูกใช้ ซึ่งจะดูดน้ำ ผมก็เลยเอาหม้อไปแช่น้ำไว้ทั้งคืนเพื่อให้อิ่มตัว
พอเอาน้ำผึ้งใส่จะได้ไม่ดูดน้ำจากน้ำผึ้งเข้าไปในเนื้อ หม้อ หลังจากที่แช่น้ําไว้ทั้งคืน พอเช้าจะออกไปตลาดผมก็ยกหม้อขึ้นมาเช็ดให้แห้ง แล้วเอาไป เมื่อแม่ค้าใส่น้ำผึ้งให้น้ำผึ้งจึงอยู่เต็มหม้อ เพราะเนื้อหม้อ อิ่มน้ำแล้วแต่หม้อของศิษย์อีกคนเป็นหม้อดินใหม่ที่ยังม่แช่น้ํา พอเอาน้ำผึ้งใส่เข้าไปก็ซับน้ำจากน้ำผึ้งทําให้น้ำผึ้งพร่องลงไปอาจารย์ก็ถามว่า แล้วอาจารย์เคยสอนอย่างนี่ให้เจ้าทั้งสองหรือเปล่า สองคนส่ายหน้าปฏิเสธทั้ง คู่อาจารย์ก็ถามว่า ทําไมคนแรกจึงคิดได้อย่างนี้เขาก็ตอบว่า ครั้งแรกเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เมื่อไปใช้หม้อดิน เกิดปัญหาขัดข้องอย่างนี้ เขาก็คอยสังเกต จนประสบการณ์สอนให้รู้ว่า ถ้าจะใช้หม้อดิน ต้องระวังอย่างนี่จึงจะได้ผลอาจารย์ก็บอกศิษย์ทั้งคู่ว่า นี่แหละ วิชาความรู้ครูสอนให้ ก็สอนได้แต่หลักใหญ่ๆ แต่ความ
ละเอียดถี่ถ้วน ความช่างสังเกต ความพินิจพิจารณาไตร่ตรอง ซึ่งเป็นเคล็ดลับของความสำเร็จ ไม่มีใครจะถ่ายทอดให้ใครได้ทุกสิ่งทุกอย่างไปเราไม่ร้ว่า ในชีวิตของแต่ละคนจะประสบปัญหาอะไรบ้าง ถ้าเราต้องเรียนวิธีแก้ปัญหากันทีละ ปัญหา ทีละปัญหา ทุกปัญหา ตายแล้วเกิดใหม่ เราก็เรียนไม่จบหรอก เพราะสอนว่าแก๊อย่างนี้ บางทีไปเจอจริงๆ กลายเป็นอย่างนั้นไป ตกลงใช้ไม่ได้ แต่ถ้าเราได้แนวไปว่า อะไรก็ตามที่ได้รับมอบหมายมา เป็นหน้าทีความรับผิดชอบของเรา เราจะพินิจพิจารณา เอาใจจด เอาใจจ่อ ตั้งใจศึกษา แล้วก็เรียนจากประสบการณ์ทีเราทำลงไป สติปัญญาของเราก็จะเพิ่มพูนขึ้นโดยลำดับคนทุกคน สติปัญญามีเท่าเทียมกัน สิ่งที่เป็น ใจ ของเรา สามารถฝึกฝนอบรมจนกลายเป็นสติปัญญา ธาตุรู้ ทีเรียกว่า พุทธะ สามารถรู้โลกนี้ตามสภาพเป็นจริงได้ แต่เพราะเราปล่อยให้ความกังวล ความไม่แน่ใจในตัวเอง หรือยึดอยากมากเกินไป ว่าเราจะเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างโน้น เรา ไปตั้งความหวังความยึดเอาไว้มากเกินไป แล้วไปติดกับความหวังความยึดอันนัน จนลืมพินิจพิจารณาความจริงของชีวิต
อย่างบางคน จบออกไปเป็นอาจารย์แล้ว แทนที่จะคิดตั้งใจสังสอนให้ลูกศิษย์มีความรู้สมกับที่เราสอนเขา กลับไปคิดว่า ทำอย่างไรจึงจะหาเงินได้เดือนหนึ่งสักแสนบาท ถ้าตั้งเป้าเอาไว้อย่างนี้ เราก็ไม่เป็นอันคิดที่จะสอนเด็กให้มีความรู้ขึ้นมา เพราะมัวคิดว่าจะเปิดโรงเรียนกวดวิชา หรือทำอะไรก็ได้ที่เป็นเงินงอกเงยขึ้นมาเมื่อใจเราไปยึดผิดวัตถุประสงค์แล้ว ก็มองไม่ เห็นว่า หน้าที่จริงๆ ของสิ่งที่เรากระทํานั้น มีอะไร บ้าง
หมอหลายท่านไม่ทราบว่าหน้าที่ของตนคือ ดูแลคนไข้ สมัยที่ดิฉันเป็นแพทย์ฝึกหัด ถึงวันนั้น เราจะไม่ได้อยู่เวร แต่ถ้าช่วงบ่ายมีคนไข้หนักรับเข้า มาใหม่ ทั้งๆ ที่นัดกับเพื่อนและจองตั๋วหนังเอาไว้ แล้ว เรายังไม่กล้าไปเลย ต้องทิ้งตั๋วหนัง เพราะถ้า พรุ่งนี้มาเจอคนไข้ตาย เราคงไม่สบายใจ ถ้าเราไม่ ทิ้งเขาไปดูหนัง เขาอาจจะไม่ตายก็ได้ คําว่า เขา อาจจะ นี่น่ะ มันกัดกร่อนใจเราเสียจนกระทั่งทําให้ เรามีความรู้สึกว่า เป็นหน้าที่ของเรา ไม่มีใครบังคับ แต่เราบังคับตัวเราเองให้ไม่กล้าทิ้งไปแต่เด็กสมัยนี่ ขนาดยังไม่เป็นแพทย์ฝึกหัดเลย เป็นแค่นักเรียนแพทย์ มีคนไข้มะเร็งในเม็ด เลือด อาการหนักมาก ทำท่าจะหยุดหายใจ บนหอผู้ป่วยคุณหมอกำลังสอดสายให้เลือดเข้าทางเส้นเลือดนักเรียนแพทย์ผู้นี่ช่วยคุณหมอปั๊มออกซิเจน ให้คนไข้อยู่ ขณะกำลังชุลมุนอยู่นีแหละ ลูกศิษย์ก็วางอะไร ๆ ทั้งหม แล้วโค้งคำนับชี้ทีนาฬิกาข้อมือว่า อาจารย์ครับสี่โมงครึ่งแล้ว วันนี่ผมไม่ได้อยู่เวรคุณหมอตกใจจนพูดอะไรไม่ออก คุณลูกศิษย์ ก็เดินออกไปอย่างนอบน้อมที่สุด โดยไม่รู้เลยว่าการ กระทำของเขาเปรียบเสมือนลูกระเบิดปรมาณูตกเปรียงลงมาตรงนั้นเขาไม่รู้จริงๆ
หลังจากทีคุณหมอเยียวยาจนคนไข้ดีขึ้นแล้วเจอกันทีไรเธอก็เล่าถึงเรื่องนี้แหละ เล่าทุกครังก็โกรธทุกครั้ง ไม่เข้าใจว่าหัวใจของลูกศิษย์ทำด้วยอะไรดิฉันบอกเธอว่า ใจของเขาน่ะ ต้องตรีทูต สกปรกเท่าพื้นตลาดเสียก่อน เขาถึงจะรู้ว่านั่นแหละ หน้าที่ของเขาต้องเริ่มกวาด แล้วเธอจะไปหวังให้
เขาเช็ดขี่ฝุ่นบนแว่นตา เขาจะเช็ดทําไม คุณหมอก็ค่อยดีขึ้นหน่อยหนึ่ง แต่ตอนแรกเธอหัวเราะไม่ออกสําทับว่าถ้าดิฉันพูดอย่างนี้อีก เธอจะโกรธดิฉันไปอีก คนหนึ่งด้วยนี่แหละ เห็นไหมว่า ความทุกข์ ความหงุดหงิด ความไม่ได้อย่างใจ ความท้อใจ อะไรต่อมิอะไรนี เป็นเพราะเราไปตังความหวังไว้มากเกินไป เราเอา ตัวเราเป็นไม้วัด แล้วคิดเอาโดยอัตโนมัติว่าคนทุก คนนีต้องคิดอย่างเรา ซึ่งไม่จริงเลย คนทุกคนที่นังเห็นๆ กันนี้ ดังที่ดิฉันเคยอธิบายแล้วว่า คนบางคนก็เป็นนก คนบางคนก็เป็นเต่า คนบางคนก็เป็นหอย ทาก แล้วจะให้ทุกคนไปด้วยอัตราเร็วเท่ากันได้อย่างไร
เราเข้าใจแล้ว แต่เขายังไม่เข้าใจ เขามองไม่เห็นความสำคัญ ไม่ใช่เขาแกล้ง ไม่ใช่เขาไม่มีหัวจิตหัวใจ แต่เขาไม่เห็นว่าคนไข้สำคัญอย่างไร ก็สี่โมงครึ่งแล้ว หมดเวลาแล้ว จะเอาอะไรกันนักกัน หนาล่ะถ้าจิตใจของเขาเป็นอย่างเราที่เห็นว่าถ้าไม่ ทิงไปคนไข้ก็จะไม่ตาย แล้วใจเขาไม่สบายถ้าคนไข้ถึงจุดอย่างนี้ เขาก็จะไม่ทิ้งไปแต่ถ้าพรุ่งนี้เราไปบอกเขาว่านี้นะ เพราะคุณ ทิ้งลงไปตอนสี่โมงครึ่ง คนไข้ก็เลยตาย เขาก็ตอบ ว่าถึงผมอยู่ คนไข้ก็ตายมีใครบ้างครับที่ไม่ตาย แล้วใครจะไปเถียงเขาได้
นี่ไงที่ว่า ความรู้สึกในใจของคนนี่น่ะ หยาบละเอียดไม่เท่ากันท่านถึงได้จําแนกว่า รูปร่างเป็นมนุษย์อย่างนี้ อย่านึกว่าภพภูมิของใจจะเป็นมนุษย์เท่ากัน ถ้าภพ ภูมิของใจเขายังไม่เป็นมนุษย์ทำอย่างไรจะให้เขา เห็นความละเอียด ความสลักสำคัญอย่างนี้ได้ถ้าเราเห็นแล้วว่า ความเดือดร้อนในโลกมีมา เพราะใจที่ต่างระดับกัน เมื่อต่างระดับกัน การทำให้คนอึนเดือดร้อนเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์เป็นของไม่ดี เราอยากปรับปรุงตัวให้ละเอียดประณีตขึ้น มีคุณภาพขึ้น ถ้าใจของเราน้อมไปอย่างนั้น เราก็ พร้อมทีจะปรับปรุงตัวเองได้แต่ถ้าใจของเรายังไม่รู้สึกอย่างนั้น เหมือน อย่างกับว่า ใจของพวกคุณแต่ละคนๆ เป็นแก้ว การเรียนรู้ประสบการณ์ทั้งหลาย ให้สติปัญญาเพิ่มขึ้น เปรียบเหมือนน้ำฝน เวลาฝนตกลงมา สัจจธรรมใน
ชีวิตก็ปรากฏกับทุกรูปทุกนามเท่ากันแหละ แต่ถ้าคุณคว้าแก้วของคุณเอาไว้ ต่อให้ฝนตกจนน้ำท่วม อย่างเมื่ออาทิตย์ทีแล้ว น้ำฝนก็ไม่เข้าไปในแก้วของเราเราก็เหมือนกับลูกศิษย์ตักสิลารายแรกเรียนจนจบแล้วก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย เพราะไม่เคยสนใจกับประสบการณ์ทีเกิดขึ้นกับชีวิต แล้วก็ส่งไจ ออกนอกไปนึกน้อยอกน้อยใจว่า ครูลําเอียง เพื่อน แอบไปเอาอกเอาใจครู แล้วครูคงแอบสอนอะไรให้เป็นพิเศษ ทำให้ใจเราเป็นสนิมมากขึ้น คุณภาพตกต่ำมากขึ้น ไปคิดระแวงคนทั้งโลก ไปเห็นโลกในแง่ไม่ดี อีกหน่อยมนุษยสัมพันธ์ของเราก็หมดไปเพราะใครมา เราคิดไม่ดีไว้แล้วตัวตนของเราก็ใหญ่ขึ้นๆ อยู่กับใครก็ไม่มี ความสุข ทำงานกับใครก็เป็นตัวปัญหาเรือยไป เจ้านายเอ็นดูตักเตือน หรือวิพากษ์วิจารณ์ ก็ไปโกรธว่า เจ้านายจับผิด เจ้านายหาความ เจ้านายใส่ไคล้ เช้าขึ้นมาเห็นหน้าใคร ได้ยินเสียงเรียกหน่อย หน้าก็หนีบอย่างนี้เลย ตกลงสุขภาพจิตแย่ งานการไม่เป็นอันสัมพันธ์กับใครได้ ติดขัดหยุดชะงักไปหมดแล้วชีวิตของเราก็มีปัญหาเพิมขึ้นๆ โดยลําดับทีนี้ ทำอย่างไรเราจึงจะวางใจเราให้เป็นปกติไม่เดือดร้อนในการที่ใครก็ตาม ไม่เห็นสิ่งที่เราทำว่า ดีอย่างทีเราคิด เราต้องไม่ยึด อะไรก็ตาม แม้ว่าเราไตร่ตรองแล้วว่าเป็นของดีที่สุด ก็อาจเป็นไป ได้ว่าเรามองแต่แง่เดียวเหมือนอย่างนิทานตาบอดหกคนไม่รู้จักช้างคนก็พาตาบอดหกคนนี้มาคลำช้าง แทนที่แต่ละคนๆ จะคลำไปให้ทัวตัวช้าง คนแรกเจอเอาหูช้าง คลำดู อ้อ ช้างนี่แบนเป็นพัด ก็นึกว่า ปัดโธ่เอ๊ย ช้างน่ะเรานึกว่าตัวใหญ่ตัวโต แท้ทีจริงก็พัดอันหนึงเท่านั้น เอง อีกคนเดินไปเจอหางช้าง คลํา ช้างเป็นเชือก ซัดๆ ใครว่าช้างตัวใหญ่ มีกําลังมากมาย ที่แท้ก็เหมือนเชือกเส้นเดียวนี่แหละเราแต่ละคนๆ นี่ให้ฉลาดเฉลียวแค่ไหนก็ตาม ในจิตใจของเรามีความรู้ไม่รอบ รู้ไม่จริง ที่ท่านเรียก ว่าอวิชชาหรือโมหะ ความหลง บังอยู่ เคลือบแฝง อยู่ทำให้เราเหมือนตาบอดหกคน อะไรก็ตามที่พ่อ แม่สั่งสอนเรามา หรือเราได้ยินได้ฟังได้อ่านมา ครูสอนมา เราก็ยึดว่า ช้างเป็นอย่างนี้นะ แล้วเลยเผลอไปคิดว่าเรารู้จริงๆ แล้ว แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่คิดอย่างนั้น จากประสบการณ์ในชีวิตทีเกิดขึ้น ทำให้ ท่านรู้ว่าไม่ใช่
สมมตตาบอดสองคนเมอกทเราพูดถง คนหนึ่งไปคลำหูช้าง คนหนึ่งไปคลำหางช้าง เกิดมาเจอกันบังเอิญคนที่คิดว่าช้างเป็นพัดอยากจะได้พัด ก็บอกเพื่อนว่า“คุณ คุณไปหยิบช้างให้ฉันที” ในใจอยากได้พัด เพื่อนก็ช้างคือเชือกไปหยิบเชือกมาให้ เพื่อนคนแรกก็โกรธแน่ะเราจะเอาพัด ไปหยิบเชือกมาให้เรา ทำไมคุณโง่เซ่ออย่าง นี้ ก็ผมจะเอาช้าง ฝ่ายเพื่อนก็สู้เสียสละงานการวางมือเอาไว้ แล้วยังว่าเราโง่เซ่อ ก็ตีกันละสิ พระพุทธเจ้าท่านผ่านภาวะอย่างนี้มาแล้วพอเกิดการตัดพ้อต่อว่าขึ้น แทนที่ท่านจะว่าท่านถูกท่านก็บอไหนคุณลองพาไปดูช้างของคุณซิเราก็ได้เรียนรุ้ว่า ที่เรานึกว่าช้างเป็นพัดน่ะนะ บางครังมันเป็นเชือกก็ได้ ทีนี้ใครมาบอก คุณเอาช้างมาให้ที เราจะถามว่าคุณจะเอาช้างแบนๆ หรือเอาช้างยาวๆนี่แหละ ภาษาของคนเรา จริงๆ แล้วเป็น เพียงสมมติ เราบอกว่าน้ำตาล ภาษาไทยว่าน้ำตาล ภาษาอังกฤษก็ว่า ชูการ์ ภาษาอื่นก็มีสำเนียงต่าง กันไป มันก็สมมติเท่านั้นเอง ถ้าเราฟังไม่ออก เรา ก็ไม่รู้ว่าที่เขาจะเอานั้นคืออะไร ทั้ง ๆที่ถ้าเขาพูด ภาษาที่เรารู้ เราก็รู้ว่าของนั้นเป็นอะไรการที่เรารู้ไม่รอบ รู้ไม่จริงนี่แหละ จึงทําให้ เกิดความขัดข้องทางเทคนิคอย่างนี่ แล้วเราไปยึด ว่า ถ้าพูดเป็นภาษาไทยแล้วเราต้องรู้กัน ก็ไม่จริง พูดภาษาไทยกันอย่างนี้ พอเสียงมากระทบหูภูมิหลังหรือประสบการณ์ที่ฝังอยู่ในใจของเราจะทำให้เรา แปลคำนั้นออกไปต่างๆ กัน
ยกตัวอย่าง ชาวทะเลกับชาวเขา คุยกันว่า แหม คุณ.. ผมไปเจอผ้าผืนหนึ่งสีฟ้า สวยเหลือเกินคนอยู่เขาก็เห็นผ้าในใจเป็นสีฟ้าเหมือนท้องฟ้าวันที่ สดใสที่สุด คนอยู่ทะเลก็เห็นผ้าผืนนีสีฟ้าน้ำทะเลที เขาชอบ ฟ้าสองฟ้า ไม่เหมือนกันเลย แต่สองคนก็ พยักพเยิดกัน เออ ใช่ สวยจริงๆ เพราะต่างยึดอยู่ กับภาพลักษณ์ในใจของตน ที่ใจแปลความหมายไป แล้วคนสองคนคุยกันต่อไป ถ้าเราไปเห็นในใจของ
ทั้งสองคนได้ คนละเรื่องเลยนี่แหละ เวลาเรามีงานการสำคัญ ปรากฏว่า ขณะสั่งกันแล้ว ครับๆๆ แต่พอทําออกมากลายเป็น คนละเรื่องกันเลย บางทีถึงฆ่ากันตายไปเลยทั้งๆ ที่ ถูกทั้งคู่ เพราะตอนที่ครับๆๆ น่ะ เราไม่รู้ว่าคอมพิวเตอร์ในสมองของแต่ละคนจดข้อมูลลงไปอย่างไร บ้างถ้ามองเห็นอย่างนี้ เราจะได้รอบคอบขึ้น แล้วคิดว่า อะไรก็ตามที่เป็นความรับผิดชอบของเรา นี่ ทำอย่างไรเราจึงจะสื่อความหมายให้สิ่งที่เรา ปรารถนาสื่อสารไปถึงผู้รับได้ถูกต้องเที่ยงตรงที่สุด เท่าที่เราสามารถทำได้ทุกวันนี้เรา พูด กันจริง แต่ไม่สามารถ สื่อ สารความหมายไปถึงกันได้ จึงเกิดความเดือดร้อน กันต่างๆ นานา บางทีเราเองก็ไม่รู้วัตถุประสงค์ของ สิ่งที่เราทํา เป็นต้นว่า สมัยนี้การประสานงานกันไม่ ค่อยมี คนลาดถนนก็ลาดถนนไป พอลาดถนนเสร็จ คนวางท่อประปาก็รู้สึกว่าฉันยังไม่ได้วางท่อประปา เลย ก็ต้องทุบถนน วางท่อประปา แล้วก็ลาดซีเมนต์ ใหม่ อ้าว โทรศัพท์ก็บอกว่า ฉันจะต้องฝังสายโทรศัพท์ลงไป ทุบใหม่ นีแหละ เราไม่มีการประสาน งานกัน เราไม่คิดกันให้ดีๆ เสียก่อน ตกลงใครใคร่ ทำ ทำ เสร็จแล้วผลจะเละเป็นอย่างไร เราไม่รับรู้ เพราะฉะนั้น ถนนดี ๆ ที่เพิ่งสร้างเสร็จ หลังจากที่ทุบไปลาดใหม่ ทุบไป พอฝนตกเข้าก็มีสภาพ เหมือนถนนเดิมที่ทรุดจนพัง หรือพังยิงกว่าเดิมไปอีก
ทุกวันนี้ ปัญหาทีเกิดขึ้นในชีวิตเราจะเป็นทำนอง ๆ นี่ เวลาทำก็ใครใคร่ทำอะไรก็ทำไป เราไม่รู้ไม่ชี้ แต่พอเขาทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราลุกขึ้นโวยวายว่าไม่ถูกๆๆ รื้อทำใหม่ พอทำเสร็จ อีกคน หนึ่งโผล่มาใหม่ ไม่ถูกๆๆ ทําใหม่ ตกลงวนอยู่ตรงนี้ เสร็จแล้วก็ไม่ได้อะไร เด็กๆ สมัยนี้ก็ได้เห็นแต่ ตัวอย่างอย่างนี่เท่านั้น แล้วก็จำไป ว่านีคือวิธีทํางาน ที่ถูกต้องถ้าเราดุเขาเข้า เขาก็ไม่เข้าใจว่าทําไมเราไป ดุเขา เขาก็โกรธ เพราะอะไร เพราะสิ่งที่เราสอน ด้วยภาคทฤษฎีเป็นอย่างหนึ่ง แต่ภาคของจริงที่เห็นตำตาเป็นอีกอย่างหนึ่งแล้วเราเอง เราก็หลงว่าเราฉลาดล้ำลึก เรา มีเครืองผ่อนแรง มีคอมพิวเตอร์ มีอะไรต่อมิอะไรเราไปถึงโลกพระจันทร์ได้ แต่เราก็ยังไม่รู้อยู่ดีแหละ ว่า ในจิตในใจของมนุษย์นี่ ทําไมถึงทุก เครียด ทำไมถึงไม่ได้อย่างใจ
มันจึงเกิดอารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงที่ทำให้เราไม่เป็นสุข บางทีไม่มีใครมาทำอะไรให้สักหน่อย แต่รารูสกเซ็ง กินข้าวไม่ลง นอนก็ไม่หลับ เรื่องทีไม่อยากจะคิดก็เข้ามาวนเวียนให้คิดอยู่เรื่อย แล้วเราก็ ไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับใจของเรา ถ้าปล่อยให้เป็นอยู่อย่างนี้อีกต่อไป งานการที่เราทําก็เสียหายขาด ตกบกพร่องหมด
เพราะอะไร เพราะเราไม่สามารถจะถอนใจจากสิ่งที่ก่อกวนอยู่ในใจ ให้ออกมารับผิดชอบกับงานทกาลงทาอยูขณะเดยวน เราก็ซังกะตายทำไป เมื่อต้องซังกะตายทำไป ผลก็ผิดก็พลาด พอผิดพลาด ก็มีข้อตําหนิตามมา ความเซ็งในหัวใจเราก็เพิมขึ้น ไปอีก เราก็ยิ่งแย่เข้าไปอีกปัญหาตอนแรกมีหนึ่งปัญหา ต่อไปก็กลาย เป็นปัญหายกกำลังสอง ต่อไปก็เป็นปัญหายกกำลังสี่แล้วคราวนี้เราก็ไม่รู้จะแก้อย่างไรได้ เลยทอดอาลัยตายอยาก หรือไม่อย่างนั้น เราก็นึก ช่างหัวมันเถอะ
ไม่คิดแล้ว ลูกเต๋าจะกลิ่งออกมาอย่างไหนก็ช่างหัวมัน ไปหาหมอดูดีกว่า หมอดูว่าทำอย่างนี้ เรากทำ ตามหมอดูไป ชีวิตของเราก็กลายเป็นชีวิตที่หาหลักหาเกณฑ์ หาสาระอะไรไม่ได้เลยโปรดอย่าเห็นเป็นเรื่องขบขัน สมัยนี้ไม่ใช่ผู้ ไม่มีความรู้ที่เชื่อเรื่องหมอดู เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ เพื่อนดิฉันมาเล่าให้ฟังว่า ลูกสาวของเธอมีเพื่อนซึ่ง เป็นลูกท่านอธิบดี มาคุยว่า คุณพ่อคุณแม่จะตัดสินใจทำอะไร ต้องให้คนประทับทรงบอกว่าทำอย่างนี้ จึง จะดีทำอย่างนันจึงจะดีลูกท่านอธิบดีสรุปกับลูกสาวเพื่อนว่า ถ้าเราไม่มีสิศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้คอยชี้แนะช่วยเหลือคุ้มครองก็เราไม่มีวันจะทำอะไรสำเร็จเลยถ้าเราปล่อยให้สติปัญญาของเราถอยไปยึดใน สิ่งงมงายเหล่านั้น คิดดูเถอะชาติของเราจะเป็นอย่างไร และอนาคตของเราแต่ละคนแต่ละคนจะเป็นอย่างไรความสุข หรือความเห็นของคนอื่นเสียงสรรเสริญ เสียงนินทา
แต่ละคน โปรดลองมองเข้าไปในใจของตัวเอง มีใครบ้างทีจะบอกกับดิฉันได้ว่า ถ้าเราแน่ใจว่าสิ่งที่เราทำถูกต้อง ใครมาวิพากษ์วิจารณ์เราก็ไม่สนใจ ใจของเราไม่ขยับเขยื้อน ไม่เกิดความลังเลสงสัย มีใครบัางไหมทียืนยันเช่นนีกับดิฉันได้ทุกคนจะเป็นเหมือนกัน ทั้งๆ ที่แน่ใจ มั่นใจ พอไปเห็นผู้ใกล้ชิดทำท่าพิศวงสงสัย ไม่เชื่อ หรือวิพากษ์วิจารณ์อะไรออกมา ก็เริ่มไม่แน่ใจแล้ว ถ้าจะเปรียบเทียบว่า เราเกิดหลงเข้าไปในโรง พยาบาลบ้าเพียงคนเดียว แล้วไปเจอเอาคนบ้าที่ไม่ ทำอะไรตามปกติ อธิบายกับเราว่า การที่เราทำอะไร อย่างเรานี่คือคนบ้า แต่ถ้าทำอย่างเขาจึงจะเป็นคน ปกติ เราก็หวันไหวไปเหมือนกัน เพราะทุกคนๆๆ เขาทำอย่างนั้นทั้งนัน้ แล้วดีไม่ดีเราก็อาจจะสงสัย ว่า น่ากลัวเราบ้าไปแล้ว เพราะฉะนั้น เราต้อง ปรับปรุงตัวทำตามคนบ้าทำเพื่อว่าเราจะได้เป็นคนปกติถ้าไม่มีสติปัญญาเพียงพอ ไม่มีความแน่ใจมั่นใจ ในตัวเอง สิ่งรอบล้อมตัวเรา ทีเรียกว่า โลกธรรม นี่น่ะสามารถสันคลอนใจเรา ให้ลังเล แล้วก็ แกว่งตามไปได้ เหมือนกับลมพายุพัดให้คลอนแคลน ตามไปถ้าเป็นอย่างนี้ เราก็ไม่มีวันจะเลี่ยงตัวเองได้ แล้วก็ไม่มีทางจะไปช่วยคนอื่นได้ เพราะเราไม่รู้แล้วว่าเรา ดี ดี นี่นะพอไปถูกวิพากษ์วิจารณ์แล้ว เราจะสามารถยืนหยัดคงทนกับคำวิพากษ์วิจารณ์ได้หรือเปล่าคุณก็คงเคยประสบกับเหตุการณ์ทีกลุ่มประชุม กันมีประชามาติว่าตกลงเราจะเอาอย่างนี้นี่แหละ ไปอภิปรายร่วมกัน เสียงคนอึนเกิดไม่เห็นด้วย เพื่อน เราก็เริมรวนเร ในที่สุดเหลือเราอยู่คนเดียวยืนหยัด ต่อต้าน พอเหลียวมาดู ปรากฏไม่มีใครสนับสนุน เราแล้ว เราถูกลอยแพโดยไม่รู้ตัว มันจะมีประสบการณ์อย่างนี้บ่อยๆเมื่อโดนอย่างนี่เข้า ความเข้มแข็งของเราก็ หมดไป บางช่วงดิฉันเองก็เคยพบมา เคยสงสัยว่า เอ๊ะเราจะมานังดูแลคนไข้ อดตาหลับขับตานอนหามรุ่งหามค่ำอย่างนี้อยู่ทำไม ในเมื่อคนอื่นๆ เขาก็ ไม่เห็นสนใจ เวรของเขา เขาก็ทิ้งคนไข้ พอรุ่งเช้า
เรามาถึง ปรากฎว่าเราก็วิ่งตีนปัดเลย แล้วเรื่องอะไรเราถึงต้องไปแบกไปหามเอาไว้คนเดียวพอเราไม่สนใจ รุ่งขึ้นเห็นคนไข้คนนี้ตายไปในใจของเราก็เกิดคิดขึ้นมา เอ เมื่อวานนี้เราลงมาดูเขาอีกหนหนึ่งเขาอาจจะไม่ตายก็ได้ ความคิดเช่นนี้ที่แยงอยู่ในใจ ทำให้เราไม่สามารถมีความสุขได้ ในทีสุดก็ถามตัวเองว่า อะไรคือสิ่งที่เป็นหน้าที่ ความรับผิดชอบในความเป็นหมอของเรา เราต้องการให้คนไข้ทุกคน ถึงไม่หาย ก็สบายขึ้น ทุเลาขึ้นหรือถ้าเขาจะถึงตาย ก็ให้ตายอย่างไม่เจ็บปวด หรือ เจ็บปวดน้อยที่สุด เท่าทีความรู้ความสามารถของ เราจะไปช่วยเขา ใช่หรือไม่เมื่อจุดประสงค์ ของเราเป็นอย่างนี้เราจะ กี่ยงงอนทำไมว่า นี่เวรเรา นี่ไม่ใช่เวรเรา เพราะว่า เราบอกแล้วไงล่ะวัตถุประสงค์ของเราคือ ต้อง การให้คนไข้ได้รับความสะดวกสบายที่สุด ก็ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว สิ่งใดที่จะทำให้ เมื่อเกิดอะไรขึ้น เราจะไม่ย้อนนึกเสียใจ ไม่ย้อนนึกโทษตัวเอง เราก็ทำ ของเราไปก็แล้วกันเหมือนอย่างกับบางที่ไม่ใช่เวรของดิฉันหรอกแล้วตัวแพทย์เวรไม่ทราบหายไปไหน พอคนงานตามแพทย์เวรไม่เจอ กิจะมาเคาะประตูห้องดิฉัน แล้วรายงานว่า คุณหมอครับ คนไข้หนักอย่างนั้น อย่างนั้น อย่างนั้น เราบอกวันนี้ไม่ใช่เวร เขาก็ว่าคุณหมอไม่เห็นแก่เด็กตาดำๆ หรือ ถ้าคนไข้ตายไป คุณหมอจะทำใจให้สบายๆ ได้หรือพอถึงตรงจุดนี้เราก็พัง แล้วก็ต้องลงไปทุกที แต่พอลงไปแล้ว ก็นึกโกรธตัวเองว่า เรื่องอะไรเราถึงเป็นเหยือ คืออดคิดไม่ได้ว่าอยุติธรรม ถ้าชื่อติดว่าเป็นเวรของคนนั้นๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องไปทํา แต่ก็ล้างใจของตัวไม่ได้ว่า ถารูเรองแลว จะวาง ไม่แบกไม่หามได้
ใจของคนเรา ดั่งที่เรียนให้ทราบ หยาบ ละเอียดผิดกัน รู้สึกสุขทุกข์ผิดกัน ถ้าไปยึดกับ ความยุติธรรมทางโลก เราก็ทุกข์ไม่มีที่สิ้นสุด แต่ถ้า เราเห็นตามเป็นจริงได้ว่า ตัวเราเองจะต้องอยู่กับตัวเราตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง อะไรก็ตามที่เราคิด เรารู้สึกเป็นสิ่งที่เราหลีกหนีไม่ได้ เราหลีกหนีจากใจของเรา ไม่ได้ เราอาจจะหลอกคนอื่นหมืนแสนได้ แต่หลอกตัวของเราไม่ได้ เพราะฉะนั้น สิ่งใดก็ตาม ถ้าเราทำลงไปแล้ว เราจะต้องมาย้อนนึกเสียใจ อย่าทำเมื่อ ทำลงไปแล้ว ก็อย่าไปเอาความยุติธรรมทางโลกมา คิดก่อกวนใจของตัว
เหมือนนักวิจัยท่านหนึ่งมีเพื่อนร่วมงานมาขอดูข้อมูลผลงานวิจัยของท่าน แล้วก็ลอกข้อมูลเหล่านั้นเอาไปตีพิมพ์เป็นผลงานวิจัยของตัวเองพอท่านรู้เข้าก็โกรธมาก เรืองอะไรถึงได้หน้าด้านมาโกงผลงานกันอย่างนี่ คนเราถ้าหน้าด้านขนาดนั้นพูดชี้แจงกันอย่างไรๆ ก็ไม่มีวันรู้สึกรู้สมหรอก แต่เราเองคิดทีไรก็แค้นทุกที แล้วไปคิดทําไมให้ใจ เราถลอกปอกเปิกหมดดิฉันเรียนท่านว่า ก็ทำไมล่ะ เมื่อท่านเองทำงานวิจัยก็เพื่อผลประโยชน์ของโลก ของคนไทยด้วย กันเมื่อข้อมูลของท่านได้รับการพิมพ์เผยแพร่ออก ไปเป็นวิทยาทานแล้ว มันจะพิมพ์ในชื่อของใคร เราจะไปใส่ใจหวงแหนมันทำไมถ้าเราสามารถมองข้ามไปถึงตรงนี้ได้ เราก็ สบายใจ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้หมายความว่า เรา จะไม่รอบคอบและเรียนจากบทเรียนทีได้ผิดพลาด
ไปแล้วเราจะได้รู้ว่า คนแต่ละคนไม่ได้มีความสัตย์ ซือหรือนับถือตัวเองเหมือนกันหมดทุกคนการจะ เอาอะไรให้ใครก็คิดดูให้ดี เมื่อตกลงปลงใจให้เขาไป แล้วก็ให้ทําใจว่า ถ้ามันกลายไปเป็นสาธารณประโยชน์ เราต้องตัดใจให้ขาดไปเลย อย่าไปคิดว่าเราอนุญาต ให้เขาดูเฉยๆ เท่านั้น อันที่จริงเขาก็ไม่ได้ขโมยไป จากของเรา เราส่งไปให้เขาดูเองในโลกนี่มีอะไรหลายๆ ๆ อย่างที่ก่อกวนใจเรา บางทีเราคิดว่าอย่างนี่ดี แต่เบื้องบนว่าอย่างนี้ไม่ดีเพราะมันไปขัดกับความก้าวหน้าของท่านเข้า ซึ่งเราก็ไม่รู้ ไม่รู้ความนัยอันนั้นของท่าน เราก็ยังซื่อบรสุทธ์ อธิบายอยู่นั้นว่ามันดีอย่างนี้ ดีอย่างนั้นดีอย่างโน้น พูดไปจนเหนื่อยอ่อน ก็ไม่ได้ผลอะไร ซ้ำร้ายเราเองจะเดือดร้อน หรือว่าบางทีเราหวังดีกับลูกศิษย์มาก แต่ลูกศิษย์กลับรู้สึกว่าเราพูดมาก น่ารําคาญ พูดอะไรกันซ้ำร้ายเราเองจะเดือดร้อนหรือว่าบางทีเราหวังดีกับลูกศิษย์มาก ก็ไปจ้ำจี้จ้ำไช แต่ลูกศิษย์กลับหาว่าเราพูดมมาก น่ารำคาญพูดอะไรซ้ำแล้วซ้ำอีกเราไม่รู้ในใจของเขา เพราะฉะนั้นก็ยากที่คนทุกคนจะทําอะไรให้เป็นที่ถูกใจกันได้หมดทุกอย่างถ้าแต่ละคนเข้าใจถึงเหตุผล ข้อละเอียดปลีกย่อยเหล่า
นี้ แล้วพยายามปรับทีใจของเราว่า สิ่งที่รอบตัวเรา
เป็นของไม่แน่นอน เป็นของที่จะบังคับให้เป็นอย่างใจ เราไม่ได้อะไรเกิดขึ้น ถ้าเราไม่พอใจ ก็อย่าไปหงุด หงิดติดข้องอยู่ตรงนัน อะไรทีไม่พอใจ ให้เรา พยายามหมุนหาแง่ดีของมัน มาเป็นเครืองบํารุงใจ ให้เราสามารถอยู่กับสิงนั้นได้ โดยไม่คับข้องใจหรือถ้าไม่สามารถหาข้อดีขึ้นมาปลอบใจได้ เราก็ตั้ง สติให้ดีเสียก่อนว่า ใจของเรามีเมตตาพอทีจะไม่ไป พูดกับเขาด้วยอารมณ์ ด้วยความเห็นแก่ตัวของเรา คนบางคนไม่รู้ตัวหรอกว่า เวลาตำหนิคนอื่น เราไม่ ได้ตําหนิเขาเพราะว่าเรารักเขาหรอก แต่เราตําหนิเขา เพราะเราแค้นใจว่าเขาไม่เป็นไปอย่างที่เราอยาก ให้เขาเป็นเหมือนอย่างกับคุณแม่ท่านหนึ่ง หงุดหงิด ว่า ลูกชายวัยรุ่นของท่านไปติดพันผู้หญิงที่ท่านไม่ชอบ ท่านก็เลยไปเหมาเอาว่า เด็กผู้หญิงคนนั้นหวังวในทรัพย์สมบัติของลูกชายท่าน ท่านก็ไปบอกลูกว่า ท่านไม่เห็นด้วย ผู้หญิงคนนี้ไม่ดี แต่ท่านก็ไม่มี เหตุผลที่จะอธิบายว่าไม่ดีอย่างไร ลูกชายก็ค่อนข้างจะเสรีประชาธิปไตย ก็ถามว่าแม่ไม่เห็นด้วย ดพราะอะไร
แม่ก็ยืนยันว่า มองแล้วรู้ว่าไม่ดี ลูกชายก บอกว่า แม่มีเหตุผลหน่อยซี แม่ก็หงุดหงิดว่าลูกยวน เลยประกาศว่า เธอเลือกเอา ถ้าเธอเลือกผู้หญิงคน นัน ทรัพย์สมบัติทุกซินของฉันนี ฉันจะเอาไปยกให้ การกุศลให้หมด คือเธอมีลูกอยู่คนเดียว อย่าหวังนะ ฉันไม่ให้เธอเลยที่พูดนี้ไม่ใช่เพราะรักลูก ถ้ามองลงไปจริงๆ แล้ว เพราะท่านยึดว่า นี่ลูกชายของฉัน ฉันพูดคำไหนต้องเป็นคำนั้น โดยไม่รู้ตัว ความที่หวงแหนลูกชาย พอลูกทําท่าจะไปชอบคนอื่น เปรียบเทียบแล้ว อํานาจของเราจะลดน้อยลงไป เพราะฉะนันก็ต้อง พิสูจน์ ถ้าลูกชายบอกว่า ตกลง แม่ไม่ชอบคนไหน ลูกก็จะไม่ชอบด้วย ท่านก็จะมีความสบายใจ พอใจถ้าเรามีสติพอ ที่จะมองใจของเราลึกลงไป อย่างนั้นได้ เราจะแก้ที่ตัวของเราได้ เราจะแก้ที่ตัว ของเรา แทนที่จะไปคิดแก้ข้างนอกทีนี้เรืองจริงๆ มันไม่อย่างนั้น แทนทีท่านจะ เห็นที่ผิดของท่าน เมื่อท่านยิ่งบีบลูกชายอย่างนั้นแทนที่ลูกชายจะหยุด แล้วทำตามที่ท่านต้องการ ลูกก็นึก ถึงแม่ไม่ให้ทรัพย์สมบัติ ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยเราก็ยังมีมือมีเท้า เราคงทำมาหาเลี่ยงตัวได้ตกลงก็เท่ากับเราผลัก ผลักให้เขาเกิดความ ฮึด ที่จะลองเป็นอิสระแก่ตัวเอง ถ้าลูกชายเกิด ตัดสินใจไปอย่างนั้นจริงๆ ท่านก็จะไม่เห็นว่าตัวท่าน เองนันแหละเป็นแรงทีผลักเขาออกไป แต่ท่านจะน้อยเนื้อต่ำใจ แล้วไปบอกใครๆ ว่า ดูซิ เสียแรงฟูมฟักรักถนอม อุ้มท้องมา แล้วก็เลียงดูอย่างดี พอโตขึ้นลูกก็อกตัญญู ไปเห็นคนอีนดีกว่าเราตลอดเวลา เราทวงบุญทวงคุณ แล้วไม่รู้ตัวหรอกว่า เวลาที่เราทำอะไรให้ใครแล้ว ใจของเราเป็นอย่างนีทั้งนั้น เราคอยทวงบุญทวงคุณโดยไม่รู้ ตัว พอเขาไม่เป็นไปอย่างใจ เราก็ไปพูด พูด ตัดพ้อ ต่อขานวานว่างที่เราไม่มีเจตนาจะไปพูดให้เขา ฟังหรอก แต่ในใจที่มันน้อยใจ ไม่ได้อย่างใจ ก็ต้อง ระบายออกมา ต้องพูดออกมาอีกฝ่ายก็รำคาญ หรือว่าอับอาย เพราะเราไป เอาความที่เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างเรากับเขาออก มาพูดต่อสาธารณชน ต่อไปเขาก็กลัว พอเราจะไป
ทำอะไรกับเขา เขาก็ระวังตัว ก็ไม่มายุ่งกับเรา ไม่มาใกล้ชิดกับเรา เราก็เห็นไปว่า เดียวนี่เขาเห็นคน อีนดีกว่าเราแล้วใจของคนเรานีซับซ้อน และโดยเฉพาะตัวของเราเองก็มองไม่ทันมัน จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน เมื่อจับไม่ได้ไล่ไม่ทันก็ไม่รู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว ตัวเองปรารถนาอะไรกันแน่ ตัวเองต้องการจะเป็นอะไร กันแน่
ดิฉันมีลูกศิษย์อยู่คนหนึง เรียนอักษรศาสตร์ ซึ่งจบออกไปแล้วก็ควรจะไปเป็นครู แต่พอจบแล้ว มาบอกดิฉันว่า ไม่อยากเป็นครู อยากไปทำงานเป็น ช่างออกแบบ หรือไปเป็นพนักงานต้อนรับ หรือไปทำงานธนาคาร คืออยากในสิ่งที่ไม่ใช่วิชาชีพที่ตัว เรียนมาโดยตรงทีนี้ไปสมัครงานที่ไหนๆๆ ก็ไม่ได้ เพราะไม่ ใช่สายวิชาทีเรียน ก็เกิดความเครียด หาว่าเขาเล่น พรรคเล่นพวก มิใยจะอธิบายให้ฟังว่า ก็เธอไม่ได้เลือกในอันทีเป็นวุฒิโดยตรง แล้วจริงๆ แล้ว ตัวแกเองนี่นะถ้าไปเป็นครูสอนเด็กก็จะดีมาก เพราะแกเข้ากับเด็กได้ดี มีความคิดฝันเยอะ เด็กรัก เด็กชอบมาก แต่เจ้ากรรม ไม่รู้พรสวรรค์ของตัวเอง ไม่รู้ อุปนิสัยของตัวเอง กลับไปอยากในสิ่งทีตัวเองไม่มี ความชำนาญ แล้วก็พยายามดึงดันไปทำอย่างนั้นทําให้แลดูเหมือนพอตั้งต้นชีวิต ก็เจอแต่อุปสรรคไป รอบด้านเมื่อเป็นอย่างนี้ คิดด ชีวิตต่อไปในกาลข้างหน้าจะได้อะไร มันย่อมได้สิ่งที่ยาก ไม่ได้อย่างใจ คับข้อง แต่เราไม่เห็นว่า เรากรุยทางให้ตัวเองตกระกำลำบาก เรากลับไปโทษว่าโลกนีไม่ยุติธรรมหน้าที่ความรับผิดชอบทีจะเกิดขึ้นกับชีวิต ก็เลยกลายเป็นเหมือนกับยาขม ที่ถูกบังคับให้ต้องกลืนหรือกรอกกันทุกวันๆแลัวชีวิตอย่างนิจะเป็นความสุขหรือความทุกข์ล่ะ เครียด อะไรหล่นลงมาอีกนิดเดียว ฟางเส้นสุดท้าย ขาดผึงเลยก็ต้องไปหาหมอโรคจิต โรค ประสาท หรือไม่อย่างนัน ความดันสูง กระเพาะทะลุเพราะว่าโรคเหล่านี่มาจากจิตใจที่เครียดการตัดสินใจไม่ดี ปวดหัว ความดันต่ำ คือทุกโรคทำให้เราคิดว่าชีวิตนี้น่าเบื่อ ไม่มีความหมาย มองหา ที่ที่เราจะไปไม่พบ
ถ้าเราจะต้องมีชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกเหล่านี มันจะมีความสุขได้อย่างไร แล้วสังคมที่อยู่รอบตัวเราจะได้คุณภาพที่ดีขึ้นไปได้อย่างไร เพราะใจที่ เป็นพลัง ให้เราทุ่มแรงกายแรงสติปัญญาออกไป ไม่มีเสียแล้ว
สังคมทุกวันนี้น่ากลัว เมื่อสมัยดิฉันยังเป็น เด็ก นึกไม่ออกว่าการนอนไม่หลับเป็นอย่างไร แต่ เดียวนี่ นักเรียนชั้นมัธยมมาหาหมอ เพราะนอนไม่ หลับ มีความเครียด มีโรคประสาท ต้องใช้ยากล่อมประสาท
บางคนสอบไม่ได้ที่หนึ่ง สติขาดผีง เป็นโรค จิตไปเลย เพราะอะไร เพราะทำไม่ได้ดีอย่างที่หวัง เอาไว้ เพราะปล่อยใจไปยึด ไปยึดกับเงาข้างนอก มากเกินไป จนกระทังมองไม่เห็นว่า ใจจริงๆ ของเรา นีน่ะ คือสิงทีเราจะต้องเพ่งมอง แล้วก็แก้ไขเหตุการณ์ที่เกิดขินเปีนแต่เพียงแรงที่มา กระทบ ให้เราเห็นว่า ใจเรากระเพื่อมไปอย่างไร ใจเราทุกข์ ใจเราสุข ใจเราวูบวาบไปอย่างไร แล้วเรา ก็มีหน้าที่ปรับความวูบวาบอันนั้นให้กลับเป็นปกติมีเหตุมผล เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นตามเป็นจริงแต่เราไม่มองกันอย่างนั้น เราไปคิดว่า ถ้าเรา สอบไม่ได้อย่างทีหวังไว้ เราเสียหน้า เราแพ้เพื่อนฝูง เรามองหน้าใครไม่ได้ เราไปยึดกับเปลือก ไปยึดกับบทละครที่เราเล่น จนลืมไปว่า พอละครปิดฉากแล้วเราก็เป็นตัวเราอย่างนี่แหละ เราไม่ได้เป็นไปตามบท ละครที่เราเล่นนั้นเลยยิ่งมาทำหน้าที่การงานแล้ว เราก็ได้เป็นตำแหน่งนั้น บางทีก็เปลียนมาเป็นตำแหน่งนี้ ไม่ได้มีความหมายอะไรเลยเวลาเราได้ เราพอใจ เราก็ต้องการให้สิ่งที่เรา ได้นั้นอยู่ตลอดกาล พอเวลาเราลง เราไม่ต้องการจะลงราไม่ทันนึกว่าคนอื่นที่คอยคิวอยู่ เขาก็อยาก ได้เหมือนกันทําไมเราถึงไม่มีน้ำใจเป็นนักกีฬาทำอย่างไร เราถึงจะสร้างภูมิคุ้มกันให้เยาวชนของเรา หรือคน หนุ่มคนสาวของเรา เข้าใจว่า ชีวิตแท้จริงแล้วก็คือเกมกีฬานั่นเอง อะไรที่เกิดขึ้น มันเกิดขึ้นได้ มันก็ เสียไปได้ มันเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา
ทำอย่างไรเราจึงจะรู้จักจัดใจของเราให้เห็น ว่าอะไรก็ตามที่ตอนนี่เป็นงานของเรา เป็นหน้าที่
ความรับผิดชอบของเรา เราทำเต็มทีขณะเดี๋ยวนั้น ครั้นเวลาผ่านพ้นไปแล้ว คนอื่นมาทำเราก็ยินดี ให้เขาทำมีอะไรที่เราจะแนะสอน เราจะช่วยเขาได้ เราก็แนะสอน เราก็ช่วยเขา แล้วเราก็ถอยลงมาเป็นผู้ดูที่ดี แทนที่จะไปคิดว่าเราแต่ผู้เดียวมีความสามารถ เราแต่ผู้เดียวที่จะต้องควบคุม กำกับ การแสดงละครชีวิตเรื่องนี้ถ้าเรามองเห็นและยอมรับจุดนี้ได้ เราก็จะทําให้คนที่อยู่รอบข้างมีความสบายใจ อยู่กันอย่างไม่ คับไม่เครียด มีความสงบ ร่มเย็นเป็นสุขถ้วนทัวหน้าเวลาสำหรับวันนี้ก็หมดลงแล้ว ดิฉันขอฝาก เอาไว้เป็นข้อคิด ซึ่งคงเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็ น้อยผู้มีปัญญา หรือบัณฑิต ย่อมรู้กาลควร กาลไม่ควร
พิมพ์โดย ปภัสสร มีพงษ์
แหล่งที่มา http://web.krisdika.go.th/buddha/17_real_bandit.pdf
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น