บุลคลที่หาได้ยาก
ชื่อผู้เขียน พญ อมรา มลิลา
วันที่ 27 พฤศจิกายน 2533
ณ ชมรมผู้สูงอายุ โรงพยาบาลชลบุรี
อันดับที่
หมวด
ท่านประธาน ท่านสมาชิกชมรมผู้สูงอายุ และท่าน ผู้สนใจวันนี้เราจะพูดกันถึงเรื่องของตัวเราเอง และเรื่องของคนร่วมโลกปกติคนเราไม่สามารถจะอยู่คนเดียวได้ เมื่อไม่สามารถอยู่คนเดียวได้ เรา กอยู่กันเป็นสังคม ทำให้มีการกระทบกระทั่งซึ่งกัน และกันได้ เมื่อเป็นอย่างนี้ก็เกิดเรื่องทุกข์เดือดร้อน ใจขึ้นพระพุทธเจ้าทรงชี้แนะให้เราพิเคราะห์ว่า ทำ อย่างไรจิตใจของเราจึงจะมีความสุข ให้เราพยายาม ปรับปรุงตัวเองให้อยู่ในโลกนี้อย่างไม่เบียดเบียนตัว เองและไม่เบียดเบียนผู้อื่น
เราสามารถจำแนกบุคคลได้เป็นสองประเภท คือ บุคคลที่หาได้ยาก ได้แก่ บุคคลที่เราอยากให้ คนทั่วไปเป็นอย่างนั้น เพื่อที่เราจะได้สบายใจ แต่ ของดีมักหายากกับ บุคคลที่หาได้ทั่วไป อย่างที่พวกเราเป็นๆ กัน เช่น เวลาที่เราเผลอสติไป แล้วเราก็ไม่อยากให้ ตัวเองเป็นอย่างนั้น ซึ่งบุคคลประเภทนี้มีเยอะแยะ ไปหมดเมื่อดิฉันเริ่มเข้าวัด ท่านอาจารย์เปรียบเทียบ ให้ฟังว่า วัวตัวหนึ่งๆ มีขนกี่เส้น ขณะที่มีเขาเพียง สองเขาเพราะฉะนั้น ในโลกนี้ คนธรรมดาที่หาได้ทั่วๆ ไป จึงมีปริมาณเหมือนอย่างกับเส้นขนบน ตัววัว ส่วนคนที่เริ่มฝึกหัดปฏิบัติใจ คนที่มีการฝืนใจตัวเอง ฝึกใจตัวเอง เห็นคุณค่าของธรรมจะมีจำนวนเท่ากับเขาวัวสองเขาเวลาที่ดิฉันท้อถอยว่า สิ่งที่เราทำคงจะเป็น สิ่งผิดปกติ เลิกทำเสียดีไหม ท่านก็ถามว่า เส้นขน บนตัววัวกับเขาวัวอะไรมันมีค่า คิดได้อย่างนี้เราก็มี กำลังใจที่จะทำกันต่อไป เมื่อทำไป.. ทำไป เราก็ ค่อยเข้าใจขึ้นว่า ทำไมแต่ละคนๆ จึงจำเป็นจะต้อง สืกฝนตัวเอง จึเกเพื่อให้ตัวเองเข้าข่ายที่จะเป็นเขา วัว คือเป็นบุคคลที่หาได้ยากนั้นเอง ทีนี้บุคคลที่หาได้ยากมีคุณสมบ้ติอย่างไรบ้าง ถ้าเรามองเข้าไปในใจตัวเอง แต่เด็กแต่เล็กมา เราจะติดนิสัยอยากเป็นแต่ผู้รับคือเป็นฝ่ายได้ตลอด เวลาเพราะอะไรเพราะเราปล่อยตัวให้อ่อนแอช่วยตัวเองไม่ได้เราอยาก อยาก อยากที่จะให้มีใครมาคอยเกื้อหนุน คอยเอื้อเฟ้อเผื่อแผ่ต่อเราตลอด เวลาตกลงบุคคลที่หาได้ยากประเภทแรกคือบุคคลที่รู้จักที่จะ เป็นฝ่ายให้ เพราะถ้าทุกคนที่อยู่ ด้วยสันต่างฝ่ายต่างก็ ฉันจะเอา ฉันจะเอา ก็ต้ององ ตีกันตาย เพราะว่าต่างคนต่างก็ยื่นมือมาคอยจ้องจะ ตะครุบ แต่ของมีอยู่ชิ้นเดียว เพราะฉะนั้นจึงต้องมี บุคคลอีกประเภทหนึ่งที่ไม่ได้ทำกิริยาอย่างนั้น แต่ เป็นผู้สนองความต้องการ คือเป็นผู้ที่รู้จักให้เมื่อติฉันเริ่มเข้ารับราชการ รองผู้อำนวยการ ท่านสอนว่า ถึงหมอจะยังเด็กอยู่ แต่พอมาทำงาน อย่างนี้ เขาคิดว่าเราเป็นผู้ใหญ่แล้ว หน้าที่ของเรา คือ ต้อง รู้จังหวะที่จะให้ อย่าไปคอยจนกระทั่งเขา เรียกร้อง หรือเขามาบีบบังคับ แล้วเราจำเป็นต้องยอมให้ หรือให้ด้วย พระเดช ..เอ้า ..เจ้าอยากได้ ฉันให้แล้วนะแบบนั้น ให้เท่าไร ๆ ก็ ไม่ได้นํ้าใจจงรักภักดีจากลูกน้องถ้าเรารู้ว่า ไม่รันใดก็รันหนึ่ง เขาจะต้องการ สิ่งนี้ เราก็ให้เสียก่อนที่เขาจะเรียกร้อง แบบนี้ท่าน ว่า ให้ด้วย พระคุณ คือเราน้อมให้ด้วยใจ ไม่ใช่ให้ ด้วยกิริยาอย่างเดียวทำให้ผู้รับก็ปีดีอิ่มเอิบ เกิดน้ำใจผูกพันจงรักภักดีการให้ด้วยกิริยาอย่างเดียวนั้น เรายังไม่เต็ม ใจให้ เรายังเสียดายของเรา หรือให้ด้วยความรู้สึก ยกตนช่มท่าน เฮอะ..ไอ้นี่ช่างน่าเบื่อน่ารำคาญนัก เพราะฉะนั้นเสือกไสให้ๆ มันจะได้ไปเสียให้พ้น ถ้า ทำอย่างนี้ กิริยาของเราก็ไปกระทบกระทั่งนํ้าใจเขา อย่างนี้ไม่ได้เรียกว่าให้ แต่เรียกว่าสาดรดหัว เป็น การก่อเวรโดยใช่เหตุ
การให้อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ให้แบบ ที่เป็น บุพการี คือ ให้ในสิ่งที่ควรให้ ในจังหวะที่ เหมาะควรและให้ด้วยใจหวังอนุเคราะห์เกื้อกูลโดยมุ่งประโยชน์ของเขาเป็นส่วนใหญ่ ไม่คิดหวังผล
ตอบแทนนั้น จะเป็นลักษณะใดบังเอิญดิฉันไปอ่านพบนิทานของฝรั่งเข้า ก็ คิดว่านิทานเรื่องนี้คงพอจะเป็นอุทาหรณ์ให้เรานึก เห็นภาพได้ว่า การให้อย่างนั้นน่าจะให้กันอย่างไรนิทานเรื่องนี้กล่าวถึงด้นไม้ใหญ่ด้นหนึ่งในป้า และเด็กชายเล็ก ๆ คนหนึ่งซึ่งเป็นลูกซาวป่าอาศัยอยู่ ละแวกนั้น เด็กชายคนนี้ชอบมาวิ่งเล่นอยู่แถวต้นไม้ ด้นนี้เริ่มแรกก็เก็บใบไม้ที่ร่วงลงมา แล้วเอามาร้อยเป็นพวงใส่ศีรษะตนเองเป็นมงกุฎ สมมุติว่าตัวเป็นพระราชาก็มีความสุขต้นไม้ก็มีความสุขที่เด็กมาเล่นอยู่ใต้ต้น จึงพยายามสลัดใบลงมา ให้ เด็ก ได้เอาไปร้อยเป็นมงกุฎ ต้นไม้ก็มีความสุข เด็กก็ มีความสุข
เด็กเล่นสมมุติตัวเองเป็นพระราชาจนเหนื่อย แล้วก็หาเรื่องซนต่อไป โดยปีนต้นไม้ขึ้นไป แล้วก็ เกาะกิ่งโยกเล่นทำเหมือนชิงช้า ต้นไม้ก็มีความสุข ที่เด็กได้เล่นกับตัว ก็พยายามช่วยส่ายกิ่งเพื่อให้เด็ก สนุกสนาน เมื่อเด็กเล่นจนเหนื่อยแล้ว ก็กลับลงมา นอนใต้ต้นไม้ ต้นไม้ก็พยายามโน้มกิ่งลงมาทำร่มเงาให้ โบกพัดเพื่อให้เย็นสบายพอเด็กตื่นขึ้นมา ก็รู้สึกรักต้นไม้มาก ต้นไม้ก็รักเด็กมากแต่เมื่อเด็กโตขึ้น ก็ไม่อยากเล่นอย่างนี้แล้ว เพราะเบื่อแล้ว ความอยากของเด็กก็เปลี่ยนไปเป็น อยากจะได้สิ่งอื่นต่อไปพอต้นไม้ชวนว่า “มา.. หนูจา ปีนต้นฉันขึ้น มา แล้วก็มาโหนเล่นอย่างเดิมสิ”เด็กก็บอกว่า “ไม่เอาแล้ว ฉันโตแล้ว ฉันไม่ อยากเล่นอย่างนั้นแล้ว แต่ฉันอยากได้สตางค์”ต้นไม้ก็บอก “ฉันไม่มีสตางค์”จะทำอย่างไรดีล่ะต้นไม้นี้เป็นต้นแอปเปิลก็เลยบอกเด็กว่า “แต่ฉันมีลูกแอปเปีล หนูเอาลูก ฉันไป เก็บเอาไปขายในเมือง คงได้สตางค์นะ”ต้นไม้ก็พยายามทำให้ลูกที่แก่แล้วร่วงลงมา แต่ยังไม่พอ ก็บอกเด็กว่า “ปีนขึ้นมาเลือกเก็บลูกฉัน ไปอีกสิ อยากได้เท่าไรก็เก็บไป”เด็กก็ดีใจ ขึ้นไปเก็บลูกแอปเปีลลงมาจนเป็น ที่พอใจ แล้วหากล่องมาใส่เอาไปขาย ก็ได้สตางค์ เด็กก็มีความสุขส่วนต้นไม้ก็ไม่ได้เสียใจที่เด็กมา
เอาลูกของตัวไปกตับดีใจที่ว่า แม้เราไม่มีสตางค์แต่เราก็สามารถ ให้ ลูกของเราไปเป็นสตางค์ให้เด็ก มีความสุข ต้นไม้ก็ดีใจที่ให้ความสุขแก่เด็กได้ต่อมาเด็กหายไปนาน ต้นไม้ก็คิดถึง ..เอ เขา จะมีความสุขหรือไม่มีความสุขนะสักพักหนึ่ง เด็กก็กลับมาใหม่ เป็นหนุ่มแล้ว คราวนี้ม่สนใจเอาแค่สตางค์แล้ว เด็กบอกกับต้นไม้ ว่า “ฉันอยากมีบ้าน เพราะฉันจะมีครอบครัวแล้ว หาบ้านให้ฉันตักหลังหนึ่งสิ”ต้นไม้ก็บอก “ฉันไม่เคยมีบ้าน เพราะว่าป่า ทั้งป่าเป็นบ้านของฉันแล้ว แต่ เอ.. ทำอย่างไรฉัน ถึงจะหาบ้านให้เธอได้นะ”ในที่สุดต้นไม้ก็บอก “เธอตัดกิ่งฉันไปสิ ตัด ไปหลายๆ กิ่ง คงพอที่จะไปทำเป็นบ้านสำหรับให้ ครอบครัวเธออยู่ได้หรอก เลือกตัดเอาไปนะ เอาไป เลย”เด็กดีใจไปหาขวานมา แล้วก็ตัดกิ่งจนต้นไม้ เหลือแต่สำต้น ต้นไม้ก็ไม่ว่ากระไร ซํ้าพลอยยินดี ที่ตนสามารถ ให้ บ้านแก่เด็กได้เด็กก็ไปสร้างบ้านอยู่ มีครอบครัว แล้วหาย ไปเป็นเวลานานต้นไม้ก็แก่ลง..แก่ลง เหลือแต่ลำต้น กิ่งที่งอกมาใหม่ก็ยังไม่ค่อยมีเท่าไร เพราะมัน เริ่มแก่แล้วเด็กกลับมาอีกที คราวนี้ไม่เป็นเด็กแล้ว ร่าง กายเริ่มแก่เหมือนกัน แต่ยังมีความอยากอยู่ในหัวใจ มากมายต้นไม้ก็ชวนว่า “มาปีนต้นฉันเล่นไหมล่ะ แต่ ฉันก็ไม่มีกิ่งจะให้เธอโล้อีกแล้วนะ”เด็กก็บอก “โอ๊ย ฉันไม่เล่นอย่างนั้นแล้ว เพราะเดี๋ยวนี้ฉันก็แก่เกินกว่าจะเล่นแล้ว บ้านฉันก็ ไม่ต้องการแล้ว ฉันต้องการเรือที่แข็งแรง ที่จะพาให้ ฉันข้ามทะเลไปได้ ฉันจะไปเสี่ยงโชคที่เมืองไกล”ต้นไม้ก็บอกว่า “เออ ฉันยังเหลือลำต้นอยู่ เธอโค่นต้นฉันไปสิ แล้วไปขุดเป็นเรือเอาเถอะนะ ฉันเชื่อว่าต้นของฉันแข็งแรงพอที่จะพาเธอข้ามทะเล ไปได้ และขอให้เธอสำเร็จสมประสงค์นะ”ตกลงนายคนนั้นก็ไปหาขวานมา โค่นต้นไม้ ลงจนกระทั่งเหลือแต่ตอ แล้วเอาไปขุดทำเรือด้วย ความดีใจ
ตอไม้ที่เหลืออยู่นั้นก็มีความสุขว่าได้ดูแลเด็ก คนนี้เหมือนเป็นลูก ได้ฟูมฟักรักษานํ้าใจ ไม่ว่าจะ ต้องการอะไรมันก็ให้ เพราะต้องการ ให้ เขามืความ สุข เมื่อเด็กมืความสุขแล้ว ต้นไม้ก็มืความสุขด้วย ต้นไม้ใหญ่ร่มใบหนาต้นนั้นก็เหลือเพียงตอ วันเวลาผ่านไป มันแก่เกินกว่าจะงอกกลับคืน เป็นต้นใหญ่มืกิ่งใบขึ้นมาใหม่ เหลือเป็นตอที่ไม่มีใคร สนใจจะแยแส เพราะคิดว่ามันยืนตายซากแล้ว แต่ มันก็ภาคภูมืใจในความมีประโยชน์ของมันและเต็มไป ด้วยความสุขอิ่มเอิบวันหนึ่ง นายคนนี้กลับมาอีก แก่เฒ่าชราแล้ว มาถึงก็บอกต้นไม้ว่า “ฉันเหนื่อยเหลือเกิน อยากจะ หาที่นั่งพักสักหน่อยหนึ่ง”ต้นไม้ก็บอกว่า “เอาสิเธอ อย่างน้อยฉันก็ยัง เหลือโคนที่เธอไม่ไต้โค่นจนราบไป” มันก็พยายาม ยืดเหยียดโคนต้นที่เหลืออยู่ให้แข็งแรงพอที่จะให้ นายคนนี้นั่งพักได้อย่างสบายๆแล้วก็เชิญซวนว่า“นั่งลงมาสิ อย่างน้อยฉันก็ยังมีความแข็งแรงพอที่ จะรับนํ้าหนักช่วยพยง ให้ เธอนั่งอย่างมีความสุขได้”เมื่ออ่านนิทานเรื่องนี้แล้วก็เกิดความคิดว่า บุพการีที่พระพุทธเจ้าท่านนิยามเอาไว้ คงจะเป็น อย่างต้นไม้นี้ คือมีหัวใจเป็นทองคำอย่างนี้ผู้เป็นบุพการีจะไม่นึกถึงตัวเอง ไม่เคยนึกว่า สิ่งที่เราให้ไปแล้วจะได้กลับคืนมาอย่างไรบ้าง จะรู้แต่ เพียงว่า เมื่อเราไห้เขาแล้วเขามีความสุขสมหวัง ความสุขอันนั้นก็จะสะท้อนกลับมาเป็นความสุขของ เราด้วย เพราะ เขาสุข เราก็สุข เขาสบาย เราก็ สบายนี่แหละ จิตใจของพ่อแม่ ป่ย่าตาทวด ผู้ใหญ่ ที่เป็นบุพการี จึงงดงามเป็นนํ้าใจที่ยึดครองสิ่งมี
ชีวิตให้มีจิตใจผูกพันอยู่กันด้วยความรักใคร่ หนัก เอาเบาสู้ รู้จักโอนอ่อนผ่อนปรน ไม่เอากิเลสต่อ กิเลสเข้ามาต่อยตีกันบางครั้ง เราจะเข้าข้างตัวเองว่าเรายังเด็กอยู่ เพราะฉะนั้นอีกฝ่ายหนึ่งจะต้องเป็นฝ่ายให้อย่างไม่มีฝั่งมีฝาอย่างนี้อยู่ตลอดกาล ถ้าเป็นอย่างนั้น การที่จะให้ก็จะเป็นทำนองเดียวกับที่ต้นไม้ให้กับเด็ก คือ ถมเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ใจที่ไม่มีการแกฝึกฝนอบรม อิ่มไม่เป็น แม้จะเอานํ้าในแม่นํ้ามหาสมุทร หมดทั้งจักรวาลมาเทใส่ก็ยังไม่เต็มอยู่นั่นเอง เพราะ ใจที่มีความอยากความโลภนี่ อะไรๆ ใส่เข้าไปก็หาย หมด เหมือนทิ้งลงเหวเมื่อบุคคลที่หาได้ยากประเภทแรก ได้แก่ บุพการี คือ ผู้ให้ โดยไม่เคยนึกถึงผลประโยชน์ฝ่ายตน เลย บุคคลที่หาได้ยากประเภทหลังก็ได้แก่ ผู้มีความ กตัญฌูกตเวที คือ เป็น ผู้รีบ ที่รู้คุณค่าแห่งการให้ รู้ ในคุณความดีของผู้อื่น รู้ในอุปการคุณ รู้ในบุญคุณ ของผู้ที่ให้ ผู้ที่เกื้อหนุนเรา แล้วคอยหาโอกาสที่จะ ตอบแทนคุณ ของท่าน ที่จะแสดงออกเพื่อบูชาคุณความดีเหล่านั้น ให้ท่านอิ่มเอิบชื่นใจ ให้ท่านได้รู้ว่า สิ่งที่ท่านให้มานั้น ได้มาทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น จิตใจ ของเราสูงขึ้นทีนี้ ทำอย่างไร เราจึงจะแกให้ในตัวของ เราเป็นครบทั้งบุพการีทั้งผู้มีกตัญฌูกตเวที เพราะ ล้าเราไปแบ่งว่า คุณคนนี้มีหน้าที่เป็นได้แต่บุพการี ส่วนคุณคนนั้นรับแต่อุปการะจากท่านแล้วรู้จักมีความกตัญฌูกตเวที ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะใจคนเราก็ เปรียบเหมือนไม้ท่อนหนี่ง ไม้ท่อนหนึ่งย่อมมืปลาย สองปลายในบางภาวะเราต้องเป็นผู้ให้ อีกบางภาวะต้องน้อมรับด้วยกตัญฌูกตเวทิตา เราจะเป็น ฝ่ายใดฝ่ายเดียวไม่ได้ไม่มีไม้ท่อนไหนที่มืปลายเดียวธรรมชาติของไม้ในโลกนี้ย่อมมี 2 ปลายเพราะฉะนั้น เมื่อเราอยู่ในโลกสมมติอันนี้เราก็ต้อง ทำใจของเราให้รู้จักศิลปะของการเป็นทั้งบุพการีและ ผู้มีกตัญฌูกตเวทีตัวอย่างที่ใกล้ตัวเข้ามาอีกอันหนึ่งที่ดิฉันจะ ยกมาเป็นอุทาหรณ์ คือ มีสุภาพสตรีท่านหนึ่ง อายุ หกสิบเศษ ไต้รับการผ่าตัดเอามดลูกและรังไข่ทิ้ง ไปทั้งสองข้างมาไต้ประมาณ 30 ปีแล้ว ผลจากการ ผ่าตัดทำให้กระดกของท่านเปราะบางและกร่อนเกิน กว่าอายุ เพราะแต่เติมเราไม่ทราบว่าเมื่อผ่าตัดรังไข่ ผู้ป่วยทิ้งไปแล้ว จะต้องให้ฮอร์โมนทดแทนต่อเนื่อง เพื่อไปประตับประคองให้การสรีวงซ่อมแซมกระดูก เป็นไปอย่างปกติ ตกลงสุภาพสตรีท่านนี้ก็มีจุดอ่อน คือ อยู่ดีๆ ไม่ได้ทำอะไรเลยกระดูกก็ตักเองได้ ครั้ง แรกหมอก็ไม่เข้าใจสาเหตุ ต่อมาวิทยาการก้าวหน้า รู้ว่าเป็นเพราะเหตุนี้ ก็ให้เธอพยายามระมัดระวังตัวทีนี้เป็นคราวเคราะห์หามยามร้ายอยู่ดีๆวันหนึ่ง ท่านตื่นขึ้นมา กระดูกซี่โครงก็หักนอกเหนือ ไปจากกระดูกแขน กระลูกขาซึ่งหักอยู่เป็นปกติวิสัย ทีนี้พอกระลูกซี่โครงหัก 3 ซี่พร้อมกัน เวลาจะพลิก ตัว ขยับตัว ทำอะไรก็เจ็บ ลำบากขัดข้องไม่ไต่ตังใจ ไปหมด ท่านก็เรียกร้องความเอาใจใส่ดูแล ทั้งที่สามี ก็หาพยาบาลพิเศษมาดูแลผลัดเวรกันไม่ไต่ขาดตลอด 24 ชั่วโมง ท่านก็ยังไม่แล้วใจ ต้องการให้ลูกสาว ลาออกจากงานมาแล้วลูกสาวก็ขี้แจงว่า ถ้าออกมาแล้วมานั่งเฝ้า ลูกก็ทำอะไรไม่ไต่ เพราะพยาบาลพิเศษดูแลอยู่แล้ว หมอก็มีพร้อมเพรียง แล้วถ้าลูกสาวมานั่งอยู่เฉยๆ เล้ากันทั้งวันนึ่ มิข้ามินานก็คงจะไต่เป็นโรคจิตแน่ เพราะว่าไม่รู้จะทำอะไรให้ได้ท่านก็ไม่เข้าไจ ครั่าครวญว่า ลูกสาวจะต้อง ออกจากงาน แล้วก็มาเล้า ท่านมีลูกอยู่คนเดียว มิใยสามีจะให้เหตุผล ลูกจะให้เหตุผล ท่านก็ไม่ฟัง
เพราะใจไปยึดเอาว่า ลูกสาวห่วงสามี ห่วงลูกของ ตัวเอง ก็เลยลืมว่าเมื่อสมัยที่ท่านเป็นแม่ ท่านสู้เสีย สละทุกอย่างอดตาหลับขับตานอน ไม่ได้กินไม่ได้ทำอะไร ก็ไม่ได้สนใจเลย ขอแต่เพียงให้ลูกรอดปลอดภัย ขอแต่ให้ลูกมีความสุขเป็นพอสารพันที่ จะเสียสละทำให้ทุกอย่างคราวนี้เพียงแต่ท่านเจ็บขอร้องให้ลูกมาอยู่เป็นกำลังใจ เขาก็ปฏิเสธเพราะ เห็นครอบครัวเขาสำคัญกว่าเรา ใจของท่านก็หงุดหงิด ทุกข์โทมนัสหม่นหมอง ตับข้องขัดเคืองจริง ๆ แล้วอาการทางกายก็ไม่ได้หนักหนาอะไร เพราะให้ยาบำรุง ให้แคลเซียม ก็ค่อยๆ ดีขึ้น แต่ ใจ นี่สิเมื่อเกิดความรู้สึกว่าลูกไม่กตัญฌูกตเวทีต่อตัว ก็ทำให้น้อยใจ แหนงใจ ใจก็หม่นหมองไป หมดนอกจากกระดูกไม่ดีแล้ว เมื่อท่านหงุดหงิด คืดอย่างนั้น ก็เริ่มเป็นโรคประสาทตามมาด้วย แล้วก็เจ็บที่หัวใจ ตรวจเท่าไรๆ ก็ไม่พบความผิด ปกติหมอก็ว่าเป็นเพราะคิดมาก เป็นเพราะว่าใจของท่านทำร้ายตัวเอง ท่านก็ยิ่งโกรธใหญ่ว่า หมอ ก็เข้าข้างลูก สามีก็เข้าข้างลูก ทุกคนทำร้ายจิตใจ ท่านหมด ตกลงใครมาเยี่ยม ท่านก็จะเล่าถึงความ คบแค้นน้อยใจอยู่อย่างนี้ คนที่มาเยี่ยมก็ค่อยๆ หาย ไปทีละคนสองคน เพราะคิดเอาว่าการมาเยี่ยมทำให้ จิตใจของท่านหมอง ท่านจะเล่าถึงแต่เรื่องที่เป็นทุกข์ ถ้าเราไม่มาท่านจะได้พกผ่อนแต่ก็ตรงกันข้าม เมื่อไม่มีใครมา ท่านก็ยี่ง ทุกข์หนักใหญ่ อ้อ.. เดี๋ยวนี้เพื่อนฝูงก็รังเกียจ เรากันหมดแล้ว โลกนี้มีแต่คนอกตัญฌูที่งนั้น ยาม เราดีเขาถึงได้มา เพราะเขาจะมาเอาผลประโยชน์ จากเราแต่พอเดี๋ยวนี้เราทำอะไรให้เขาไม่ได้แล้วทุกคนก็ยี่ายีเราหมดเลย คอยเถอะ คอยให้ฉันดีขึ้น มา คราวนี้แหละ ฉันจะทำให้ทุกคนเห็นว่า ฉันถูก กระทำ เจ็บชํ้าแสนสาหัสเพียงไหนเห็นหรือไม่ว่า ในใจที่ถูกความคิดผิดของ ตัวเองก่อกวนให้ทุกข์เดือดร้อนอยู่อย่างนี้ก็ทำให้เกิด มีโรคหัวใจ โรคความตันสูง โรคสารพันห้าร้อยอย่าง แทรกข้อนเข้ามา ความที่กลัวเจ็บ ความที่สงสาร ตัวเอง ก็ไม่ยอมลกขึ้นเดินเหินตามปกติ ท้องก็อืด ระบบย่อยอาหารก็ไม่ปกติ สรุปแล้วเลยมีโรคทั่วตัว ไปหมด ทั้งโรคกายโรคใจ ทั้งๆ ที่ถ้าหากทำใจให้ สบายๆ ฟานก็สามารถจะฟ้นคืนดีขึ้นมา แล้วก็มีชีวิต อย่างคนธรรมดาได้เทียบกับอีกรายหนึ่ง รายนี้ ท่านอายุ 90 แล้วตลอดชีวิตของท่านเท่าที่เล่าให้ฟังมีว่า เมื่อแต่งงาน ตั้งท้องลูกคนแรกแล้ว ก็ไม่เคยมีประจำ เดือนอีกเลยจนกระทั่งหมดวัยมีประจำเดือน เพราะ ว่าท่านมีลูก 16 คน ท้องไม่เคยว่างภาระในการเลี้ยงลูก 16 คนนึ่ คิดดูเถอะ ถ้าเป็นอย่างเราๆ ก็ คงร้องโอดโอย ตายชัดๆ กรรมเวรอะไรของฉันแต่สุภาพสตรีท่านนี้เป็นผู้หญิงที่ประเสริฐ จริงๆ ลูกออกมาแต่ละคน ท่านก็ฟูมฟักเลี้ยงดู สามี ของท่านเป็นนายพราน ตั้งครอบครัวอยู่ในชนบท นอกจากจะเลี้ยงลูก 16 คนแล้ว บางพักยังต้อง ช่วยสามีออกไปตักสัตว์อีกด้วยท่านเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งพลัดกับสามี แล้ว ไม่รู้จะท่าอย่างไรเพราะคํ่าแล้ว ก็เลยปีนขึ้นไปบน ต้นไม้ด้นหนึ่ง คิดว่าเผื่อจะมองเห็นว่าสามีอยู่ที่ไหน ปรากฏว่าพอโพล้เพล้ เสือ 2 ตัวก็ออกมาวนเวียน อยู่ใต้ต้นไม้ ท่านเลยต้องขัดห้างอยู่บนต้นไม้นั้น แล้วก็คิดในใจว่า เอาละ ถึงเกิดมาจะไม่เคยยิงสัตว์ เลย แต่ถ้าหากมันตะกายขึ้นมาละเป็นยิงแน่ ยิงถูกหรือไม่ถูกก็ยิงแน่นี่แหละ ชีวิตท่านเหนื่อยยากสารพันจะผจญมา เพื่อทำมาหาเลี้ยงลูก แต่ท่านไม่เคยคิด ไม่ เคยหวังจะทวงบุญทวงคุณจากลูกทั้ง 16 คน ว่ายาม ที่ท่านแก่แล้วต้องมาดูแลเมื่อท่านอายุ 90 ก็เกิดไม่สบายเป็นมะเร็งที่ ลำไส้ใหญ่ ตอนนี้ลูกสาวเหลืออยู่ 5 คน ที่อยู่ใกล้ พอจะผลัดเวรมาดูแลกันได้ เขาก็ผลัดเวรกันมาดูแล ถ้าอาการหนัก 5 คนก็มาหมดทั้ง 4 คน ทุกคนก็ พยายามเอาอกเอาใจแม่ แม่ปวดท้องถ่ายจะได้เอา หม้อนอนสอด อยากจะกินอะไรจะทำอะไร คือคอย ถามไถ่ แม่ก็ว่าไม่ต้องการอะไร บางครั้งลูกก็จับได้ ว่า จรืงๆ แล้วแม่ปวดท้องฉี่แต่ว่าอั้นเอาไว้ โดยอ้าง ว่า “อีกเดี๋ยวเถอะลูก เดี๋ยวก่อนก็ได้” จนกระทั้ง ครั้งหนึ่ง สอดหม้อนอนยังไม่ทันได้ที่ดี ฉี่ก็ออก
มาเลยเลอะไปหมดลูกก็ตดพ้อต่อว่าแม่ “ก็ที่เราอุตส่าห์มาอยู่นี่ก็เพื่อจะได้ทดแทนคุณแม่ แล้วทำไม แม่ถึงหวงไม่ให้โอกาสพวกเราเล่า”คุณแม่ท่านนี้ตอบว่าอย่างไรทราบไหม ท่าน บอก “ลูกเอ๋ย ลูกอย่าคิดอย่างนั้น อย่าคิดว่าการ ที่ลูกมานี่ มาเพื่อทดแทนคุณแม่ แม่ไม่ได้คิดอย่าง นั้นเลยทุกวันนับแต่คลอดเจ้ามา แม่เลี้ยงลูกมาลูกเป็นเด็กน่ารัก ลูกเชื่อฟังแม่เมื่อเป็นสาว แม่ชี้แนะว่าควรตบแต่งไปกับใครที่เห็นเป็นหกักเป็นฐาน ลูกก็ไม่ดื้อดึง แม่ถือว่านั่นแหละลูกได้ทำให้แม่ชื่นใจ ทดแทนคุณที่แม่เหนื่อยยากมาหมดแล้ว พอตบแต่ง ให้ลูกออกเรือนไป แม่ทำใจว่าลูกสาวแม่ตายแล้ว ลูกก็ไปเป็นสมบ้ตของสามี ยิ่งลูกมีลูกมีเด้า ก็เป็น สมบัติของลูกเด้าแม่ไม่เคยคิดเลยว่า ลูกจะต้องมาทดแทนคุณแม่ การที่ลูกมาอยู่กับแม่เวลาแม่เจ็บ หนักอย่างนี้ แม่ก็สวดมนต์ให้พรผัวลูกว่าเขาช่างดีหลือเก็น ดูสิเขาเห็นแก่ผู้เฒ่าคนหนึ่ง อุตส่าห์ให้ เมียเขามาอยู่ดูแล แล้วตัวเขาเองก็เป็นภาระต้อง คอยดูบ้านลูลูกแล้วแม่ก็นึกถึงหลานๆ ทุกคนว่า
เขาเป็นคนดีแท้ มีนํ้าใจเสียสละช่วยตัวเอง แล้ว ก็ให้แม่เขามาปฏิบติผู้เฒ่าคนหนึ่งซึ่งช่วยตัวเองไม่ได้ เพราะฉะนั้น อะไรๆ ที่แม่ให้ลูกๆ ทำให้ อย่าให้เกิด เป็นบาปเป็นกรรมต่อกันเลย ถ้าแม่ยังช่วยตัวเองได้ ขอให้แม่มีโอกาสช่วยตัวเองเถิด แต่ถ้าหากเหลือ บ่ากว่าแรงแล้ว แม่ขอร้อง ก็อย่าให้เป็นบาปเป็นกรรมนะ เพราะแม่คงไม่มีโอกาสลุกขึ้นมาทำอะไร เป็นการตอบแทนลูกได้อีกแล้ว”เห็นนั้าใจของท่านไหม เห็นความแยบคาย ในความนึกคิดของท่านหรือไม่กรณีอย่างเดียวกัน แต่ท่านคิดให้ใจของท่านได้แต่กำไร เพราะถ้า ลูกเขาไม่ทำ หรือลูกเกิดมีกิจธุระจะต้องเกี่ยวข้าว ลูกผัวจบ หรือมีอะไรขึ้น ท่านก็ไม่ได้เสียใจ เพราะ ท่านไม่เคยคิดเลย ไม่เคยคิดว่าเลี้ยงลูกมาแล้วเขา ต้องมาดูแลเรา ท่านก็เฉยถ้าลูกมาท่านก็ยินดีดูสิ บุญของเรามีลูกเขยดี มีหลานดีท่านก็ให้แต่ศีลให้แต่พรเขา พูดแต่ถ้อยคำที่น่าฟังดูดดื่มและเป็นกำลังใจ ทำให้เขาเกิด ความชื่นใจ อยากที่จะมาปฏิบ้ตท่านมันก็มีแต่ ความรักใคร่ผูกพันและมองกันในแง่ดี ใจทุกใจก็เตม ไปด้วยกุศลผลบุญแต่กรณีแรก ใครเข้าใกล้ก็เหี่ยวแห้งหดหู่ไป หมด เพราะเราทำตัวเราให้เป็นเส้นขนบนหนังรัว เราไม่ทำตัวเราให้เป็นเขารัว มันก็ทุกข์เดือดร้อน ไปหมด เราเบียดเบียนตัวเราด้วย เบียดเบียนคนรอบข้างด้วยโลกจะร่มเย็นเป็นสุขหรือทุกข์เดือดร้อน ไม่ ใช่เพราะว่ามีพุทธทำนายเอาไว้ว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ยุคกึ่งพุทธกาล ยุคนั้นยุคนี้ ไปโทษใครต่อใครให้ วุ่นวายไปเปล่า ๆ ไม่ใช่หรอก สิ่งของนอกกายเหล่า นั้นไม่มีความหมาย ถ้าเราเข้าใจที่จะแปรเปลี่ยนหมุนทุกสภาวะที่เกิดขึ้นให้มาเป็นประโยชน์กับเรา เมื่อไปชนกับสิ่งที่ตับข้องใจ ก็หมุนมันให้เป็นหินลับ สติฟ้ญญาให้ใจกลับสงบสบาย อะไรที่ให้ได้ก็ให้เขาไปเสีย ยกโทษได้ก็ให้อภัยไปถ้าทำได้อย่างนี้ เราก็จะรู้จักการเป็นบุพการี ที่ดีเพราะ การให้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือให้อภัย ไม่มีอะไร อีกแล้วที่จะเกินเลยจนให้อภัยแล้วก็ยังแก้ไขกันไม่ได้
เมื่อเราเจ็บซํ้าน้ำใจ แล้วยังยืนกรานว่าทีใครทีมัน ก็ยังมีการผลัดกันทุบผลัดกันถอง เพราะ ทีใครทีมันทีฉันฉันทำทีเธอเอาไป ตกลงก็ยังมี ห่วงโซ่ของแรงสะท้อนกลับไปกลับมา ความสงบ สุขเกิดยังไม่ได้แต่ถ้าหากเราแกว่า อภัยไปเสียเถิด ทุกข์ที่มี ทับถมที่งกายที่งใจอยู่ขณะนั้ก็หนักหน่วงมากมายพอ แล้ว อย่าไปหามาอีกให้เป็นฟางเส้นสุดท้าย เดี๋ยว หลังเราจะหัก อภัยเสียเถอะ อย่างน้อยที่สุดใจของ เราก็เบาขึ้น เพราะใจที่รู้จักการให้อภัยจะปลดปล่อย ให้เราเป็นอิสระจากเขา ไม่อย่างนั้น เราคอยกังวล กำลังจะหลับก็ยังนึก.. เขาจะเป็นอย่างไร อยู่ดีมีสุข บนความทุกข์ของเรา หรือว่าเขากำลังใช้กรรมของ เขา..
ไม่มีใครคุมขังเรา ไม่มีใครบังคับเราแต่เราเองจำยอมเอาตัวเราไปเป็นนักโทษของเขา ขาดทุนเราเองเคราะห์หามยามร้าย เราหมดลมไปขณะที่ กำลังคิดอย่างนั้น เราไม่ไปไหนหรอกจิตจ่อติดอยู่ ตรงนั้นแหละ เฝ้าอยู่ตรงนั้นแหละ เหมือนหลวงพ่อชาท่านเคยว่าลูกศิษย์ที่ส่ง ให้ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดป่านานาชาติ ท่านองค์นี้ท่าน ชอบปลูกต้นไม้ ดินวัดป่านานาชาติไม่ดี เพราะเป็น ป่าช้าเผาผีเก่า ท่านก็พยายามสารพัดสารพันเอาปุ๋ย เอาอะไรต่อมิอะไรมาใส่ แล้วก็หาพันธุไม้มาปลูกจนในที่สุดท่านปลูกมะม่วงกับขนุนได้สำเร็จวันหนึ่ง หลวงพ่อชามาเยี่ยม แทนที่ท่านจะ เล่าถวายว่า พระเณรเป็นอย่างไร ปฏิบัติเป็นอย่างไร องค์ท่านเป็นอย่างไร ท่านกลับพาหลวงพ่อไปดูว่า นี่ต้นขนุน นั่นต้นมะม่วงมันขึ้นเท่านั้นต้นแล้วเท่านี้ต้นแล้ว ต้นนี้ออกดอกแล้ว..หลวงพ่อท่านก็ไม่ว่าอะไร ปล่อยให้ว่าไปตามชอบใจ
พอถึงวันพระ ทุกๆ สาขาต้องมาฟังเทศน์ที่ วัดหนองป้าพง ท่านองค์นี้เล่าว่า พอท่านเดีนเช้าไป หลวงพ่อกำลังเทศน์อยู่ พอเห็นหน้าท่าน หลวงพ่อ ก็ว่าอุปาทานมันเป็นอย่างไรน่ะหรือ นี่ๆ ดูท่าน ตอนนี้ใครไปฟันต้นขนุนต้นมะม่วงที่วัดป่านานาชาติ มันไม่ใช่กิ่งขนุนกิ่งมะม่วงขาดนะ แขนขาท่านเจ้า อาวาสขาดเลือดไหลเลย เพราะท่านยึดเอาไว้หมด
กิ่งมะม่วง กิ่งขนุน นี่น่ะแขนท่านขาท่านนะ ใคร มาหักมาเหยียบ ยิ่งถ้ามันมีลูกด้วย เด็กคนไหนมา หักเอาไปนี่ โอย หัวใจท่านขาดเลย เพราะฉะนั้น การที่เราเอาใจไปยึดอยู่ในสิ่งที่ไม่เที่ยงอย่างนี้ มัน คือก้อนทุกข์กองทุกข์ ถ้าเมื่อไรเราไปยึดขันธ์อัน นี้ว่าเป็นเรา เป็นอุปาทานขันธ์ มันจึงทุกข์ทุกข์ขัด ๆ เพราะว่ามันไปยึดไปแบกไปหามเอาไว้เมื่อกลับจากฟังเทศน์คืนนั้น ท่านก็มานึกสมเพชตัวเองว่า โธ่เอยเรานึกว่าเราเป็นคนประเสริฐ เรานึกว่าเราฉลาดเราเป็นฝรั่ง อุตส่าห์เรียนจบปริญญาข้ามนั้าข้ามทะเลมาเพื่อปฏิบัติภาวนาแต่เสร็จแล้วกลับเอาใจของเราไปแขวนเอาไว้ที่กิ่ง มะม่วงกิ่งขนุน ซึ่งใครๆ นึกอยากจะเด็ดจะหักเล่น ก็ได้ เราก็ไม่สามารถไปสร้างกรงมาใส่ครอบเอาไว้ ไม่ให้ใครมาแตะต้องได้ซํ้าร้าย หลวงพ่อยังตบท้ายว่า ถ้าเผื่อท่าน ตายไปตอนนี้ก็ไม่พ้นเป็นด้วงมาเกาะอยู่ที่ด้นมะม่วงด้นขนุน ไม่ไปไหนหรอก อยู่ตรงนั้นแหละพระพุทสเจ้าท่านมองอะไรทะลุปรุโปร่ง ท่าน จึงสลดในพระทัยถึงความรู้ไม่รอบรู้ไม่จริงของพวก เราไม่มีใครทำร้ายเราเลย แต่เราทำร้ายตัวเองเพราะเรา ให้ไม่เป็น เป็นแต่ ยึด อะไรก็ยึดเข้ามา ยึดเข้ามา เพราะความเขลาว่า ถ้าไม่ยึดเอาไว้ ไม่มี เก็บสะสมเป็นเสบียงเอาไว้ เราจะต้องอดตาย เรา จะต้องลำบากเมื่อแก่ เราไม่เคยคดไนมุมกลับบ้างว่า ที่เรายึดไว้มากมายนั้นอาจจะกลายเป็นเครื่อง มาล้อมกรอบพันธนาการเราไว้ก็ได้เหมือนอย่างล้งในนิทานอีสป เห็นชาวประมง ทอดแหทุกวันก็เกิดความอยากทอดแหบ้าง วันหนึ่ง ซาวประมงไม่อยู่ มันก็จัดแจงไต่ลงไปหยิบแหมา ลองทอดบ้าง เพราะมันคิดว่า ซาวประมงทอดไต้ ตูก็ทอดไต้ แต่มันไม่รู้คิลปะของการทอดแห ก็เลย ถูกแหพันเสียจนกลิ้งตกนํ้าไป ถ้าไม่ถูกแหพัน มัน ก็พอที่จะช่วยตัวเองได้ นี้มีแหพันมันอยู่ ตกลงก็เลย จมนั้าตายอยู่ในแหนั้นเราก็เหมือนกัน การที่เราไปยึดเอาสิ่งโน้นเข้ามาผลักสิ่งนี้ออกไป ใจเราก็ติดอยู่ในแหของความ
โลภ ความโกรธ ความหลง ของเรานั่นแหละ ไป ไหนไม่รอด วนเวียนอยู่ตรงนี้แหละตรงที่ท่าน
บัญญัติว่าเป็นวัฏสงสารเราต้องสืกฝนอบรมใจของเราให้รู้หน้าที่ เมื่อไรที่ควรจะให้ ให้อย่างลูกพระพุทธเจ้าเมื่อไรถึงคราวจะรับ ก็ต้องรับอย่างคนที่มีสติสัมปชัญญะ ปัญญาไม่ใช่รับด้วยกิเลส ซึ่งรับเท่าไรก็ไม่รู้จักเต็มเหมือนอย่างกับทิ้งของลงไปในเหว ทิ้งลงไปเท่าไรก็หายหมด ใจที่เป็นกิเลสจึงพร่องอยู่ตลอด เวลา ทำให้เจ้าตัวหิวโหย เป็นทุกข์ พึ่งตัวเองไม่ไต้ จากตัวอย่างที่ดิฉันนำมาเป็นอุทาหรณ์เหล่านี้ จะได้นำมาเปรียบเทียบกับสภาวะของเราเอง อย่า เผลอไปนึกว่า ฉันไม่มีวันเป็นอย่างคุณคนนั้นหรอกเวลาเราฟังเรื่องคนอื่น เราก็ว่าเราไม่มีวันเป็น แต่ พอถึงเวลาวิกฤต เหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นกับตัว เราบางทีเราจะตกใจ เพราะตัวเองเห็นกับตัวเอง มาแล้วว่า ที่เราไปนึกดูหมื่นถิ่นแคลนคนอื่นนั้น เขา ยังดีกว่าเรา พอถึงคราวของเราเข้า เราชั่วร้ายยิ่งไป กว่าเขาเสียอีก
ดิฉันจะเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟัง ปกติก็มี ความรู้สึกว่าตัวเองไม่โลภ และไม่ใช่คนที่เอารัดเอา เปรียบใคร ทีนี้ระหว่างที่ดิฉันอยู่พยาบาลคุณโยม แม่ท่านอาจารย์สิงห์ทองมีช่วงหนึ่งคุณแม่ชีที่ทำอาหารภาคกลางได้ท่านไปธุดงค์ ไม่อยู่ที่วัด พักนั้น อาหารขาดแคลน ของตักบาตรมีแต่อาหารอีสาน ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่ดิฉันกินไม่ได้ เพราะเฝ็ดอย่าง เหลือแสน
อย่าว่าแต่ดิฉันจะ กินไม่ได้เลย หมา 3 ตัวที่ คุณแม่ชีเลี้ยงเอาไว้เพื่อเป็นเครื่องอบอุ่นใจว่าถ้ามี ใครแปลกปลอมเข้ามามันจะได้เห่าให้เรารู้ตัว ก็ถูก คุณแม่ชีเอาใจให้หัวสูง คือ กินอาหารอีสานไม่เป็น เหมือนกัน เวลาคุณแม่ชีท่าข้าวหลามใส่บาตร ก็จะ มีไม้ไผ่กระบอกเล็กๆ มานึ่งข้าวหลามสำหรับคุณ หมาบรรดาศักดิ้ 3 ตัวนี้ ตัวละกระบอก ฉะนั้น พอ คุณแม่ชีใม่อยู่ ทั้งหมาทั้งเรา หัวโตไปตามๆ กัน แล้วก็โศกมาก ยิ่งเราต้องอดหลับอดนอนเฝืาไข้ด้วย ยิ่งรู้สึกว่ากินเท่าไรๆๆ ก็ไม่อิ่ม ตอนแรกดิฉันก็นึก ในใจว่า เราเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย หมา 3 ตัว กับเราก็มีสภาวะเดียวกัน คือ อนาถา ไม่มีใครดูแล เพราะฉะนั้น มีของอะไรในสำรับที่เราพอกินได้ก็จะ แบ่งออกเป็น 4 ส่วน เรา 1 ส่วน และหมาตัว ละ 1 ส่วน ก็กินข้าวกันด้วยความเป็นปกติสุขอย่าง นั้นเรื่อยมาวันหนึ่ง สิ่งที่จะกินได้เป็นไข่เจียวชิ้นเล็ก ๆ มีอยู่ชิ้นเดียว พอแบ่ง 4 ส่วนแล้วก็เหลือประมาณ ครึ่งคำ มองดูแล้วใจก็ชักไม่อยากแบ่ง ก็ให้บังเอิญ เจ้าดุ๊กหมาตัวหนึ่งทำความไม่ดีเมื่อคืนก่อน ทำให้ ดิฉันต้องเสียเวลาโดยใช่เหตุเพราะมันพอกิน 1ชิ้นของตัวเองเสร็จ โดยอัตโนมัติ สติตามไม่ทัน ดิฉันป็อนชิ้นที่สองเข้าปากอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งให้ เหตุผล.. กิเลสมันให้เหตุผล ว่านายดุกเป็นหมาไม่ดี เพราะฉะนั้น วันนี้ต้องลงโทษ นายดุ๊กไม่ได้กินไข่..แต่พอสติตามมาทันดิฉันตกใจกับความ
ประพฤติของตัวเอง ไหนเราว่าเราเป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่เจ็บตาย ความเป็นจริง ไม่มีนายดุ๊ก ไม่มีดิฉัน มี แต่ว่า เวลาไหนกิเลสเข้าประทับทรงก็เป็นผีบ้า ถ้าธัมมะยังครอบครองใจอย่ก็เป็นผีดี ถ้าผีบ้ามัน
ขึ้นนั่งหัวใจ เราก็บ้า แล้วเราไปปรับไหมอะไรกับคน บ้าก็เมื่อคืนนั้นนายดุ๊กมันแพ้กิเลส แล้วเราเป็นคน เราฉลาดกว่ามัน ทำไมเราถึงเอาตัวเราไปเป็น คู่ต่อสู้กับนายดุ๊ก ปล่อยให้ความเห็นแก่กินมาทำให้ เราเสียคน มันช่างโฉดเขลา น่าเกลียดน่าอับอายเสียเหลือประมาณ แต่สายเสียแล้ว ไข่เจียวคำนั้น หมดลงไปในกระเพาะดิฉันเรียบร้อยแล้ว พอตก คํ่ามีเวลาได้นั่งสำรวจตัวเอง ดิฉันก็เห็นว่า ที่เราไป ปรับไหมคนอื่นว่าเขาชั่วร้ายเลวทรามอย่างนั้นอย่างนี้ ที่เขาคอร์รัปชั่นกัน เขาก็คอร์รัปชั่นกับคนด้วยกัน ไม่มีใครเขาถึงขั้นคอร์รัปชั่นหมาอย่างเราหรอกเห็นอย่างนี้แล้ว เราจะได้ไม่ยกตนข่มท่าน ไม่ไปคิดรังเกียจหรือตำหนิใครเวลาเห็นพฤติกรรม ของเขาแล้วเราสะดุ้งในหัวใจ แต่ให้เราน้อมใจของ เราขอบคุณเขาเพราะเราไม่เคยนึกว่ากิเลสในหัวใจจะมืฤทธิ์ ร้ายแรงอย่างนี้เพราะฉะนั้น เราต้องระรังอย่าให้มันโผล่ออกมาฉีกหน้าเรา ทำให้เรา เสียคนถ้าเราระลึกนึกเอาไว้อย่างนี้ คนนั้นก็เป็นบุพการีของเรา เพราะ เขาให้ความรู้แก่เรา ชนิดที่ สตางค์เท่าไรๆๆ ก็ซื้อหาไม่ได้ ครูบาอาจารย์องค์ ไหนก็เทศน์ให้ถึงใจเราอย่างนี้ไม่ได้
เมื่อคิดได้อย่างนี้ แทนที่เราจะยกตนข่มท่าน ไปรังเกียจเขา หรือไปนินทาว่าร้ายเขา ให้เราเองก็เสียคน เพราะไปมีจิตที่เป็นอกุศลต่อเขา ตกลงเรา ก็จะมีใจที่เป็นกุศล เพราะเราน้อมเอาสิ่งที่ปุถุชน ทั่วไปประเมินว่า เป็นของชั่วเลว ของไม่ดี ของผิด มาพินิจพิจารณาจนเห็นคุณประโยชน์ เราไม่ปล่อย ใจให้ติดอยู่กับสมมุติบัญญ้ตเหล่านั้น แต่ยกใจเราให้ทะลุขึ้นไปให้เห็นว่า ทุกอย่างในโลกนี้มีคุณคุณค่า ทั้งนั้น ไม่มีอะไรที่จะเสียหาย หรือเป็นส่วนเกิน อย่างขยะนี่ เรารังเกียจว่าเป็นของโสโครก เป็นของเหมีนเน่า น่ารังเกียจ แล้วเราก็ปล่อยให้ขยะกองล้นหลามเติมไปหมด แต่ถ้าเรารู้จักเอาขยะ มาทำเป็นปัยหมัก ดินที่แสนจะไม่ดี ดินที่ปลูกอะไร ก็ไม่ขึ้น พอใส่ขยะไปแล้ว พลิกดิน พยายามปรับ เปลี่ยนทำให้มันมีปุ๋ย มีแร่ธาตุขึ้น ในที่สุดดินนั้นก็กลายเป็นดินที่เพาะปลูกได้นี่ก็เหมือนกัน สิ่งอะไรที่เราบัญญ้ตว่ามันชั่ว มันเลว ถ้าเรารู้จักเอาสติเอาปัญญาไปมองมัน เราก็ สามารถเปลี่ยนให้มันเป็นหมัก แล้วทำให้ใจของ เราซึ่งเป็นดินดอน เป็นดินที่มืแต่ความเห็นแก่ตัว มี แต่การยกตนข่มท่าน กลายเป็นใจที่มีธัมมะ เป็นใจ ที่ละเอียดอ่อนเป็นสุขุมาลซนอีกหน่อยเราก็ก้าวถึงฝังของความเป็นอริยชน เป็นลูกของพระพุทธเจ้าเป็นศากยบุตรศากยธิดา ติดตามรอยพระบาทของ ท่านสืบไปชีวิตของคนเรามีความหวังอยู่เสมอถ้าเรารู้จัก ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์แต่ถ้าเราปล่อยให้เวลากลืนกินชีวิตเราไปโดยเปล่าประโยชน์เราขาดทุน
เพราะ เรามัวแต่ก่อกวนใจของเราเองให้เป็นทุกข์ เดือดร้อน แบบสุภาพสตรีท่านแรก อะไรๆ ก็ไม่ดี ไปหมด สามีก็ไม่ดี ลูกก็ไม่ดี เพื่อนก็ไม่ดี โลกนี้ ก็ไม่ดีใจอย่างนี้เรียกว่าใจที่อกตัญฌู เป็นใจที่ไม่รู้จักศิลปะของการรับ ไม่ว่าใครจะให้อะไรต่อให้ให้เพชร ใจชนิดนี้ก็ทำจนกระทั่งเพชรกลายเป็นถ่าน เพราะเพชร กับถ่านเป็นอัญรูปกัน คนเราเมื่อไม่รู้จักรักษาเพชร ทำจนเพชรกลายเป็นถ่าน แล้วก็มาโวยวายว่า เรา โชคไม่ดี ไม่มีวาสนาบารมี ดูสิคนอื่นๆๆ ทำไมเขา ได้เพชร แต่ของฉันได้ถ่านความจริงเราก็ได้เพชร แต่เราไม่รู้จักว่ามัน เป็นเพชร ไม่รู้จักวิธีรักษาให้มันเป็นเพชร เพราะ ใจของเราเองเวลาที่บริสุทธิ้เป็นพุทธะเวลาที่เป็น ธรรมมองเห็นตามเป็นจริง ใจนั้นก็คือเพชร แต่เมื่อไรเราปล่อยให้กิเลส ปล่อยให้ความเห็นแก่ตัวเข้ามาครอบงำเพชรอันนี้ก็ถูกไฟกิเลสเผาจนมอด ไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน มันก็ไร้ค่าใครๆ เห็นก็ไม่อยากเข้าใกล้ เพราะว่ามันทำให้เขาเหนื่อยหัวใจไป หมดความสุขของเขาที่มีอยู่โดนไฟกิเลสของเราเข้าก็ระเหยรับไปกับตาหมดเมื่อเราเห็นอย่างนี้แล้ว ก็จะได้มามองว่าใน การที่จะแกฝนใจของเราให้เป็นกุศลจิตตังที่กล่าว มาแล้ว สามารถปลูกฝังจนกระทั่งเกิดเป็นอุปนิสัย
ขึ้นนั้น เราอย่าไปยึดว่า ฉันอาบนั้าร้อนมาก่อนเธอ นะถ้าเผลอยึดอย่างนี้ เราจะกลายเป็นคนที่ไม่รู้
ในบุญคุณของสิ่งใดๆ เลย เพราะไม่ว่าเราจะอาบ น้ำร้อนมาก่อนใครๆตราบเท่าที่ใจของเรายังไม่
บริสุทธิ์ป็นพุทธะ เราก็ยังเป็นผู้ศึกษา เป็นผู้รับเราอาจจะต้องรับแม้จากเด็กเล็ก ๆ ที่เพิ่งเกิดใหม่ก็ได้ เหมือนอย่างคุณพ่อท่านหนึ่ง อายุประมาณยี่สิบปลาย ได้ลูกชายคนแรกพอลูกชายอายุ 3ขวบก็เอาไปโรงเรียน สมัยนี้ทั้งพ่อทั้งแม่ไปท่างาน เพราะฉะนั้นก็ต้องมีโรงเรียนเตรียมอนุบาลสำหรับ รับเด็กเหล่านี้ไปดูแล ยังไม่ต้องเรียนหนังสือให้ไปเล่น ไปหัดรู้จักอยู่กับเพื่อนฝูง ปรากฏว่าพ่อแม่ ลู่นี้มีฐานะดีพอสมควร ข้าวของเครื่องเล่นอะไรที่ ราคาแพง ก็ซื้อหามาให้ลูกไต้ พร้อมทั้งขนให้ลูกเอา ไปโรงเรียนด้วย จะได้ไม่เหงาลูกจะไต้มืของเอาไป เล่นกับเพื่อน แล้วเพื่อนจะไต้รัก นี่มองกันด้านเดียว ก็ปรากฏว่า ถึงเวลาโรงเรียนเลิกเครื่องเล่นของลูกก็ฉีกขาดบ้าง แขนหักขาหักบ้าง ซ้ำร้ายลูกยังเจ็บตัวกลับมาด้วย เพราะถกเพื่อนแย่งของไปเล่น แล้วไม่คืนบ้าง หรือว่ายื้อแย่งกันจนชำรุดเสียหาย ชํ้าร้ายบางทีแกอยากเล่น เพราะแกถือว่าเป็นของ ๆ แก เพื่อนตัวโตกว่าถืถือว่าใครมีกำลังคนนั้นต้องได้เล่นก่อนก็เลยเกิดการชกต่อยกันขึ้นพ่อฟังลูกเล่าแล้ว ก็เสียงเครียดว่า “ไม่ได้ พ่อเป็นทหาร ลูกโตขึ้นก็ต้องเป็นทหารเหมือนพ่อ ถ้าใครมารังแกเรา เราต้องปกป้องสิทธิ ชกตอบมัน เลยลูก ลูกชกไม่ไต้บอกพ่อ”รุ่งเช้าไปส่งลูก “ยังจำที่พ่อสอนได้ไหม” ลูกก็ รับคำ พ่อหมายมั่นว่า บ่ายนี้กลับมาถึง ลูกจะต้อง เรียบร้อย คือตัวเองไม่เจ็บ แต่ว่าชกคนอื่นให้กระจุย ไป ตกคํ่า.. ลูกก็เงียบ ไม่พูดอะไร อีก 2-3 วัน ต่อมา ลูกไม่ยอมเอาของเล่นไปโรงเรียน พ่อก็ถาม “ทำไมล่ะลูก”ลูกชี้แจงว่า “ถ้าเราเอาของเล่นไป เราก็ไป ทำร้ายใจเพื่อน”พ่อประท้วงว่า “อ้าว ทำไมล่ะลูก ก็เรามีของเราเราไม่ได้ไปขโมยชองใครมานี่“แต่บางคนพ่อแม่เขาไม่มีเงินซื้อให้เขาก็อยาก ถ้าเขาไม่เห็นเสียเลย เขาก็มีความสุขเราไปทำให้เขาอยาก แล้วเราให้เขาก็ไม่ได้ ทำให้เขา เดือดร้อน” เด็ก 3 ขวบบอกกับพ่ออย่างนี้พ่อก็บอก “เอ๊ะ.. ก็เมื่อเราขวนขวายหาได้ ทำไมพ่อแม่เขาไม่รู้จักหาให้พ่อแม่เขารู้จักขวนขวายหาสิลูก”ลูกก็เฉยเสีย“แล้วถ้าเพื่อนมารังแก ลูกก็ชกป้องกันตัวสิ” “มันไม่มีความสุขหรอกพ่อ เราซกเขา เขา ชกเรา แล้วมันก็ซกกันอยู่นั่นแหละ ไม่เห็นมีใครมี ความสุขเลยพ่อ มันก็เจ็บกันทุกคนแหละ สู้เราตัด มันเสียไม่ดืกว่าหรือ แล้วเราจะได้เป็นเพื่อนกัน”พ่อเด็กมาเล่าให้ดิฉันฟังว่า “คุณหมอครับ ผมอายลูกผมนะ ผมมาคิดว่าผมจะสอนธัมมะให้ลูก อย่างไร เขาถึงจะเป็นคนดีอยู่ในสังคม สงสัยเขาคง เคยเป็นพระมาก่อน เขาเกิดมาสอนผมนะครับนี่”ใจแต่ละคนนั้นไม่มีอายุขัย สมัยพุทธกาลก็มี เด็ก 7 ขวบเป็นพระอรหันต์แล้ว ยคนี้ก็เหมือนกัน ใครจะไปรู้ ท่านว่ายุค
กึ่งพุทธกาลก็จะมีคนประพฤติ ปฏิบ้ติที่ยังตกค้างอยู่มาสร้างบารมี จนปฏิบ้ติถึง มรรคถึงผลไปก็มี เราก็อาจจะมีลูกหลานเราเป็น อย่างลูกคุณคนนี้ถ้าเราไปยึดว่า ฉนอาบนํ้าร้อนมาก่อนเธอ เราก็ขาดทุน เพราะว่าเราปัดโอกาสทองคำของเรา ทิ้งไป แต่ถ้าเราระลึกไว้ว่า ใจของเราเหมือนไม้ทิ้ง ท่อนที่มีสองปลาย แล้วเราคอยตั้งสติให้ดี เก็บเกี่ยว ปัจจุบันที่จะเกิดขึ้นแต่ละขณะ ให้มาเป็นประโยชน์ กับตัวเรา เราก็จะได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่เกิด ขึ้นแต่ละเวลานาที เด็กสมัยนี้บางทีพูดอะไรน่าคิด
บางทีก็สอนเราได้อย่างนึกไม่ถึง แต่ถ้าเราเอากิเลส ฟังเราก็ตกหลุมของมันเหมือนกันเด็กคนหนึ่ง กำลังเล่นเกมงูไต่บันไดอยู่กับพ่อ กติกามีว่า ถ้าเดินหมากไปตกที่ปากงู จะต้องหล่น กลับมาที่ศูนย์ใหม่ ปรากฏว่าแกเล่นไปถึงตาหนึ่ง หมากของแกก็ไปหยุดอยู่ที่ปากงูพอดี แกค่อยๆ เลื่อนหมากลงไปที่หางงู มันก็ไปอยู่ที่ศูนย์ หันไป มองหมากของพ่อแล้วกลับมามองของตัว ไม่ยอม
เอามือปล่อยออกจากหมาก ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่แล้ว ก็เลื่อนหมากกลับมาที่ปากงู เลื่อนกลับไปกลับมา อย่างไม่แน่ใจ ผลที่สุดแกก็จับมันไต่จากหางงูกลับ ขึ้นไปที่ปากงู แล้วก็วางเอาไว้ตรงนั้นหน้าตาเฉยพ่อก็ว่า “อ้าว ก็ลูกตกหางงู มันก็ต้องไปตั้ง ต้นที่ศูนย์สิ”แกบอก “ก็ไม่เห็นหรือพ่อ ลูกเอาลงไปตั้ง 2 หน 3 หนแล้ว งูมันขย้อนขึ้นมาทุกทีแหละ”นี่ก็เด็กสอนผู้ใหญ่เหมือนกัน และถ้าเราตก หลุมเพราะเอากิเลสไปพัง เราก็ว่า “อู๊ย ลูกฉันฉลาด เหลือเกิน” แต่จรืงๆ ลูกฉันโกงเหลือเกิน อันตราย แต่มันถูกกิเลสเรา ถ้าเราไม่เป็นบุพการีที่ดี เราก็จะ สรรเสริญเยินยอ หรือไม่อย่างนั้นก็จะหัวเราะชอบ อกชอบใจในความน่ารักน่าเอ็นดู เท่ากับเราช่วยปลูกฝังนิสัยที่ไม่ดีให้ลูกเราพอโตขึ้น เด็กรู้มากเอาเปรียบ เราก็บ่น “โอย ไม่รู้มันผ่าเหล่าผ่ากอ ผ่าตระกูลมาแต่ไหน เผ่าพันธุ์เราไม่เคยมีคนอย่างนี้” เมื่อครั้งยังเป็นเด็กที่เขาทำรันละแกละน้อย สะสมจนเป็นอาจิณกรรม เราไม่ทันสังเกต กลับเห็นเป็นสิ่งน่าเอ็นดู เพราะตอนนั้นลูกอยู่ในวัยน่าเอ็นดู งูมันขย้อนขึ้นมาต่างหาก ลูกไม่ได้โกงหรอก แต่พอ โตขึ้น มันเห็นเป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้วอันนี้เราต้องคอยระวัง รอบคอบถี่ถ้วนกับ การให้ของเราถ้าคนรับยังไม่รู้จักที่จะเป็นผู้มีกตัญฌูกตเวทิตา เราก็ต้องมีหลักเกณฑ์ ต้องรู้หน้าที่ ความรับผิดชอบในการที่จะให้ให้ถูกต้องด้วย เพราะ ถ้ารู้จักแต่เพียงจะให้ โดยไม่ได้ไตร่ตรองดูคุณภาพ ผู้รับยังไม่รู้ผิดชอบชั่วดีเขาก็คิดว่าสิ่งที่เรารักเราเอ็นดูเขาเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วนั้นคือการที่เราทำร้ายเขาแล้วท่านผู้รู้เตือนเอาไว้ว่า ในการที่เราจะทำอะไร การที่เรามีธรรม มีเมตตา ไม่ได้หมายความว่าจะ ต้องปล่อยให้โจรเต็มเมือง การที่เราจะน่าเอาข้อรู้ เหล่านี้มาใช้ให้พอเหมาะพอดีในชีวิตประจำวันของ เรา เป็นสิ่งที่ทำได้ยากจริง ๆท่านจึงว่า บุพการีและผู้ผีกตัญฌูกตเวทิตา สองจำพวกนี้จัดว่าเป็นบุคคลที่หาได้ยากในโลก ถ้า เราพบในบุคคลใดแล้ว ให้ถือว่าเป็นมงคลแก่ชีวิต
ของเรา เพราะเราได้ประสบกับสิ่งที่ดีงามเข้าแล้ว เมื่อทราบอย่างนี้ เราจะได้ช่วยกันว่า ทำอย่างไรจึง จะปลูกฝังให้มีบุคคลเช่นนี้มากขึ้นๆ เพื่อที่โลกจะได้ ร่มเย็นเป็นสุข นี่เราพูดกันในแง่ของผู้คนรอบข้าง นับแต่ลูกหลานญาติพี่น้องพ่อแม่ป่ย่าตายายถ้าจะนำหลักนี้มาใช้กับเพื่อนร่วมงาน กับคน ไข้ คนตากว่าเรา คนรับใช้ คนขายแรงงาน เราจะ ตกใจกับวิธีติดของตัวเอง เพราะไม่ว่าเราจะทำอะไร ลงไป ใจไปนึกมุ่งหวังไว้แล้วว่า เขาจะต้องกตัญฌู รู้ไนบุญคุณ เมื่อเราติดอย่างนั้น สิ่งที่ทำลงไป ไม่ใช่ การให้ แล้ว แต่กลายเป็น การลงทุนเพื่อหวังกำไร เพราะเราทวงบุญทวงคุณอยู่ตลอดเวลาจิตที่คาดหวัง คอยกะเกณฑ์ว่าเขาจะต้องรู้ คุณเรา เขาจะต้องตอบแทนเรา เป็น จิตอกุศล เพราะ มีควาโลภอยู่เป็นพื้นฐาน เป็นตัวเจตนา ชักพาให้ กิริยาของเรายกตนข่มท่าน ซึ่งทำให้ผู้รับอึดอัดวิธีที่เราถูกอบรมกันมาแต่เด็กแต่เล็กคือ ใคร ทำไม่ดีจะต้องถูกลงโทษ ตัดเงินเดือนตัดเบี้ยเลี้ยง ไม่อย่างนั้นก็ให้อด ที่เคยแจกของพิเศษให้ก็ไม่ให้เมื่อดิฉันไปเรียนต่อที่เมืองนอก อาจารย์ ที่ปรึกษาสอนอยู่เสมอว่า ถ้าเป็นใหญ่เป็นโตไป ห้าม ตัดเงินเดือนลูกน้อง ห้ามตัดวันหยุดพักร้อนของเขา ท่านให้เหตุผลว่า อาจารย์ของท่านเริ่มทำ งานส่งภรรยาเรียนพยาบาลจนจบ มีลูกแล้วอาจารย์ จึงกลับไปเรียนแพทย์ใหม่ โดยภรรยาผลัดมาเป็น ฝ่ายทำงานเลี้ยงครอบครัว รวมทั้งส่งเสียให้ท่าน เรียนด้วยเวลาภรรยาทำอะไรผิด นายจะลงโทษด้วยการไม่ขึ้นเงินเดือน หรือปรับค่าเสียหาย ซึ่ง กระทบกระเทือนมาถึงครอบครัวหมดทั้งครอบครัว ลูกก็พลอยเดือดร้อนไปด้วย เพราะ ไม่มีเงินไปซื้อ ข้าวของที่โรงเรียนสั่งให้ซื้อบางครั้งภรรยาถูกลงโทษไม่ให้หยุดพักร้อน แต่ครอบครัวสัญญากันเอาไว้แล้วว่าพักร้อนปีนี้จะ พาลูกไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ ทำให้ต้องงด ลูกเลยรู้สึกว่า นายเป็นคนเลวร้าย สร้างแต่ความผิดหวัง ความ ทุกข์เดือดร้อนให้เด็กยังไม่เข้าใจว่า บทลงโทษเหล่านี้เกิดขึ้น เพราะอะไร เขาก็เลยมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อคำว่า นาย เมื่อโตไปทำงานก็ก่อปัญหาให้กับนายของตนเรื่อยไป ทำให้เขามีความยุ่งยากในชีวิตอาจารย์ก็เลยขอร้องพวกเราว่า เมื่อเราเป็น ผู้ใหญ่ จะลงโทษลูกน้องเพื่อให้เขาจดจำ และเขาไม่ ทำอย่างนั้นอีก อย่าไปแตะต้องสิ่งเหล่านี้ เพราะ มีโนก่อความเดือดร้อนไม่ใช่แต่กับตัวผู้ทำ แต่ระส่ำระส่ายไปหมดทั้งบ้าน ซึ่งไม่ยุติธรรมดิฉันก็จำเรื่อยมา เมื่อนำมาพิจารณาดูก็เฟ้นจริงแต่เติมเราไม่เคยนึก ไม่เคยไต้คิดอย่างนี้เลยจนกระทั้งครั้งหนึ่ง เด็กที่ที่ทำงานเป็นเด็กมีปัญหา กู้หนี้ยืมสินวุ่นวายไปหมด เขาทำงานที่ไหนก็อยู่ไม่ ยืด ถ้าไม่ถูกไล่ออกก็จะถูกหกเงินเดือนเพื่อไปใช้ หนี้ จนกระทั้งเขาต้องย้ายงานอยู่เรื่อยเมื่อมาทำงานที่แผนก หัวหน้าแผนกก็จะทำ อย่างนั้นกับเขาเหมือนกัน ดิฉันก็ขอร้องเอาไว้ โดย เล่าถึงเหตุผลที่ตัวเองไต้รับการสั่งสอนมาหัวหน้าแผนกจึงยกเขาให้เป็นภาระที่ดิฉันจะไปตัดการให้ เรียบร้อย
ดิฉันเรียกเขามาคุยด้วย ชี้แจงว่าดิฉันจะไม่ สอดส่ายเข้าไปในกิจธุระหรือเรื่องส่วนตัวของเขาว่า เพราะอะไรเขาถึงมีหนี้สินมากมาย ถ้าเขาไม่อยาก เล่าแต่ถูกบีบบังตับถาม เขาก็จำต้องพูดปดด้วยการ แต่งเรื่องขึ้นมา หากเขาอยากเล่าก็ให้เล่าเองดิฉันจะถามแต่ว่า เขามีหนี้สินมากมายอย่าง นี้เขาจะทำอย่างไร จะคิดอ่านผ่อนหนี้ด้วยวิธีไหน เขาก็ตอบว่าเขาคิดไม่ออก ดิฉันถามว่า ถ้ามีใครมาจัดการล้างหนี้ให้เขาตอนนี้ เขาสัญญาได้ไหมว่า เขาจะ ไม่ทำหนี้ใหม่ขึ้นมา เขาก็รับคำไม่ได้ดิฉันเลยว่า ถ้าอย่างนั้น คนที่จะช่วยเขาคง ไม่ยอมช่วย เมื่อเขาล้างหนี้ให้แล้วเขาก็หวังว่าคุณ ต้องไม่ก่อหนี้ใหม่ขึ้นมา เพราะถ้าช่วยล้างหนี้ให้แล้ว คุณไปก่อหนี้ใหม่อีก ก็เท่ากับไม่มีใครช่วยคุณได้ เพราะว่าคุณไม่แก้ที่เหตุของคุณเลย ถ้าเป็นอย่าง นั้น คุณทำหนี้ขึ้นมาอีกทำไมถึงตรงจุดนี้ เขาก็ร้องไห้ แล้วเล่าให้ฟังว่า พ่อเขาเจ็บเป็นโรคเรื้อรัง พี่น้องคนอื่นๆ ก็ทอดธุระหมด เพราะหมอบอกว่าทำอย่างไรๆ ก็รักษาไม่หายแล้วแต่เขามีความรู้สึกว่า ถึงเขาจะต้องไปเป็นผู้ร้ายฆ่าคน หรือทำอะไรก็ตาม เขาจะทำทุก อย่างเพื่อหาเงินมารักษาพ่อให้ได้ จะหายหรือ จะไม่หายไม่สำคัญ ตราบเท่าที่พ่อยังมีลมหายใจอยู่ เขาจะทำทุกอย่างที่รู้มาว่าดีที่สุดสำหรับพ่อ เพราะ ว่าเขาทนไม่ไต้ถ้าหากเขาปล่อยทอดธุระอย่างพี่น้อง คนอื่นๆ แล้ววันหนึ่งมีคนมาบอกว่า ถ้าได้ทำอย่าง นั้นพ่อจะไม่เป็นอย่างเดี๋ยวนี้ หรือถ้าทำอย่างนี้แล้ว พ่อก็อาจจะหาย เขาบอกใจของเขาทนดูอยู่เฉยๆ ไม่ได้ เขาจึงจำเป็นต้องก่อหนี้ ทั้งๆ ที่ไม่ไต้อยาก มีหนี้เลย ทุกบาททุกสตางค์ของเงินที่ผ่านมือเขา เขากระเบียดกระเสียนมากสำหรับตัวเขาเองได้แต่ หมดไปกับการรักษาพยาบาลพ่อ
เมื่อรู้อย่างนี้ เราก็เห็นว่าเขาเป็นเด็กที่มีความ กตัญญูดีมาก ก็เลยบอกให้เขาพาพ่อมาตรวจ ให้รู้ว่า เป็นอย่างไรแน่ จะได้ช่วยเหลือถูกในที่สุด หัวหน้าแผนกก็อนุม้ตให้ใช้เงิน สวัสดิการไปดูแลพ่อของเขา ผู้คนในแผนกช่วยกัน รวบรวมเงินชำระหนี้ให้ เพื่อให้โอกาสเขาได้ตั้งตัว เป็นคนดีไม่ทำอะไรอย่างนี้อีก ทุกคนในแผนก็ไม่คัดค้านหัวหน้า เพราะเห็นว่าเป็นการไซ้เงินสวัสดิ-การที่สมควรสำหรับขวัญและกำลังใจของคนงานปรากฏว่าหลังจากที่เราช่วยเขาคิด ช่วยเขาคลี่คลายหาทางออกแล้ว เขาก็ดีมากทำงานทำการ เรียบร้อย และเป็นเด็กที่มีความกตัญฌูรู้คุณ มีความ เอาใจใส่รับผิดชอบเป็นอย่างดีถ้าเราไม่เคยถูกสอนมาจากอาจารย์ที่ปรึกษา เราก็คิดแต่เพียงว่า การเป็นหนี้เป็นของไม่ดี เขาเป็นเด็กสาววัยรุ่น ก็คงฟ้งเฟ้อน่าดู เราก็เอาความรู้ ไม่จริงของเราไปตัดสินเขาทำให้เด็กคนหนึ่งต้อง เสียอนาคตไป ถ้าเขาคับแค้นใจถึงขั้นว่าไปปล้นไป ฆ่าใคร เราก็มีส่วนบีบคั้นให้เขาเป็นเช่นนั้นไปโดย ไม่รู้ตัวการยึดมั่นอยู่กับความนึกคิดของตนเอง โดยไม่ค้นหาข้อเท็จจริงให้ถ่องแท้ ทำให้คนเราใจร้ายใจ ดำต่อกันโดยไม่ตั้งใจ และปิดกั้นโอกาสตัวเองจาก การเรียนรู้โลกและเป็น ประโยชน์นั้น สร้างความร่มเย็นเป็นสุขให้เกิดแผ่ ซ่านไปได้กว้างไกลเหลือประมาณคิดดูเถอะ ครูดิฉันอยู่ถึงเมืองนอกยังสามารถช่วยให้เด็กคนหนึ่งในเมืองไทยซึ่งไม่มีปัญญาจะได้ไปเห็นเมือง นอก ได้รับความสุขจากอิทธิพลคำสั่งสอนของท่าน ถ้าเราเห็นอย่างนี้แล้ว เราจะได้ระมัดระรัง ในสิ่งที่เราจะคิดจะพูดจะทำออกไป เพราะคนที่อยู่ ด้วยกันย่อมเกี่ยวข้องถึงยัน โดยมากมักกระทบ กระเทือนซึ่งกันและกันด้วยกายกรรม ด้วยวจีกรรม เรามักจะแกตัวเองให้พูดจาเชือดเฉือนกระดั่ง นํ้า,ใจตัวเอง ไม่ใช่เชือดเฉือนนั้าใจคนอื่นที่ไหน หรอก
สังเกตสิว่า เวลาโกรธ หรือไม่ได้ดั่งใจขึ้นมา เราก็จะประกาศว่า “ช่างฉันเป็นไรไป ใครจะไป สวรรค์ไปวิมานก็ไปเถอะ ฉันจะตกนรกอเวจีก็เรื่อง ของฉัน ปล่อยฉัน ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน”ดิฉันก็เลยนึกถึงความโชคดีของตัวเองที่มีครู ที่ดี สอนให้รู้ในสิ่งที่เราไม่เคยคิดมาก่อนเมื่อเราเห็นเหตุผลของท่านน่าฟัง เราก็จ็าเอาไว้และเอา มาปฏิบเดิตาม เมื่อได้ผลอย่างนี้ ดิฉันก็เลยเห็นว่า ใจ ที่มีธัมมะอยู่ ใจ ที่ให้ในสิ่งที่ถูกต้องเพราะความที่เราน้อยใจ ความที่เราเป็น อารมณ์ เราก็พูดบั่นรอนประโยชน์ของตัวเองออกไป พูดแล้วไม่ใช่เราพอใจที่จะให้เขาทอดทิ้งเราพอ เขาไม่แยแสเราจริงๆ เราก็คิดน้อยใจต่อไป..คนพวกนี้ช่างแล้งนํ้าใจ ดูสิ เวลาเรามีความสุข ก็สุข กับเราพอเรามีบัญหาเข้า กกับสะบัดมือไปหมดเลย..แต่เราไม่ได้คิดหรอกว่าเราเองเป็นคนท้าเขาให้ไปเถิด หรือบางทีสามีภรรยา “ไปเลย คุณเก็บ ข้าวของไปเลย ไปให้พ้น อย่าให้ฉันเห็นหน้า ดีไม่ดี เดี๋ยวฉันอารมณ์เสียมากกว่านี้”เขาก็เคารพเราเขาไม่อยากให้มีเรื่อง
เขาก็สู้อุตส่าห์เก็บข้าวของอย่างเงียบเชียบแล้วก็ เลี่ยงออกไป คราวนี้ร้องห่มร้องไห้บัวใจแทบจะ ทลายลงไป อู๊ยดูสิ เขาทิ้งเราไปได้ลงคอทิ้งๆ ที่ เราดีแสนดี นี่แหละ บันเป็นอย่างนี้ เพราะเรา ให้ไม่เป็น รับก็รับไม่เป็น บันก็เลยวุ่นกันไปหมด ทุกหัวระแหง
วันก่อน ดิฉันนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องธุรการ มีเพื่อน 2 คนเดินมาหาเลขานุการต่างวาระกัน แต่ ด้วยเรื่องทำนองเดียวกัน คนหนึ่งมาถึงก็ “นี่ตคุณ” โยนกระดาษให้ปีกหนึ่ง “พิมพ์ให้ผมหน่อย ผมจะรีบอย่าให้ช้ากว่า 4 โมงเย็นวันนี้เป็นอันขาด ผม เสียงานเสียการหมด ผมตัดเงนเดือนคุณเลย ได้ยิน ไหม งานอื่นทิ้งไว้ก่อน นี่เอาของผมไปทำ 4 โมง นะ ช้าที่สุดที่คุณจะเอามาให้ผมได้”ว่าแล้วก็เดินโครมๆ ออกไปพอเดินคล้อยหลังไป คุณเลขาฯ ก็หน้านิ่วคิ้ว ขมวด “อู๊ย..ย หนูปวดท้องค่ะอาจารย์ ถ้าอาจารย์ คนนี้มาทีไร หนูปวดท้องอย่างนี้ทุกทีเลยมาทีไรก็เป็นสลาตันมาอย่างนี้ทุกที จะเอา 4 โมง จะเอา เที่ยง เฮ้อ.. หนูเหนื่อยไปหมดแล้ว พิมพ์ไม่ถูกแล้ว” ที่เหนื่อยอ่อนหมดแรงนั่น หมดเวลาไปตั้งหลายสิบ นาทีทอดเวลาไปอีกลักพักใหญ่ ก็มีอาจารย์อีกคน เดินเข้ามา “เป็นอย่างไรบางครับ วันนี้คุณเหนื่อย มากไหม”
“อาจารย์จะมีอะไรให้หนูช่วยคะ” หน้าตา ยิ้มแย้มแจ่มใส“แหม ผมก็เกรงใจคุณเหลือเกิน แต่บังเอิญ มีรายงานประชุมด่วน คุณช่วยพิมพ์ให้ผมหน่อยนะ ครับ ผมไม่รีบร้อนนักหรอก ขอก่อนเลิกงาน สัก 4 โมงเย็นรันนี้ก็แล้วกันคุณจะไปดื่มกาแฟสักถ้วยหนึ่งก่อนก็ได้ ไม่ต้องรีบร้อน สบายๆ ครับ นี่ เพิ่ง 10 โมงกว่า อีกตั้งนานกว่าจะ 4 โมง คุณคงทำไหวหรอก”ปรากฏว่าเธอเต็มอกเต็มใจ พิมพ์เสร็จตั้งแต่ บ่าย แต่รายแรก เอามาจะพิมพ์ทีไร ให้มีอาการ ปวดท้อง มืออ่อน ไม่มีแรง พิมพ์ไปก็ให้ผิด ต้อง ขยำทิ้ง พิมพ์อีกพิมพ์แล้วอยู่นั่นแหละวาจาสามารถเชือดเฉือนหัวใจทั้งของตัวเอง และของคนอื่น ท่านจึงสอนเอาไว้ว่า ถ้าเราจะเป็น บุคคลที่หาได้ยาก ต้องผิกฝนปรับปรุงวาจาของเรา ให้เป็นวาจาที่ดูดดื่มจับใจผู้ฟัง พูดคำสุภาพ ไพเราะอ่อนหวานสมานสามัคคีพูดแล้วให้เกิดความรักใคร่ ต่อกัน
ไม่ใช่พูดแต่อ่อนหวานสมานสามัคคี แต่ ปรากฏว่าไม่มีประโยชน์ สมานสามัคคีในทางที่จะ ได้มาเป็นพรรคพวกเรา แล้วเราจะได้ไปถล่มคนอื่น อย่างนั้นไม่เรียกว่า ปียวาจา แต่ต้องเป็นวาจาที่มี ประโยชน์ ประกอบด้วยเหตุผลเป็นหลักเป็นฐาน ทำให้ใครที่ได้ฟังแล้วยอมตามเพราะว่าล้วนเป็นสิ่งที่ ถูก เป็นสิ่งที่ประกอบประโยชน์ เมื่อเราแกวาจาของ เราให้ดูดดื่ม เป็นที่ผูกมัดนํ้าใจได้อย่างนี้แล้ว เรา จะพบว่าจิตใจของเราเบาสบายขึ้น แล้วเริ่มตระหนัก ในบุญคุณของผู้อื่นมากขึ้น เป็นใจที่มีกตญฌุตา ไม่ อย่างนั้นใครทำอะไรไม่มีดีหรอกสมัยนี้ คนกรุงเทพฯแทบทุกบ้านกำลังขาด แคลนแรงงาน เพราะประเทศไทยเปลี่ยนเป็นนิกส์ทุกคนต้องการไปลิ้มชีวิตโรงงานแม่บ้านทั้งหลายต่างหมดแรงอธิษฐานให้สวรรค์ล่งเด็กมาให้สักคน หนึ่งเถอะ ถึงจะขึ้เกียจขี้คร้านอย่างไร ฉันก็จะไม่ว่า ขอเพียงแต่ให้เขาช่วย กวาดบ้าน ถูบ้าน แล้วเอา เสื้อโยนลงเครื่องชักให้หน่อยเท่านั้นถึงรีดไม่ได้ก็ ไม่เป็นไรฉันกลับไปรีดเองก็ได้ แต่พอสวรรค์ส่งเด็ก
เซเขามา 1 คน“โอย.. กวาดบ้านถูบ้านอะไรอย่างนี้ อย่างกับ ควายมาตีแปลงแน่ะ เฮ้อ.. แล้วเสื้อนี่รีดแล้วหรือ” คือไม่มีดี ทำอะไรไม่มีดีไปเสียหมดนี่คือวาจาของเรา เพราะจิตใจของเรายังเป็น จิตใจที่ไม่รู้จักกตัญฌูรู้คุณในสิ่งใดเลย มีแต่ว่า “โอย สมัยฉันนะ..” เอะอะอะไรก็ไปติดอยู่ที่สมัยโบราณ “สมัยฉัน.. ไม่เป็นอย่างนี้หรอก” พูดแล้วทำให้คน เรามนุษยสัมพันธ์แตกแยก แล้วก็ไม่มีใครอยากช่วย ทำอะไรมีบ้านหนึ่ง แม่บ้านละเอียดจุกจิก อะไรก็ไม่ถูกใจ วันหนึ่ง สาวใช้หมดความอดทน วางมือจาก ทุกอย่างบอกว่า “ก็ถ้าเผื่อคุณผู้หญิงเก่งอย่างนี้ คุณผู้หญิงมาจ้างหนูทำไม” ว่าแล้วเธอก็เก็บของ เดินออกประตูไปเลย ประกาศว่าเธอไม่ต้องการอยู่แล้ว เงินเดือนก็ไม่เอา ที่มาอยู่ยังไม่ถึงอาทิตย์นี่ทำให้เปล่าๆ ไม่อยากเจอะเจอกันอีกแล้ว พูดแต่ละ คำบาดหัวใจเหลือเกิน อย่าสำคัญผิดว่าเมื่อเขาเป็น คนยากจนหรือเป็นคนต่ำกว่าเราแล้ว เราจะไม่ต้อง มีกตัญฌูกตเวทีต่อเขา เมื่อสมัยที่พระสารีบุตรเป็น อัครมหาสาวกครั้งที่พระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพอยู่ เวลาใครที่มีอายุมากแล้วมาขอบวช ท่านให้ถามใน หมู่สาวกทั้งหมดว่า ใครจะรับเป็นอุปัฏฐากของนวกภิกขุนั้น เพราะคนแก่แล้ว ยากที่จะช่วยเหลือตัวเอง ได้เมื่อเกิดเจ้บไข้หรือเป็นอะไร ฉะนั้นจะต้องมีพระ สาวกเก่ารับเป็นผู้อุปัฏฐาก ท่านจึงจะยอมให้บวชมีพราหมณ์แก่คนหนึ่งมาขอบวช ก็ไม่มีใคร รับเป็นอุปัฏฐากพราหมณ์แก่คนนี้ ก็ค่อยๆ ไล่ถาม เรื่อยไปจนถึงพระสารีบุตร พอเห็นหน้าพราหมณ์ พระสารีบุตรก็จำได้ว่าพราหมณ์ผู้นี้เคยใส่บาตรท่าน ใส่ข้าวทัพพีเดียวแก่พระสารีบุตรเป็นที่รู้กันว่าพระสารีบุตรเป็นผู้มีความกตัญฌูกตเวทีสูง ไม่ว่า ท่านจะไปด้างแรมที่ใด ท่านจะสำรวจทิศทางก่อนนอน กราบไปทางทิศที่พระอัสสชิซึ่งเป็นอาจารย์องค์แรก ของท่านอยู่ แล้วจึงลงนอน เอาศีรษะหันไปทางทิศ นั้นพอจำได้ว่าพราหมณ์เคยใส่บาตรท่าน 1 ทัพพี ท่านก็เลยรับเป็นอุปัฏฐาก ทำให้พราหมณ์คน นี้ได้บวชจิตของท่านที่มีกตัญญกตเวทิตาย่อมทำให้ โลกร่มรื่นน่าอยู่ขึ้นอย่างนี้ สาวกองค์อื่นๆ ล้วนไม่ เอาแล้ว พราหมณ์แก่จนป่านนี้แล้ว บวชมาก็เป็น ภาระ ทำให้เราลำบากโดยเปล่าประโยชน์เมื่อพระสารีบุตรให้โอกาสเซ่นนั้น พราหมณ์ เองก็มีจิตใจเลื่อมใสและตั้งอกตั้งใจจริงอยู่แล้วประกอบกับความสำนึกรู้ในบุญคุณที่พระสารีบุตรซึ่ง เป็นอัครสาวกอ่อนน้อมองค์ลงมารับเป็นผู้ดูแลท่าน ท่านยิ่งเร่งความพากเพียร ใช้ทุกเวลานาทีให้เป็น ประโยชน์เต็มที่ ในที่สุดท่านก็บรรลุอรหัตตผลอะไรๆ ในโลกนี้ ถ้าเรามีนํ้าใจเกื้อกูลกันแล้ว สิ่งที่คาดคิดไม่ถึง สิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ก็จะเก็ด เป็นไปได้ขึ้นถ้าเรามองให้ละเอียดต่อไป ไม่ใช่มองเพียง เฉพาะบุคคลที่ตํ่าด้อยกว่าเรา มองให้ลึกไปกว่านั้น พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า นอกจากจะต้องรู้ตุณต่อบุคคลแล้วพื้นแผ่นดิน แผ่นดินนี้เป็น แม่พระธรณี ของเรา ทำไมเราถึงต้องไปกตัญญูรู้คุณต่อแผ่นดิน ด้วย ถ้าไม่มีแผ่นดินให้พืชพันธุธัญญาหารงอกงาม ขึ้นมา เราจะเอาอะไรมาเป็นอาหาร เราจะเอาอะไร มาทำให้ร่างกายของเรายังแข็งแรงอยู่เป็นปกดิสุข อย่างทุกวันนี้ได้ถ้าใจเราเห็นจริงอย่างนี้ ใจที่มีกตัฌฌูรู้คุณจะ ระมัดระวังเวลาจะทิ้งขว้างสิ่งใดลงไป จะไม่ทำให้ แผ่นดินที่อยู่อาศัยเกิดมลพิษขึ้นเป็นอันขาด เราจะรอบคอบทำอะไรแต่ละอย่างจะคอยระลึกร่าทำ อย่างไรเราจึงจะรักษาให้ดินคงความอุดมสมบูรณ์อยู่ได้ หว่านเมีดอะไรลงไปก็ให้ขึ้นงอกงามเป็นต้น เติบโตเป็นดอกเป็นผล เพื่อให้สัตวโลกสิ่งมีชีวิตทิ้ง หลาย ทิ้งคนทิ้งสัตว์ ได้มีอาหารกินอุดมสมบูรณ์ ไม่ อดอยากปากแห้ง แย่งตีฆ่าฟันกันแผ่นนํ้าก็เหมือนกัน สารพัดจะมีประโยชน์กับ เรา เราก็จะไม่ทำให้นํ้าเน่านํ้าเสีย ไม่ทำให้ดินเป็น พิษ เราก็จะ รักษาไม่ให้มันเกิดเป็นความร ะสิ่าระสาย อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
เราจะรู้คุณค่าและคอยระแวดระวังทรัพยากร ธรรมชาติการจะตัดต้นไม้ลงไปสักต้นหนึ่ง เราก็
จะนึกถึงว่า เมื่อต้นไม้ถูกตัดไปแล้ว หมดรากที่เคย โอบอุ้มนํ้าเอาไว้ช่วยทำดินให้มีความชุ่มชื้น หน้า ดินก็จะแปรสภาพ เริ่มเปราะยุ่ยแตกระแหงจนกลาย สภาพเป็นทะเลทรายไปในที่สุด เมื่อเป็นทะเลทรายไปแล้ว ทำอย่างไรจึงจะทำให้มีโนกตับคืนมาเป็นดิน ที่ชุ่มชื้นเหมาะกับการเจริญเติบโตของต้นไม้ของป้า ที่เขียวชอุ่มชุ่มชื้น เป็นความสดชื่นรื่นรมย์ของโลกที่ อยู่อาศัยได้อีกนี่พูดในแง่ที่เรามองเพียงผิวเผิน ถ้ามองให้ ลึกซึ้งไปอีก เมื่อไรที่โลกขาดต้นไม้ ชีวิตดำรงอยู่ ไม่ได้ เพราะไม่มีโรงงานผลิตออกซิเจน ต้นไม้เป็น ตัวที่ผลิตอากาศบริสุทธให้เราหายใจ เพราะมันเอา อากาศเสียไปรวมกับนํ้า แล้วตังเคราะห์โดยอาศัย พลังแสงอาทิตย์ให้กลายเป็นอาหารสำหรับเลี้ยง สำต้นกิ่งใบให้งอกงาม ในขณะเดียวกันก็แปรอากาศ เสียให้เปลี่ยนเป็นออกซิเจนมาทำให้อากาศสดชื่น ทำให้โลกนี้เหมาะสำหรับสิ่งมีชีวิตจะดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้เพราะฉะนั้น ต้นไม้คือลมหายใจของสิ่งมีชีวิต ต้นไม้คือปอดของโลกเรายิ่งรู้ความเป็นจริงมากเท่าไร ก็ยิ่งกตัญฌู รู้คุณต่อต้นไม้ ต่อธรรมชาติ ต่อแผ่นดิน แผ่นนํ้า แผ่นฟ้า จะไม่ใช้สิ่งเหล่านี้อย่างสิ้นเปลืองโดยไม่ จำเป็น มีอุปนิสัยละเอียดประณีตไปจนถึงว่าไม่ว่าจะอยู่จะไปที่ไหน พบเห็นสิ่งใดไม่ควรทิ้ง ควรเสีย ไม่ว่าจะเป็นสมบ้ติ สิ่งของเครื่องสาธารณูปโภคใด ๆ ก็ตาม เป็นต้นว่า ผ่านไปพบเขาลืมเปีดไฟทิ้งไว้ ก็ ช่วยป็ดให้ เข้าไปล้างมือเห็นก๊อกนํ้าป็ดไม่สนิท นํ้า รั่วเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ ก็ปีดให้สนิทไม่ดดาย บางคนอาจสงสัยว่า เรื่องอะไรจะต้องไปรับ ผิดชอบถึงเพียงนั้นหรือเราเข้าไปในภัตตาคาร หรือในสถานที่ ที่เราเสียค่าบริการให้เขาแล้ว เรื่องอะไรจะต้องไปประหยัดมัธยัสถ์อีก ก็เราเสียเงินให้เขาแล้วใช่ ถ้าเราคิดแต่เพียงว่าของนี้เราซื้อหามา แล้วฉะนั้นเราจะใช้ทิ้งใช้ขว้างเท่าไรย่อมได้ เพราะ เป็นสิทธิของเราโดยชอบธรรมความเป็นจริงที่พระพุทธเจ้าทรงสอนมีว่า แม้เราจะชำระค่าข้าวมื้อนี้เรียบร้อยแล้ว แต่ไม่กินให้หมด เราก็ยังเป็นหนี้ กล่าวคือ เราเป็นหนี้พลัง ธรรมชาติที่สูญสิ้นไปกว่าต้นข้าวจะดูดเอาป้ย เอานํ้า เอาพลังแสงแดดไปลังเคราะห์อาหารเลี้ยงตัว จนต้น ข้าวเติบใหญ่ผลิรวงข้าวออกมา กว่าธรรมชาติจะ ฟูมฟักจนรวงแก่ เป็นหนี้ต่อแรงกายของชาวนาที่ เก็บเกี่ยวข้าวมานวดฝัดเป็นข้าวเปลือก เอามาขัด สีเป็นข้าวสาร เป็นหนี้พลังความร้อนที่เสียไปใน การนำมาหุงต้มประกอบเป็นอาหารมาให้เรากิน
ค่าของพลังธรรมชาติและพลังมนุษย์ที่สูญ ไปในกระบวนเหล่านี้ เมื่อนำมาเทียบกับประโยชน์ ที่ได้รับจากการที่เราเอาผลิตผลมาใช้ คุ้มค่ากันแล้ว หรือ ถ้าไม่คุ้ม ผู้บริโภคก็เป็นหนี้ธรรมชาติถึงเราจะเอาสตางค์ชองเราไปซื้อหามา นั่นเป็น เรื่องของ สมมุติ ส่วนเรื่องของ ความเป็นจริง คือ เราไต้ใช้ ข้าว ครบถ้วนตาม หน้าที่ ของมันหรือเปล่า ข้าวใช้พลังธรรมชาติทำให้ตัวเองเติบโตขึ้น มาเพื่อทำหน้าที่เป็นอาหารของสิ่งมีชีวิต เพื่อบำบัดความหิวโหยให้สิ้นไปเมื่อเราไปซื้อหามาเป็นกรรมสิทธิแล้ว เราได้น้ำมันมาใช้ให้คุ้มกับหน้าที่ แล้วหรือยังถ้าเราเอามันมาเหวี่ยงทิ้ง หรือเอามันมากิน ทิ้งกินขว้างเหลือให้เน่าบูด ทำให้คนอีกหลายๆ คน ซึ่งควรจะได้อาหารส่วนนี้ไปใช้บำบัดความหิว เลย ต้องขาดโอกาสนั้นไปการกระทำเช่นนี้ถือเป็นการเหินแก่ตัว เป็นการทำร้าย ปล้นสิทธิในการมีชีวิตของผู้อื่นขาดความรับผิดชอบในการจะรักษาความเป็นปกติของ ธรรมชาติเอาไว้ หนี้สินที่เราก่อกับธรรมชาติจึงท่วม ท้นพันตัวเพราะฉะนั้น การที่เรามีจิตใจที่ไม่ร้คุณค่า ของสรรพสิ่งที่มีพระคุณ แล้วไม่ได้มองโลกนี้ให้ ถ่องแท้ตามเป็นจริง จึงทำให้เรายากที่จะเป็นบุพการี และเป็นผู้มีความกตัญฌูกตเวทีได้ครบถ้วนตามที่ พระพุทธองค์ทรงสอนเราหลงเข้าใจว่าตัวเองมีความกตัญฌูกตเวที ซึ่งจะเหินได้จาก ถึงรันสงกรานต์เราก็โปรดนํ้าท่าน
ผู้ใหญ่ ใกล้เทศกาลไหว้ครูเราก็ไปหาครูบาอาจารย์ นั่นมันเรื่องของเปลือก แต่แท้จริงนั้น ลองมองเข้า ไปในจิตใจ มองไปที่จริยาวัตรประจำวันของเรา แล้ว อย่าเข้าข้างตัวเอง เราจะตกใจที่เห็นตัวเองเป็นคน อกตัญญูอกตัญญูต่อทุกสิ่ง รวมนั้งอกตัญญูต่อตัวเองด้วย เพราะเราปล่อยปละละเลยโอกาสที่จะ แกฝนสร้างนิส์ยที่ดืงาม ที่จะเป็นเสบียงให้ตัวเอง ไม่ ไปทุกข์ยากลำบากในกาลข้างหน้าลองคิดดูเถอะ การที่เราใช้ทิ้งใช้ขว้างอย่างนี้ เมื่อทรัพยากรธรรมชาติร่อยหรอจนหมดไป ใคร เดือดร้อน ก็รุ่นลูกรุ่นหลานเรานั่นแหละ เมื่อดิฉัน เด็กๆ พอเอามือจุ่มลงไปในแม่นั้าลำคลอง จะวักกุ้งก้ามกรามติดมือขึ้นมาได้ มันชุมถึงอย่างนั้นและเชื่องอย่างไม่น่า เชื่อเดี๋ยวนี้ไปดูเถอะ เราจะหากุ้งก้ามกรามที่ไหน มากิน บางทีต่อให้เป็นเศรษฐีก็หากินเกือบจะไม่ได้แล้วเพราะเขาจะบรรจุเพื่อส่งออกต่างประเทศหมด อะไรดีๆ เดี๋ยวนี้คนไทยไม่มืสิทธิได้ ต้องเป็นฝรั่งยังมียิ่งกว่านั้นอีก การอยู่เมืองไทย เป็นคน ไทย พูดภาษาไทย เข้าไปในที่บางแห่ง ถูกบริกรซึ่งเป็นคนไทยด้วยกันเมินแต่ถ้าเราเต๊ะท่า พูดฝรั่งทำเป็นเกาหลีญี่ปุ่นไปเสีย แหม.. เข้ามาพินอบ พิเทา แทบจะเรียกว่าอุ้มเราไปเลย มันน่าเจ็บใจไหม ที่คนไทยเราอกตัญฌูต่อคนไทยด้วยกันอย่างนี้ถ้าเราไม่ใส่ใจ ไม่ปรับปรุงตัวเรา อีกหน่อย เราอาจไม่มีแผ่นดินไทยจะอยู่กัน แล้วเราก็จะไม่มี โลกที่อยู่อาศัยได้ แล้วคราวนี้จะทำอย่างไรกันเมื่อเริ่มเข้ารัด ดิฉันไม่ยอมเชื่อที่ท่าน อาจารย์สิงห์ทองเทศน์ว่า การที่คนทุกรันนี้ดื้อรั้น สั่งสอนไม่ได้ พูดจาไม่รู้ภาษา เป็นผลจากการกระทำ ของเราเอง เช่น เราไปตัดไม้ทำลายป่า สัตว์ป่าจะ มาเกิดก็ไม่มีที่เกิด ทำให้สัตว์สูญพันธุไปโดยลำตับ ความเห็นแต่ได้ ไม่รับผิดชอบต่อสาธารณะประโยชน์ มีผลไปทำให้นํ้าในแม่นํ้าลำคลองบ่อบึง เน่าเสีย ไม่เหมาะที่สัตว์นํ้าจะมีชีวิตอยู่ได้เขื่อนต่าง ๆ ถูกสร้างขึ้นมานั้นวงจรธรรมซาดิของสัตว์ นํ้าจืดบางชนิด ที่ถึงฤดูผสมพันธุต้องลงมาวางไข่ใน นํ้ากร่อยจึงจะฟักเป็นตัวอ่อนได้ เป็นเหตุให้สัตว์นํ้า จะมาเกิดก็เกิดไม่ได้อีกเราไปบีบคั้นปิดกั้นหนทางเกิดของภพภูมิสัตว์ แต่ขณะเดียวกันก็ทำร้ายเบียดเบียนจิตใจของมัน ให้ คั่งแค้น ผูกเวรอย่างไม่หยุดไม่ถอย แล้วจะให้มันไป เกิดที่ไหนเล่ามันก็ต้องมาเกิดเป็นคน รูปกายของมันเป็น คน แต่ใจยังเป็นเดรัจฉาน ตุร้าย ดื้อรั้น ไม่ฟังความ มันก็เลยเป็นมนุสสเดรัจฉาโน หรือมนุสสเปโต รูปกายเป็นคน แต่ใจพร่อง หิวโหย ให้เท่าไรไม่รู้จักพอ แล้วจะไปบ่นอะไร ตัวเองเป็นคนสร้างมนุษย์พันธุ์ เหล่านี้ขึ้นมาเองแท้ๆดิฉันนึกเถียงในใจท่านอาจารย์พูดอะไรก็ไม่รู้ ฟังไม่รู้เรื่อง ไม่เหินจะมีทางเป็นไปได้จะพิสูจน์อย่างไรเอาใส่หลอดทดลองชนิดไหนๆ มันก็ไม่เป็นอย่างท่านอาจารย์ว่าแต่เดี๋ยวนี้ดิฉันได้ดีด เราหนอเรา.. ตัวเรา โง่เซ่อตาบอดแล้วยังไปเถียงท่านผู้ตาดี มิหนำซํ้ายัง ไปปล่อยโง่อวดว่าตัวนี่รู้ แต่แท้ที่จริงไม่รู้อะไรเลย
ถ้าเรายังปล่อยปละละเลย ไม่รู้บุญคุณของ ธรรมชาติและช่วยยันอนุรักษ์สภาวะที่ปลอดมลพิษ เอาไว้ วันหนึ่งในกาลอนาคต เราจะพบว่าทรัพยากรธรรมชาติเหลือไม่เพียงพอสำหรับมนุษย์จะดำรง ชีวิตอยู่ได้หรือถ้าปรับตัวให้ยังคงอยู่ได้ ก็กลาย
เป็นคนพิกลพิการ จิตใจวิปรืตผิดศีลธรรม ถูกความ แร้นแค้นของสภาพแวดล้อมบีบคั้นจนถึงขั้นต้อง กินยันเองเพื่อเป็นอาหารยังชีวิตถึงตอนนั้นใครเดือดร้อน ก็เราเองเดือดร้อน เพราะเหตุที่ทำไว้ขณะเดี๋ยวนี้เป็นปัจจัยชักพาไปเกิด ในยุคนั้น เพื่อไปรับผลที่เราได้ทำเอาไว้เอง ทำแล้ว ยังโง่เขลา เที่ยวได้ลอยหน้าถามใครๆ ว่า ‘‘แล้ว มันไปหนักห้วใคร ถ้าฉันจะใช้ทิ้งใช้ขว้าง ฉันไม่ได้ เอาสตางค์เธอมาใช้สักหน่อยหนึ่ง”หรือบางคนก็ถูกอวิชชาคือความผ่องใสอย่าง ยิ่งป็ดบังให้ไขว้เขวไปว่า มีธรรมขั้นสูง จนเห็นของ ในโลกนี้ สมบติในโลกนี้ไม่ใช่ของของใครหรอก ต่างก็ผสัดยันครองไปเรื่อยๆ เพราะไม่มีตัวตนคนสัตว์ ไม่มีของของใคร ทุกสรรพสิ่งเป็นไตรลักษณ์ เธอ ตายไป อะไรๆ ก็ต้องกองอยู่ตรงนี้ จะหอบหิ้วข้าม ภพข้ามชาติไปไม่ได้ คงอยู่ไห้ได้หยิบฉวยผลัดกัน ครอง เพราะฉะนั้น ถ้าเราไปหยิบของของไครเข้า ไม่ได้เรียกว่าขโมยแต้เรียกว่า แทงทะลุสัจธรรมแล้ว เพราะทุกสิ่งเป็นสมบ่ตสาธารณะนี่แหละ ก็แล้วแต้เราจะเลือกเอา ว่าเราจะ ปฏิฟ้ตตัวแบบไหน จะอยู่อย่างหาความสะดวกสบาย มาเป็นป๋ยให้กิเลส แล้วไปทุกข์เดือดร้อนภายหลัง หรือว่าจะอดทนต้อความทุกข์อึดอัดนานัปการ ขณะ ฝึกฝนอบรมบ่มใจของตัวเองให้เข้มแข็ง มีพลัง เพื่อ สร้างนิสัยดีงามไห้เป็นกรอบระเบียบของชีวิต จะได้ มีความผาสุกร่มเย็นในภายภาคหน้าอุปมาเหมือนเราหว่านเมล็ดพันธุที่ดืเอาไว้ ต่อไปเมื่อถึงกาลเวลาที่จะผลิดอกออกผล เราก็มี ความสุข เพราะผลเหล่านั้นจะมาเกื้อหนุนเป็นเสบียงเลี้ยงจิตใจ ให้เราปีติอิ่มเอิบสมกับที่เหนื่อย ยากทำมาบุคคลที่หาได้ยากก็คืออย่างนี้แหละ ต้อจาก นี้เราก็ไปถามตัวเองว่า เราจะทำตัวให้เป็นบุคคล
ที่หาได้ทั่วไปในโลก หรือเราจะใช้เวลาที่ยังมีอยู่ให้ เป็นประโยชน์ ให้สมกับที่เราได้ภพภูมิเป็นมนุษย์ แล้วก็ปีกฝนตนให้เกิดเป็นอุปนิสัยที่ดีดิดตัวไปธรรมชาติของจิตใจชอบที่จะเป็นนักเดินทาง ท่องเที่ยว มันก็จะท่องเที่ยวเรื่อยๆ ไป ถ้าเราปล่อย ใจให้ท่องเที่ยวไปอย่างไม่มีทิศมิทาง มันก็จะเหมือน พายเรือวนอยู่ในอ่าง ซํ้าแล้วชํ้าเล่าท่านอาจารย์เปรียบเหมือนมดไต่ขอบกระด้ง ไต่ไปรอบที่เท่าไรๆๆ ครั้งที่เท่าไรแล้วก็จำไม่ได้ ไปสำคัญว่ากำลังเดินรุดหน้าไปเรื่อยๆ อย่างนี้กาล เวลาก็กลืนกินชีวิตเราไปโดยเปล่าประโยชน์ ถ้าเรา เอาเวลาที่มีอยู่ มาปีกให้เดินต่อไปอย่างมี ทิศทาง เดินอย่าง รู้จุดหมายปลายทาง แทนที่เราจะไต่ขอบ กระด้ง ก็เท่ากับเราตัดตอกที่ผูกมัดขอบกระด้งออก แล้ว หนทางที่วนเป็น วัฏฏะ อยู่อย่างไม่ร้จบ ก็คลี่ออกเป็นเส้นตรง กลายเป็น มรรคอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงดำเนินไปแล้ว พระอริย สาวกทั้งหลายภ็ดำเนินตามไปแล้ว เราก็เห็นประจักษ์แจ้งแล้วว่า ท่านทำให้โลก ร่มเย็นเป็นสุขอย่างไรบ้าง ขณะนี้เพียงแค่ใจเราน้อม นึกถึงท่านขึ้นมา เราก็ยังมีกำลังใจ เกิดความร่มเย็น เป็นสุขแต่ถ้ายังดึงดื้อคิดแบบของเรา ขี้โคลนก็ต้อง เอาขี้โคลนสาดกัน เลือดก็ต้องล้างด้วยเลือด ลอง ตรองดูก็แล้วกันว่า มันจะร้อน มันจะทุกข์มันจะแห้งแล้งแค่ไหนขณะนี้ ท่านผู้สูงอายุทั้งหลายก็คงมีห่วงกังวล อยู่เพียงว่า ลูกหลานทั้งหลายไม่มาเยี่ยมเยียนเท่าที่ควร ใจที่รอคอยมุ่งหวัง จะรู้สึกว่าเวลาที่ผ่านไป แต่ละนาทียาวนานเป็นชั่วโมงชั่วโมงคิดน้อยใจแหนงหน่าย ทำร้ายจิตใจตนเองให้ทุกข์หม่นหมอง ไปต่างๆ นานาหากท่านนึกถึงตัวอย่างต่างๆ ที่เล่าสู่กันฟังนี้ นึกถึงแม่ที่ทำใจว่าลูกทุกคนตายจากไปแล้วในวันที่ ลูกแต่งงาน ใจที่ รวงสิ่งต่างๆ ไว้ตามธรรมชาติ ไม่ยึดครอบครอง เรียกร้องกะเกณฑ์ ย่อมผาสุก อิ่ม เต็ม สมกับเป็น บุพการี ใจที่เป็นไทแก่ตัวเช่นนี้จะเลี้ยงตัวเองได้ไม่หวังพึ่งพิงอิงอาศัยสิ่งภายนอก เมื่อลูกหลานหรือผู้ใดมีนํ้าไจ ทำอะไรให้ มาเยี่ยมเยือน ก็อนุโมทนาให้พรในความมีนํ้าใจของ เขา จิตใจอ่อนโยนด้วยความระลึกรู้คุณ เพราะรู้ดี ว่าตัวเองคงไม่มีโอกาสจะทำสิ่งใดเพื่อตอบแทนได้ สิ่งที่จะให้ได้คือกุศลมโนกรรมและจิตเมตตา ..พร และ เมตตา..เราก็จะเป็นทั้งบุพการีและผู้มีกตัญฌูกตเวที พร้อมเป็นบุคคลที่หาได้ยากของลูกหลาน เป็นพระ เป็นพรหมประจำบ้าน ให้ลูกหลานยึดเป็นหลักรวม จิตใจขณะเดียวกัน คนหนุ่มคนสาวก็เกิดความเป็น ผู้มีกตัญฌูกตเวที พ่อแม่ให้ชีวิตแก่เรา ถนอมกล่อม เกลี้ยงเลี้ยงดูเรามา มีสิ่งใดที่เราจะทำให้ท่านมีความสุข ความสะดวกสบาย รีบขวนขวายทำเสียทันท่าน ยังรู้ความ มีสดีสัมปชัญญะ มีลมหายใจอยู่อย่าปล่อยให้เวลากินชีวิตลมหายใจของท่าน ล่วงลับตับไปแล้ว เราจึงคิดได้แล้วก็นึกเสียใจเสียดายเวลาที่ผ่านไปถึงวาระนั้น ไม่มีประโยชน์ที่จะเสียใจ เสียดาย หรือครํ่าครวญ ร้องขอโอกาสกลับคืนมาใหม่ถ้าคอยผึเกให้เราปฏิบัติตัวได้เป็นปัจจุบันทัน ท่วงทีกับแต่ละเหตุการณ์ แต่ละเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น ในชีวิตประจำวันเช่นนี้ ใจของเราจะรู้เท่าทัน เป็น ปัจจุบันจิต ผาสุก เบิกบาน ชีวิตกิจะมีคุณค่า เป็น ประโยชน์กับตัวเองและกับผู้คนรอบข้างบัดนี้กิสมควรแก่เวลาแล้ว ดิฉันหวังว่าสิ่งที่ นำมาพูดคุยสู่กันฟังในวันนี้ คงเป็นประโยชน์ต่อท่าน ทั้งหลายบ้าง กิขอฝากไว้แต่เพียงแค่นี้
พิมพ์โดย ปภัสสร มีพงษ์
แหล่งที่มา http://web.krisdika.go.th/buddha/29_person.pdf
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น