Header Ads

วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2561

บทความหมออมรา บัณฑิตที่แท้จริง 3

บทความหมออมรา
บัณฑิตที่แท้จริง 3

ชื่อผู้เขียน       พญ อมรา มลิลา
วันที่               วันที่ 29 มกราคม  2529
ณ                 กลุ่มพุทธธรรม  มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร
หมวด
อันดับที่     


ท่านอาจารย์ และน้องๆ นักศึกษาดีใจค่ะ ที่ได้มาคุยกันอีก รายการนี้มชื่อกว้างๆ ว่า ชุดบัณฑิตที่แท้จริง เราพบกันเมื่อไหร่ นึกอะไรได้ว่า บัณฑิตควรมีคุณสมบัติอย่างไร ก็ว่ากันไป ถ้าฟังแล้ว ฟังซ้าฟังซาก ก็โปรดฟังอีกก็แล้วกัน เพราะของบางอย่างน่าสนใจ ก็ต้องย้ำกัน พูดแล้วก็ พูดอีก เป็นต้นว่า สติ ก็คงจะพูดซ้าอยู่นั้นแหละวันนี้ก็นึกถึงจิตใจของคนเรา เวลาจะทำอะไรก้ต้องมีแรงชักจูงเป็นกำลังหรือเป็นสิ่งที่เราเรียกว่าผู้ควบคุมซึ่งพระพุทธองค์ทรงจัดไว้ในกลุ่มที่เรียกว่าอินทรีย์ 5 อินทรีย์คือผู้ยิ่งใหญ่หรือผู้ให้กำลังพละ 5 ก็ได้ ได้แก่อะไรบ้างอันแรกที่เน้นคือ สติ ใจคนเรา ถ้าจะเปรียบเทียบเหมือนรถ ก็ต้องมีม้ามาลากไป มัาที่มาลาก ท่านจัดไว้ว่ามี 5 ตัวมัาตัวเอกที่จะนำรถไป คือ สติ ถ้าไม่มีสติ ความระลึกรู้อยู่กับใจของเราแล้ว เราก็ไม่แน่ใจว่า สิ่งที่ทำไป จะพาเรากลิงตกเหว หรือว่าจะพาเราไป บนถนนจนถึงที่หมาย เหมือนม้า ถ้าตาบอดเสียแล้วก็อาจลากเราเข้ารกเข้าพง กลิงตกเหว ตกข้างถนนไปได้สติ ความระลึกรู้ จึงเป็นสิ่งแรกที่จพเป็นต้องมีกำกับกับใจเอาไว้ เราจะระลึกรู้อะไร เวลาผัสสะ จากโลกภายนอก จากบุคคลภายนอก มากระทบใจ ให้เราเกิดความรู้สึกขึ้น ให้ใจกระเพื่อมตอบรับ เราต้องฝึกให้มีสติรู้เท่าทันไม่ใช่ว่าพอเสียงใครเขาพูดมาเข้ารูหูเราไม่ชอบ ก็ตอบเขาเปรียงออกไปโดยไม่ไตร่ตรอง ไม่เอาสติมาทวนถามก่อนว่า ที่เขาว่ามานั่นน่ะ เขาเจตนาอย่างไร มีเหตุมีผลสมควรอย่างไรเมื่อมีสติคอยเหนี่ยวรั้งใจให้ระลึกรู้ว่าได้ยิน ได้ฟังอะไร จะได้นำไปไตร่ตรองให้รอบคอบก่อน คนบางคนได้ยินอะไร เชื่อหมด ใครชวนว่า นี่นะไปฟัง
คุณคนนั้นพูดซิ ดี๊ดี เราก็เฮโลตามไปฟัง เขาพูดวา สิงที่เราเคยทำนี่น่ะ ไม่ดีหรอก มาทำอย่างของเขาดี กว่าเราก็เชื่อตามไปเลย เพราะเป็นคนศรัทธาจริต ใครว่าอะไรดีทั้งนั้นเขาบอกว่าบ้านเรานีไม่ดี ประตูบ้านไปตรง กับต้นไม้ใหญ่ ทำให้บังโชคลาภของเราหมด เราก็ไปโค่นต้นไม้ทิ้ง โดยลืมไปว่าพอโค่นแล้วจะหมดร่ม เงาที่เคยบังให้ตัวบ้านเย็นสบาย เพียงเพราะเขาบอกต้นไม้บังประตูมันขัดลาภ เราก็เชือไปหมด คราวนี้ บ้านเราร้อนจี๋ จะทำอย่างไร จะเอาต้นไม้ปักลงไป โค่นลำต้นเสียแล้ว
ถ้าเรามีแต่ศรัทธา ใครว่าอะไรเชื่อหมด ก็ไม่ได้ ท่านสอนว่า เราต้องมีปัญญาด้วย ที่นี่จะทำ อย่างไรให้ม้าคู่นี้ ศรัทธา กับ ปัญญา มีฝีเท้าเสมอ กัน เพราะเราเรียงม้าเอาไว้ ตัวแรกเป็นสติ นำอยู่ตัวเดียวคู่ถัดมาก็เป็นศรัทธากับปัญญา เราจะ ต้องให้ฝีเท้าของมันสม่าเสมอกัน เพราะมีแต่ศรัทธาอย่างเดียว ก็เหมือนดังทีเรียนอธิบายให้ทราบเมื่อกี้นี้ มันก็ทำให้เราไม่มีหลัก ใครพูดอะไรดีไปทั้งนั้น เลย แล้วเราก็แย่
ถ้าเรามีปัญญา พอเขาบอก บ้านที่มีต้นไม้ขึ้น ข้างหน้าตรงกับประตูไม่ดี เราก็คิด มันไม่ดีเพราะ อะไร อ้อบางทีรถถอยเข้าถอยออก ต้นไม้อาจกีด ขวางทาง แต่ต้นไม้ของเรานี้ พอดีทิศทางช่วยบังแดด ทําให้บ้าร่มเย็น ถนนของเราก็ไม่ไปชนต้นไม้ อยู่แล้วเห็นไหม พอมีปัญญาก็มีเหตุผลขึ้นมา เราก็ ไม่ตื่นตูมตามคำเขาไป ถ้าปัญญาอยู่ในระดับที่เป็น เหตุเป็นผล คอยถ่วงไม่ให้ศรัทธาลากเราหวือหวา ตามไป จนกระทั่งตกเหวตกบ่อ มันก็ดีแต่คนบางประเภท ไม่ได้ ฉันเป็นบัณฑิต ฉันมีปัญญา ก็เลยปัญญามากเสียจนกระทั่ง ไม่ว่าใคร พูดอะไร สงสัยไปหมด ไม่เชื่อ ใครพูดอะไร ไม่เข้า ท่าไม่ถูก ไม่ฟังทั้งนั้น เชื่อตามที่ตัวเคยทำอยู่อย่างเดียว อย่างนี้ก็ไม่ดีหรือมีคนมาแสดงปาฐกถา แทนทีจะฟังเนื้อความที่เขาบรรยาย ไปสงสัยแล้ว คนนี่เขาจบมา จากมหาวิทยาลัยไหน มีปริญญาอะไร กล่าวคือ เราไปสนใจกับเปลือก กับกระดาษห่อของของเขาเสียจนกระทังไม่ทันฟังว่า เนื่อความทีเขาพูดน่าเชื่อถือ มีเหตุมีผลน่าฟังหรือไม่ เราก็เลยปิดกันโอกาสที่ตัว เองจะได้ประโยชน์ไปโดยใช่เหตุคนบางคน มีปริญญาหรูหรา มาจากมหา วิทยาลัยอันดับยอด แต่พอลงมือทำอะไร หรือพูด อะไรแล้ว เรารู้เลยว่าไม่มีประสบการณ์ ไม่มีความ สามารถของตัวเอง
ถ้าเรามัวไปตื่นว่า ข้างนอกสุกใสแวววาว ข้างในจะต้องเป็นทองคำทั้งหมด เราก็พลาดโอกาสอีก เพราะบางครังก็มีผ้าขี่ริวห่อทองเหมือนกัน คน บางคนไม่ได้มาจากสถานทีทีมีชื่อเสียง แต่เขาเป็นคนจริง ใฝ่ศึกษา ประสบการณ์จากชีวิตก็ทำให้เขา สุขุม รอบรู้ แล้วก็มีคุณภาพแท้จริง ถ้าเราศรัทธา คนอย่างนั้น เราก็ได้ประโยชน์เราต้องฝึกตัวของเรา ให้กำลังปัญญาและ ศรัทธาควบคู่กันไป อย่าให้อันใดอันหนึ่งดึงเราจนกระทั่งเอนเอียง เฉออกนอกทาง ทุกวันนี้มีของหลายอย่าง ที่หากเราไม่ชั่งตวงใจของเราให้ดี เราก็ เสียเวลา เสียประโยชน์ไปโดยใช่เหตุเมื่อเราจัดม้าคู่ที่หนึ่งให้สมดุลกันแล้ว ก็เหลือคู่ที่สอง เป็นคู่สุดท้าย คู่นี้คือ สมาธิ กับ ความเพียร จิตใจทีมีแต่ความเพียรอย่างเดียว ขยันจนไม่
มีเวลาพักเวลาผ่อนเลย ก็ทำให้เราไม่มีสติปัญญา เท่าทีควร ของอะไรก็ตาม ทั้งร่างกาย ทั้งจิตใจ ถ้า ไม่ได้พัก ทำแต่งานท่าเดียว ก็เหนือยล้า คุณภาพที่ ทำด้วยความรอบคอบ มีเหตุมีผล ก็ชักจะบกพร่อง เราต้องดูว่า ความเพียรของเราอยู่ในขอบเขต ที่ ได้พักได้ผ่อน คือมีสมาธิ มีใจแน่วนิ่งอยู่กับอารมณ์เฉพาะหน้าบ้างหรือไม่ ไม่ใช่ว่ากำลังฟังดิฉันก็ไปกังวลว่า ลูกศิษย์ที่สั่งงานเอาไว้ เขาเอางานมา ส่งหรือเปล่า หรือว่างานวิจัยที่ค้างอยู่น่าจะทำอย่างนี้อย่างนี้ หรือทีนัดกับเพื่อนจะไปฟังบรรยายที่ตึก 12 คงไม่ทันเสียแล้ว อะไรอย่างนี้ถ้าเราทําใจเราให้สับสน อยากจะรู้ทุกอย่าง อยากจะทำทุกอย่างไปหมด ทั้งๆที่เราก็แบ่งใจไปไม่ได้อยู่ห้องนี้ อยู่ทุกแห่งที่เราอยากไม่ได้ ผลที่สุดเราก็ไปไม่ถึงที่ตรงไหนเลย เพราะ ตัว นั่งอยู่ตรงนี้ก็จริง แต่ ใจไม่ได้อยู่ในห้องนี้ ใจแอบเล็ดลอดออกไปไหนต่อ ไหนแล้ว พอกลับมาอีกที ก็แยกแยะไม่ออกแล้วว่า
เมื่อกี้ทีเรา คิด ไป กับทีเรา ได้ยิน จริงๆ นี่น่ะ ตรงไหนเรื่องจริง ตรงไหนเรื่องที่คิดไป ก็เลยวุ่นวาย เพราะตัวเองก็จำไม่ได้ แยกไม่ออก ก็เอาที่เราคิดเอาไว้กับที่เรา ได้ยิน นี่น่ะ ผสมกลมกลืนเป็นเรื่อง เดียวกันเพื่อนมาถาม เราก็เล่าให้เขาฟังตามที่เราเดาไปบ้าง คิดไปบ้าง ได้ยินจริงๆ บ้าง เรืองก็เบี้ยวไป
แล้วเหมือนเรากำลังส่องกระจกที่เบี้ยวหลอกตา ตกลงผิดไปหนึ่งตอนแล้วใครทีฟังเรา ใจเขาก็ว่าฟังเราอยู่ เราพูดสบ คํา เขาฟังได้เจ็ดคำ แล้วเอาที่เขาเผลอคิดเองเติมเข้าไปอีกสามคำห้าคำ ตกลงกระจกก็เบี้ยวไปอีกหน หนึ่งในที่สุด เมื่อถึงปลายทาง คนสุดท้ายเอากลับมาเล่าให้ดิฉันฟัง ดิฉันก็ว่านี่เป็นเรื่องใหม่ ไม่รู้เลย ว่าเรื่องของเราเองการที่เราทำอะไรกันนี่ มีจุดบกพร่องแต่ละ จุดแตละจุดอย่างนี้ โดยที่เราไม่ได้ระมัดระวัง แล้ว ก็ไม่ทันคิดว่าผลลัพธ์มันจะร้ายแรง เราก็เลยไม่ได้ สนใจคอยตามดูใจของเราในเหตุการณ์แต่ละอันที่เกิดขึ้นเกิดขึ้น เมื่อรู้หลักอย่างนี้แล้ว ว่าทุกๆ ขณะของชีวิต เราจะต้องคอยให้กำลังทั้งห้า ได้ระดับสม่ำเสมอ สมดุลกัน เพื่อพาใจของเราให้เดินตรงไปบนถนนสานมรรค เราจะได้ดำเนินชีวิตไปอย่างถูกต้องและถึงจุดหมายด้วยความปลอดภัย เราก็จดจำเอาไว้สติ นะคะ สติอันนี้ไม่ต้องสมดุลกับอะไร การระลึกรู้ ก็ไม่ได้ระลึกรู้เฉยๆ เราต้องระลึกรู้ตามความเป็นจริงจึงจะเป็นสัมมา สติ เป็นสติถูกต้องชอบธรรมที่พระพุทธองค์ทรงให้พวกเราปลูกฝังให้เจริญงอกงาม จนกระทั่งคลุกเคล้าเป็นเนื้อเดียวกับ ใจของเราเมื่อไรก็ตาม อะไรมากระทบใจ ถ้าใจจะกระเพื่อมคิดตอบไป สติต้องกระเพื่อมตามไป ด้วยคลื่นสั่นสะเทือนกันทีเดียวกับใจของเรา เมื่อไหร่ก็ตาม อะไรก็ตามกระทบใจ ถ้าใจจะกระเพื่อมคิดตอบไป สติต้องกระเพื่อมตามไปด้วย คลื่นสั่นสะเทือนเดียวกัน คือ เป็นใจที่มีสติคุ้มครองเหมือนเราจะออกไปไหน ก็แต่งตัวเรียบร้อย ไม่เคยออกไปโดยไม่ใส่เสือเลย ใจที่ไม่มีสติก็เหมือนใจที่โป๊ไม่มีเสื้อผ้าใส่ น่าหวาดเสียว ไปที่ไหนก็น่าอายถ้าเรานึกอย่างนี้ เราจะได้คอย คอยระลึก เอาไว้ ระลึกรู้ แล้วเกิดปัญญามาสอนให้ใจรู้ตาม เป็นจริง ไม่ใช่รู้ไปตามความอยากของใจ เพราะคนรา รู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม สัญชาตญาณของความ รักตัวเองทำให้เราตามใจตัวเอง คิดเข้าข้างตัวเองที่เรียกว่า ตัวเรา ของเราเมื่อมันมีตัวเราของเราแล้ว ก็ทําให้ทิศทาง บ่ายเบน พอที่อะไรจะไปตรงๆ เพื่อไปสม่ำเสมอกัน แรงดูดของ เรามาทำให้วิถีเบนออกไปแล้ว นึกดูสิรถที่จะแล่นตรงๆ ไปบนถนน เบนออกไปแล้ว ก็ผิด ทิศทางไปแล้ว เดียวก็เลี่ยวออกนอกทิศทางไปเลยนึกเหมือนกัน เมื่อสิตของเรามอยู่อยางนี้ เอาปัญญาถ่วงศรัทธาเอาไว้ ให้อยู่ตรงกลางพอดีๆ เพราะถ้าศรัทธาอย่างเดียว เรางมงาย ใจเรานี่น่ะ ปากก็บอกว่า ฉันไม่เชื่อใครง่ายๆ ใครจะมาหลอก ฉัน ไม่ใช่จะหลอกได้นะ ครั้นเราคอยเอาสติตาม
จับจ้องใจเอาไว้ จะพบว่า เรานี่แหละ มงคลตื่นข่าว ที่หนึ่งเลยตอนนี้จวนจะสอบกันแล้ว ถ้ามีใครจะมาแนะ วิธีที่จะสอบให้ได้ดีโดยไม่ต้องท่องหนังสือ ดิฉันแน่ใจเลยว่า ทุกคนยินดีหนีเรียนไปฟัง ทุกคนยินดีทำทุก อย่างเพื่อที่จะไปรู้ว่า เขาจะทำอย่างไร ไปฟังแล้ว เขาบอกว่าไม่ต้องทำอะไรหรอก เขาจะให้คาถาไป
ท่อง ก่อนนอนก็ท่องสามจบ ตื่นนอนเช้าก็ท่อง สามจบ แล้วค่อยล้างหน้า แล้วค่อยทำกิจกรรมอื่นตามปกติ ทุกคนจะรีบท่องคาถาอันนี้ ท่องกันใหญ่ เลย ทั้งๆ ที่ใจบางคนค้านว่า ไม่เชือหรอก แต่ก็รั้งใจตัวเองไม่ได้ว่า ลองดู... จะเสียหายตรงไหนพอเราลองแล้ว โดยไม่รู้ตัว เราก็ไปยึด ทั้งๆ ที่เราบอกเราไม่เชือหรอก แต่ส่วนหนึ่งของจิตไร้สำนึก ก็ไปยึดแล้วว่า ผลอาจจะมีก็ได้ พอยึดเช่นนั้น ก็ชะล่าใจ รู้สึกว่าเรามีคาถาดีอยู่แล้ว แทนที่จะตั้งหน้าตั้งตาดูหนังสือ หนังโปรแกรมนี้ดี ไปดูเสียก่อนก็ไม่เป็นไรหรอกน่า ก็ไปดูหนัง เวลาจะท่องหนังสือก็ไม่ได้ท่องหนังสือ ครั้นถึงเวลาจะนอน เวลาว่าคาถาสามจบ ถ้าเอามาท่องหนังสือ ก็อาจท่องจบไปบทหนึ่ง ก็ได้รู้เรืองไปบทหนึ่ง... เดี๋ยวก่อนท่องคาถาก่อน พอท่องคาถาเสร็จ เกิดความอุ่นใจอย่างน้อยเราก็มีของคุ้มกัน ไม่เป็นไรหรอก นอน เสียก่อนเถอะน่า ไม่เป็นไรนะ นอนก็นอน ถ้านอนดึกเดี๋ยวพรุ่งนี้ฟังเลคเชอร์ไม่รู้เรื่องเวลาที่ควรจะทำจริงๆ จังๆ ก็ไม่เป็นอันทำ เพราะไปคิดเรียนหนังสือวิธีลัด พอข้อสอบออกมา
เราก็เดาไปบ้าง คิดเอาเองบ้าง ข้อสอบเขาถาม อย่างหนึง เราตอบไปอีกอย่างหนึ่ง ถึงจะตอบถูก
แต่ครูก็ว่า ไอ้นี่เสียสติ ฉันถามอย่างหนึ่ง ไปตอบอีก อย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น ครูก็เลยวงกลมๆ ศูนย์หนึ่งใบให้ เราก็แย่เลยถ้าเราประพฤติตัวอย่างนี้ ชีวิตเราจะราบรื่นไหม ไม่ราบรื่น เราจะมีความเดือดร้อนอยู่เรื่อย เพราะอะไร เพราะว่าเราไม่ได้ไตร่ตรองหาเหตุผล ว่าเรื่องที่เราทุ่มเทจิตใจลงไปนั่น สมเหตุสมผลหรอ ไม่ ควรอย่างไรบ้างเราไม่ไตร่ตรองหาเหตุหาผลถามตัวเอง หรือดีขึ้นอีกหน่อย ไตร่ตรองแล้ว พบว่าคาถาอะไรก็ไม่ วิเศษเท่าเราพากเพียรเรียนท่องเอง ด้วยตาของเราด้วยใจของเรา แล้วทบทวนดู แต่ความขี้เกียจมีมาก ท่องเพียงครึงหนึ่งเถอะ อีกครึ่งหนึ่งให้คาถาช่วยก็ แล้วกัน เสียงเอา เรากลายเป็นนักพนันโดยไม่รู้ตัวเลือกดู ตรงไหนสำคัญก็คิดว่าครูจะถาม เราก็ดูแต่ตรงนั้น ตรงอื่นไม่สำคัญ ไม่เป็นไร เดาเอาเองก็คงได้
เมื่อเป็นอย่างนี้ เราอาจสอบได้จริง เพราะ เผอิญข้อสอบที่ครูออกตรงกับที่เราดู แล้วเราก็ภูมิใจ ว่าเรารู้จริงแล้ว พอไปทํางานเข้า ปรากฏว่าที่ทำ งานที่รับเราไว้ เขาให้เรารับผิดชอบตรงเรื่องที่เรา ไม่ใส่ใจเรียน ไม่เตรียมท่องสอบเอาไว้ เพราะคิดว่า ไม่สําคัญพอมาทํางานรับผิดชอบ นายถือว่าจบเป็นบัณฑิตแล้ว ก็ต้องรู้ซิ เราก็ไม่รู้ ครั้นไปถามใครให้ อธิบายให้ฟัง เราก็ไม่เข้าใจอีกนั่นแหละ เพราะขาด ความรู้มาตั้งแต่ต้นเสียแล้ว แม้เขามาช่วยต่อหลังคา ให้ เราก็เอาไปต่อกับเสาปักลงดินไม่ได้ เพราะไม่รู้ ไม่เข้าใจตั้งแต่ต้น ไม่มีรากฐาน ไม่มีอะไรเลยทีนี้ก็เดือดร้อนสิ ทำอย่างไรล่ะ งานเขาก็ให้เต็มที่ เพราะเขาคิดว่าเราต้องรู้แล้ว ไอ้เราก็ทําไม่ ได้จะไปหาเวลาเรียนใหม่ก็เกิดความท้อถอย เพราะตอนนี่ก็ไม่เหมือนสมัยเป็นนักเรียน มีภาระมาให้รับ ผิดชอบเยอะแยะ ย้ายงานเถอะ นายที่นี่ไม่ดี พูดไม่ ถูกรูหู เอ้า ย้ายงานใหม่ เราเลยมีประวัติเหวอะหวะ เพราะเวลาเราไปสมัครงานที่ไหนเขาก็ให้กรอกประวัติ ถ้าเราย้ายงาน
สักสองแห่งสามแห่ง นายจะมีเครื่องหมายคำถามอันใหญ่ในหัวใจว่า เอ๊ะ นี่คงตัวปัญหาใหญ่กระมัง
พอมีเรื่องอะไรนิดหนึ่ง ยังไม่ทันทีเราจะทำผิดเลย เขาก็นึกแลัว คงเป็นคุณคนนี้นี่เอง เพราะแต่ก่อนร่อนชะไร ที่ทํางานของเราก็เรียบร้อยดี ปัญหามาเกิดเอาตอนนี่ เราก็กลายเป็นจำเลยไป ถึงไม่มี หลักฐานมัดตัวเราได้ แต่ความระแวงสงสัย ทัศนคติไม่ดีที่เขามีต่อเราก็ทำให้ ต่อไปๆ อะไรจะเกิดขึ้นเราก็เป็นเป้าอยู่เสมอ
ดังที่ดิฉันเรียนแล้ว เวลายิ่งอะไรออกไป ถ้า ทิศทางของเป้าไม่เทียงตรง สมมติตอนออกจากจุดตั้งต้นนั้น บ่ายเบนไปเพียงหนึ่งองศา แต่ยิงอยู่กันไปนานเท่าไหร่ หนึ่งองศานี้ ที่เส้นรัศมียาวเป็นอนันต์ก็อาจผิดจากจุดมุ่งหมายไปไกลไม่มีสิ้นสุดได้เหมือน กันถ้าเริมต้นด้วยอะไรที่ไม่ชอบธรรม แม้กระทั่ง นิดเดียว เหมือนเราเอายาพิษใส่เข้าไปในถ้วยน้ำยาพิษนี่เป็นก้อนแข็ง ครั้งแรกยังไม่ละลายน้ำเท่าไหร่ เอาน้ำนันไปใช้ดีมใช้กินก็ยังไม่เป็นอันตราย แต่ถ้า แช่ทิ้งไว้ ยิ่งนานวันไป พิษอันนั้นก็ยิ่งละลายซึมซาบ
เข้าไปในน้ำ ผลที่สุด หยดน้อยๆ หยดเดียว ก็เป็นพิษเป็นภัยถึงชีวิตได้เมื่อเราเป็นอย่างนี้ ก็มีแต่อันตราย มีแต่ทางจะไม่เข้าใจกัน แล้วเรื่องก็ลุกลามใหญ่โตไปเรื่อยๆ ใจของเราเองจะเป็นใจที่มีแผล เพราะยังไม่ใช่ใจที่เที่ยงธรรม ยังเป็นใจทีมีกิเลส มีความรักตัว เห็นแก่ ตัวอยู่ ทำให้มองไม่เห็นที่บกพร่องของตน ไปผูกใจ จดจ่อว่า ทีอีน คนอื่นไม่ยุติธรรมกับเราเหมือนมือมีแผล ถ้าเราเอาแช่ลงไปในน้ำเกลือ ก็จะแสบ จะถูกกัดให้อักเสบได้ แต่ถ้ามือของเราไม่ มีแผล แม้ไปถูกน้ำเกลือ ก็ไม่เป็นอะไรพระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบว่า มือไม่มีแผล แม้แช่ลงไปในอ่างยาพิษ น้ำที่เป็นพิษก็ไม่สามารถซึมผ่านหนังที่ดีๆ เข้าไปในตัวเราได้ แต่ถ้าบังเอิญ มือเรามีแผล มีรอยถลอก ยาพิษจะซึมแทรกตาม รอยแผลเข้าไปในเส้นเลือด ไปเป็นอันตรายกับเรา ได้ใจของเราก็เหมือนกัน ถ้าเมือไรก็ตามที่เรามีสติมีศรัทธา มีปัญญา มีสมาธิ มีความเพียร เป็น
กำลังคุ้มกันอยู ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราตกไปอยู่
กับคนไม่ดี ไม่ดีอย่างไร กำลังเหล่านี่จะคุ้มกันใจของ เรา ไม่ให้ไปรับขยะทีเขาพ่นใส่เรา ไม่ให้ไปรับความลําเอียง ความไม่เป็นธรรม มาเป็นพิษเป็นภัยกับเราได้ เราจะไตร่ตรองว่า ของทีคนเอามาให้เรา เราไม่ ชอบใจ เราไม่เอามือจับมาใส่ปากเรา ยาพิษก็เป็น พิษกับเราไม่ได้คำพูดทีเขาพูดรกหูเรา ถ้าเราไม่รับเอาเข้ามา เก็บในใจเรา แล้วไปแปลความหมาย มันก็มากวน ใจเรา ให้เกิดความโกรธไม่ได้เมื่อใจเราไม่เกิดความโกรธ หรือถูกกระทบ กระเทือนไป วาจาของเราก็จะไม่ไปก้าวร้าว ท้าตีท้า ต่อยกับเขา เรืองทั้งหลายก็จบ เพราะเราไม่ทอด สะพานออกไปรับสิงไม่พึงประสงค์เหล่านัน มาเป็น ยาพิษแก่ใจของเราถ้าเห็นอย่างนี้ เราก็มีทางคุ้มครองตัวเองให้ ปลอดภัย เพราะเรารู้แล้วว่า ถึงตัวของเราเกลือก กลั้วสัมผัสอยู่กับสิ่งแวดล้อม อิงอาศัยอยู่ในโลกนี้แต่โลกนี่ก็ไม่สามารถเข้ามาก่อกวนเราได้ ถ้าเราไม่ เปิดประตู ทอดสะพานออกไปรับ
เหมือนเรากำลังอยู่กันในห้องนี้ เกิดมีลมพายุ สลาตันพัดขึ้ฝุ่นขี้ผงเข้ามา เราปิดหน้าต่างเสียให้ หมด ปิดประตูเสียให้หมด ขี้ฝุ่นขี้ผงอะไรก็เข้ามาสกปรกรกในห้องนี้ของเราไม่ได้
ใจของเราก็เหมือนกัน ถ้าเรารู้ว่าสิ่งภายนอกไม่ดี ไม่เป็นมงคลกับเรา เราไม่พอใจ แต่ก็ยังหา ทางหลีกออกไปไม่ได้ เราก็ปิดประตูปิดหน้าต่างใจเราปิดตาหูจมูกลิ้นกายเสีย อย่าเอาประสาทสัมผัส ไปต่อเข้าไปตาเหินรูป ก็อย่าเอาประสาทตาเข้าไปต่อเสีย รูปอันนั้นก็มาก่อกวนโทโสเราไม่ได้หูได้ยินเสียง เราอย่าไปแปลความหมายว่า เขาด่าเรา เราหยุดแค่เสียงสักแต่ว่าเสียง เราทำเหมือนกับว่าเขาพูดภาษาอะไรที่เราไม่รู้ แปลไม่ออกแต่ก่อนนั้น เราบอกว่า คนคนนี้พูดรกหูเรา เหลือเกิน ถ้าเราคิดจริงๆ เอาสติมารักษาใจเรา เราจะเห็นว่าจริงๆ มันไม่ใช่คำพูดเขา ไม่ใช่เสียง เขาแต่เพราะเราเอาโสตวิญญาณ เอาใจของเรา แบ่งภาคไปเกี่ยวเอาเสียงของเขาเข้ามาซับไว้ในใจของเรา แล้วเราก็เอาความปรุงคิดของเรา หรือ ความจำได้หมายรู้เก่าๆ ของเรา ไปแปลความหมาย ของคําพูดเหล่านั้น
สมมุติเขาว่าเราว่า คนอะไรไม่รู้ สตี ถ้าเรา ไม่เคยมีประสบการณ์ฝังใจอะไรกับเขาเลย ไม่เคย รู้จักกันมาก่อนเลย เราได้ยินคนคนนี้ว่าเรา คนอะไร ไม่รู้สตี เราก็อาจจะมองหน้าเขานิด เออ... คงจะ หลุดออกมาจากโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา แล้ว เราก็หัวเราะ แล้วก็กองคําพูดของเขาทิ้งไว้ตรงนั้น ไม่เดือดร้อน
แต่ถ้าคนคนนี้เคยมีกรณีพิพาทกับเรามา และ เรากับเขาก็คุมเชิงกันอยู่ ว่าใครจะแน่กว่าใคร พอ ได้ยิน เราไม่ได้ไตร่ตรองเลยว่านี่เขาว่าเรา หรือเขา กำลังพูดอะไรอยู่ คําว่า สตี ซับเข้ามาในใจเราแล้ว แล้วทำปฏิกิริยากับใจเรา ทําให้อุณหภูมิร้อนขึ้นๆ ดีไม่ดี เราจะชกเปรี้ยงไปเลย โดยไม่ถามสักคำ ซึ่ง ความจริงเขาไม่เห็นว่าเราเดินมาข้างหลังเขาด้วยซ้ำ เขากำลังคุยกับเพื่อนอยู่ กำลังวิพากษ์วิจารณ์ เพื่อน โดยที่เขาไม่ได้คิดถึงเราเลย แต่คำว่า สตี ที่ซับเข้ามา ก่อปฏิกิริยาเคมีขึ้นในใจเรา จนกระทั่ง
เราร้อนฉ่า เกิดผลเป็นลูกไฟกระเด็นไปใส่เขาเข้า ไปแล้ว
ถ้าเราไม่รักษาใจของเรา เราจะไม่มีความสุขเลย เพราะในโลกนี้มีแต่ของร้อนที่มากระทบกระทั่ง ใจเราทังนั้น ถ้าเราเผลอสติ ไปแปลความหมายให้ เป็นความกระทบกระทั่งใจแต่ถ้าเราหัดแปลความหมายเสียใหม่ พอได้ยินคําว่า สติ เราก็ถามตัวเองว่า แล้วเราสตีจริงอย่างเขาว่าหรือเปล่า ถ้ามีสติ มีปัญญา เราจะพิจารณา เราจะย้อนถามตัวเอง ถ้ายังไม่แน่ใจ ไม่มันใจในตัว เอง เราก็ลังเล ไม่สบายใจให้เราเตือนตัวเองว่า เราจะพิสูจน์ให้โลกเห็นว่า เราไม่ได้สตี ด้วยการที แต่นี่ต่อไป เราจะสำรวมระวัง ไตร่ตรองให้แน่นอนเสียก่อน ว่าอะไรก็ตามที่จะทำไป ต้องดีจริง ต้องถูกต้อง มีคุณภาพเราก็น้อมเอาถ้อยคำของเขา ที่เราคิดว่าเป็น คำปรามาส ให้มาเกิดเป็นคุณกับเรา พอเราน้อมมา เป็นทำนองนี้ได้ ใจที่จะไปผูกอาฆาตกับเขา ไปผูกใจ เจ็บกับเขา เปลี่ยนสถานะไปแล้ว เกิดเห็นประโยชน์ ว่าที่จริงเขาก็มีบุญคุณกับเรานะ ถ้าเราอยู่ท่ามกลาง
คนที่เรารักหมด พูดจารื่นหูถูกใจเราไปหมด เราก็ จะหลวมตัว หลงตัวเอง แล้วก็ไม่มีโอกาสทำให้ตัวดีขึ้นไปจากทีเป็นอยู่ขณะนี้แทนที่เราจะมีความสามารถเป็นเยียม เราก็ได้เพียงแค่ชั่นหนึ่งธรรมดา ๆ อย่างนี้ เพราะเราไม่ มีความกระตือรือร้น ไม่มีความขวนขวาย เสาะแสวงหาความดีเพิมเติมให้ตัวเอง เราพออกพอใจเสียแล้วตกลงเราก็น้อมเอาเขามาเป็นครู มาเป็นแรง กระตุ้น ให้เราขยันหมันเพียรต่อไปเรื่อยๆ ไม่หลง ตัวเอง ใจของเราก็ไม่ไปเป็นพิษเป็นภัยกับเขา ขณะเดียวกัน ก็เอาความเห็น เอาคำพูดของเขา มา เป็นสิ่งเตือนให้เราคอยระมัดระวังตัวเองผลจากการทำอย่างนั้น ก็เป็นคุณความดีของ เราทำให้เราเป็นคนไม่ประมาท ไม่ใช่คนทีจะหลงตัวเองง่ายๆทำให้เราปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นไป เรื่อย ๆโดยไม่มีขีดขัน ไม่อย่างนั้น คนมักคิดเอาเองว่า เรียนจบแล้ว ได้เหรียญทองแล้ว ฉันเก่งที่สุดแล้ว ไม่ต้องศึกษาเรียนรู้ต่อแล้ว
เวลาที่ผ่านไป เปรียบเสมือนเราไปยืนอยู่บน บันไดเลื่อนที่เลื่อนลง คนเรานี้ ถ้าอยู่เฉยๆ ในโลก ไม่เอาสติ เอาปัญญา ไตร่ตรองพิจารณา เหตุการณ์
เกี่ยวข้องที่เกิดขึ้นทุกวนๆๆ ให้เป็นหินลับสติปัญญา จะเหมือนเราไปยืนบนบันไดเลือนตามศูนย์การค้าที เลือนลงตลอดเวลา เพราะฉะนั้น เราจะไม่อยู่ตรง จุดที่เราไปยืนหรอก เผลอๆ เราก็เลือนลงมาจนตก ไปจากบันไดเลยเราต้องทำตัวให้ก้าวหน้าอยู่เสมอ ต้องเอาประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจากชีวิตของเรามาแนะสอนตัว เองให้รอบคอบ ให้จดจำสิ่งบกพร่อง แล้วไม่เผลอ เพื่อสิ่งนั้นจะได้ไม่ติดไปเป็นอุปนิสัยที่ไม่ดี ทำให้เราขาดทุนศูนย์กำไร อุปมาเหมือนเราเดินหรือวิ่งขึ้นบันไดเลือนที่เลื่อนขึ้นอยู่ตลอดเวลาเพื่อ ขึ้นไปถึงชั้นบนได้จะได้หลุดไปจากบันไดเลื่อน เราจึงจะปลอดภัยถ้านึกอยู่อย่างนี้ ขวนขวายพากเพียรกระทำ ในสิ่งที่ถูกทํานองคลองธรรมอย่างนี้ เมื่อรู้ว่าเรายัง ไม่ใช่คนเก่ง ก็พากเพียรขวนขวาย เพื่อนเขาอ่าน หนังสือเที่ยวเดียวรู้หมด แต่เราไม่รู้ เราก็อ่านสองเที่ยว ห้าเที่ยว สิบเที่ยว
เพื่อนเขาอ่านเร็ว อ่านเอาแต่ความ เราไม่ เก่งอย่างเขา จําเป็นต้องอ่านทุกๆ ตัว แล้วใคร่ ครวญไป เรารู้ว่าเราไปช้ากว่าหอยทาก เราก็ต้อง ตั้งตนเร็วกว่าเขา เขาตื่นแปดโมงแล้วมาเข้าเรียนทัน บ้านเราไกล เราต้องตื่นตั้งแต่หกโมงจึงมาทัน
ถ้าเราพากเพียร แล้วมัธยัสถ์ สะสมคุณงาม ความดีให้ตัวเองอย่างนี้ วันหนึ่ง เราก็ไปถึงที่ที่เรา ต้องการจะไปได้ไม่ใช่ว่าเรารู้ว่าเขาเรียนดีหัวดี เลยคอยเฝ้าหาทาง แอบขโมยตำราเขาไปเผาหรือ ไปซ่อนเสีย ถ้าทำอย่างนั้น ไม่เรียกว่าเราพากเพียร โดยถูกทำนองคลองธรรม อย่างนั้นเขาเรียกว่า พากเพียรทำให้ตัวเองเป็นคนอันธพาล แล้วเราจะ เอาตัวไม่รอด เป็นสิ่งไม่ดี ไม่ทำให้ใจมีความสงบผาสุ เป็นของร้อน
ใจของคนเราแปลกอยู่อย่างหนึ่ง เรานึกว่าเราลืมสิ่งที่ผ่านไป แต่จริงๆ ไม่ได้ลืม อดีตจะตก ตะกอนนอนก้นลงไปในส่วนที่เป็นจิตไร้สำนึก รอ วาระที่จะงอก เป็นผลของสิ่งที่ไปทำเอาไว้ คิดเอาไว้พูดเอาไว้
ทุกเวลานาทีในชีวิต การกระทํา คําพูด ความคิด เป็นเหมือนเม็ดพันธุ์พิชที่พร้อมจะงอกอยู่ เสมอเสมอ ไม่ใช่เม็ดแกร็น เม็ดลีบเม็ดฝ่อแต่วาระที่ จะงอกนี่ ไม่เป็นตามจังหวะที่กระทำ ไม่ใช่เราพูด
วันนี้ พรุ่งนี้ก็ต้องงอก เราพูดวานนี้ วันนี้ก็ต้องงอกก่อน ไม่ใช่อย่างนั้น เราไม่รู้จังหวะของมัน แต่มัน จะงอกให้เราเสวยผลทั้งนั้นเหมือนเราไปชกใครกลางถนนเข้าสักคนหนึ่งเพราะหมันไส้ว่า ไอ้คนนี้เกะกะลูกนัยน์ตาเรา เขาก็ชกเราเปรี้งตอบเหมือนกันวาระที่ผลการกระทำ คำพูด ความคิด ของเราจะให้ผล ไม่ใช่ตรงไปตรงมาอย่างนี่ ไม่ใช่ว่าพอเราชกเขา เขาก็ชกเปรี้ยงตอบคนบางคน เราชกเขาแล้ว เขาเล็งดูว่า เขา ยังไม่มีแรงที่จะชกชนะเราได้ เพราะเรารูปร่างล่ำสัน กว่าเขา เขาก็สงบเสงียม เดินหลีกเราไป แต่ในใจ เขาผูกใจเจ็บเอาไว้แล้วว่า คอยก่อนเถิด วันหนึ่งฉันมีกล้ามใหญ่กว่านี้ ฉันจะมาชกคืน หรือถ้าเขาทำ อย่างนั้นไม่ได้ เขาก็คอยจนกว่าจะหานักเลงใหญ่มาแล้วคราวนี่ก็เอาเสียให้เราต้นคอหักเลย ก็ได้
เรารู้ไม่ได้ว่าจิตใจของคนทีเราไปล่วงล้ำก้ำเกินเขาคิดอย่างไร เขามีธัมมะหรือไม่มีธัมมะในใจ เรา รู้ไม่ได้ แต่ส่วนของเรานั้น อะไรที่เราทำลงไป เหตุ อะไรก็ตามทีเราประกอบเอาไว้ เหตุอันนั้นจะให้ผล กลับมาตอบสนองเราทั้งนั้นผู้ที่จดจำเอาไว้ ไม่ใช่ใครที่ไหน จิตไร้สำนึก ของเราเอง แล้วเวลามาทวงคืน มันไม่มาทวงคืน ขณะทีเราสุขสบาย แข็งแรง แต่จะมาเวลาเราแย่เราจนตรอกจนมุมอย่างกับว่า เรามีนิสัยลอบกัด หรือเราไม่จริง ใจกับใคร เป็นต้นว่า เราปากหวาน ใครพูดอะไรเรา ก็รับปากรับคำเรื่อยไป แต่ไม่เคยไปช่วย ไม่เคยไป ทำ ไม่เคยไปจัดการอะไรให้ใครเลยพอถึงเวลาเราเข้าที่คับขัน คนเขาเมตตาช่วยเหลือ จิตไร้สำนึกของเราก็เอาตัวเองมาเป็นไม้วัด แทนที่จะสบายอกสบายใจว่า เขารับปากว่าจะช่วย เหตุที่เราทำเอาไว้ ก็ทําให้ใจเกิดความสงสัย ความระแวงนี่เขาคงดีแต่ปากพูด แล้วก็ไม่ทำให้เราตกลงเราก็ทุรนทุรายกระสับกระส่าย ดีไม่ดีเห็นกงจักรเป็นดอกบัว คิดช่วยตัวเองโดยวิธีทีทำตัว
ให้ทุกข์หนักเข้าไปอีก เป็นต้นว่า เราเดือดร้อน ขาดแคลนเงิน แล้วก็มีคนบอกว่า เอาเถอะ อาทิตย์ หน้านะ รอให้ฉันรวบรวมเงินได้ก่อน ฉันจะเอามา ช่วย เราก็ทุรนทุราย เอาตัวเป็นที่ตั้ง แต่ก่อนๆ ที่ใครเขาเดือดร้อน แล้วเราไปรับปากว่าจะช่วยเขา นั้น เราไม่เคยช่วยเลย เราก็ไม่เชือว่าเขาพูดจริงร ะหว่างนี้ ใจก็ครุ่นคิดว่า จะทำอย่างไร...ทำอย่างไร เราจึงจะได้สตางค์มาถ้าอกุศลกรรมของเรามีมาก มันก็ไปเจอ จังหวะทีใครเขาเผลอ วางกระเป๋าสตางค์เปิดอ้าเอา ไว้ เห็นใบสีม่วงๆ ดูดใจเราจนทนไม่ไหว ก็ไปหยิบของเขามา หรือไปปล้นเขา ตีหัวเขา ปลดทรัพย์สินมาอันนี้เรารู้ไม่ได้ เพราะเราไม่รู้ว่า เหตุแต่เก่า ก่อนที่ทำไว้ จะมีอะไรมาชักจูงเราให้ชั่วร้ายลงไปถึง อย่างนั้น คนบางคนเจอกัน ทะเลาะกันคำสองคำเผอิญหน้ามืดขึ้น แล้วมีมีดมีพร้ามีปืนอยู่แถวนั้น มันไม่ถูกหูนิดหนึ้ง ก็สติหลุด หยิบอาวุธแถวนั้นแทงสวนเข้าไป ยิงเปรี้ยงเข้าไปเลย ที่คิดว่าจะทะเลาะ กันเฉยๆ กลายเป็นว่าคู่กรณีตายไป ตัวเองเข้าคุกในเสี้ยววินาทีเดียวนี่น่ะ ชีวิตคนเราอาจจะพลิกหล่นมาจากหน้าผา ดิ่งลงมาถึงกันเหวเลยก็ได้ถ้าเราไม่ฝึกให้สติมีอยู่ เป็นเครื่องเหนียวรั้งใจ
ดั่งทีเรียนแล้ว จิตไร้สำนึกของเราจดจำ จดจำอะไรต่ออะไร ต่ออะไร สะสมคังค้างอยู่ในใจ แล้วเราก็ไม่รู้ว่าในช่วงขณะเหล่านั้น แรงอันไหนจะขึ้น มาปะทะ แล้วพัดเราปลิวตามไป ถ้าเรามีสติอยู่นี้จะเป็นเครื่องเหนียวรั้ง จะเป็นเครื่องคุ้มครอง จะ เป็นกำลัง ให้เราพึงตัวเองได้ ช่วยตัวเองได้

ถ้าเชื่อตรงนี้ เราก็จะเป็นบัณฑิตที่แท้จริงได้ เพราะอะไร เพราะ ไม่ว่าเหตุเก่าๆ จะมีร้ายแรงแค่ไหน ปานใด สติและปัญญาของมนุษย์สามารถแก้ไข เหตุร้ายให้คลีคลาย จนกระทั่งเราเอาตัวรอดปลอด ภัยได้
ถึงเราจะเคยทําชั่ว ทําผิด ถึงขันติดคุกติดตะรางมาแล้ว เราก็สามารถฝึกฝน เหนี่ยวรั้งใจ ให้มี กำลังใจรับโทษทัณฑ์อันนั้น แล้วเอาความทุกข์ยากระหว่างรับโทษทัณฑ์เป็นเครื่องสอนใจว่า อย่าได้ให้อารมณ์มาลากจูงเราไปทําความผิดความชั่ว อย่างนั้นอีก ความผิดความซัวก็กลายเป็นของดี ที่ช่วยเหนี่ยวรั้งและเตือนเราไม่ให้เผลอทำอีกเป็นครั้งตรงจุดนี้คือปฐมเหตุให้เกิดพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมา ตรงจุดนี้คือโอกาสทองที่เราจะขวนขวาย หาความเป็นไทให้กับตัวเองได้ไม่ว่าเราจะเป็นคนขี้โมโหโทโส เราจะเป็นคน โลภ อยากได้ไม่มีจุดจบ เราจะเป็นคนหลง เห็นผิด เป็นชอบ ใครพูดอะไร ตื่นเงาตามเขาไปหมด แล้ว ก็ทุกข์เดือดร้อนทุกครั้งที่มีเรื่องขึ้น แล้วเพื่อนๆ ปล่อยให้เราเป็นแพะรับบาปอยู่คนเดียวไม่ว่าเราจะเคยผิดเคยพลาดอย่างไรมา ถ้าใจ เห็นจุดนี้ แล้วเตือนตัวเองว่า พระพุทธองค์มาแต่ ไหน แต่เดิมพระพุทธองค์ก็ไม่ใช่บัณฑิต พระพุทธองค์ก็ไม่ใช่ โลกวิทู ไม่ใช่ผู้รู้รอบโลก ท่านก็รู้ผิดรู้ พลาดอย่างเรามา
แต่ท่านฝึกสติของท่าน ฝึกพละ 5 ของท่าน จนครบถ้วนบริบูรณ์ของอะไรที่ท่านผิดหนึ่งครั้งแล้ว ท่านจะจำ และไม่ยอมให้ความผิดอย่างนั้นมาฉุดลากท่านไปได้ อีกเลย ความผิดพลาดทุกอันเป็นครู ศัตรูทุกคนเป็น ครู เพราะท่านน้อมมาเป็นแรง เพื่อให้ท่านมีความบากบันพากเพียร แสวงหาคุณธรรมที่ยังขาดแคลนให้ครบถ้วนบริบูรณ์ขึ้นมา ท่านจึงขจัดความซัว ความไม่ดี ความบกพร่องทั้งหลาย ออกไปจากอุปนิสัยขันธสันดานและจิตใจของท่านท่านขจัดชำระล้างให้ใจที่เป็นพุทธะ เบิกบาน ฉายแสงสาดสว่างเต็มที ไ ของอวิชชาตัณหาอุปาทานบดบังเลย
ใจทีเป็นผู้รู้ หรือบัณฑิต ก็คืออันเดียวกัน แต่ เราเอาคำว่า บัณฑิต มาใช้ในความหมายที่คับแคบ ในความหมายทีว่า เมือใดก็ตามทีเราได้กระดาษหนึ่ง แผ่นที่เรียกว่าปริญญา หรือประกาศนียบัตร แล้ว เราจึงกลายเป็นบัณฑิตไปถ้าเราไปหลงอย่างนั้น เราปิดกันหนทางตัวเอง คล้ายๆ กับว่า เราเห็นกะลาครอบเป็นฟ้าแล้วแล้วเราก็พอใจว่า โลกของเราถึงที่สุดแล้ว เราไม่ ขวนขวายหาวิชชาคือความรู้ตามเป็นจริง ให้ตัวของเรา เราไปหลงว่า บัดนี่ฉันมีปริญญาหนึงใบแล้ว ฉันเป็นบัณฑิตแล้ว คนไม่มีปริญญาเป็นคนโง่เง่า
เราไปหลงภาคภูมิ แล้วคิดว่าความสำเร็จ ของชีวิตอยู่ที่การแสวงหาวัตถุให้ทัดเทียม หรือให้ เหนือกว่าคนอื่น เพื่อเราจะได้มองคนอื่นอย่างภาคภูมิ แต่ไม่ได้ไตร่ตรอง วิธีแสวงหา ว่าวิธีนั้นถูก ต้อง ยุติธรรม เป็นธรรมแค่ไหน เราคิดว่า ถ้าฉันเป็นคนฉลาดเสียอย่างหนึ่ง อยากได้อะไร ไม่ได้ด้วย เล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็เอาด้วยคาถา เอาทุกท่า แล้วก็อย่างนั้นแหละฉันจึงจะฉลาดจริงถ้าเราหลงไปอย่างนั่น กาลเวลาที่ล่วงไปก็จะ เป็นพิษเป็นภัยกับเรา ยิ่งมีอายุนานไปเท่าไหร่ จิตใจ ยิ่งสกปรกโสโครกมากขึ้นเท่านั้น มีแต่หนี้สินติดตัวมากขึ้นเท่านั้นเพราะเป็นจิตใจที่คุ้นเคยกับความชั่ว ความไม่ดีต่างๆ นานา จนกระทั่งเป็นใจที่หนักมืดมัว ไปหมดถ้าเราคิดว่า บัณฑิตคือผู้รู้ รู้อะไร รู้ตามสภาวะเป็นจริง อะไรก็ตามทีเป็นของเป็นจริงตาม ธรรมชาติ ไม่ว่าเราจะรู้หนังสือไม่รู้หนังสือ ไม่ว่า เราจะรู้ธัมมะหรือไม่รู้ธัมมะ จะพูดภาษาใด ชาติใดถ้าสิ่งนี้เป็นความจริงแล้ว มันก็จะต้องเป็นความจริงอย่างนั้นวันยังคำ เหมือนเราเอาสารสีขาวอัน
หนึ่งมาแตะลิ้น แล้วรู้ว่ามันหวาน เรารู้ว่าสารนัน เป็นนําตาล ไม่ว่าเราจะเรียกมันว่าน้ําตาล หรือจะเรียกว่าอะไรก็ตาม มันก็คงเป็นน้าตาลอยู่วันยังค่ำถ้าเรารู้เราเห็นอย่างนี้ จิตของเราจึงจะเป็น บัณฑิตจึงจะเลี้ยงตัวรอดจึงจะมีตนได้ เพราะเราเข้าใจแล้วว่า ชีวิตของเรานี้เราจะ ไปที่ไหน จะทำอะไร
เราก็ไม่หลงไปติดอยู่กับเปลือก ไปติดอยู่กับ ตำแหน่งหน้าที่ เกียรติยศ ทรัพย์สินวัตถุที่แสวงหาได้ เราเห็นสิงเหล่านั้น เป็นแต่เพียงเครื่องอำนวยความสะดวกเป็นเครื่องทำให้เรามีความสุข มีความสุขกายตามควร ไม่ต้องไปเดือดร้อนจนไม่มีเวลา มาดูแล มาสังเกตใจตัวเอง ก็มีเวลาเพียงพอที่จะมา ทำนุบำรุง หาอาหารให้แก่ใจ ไม่ต้องไปเดือดร้อนหาเช้าเพื่อกินค่ำ นอนหลับก็ยังกังวลว่า พรุ่งนี้จะเอาอะไรมาเลี่ยงท้องตัวเอง มาเลี่ยงท้องครอบครัว ซึ่งความเป็นอยู่อย่างนั้นบีบคั้น ทําให้เราไม่แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่เราเรียกว่าสัตว์เรามีเวลาถามตัวเองว่า การมีชีวิตอยู่แต่ละวันๆ เราได้ทําคุณงามความดีอะไรให้แก่ใจของเรา
บ้าง เราได้ทำอะไรทีเป็นการเสียสละ จาคะ ความชั่วความผิด ให้อภัยสิ่งที่เคยอาฆาตพยาบาทคน อื่นเอาไว้บ้างมีตัวอย่างคนงานที่โรงพยาบาล เพิ่งแต่งงาน ใหม่ เงินเดือนก็น้อย สามีกับตัวเขามีเงินที่เก็บหอม รอมริบกันมา รวมทั้งหมดประมาณห้าหมื่นบาท ก็ คิดจะสร้างบ้านของตัวเอง ทีนี้เงินห้าหมื่นนี่สร้าง บ้านไม่ได้หรอก ก็เกิดมีเพื่อนคนหนึ่งบอกว่า เอาไป เล่นแชร์ซิ รับรองว่าห้าหมื่นนี่ ภายในปีเดียว สร้าง บ้านได้แน่ๆ เลยเขาไปปรึกษาสามี สามีก็บอกว่าอย่าเลย สู้ เราค่อยเก็บหอมรอมริบของเราไปดีกว่า ถึงจะช้า หน่อย สามปี สี่ปี ห้าปี แต่เราก็สบายใจ มั่นใจว่า เป็นน้ำพักน้ำแรงของเราเพื่อนก็เซ้าซี้ทุกวัน เธอไปฟังอะไร สามีเธอ โบราณ สมัยนี้เขาต้องเอาเงินต่อเงิน แล้วเขาก็ โฆษณาห้าร้อยสีพันอย่าง จนกระทั่งคุณคนงานคน นั้นใจอ่อน แอบไปเอาเงินทั้งหมด ทั้งของสามีและของตัวเอง ให้เขาเอาไปเล่นแชร์ให้
พอเล่นแชร์ได้ไม่ถึงหกเดือน เพื่อนก็หาย
สาบสูญไป พร้อมกับเงินของลูกแชร์ทั้งหมดในโรงพยาบาล คราวนี้เจ้าตัวก็กลัว สามีคงฆ่าเราทิ้งแน่ๆ
เพราะเขาก็เตือนแล้วห้ามปรามแล้ว ความที่เสียใจ สติไม่อยู่กับตัว เขาก็ปีนขึ้นไปบนชั้น แปดของโรงพยาบาล จะไปกระโดดตึกให้ตายไปเลย เพื่อนฝูงรู้เข้าก็จับตัวเอาไว้ เรียกคุณหมอมาฉีดยาระงับประสาท รักษาจนกระทั่งดีขึ้นนายของเขาเป็นคนดี เมือทราบเรืองก็บอก ไม่เป็นไรหรอก จะหางานพิเศษให้ทำทั้งตัวเขาและ สามี สามีทำงานช่างไม้ได้ ก็หางานตามบ้านเพื่อน ฝูงให้ทำ สามารถเก็บสตางค์จนกระทั่งปลูกบ้าน เองได้ปรากฏว่า เวลาผ่านไปประมาณสองปี เขาก็ มาเล่าว่า“อาจารย์ค่ะ ตัวที่โกงสตางค์หนูไป ตอนนเป็น เนื่องอกที่สมอง มาเป็นคนป่วยในโรงพยาบาล ไม่รู้ว่าจะรอดหรือไม่รอด แล้วเนื่องอกก็ไปกดประสาท เป็นอัมพาต รู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง ผ่าตัดแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะกลับมาเป็นคนปกติได้หรือเปล่า”
เขาเล่าด้วยความสลดใจว่า
“อาจารย์เคยสอนเอาไว้ว่า กรรมนีมีผลจริง หนูชักจะเชื่อแล้ว”
ต่อมาเขาก็มาถามอีกว่า “หนูควรขึ้นไปอโหสิให้เขาไหม”
ดิฉันก็ถามเขาว่า "แล้วหนูคิดว่า หนูควรไหม ล่ะ"
"ใจหนึ่งก็บอกว่าควรค่ะ แต่อีกใจหนึ่ง แหมมันเจ็บใจ เสียดายเงิน”
อ้นในเป็นความจริง ทุกคนแหละ จะต้องรู้สึกว่าเรื่องอะไร ถึงมาโกงเราจนหมดเนื่อหมดตัวรู้ทั้งรู้เราก็ยังแบกความโกรธ ความเสียดายเอาไว้ จนใจ เราหนัก ใจเราไม่มีความสุขดิฉันก็เลยบอกเขาว่า “หนูลองไปคิดดู แล้ว พรุ่งนี้มาว่ากันใหม่” เขาก็คงไปคิด ไปตรึกตรอง เพราะวันแรกที่มาถามว่า ควรไปอโหสิให้ไหมนี่ พูดไป เสียงเขาก็สั่น น้ำตาก็คลอ พอวันถัดมา มาพบ เขาสงบลงเยอะ เขาบอกว่า
“ใจหนูค่อนไปทางจะขึ้นไปอภัยเขา แต่ แหมอีกใจก็ยังสันๆ อยู่” แต่เขาก็ดีขึ้นเยอะแล้ว
ดิฉันถามว่า “หนู หนูลองนึกดูดีๆ ซิ จริงๆ แล้ว คนๆ นั้นเขามาบีบบังคับหรือมาขู่เข็ญหนูหรือ เปล่า ว่าถ้าหนูไม่เอาสตางค์ห้าหมื่นไปให้เขา เขาจะ ทําร้ายหนู เปล่า เขาเพียงแต่พูด แต่ทีนี้ค้าพูดของ เขาบังเอิญมาแปะกาว ติดเอาความโลภในหัวใจของ เราไว้ได้ใช่หรือไม่ถ้าเราไม่มีความโลภ ไม่มีความอยากสร้างบ้าน ต่อให้เขาพูดอย่างไรๆ เราก็ไม่เชื่อเขา เราก็ ไม่เห็นดีเห็นงามตามเขา ถูกหรือเปล่า เห็นหรือ เปล่า ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่า ถ้ามือไม่มีแผลละก็ ต่อให้เอาไปแช่ในยาพิษ ยาพิษก็ทำร้ายเรา ไม่ได้ถ้าเราไม่มีตะกอนของความอยาก ความโลภ ความโกรธ ความหลง อยู่ในใจ ต่อให้คำพูดหรือการ กระทำของเขาจะมีสักเท่าไหร่ ๆ ๆ เขาไม่ทำให้เรา กวัดแกว่งตามไปได้หรอก”เขาก้เห็นจริงปรากฏว่า มาบอกแล้วเขาก็ขึ้นไปอโหสิให้ คนไข้เรียบร้อย แล้วก็หน้าตาใสเซียว บอกว่า “หนูไม่เคยนึกเลย ว่าการที่เรายกโทษให้เขานีน่ะ เราเอง กลับเป็นฝ่ายได้รับ หนูไม่เคยมีความสุขอย่างนี่มา ก่อนเลย”
ดิฉันก็ดีใจ ดีใจกับเขามาก เพราะอะไร ไม่ต้อง ปฏิบัติ แค่นีแหละ เขาถึงธัมมะแล้ว เป็นบัณฑิต แท้จริงแล้ว เพราะว่าใจเห็นความทุกข์ยากของ ความโกรธแค้นพยาบาทแต่ก่อนเขาเล่าว่า เขาเคยนึกจะไปหาปืนไปยิง แต่ไม่มีความกล้าพอ แล้วเคยฝันว่าตัวเองไปยิงเขาเห็นไหมว่า จิตที่ทุรนทุรายด้วยความไม่สมประสงค์ ทำร้ายเราอย่างไรบ้าง แล้วส่งผลให้เราไม่มีความสุขครั้นเขาขึ้นไปเห็นสภาพของคนไข้แล้ว เขาบอกว่า “เดียวนี้หนูเชื่อแล้วว่า เราเป็นผู้รับผลการ กระทำของเราเอง”
ความทุกข์โทมนัสของคนอื่นๆ ที่ถูกโกงแชร์ ก็คงมากพอๆ กับความทุกข์ของเด็กคนงาน หรือมากกว่า ความทุกข์เหล่านี้ทำให้คนบางคนไปฆ่าตัวตาย คนนี่ไม่ได้ถึงขันฆ่าตัวตาย แต่ก็จะฆ่าแล้วบังเอิญมีบุญที่จะได้อยู่ต่อไป แล้วก็ได้เห็นถึงผลที่ติดตามมาเขาบอก เขาไม่เคยนึกเลยว่า ถ้าเขามีสิทธิไปแก้แค้นได้ จะทําได้สวยอย่างนี่ ไม่เคยนึก แล้วพอ เขาได้เห็นความจริงตรงนี้ ทั้งๆ ที่แค้นแสนแค้น ก็ยังสงสารคู่กรณี แล้วนึกว่าการเอาหนี่คืนกันนั้น ดุร้ายอย่างนี้เชียวหรือถ้าเราเชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ว่าของทุกอย่างมาแตเหตุ ถ้าเรารอบคอบในการประกอบเหตุที่ดีเสียแล้ว ทุกอย่างที่เกิดบนชีวิตเรา ตัองเป็น ของดีทั้งนั้น เมื่อความเชื่อ ความศรัทธาของเราแน่วแน่อย่างนี้บางครั้งสิ่งที่เกิดขึ้นอาจมาในรูปที่เราคิดว่าเป็นของไม่ดี แต่เราก็ยังมีใจที่เที่ยงตรง แน่วแน่ รับว่าเป็นของดี ทั้งที่เรายังคิดหาเหตุผลไม่เราก็เอามาใคร่ครวญไตร่ตรองต่อไป จนในทีสุดเห็นเหตุผล เพราะของที่มาในรูปของความผิดหวังของที่มาในรูปของอุปสรรค จริง ๆ แล้ว เป็นของดี กว่าของที่มาในรูปของความสมหวัง เพราะทำให้เรา ทําตัวเองให้ดีขึ้นไปอีก ให้มีความสามารถขึ้นไปอีก
เหมือนอย่างพระพุทธองค์ ตลอดชีวิตท่านทำอะไรให้ใครเดือดร้อนบ้าง เมื่อท่านตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า มีแต่คนกล่าวร้ายท่าน จะฆ่าท่านทำความวิบัติ ต่างๆ นานาให้ท่าน
การที่เราทำความดี แล้วประสบผลตรงกัน ข้าม มันท้าทายให้เราได้เห็นว่า ทำอย่างไรจึงจะ หมุนสิ่งนั้น ให้เราเอาศักยภาพคือแรงที่ซ่อนเร้น อยู่ในตัวเราออกมาใช้ให้ เต็มที่ ให้ได้ประโยชน์สูงสุด พระพุทธองค์ท่านทรงทำเป็นแบบอย่างให้ เห็นแล้วว่า เราควรจะมีความสํารวม เราควรจะมี ความสงบเสงี่ยม เราควรจะมีความอดทน คงทนต่อ การพิสูจน์ทุกกรณีว่า กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ อย่างกรณีของคนงานที่ดิฉันเล่าให้ฟัง ก็เป็นเครื่อง พิสูจน์ให้เห็นว่าแล้วผลที่เราทําจะกลับมาสนองเราเอง ในชีวิตของเรา เราอาจไม่ได้เห็นเร็วทันตา อย่างคนงานคนนี้ ดิฉันว่าเขามีบุญทีเดียวแหละ ที่ ได้เห็นในชั่วชีวิตสั้นๆ อันนี้ เพราะคนบางคน ยาว นานเป็นสิบ สิบ สิบปี จนกระทั่งเราลืมเมื่อได้เห็นอย่างนี้แล้ว เราจะได้มีความเกรง กลัว มีความละอาย เวลาจะทําอะไรที่ไม่ยุติธรรมเป็นการเข้าข้างตัวเอง เห็นแก่ตัวเองนี่นะเราจะได้ระงับยับยั้ง
เมื่อระงับยับยั้ง ผู้ที่ได้ผลดีคือตัวเราเอง เพราะเราจะเกิดอุปนิสัย เป็นคนมีความสัตย์ต่อตัวเองเป็นคนไม่เอาเปรียบใคร เป็นคนมีความยุติธรรม เมื่ออุปนิสัยเหล่านี้หยั่งรกรากแล้ว จิตใจของ เราก็สบาย ไปในที่ลับที่แจ้ง เราก็ไม่เดือดร้อน ไม่ กลัวอะไร แล้วเราก็มีความผาสุกจิตใจทีมีปีติมีสุขหล่อเลี่ยง เป็นของประเสริฐสุด ไม่มีอะไรเลยที่จะซื้อหามาให้เราได้ เพราะลองสังเกตคนร่ำรวยสมัยนี้มีเยอะแยะที่ไม่มีความสุข ต้องไปหาหมอโรคจิต ต้องกินยากล่อมประสาทยานอนหลับ ยากระตุ้นให้เจริญอาหาร เพราะเหตุ ว่าเครียดเสียจนรับประทานไม่ลง กินไม่ได้มองดูสิ เช้าขึ้นมาก็ต้องรีบออกแต่เช้า เพราะ ประเดี่ยวรถติด ธุรกิจคลาดเคลื่อน กลางคืนกว่าจะ ได้กลับบ้าน สี่ทุ่มห้าทุ่ม แล้วใครล่ะ เสวยความสุข ในบ้านที่ยังกับประสาทราชวังปูหินอ่อน มีเฟอร์นิเจอร์สวยวิเศษ... เด็กรับใช้ แล้วเด็กรับใช้นันมาแต่ไหนล่ะ ก็ลูกหลานอีสาน ชาวนา ประดาพวกที่พลีหยาดเหงื่อลงแรงทั้งหลาย แล้วก็ถูกเราคนกลางเป็นเสือนอนกิน ค้ากําไรเกินถ้ามองให้ดีแล้ว เราไม่ได้มาหรอก เราไม่ได้ มาแต่เรานึกว่าเราได้ จริงๆ แล้ว เราเป็นแต่เพียง ผู้จัดการผลประโยชน์ของเขา และเราไม่มีปัญญาที่จะไปฉุกคิด ฉัอฉลโกงกลับด้วย เพราะเราไปหลง ว่ามันเป็นผลประโยชน์ของเราเองแล้ว แต่ความจริง เราไม่ได้เสวยความสุขจากผลประโยชน์เหล่านั้นเลยเราเป็นแต่เพียงผู้จัดการผลประโยชน์ที่ซือสัตย์ เพราะอะไร เพราะเราไปยึดว่านี่เป็นของเรา แต่คน ที่เสวยความสุขจริงๆ คือลูกหลานของคนที่เราไป โกงเขามา ไปเอารัดเอาเปรียบเขา ไปคิดว่าเราสําเร็จ เราได้ ตรองให้ดีเถอะ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆมีคนหลายคนมาเล่าให้ดิฉันฟังว่า เดียวนี่คนเราไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง บางวันไม่สบาย กลับไปบ้านในเวลาที่ไม่คิดจะกลับ พบว่าสาวใช้กำลังนั่งไขว่ห้างอยู่บนเตียงนอนของตัวเอง ใช้โทรศัพท์พดกับเพื่อนอย่างสนุกสนาน
เพราะเราไปยึดว่า นี่เป็นสมบัติของเรา เพราะฉะนั้นก็ยึดในข้อทีว่า เขาต้องรู้จักที่พ่อแม่ปู่ย่าตายายเราอบรมมาสมัยก่อนโนัน พ่อแม่ปู่ย่าตายายเราเป็นคนจริง ทุกบาททุกสตางค์ ท่านหามาด้วยน้ำพักน้ำแรง ตนเอง มีความเกรงกลัว มีความละอายต่อบาปท่านทำบุญ มีธัมมะในใจ เวลาจะตายก็ไม่ร้องโวยวาย ไปหาหมอ บอกลูกหลานว่า ชีวิตท่านถึงที่สุดแล้ว เพราะฉะนันไม่ต้องทำอะไรดิฉันนึกถึงคุณทวดของดิฉันเอง ตอนที่ท่านจะตายดิฉันอายุห้าหกขวบแล้ว ดิฉันประทับใจกับ ท่านมาก ท่านถือศีลแปด ตอนที่ท่านจะตาย ตอนนั้นเป็นตอนสงคราม ท่านบอกว่า ไม่ต้องเดือดร้อน เอาท่านไปโรงพยาบาลหรอก เพราะถึงวาระแล้ว ถ้าท่านเป็นเกวียน มันก็พังแล้ว ซ่อมอย่างไรๆ ก็ไม่ดี แน่ๆพอลิ้นท่านแข็ง กลืนอะไรไม่ลง ท่านก็บอก คุณแม่ดิฉันให้หาดอกบัว หาธูปเทียนมาใส่มือให้ท่าน ท่านจะไปกราบพระจุฬามณี ตัวเองก็ไม่รู้ว่าพระจุฬามณีคืออะไร พอโตขึ้นจึงรู้ว่าคือที่ที่พระอินทร์เอามุ่นพระเกศาที่เจ้าชายสิทธัตถะตัดตอนออกบวชไปประดิษฐานเอาไว้บนสวรรค์ โดยบรรจุไว้ในเจดีย์ เรียกว่าจุฬามณี แล้วท่านก็ไปอย่างสงบ ไม่ได้ทุรนทุราย หรือเป็นอย่างกับคนไข้ทั้งหลายที่เราเห็นกัน
ในความเป็นหมอ ดิฉันพบเห็นความตายมาเยอะ คนใหญ่คนโตบางคน ขณะมีชีวิตอยู่ เป็นที่น่า เกรงขาม เราเคารพว่าเขามีสติปัญญา มีความเชื่อ มั่นในตัวเอง แต่เวลาเจ็บนิดหนึ่ง หรือเวลาจะตาย จิตไร้สำนึกส่งคลีนก่อกวนเสียจนพูดอะไร หรือทำ กิริยาอะไรหลายอย่างทีเราตกใจ นึกไม่ถึง ทำให้เกิดเป็นคำถามลึกๆ อยู่ในใจว่า อะไรคือคุณค่าของความเป็นบัณฑิตอะไรคือคุณค่าของความเป็นคน หลายๆ ครั้งที่เราได้ลาภสักการะ แทนที่จะดีใจ กลับมีคำถามขึ้นมาว่า เท่านี่เองหรือคือสิ่งที่เราต้องการเพราะมันก็ไม่เห็นสุขเท่าไหร่เลย เดียวก็ได้มา เดียวก็เปลียนไป ก็เป็นจุดที่กระตุกอยู่ในหัวใจทําให้เสาะแสวงหาเรื่อยมา แล้วก็ดีใจที่ตัวเองได้พบ ธัมมะ ได้เห็นว่า นีแหละคือสิ่งที่ทุกคนควรรู้จักแสวงหา และทำให้เจริญงอกงามขึ้นในจิตใจ จะได้ เป็นเครื่องอยู่เครื่องอาศัยเป็นที่พักพิง ที่พึ่งอันแท้จริงให้เราเริ่มต้นมาจัดพละ 5 ของเราให้ได้สัด ส่วนสมดุลกัน แล้วฝึกให้มันงอกงาม มีกำลังมาก ขึ้น มากขึ้น จนเป็นอัตโนมัติ ไม่ต้องใช้ความพยายาม ความฝืนบังคับ ความอดทน เพราะของอะไรก็ตาม ที่กัดฟันทน มีวันสิ้นสุด มีเวลาทวงสินจ้างรางวัล แต่ถ้าเราทำด้วยความศรัทธา ด้วยความรัก ความเชื่อมั่นไม่มีวันหมดหายแห้งเหีอดไปได้ เป็น เหมือนเครื่องยนต์ที่หล่อลื่นดีแล้ว หมุนสะดวก คล่องตัวตลอดไป ไม่มีแรงเสียดทานที่ทําให้เครื่อง หมุนช้าลงๆ จนในที่สุดก็หมดแรง
วันนี้ดิฉันก็ขอฝากข้อคิดเอาไว้แค่นี้ เชื่อว่าจะ เป็นประโยชน์ เป็นกำลังใจพวกน้องๆ ที่กำลังจะไป สอบกัน ก็เชื่อว่า คาถาท่องหนังสือเองคงสัมฤทธิผลทำให้ผลสอบเป็นที่สมปรารถนาของทุกคนครมีปัญหาข้องใจจะถามไหมคะ เหลือเวลา 1 นาทีถาม
ขอเรียนถามว่า ในฐานะที่เป็นนิสิต อาจารย์. มีงานทํามากมายในชีวิตประจำวัน จะมีวิธีฝึกสติ และกำหนดจิตได้อย่างไร โดยไม่ขัดต่อชีวิตการเรียนและการงาน และจะมีอุบาย วิธีอย่างไรที่ทำให้ กำหนดสติได้มันคงและรวดเร็ว
ตอบ การที่เรามีงานทำ เราก็เอางานอันนั้น หรื วิชานั้นมาเป็นหลักให้สติเกาะ สติเปรียบเหมือนเชือกที่คล้องใจของเราเอาไว้กับทุ่น คือ อะไรก็ตาม ที่เป็นความรับผิดชอบเฉพาะหน้าที่ เรากำลังทำอยู่ เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้ว อะไรก็ตาม ที่เรากำลังทำอยู่เดียวนี้ ขณะนี้ คือทุ่นที่เราจะเอาสติไป กําหนดจดจ่อเอาไว้ ให้ใจเราทั้งใจไปจดจ่ออยู่ตรง นัน ไม่แว่บ ซัดส่ายไป ไม่ว่าจะเป็นอนาคตหรืออดีตเมื่อไหร่ที่ใจเราหลุดออกไป เราเป็นเชือกเปื่อย ๆ สติเราขาดตอนไปแล้ว เราก็กำหนดใหม่ มาจดจ่อกับงานที่ทำ การฝึกสติ และกำหนดจิตให้มุ่งมันเป็นอารมณ์เดียว ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องทิ้งหน้าที่ความ รับผิดชอบไปนั่งหลับตาภาวนา อันนั้นเป็นเพียงรูป สำหรับบุคคลที่สละออกไปแล้ว ท่านปลอดหนี้ ปลดวางหน้าที่ ความรับผิดชอบ ตัดภาระทางโลก ไปแสวงหาชีวิตอนาคาริก อยู่ป่า อยู่เขาได้แล้ว
สําหรับเราที่เป็นฆราวาส อุบาสกอุบาสิกา ก็มีสิทธิทีจะเอาธัมมะทีพระพุทธองค์ทรงสอน คือฆราวาสธรรม มาฝึกฝนจดจ่อปฏิบัติ จนเป็นเนื่อใจ ของเราได้ ดังที่ดิฉันเรียนให้ทราบ อะไรที่เป็น หน้าที่ความรับผิดชอบเฉพาะหน้าแต่ละขณะๆ คือทุ่นที่เราจะผูกพันใจเราไว้ ให้มีอิทธิบาท 4 ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา จดจ่อกeหนดอยู่ ทำให้ดีที่สุด ไม่เถลไถลไปเที่ยวในอดีตในอนาคตเมื่อแต่ละอัน แต่ละอันที่อยู่ตรงห้นา เสร็จไป แล้ว ใจของเราก็จะกระชับไปกับกาลเวลาทีผ่านไปไม่ไปหน่วงเหนียวยึดติดอยู่กับอะไรที่พอใจรักใคร่ คนบางคนฝังใจอยู่กับสิ่งพึงพอใจที่ผ่านไปแล้วเลยทอดทิ้งภาระที่เกิดขึ้นใหม่ แต่ละขณะๆ อย่างนันก็ ทำให้เราบกพร่อง ทำให้สติของเราขาดเป็นช่วงๆแล้วกระทำในสิ่งทีไม่ชอบ ไม่เป็นธรรม ก่อผลร้าย กับชีวิตเราทีหลังดังที่เรียนเมื่อกี้ ฟังครูสอน ก็เอาใจไปนึกถึงเรืองอีน เลยไม่เข้าใจบทเรียน กลับไปบ้านแทนที่จะทบทวน ก็ไมทบทวน เพราะไปดูหนัง หรือไปทำอย่างอื่นทีใจอยากทำ ก็ทําให้บกพร่องในความรับผิดชอบ พอถึงเวลาสอบก็ สอบไม่ได้ หรือสอบไม่ดี เมื่อไปทำงาน ความรู้ตรง นั้นก็ไม่ดีพอที่จะเป็นรากฐานให้เราทำงานได้ประสิทธิภาพอุบายวิธีกำหนดสติให้ได้มันคงและรวดเร็ว คือทำใจของเราให้ปลอดจากความยึดในอะไรๆ ทํา ใจให้เป็นปัจจุบันอยู่กับความเป็นจริง ที่อยู่เฉพาะ หน้าทุกๆขณะ อะไรที่ผ่านไปแล้ว ยังค้างคาอยู่ในอารมณ์ ปล่อยทิ้งไปก่อน เมือไรมีเวลาว่าง สวด มนต์ไหว้พระแล้ว ยังมีเวลาว่าง ค่อยยกกลับมา พิจารณา ค่อยยกกลับมาแก้ไข ให้สินปัญหา แต่ในขณะที่หน้าที่เป็นหน้าที่ ทำใจของเราให้ไหลประสาน เป็นจังหวะเดียวกับกาลเวลา คืออยู่กับปัจจุบันตรงขณะนี้ไปอันนี้คืออุบายทีจะทําให้สติของเรามันคงไม่คลอนแคลน เมื่อทำอยู่อย่างนี้ อีกหน่อยสติก็เป็นอัตโนมัติ ยังไม่ทันต้องกำนด ยังไม่ทัน ต้องนึก อะไรมากระทบใจบุ๊บ ใจจะกระเพื่อมคิดไป สติมารั้งไว้แล้ว ทําอย่างไรจึงจะดีที่สุด ปัญญาคือ เหตุผลจะตามมา
ถ้าฝึกเอาไว้อย่างนี จิตใจจะไม่เหนือย ทั้งๆ ทีงานน่าเหน็ดเหนื่อย ก็ไม่เหนื่อย เพราะอะไรเพราะใจไม่มีความกังวล ไม่มีความฉีกแยกกันระหว่างใจกับตัว ตวอยู่ตรงน แต่ใจอยากจะไปตรงโนัน ตัวอยู่ตรงโน้น ใจอยากจะกลับมาอยู่ตรงนี้เหมือนบางคนทีไปภาวนาที่วัด เวลาอยู่ที่นี่ก็โอ๊ย เมื่อไหร่จะมีเวลาว่าง เมื่อไหร่จะปิดเทอม จะ ได้ไปวัดพอไปถึงวัด ดีใจอยู่ประเดียวเดียวแหละ พอนั่งหลับตาจะภาวนา... นี่สามีเรากลับบ้านหรือ เปล่านะ หรือว่าแว่บไปไหน ลูกเราเป็นอย่างไรบ้าง... ตัวได้ไปอยู่วัดจริงๆ ใจก็กลับมาอยู่บ้าน พอมาอยู่บ้าน ใจก็จะไปวัด มันเป็นอย่างนี่แหละใจของเราเองก่อกวนบ่อนทำลายเราอยู่ตลอด เวลา ไม่ใช่ใครที่ไหนเลยแต่ถ้าเรากำหนดรู้เท่าทันตามเป็นจริง ตัวอยู่ วัดใจก็อยู่วัด ตัวอยู่บ้านใจก็อยู่บ้าน รับรอง สติของเราพัฒนาไปเรื่อย อยูวัด อยู่บ้าน เหมือนกันหมดเพราะเราฝึกได้ทุกๆ โอกาส แล้วเราก็จะไม่เสียเวลา ไปโดยเปล่าประโยชน์


พิมพ์โดย      ปภัสสร   มีพงษ์
แหล่งที่มา     http://web.krisdika.go.th/buddha/17_real_bandit.pdf

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Back To Top