อปัสเสนธรรม
ชื่อผู้เขียน พญ อมรา มลิลา
วันที่ 18 พฤษภาคม 2548
ณ ชมรมพุทธธรรม ตึกชิรญาณวงศ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
อันดับที่
หมวด
ธรรมเป็นที่อิงหรือที่พึ่งพิงอาศัย บางคนเรียกว่าเป็นธรรมที่เป็นเหมือนพนักพิงหรือธรรมช่วยอุดหนุน
อป้สเสนธรรมมีอยู่ 4 ข้อ หมายถึงสิ่งที่ถ้านำมาพิจารณา แล้วเอามา ช่วยในการประพฤติปฏิบัติอยู่เป็นเนืองนิจ จะทาให้สามารถรักษากุศลที่ยังไม่ เกิดให้เกิดขึ้น กุศลที่มือยู่แล้วให้เจริญงอกงาม อกุศลที่ยังไม่เกิดก็แน่นอนว่า จะไม่เกิดขึ้น ที่เกิดแล้วก็เสิ่อมไป ซึ่งช่วยให้การปฏิบัติก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ
สิงที่เรียกว่าอปัสเสนธรรมมีอะไรบ้าง
1. สงขาเยก็ ปฏิเสวติ ของอยางหนึ่ง พิจารณาแล้วเสพ คือปัจจัย 4 ได้แก่ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คลานเภสัช หรีอภาษาชาวบ้านก็คือ เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค ปกติเราก็ทราบกันแล้วว่า พระท่านพิจารณาสิงต่าง ๆ เหล่านี้ก่อนจะใช้สอยอย่าง จีวร นี้ พระปาสายท่านพระอาจารย์มั่นหลายองค์จะอธิษฐานว่า จีวรของท่านต้องมาจากการชักบังสุกุล คือผ้าที่เขาทิ้งแล้ว อย่างผ้าห่อศพ เป็นต้น ท่านพระอาจารย์สิงห์ทองเคยเล่าให้ฟังว่า ช่วงที่ท่านอธิษฐานว่าท่านจะใช้แต่เฉพาะผ้าบังสุกุลเป็นผ้าจีวร ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 มีศพที่เน่า กำลงขึ้นอืด ท่านก็ไปชักเอาผ้าที่ห่อศพมา จัดการฝังศพให้เรียบร้อย แล้ว เอาผ้ามาซักจนสะอาด เอารวมกับผ้าอื่น ๆ ที่ท่านซักได้ มาท่าเป็นผ้าจีวรท่านเล่าถึงว่าแรก ๆ ที่ได้ผ้ามา ยังเห็นติดตาเป็นภาพศพขึ้นอืดมีหนอนขึ้น ถึงจะชักสะอาดอย่างไร ตากแดดอย่างไร พอจะใช้ ใจยังนึกเห็นภาพนั้นอยู่ ก็นึกถึงที่พระพุทธองค์ทรงสอนให้พระภิกษุเป็นผ้อยู่ง่ายอย่างนี้ คือถ้าไม่นำมาปฏิบัติ เราก็หลงว่าเราปฏิบัติได้แล้ว ครั้นถูกทดสอบด้วยของจริงอย่างนี้ จึง ได้รู้ว่า ใจเรายังแกว่ง ใจเรายังคิดปรุง ยังมีตัวสัตว์ ตัวบุคคล มีความยึดความจำ แล้วแทนที่เราจะบริโภคสิ่งเหล่านี้ เสพสิ่งเหล่านี้เพียงเพื่อเป็นเครื่อง กันร้อน กันหนาว มันไม่ใช่แค่นั้น ยังมีสัญญา ความจำได้หมายรู้ ชักพาให้ปรุงให้กระเพื่อมตามไป ตอนที่ฟังท่านอาจารย์ เราก็คิดว่าเมื่อฝึกไปเรื่อย ๆเราคงทำใจของเราให้ใช้ผ้าบังสุกุลได้แต่เดิมที เมื่อใครตาย ชาวบ้านจะเอาสิ่งของเครื่องใช้ของคนตายเผา ไปด้วยเพราะเชื่อว่าคนตายจะได้มีข้าวของเหล่านี้ไร้ใช้สอย ท่านอาจารย์เทศน์อบรมให้เขาเข้าใจว่า การทำอย่างนี้นไม่ได้ประโยชน์ แต่ถ้าเอามาให้ คนยากคนจน หรือใครที่ขาดแคลน จะได้ผลเป็นทาน เป็นบุญกุศลเป็น อริยทรัพย์ไปถึงผู้ตาย ดีกว่าการเอาไปเผาเฉย ๆ ชาวบ้านเลยเรื่มเอาเสือผ้า ข้าวของของคนตายมาถวายวัด ให้ท่านจัดสรรแจกไปตามผู้ที่ท่านเห็นสมควร แล้วเขาจะได้อุทิศกุศลผลบุญไปให้ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ววันหนี้งท่านอาจารย์อุ่นเอาผ้าซิ่นของคนตายซึ่งเป็นผ้าไหมมาให้ดิฉันใช้ แล้วภาวนา แผ่เมตตาให้เขา เป็นการบังคับเราไปในตัว ให้ไม่ขี้เกียจขี้คร้านที่ จะเดินจงกรมนั่งภาวนา เพื่อแผ่เมตตาไปให้เขา ถ้าทำแบบเล่น ๆ ก็ละอายตัวเองว่าจ่ายเช็คเด้งเมื่อได้ผ้าซิ่นมาก็ปีติว่า เราจะได้ปฏิบัติเหมือนเป็นพระจริง ๆ แล้ว เพราะได้แต่ฟังว่าครูบาอาจารย์ท่านไปชักผ้าบังสุกล นี่เราไม่ได้ไปชักผ้าบังสุกุล เอง แต่ผ้านี้ก็เป็นผ้าของคนตาย เราเอามาชักมาตากจนสะอาดเรียบร้อย ถึงตอนจะนุ่งให้เขา ตาก็ไปเห็นรอยเปีอนเป็นวงใหญ่มีสืเขมกว่าสีม่วงแกของเนื้อผ้าซิ่น ก็เอามาซักใหม่ และพบว่า รอยนื้ซักอย่างไรก็ซ้กไม่ออกระหว่างนั้น ก็แผ่ส่วนกุศลให้เขาไปเมื่อรู้แน่แก่ใจว่าชักไม่ออกแล้วก็จะปลงใจนุ่งให้เสียที แต่กว่าจะนุ่งได้สำเร็จ ก็ซักอยู่อีกหลายรอบ เมื่อนุ่งได้แล้ว จึงเห็นถึงสำนาจ ของอุปาทานความยึดมั่นที่ครอบงำใจอยู่ ถ้าเราไม่ลงมือทำแบบฝึกหัด ฟังแต่ ครูบาอาจารย์เล่า เราก็หลงว่าของง่าย ๆ เราทำได้ได้เห็นใจเราที่เป็นอย่างนี้ ก็ไปนึกถึงเจ้าชายสิทธัตถะ ท่านเป็นเจ้าชาย ท่านไม่เคยด้องใช้ของอะไรอย่างนื้ แต่เมื่อท่านออกบวช บางทีไม่มีแม้แต่ อาหารจะเสวย เมื่อท่านอดพระกระยาหารจนสลบไป แล้วเด็กเลี้ยงวัว ไม่ แนใจว่าท่านตายหรือยังก็เอานมมาหยอด เอาหญ้ามาแยงรูจมูกท่านว่าท่านจะ กระดุกกระติกไหม ถ้าเราโดนแบบนี้เราจะมีความอดทนอดกลั้น จะพจารณา ทำจิตใจของเราให้เป็นธรรมได้ไหม
ก็เลยเข้าใจว่าการบวชหรือการที่ต้องออกไปทดสอบกับตัวเอง เอาตัวเรา เป็นหนูตะเภาอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงทำนี้ เป็นสิ่งจำเป็น ที่ทำให้ทานได้เห็น พระทัยของท่าน แล้วได้รู้ว่า ที่เราบอกเราเมตตา เราไม่มีตัวสัตว์ตัวบุคคล ทุกสิ่งเสมอกัน เป็นเพอนร่วมทุกข์ เก็ด แก่ เจ็บ ตาย นี้ ไม่ใช่แค่ปากพูด ถ้า ลงมือทำได้ ใจจะเบาปีติอิ่มเอิบ มีความรู้สึกเหมือนอย่างกับว่าเราสัมผัสกับ ทุก ๆ ชีวต แต่ละชีวิตนี้เสมอกันจริง ๆ ไม่เบียดเบียนกัน ถ้าแต่ละคนปฎิบัติ สันติสุขจะเกิดชึ้น แล้วที่จะมาถือเราถือเขา จะรังเกียจเดียตฉันท์มีการฆ่าฟ้นกัน รังแกกัน จะลดน้อยลงไปมากมาย จึงได้เข้าใจตรงนี้ ว่าของเหล่านี้ ให้พิจารณา แล้วจึงใช้สอย เพียงแค่จีวร กว่าเราจะใช้สอย ให้พิจารณาอย่างนี้ทุกวัน ๆ เนือง ๆ อย่าได้ฟุ้มเฟ้อ ว่าให้เป็นผ้าใหม่ เป็นผ้าอย่างดีเลศชาวบ้านที่จะกวายของพระก็โลภบุญ ล้าถวายสิ่งประณีต ก็จะได้รับ แต่สิ่งของที่ประณีต โดยมากผ้าทำบุญ ไม่ได้ทำด้วยเจตนาที่มุ้งถวายท่านด้วย ความเลื่อมใสศรัทธาร้อยเปอร์เช็นต์ ความเห็นแก่ตัวของตน เมื่อมีกำลัง เราก็ต้องเปลื่ยนโลกทรัพย์ชองเราให้เป็นอริยทรัพย์ที่ดีที่สุด สูงปีสุด เพราะใน พระไตรปีฎกบอกแล้วว่าอานิสงส์ของการถวายสิ่งที่ประณีต ต่อไปอะไร ๆที่บังเกิดแก่เราย่อมเป็นของทิพย์ของประณีต เพราะฉะนั้น ถ้าจะถวายจีวร เราเลือกผ้ากาสิได้ก็จะเอาผ้าทอสิ หรือผ้าอะไรที่ประณีตประมาณนั้น โดย มุ้งหวังผลไว้แล้ว ฉันถวายของประณีต เพราะฉะนั้นต่อจากนี้ไป อะไรๆ ที่ฉันได้คนมาย่อมต้องประณีต ใจที่ยังไม่หมดกิเลสคิดค้าขาย ทำพุทธพาณิชย์ อยู่ตลอดเวลา
ถ้าพิจารณาเสียก่อนแล้วจึงใช้สอย เราก็จะเห็นใจของเรา แล้วค่อย ๆ ขัดเกลา ตักเตือนดุว่าตัวเราเอง ท่านอาจารย์สอนว่า เราตุว่าตัวเราเองนี่เป็นธรรม แต่ถ้าคนอื่นมาตุว่าเรา เราโกรธหาว่าเขาจิกหัวเราใช้อย่างกับทรราช ความ แตกต่างมันอยู่ตรงนี้ เพราะฉะนั้นเราถึงต้องสอนตัวเรา บอกตัวเรา นี่พูด เรื่องเครื่องนุ่งห่ม จีวรทีนี้ บิณฑบาต เวลาออกบิณฑบาต ท่านอาจารย์ก็สอนให้เดินเรียงหนึ่ง ไปเหมือนเดินจงกรม อย่าไปเดินคิดว่าบ้านนี้เมื่อวานใส่แกงอร่อย วันนี้เขาจะ ทำแกงอย่างเดิมอีกไหม เขาจะใส่ไข่เจียวด้วยหรือเปล่า ท่านว่าถ้าคิดอย่างนี้ เขาไม่เรียกว่าไปโปรดสัตว์ เขาเรียกว่าไปล่าสัตว์ พระพุทธเจ้าตรัสว่ากลืนถ่าน ไฟแดง ๆ เช้าไป ยังเป็นพิษเป็นภัยน้อยกว่าที่จะฉันอาหารเหล่านี้ลงไปเราไม่ได้ฉันด้วยพิจารณาว่า อาหารนี้เป็นดินภัยนํ้า ที่จะไปตับความ หิวกระหายเก่าให้หมดไป แล้วป้องกันความหิวกระหายใหม่ไว้ชั่วขณะ เรา จะได้เอากำสังที่เกิดจากอาหารนี้ ไปทำสิ่งที่เป็นคุณเป็นประโยชน์ แล้วแผ่ ส่วนกุศลไปให้ผู้ที่ใส่บาตรเรามา สรรพชีวิตทั้งปวงที่รวมมาเป็นอาหารมื้อนี้แก่เรา เพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิน เราไปปรุงคิดว่า คำนี้อร่อยเราชอบ บ้านนี้ใส่อะไรไม่รู้ ใจเป็นอารมณ์กระเพื่อมสูง ๆ ตํ่า ๆ เราบริโภคด้วยความเป็นหนี้สิน ที่ออกไปบิณฑบาตนั้นกลายเป็นไปล่าสัตว์ ได้แต่บาป แต่หนี้สินติดตัวมาถึงเขาจะนบไหว้ ใส่อาหารให้เราด้วยกิริยาเลื่อมใสศรัทธา แต่เราเหมือน โจร เพราะคิดเพ่งเล็งแต่ว่า อะไรจะอร่อยถูกกิเลส พอทำภาวนาก็ไปสะกดจต เขาว่า เจ้าประคุณ พรุ่งนี้ขอให้ทำอย่างน ๆ ที่เราชอบมาใส่บาตร เมื่อเขาทำ มาใส่บาตรเข้าจริง ๆ ก็รู้สึกว่าเราแน่แล้ว แทนที่จะภาวนาเพื่อขูดเกลากิเลสฃอง ตัวเอง ก็ภาวนาว่าพรุ่งนี้ต้องซ้อมอีกว่าสมาธของเราจะแม่น ไปดลใจเขาเป็น อย่างนั้นจริงหรือเปล่า ก็เลยกลายเป็นภาวนาสะสมกิเลสไป ตรงนี้ครูบา อาจารย์ท่านจะติงจะเตือนอยู่เสมอ แม้กระทั่งเราซึ่งไม่ได้เป็นพระ ท่านก็ว่า พอเราเข้ามาอยูในวัด มาปฏิบัติธรรม ถือว่าเราบวชใจ นับว่าเป็นพระแล้ว บวชใจคืออะไรบวชใจคือประพฤติตนเป็นลูกพระพุทธเจ้า เป็นพุทธวงคื กลัวเราจะ แปลไม่เป็น ท่านอธิบายว่า พุทธวงค์นี่แปลเป็นภาษาชาวบ้านก็คือขอทาน เช้าขึ้นมาก็ถือกระเบองถือบาตรไปขอเขา เพราะฉะนั้นจำเอาไว้นะ ใครที่ เข้ามาอยู่ในวัดแล้วจะบวชหรือไม่บวช เป็นลูกพระพุทธเจ้าด้วยกัน ก็ต้อง เป็นตระถูลฃอทานทั้งหมด อะไรที่เขาให้มา ต้องดีทั้งนั้น ต้องขอบคุณเขา อย่างเดียว จะไปบอกว่าทุเรศเอาของอย่างนี้มาใส่บาตรได้อย่างไร ไม่ได้
เขาไม่ใส่บาตร หรือเขาไม่ให้เรา ก็ไปว่าเขาไม่ได้ เขาไม่ให้อะไรเลยเรา ก็ต้องจากไปด้วยความสงบสำรวม แต่ถ้าเขาใส่บาตรแม้ข้าวทัพพีเดียว ข้าว เม็ดเดียวก็ต้องให้พรเขาแล้วก็ต้องกตัญญูเคุณเขาว่าเรามีชีวิตอยู่ได้ด้วยกำลังจากอาหารที่เขาให้นี้ ก็เราจะเอาอาหารนี้มาทำให้เป็นกำลัง เป็นสัมมาทิจเป็นสิ่งที่เป็นคุณเป็นประโยชน์เพื่อเราจะ ได้นำไปสั่งสอนเขาให้เป็นคนดีคุณมีประโยชน์กับโลก ถ้าเราไม่ได้ทำอย่างนี้ สิ่งที่บริโภคเข้าไปกลายเป็นพิษ เป็นภัยท่านอาจารย์สอนว่า พระที่ออกธุดงค์ ถ้าไม่พิจารณาอาหารที่ขบฉ้น อย่างนี้ หรือไม่เคร่งครัดภับศีลของตน ก็จะมีอันตรายได้เหมือนอย่างกับหลวงปองค์หนึ่ง ท่านเส่าให้ฟ้งว่า ตอนหนึ่งท่านธุดงค์ ไปกับหมู่พระที่ท่านแนํใจว่าประพฤติปฏิบัติรู้ข้อ ศีลวัตรดี ทีนี้ก็มีโยมเอาลูกเล็ก ๆ อายุ 9 - 10 ขวบบวชเณร แล้ว ให้ติดตามไปเพื่อจะได้คอยรับใช้หลวงปู ท่านก็หนักใจว่าเณรนี้ยงไม่ได้รับการ ฝึกอบรม ยังไม่รู้ข้อวัตรปฏิบัติ ธุดงค์ ไปตามปา เดี๋ยวไปทำอะไรผิดพลาด เข้าก็จะมีอันตราย หลวงปูท่านก็ กังวลอยู่อย่างนี้
ตกต่ำ ขณะที่ท่านกำลังเทศน์สอนชาวบ้านอยู่ เณรก็วิ่งมากราบเรียน ท่านว่า มดขึ้นมาเต็มที่นอนที่ท่านปูแล้วกางมุ้งเอาไว้ หลวงปูก็เอะใจ อธิษฐาน ในใจว่าถ้าเป็นเทพบันดาลเพื่อให้ท่านได้บอกพ่อให้เอาลูกกลับไปก่อน เพราะเด็ก ทำผิดศีลผิดข้อวัตรปฏิบัติ ก็ขอให้เมื่อท่านไปถึงที่ตรงนั้นมดหายไปให้หมด แต่ถ้าเป็นมดจริงก็ให้ยังมีอยู่ เมื่อท่านไปถึงปรากฏว่าไม่มีมดเลย เณรก็หน้าตื่นเพราะผู้คนจะว่าเณรมาหลอกหลวงปู เณรก็ยืนยันว่ามีจริง ๆหลวงปูชักเณรว่าวันนี้เณรทำอะไรบ้างตั้งแต่ออกบิณฑบาต เณรก็เล่าว่า วันนี้นอกจากเป็นอาหารตามปกติแล้ว มีคนเอาเกลือถุงหนึ่งใส่บาตรด้วย เณรรู้ว่าเกลือมีอายุ 7 วัน ก็เลยเก็บห่อเกลือเอาไว้ เพราะเวลาเดินป่าถ้ากระหายนํ้า เณรสามารถเก็บมะขามป้อมได้ เณรก็จะเก็บมะขามป้อมแล้วเอาเกลือห่อนี้ ให้หลวงปูจิ้มกับมะขามป้อมหลวงปูเลยอธิบายให้เณรฟังว่า เกลือมีอายุ 7 วันก็จริง แต่พอลงไป ในบาตรพระแล้วอายุจะสั้นตามอาหาร เพราะฉะนั้นการที่เณรเก็บเอาไว้อย่างนี้ เป็นอาบัติ เณรทำอย่างนี้ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็จะเป็นอันตรายกัน ไปหมด เหมือนที่มดมาอย่างนี้ ท่านก็อธิบายกับพ่อของเณรว่าลูกมีจิตใจรัก เคารพท่าน แต่เพราะความที่ยังไม่รู้ธรรมรู้ริน้ย อย่าเพิ่งตามไปตอนนี้เลย เอาไว้ที่วัดก่อน แล้วอบรมปมปันกันธุดงค์คราวหน้าค่อยไป ตกลงท่านก็ไม่ต้อง เอาเณรไปด้าย
ตรงนี้ท่านเตือนว่าบางอย่างเช่นในป่ามีเทพารักษ์อยู่ตามต้นไม้มีภุมมเทวดาอยู่ตามพื้นดิน พระบางรูปไม่รู้ขนบธรรมเนียม ไปล่วงลํ้ากํ้าเกินท่านเข้าบางองค์เป็นเทพก็จริงแต่ยังไม่หมดนิสัยนักเลงก็เหมือนมาเฟียมาท้าทายหรือต้องสังสอนเสียบ้าง ก็มีอันตรายได้ ครูบาอาจารย์ท่านจะ ระแวดระวังลูกศิษย์ ถ้ายังไม่งดงาม ไม่สำรวมระวังในการไปการมา ออก ธุดงค์ใปก็จะอันตรายได้เสนาสนะ จริง ๆ แล้ว พระพุทธองค์ตรัสว่าโคนไม้ ถํ้าหรือปาเขาก็เป็น ที่อยู่ที่เหมาะเพราะวิเวก และทำภาวนาได้ดี ถ้าเป็นกุฎี มีฝา มีรั้วรอบขอบชิด ทำให้ขี้เกียจขี้คร้าน เลยนอนเพสินไปเมื่อดิฉันไปอยู่วัด ก็คิดเอาว่า อีสานจะหนาวแค่ไหนกัน เข้าพรรษา ยังไม่ใช่หน้าหนาว แต่เราไม่รู้ว่านํ้าต้างที่อีสานนั้นจะเย็นปานไหน พอตกกลางคืน นํ้าค้างลงเต็มที่ มันขึ้นชื้นมาจนกระทั่งพื้นกุฏิเหมือนใครเอานํ้าแข็งแห้งไปวางไว้ ข้างใต้ หนาวเยือกจนกระทั่งเราตื่นขึ้นมา วันรุ่งขึ้นก็เล่าถวายท่านอาจารย์ท่านตอบว่าอันนี้เป็นกฎ ถ้าเมื่อไรนอนแล้วหนาวจนนอนต่อไม่ได้ต้องตื่นขึ้นมา ก็แปลว่าให้ลุกไปเดินจงกรม นั้งสมาธิก็นั่งไม่ได้ เพราะหนาวจนจะแข็งตาย ก็ต้องไปเดินจงกรมเราก็แย้งว่า เดินยิ่งถูกลมพัดก็ยิ่งหนาวใหญ่ ท่านก็ให้เอาพุทโธห่ม ไฝให้ผ้าห่มเราเพิ่ม เพราะท่านอ้างว่าพระก็มีผ้า 3 ผืน คือสบง จีวร สังฆาฏ ถ้าเอามาห่มหมดแล้ว เอามาปูนอนหมดแล้ว ยังหนาวจนต้องตื่นขึ้นมา ก็ต้อง เอาพุทโธห่มเมื่อไม่มีทางเลือก เพราะนั่งก็ไม่ได้ นอนก็ไไม่ได้ เราก็ต้องไปเดินจงกรม เอาพุทโธห่ม ก็เอาแขนเรามาห่มแล้วก็พุทโธไป เมื่อใจนิ่งเป็นสมาธิ มันอุ่นจริงๆ สูตรนี้ศักดสิทธิ์ใช้ได้ ถ้าหนาวจนนอนไม่ได้ทีไรก็ต้องรีบลุกขึ้นมาเอาพุทโธห่มแล้วห่มอย่างเคร่งครัด คือไม่คิดฟุ้งซ่าน พุทโธจนกระทั่งใจเรากับ พุทโธเป็นเนื้อเดียวกัน คราวนี้ใจลงรวมเป็นสมาธิก็อุ่นสบายดี เดินจนรู้สืก เบาสบายแล้วก็มาลงนั่ง คราวนี้พุทโธก็ยังห่มอุ่นอยู่ ถึงนั่งก็ไม่หนาว ก็ได้ ประโยชน์ตอนแรกเรานึกว่า ทำไมท่านอาจารย์ถึงทารุณกับเราปานนี้ แต่พอฟัง ท่านเล่าถึงสมัยที่ท่านธุดงคไปอยู่ตามถํ้า ตามเขา ครั้งหนึ่เป็นหน้าหนาว ท่านพักอยู่ในถํ้า เวลานั่งสมาธิก็ไม่ได้อยู่ในมุ้งกลด แต่ออกมานั่งข้างนอกพอออกจากสมาธิ ท่านรู้สึกเหมือนมีอะไรมารัดอยู่ตรงแถบ ๆ หน้าอก พอขยับตัว
นิดหนึ่งปรากฏว่าเป็นงู งูคงหนาวมาก แล้วเห็นว่าต้นไม้ต้นนี้อุ่นดี ก็เลยมา พันอยู่ตรงกลางอกท่าน หัวมันอยู่พอดีตรงหน้าผากพ่าน พอท่านขยับนิดหนึ่ง ม้นก็แผ่แม่เบี้ยส่ายอยู่ตรงหน้าผาก ทำให้ท่านต้องนั่งกำหนดไม่กระดุกกระดิกให้งูรู้สึกผิดปกติจนสักตีห้า พระอาทิตย์ขึ้นแล้วหินเริ่มอุ่น งูก็ค่อย ๆ คลายตัว เลื้อยออกไปเราก็นึกถ้าเป็นเรารับรองคงตายกันอยู่ตรงนั่น พอตกใจเราคงไปนึ่งอย่าง พ่าน คงสะดุ้งจนถูกงูฉก พ่านอาจารย์สอนว่าที่งูฉกเราเพราะกริยาผลุบผลับของเราทำให้งูเข้าใจว่ามีอันตรายจึงป้องกันตัว ถ้าเห็นงูเวลาเดินจงกรมหรือทำอะไรอยู่ในรัด ให้เราหยุดอยู่เฉยๆ แล้วแผ่เมตตาเขาจะเลื้อยผ่านไป แล้วต่างคนก็ต่างไป เขาจะไฝทำร้ายเรา ซึ่งเป็นอย่างนั่นจริง ๆ ถ้าเจอะเจอ เวลาเดินจงกรมเราทำได้ แต่ถ้าเจอะเจอในระยะใกล้ปานนั่น เราไม่แน่ใจว่าจะ ทำได้อันนี้ก็เป็นอุทาหรณ์ให้ได้คิดว่ามหาวิทยาลัยป่าของพระพุทธองค์นี้ฝึก สติสัมปชัญญะให้ศิษย์ได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะมันไม่มีทางเลือก ถ้าฝึกไม่ได้ ก็ตายไป ถ้าฝึกได้รอดมาก็ได้วิทยายุทธ์ จตใจก็มีพลัง มีความเชื่อมั่นว่าเรา พึ่งตัวเองได้ถึงเล่าเรียนเขียนอ่านทางโลกมาสักเท่าไร ๆ เราจะนึกว่าแน่แค่ไหน พอมาถึงบทนี้ เราพบว่าเรายังไม1แน่จริง เมื่อตัวเองไปอยู่รัดปา ถึงรู้เลยว่า ที่ภูมีใจว่าดูแน่นึ่ มันไม่แน่จริง แค่หมาน้อยธรรมดา บางทีเล็กยิ่งกว่าหมา ด้วยซํ้าไป
ถึงได้ว่าพุทธศาสนาไม่ใช่ปรัชญา ไม่ใช่สิ งที่เราจะอ่านแล้วมาตีความกัน เฉย ๆถ้าไม่ลงมือปฏิบัติให้รู้เห็นเป็นขึ้นมาแล้ว เรายังไม่รู้จักพุทธศาสนาเราสัมผัสแต่เปลือกของศาสนาเท่านั้น ต้องลงมือปฏิบัติ แล้วเราจะรู้ความหมาย ที่กระจ่างขึ้นมาในใจเรา ว่าเป็นที่พึ่ง เป็นเกราะป้องกันภ้ยให้เราได้จริงกัดไปก็ ยารักษาโรค แม้พระพุทธองค์ตรัสถึงธรรมโอสถ แต่ท่านก็มื พระทัยเอื้อเฟือว่าธาตุฃ้นธ์ของเราเป็นโลก เป็นดินนํ้าลมไฟ มืเวลาพร่องจำต้องเติมอาหารเข้าไป เมื่อเจ็บปวยถึงจุดหนึ่งก็อาด้ยยาเข้าไปเยียวยา ไมใช่ว่า ทุกคนจะใช้พลังใจ ใช้ธรรมโอสถเสมอไป ท่านจึงประทานอนุญาตให้ปัจจัยสี ที่เป็นพื้นฐานจ่าเป็นนั้น คือยารักษาโรคเมื่อพระพุทธเจ้าประทานยารักษาโรคให้เป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ พอเจ็บนิด เจ็บหน่อยเราก็จัดแจงหายารักษาโรคท่านอาจารย์ก็วิจารณ์ว่า กระรอกกระแตไม่เห็นม้นมืโรงหมอไม่เห็นมัน มียา ก็ไม่เห็นมันสูญพ้นธุ เอ อ้ายพวกนักปฏิบัติสมัยนี้ ปวดห้วหน่อยก็ต้อง พึ่งยา อะไรนิดก็ต้องหาหมอ เอ๊ะมันจะมาก เกินไปแล้ว มันไม่ใช่ปัจจัยสิแล้ว มันเป็นปัจจัยฟุ่มเฟือยเราก็นึก แล้วท่านอาจารย์จะเอาอย่างไร แต่เมื่อได้ฟ้งครูบาอาจารย์ท่านเจบเป็นไข้มาลาเรียสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่าว่าแต่ควินินเลย แม้กระทั่งยาลดไข้ท่านก็ไม่มี แต่ละองค์ก็ต้องใช้ธรรมโอสกกันทั้งนั้นอย่างหลวงพ่อชา ท่านเล่าถึงว่า ท่านร้อนรุ่มจนจะบ้าตาย เอานํ้าราดห้ว ก็แล้ว อะไรก็แล้ว ในที่สุดก็นั่งสมาธิจนกระทั่งจิตลงรวม พอถอนออกจาก สมาธิไข้ก็หายไปหรือหลวงปูฝัน ท่านเล่าว่าพอจิตท่านลงรวมเป็นสมาธิแล้ว ท่านรู้สึก เหมือนกวางกระโดดออกไปจากสีข้างท่าน หลังจากนั้นนอกจากท่านจะหาย จากไข้ป่าครั้งนี้แล้ว ท่านธุดงค์ไปกับหมู่เพื่อน ซึ่งเป็นไข้ป่ากันท่านก็ไม่เคย เป็นไข้ปาอีกเลยครูบาอาจารย์ท่านเชื่อว่า โรคภัยไข้เจ็บที่เราเป็นกันเป็นโรคของกรรมเวร เราคงได!ปล่วงเกินสิ่งมีชีวิตที่มืใจครอง ท่าให้เขาโกรธแค้นเรา ความจริงเรา จะทำเขาเจ็บแค่ไหน นั่นไมใช่เรื่องสำคัญ เราอาจไม่ได้ทำเขาเจ็บอย่างที่เขาโกรธ เราก็ได้ รถเมล์กระชากเราเซไปถูกห้วแม่เท้าเขานิดหนึ่ง แล้วเรายั้งต้วไว้ได้ แต่ในความรู้สึกของเขา เจ้านึ่ชุ่มซ่ามมากระทืบเท้าฉัน จนกระทั่งไม่ใช่แต่ หัวแม่ตีนแตกนะ ใจฉันแหลกไปด้วย เพราะฉะนั้นจะจองเวรเจ้าไม่ปล่อย โรคภัยไข้เจ็บของเรา จึงเกิดจากเวรภัยอย่างนี้
ถ้าเราแผ่เมตตาให้เขาถึงจุดที่เขายอมรับเมตตาเรา โรคก็จะหายขาด จากที่หลวงบู่ฝันเล่า หำให้เราได้เห็นว่า ถ้าจิตใจเราแน่วนิ่งจรังตายเป็นตาย เรายอมตาย แล้วตั้งใจแผ่เมตตาให้จนเขายอมรับ โรคก็หาย แล้วไม่ได้หายแค่ ครั้งนั้น ยังทำให้เราเกิดภูมิคุ้มถ้นที่จะไม่มีวันเป็นโรคนี้ฃึ้นมาอีกเลย ตรงนั้เป็น กำลังใจให้เราเห็นว่า ที่ได้ยินมาว่า มะเร็งก็ดี หรือโรคร้ายแรงเรื้อรังถ้าผู้ปวยมีใจยอมรับตามความเป็นจริงแล้วหำสมาธิโรคก็หายได้ ซึ่งคิดตามวิทยาศาสตร์เวลาทำสมาธิแล้วใจลงรวม การกรองธาตุในร่างกายคนเราลดตํ่ายิ่งกว่าขณะ นอนหลับอีก โอกาสที่อะไรต่อมิอะไรจะมีการซ่อมแชมพินตัว ก็มีมาก แล้ว ความฝิดปกติต่าง ๆ ก็ปรับสมดุลกลับเป็นปกติได้ ซึ่งคิดในแง่วิทยาศาสตร์ ก็มีเหตุผลนอกจากจีวร บิณฑบาต เสนาสนะคลานเภสัช ที่ต้องพิจารณาแล้วจึง ใช้สอยนี้ ท่านยังรวมไวในหัวข้อนี้อีกว่า บุคคลผู้คนที่เราต้องไปพบปะ หรือ ธัมมะที่เราศึกษา สิ่งเหล่านี้ที่เราไปเกี่ยวข้องด้วย ก็ให้นำมาพิจารณาให้เห็นคุณ เห็นโทษเห็นความมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ แล้วจึงใช้สอย หรือเอามา หำให้เกิดประโยชน์
เพราะฉะนั้นเมื่อเจอะเจอผู้คน ไม่ใช่ว่า เราจะไปยุ่งกับเขาทันที ให้ พิจารณาเสียก่อนว่าคน ๆ นี้ ในกิจกรรมนี้ เราจะใช้สอยเขาได้หรือเปล่า ถ้า เราจำเป็นจะต้องว่ายนํ้า บุคคลผู้นี้เป็นนก เขาจะไปเป็นคุณเป็นประโยชน์ หรือ จะทำให้ธุระของเรากระจุยกระเจิง เราต้องพิจารณาหาบุคคลที่เป็นปลาหรือ เป็นเต่า ซึ่งดูจะเข้าท่ากว่า ท่านว่า สิ่งเหล่านี้คือปิจจัย 4 รวมถึงบุคคลหรือ ข้อธัมมะที่เราจำเป็นต้องไปเกี่ยวช้อง ให้พิจารณาจนเห็นถึงแก่นของมัน ให้ เห็นถึงความมีประโยชน์ หรือไม่มีประโยชน์ แล้วจึงนำมาใช้สอย เพื่อจะ ได้ประโยชน์เต็มเม็ด เต็มหน่วย 2. สงฺขาเยก อธิวาเสสิ ของอย่างหนึ่ง พิจารณาแล้วอดกลั้น คือ อนิฏฐารมณ์ทั้งหลาย ได้แก่ โลกธรรมฝายลบ คือ นินทา ทุกข์ เสื่อมลาภ เสิ่อมยศ ของสิ่งใดที่เราไม่พึงพอใจ เราอยากจะหนีมัน ให้พิจารณาแล้วมีขันติ อดทนอดกลั้น อย่าไปโกรธ อย่าตกไปเป็นทาสซองมันแล้วสติแตก เมื่อ สติแตกแล้ว เรื่องไม่เป็นเรื่อง ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ แล้วทำให้เราทำร้ายตัวเราเอง ไม่ใช่สิ่งนั้นทำร้ายเราเมื่อพิจารณาแล้ว เรามีขันติ เราอดทนอดกลั้นได้ ใจก็มีกำลังขึ้น เปรียบใจของเราเป็นนั้า ถ้านั้าไม่มีถ้วยหรือมีภาชนะรองรับไว้ เทไปตรงไหนก็ ไหลนองไป ถึงไฝสูญหายไปก็จริง เป็นต้นว่าดฉ้นเทนํ้าลงบนโต๊ะนี้ มันไหลนอง อยู่บนโต๊ะ ปริมาณก็อยู่เท่าเติม ไม่หยดไม่หกหายไปที่ไหน แต่ก็ใช้สอยประโยชน์ใม่ได้เต็มที่ เพราะถ้าเราจะกินนั้าเราก็เลียอย่างสุนัขไม่ได้ หรือ บางคน นํ้าหกลงไปบนโต๊ะแล้วเป็นของไม่สะอาด แต่ถ้ามีภาชนะมาใส่เอาไว้ เป็นถ้วยแก้วหรืออะไรก็ได้ เหมือนใจของเรา ถ้ามีทำนบอดทนอดกลั้นเอาไว้ พลังที่เกิดขึ้นจะมีคุณมืประโยชน์ เวลามีอุปสรรค มีกิจจำเป็น เราสามารถ เอาพลังใจนี้ไปใช้แกไขปัญหาได้เพราะฉะนั้นอนิฏฐารมณ์ทั้งหลาย ถ้าบังเกิดขึ้นในชีวิตของเราเมื่อไร ก็ตาม ให้ตั้งสติพิจารณาแล้วอดกลั้น คือทำภาชนะใส่มันเอาไว้ อย่าให้ไหลนอง ไปเลอะเทอะคนอื่น เมื่อไรที่เราไม่อดทนอดกลั้นต่อความทุกข์ ความหนาว ความร้อน หรือสิ่งที่ไม่ถูกใจนี่ เราขาดทุนเพราะเราไปเลอะเทอะเปรอะเปีอนสิ่ง รอบตัวเรา พอสติแตกเลอะเทอะเปรอะเปีอนไปแล้ว เออ.. ที่จริง....เราไม่ควร พูดอย่างนั้น หรือเราวู่วามไปเพ่งโทษคนช้าง ๆ ว่าเขาเป็นสาเหตุให้เราสติแตก เมื่อเผลอออกไปแล้วถึงรู้ความจริงว่าไมใช่เขา แต่เราเข้าใจผิด เราไม่รอบคอบเองทีนั้นพูดออกไปแล้วเรากลืนคาพูดกลับคืนมาไม่ได้ ก่อนจะพูดเราเป็น เพื่อนกันดีอยู่ แต่พอพูดเป็นคำพูดบางคามันร้ายยิ่งกว่ามีดอีก เฉือดเฉือน ส้มพันธไมตรีกันสะบั้นหมดเลย คนบางคนพอพูดกันจบแล้ว เขาบอกว่าตาย ก็ไม่เผาผี ไม่ต้องมาให้เห็นหน้ากันอีกเลย เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ ท่านจึงให้ พิจารณาแล้วอดกลั้น ใจจะได้มีภูมิคุ้มกัน มีกำลังแข็งแกร่งขึ้น
๓ สงุฃาเยกํ ปริวชฺเชติ ของอย่างหนึ่ง พิจารณาแลวเว้นเสีย คือสิ่งที่เป็น โทษ ที่จะก่ออันตรายทั้งแกรางกายและจิตใจ ถ้าเป็นสิ่งของข้างนอก เป็นต้นว่า หมาบ้าช้างตกมันหรือคนพาล พระพุทธเจ้าตรัสว่า ที่ไหนเป็นพาลให้หลีกหนี ไปร้อยโยชน์พันโยชน์ ไม่ใช่แต่ของข้างนอกเท่านั้น บางทีมันเป็นจากจิตใจ ของเราเองนี่ยาเสพติด ขอลองสักนิดเถอะน่าคนเราถ้าไม่ลองก็ไม่รู้ต้องมี ประสบการณ์ แต่ทีนั้ถ้าเรายังไม่เก่งจริง แล้วไปลองด้วยความประมาทขาดสติ มันก็จะเป็นโทษแก่เราได้ดิฉันเคยเจอคนไข้ ที่สมัยนั้นผงขาวเพิ่งเริ่มระบาด เขาก็ลอง เพียง ครั้งเดียวเท่านั้น เลยติดจนกระทั่งเสียชีวิตในที่สุด จากการผ่าศพตรวจดูก็ พบว่าสมองของเขาถูกผงขาวละลายจนกระทั่งเหลือก้อนนิดเดียว ท่าเอาพวก เพื่อนนักคึกษาทั้งหลายที่ได้เห้นสภาพศพแล้วก็ขยาดไปตาม ๆ กัน แต่เผลอ สักหน่อยก็ลืมอีกแล้ว เพราะสิ่งเหล่านี้ถ้าใจยังไม่มีกำลังที่แน่วแน่พอ เช่น พวกที่กินเหล้า ติดยาเสพติด ติดการพนัน ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่พิจารณาแล้วให้ เว้นเสีย ของอะไรก็ตาม ถ้าผู้รู้ ครูบาอาจารย์ หรือพระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ไม่ควรไปเกี่ยวข้องด้วย เราไม่ต้องท่าเป็นคนเก่ง ขอลองหน่อยหนึ่ง ลอง แล้วฉันก็อดได้ ถ้าลองแล้วอดได้นี่ ท่านคงไม่บอกหรอกว่าอย่าไปข้องแวะเที่อดิฉันเริ่มเ๚าไปปฏิบัติที่วัดใหม่ ๆ ไอ้นี่ท่านอาจย์สิงห์ทองก็ไม่ให้ทำ ไอ้นั่นก็ไม่ให้ทำ แท้ที่จริงท่านไม่ใช่จะห้าม แต่ท่านอยากรู้ว่าเราจะเชื่อฟังท่าน มีความอดทนอดกลั้นสักแค่ไหน เพราะเราขอให้ท่านอธิบายกอนว่า ทำไมถึงไม่ให้ทำ ท่านตอบว่าถ้าเราลงมีออดกลั้นไม่ทำส์งที่ท่านห้ามแล้วเราก็จะรู้เอง ใจเราจะอธิบายให้เราฟังเองว่าท่าไมท่านถึงห้ามไม่ให้ทำ แต่เราประเททชอบ
เรียนสัด ก็ท่านอาจารย์อธิบายก่อนสิ ถ้าเหตุผลของท่านถึงใจ เราจะได้มี กำสังใจอดทนอดกลั้นท่านว่าถ้าเป็นอย่างนั้น มันตายก่อนทุกที เพราะ ฉะนั้นให้เราเว่งลงมือทำ อย่ามัวต่อล้อต่อเถียง
การปฏิบัตินั้น ถ้ากำสังศรัทธาไม่มากพอ เหมือนไฟไหม้ฟางเราจะ เอาแต่ปัญญาท่าเดียวปัญญาเราก็ไม่ถึงขั้น เพราะเหตุว่าสติก็ยังมีไม่พร้อมสมาธิก็ไม่มี ถ้วยนั้าใจรั่วอยู่เรื่อยๆ ปัญญาก็ไม่มีวันจะเกิดขึ้นได้ เพราะใจของเรารั่วซึมผิวนํ้าเป็นระลอกอย่างนี้ มองอะไรก็เห็นไมชัดเจน ท่านจึงฝึก ให้มีกำลังของศรัทธาเพียงพอที่จะเชื่อ ครูบาอาจารย์ว่าก็ต้องนำไปลงมือปฏิบัติ แต่เราเป็นอีลูกช่างสงสัย ไปยกเอากาลามสูตรมาอ้าง.. พระพุทธเจ้ายังบอกเลย เจ้าค่ะ อย่าเชื่อถึงออกจากปากพระพุทธเจ้า ออกจากปากครูบาอาจารย์เห็นไหม มันเป็นอย่างนี้ม้นถึงได้ใดรเดือดร้อน เราเดือดร้อน เหมือนกับเมื่อกี้ บอกที่ไหนเป็นพาลให้หลีกหนีไปร้อยโยชน์พันโยชน์ แต่ขณะเดียวกัน ก็มีธัมมะของพระพุทธองค์ที่แย้งกัน เช่นที่พระอานนท์ทูลขอให้พระพุทธเจ้าเสด็จจากแคว้นนี้ไปเพราะแคว้นนี้มีพวกโจรคนหยาบช้ามาด่าว่า พระพุทธเจ้าตรัสถามพระอานนท์ว่า ย้ายจากแคว้นนี้ ไปอีกแคว้นหนี้งแล้วเจอคนแบบนี้อีกจะทำอยางไร พระอานนท์ทูลตอบว่าก็ย้ายต่อไปอีก ท่านตรัสว่า ไม่..อานนท์ เหตุเกิด ที่ไหนต้องดับที่นั่นถ้าเราไตรตรองไม่เป็น ก็เหมือนกับว่าที่ไหนเป็นพาลท่านให้หลีกหนีไป ร้อยโยชน์พันโยชน์ แต่อีกแหงหนึ่งท่านกลับบอกไม่ได้ เหตุเกิดที่ไหนต้องดับที่นั่น แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า เมื่อไรจะหลีกหนี เมื่อไรจะปักหลักดับเหตุให้ สงบเสียก่อน ถ้าไตร่ตรองเป็น ก็จะเห็นเหตุผลของท่านว่า ถ้าที่ไหนเป็น พาลชนข้างนอก แล้วใจของเรามีภูมิคุ้มกันเต็มที่ เราไม่ไปปฏิสัมพันธ์กับเขา ให้เสียเวลาเปล่า ๆ เราหลีกหนีไปร้อยโยชน์พันโยชน์ ขึ้นอยู่ต่อไปเราก็ สกปรกไปกับเขา เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์แต่ในกรณีพระอานนท์ ใจของพระอานนท์ยังร่มร้อนอยู่ ยังเอาเหล่า คนพาลเข้ามาทุบถองใจตัวเอง เพราะคำด่าว่าเหล่านั้น ล่วงเกินพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นสุดบูชาของท่าน ใจยังมีอารมณีไปข้องแวะกับเขา ถึงจะย้ายที่ไปแล้ว เมื่อเผลอสติ ใจคิดไปถึงตรงนั้นก็โกรธขึ้นมาอีก เพราะฉะนั้น ไม่ได้ เหตุเกิดที่ตรงไหนต้องดับให้ได้ตรงที่นั้นเสียก่อน เพราะถ้าเราหลบออกไป ไม่เห็น ไม่ได้ยินไต้ฟัง ไม่มีผัสสะ ใจเราเบาสบาย ก็ไปหลงผิดว่าเราเก่งแล้ว ฉันมี ภูมิคุ้มกันแล้ว แต่จรง ๆ ไม่ใช่ ตะกอนมันนอนก้นยังไม่ได้ช้อนทิ้ง ถ้า ตอนที่เราเจบหน้กกำลังจะตาย มีอะไรมากระทบกระเทือนให้ตะกอนฟังขึ้นมา เต็ม แล้วเราก็หมดลมไปตรงนั้น เราก็ซวยไปพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า เหตุเกิดตรงไหนต้องดับตรงนั้น ต้องดับให้ใจ เราใสเสียก่อน ช้อนตะกอนทิ้งไปให้หมด แล้วคราวนี้พาลอยู่ที่ไหนให้หลีกไป ให้ไกลร้อยโยชน์พันโยชน์เวลาที่เราเอาธัมมะมาพิจารณา เราต้องรอบคอบ ต้องดูให้เข้าใจถ่องแท้ ไม่อย่างนั้นจะเป็นธรรมปฏิรูป คือเราเอากิเลสในใจของเราไปแปล ตรงไหน ที่ถูกกิเลสของเรา เราบอกพระพุทธเจ้าให้ทำอย่างนั้น พอเราเกียจเราไม่อยากยุ่ง เราบอกมันเป็นพาลให้หนีไปร้อยโยชน์พันโยชน์ เพราะเราไม่อยากพินิจ พิจารณาควักออกจากใจ เราไม่ขวนขวายที่จะเอาปัญญาไปกรองมันทิ้ง เลย หลบหนีไปร้อยโยชน์พันโยชน์ แต่ตรงไหนที่เราอยากจะหาเรื่องกับเขา เราบอกไม่ได้เหตุเกิดตรงไหนให้ดับตรงนั้น เพราะว่าเราแน่ ต้องเอาให้เขาแหลก เสียก่อน ถึงได้ติงว่า ธัมมะของท่านบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่เสมอ แต่ใจของเราที่ สติปัญญายังไม่เป็นปัญญาเห็นชอบ ก็ถูกกิเลสป้ยี่ป้ย่า แล้วเอาธัมมะของ ท่านมาแปลงสารเสีย
แบบเดียวกับเมือพระพุทธเจ้าทรงปลงอายุสังขาร พญามารมาเยียมพ่าน ทักทายปราคัย ได้ข่าวว่าอีก 3 เดือนท่านจะละขันธ์รินิพพานหรอพระพุทธเจ้าทรงรับว่าใช่ พญามารก็ถาม แล้วใครจะเป็นพระศาสดาล่ะพระสารีบุตร ก็ตายแล้ว พระโมคคัลลานะก็ตายแล้ว พระพุทธเจ้าทรงตอบ ธรรมวินัยจะ เป็นศาสดาแทนเรา พญามารก็รื่นเริงบันเทิง บอกว่าโลกทั้งโลกจะตกภายใต้ อุ้งมือพญามาร พญามารจะส่งสาวกมาโกนผม ห่มผ้าเหลือง แต่ถึงเวลา ส่งสอนประชาซนก็จะใช้คัมภีร์พญามาร ก็เหมือนอย่างกับพวกเรา คัมภีร์ พญามารขึ้นเป็นทิวแถว ปากก็ท่องพุทธัง ธัมมัง ล้งฆัง สรนัง คัจฉามิ แต่ ครั้นลงมือทำ กลายเป็นคัมภีร์พญามารไปทั้งนั้น เราถึงได้ปฏิบัติเท่าไร เท่าไร เราก็เป็นเราอยู่อย่างนั้ แต่สมัยพุทธกาล ท่านฟังธรรมพระพุทธเจ้าครั้งเดียว ก็บรรลุธรรม ณ อาสนะนั้น เราก็อิจฉาท่านอยากบรรลุธรรม ณ อาสนะนั้นบ้าง
ท่านอาจารย์สิงห์ทองก็บอกให้ทำใจของตัวให้เที่ยงตรงอย่างท่าน แล้วก็ พากเพียรให้เสมอต้นเสมอปลาย คุณงามความดีทั้งหลายก็ไปขวนขวายแสวงหา ดำเนินตามรอยเท้าท่านไป เราไม่เอา เหนื่อยยากปฏิบัติตามรอยเท้าท่าน เหนื่อย เราชอบผล เราคอยเล็งผลเลิศ จะเอาแต่ผล ยุคนื่ไฮเทค ใส่เครื่องผ่อนแรง ทั้งหลายเช้าไปเป็นการใหญ่ ท่านอาจารย์ยืนยัน ถนนสายมรรคไม่มีเครื่อง ผ่อนแรง ใครทำใครได้ ใครกินใครอิ่ม๔. สงฺขาเยกํ ปฏิวิโนเทติ ของอย่างหนึ่ง พิจารณาแล้วบรรเทาเสีย คือ สิ่งที่จะก่ออ้นตรายให้เกิดขึ้น เช่น นิวรณ์หมายถึงสิ่งที่กีดกั้นใจไม่ให้บรรลุ คุณความดี หรือทำให้ใจเศร้าหมอง ทำปัญญาให้อ่อนกำลัง ได้แก่ อกุศลวิตก กามวิตก พยาบาทวิตก วิห้งสาวิตก เป็นต้น เพราะฉะนั้นล้าเมอไร ใจเริ่มมี เมฆครึ้มขึ้นมาเป็นนิวรณ์ปรุงคิดพุเงซ่านไป ทำให้ใจของเราเป็นอกุศล รุ่มร้อน กระวนกระวาย กลัดกลุ้ม กังวล ต้องบรรเทาหรือหยุดมันให้ได้ เพราะถ้าปล่อยไปว่าไม่เป็นไร นิวรณ์วันละนิดจิตจะโปร่งใสเบาสบายไม่ใช่ นิวรณ์ วันละนิดจิตจะบรรลัย เพราะเมื่อเริ่มต้นแล้ว ท่านอาจารย์สิงห์ทองสอนว่า พระพุทธเจ้าไม่กำหนดว่า คิดเท่านั้น เท่านี้จึงหยุด แต่ท่านดูที่คุณภาพ ถ้า สิ่งที่คิดเป็นนิวรณ์เป็นกิเลส นิดเดียวไม่ต้องถึงหนึ่งคิๅก็ต้องหยุด แต่ถ้าคิด เป็นธรรมจะคิดทั้งวัน ทั้งคืน ไม่นอนเลยท่านก็ไม่ห้ามใจของเราไม่เที่ยงตรง ยังไม่เห็นว่าสิ่งที่คืดเป็นสัมมาทิฐิหรือเป็นมิจฉาทิฐิ ก็สนุกสนานเพลินไปกับมัน โดยมากสัมมามิจฉาทิฐิมันมีรสชาติ มีทั้งนํ้า ส้ม นํ้าปลา นํ้าตาล ทำให้ไม่อยากจะหยุด ก็ เลื่อนไหลของมันไป เหมือนนํ้า เซาะตลิ่งทราย กว่าจะรู้ตัวปรากฎว่าบ้านทั้งหลัง ฟังลงไปแล้วท่านจึงเตือนว่าสิ่งเหล่านี้ ให้บรรเทา ให้หยุดมันเสีย เพราะปรุงคิด ตามไปแล้วใจเราก็คุ้นเคยกับความชั่วเหล่านี้ ทำให้เสียคุณค่า เมื่อก่อนนั้น พอเสีกตัวว่าเผลอคิดสิ่งที่เป็นกิเลสซึ่งไมด เราจะสะดุ้งอาย เราจะตะขดตะขวงใจ แต่ถ้าเรา ช่างมัน นิดหน่อยน่า จะเป็นไรไป ที่ไหนได้ กะพริบตาเดียวเท่านั้น แหละ มันก็คุ้นเคย พอคุ้นเคย ใจก็หยาบด้าน ใครบอกให้หยุด เราก็มี ความรู้สึก..เออ ฉันรู้ว่าฉันไม่ดี แต่ถึงฉันจะไม่ดีอย่างไร อย่างไร ความไม่ดี ของฉันก็ยังน่ารักอยู่นะ มันหลงเพราะฉะนั้น ถ้าใจจะคิดปรุงชัดส่ายไปเพราะหยุดไม่ได้ ก็ตีกรอบให้ คิดเป็นมรรค คิดเพื่อแก้ไข คิดที่จะขจัดนิวรณ์ออกไปเพราะเห็นโทษของมัน ไม่ใช่ให้ความคิดลากจูงเราไปเป็นอกุศลฟ้งซ่าน ตรงนี้ถ้าใจของเรายังไม่มี กำลังเข้มแข็ง ที่เราว่าจะตามดูความคิดเพื่อรู้จักมัน แล้วจึงแก้ไขบำบัดนี้ ตกหลุมมันไปแล้วท่านอาจารย์ให้เอาหินทับหญ้าไว้ก่อน คือกลับมาอยู่กับคำบริกรรมหรือ จดจ่อใจให้เป็นปัจจุบันเสียก่อน เมื่อใจมีกำลังตั้งมั่นขึ้นแล้ว จึงยกความ ปรุงคิดนั้นขึ้นมาพิจารณา เป็นต้นว่า ที่เราไปคิดเคียดแค้น ผูกพยาบาทเขา มันดีหรือเสียอย่างไร ถ้าคิดเป็นมรรค เพื่อแก้ไข เออ.. เราพยาบาทเขาอย่างนี้ ความด้นเลือดสูงขึ้น สูงขึ้น เส้นเลือดเราก็เหมือนสายยางฉีดนํ้าเก่า ๆ มัน เกิดแตกโพละขึ้นมา ใครเดือดร้อน เราเดือดร้อน ถ้าคิดแล้วใจเห็นจริงอย่างนี้ เราตัดความพยาบาทที่เป็นอกุศลนั้นได้ สิ่งที่คิดก็เป็นมรรค แต่ถ้าใจยังไม่มี
กำลังพออย่างนั้น เราตั้งฐาน เอาหินทับหญ้าไว้ก่อน จดจ่ออยู่ลับคำบริกรรม ใหใจนิ่งมีกำลัง แล้วความคิดถึงจะเป็นสัมมาทิฐิได้
นอกจากธรรม 4 กลุ่มที่กล่าวมาแล้ว คือ
1. พิจารณาแล้วเสพ
2. พิจารณาแล้วอดกลั้น
3. พิจารณาแล้วเว้นเสีย
4. พิจารณาแล้วบรรเทาเสีย
ซึ่งเรานำมาพิจารณาจนประจักษ์ชัด และนำมาใช้อุดหนุนในการปฏิบัติ ของเราใฟ้มีความมั่นคงอยู่เนืองนิจแล้ว ถ้าเรานำไปปฏิบัติร่วมลับธรรมอีก 5 อย่างคือ ศรัทธา หมายถึง จะปาอะไรให้เรามีความเชื่อมั่น นี่เป็น พ่อ แม่ ครูบาอาจารย์เรา เราเชื่อว่าฟานพาเราไปในทางที่ถูกที่ดี มีห้ริคือความละอาย ต่อความชั่ว โอตตัปปะ กลัวต่อบาป ความไม่ดีทั้งหลาย วิริยะ ความ'พากเพียร แล้วก็บัฌญ เห็นตามความเป็นจริง ไม่ใช่ตะครุบเงาเป็นจิตสังขาร ความ ปรุง ความนืกคืดไป แต่ให้เป็นปีญญาญาณ คือรู้เห็นเป็นขึ้นในใจ
ถ้าท่านผู้ใดน่าศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปัญญา ๕ ตัวนี้รัวมกบ อปัสเสน๔มา ปฏิบัติต่อสิ่งต่างๆในชีวิตประจำรันจนเป็นอุปนิสัยแล้ว จิตใจ ท่านผู้นั้นจะถึงพร้อมด้วยที่พึ่งอาศัย ไม่ว่าจะตกไปอยู่ในถิ่นใด จะมีวิบาก กรรมเป็นอย่างไรก็ตาม คุณธรรมเหล่านี้จะพาให้เกิดสติปัญญา สามารถเหนี่ยวรั้ง ตนให้พ้นจากอกุศลวิบากกรรมทั้งหลายเหล่านั้นไปได้ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วย ที่พึ่งอาศัย ดำเนินชีวิตรอดปลอดภัยอยู่บนมรรค สามารถมีเสบียงเลี้ยงตัวไปได้อปัสเสนธรรม 4 หริออุปนิสัย 4 นี้ ถ้าพิจารณาถึเกฝนจนเป็นอุปนิสัย แล้ว ก็เหมือนกับมีเครื่องคุ้มกัน ให้แน่ใจว่าเรามีที่อิงที่พิง ถ้าหวาดเสียวว่า หนทางที่ไปนี้จะรอดปลอดภัย จะโดนพายุโดนอะไรล้มลงไปหรือเปล่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นเหมือนพนักยันให้เรามั่นอกมั่นใจว่า เรามีเครื่องพึ่งพิงอาศัยอย่าง มั่นคง ไม่มีรันจะเสียท่าเสียทีไปเป็นอันขาด การปฏิบัติบางครั้งใจของเราอาจ จะห่อเหี่ยว ท้อถอย เราก็ต้องหาเครื่องช่วย เป็นกำลังให้ใจเกิดความเข้มแข็ง มั่นคงขึ้น ก็ขอฝากเอาไว้เป็นกำลังใจค่ะ
พิมพ์โดย ปภัสสร มีพงษ์
แหล่งที่มา http://web.krisdika.go.th/buddha/tammatammada.pdf
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น