ธัมมะเป็นน้ำดับไฟ
ชื่อผู้เขียน พญ อมรา มลิลา
วันที่ วันที่ 5 กันยายน 2539
ณ ห้องบรรยาย 1 โรงพยาบาลรามาธิบดี ชมรมพุทธธรรมรามาธิบดี
หมวด
อันดับที่
วันนี้เราจะพูดกันถึงเรื่อง ธัมมะเป็นน้ำดับหลายท่านคงสงสัยว่า ธัมมะจะเป็นน้ำไป ดับไฟได้อย่างไรถ้ามาพิจารณาดูใจของเรา ธรรมชาติของใจนั้นเป็นน้ำอยู่แล้ว หมายถึงใจตัวแท้ที่เป็นพุทธะ รู้ ตื่น เบิกบาน เวลาพูดคุยกันถึงคนบางคนที่มี น้ำใจไมตรี เราจะเปรียบเทียบว่า เมื่อสัมผัสกับ เขาแล้วรู้สึกใจชุมฉา เหมือนมีละอองน้ําฝนโปรย ปรายลงมา คือธรรมชาติของความเยือกเย็น เป็นเมตตา มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผือแผ่ต่อกันนัน เป็นน้ำเพราะฉะนั้น ถ้าเมื่อไรก็ตาม ใจของเราอยู่ ในสภาพพุทธะ เป็นตัวใจแท้ ที่ไม่ปล่อยให้สิ่ง แปลกปลอมคือกิเลสชักจูงไป เราก็เป็นน้ําชุ่มฉ่ำ กันอยู่แล้ว แต่เมื่อไรที่ไฟของกิเลส ไฟของอวิชชา คือ ความรู้ไม่รอบ รู้ไม่จริง แผดเผาใจให้รุ่มร้อน เห็นผิดเป็นชอบ คิดบิดเบือน ฉ้อโกงธรรมชาติ กล่าวตู้ว่า ขันธ์ 5 ร่างกายอันนี้เป็นขันธ์ของฉัน .. อุปาทานขันธ์ของฉัน เจ็บไม่ได้ แก่ไม่ได้ ใครมา ว่ากล่าวดูถูกดูหมิ่นไม่ได้ ต้องถอนคําพูด ไม่เช่น นั้นเป็นได้มีเรื่องกันอุปาทานและอวิชชาก็เป็นเห ตุให้น้ำในใจเริ่ม แห้งเริ่มระเหย กลายเป็นไฟกิเลสไป เพราะเวลา ที่เราหงุดหงิด เราโกรธ เราไม่ได้อย่างใจ ในใจจะ รุ่มร้อนเหมือนกับเราเอาไฟทั้งกองไปเผาทำให้ ทุกข์ เดือดร้อน ทุรนทุรายไปหมดถ้าดิฉันจะเปรียบเทียบอีกนัยหนึ่งว่า ใจ เป็นเหมือนที่ราบเสมอกันไปอย่างนี้ อะไรตกลงมา อะไรมาสัมผัส สายน้ําไหลผ่านมาก็สามารถไหล ไปได้สม่ำเสมอ ทั่วถึงกันหมด เราก็เปรียบคนที่ร่มเย็นเป็นเมตตาว่า ไม่เลือกที่รักมักทีชัง ไม่มีอคติ แต่ความเป็นจริงมันไม่เป็นอย่างนัน เห็นได้จากตัวของดิฉันเองที่วัดท่านอาจารย์สิงห์ทอง มีโยมอุปัฏฐากบ้านที่มักส่งลูกสาวอายุไล่เลี่ยกันเข้ามาช่วย หยิบจับทำงานที่วัดอยู่เสมอๆ ดิฉันก็คุ้นเคยกับ เด็ก 2 คนนี้เท่าๆกันเมื่อท่านอาจารย์เครื่องบินตก มรณภาพ บ่ายวันรุ่งขึ้น บ้านแรกส่งลูกสาวให้มาค้างอยู่ด้วย ที่วัด เพื่อดิฉันจะได้ใช้สอยให้ช่วยหยิบจับทําอะไร ก็ได้ เป็นการได้ช่วยผ่อนแรง ลดความเหนื่อย ความยุ่งลง หรือจะให้ช่วยดูแลคุณโยมแม่ของ ท่านอาจารย์ซึ่งบวชเป็นแม่ชีอยู่อายุประมาณ 80 ปีเศษแล้ว ก็ได้ใจของดิฉันเกิดความรู้สึกอึดอัดรำคาญขึ้น มาทันทีแต่ตอนนั้นไม่รู้ว่าเป็นความอคติ มัน คับข้องขึ้นมาในใจว่า เรื่องอะไรจะต้องส่งลูกมา สอดแนม อยู่กลางวันทั้งวันยังไม่พอ ให้มานอน เฝ้าต่ออีกนะนี่ บางทีเราก็อยากมีเวลาเป็นส่วนตัวบ้างเพราะวันทั้งวัน ตั้งแต่เช้ามืดจนดึกดื่นผู้คนหลั่งไหลกันมาเยี่ยมคุณโยมแม่ไม่ขาดสาย ถามไถ่ คำถามโลกแตกชวนปวดสมอง ... ท่านอาจารย์ ตายได้ยังไง ... ทําไมคุณโยมแม่ไม่ห้ามท่านไว้ ... ทั้ง วันเราก็แย่อยู่แล้ว เพราะต้องพักอยู่กุฎีเดียวกับ คุณโยมแม่ ด้วยว่าทุกคนในวัดลงประชามติว่า ไม่ได้ ถ้าเราเข้าไปอยู่กุฎีในป่า หากคุณโยมแม่เป็น อะไร จะตามไม่ทัน เราก็ตรีทูตเกินพอแล้ว นี่ยัง จะมีใครมานอนเฝ้าอีก..แต่พอสติตามเห็นในใจตัวเองว่าเป็นอย่าง นั้น ก็รู้ว่าไม่ดีแล้ว ตัวตนของเรากำลังอาละวาด แต่ยังมองไม่เห็นว่าเราอคติกับเขา ก็บอกให้เขา ไปเรียนคุณแม่ว่า ขอบคุณ ตอนนี้ยังไม่หนักหนา สาหัส หนูมาอยู่ช่วยกลางวันอย่างนี้ก็ดีพอแล้ว ขอบคุณ แล้วกลางคืนกลับไปนอนที่บ้านก็แล้วกันครั้นตกเย็น อีกบ้านส่งลูกสาวมาบอกแบบ เดียวกันไม่มีผิดเพี้ยน แต่ใจเราก็แปลก เมื่อตอน บ่ายมีความรําคาญว่า เรื่องอะไรจะต้องมานอนเฝ้า
เราด้วย ... คอยสอดแนม. แต่พอรายนี้มาบอก ใจกลับตื่นตัน เหมือนคนกำลังตกระกำลำบาก พลัดบ้านพลัดเมือง แล้วน้องมาตามหาจนพบ มาถามว่ามีอะไรจะให้ช่วยบ้าง ใจก็เกิดความปีติ อบอุ่น ตื้นตัน ในความมีน้ำใจ เกือบจะออกปากชวน... เอาสิ.. มาค้างเลย กถูกสตหามลอ ...อะ ก็เมื่อบ่ายเราปฏิเสธไปรายหนึ่งแล้วทำไมใจของ เราถึงกลับกลอกอย่างนี้จึงตอบปฏิเสธออกไปให้ เหมือนกันหัง 2 บ้านเมื่อได้เห็นใจเราที่ชอบกลๆ ทําไมถึงอคติ เลือกที่รักมักที่ชังอย่างนี้ ก็เอามาวิเคราะห์ดู อ้อ ... โยมบ้านแรก เราได้ฟังชาวบ้านตำหนิเอาไว้มาก เป็นต้นว่า โยมบ้านนี้น่ะ ปากหวานก้นเปรี้ยว ทำ ตัวเหมือนกับว่าเคารพท่านอาจารย์ มีอะไรก็เข้ามา ดูแลเอื้อเฟื้อ แต่จริงๆ เขาหวังให้ผู้คนเห็นเขาเป็น คนสนิทของท่าน จะได้เป็นผลประโยชน์ต่อเขาใน ภายภาคหน้าเพราะเราได้ยินได้ฟังเสียงกล่าวขานถึงเรื่องของเขาแต่ในทางลบ ทีนี้พอเขาทำอะไร ใจเราก็มี
อคติ เห็นเป็นจริงไปหมดว่า ยายคนนี้ปากหวาน ก้นเปรี้ยวจริงๆ ดูสิ เขามานี่ อันที่จริง เขามาเอา ของในวัดไปต่างหาก อะไรอย่างนี้ ใจของเราก็ไม่ เอื้อเฟื้อเขาโดยที่เราไม่รู้ตัวแต่อีกบ้านหนึ่ง เราสนิทใจด้วย แล้วเสียง ชาวบ้านก็ว่า บ้านนี้ดี จิตใจอารีอารอบ พ่อของ เขาก็เคยบวชเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ฝั่น พี่ชายก็บวช น้องๆ ก็มาฝึกปฏิบัติและมาดูแลวัด ไม่ได้ดูแลแต่ เฉพาะวัดท่านอาจารย์ วัดไหนๆ ที่เขาเห็นขาดแคลน เขาก็ไปดูแลช่วยเหลือ ใจเราก็เอื้อเฟื้อ เป็นความ อคติโดยไม่รู้ตัวใจที่ยังมีอวิชชา มีอุปาทานอยู่ มันอดเขว ไม่ได้ ปากเราก็บอกว่า เออ... ทุกอย่างเป็นเพื่อน ร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เสมอกันหมด แต่ ไม่ใช่ ... ยังมีว่า ไอ้นี่เรารักนะ เราไว้วางใจได้ ไอ้ นั่นน่าหมั่นไส้ จะมาสอดแนมอะไรกันนักหนา เห็นหรือไม่ ใจก็เริ่มรัก ชัง กระเพื่อมไปโดยไม่รู้ตัว พออะไรมากระทบ อุปาทานความยึดมั่นสําคัญผิด ก็ทําให้เราเห็นไปตามใจของเราที่ถูกระบายสีเอาไว้
ไฟกิเลสเริ่มลุกแล้ว ถ้าเราไม่ระวังรักษาสติเอาไว้ มีเหตุการณ์ อะไรมากระทบ ก็เหมือนกับเอาเบนซินราดลงไป หรือเอาลมมากระพื่อพัด คราวนี้ไม่รู้จะลุกช่วงโชติ ไปแค่ไหน หรือว่าเปรี้ยงปร้าง หนักหนาสาหัสสัก ปานใดถ้าเราระลึกอย่างนี้เอาไว้ในใจ เริ่มแรก ใจ ตัวแท้ของเรา พุทธะของเรา ก็คือน้ำอยู่แล้ว ต้องไปดับไฟที่ไหนหรอก เพียงแค่รักษาน้ําของ เราไว้ อย่าให้แห้งให้เห็อด อย่าให้ลมพัดระเหยไป อย่าให้กิเลสมาปนเปื้อนทำให้เสียคุณภาพไป มัน ก็สบายแล้วแต่เรารักษาไม่เป็น สติของเรารั่วกระฉอก หกอยู่เรื่อย น้ำของเราเลยกลายเป็นกองไฟ วับๆ แวมๆ ยังไม่ใช่ไฟลุกโชน เป็นแค่ไฟไหม้แกลบ คือมีทั้งโลภทั้งโกรธทั้งหลงกรุ่นๆ อยู่ในใจ ถ้ายัง ไม่มีอะไรมากระทบ เราก็รู้สึกเป็นธรรมดา ใครๆ ก็ต้องกรุ่นอย่างนี้ทั้งนั้น จะให้เบา ใส เห็นอะไรๆ เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมด ก็เป็นไปไม่ได้ พอมีรูปมากระทบตา มากระทบหู ใจก็กระฉอกออกไปแล้วถ้าสติมาเป็นห้ามล้อทันใจก็ได้คิด คืน กลับมาสู่ตัว ... ช่างเถอะ... เราอย่าไปฉลาดรอบรู้ ในจิตของเขาเลยมาฉลากรอบรู้ในจิตเราเองดีกว่า เราก็ได้ดี ก็ตั้งเนื่อตั้งตัวได้เป็นไปไม่ได้ที่ใครจะมีชีวิตสงบเฉยอยู่ใน ครอบแก้ว ประเดียวก็มีเรื่องนั้น ผัสสะโน้น พัดเข้ามา ถึงไม่มีสิงข้างนอกมากระทบ ใจของเราก็ ก่อกวนตัวเอง เดียวก็ไปปรุงคิดเรื่องนั้นขึ้นมา ไประลึกถึงเรืองนีขึ้นมา กล่าวคือ มีทั้งเรื่องข้างนอก เรื่องข้างในของเราเอง ก่อกวนเราผัสสะที่มากระทบนี เปรียบเหมือนแสงที่ ตกลงมา ถ้าแสงตกลงมาผ่านอยู่ในอากาศ มันก็ ไม่หักเห อย่างที่ดิฉันเปรียบเทียบไว้ว่าไม่มีอคติ แต่ใจของเรา แสงที่ตกกระทบลงมา ผ่านอุปาทานในใจกับอวิชชาเข้า ก็หักเห ผิดจากปกติไปแล้ว ฉะนั้น เมื่อผัสสะมากระทบใจของเรา ผลจึงเป็น เหมือนเรืองของดิฉันกับ 2 ครอบครัวอุปัฏฐากด้วยความหวังดีต่อเรา ทั้งคู่มาปวารณาตัว ว่าจะส่งลูกสาวให้มาอยู่เป็นเพื่อน จะได้ช่วยดูคุณ โยมแม่ ช่วยหยิบจับทําโน่นทeนี่ แต่อุปาทานในใจ ของเราหักเหความเป็นจริงให้บิดเบนไปโดยอัตโนมัติ ปรากฏออกมาเป็นอคติไปโดยไม่ทันรู้ตัวถ้าสติของเราคมไม่ทันเรา รายหนึ่งปฏิเสธ ไปหน้าใสเลยว่า ขอบคุณค่ะ ยังไม่ยุ่ง ยังไม่ต้อง มา แต่อีกรายหนึ่งอ้าแขนรับ มาเลยน้องรัก มาอยู่ ช่วยกัน เขาก็ต้องขุ่นเคืองว่ามันเรื่องอะไร เรามา ถามก่อน ทำไมทำอย่างนี้กับเราใจที่ไม่ได้ฝึกนั้น เวลาที่เรากระทําเหตุ เรา มองไม่เห็น แต่พอเขามีปฏิกิริยาตอบกลับมา ใช่แล้ว ที่ญาติโยมคนอื่นเขาเตือนเอาไว้... เห็นแล้ว คนๆ นี้คบไม่ได้จริงๆ แต่เราไม่เห็นท่อนที่เราไป ทุบเขาก่อนจนกระทั่งเขาเกิดความเจ็บช้าน้ำใจเมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ ใจของเราแต่ละ คนจึงเป็นสิ่งที่น่ากลัว เพราะความเป็นปุถุชน ที่ พุทธะมัวหลับใหล ไม่มีโอกาสตื่นมาเป็นแกนนํา ให้ผัสสะอะไรที่มากระทบ เราก็เห็นได้ตามความเป็นจริง แล้วตอบสนองออกไปตามความเที่ยงธรรม เรากลับมองด้วยใจที่ยึดมั่นสำคัญผิด ดังที่ดิฉัน ด้เรียนให้ทราบแล้วว่า พอแสงตกลงมาก็หักเห บิดเบี้ยวเสีย สุดแท้แต่อุปาทานในใจจะพาให้เป็น ไป ผลที่ตอบสนองจึงเป็นความไม่สม่ำเสมอ ก่อเวรก่อภัยให้เราโดยไม่รู้ตัวทำนองเดียวกับสมัยเก่าก่อนที่พระพุทธเจ้า ยังเป็นพระโพธิสัตว์สั่งสมบารมีอยู่ ชาติหนึ่ง ท่าน เกิดมาเป็นพญาช้างเผือก ท่านไม่รู้เลยว่านางช้าง 2 เชือกของท่าน เชือกหนึ่งขี้อิจฉา อีกเชือกหนึ่ง ใจคอปกติวันหนึ่ง ท่านพานางช้างและบริวารไปเที่ยว เล่นในป่า ดอกรังกําลังบานสะพรั่ง ท่านก็เอา ตะพองไปเขย่าต้นรังให้ดอกร่วงโปรยปรายลงมา แล้วก็มีความสุขที่มีดอกรังร่วงโปรยปรายลงมาปู ลาดบนดินเหมือนพรม แต่ท่านไม่รู้ว่ามีเรื่องไม่เป็น เรื่องอะไรเกิดขึ้นมากมายกว่านั้นนางช้างตัวขี้อิจฉายืนอยู่เหนือลม เมื่อเห็น ดอกรังโปรยปรายตามลมไปบนหลังไหล่นางช้าง
อีกเชือกหนึ่งแล้วปลิวลงไปกองเรี่ยรายมรายพื้นรอบเท้านางช้าง มันก็หันมาดูที่ตัวเองบ้าง เมื่อตัวมันอยู่เหนือลม ลมก็พัดเอาดอกรังปลิวไปทางคู่กรณีหมด แต่ที่ที่มันยืนอยู่ ไม่มีดอกรังแม้สัก ดอกเดียว ในใจนางช้างก็เริ่มขุนเคืองว่าพญาช้าง ลำเอียงขณะที่กำลังขุ่นใจอยู่นั้น กิ่งไม้ที่หล่นตาม ลงมาด้วยมีน้ำหนัก ลมพัดไม่ไป ก็ตกลงมาที่มตำตามตัวมัน ดูไปทางโน้น ไม่มีกิ่งไม้ มีแต่ดอกไม้ ส่วนของเรามีแต่กิ่ง ไม่มีดอก แค่นั้นยังไม่พอ ว่า จะไม่โกรธแล้วนะ มดแดงมดดําที่ติดมากับกิ่งยังมากัดอีกด้วยเวลาที่เราไม่รู้เท่าทันความเป็นจริง มันก็น่า น้อยใจเสียใจ เสียแรงเรารักภักดีกับพญาช้าง นี่ มันลำเอียงกันชัดๆ เอาแค่กิ่งไม้มาใส่เราก็เกินจะ ทนแล้ว ยังเอามดแดงมดดํามากัดเราอีก ที่ตัวโน้น เอาดอกไม้ไปให้จนหมดเกลี้ยงเวลาผัสสะไปกระทบอุปาทาน ไปกระทบ อวิชชาเข้า มันก็เป็นรวงรังของทุกข์ เพราะเราเห็นบิดเบี้ยวไปหมด ไฟก็เริ่มลุกขึ้นในใจ ไฟโทสะ ไฟ พยาบาท สารพันชนิด ถ้าเราฉุกคิดเท่าทัน ... ทําไม ล่ะถามกันให้รู้เหตุผลก่อน .. เราก็ไปถามพญา ช้างว่า เรื่องอะไรถึงเอาดอกไม้ไปโปรยให้นางช้าง เชือกนั้น แล้วไม่โปรยให้เราบ้างคนเราต้องฝึกใจให้อยู่กับความจริง ชีวิตแต่ละคนนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะรอบรู้หมดทัวทั้งโลก ทั้งใจของสรรพสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ธรรมชาติของ สิ่งมีชีวิต จริตนิสัยย่อมผิดแผกกันไป ถ้าจะเปรียบเทียบ บางชนิดก็เป็นนก บางชนิดก็เป็นปลาบา ชนิดก็เป็นเต่า เพราะฉะนั้น เป็นไปไม่ได้ที่เราจะ ไปรู้ทุกอย่างหมด ไม่ต้องกระดาก มีความสงสัย อะไรก็ถามกันให้เข้าใจ การมีภาษาพูดจะช่วยให้เราเข้าใจกันได้แต่ก็อีกแหละ ถ้าอุปาทานหนาแน่นอยู่ใน ใจ ถามแล้วต้องตั้งสติไว้ให้ดี พอพญาช้างตอบว่า อ้าว... ไม่รู้นี่ ก็เขย่าลงมาเฉยๆ แค่นั้น แล้วทำไม ดอกไม้ถึงปลิวไปทางโน้น แต่กิ่งไม้ถึงมาทางนี้ ก็ ไม่รู้สิ เราก็อย่าไปคิดเพ่งโทษ... พอจับได้ไล่ทันก็แก้ตัวขุ่นๆ ไปอย่างนั้น ...คราวหน้าจะไม่ถามให้ เสียปากหรอก หรือบางคนเมื่อถามแล้วได้คำตอบ ไม่ตรงกับที่คาดคิดเอาไว้ ... โกหกชัดๆ..เพราะจิตไร้สำนึกนั้นถูกอุปาทานครอบงำเอาไว้หมดแล้วมีคำตอบสำเร็จรูปอย่างที่กิเลสเสี้ยม สอนไว้แล้ว พอคำตอบที่ได้รับไม่เหมือนอย่างที่ กิเลสได้ป้อนเชื้อไฟเอาไว้ เราไม่ตั้งสติสืบหาข้อมูล ไม่เปิดใจให้ว่างจากความยึดมั่นสำคัญผิด ใจเรา ะเป็นเหมือนน้ำชาล้นถ้วยทันที ไฟเริ่มกระพือ ทั้ง น้ำมันเบนซินก็เทราดเติมเข้าไป ใจที่คับข้องอยู่ กรุ่นๆ เป็นไฟไหม้แกลบ คราวนี้ได้เชื้อ ไฟลุกโชติ ช่วงชัชวาล พาปากเราให้วิพากษ์วิจารณ์เขาไปตาม ที่กิเลสเราเสี้ยมเราสอน แล้วถ้าสติยับยั้งตัวเรา ไม่อยู่ ทั้งการกระทำกายกรรม ทั้งคำพูดวจีกรรม ของเรา ปลิวตามกิเลสไปหมด เกิดเป็นอกุศลกรรม เป็นต้นว่า เราไม่ชอบใจใคร แล้วเขามาพูด ผิดหูเรา ใจเราที่ไม่ชอบเขาอยู่แล้ว บังเอิญมีดก็มี ปืนก็มี ยาพิษก็มี เพียงชั่วกะพริบตา เราจัดการ กับเขาเรียบร้อย เป็นศพไปแล้ว โดยยังไม่รู้เลยว่าตัวทําอะไรลงไปเพราะฉะนั้น ไฟราคะ โทสะ โมหะ ที่เรา ไม่รู้เท่าทัน จึงร้อนรุ่ม สามารถเผาเราให้พินาศไป พินาศไปจากอะไรจากคุณงามความดี จากการเลี้ยงตัวของ เราให้เป็นอิสระ อย่างน้อยที่สุด แม้ว่าเราจะเป็น นักโทษของกิเลส แต่เราก็ยังเป็นอิสรชน จะไปไหน มาไหนก็ได้ ในแง่ของกฎหมาย เราไม่ใช่นักโทษ ที่ถูกคุมขังหรือรอเอาไปประหารชีวิต เรามีอิสรภาพ มีโอกาสทําคุณงามความดีให้กับตัวเองถ้าเราไม่รู้เท่าทัน ปล่อยให้ไฟกิเลสเผาเรา อย่างนี้ เราก็ทำร้ายเราเองหนักเข้าไปอีก พระพุทธ เจ้าตรัสไว้ว่า ปกติร่างกายของเราเป็นสิ่งที่พร่อง อยู่เนืองนิตย์ เพราะว่าธรรมชาติของสิ่งทั้งหลาย ทั้งปวงในโลกสมมุติอันนี้ไม่มีสิ่งใดคงที่ มีแต่แปร เปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาเปรียบเหมือนเราหยิบน้ําแข็งก้อนหนึ่งออก มาจากตู้น้ําแข็ง ตอนนั้นก็เป็นก้อนแข็งดี เราเอา วางไว้อย่างดี ไม่ให้มีอะไรไปถูกไปต้องเลย แล้วเอาครอบแก้วครอบเอาไว้ ป้องกันไม่ให้มีอะไรมากระทบกระเทือนได้ ทะนุถนอมเอาไว้อย่างดี เรา ไม่รู้ธรรมชาติของนําแข็งว่า เมื่อออกมาจากชอง แข็งแล้วจะเปลี่ยนสภาพจากของแข็งค่อยๆ ละลายกลายเป็นน้ำไปหมด ก้อนนําแข็งอันตรธานหายไป ชีวิตของเราก็เหมือนก้อนน้ำแข็ง แม้เราทะนุถนอมไม่ใช้สอยมัน ไม่ไปตรากตรำทำงานมันก็แก่ ไม่อยากแก่มันก็แก่ เวลานาทีที่เคลื่อน ผ่านไปๆ ทำให้ร่างกายแก่ แล้วบางทีก็เจ็บด้วยหรือบางทียังไม่ทันแก่ เห็นดีๆ อยู่อย่างนี้ ไปกิน อาหารที่เป็นพิษเข้า ตอนกินก็ว่าสบายดี ครั้นนั่ง ฟังอยู่ดีๆ อย่างนี้ ทำไมถึงได้รู้สึกแน่นไปหมด เสียด ลมตีขึ้นมาเป็นลูกๆ อย่างนี้เป็นต้นธรรมชาติของโลกนี้ไม่คงที่ แปรเปลี่ยน เป็นอนิจจัง จะให้คงทนอยู่ดังเดิมนั้นเป็นไปไม่ได้ ถ้าใครไม่รู้ตามความเป็นจริงอันนี้ ก็ไปยึดว่าเราสัง มันได้ ก็ตัวของเรานี่นา เพราะฉะนั้น ฉันสั่งให้เป็นอย่างนี้ อย่าทุกข์ อย่าเจ็บนะ ก็ต้องไม่ทุกข์ืก็ต้องไม่เจ็บ ครั้นเราพบว่าสังมันแล้วมันไม่เป็นไปตามสั่ง เราก็โกรธ เราก็ทุก์ เราก็เดือดร้อน หลักความจริงที่เราต้องน้อมใจของเราให้ จดจำอาไว้ คือ ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเป็นไตรลักษณ์ เป็นสามัญลักษณะ ที่สรรพสิ่งทั้งปวงในโลกสมมุติอันนี้จะต้องเจอะเจออยู่เป็นปกติ ธรรมดาถ้าเราเอากิเลสมาฟัง ... เออ... จะขยันทำงาน ไปทำไม ทำไปแล้ว อะไรๆ ก็ไตรลักษณ์ ทำไปแล้ว แก้ไขให้ดีแล้ว มันก็ไม่เทียง แล้วจะทำไปให้เหนือย ยากทำไม เพราะฉะนั้นอยู่เฉยๆ ดีกว่า ถ้าเห็น อย่างนี ก็ไม่ใช่เอาธัมมะมาฟัง เอากิเลสมาฟังกันแล้ว เราก็มีแต่เบียดเบียนตัวเอง เบียดเบียนสังคม มีคนไข้มา..ถึงดูมันก็ตายเพราะฉะนั้น เราก็สบายๆ จะต้องรีบร้อนไปทำไม พยาบาลเตือนว่าคนไข้กําลังช็อกแล้ว ... เออ... มันได้ช็อกได้ ประเดียวมันก็หายเองได้ ความคิดเห็นอย่างนี้เป็นความคิดเห็นไม่ชอบ จัดเป็นมิจฉาทิฐิน่ากลัวชมรมพุทธฯ จะตัองปิดกิจการ ผู้บริหารเลิกสนับสนุน เพราะได้ผลผิดวัตถุประสงค์พระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงประสงค์ให้เราเห็นไป ว่า อะไรเป็นไตรลักษณ์แล้ว แต่นี้ต่อไป อะไรจะ เป็น มันก็เป็น อะไรจะดี มันก็ดี ถึงไม่ดู ไม่รักษา คนไข้ ถึงเวลาจะหาย มันก็หายของมันเอง ใจ เย็นๆ ไว้ ถึงเราไปไม่ทัน มันก็หายของมันเอง มัน ไม่ใช่อย่างนั้นเรารู้ว่าธรรมชาติของทุกอย่างย่อมแปรเปลี่ยน เราทำเต็มตามหน้าที่ ดีที่สุด แต่ถ้าผลไม่เป็นอย่าง ที่เราหวังเอาไว้ คนไข้ตายไป เราก็มาปลอบใจเรา ว่า เออ... ไม่ต้องเสียใจไปหรอก มีใครบ้างที่ไม่ ตาย เราเองก็ต้องตาย เพราะฉะนั้น ที่ผลเป็น อย่างนี้ไป แล้วมีคนมาตั้งข้อสงสัยว่าเพราะเรามัว ชักช้า เราให้ยาไม่ครบถ้วน เราไม่เก่ง ... เรามา ทวนสำรวจตัวเอง เราทำหมดครบถ้วน เราทําดีที่ สุดแล้ว แม้หมุนเวลากลับไปได้ เราก็ทำให้ดีกว่า นี้ไม่ได้การรู้จักอนิจจัง รู้จักความไม่แน่นอน การเปลี่ยนแปลง คือตรงนี้ เอามาประคองใจของ เรา ให้ดูย้อนกลับไปแล้ว เราได้ทําดีหมดทุกอย่างแล้ว ใครไม่รู้ใครไม่เห็น เรารู้เราเห็น ธรรมรู้ธรรม เห็น เพราะฉะนั้น กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ เราก็ยังมั่นคง คงฝึกปฏิบัติดัดจิตใจของเราต่อๆ ไป เก็บเกี่ยวประสบการณ์เพื่อเพิ่มพูนเสริมสร้าง สติ สัมปชัญญะ ปัญญา ตามความสามารถของ เราต่อไปเขาปรักปรำ คือเขาชี้ให้เราเห็นว่าตรงนี้เป็น จุดบอดที่เรานึกไปไม่ถึง เราก็ไม่เสียใจ แต่เปิดใจ รับฟัง เพื่อจะได้เรียนรู้ จากความบกพร่องตรงนี้ จากเหตุที่ได้ผิดพลาดไปตรงนี้ เราไม่เสียใจ ไม่ โกรธแค้น ไม่อับอาย ใจดวงนี้ก็เริ่มมีธัมมะมา เป็นน้ำหล่อเลี้ยง ดับไฟของความอาย ความแค้น ความเสียหน้า อารมณ์ทั้งหลาย อัตตาที่พาให้คิด เพ่งโทษไปว่า เขามาแกล้งฉีกหน้าเรา เขามาทําร้าย เรา เมื่อใจมีธัมมะ เราก็ไม่สะดุ้งสะเทือน หมุน เอาสิ่งที่เป็นปัญหาตรงนี้ เป็นความไม่ได้ดังใจตรงมาเป็นหินลับสติปัญญาถ้าเรารู้รอบหมดแล้ว เราก็เป็นพระอรหันต์ ไปแล้วแต่นี่เรายังเป็นปุถุชนคนหนา ขอบคุณที่มีเรื่องนี้เดิดขึ้น ทําให้เราได้เห็นจุดบอดของเราคราวนี้เราจะได้จดจำไว้ แล้วไม่ทำอย่างนี้อีก เอาสิ่งที่เขาวิพากษ์วิจารณ์มาน้อมสอนตน เออ... ถ้ามีเหตุการณ์อย่างนี้อีก เราจะได้ลองนึกทางแก้ อย่างนี้ดู นี่คือการเรียนรู้จากประสบการณ์หากเปรียบใจเราเหมือนห้องนี้ ประทีปบาง ดวงก็ติดแล้ว ประทีปคือปัญญาเห็นชอบ เรารู้ตาม เป็นจริงแล้ว เป็นวิชชาแล้ว แต่อีกหลายดวงยังมีด เพราะยังถูกอวิชชาครอบง่าอยู่ เออ... มีเหตุการณ์ นี้เกิดขึ้นก็ดี อวิชชาตรงนี้จะได้เกิดวิชชามาแทนที่ ประทีปก็ติดสว่างขึ้น ใจของเราที่เคยมืดสลัว พอ มีอะไรมากระทบ ก็เกิดลังเล สงสัย ถูกไฟของ ความวิตกกังวล ไฟของความไม่แนใจ ไฟของทิฐิ เอาตัวตนไปเปรียบกับเขา ... ทำไมเขาทำได้ แล้ว เราทําไม่ได้ล่ะ... พาให้เรากลายเป็นคนขี้อิจฉา เพ่ง โทษผู้อื่น ก็เปลี่ยนเป็นมุ่งเอาวิชชา เพื่อใจจะได้ เห็นหนทางแก้ปัญหา ไม่คิดฟุ้งซ่านเบียดเบียนเมื่อฝึกให้ใจค่อยๆ มองอย่างนี้ แต่ละเวลา นาที เรื่องอะไรที่เกิดขึ้น ล้วนมีคุณมีประโยชน์กับ เรา เพราะเป็นแบบฝึกหัดให้เราได้รู้จักใจของเรา ว่าตรงไหนยังมีไฟลุกอยู่ ตรงไหนยังเป็นความร้อน เป็นความทุกข์ เป็นความเบียดเบียนตัวเราเองโดย ที่เราไม่รู้ตัว จะได้แก้ไขเสีย ทำให้พุทธะใจตัวแท้ ตื่นขึ้นมาเป็นประทีปส่องให้เห็นหนทางเมื่อใจเห็นอย่างนี้แล้ว วันทั้งวันเราจะตาม รู้ไปหมด พออะไรมากระทบ เราไม่เป็นน้ำหรอก เป็นไฟทุกทีเลย มีอะไรมากระทบ สังเกตดูเถอะ ไม่มีหรอกที่เราจะคิดดีๆ กับเขาเป็นต้นว่า เราได้ยินได้ฟังใครพูดจากระทบ เรา ทั้งๆ ที่เขาพูดด้วยความเอ็นดูก็เถอะ เหมือน ดิฉันมีเพื่อนอยู่รายหนึ่ง เวลาเจอะเจอกัน เขามัก จะทำหน้าตาย ถามว่า... อีหนู. นี่เธอไปทำอะไรมา คนเขาว่าเธอว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ความจริงเขาพูด แหย่เราด้วยความสนุก เออนะ... คนอะไรก็ไม่รู้ พูดให้เราตกใจหมด พูดอย่างนี้พูดง่าย แต่เวลาที่อยู่ นวินาทีนั้นจริงๆ จะรู้เลยว่าทั้งมือทั้งปากเย็บไม่อยู่ เข้าตำรา มีวิชา ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด เพราะใจที่ขาดสติปกปักรักษา ถูกกิเลสกล่อมให้เห็นผิดไปว่า เราเสียหน้า มากในการที่อยู่ดีๆ จะมาเย็บปากนิ่งเฉยเสีย ผู้คน จะเห็นเรากลายเป็นตัวโง่เซ่อไปแล้วหรืออย่างไร แหม... มันต้องรักษาภาพลักษณ์ใจกลับไปยึดมั่นสำคัญผิด วิตก กลัวภาพ ลักษณ์ของตัวเองจะเสียหาย จำเป็นต้องพูดอะไร ออกไป ทั้งๆ ที่รู้ว่าสิ่งที่พูดออกไปนั้น ประเดี่ยว จะก่อความทุกข์เดือดร้อนให้ แต่ก็จะต้องพูดออก ไปให้จงได้ บางทีพูดไปยังไม่ทันจบคําเลย ก็นึกได้ว่า ที่ถูก เราควรพูดอีกอย่างหนึ่งต่างหาก แต่ ก็สายไปเสียแล้วช่วงที่จะต้องฝึกตัวเอง ตรงนี้เป็นสิ่งยากที่ สุด แต่ถ้าเราแข็งใจฝึนใจฝึกไปเรื่อยๆ วันหนึ่ง ห้ามล้อคือสติจะตามทันมาปกปักรักษาใจ แล้ว เราจะพบว่าการยับยั้งตัวเองให้แค่ไม่พูดได้นั้น ผลดีมีมากมายแค่ไหน
หรือบางทีก็เหมือนกับจะเอาเราไปที่มกับเพื่อน อีกคนหนึ่ง ... นี่ๆ อีหนู นายคนนั้นเขาว่าเธอแน่ะ ว่าเธอนินทาฉันอย่างนี้ๆ ... คือเขาจะแหย่เราเล่น เพราะเขาสนุกเวลาที่เห็นเราโกรธหรือเราตกใจแต่ เราไม่สนุกด้วย เพราะเราเห็นเป็นเรื่องจริงจัง คน อะไรมีความสุขอยู่บนความทุกข์ของคนอื่นถ้าเราดูไม่ เท่าทัน เราก็ปรุงคิด คนอะไร นิสัยชั่วร้ายเสียจริง เราก็ทุกข์ เดือดร้อน เพราะ หลงคิดจะไปแก้เขา ซึ่งมันแก้ไม่ได้แต่ถ้าเราเอาธัมมะมาดับไฟ เรานึกอย่างนี้ว่า เออ... จริตนิสัยของแต่ละคนก็เป็นเหตุปัจจัยที่ถัก ทอของมันมา ถ้าเขายังไม่เห็นที่ผิดของเขา เขาก็ เป็นของเขาอยู่อย่างนี้ แต่เราสิ เราเห็นที่ผิดของ เราแล้วว่า ได้ยินคําพูดเขาทีไร ใจของเรากระฉอก ใจของเราสติหลุดทุกที แล้วเราก็ขาดทุน เพราะ ตอนที่สติไม่อยู่กับใจเรา แล้วเราเกิดทําอะไรลงไป ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี สิ่งเหล่านั้นเกิดเป็นหนี้ ที่เราจะต้องแบกหามเอาไว้ แล้วเราทําให้โง่ทําไม เบียดเบียนตัวเองทำไมถ้าคิดเท่าทันอย่างนี้ เราก็จะมาปรับที่ใจเรา แต่นี้ต่อไป เจอเพื่อนคนนี่ต้องตังสติให้เข้มแข็งนะ อย่าให้พลาดเป็นอันขาด แล้วเราก็คอยดูเรา พอ เห็นหน้าเขาปุ๋บ แทนที่จะไปคิดคาดเดาใจเขาว่า ประเดียวก็พูดอะไรให้เราไม่ชอบอีกหรอก ซึ่งเราก็ พังไปกับเขาทุกที เราเตือนตัวเองว่า คราวนี้ตั้งสติให้ดีนะ เขาจะพูดอะไร ทำใจเราให้เหมือนใบบัว คําพูดของเขาร่วงกราวไปหมด ซึมเกาะใจเราไม่ติด แล้วเราก็เบา สบาย สะอาดสะอ้านถ้าเรานึกเท่าทันได้อย่างนี สติเราจะเข้มแข็ง คม ทัน เฝ้าดูใจเรา เออ... ใช้ได้... ใช้ได้... ถ้าเป็นอย่างนี้ มีอะไรเกิดขึ้น เราก็ได้กำไร ได้ฝึกฝนตัวเราให้มีภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นๆ เรื่อยๆแต่ถ้าไม่เฝ้าดูอย่างนี้ ไพล่ไปคิดว่า มันเรือง อะไรกัน เราก็มีสิทธิที่จะอยู่ของเราสบายๆ เขาทำไมไม่รู้จักหุบปากของเขา แล้วเขาทำไมไม่รู้จัก เปลียนวิธีพูดจา ถ้าเราไปคิดอย่างนี เราก็มีแต่จะ ทุกข์... และทุกข์... และทุกข์...คนแต่ละคนที่ทําอะไรแล้วเรา ไม่พอใจเขาก็ถูกอวิชชา อุปาทาน บังตาเอาไว้โดยเขาไม่รู้ เขา เข้าใจว่าทําอย่างนี้มันดี มันทำให้เขาเป็นที่น่ารัก ของคนอื่น เขาก็เลยทําอยู่เรื่อยๆตราบเท่าที่เขายังไม่ตื่น ยังละเมอยู่อย่างนี้ มิไยเราจะไปบอกเขาว่า อย่าพูดนะ คําพูดอย่างนี ฉันไม่ชอบ เขาก็จะขบขันว่าเรานีเป็นคนแปลก เขา อุตส่าห์พูดอย่างสุภาพ ทำออกดี แล้วมาบอกได้ ว่าไม่ชอบ ประเดียวๆ เขาก็ละเมอพูดอย่างนั้นอีก ก็เขาไม่เห็นที่ผิดทีบกพร่องถ้าเราเอาใจเราไปเป็นเขียงให้คําพูดของเขา มาทำร้ายเราได้ ใจของเราก็ถลอกฟกช้ำดำเขียว เรื่อยไปแต่ถ้าเราเปลี่ยนวิธีคิดเสียใหม่ ว่าเราเปลี่ยน โลกนี้ไม่ได้ เราเปลี่ยนใครๆ ก็ไม่ได้ เพราะเขายัง ละเมอกันอยู่ แต่เราเปลี่ยนเราได้ ตอนนี้เราลืมตา ตื่นแล้ว เราต้องเอาสติมาเป็นพี่เลี้ยงเรา ให้เราอย่า พลาด เราอย่าเผลอ ถ้าอย่างนี้ น้ำธัมมะก็จะฉ่ำชุ่มอยู่ในใจของเรา ทำให้ไฟกิเลสแลบเลียขึ้นมาเผาไม่ได้ เราก็ประคองใจของเราให้ไม่วูบวาบไป ตามสิ่งกระทบได้ ไม่ทุกข์เดือดร้อน ไม่เบียดเบียน ตัวเองการจะทำอย่างนี้ได้นั้น ขณะพูดมันก็พูด ง่ายอยู่หรอก แต่ถึงเวลาเข้าจริงๆ ไม่รู้ว่าสติพลัด หลุดมือไปข้างไหน ก็ว่ากําเอาไว้ดีแล้วแหละ เอา ไปด้วยกัน ไม่ให้หลุดมือหายไปไหน อ้าว. พอไป เข้าที่คับขัน ปรากฎว่าเหลือเราโด่เด่อยู่คนเดียว ไม่รู้สติพลัดหลุดไปทางไหนแล้วเวลาไม่มีสตินี่ เราแปลกพิลึก ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่า สิ่งนี้อย่าพูด อย่าทำ ใจกลับนึกอย่างอื่น ไม่ออก นึกทีไร ก็นึกได้แต่เรืองที่อย่าพูดอย่าทํา นี้เท่านั้น แล้วปากก็พูดออกไป ตัวก็ทำออกไปเมื่อพูดเสร็จ ทำไปเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถึงนึกได้ว่า ทีถูกควรจะพูดอีกอย่างหนึ่ง ว่าอย่างนี้... อย่างนี้...แต่ตอนนั้นความคิดตันไปหมด จะนึกอะไรก็นึก ไม่ออกถ้านึกอะไรไม่ออกอย่างนี้ ให้เราเยือกเย็น เข้าไว้ ไม่พูด ไม่ทำเย็บปากเย็บมือของเราเอาไว้คราวหนึ่ง ดิฉันไปได้บทเรียนบทนี้ อันที่ จริง ไม่ใช่เพราะคุณงามความดีของตัวเองหรอก ตอนนั้นเพิ่งไปเมืองนอกใหม่ๆ เพื่อนๆ ที่มาอยู่ ก่อนเตรียมพักร้อนกัน โดยจะขับรถข้ามจากฝั่งที่ อยู่นี้ไปอีกฝั่งหนึ่งของอเมริกา เขาก็มาชวนให้เรา ไปด้วย เราก็ปฏิเสธว่าไม่มีสตางค์ จะขอที่บ้านก็ น่าเกลียด เพื่อนก็ว่าไม่เป็นไร เขาจะช่วยพาเราไป ทำงานพิเศษ ที่โน่น วันเสาร์-อาทิตย์เขาจะขาด เจ้าหน้าที่เจาะเลือด ฝีมือเจาะเลือดของพวกเรานั้น ดีกว่าฝรั่งมาก เพื่อนดิฉันรับรองว่า เจ้านายแผนก นี้รักพวกเขามาก ถ้าเขาพาเราไปฝาก รับรองได้ งานแน่ ตกลงเขาก็จูงดิฉันไปฝากงาน พร้อมทั้ง ยืนยันว่า ดิฉันทําแค่ 8 ครั้งก็ได้เงินพอไปเที่ยว ผลปรากฎว่าดิฉันได้งานพิเศษสมใจเสาร์แรกที่ไปทำงาน ก็ได้คนไข้รายแรก เป็นผู้หญิงผิวขาว อายุ 80 ปี เป็นโรคโลหิตจาง เกล็ดเลือดต่ำ ต้องเจาะเลือดเพื่อไปนับเกล็ดเลือด เป็นประจำเมื่อดิฉันเข้าไปรายงานตัวว่าจะมาเจาะ เลือดและจับแขนแกพลิกเพื่อหาเส้นเท่านั้นแหละแกถุยน้ําลายใส่พรวดเลยดิฉันเงียบ ไม่ใช่เงียบด้วยคิดได้ ให้อภัยแต่เงียบเพราะนึกว่าจะด่าอย่างไรให้ถึงใจถ้าเป็นคนไทย รับรองปืนกลรัวเป็นตับไปแล้ว แต่ที่นี่คำด่าที่นึกเป็นภาษาอังกฤษได้นั้นยังไม่แสบจุใจ ที่ เงียบนี่จึงไม่ใช่เงียบดี เงียบด้วยว่ากําลังค้นคิดจะ ด่าอย่างไรให้สาสมกับที่แกบังอาจถุยน้ำลายใส่เรา เกิดมาเป็นตัวตนยังไม่เคยโดนใครทำอย่างนี้เลยความเงียบได้ผลเกินคาด พอแกถุยน้ำลาย ใส่เราแล้ว ก็รู้สึกตัว ตกใจ ครั้นเห็นเราเงียบ ก็ยิ่งอับอายใหญ่ มากอดเรา แล้วก็ขอโทษ ไจเรานึก .. สารพัดพิษ เมือกีถุยนําลายรด ตอนนี้มากอดนี่จะเอาอย่างไรกัน ในใจของเราไม่ได้มีความคิดดีๆเลย แกยื่นแขนให้ดู เขียวช้ำไปหมด เพราะเส้น แข็งเปราะและโดนเจาะทุกวัน แกเล่าว่า วันนี้เป็น วันเสาร์ แกก็หวั่นกลัวว่าจะโดนฝีมือใครก็ไม่รู้ ที่ไม่ใช่เจ้าประจํา แกก็กำลังอ้อนวอนพระเจ้า ขอ ให้เป็นเวรเจ้าหน้าที่ประจําที่แทงครั้งเดียวได้เถิด
ครั้นโผล่เข้ามา กลายเป็นคนที่ไม่เคยเห็นหน้ามา ก่อน ก็เลยเกิดความกลัวจับใจ มิหนําซ้ำ เรายัง บังอาจคว้าแขนแกเลย นี่จะข่มเหงกันหรืออย่างไร แกก็ถุยน้ําลายใส่ให้โดยไม่ทันรู้ตัว แล้วก็ตกใจตัว เอง แกเฝ้าขอโทษขอโพยจนเราใจอ่อนถ้าเราเป็นแก เจ็บระบมไปหมดอย่างนี้ เรา ก็คงทำเหมือนแกนั่นแหละ เลยเกิดความเห็นใจขึ้น และได้เห็นว่าการเงียบมีคุณ มีประโยชน์ เพราะ ทั้งที่เราไม่ต้องพูดสักคําหนึ่ง อีกฝ่ายก็เห็นข้อผิด ของตัว เกิดฉุกคิดได้ แล้วออกปากขอโทษทำให้ เรื่องจบอย่างเรียบร้อยแต่ถ้าเราด่าออกไป ไม่รู้ว่าเรื่องจะจบอย่างไร เจ้านายอาจเรียกไปบอก เธอไม่ต้องมาทําอีกแล้ว ตกลงเราก็ไม่ได้เที่ยวปรากฏว่าคราวนี้เราชื่อเสียงขจรขจายเลย ตรงไหนที่มีปัญหา ที่ใครทำกันไม่ได้ เจ้านายส่ง ดิฉันไป เราก็บริหารได้เรียบร้อย เพราะเรารู้แล้วว่า ความเงียบเป็นสิ่งที่ดีที่สุด อย่างน้อยเราก็ผูก มิตรไมตรีกับผู้ที่เราจะไปเกี่ยวข้องด้วยได้ถ้าเราระลึกไว้ว่า ทุกๆ ประสบการณ์คือการ เรียนรู้และเป็นการกลั่นกรองให้เราได้สิ่งที่ดีออกมาเราก็เอาส่วนดีนี้มาทำให้เป็นคุณเป็นประโยชน์เราทุกคนมีพุทธะอยู่แล้วคนละหนึ่งพุทธะ ไม่ได้ขาดตกบกพร่อง เพียงแต่เราขี้เกียจขี้คร้าน ะปัดขึ้ฝุ่นทิ้ง เราชอบขึ้ฝุ่นเพราะดูมีสีสันสดสวย แล้วเราก็เข้าใจผิดว่ามันทำให้ชีวิตของเราไม่เซ็ง ไม่ จืด ไม่ซืด เพราะมีคํากล่าวที่ว่า โกรธวันละนิด จิต แจ่มใส แทนที่เราจะเห็นว่า โกรธวันละนิด จิตเราถลอกปอกเปิกหมด แล้วอีกหน่อย เราก็จะแย่ จะ ไม่ดี ที่ถลอกปอกเปิกบ่อยๆ อาจกลายเป็นมะเร็งไปก็ได้ถ้าเราคิดเราหาอะไรมาเป็นแยบคายอุบาย สอนเราอย่างนี้ เราจะค่อยๆ เห็นว่าการเอาธัมมะ มาเป็นน้ําดับไฟไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง เพราะ อันที่จริงต้นทุนบุญกุศลของเรานั้นต่างก็มีน้ํากันอยู่ เต็มเปี่ยมในใจ เพียงแต่ว่า เราไปเอาโลภะ โทสะ โมหะ ขยะต่างๆ มาลอยไว้เต็ม จนกระทั่งเราหลง เข้าใจผิดว่า ฉันไม่มีน้ํา ฉันมีแต่ขยะ เมื่อรู้อย่าง
นี้ เรารีบกวาดขยะทิ้งไป จึงปรากฎน้ําของเราก็มี บริบูรณ์อยู่แล้วถ้าระลึกนึกอย่างนี้เอาไว้ในใจ เวลาที่อะไรมากระทบ จดจ่อสติถามตัวเองว่า จะตอบสนอง ออกไปอย่างไร เราจะเอาธัมมะมาตอบสนองออก ไปให้เป็นความร่มเย็นซึ่งกันและกัน หรือจะเอาไฟ สาดกระเซ็นไปเผาเขาเผาเรา เพราะก่อนไฟจะเผา เขาได้ เราต้องไหม้ก่อน ก็เราเป็นคนทำให้ไฟในใจ เราลุกโหมขึ้น จนกระทั่งไปร้อนใส่เขา ตัวเราก็ต้อง ไหม้ไปก่อนแล้วเหมือนอย่างรายหนึ่ง เป็นผู้ปฏิบัติธรรม ด้วยกัน แต่ว่าเขาปฏิบัติโดยศึกษาตามตำรา เขา อธิบายว่า จิตของคนเราเวลาที่มีความโกรธเกิดขึ้น ะมีขึ้นมากี่ดวงๆ แล้วก็บอกต่อไปว่าตัวเขารู้เท่า ทันความโกรธและควบคุมได้ แล้วเขาก็ถามดิฉัน ว่า แล้วท่านอาจารย์ของคุณสอนคุณว่าอย่างไรดิฉันตอบ ดิฉันไม่รู้หรอกว่าจิตมีกี่ดวง แต่ ท่านอาจารย์สอนว่า เวลาเราโกรธ เปรียบเหมือน เรากําลังขึ้นต้นไม้อยู่ แล้วมือเราก็ลื่นหลุดจากกิ่งไม้ พลัดตกลงมา เราไม่ไปนับหรอกว่า เราอยู่ บนยอดที่เท่าไร แล้วกำลังผ่านลงมาที่กิงไหนๆ ด้วย อัตราช้าเร็วอย่างไร แต่ให้เราตั้งสติว่าทำอย่างไรจึงจะลงมาถึงพื้นได้โดยไม่ถูกกระแทกคอหักเราจะม้วนตัวให้กลม หรือจะทำอย่างไรก็ตาม แต่ต้อง เอาให้ว่าพอถึงพื้นแล้วเราไม่ถูกกระแทกคอหักตายเพราะฉะนั้น ถ้ามีความโกรธเกิดขึ้น ดิฉัน ไม่ทันได้ไปดูหรอกว่า ในใจดิฉัน ดวงนี้จะเกิด ดวง นั้นจะดับ ดวงโน้นจะเป็นอย่างไร แต่ดิฉันจะต้อง ควบคุมให้ได้ว่า หนึ่งปากอย่าพ่นปืนกลออกไปใส่คนอื่นแล้วแล้วมือดิฉันจะต้องไม่ไปเหวี่ยงทําอะไร แตกหักเสียหาย มีอะไรที่จะต้องทำ ก็ต้องบังคับ ตัวเองทำให้ลุล่วงไปให้จงได้รื่องที่เขาเล่าให้ฟัง คือเขาเป็นอาจารย์ แล้ว เขาสั่งคนงานเอาไว้ว่า ให้คนงานไปโรเนียวแผ่น คู่มือการทดลองที่จะแจกเด็กนักศึกษาที่จะเข้าห้อง ทดลองบ่ายนี แผ่นคู่มือมีหลายแผ่น เมื่อโรเนียว เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ต้องมาเย็บเข้าด้วยกันสำหรับแจกนักศึกษางานของเขาจะเริ่มตั้งแต่บ่ายโมงไปจนถึง 4 โมงเย็น สัก 11 โมงครึ่ง เขาลงไปดูเพื่อตรวจตรา ความเรียบร้อย ก็ปรากฏว่าคนงานกำลังทำงานของ อาจารย์อีกท่านหนึ่งอยู่ เขาก็โกรธ งานของเขา โรเนียวเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ยังกองๆ อยู่ ยัง ไม่ได้เอามาเรียงและเย็บ เขาถามคนงาน คนงาน ก็อธิบายว่า ขณะที่กำลังทำของอาจารย์อยู่นั้นมี อาจารย์อีกท่านหนึ่งมีงานด่วนมาก แล้วมายืนคุม อยู่ เขาก็เลยเกรงใจ ต้องวางมือไปทําให้ท่านก่อนเขาเล่าว่า ตอนแรก เขาก็คิดจะไปช่วยเรียง หน้าแล้วเย็บลวด แต่พอมานึก ถ้าทำอย่างนั้น อีก หน่อยคนงานก็จะเสียนิสัย แล้วไม่เกรงใจเขา เพราะเราก็เป็นอาจารย์เท่ากัน เรื่องอะไรจะต้องให้ คนงานไปบริการอาจารย์คนโน้น แต่ไม่บริการเรา ตกลงเขาก็บังคับคนงานให้วางงานที่กำลังทำ แล้ว มาทํางานของเขาให้เสร็จก่อน ซึ่งเขาก็วางไม่ได้ เพราะรายโน้นก็ตามคุมของเขาอยู่เขายืนยันว่า ตลอดเวลาเขารู้ตัว ควบคุม ความโกรธของเขาได้ ใจของเขาไม่กระเพื่อมเลย
ดิฉันก็ถามเขาว่า แล้วอาจารย์ได้คู่มือไปแจกเด็ก ทันบ่ายโมงไหม
คําตอบคือ ไม่ได้
แล้วอาจารย์ทําอย่างไร
ก็ช่วยไม่ได้ เมื่ออยากมาอยู่ในสถานศึกษา อย่างนี้ ก็ต้องฟังฉันสอนโดยไม่มีคู่มือ แล้วต้อง ทำการทดลองอันนั้นไป โดยไม่รู้เหมือนกันว่าจะ ทำอย่างไรดิฉันบอกเขาว่า ท่านอาจารย์สอนดิฉันว่า ถ้ามีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้น เพื่อพิสูจน์ว่าดิฉันควบคุม ความโกรธได้ เอาน้ำดับไฟได้สำเร็จ ดิฉันก็ต้องมี แผ่นคู่มือไปแจกให้ได้ จะยังโกรธคนงานอยู่หรือ อย่างไร ใจจะกระเพื่อมหรือไม่กระเพื่อม ดิฉันจะ ต้องไปจัดการให้แผ่นคู่มือเสร็จสำเร็จรูปแจกเด็ก ได้ทัน งานสอนของดิฉันจะต้องไม่ขาดตกบกพร่องถ้าใจยังกระเพื่อมอยู่ ดิฉันก็ต้องกลับมา ขัดชำระตอนที่จะทำภาวนา ถ้าเก่งจริงขัดได้ตอน นั้น วันนี้ก็ไม่มีหนี้สินค้างชำระ ตอนภาวนาเราจะ ไปทำอะไรก็ทำได้ท่านอาจารย์สอนอย่างนี้ เพราะว่าเรื่องจริงที่จะทําให้เรามีวิบากติดตามไปคือตรงนี่แหละ ใน เมื่อการเรียนการสอนของเราขาดตกบกพร่อง เราก็ขาดทุน เพราะว่าสิงที่เราทําเป็นอกุศล เป็นหนีที่เราจะต้องชดใช้ จะไปโทษว่าเพราะคนงานไม่ดีเพราะอาจารย์อีกท่านหนึ่งไม่ดี ไม่ได้ อันนันเป็น เพราะเหตุปัจจัยเก่าเราคงมีกันมา เขาอาจจะไม่ได้มีเจตนาร้ายกับเราเลยก็ได้ แต่ใจของเราคงไปมี ขึ้นสนิมอะไรกับเขา โอกาสนี้เป็นโอกาสที่เราจะได้ ปลดหนี้เก่าๆ ออกให้หมด เราจะได้เป็นไทแก่ตัว แต่นี่ปรากฎว่านอกจากไม่ปลดแล้ว ยังไปตัวเอง เพราะหน้าทีของเรา เราก็รู้แล้วว่าจะต้องทําอย่างนี้ๆ แต่เราไม่ทํา อันนี้เป็นความบกพร่องของ เรา ต่อไปถ้าเราไปติดต่อกับใคร แล้วได้รับบริการ ក៏taតិ อย่างนี้ เราก็ไม่มีสิทธิจะไปเกรธ ที่นี้ถ้าเราดูไห้ป็น พอต่อไปผลกรรมอันนีมาส่งผล เราจะได้รู้ตัว แล้วแก้ไขเราได้ แต่เราก็ดูไม่ เป็นอีก ใจเตลิดไปเพ่ง โทษเขา ที่นีไม่ดีบริการคนมาติดต่ออย่างนี้ได้อย่างไร ตกลงเราไปยกตนข่มท่าน ไปสร้างเวร ใหม่กับเขาอีกเพราะฉะนั้น หนทางที่เราไปมีแต่จะสร้าง หนี้ไปเรื่อย ตลุยไปตลอดทาง บาดเจ็บเหวอะหวะ มีต้นทุนอยู่เท่าไรๆ ก็ไม่พอ เพราะท่านอาจารย์ สอนว่า คนเราไม่ได้ไร้ทรัพย์ แต่เพราะอับปัญญา ต่อให้มี 80 โกฏิก็รักษาไว้ไม่รอดท่านเล่าว่า มีเศรษฐีอยู่ ๒ ตระกูล ตระกูล หนึ่งมีลูกชายคนเดียว อีกตระกูลหนึ่งมีลูกสาวคน เดียว พ่อแม่ก็ตกลงปลงใจสู่ขอกัน เมื่ออายุได้ พอสมควรก็จัดการตบแต่ง ฝ่ายชายกองทุนให้ 40 โกฏิ ฝ่ายหญิงก็กองทุนให้อีก 40 โกฏิ ตกลง เจ้าบ่าวเจ้าสาวคู่นี้ก็เริ่มต้นชีวิตด้วยทรัพย์สิน โกฏิ แต่ปรากฏว่าไม่ใช่เพราะไร้ทรัพย์ เขามี 80 โกฏิ แต่เพราะอับปัญญา ฉะนั้น ยังไม่ทันจะตาย ถูกเพื่อนปอกลอก 80 โกฏิที่มีเรียบวุธหมด ต้อง ไปถือกระเบื้องขอทานเขากินพวกเรานี่ก็เหมือนกัน ท่านว่ารวยกว่า 80 โกฏิอีก แต่ถ้าอับปัญญา พอตายจากโลกนี้ไป ก็มีหนี้สินติดตามไปอีกไม่รู้เท่าถ้าฟังไม่เป็น ท่านอาจารย์พูดอะไรก็ไม่รู้ถ้าเราเริ่มมาดูเรา จริงของท่าน วันหนึ่งๆ ไม่รู้ว่ากี่โกฏิ กี่ร้อยโกฏิ เราเผาบรรลัยวายวอด หมดเลย ยิ่งถ้าแค้นหนักๆ เหมือนเห็นช้างเท่าหมู ตัวเองยังเคยเห็นช้างเท่ามดเลย หมูยังใหญ่เกินไป ตอนนั้น เท่าไรเท่ากัน รับรองชดใช้ได้ เสร็จแล้ว พอความโกรธค่อยๆ ลดลง...ลดลง คราวนี้ก็เห็น ช้างเท่าช้าง แล้วก็นึกในใจ ใครนะช่างทำเราได้... ไม่ใช่... ความโกรธมันทำเราเอง มันประทับทรง เรา แล้วก็เอาปากเรา เอามือเรา ไปใช้เป็นขี้ข้า แล้ว ใครเหนื่อย ก็เราเองแหละเหนื่อยแต่ก็อีกละ มันก็ไม่เหนื่อยถึงใจสักที พอ เผลออีกประเดี่ยวเดียว มีอะไรอย่างนี้มากระทบ ใหม่ ช้างก็ค่อยๆ เล็กลงไปจนเท่ามดอีก ท่านถึง เปรียบเทียบเราว่าเหมือนมดไต่ขอบกระด้ง ไม่เคย จดเคยจํา ไม่เคยเรียนรู้จากความผิด ปล่อยให้ เวลากลืนกินชีวิตเราไปเปล่าๆ มัวแต่เดินวนอยู่แค่นี้ วนอยู่กับโลภ โกรธ หลง ซึ่งเปลี่ยนหน้า เปลี่ยนรูปแบบมาหลอก แล้วเราก็ไปหลงว่ามันเป็นตัว ใหม่ทุกที เราเลยเสร็จมันไปทุกที แต่ความจริง มันเจ้าเก่าถ้าเราเห็นอย่างนี้ ปากของเราก็ค่อยๆ ลงได้ เพราะเมื่อไรปากเริ่มหุบได้ กระชับกับใจ แล้วเริ่มมาคุ้มครองเราได้ เมื่อปาก เราหุบ หูจึงจะได้ยินอะไรชัดเจนขึ้น ไม่อย่างนั้น เราก็ว่าเราฟังนะ แต่ปรากฏเราได้ยินเป็นอีกอย่าง หนึ่ง อย่างที่กิเลสบันดาลให้เราได้ยิน แล้วเราก็ โต้ตอบออกไปผิดๆ หรือเรามองดูอยู่ ก็เห็นไปอีก อย่างหนึ่ง เรื่องใจมันหลอกเราได้สารพัดสารพันเมื่อดิฉันไปปฏิบัติที่วัดป่า ตอนแรกคนเขา ก็ฝากเทียนฝากธูปไปถวายวัดเพราะวัดย่อมใช้ธูป เทียน ทีนี้วัดป่าท่านไม่จุดธูป ไม่จุดเทียน เดี่ยว เผอเรอไฟกระเด็นไปติดหญ้าที่มุงหลังคา หรือว่า บางแห่งก็ยังเป็นฟากไม้ไผ่อยู่ ท่านก็เลยไหว้พระ เฉยๆ ไม่ต้องจุดธูปจุดเทียนวันหนึ่ง ดิฉันกำหนดจะไปวัด พอกลับถึง บ้านตอนบ่ายหลังจากออกไปซื้อข้าวซื้อของ ก็เห็นมีธูปมีเทียนกองอยู่ ... ดูไม่เป็น ใจก็นึกหงุดหงิด...ที่บ้านไม่รู้ภาษาอีกแล้ว บอกแล้วว่าเวลาไปวัดนี้เขาไม่จุดธูปจุดเทียนกัน... แต่เคราะห์ดีที่ปาก ยังหนักอยู่ก็ไม่ได้ไปกล่าวโทษใคร นึกอยู่ว่า ใครเป็นคนซื้อก็ให้มาบอกมาฝากเองแล้วกัน ยังขุนหงุดหงิดอยู่นั่นแหละว่าพูดไม่รู้ภาษาเสร็จแล้ว ปรากฏไม่ใช่ธูปเทียนที่เขาจะซือ มาฝากเราหรอก บังเอิญที่ทำงานน้องเขาจะทำบุญเลี้ยงพระวันรุ่งขึ้น น้องเขารับอาสาเพื่อนมาว่าจะเป็นคนจัดดอกไม้ธูปเทียนสำหรับถวายพระที่ นิมนต์มา เขาก็จัดของเขา เตรียมของเขาเวลาดูอะไร เห็นอะไร เราจะสรุปเอาเอง ตามอารมณ์ ถ้าไม่เอาสติจดจ่อไว้ให้เป็นใจปัจจุบัน ถ้าเรากำลังจะไปวัด เราก็ทึกทักเลยว่าของอะไรที่เห็นก็คือของที่เขาจะมาฝากเราไปวัด หลงตัวเอง สำคัญผิดคิดว่าทุกอย่างเราสําคัญที่สุดในโลก คน อื่นไม่ต้องมีกิจกรรม แล้วธูปเทียนก็เหมาเอาว่า ต้องเกียวข้องกับเราเท่านัน ไม่ทันได้ถามให้รู้เรือง ก็สรุปไปตามอุปาทานที่เราคิดไปเอง เออไปเองเสร็จ น้ำชาล้นถ้วยหากปากไปอีกหน่อยเจอใครก็จัดแจงอบรม... บอกแล้วทีวัดป่าเขาไม่จุดธูปเทียน เขาก็คงนึก เออ... มันไปปฏิบัติธรรม แต่รู้สึกยิ่งหลงหนักเข้าไปอีก สัาคัญตัวผิดว่าตัววิเศษเต็มประดา แล้วก็เห็นแต่ตัวเองดีอยู่คนเดียว คนอื่นเลวไป หมดถ้าเขาพูดอย่างนี เราก็หาว่าเขาใจชัว ตัวเองไม่ฝึกแล้วยังจะมาเพ่งโทษคนปฏิบัติอีกเวลาที่เรามองเราไม่เป็น ไฟกองนี อะไรมาอะไรมากระทบนิด ก็พัดพาให้ลุกโพลงขึ้น น้ำมันเบนซินหยดลงมาอีก ปรากฏว่าลุกโชติช่วงชัชวาล ไปลวก คนอื่น ไหม้คนอื่น พินาศไปหมดเลย เราเองก็ไหม้จนกระทังตายจากคุณงามความดีไปหมดสิ้นแต่มองไม่เห็นก็เพ่งโทษว่าเขาน่าเบื่อ น่ารำคาญ ทีนี้ไปอยู่วัดเลยไม่กลับมาแล้ว เหลือเกินทุกคนก็ชอบใจ ไปได้ก็ดี อีตัวบ้า ตัวร้อนอยู่แล้วทุกคนหายใจไม่ออก อึดอัดไปหมด บางที่ เราก็บ้า พอเขาเปิดวิทยุฟังหน่อย... ปิดๆ... หนวกหูฉันจะดูใจฉัน โธ์เอ๋ย บ้านของเราคนเดียวที่ไหน หรือเขาจะพูดกัน เพ้อเจ้อ... หยุดนะ...เราก็เอาธัมมะมาเหมือนกัน แต่เอาไปเสียบ เขา แทนที่จะเอามาเสียบกิเลสตัวเอง ทิศทางมัน ผิด ท่านอาจารย์บอก เมื่อเห็นอย่างนี้ คอยจดจ่อ สติ คราวนี้พอมีอะไรเกิดขึ้น หรือมีเสียงสะท้อน อะไร ดูเรา แก้เรา ถึงเราไม่ผิด เราก็แก้เราดิฉันเคยมาแล้ว ครั้งหนึ่ง ดิฉันนึกตัวเอง ไม่ได้ผิดสักหน่อย เรื่องอะไรท่านอาจารย์มาตําหนิเรา ดิฉันก็ประท้วงท่านท่านบอก อ้าว... อาจารย์ไม่รู้นี่ นึกว่าศิษย์ มานี้เพราะศิษย์เห็นแล้วว่า เวลาที่ใจเรายังมีกิเลส อยู่ มันเป็นความทุกข์ เดือดร้อน ก็อยากจะมา กำจัดกิเลสออกให้หมด ไม่ได้นึกว่าศิษย์จะเป็น ตำรวจโลกถ้าคนอื่นเขาอยู่ในนรกอเวจีขุมต่ำสุด เราก็ ต้องไปพังพาบอยู่ที่ชั้นเหนือกว่าเขาชั้นหนึ่ง ตูแน่ กว่าเขานะ นี่ฉันอยู่ในนรกก็จริง แต่อยู่สูงกว่าเขา แล้วก็ไปพังพาบดู พอเขาทําท่าว่าจะขึ้นมาอยู่ชั้นเดียวกับเรา เราก็ขวนขวายสะสมความดีให้เขยิบ ขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง.. ตูแน่..ก็ยังอยู่ชั้นสูงกว่าเขาละอาจารย์ไม่รู้นี่ว่าศิษย์จะปฏิบัติอย่างนั้น ถ้า จะปฏิบัติอย่างนั้นก็จะสอนอีกอย่างหนึ่ง เราไปเพ่งโทษท่านว่าอะไรก็เอาแต่เราท่านชี้แจงให้เห็นว่า ในการปฏิบัติ ถ้าเราไม่ ใช่พระอรหันต์ ผิดโทษของไครๆ เราก็มีเหมือน เขาทั้งนั้น แต่คราวนี้ผิดของเรายังอาจเล็กน้อยกว่า เขา เวลาท่านเทศน์ ก็อย่าไปคอยชี้ว่า นี่ๆ ท่านอาจารย์พูดประโยคนี้ของคุณนะ ประโยคนั้น ก็ของคุณอีกนะท่านบอกไม่ต้อง ฟังให้ได้ยินว่าประโยคนี้ ของเราเอง ถึงเราจะเป็นนิดเดียว ยังเป็นต้นไม้ อ่อนๆ แต่ถ้าเราถอนออกได้ ก็เป็นโอกาสที่จะ ถอนรากถอนโคนได้หมด เพราะยังไม่ทำบ่อยๆ จนกระทั่งเป็นอาจิณกรรม มันก็ดี เราก็ได้ดิบได้ดี แทนที่จะไปเพ่งโทษเขา คนอะไร ดูสิท่าน อาจารย์ว่าแล้วว่าอีกก็ยังไม่จำ เราก็นึก ขอบคุณนะ ถ้าหากเขาไม่ทำให้ท่านอาจารย์เทศน์ตรงนี้ เราก็มองไม่เห็นที่ผิดของเรา แล้วเราก็เหิมเกริมนึกว่าเรานึกว่าเราดีแล้ว นี่ทำให้เราเห็นตั้งแต่เรายังไม่ได้ทํา ออกไปให้คนอื่นเขาเห็น ให้เป็นการฉีกหน้าตัวเอง ขอบคุณที่เขาช่วยให้เราได้ดิบได้ดี ใจเรานึกถึงเขาก็นึกถึงด้วยความดี ไม่ต้องไปนึกถึงแล้วทำ ให้กิเลสของเราเฟื่องฟู เขาผิดจริง เราก็รู้ตามเป็นจริง แต่น้อมความผิดของเขานั้นให้มาเป็นประโยชน์กับเรา...เออดีนะทีเข้าบอกเราตรงๆเพราะถ้าเขาอ้อมค้อมเราก็อาจจะหลงแล้งเผลอคิดว่าเราดีแล้วถึงเราจะผิดนิดหนึ่ง แต่ว่าเขามาเตือนเรา เราก็โชคดีที่มีคนมาเอื้อเอ็นดู อะไรด่างนิดด่างหน่อย เขาก็รีบช่วยบอก ช่วนซักให้เราจะได้สะอาดสะอ้านเร็ว เหมือนกับสมัยนี้ เด็กบางคนไปสอบเทียบ ตั้งแต่อยู่ ม.4 ม.5 เราก็ไม่ได้อยากสอบเทียบเอ็น แต่ก้มีคนหวังดีกับเรา เตะเราไปพลักเราไป เราก็จะได้ดิบได้ดีอะไรๆ เราหมุนให้มาเป็นน้ำดับไฟได้หมดเลย ใจ ของเราเป็นธรรมเมื่อเรารู้จักกับสิ่งใดอะไรในโลกนี้เราอย่า ไปผูกไปพันกันด้วยความรัก ความเสน่หา เป็น ส่วนตัวว่านี่ของฉัน เพราะถ้าไปผูกด้วยความรัก อย่างนั้น เขาไปพูดกับใครนานหน่อย ...นี่เรื่องอะไร เห็นคนอื่นดีกว่าฉันหรืออย่างไร ...อ้าว เกิดมีเรื่องกันแล้วแต่ถ้าเราคิด นี่เพื่อนฉัน คนอื่นมาคุยด้วย นานหน่อย แสดงว่า เราตาสูง รสนิยมใช้ได้ ของ ที่เรารักก็เป็นสิ่งที่คนอื่นเห็นคุณค่า เราชื่นใจ เรา ดีใจ เราแบ่งปันให้กัน ถ้าเป็นแบบนี้ เรามีเมตตา ต่อกัน โลกก็ร่มเย็นเป็นสุขถ้าเรารู้จักกันด้วยธรรม ไม่รู้จักด้วยโลก อะไรๆ ก็ออกมาดีไปหมด ท่านอาจารย์ท่านจึง เตือนเราว่า เมื่อมาปฏิบัติ เราเห็นคุณของธัมมะ แล้ว เวลาเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน ให้เรารู้จักกัน ด้วยธรรม อย่าไปยึดอะไรมาเป็นโลก มิฉะนั้นใจ จะเกิดความหวงแหน จะเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจตัดพ้อต่อว่ากัน แต่ให้เรามองคุณงามความดี มองสิ่งที่มีคุณมีประโยชน์ เฉลี่ยแบ่งปันเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่กัน เป็นเมตตา พรหมวิหารถ้าคิดนึกอย่างนี้ ที่ผิดของเขาก็มาเป็นครู สอนเรา ถ้าเขาทำอะไรให้เรารู้สึกอึดอัด ทำอะไรให้ เรามีปัญหา. เออดี. เขาทำให้เราได้หินลับปัญญา เราจะได้ปรับปรุงให้เราดียิ่งขึ้น เมื่อเราดีแล้ว ใครได้ดีเล่า ก็เรานั่นแหละได้ดีเราขี้เกียจขี้คร้าน เราบอกพรุ่งนี้ค่อยหว่าน เมล็ดดีๆ ลงไป แต่เขามาบีบคั้นทำให้เราจะต้อง สำรวมกาย วจี มโนกรรมของเราให้ดี เราก็รีบ หว่านแต่วันนี้ จะได้มีผลเร็วขึ้น เราก็ได้ผลของ มันมาเลี้ยงตัว เป็นเสบียงเลี้ยงใจของเราอีกต่างหาก เราก็ร่ารวยเป็นเศรษฐีถ้าเรามีวิธีคิดอย่างนี้ มีวิธีที่จะเอาธัมมะ มาเป็นน้ําดับไฟในใจของเราอย่างนี้ อีกหน่อยไฟ กองนี้ก็ค่อยๆ มอดดับไป เราไม่เติมเชื้อเข้าไป ใหม่ อวิชชากับอุปาทานถูกริดรอนกิ่งไปเรื่อยๆ ลูกหลานของมัน คือ โลภ โกรธ หลง ก็จะลดน้อยลงๆที่เราโลภ เราโกรธ เราหลง เพราะอะไร เพราะเรามองไม่เห็นตามความเป็นจริง เหมือน อย่างกับพราหมณ์ขี้โกรธไปต่อว่าพระพุทธเจ้าว่า ถ้าฆ่าสมณโคดมได้แล้ว เขาจะมีความสุขมากเลย เพราะเพื่อนพราหมณ์ก็จะไม่ทิ้งลัทธิพราหมณ์ไป นับถือพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าทรงชี้แจงพราหมณ์ ท่านคิด ให้ดี ถ้าท่านฆ่าความโกรธในใจของท่านได้ ท่านจะบรมสุข แต่ถ้าท่านฆ่าเรา ประเดี่ยวก็มีศาสดา อื่นขึ้นมา แล้วเพื่อนพราหมณ์ก็แห่ไปฟังลัทธินั้น แล้วไปเข้าลัทธินั้น ท่านก็ต้องไปฆ่าศาสดาองค์ นั้นอีก ตกลงท่านฆ่าเรา ท่านฆ่าเขา แล้วต่อไปก็มีอีก ท่านก็ตามฆ่าแต่คนเป็นเบีอสิ ท่านก็พัง พินาศหมด ในใจท่านก็รุ่มร้อน ท่านก็ทุกข์ถ้าท่านฆ่าความโกรธในใจของท่านได้อย่าง เดียว ท่านก็บรมสุขห็นหรือไม่ เพราะอวิชชาพาให้ใจเกิดความ โกรธ ทำนองเดียวกันมันก็ทําให้เกิดความโลภเกิดราคะ ถ้าเราฆ่าอวิชชา ฆ่าอุปาทานได้ ใจนี้ก็จะเป็นธรรม กลับคืนเป็นพุทธะ แล้วคราวนี้ก็จะเป็นธรรม กลับคืนเป็นพุทธแล้วคราวนี้จะไม่มีอะไรมาทําให้เราทุกข์เดือดร้อนได้ธัมมะที่จะมาเป็นน้ำดับไฟ ก็เป็นทำนองนี้ ก็ฝากเป็นกำลังใจให้ ไปดับไฟในไ เรากันทำใจเราให้ชุ่มฉาร่มเย็นเป็นสุข โลกจะได้
อันเหล็กพืด เผาไฟ ให้เร่าร้อน
ย่อมโอนอ่อน ดัดได้ ดังใจหวัง
แต่ใจพาล ดื้อรั้น ไม่มีเล
จะอ่อนดัง เหล็กนี ไม่มีเลย
พิมพ์โดย ปภัสสร มีพงษ์
แหล่างที่มา http://web.krisdika.go.th/buddha/stopFire.pdf
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น