หินลับปัญญา
บรรยายโดย พญ.อมรา มลิลา
เมื่อ วันที่ 16 กรกฎาคม 2534
ณ ชมรมพุทธธรรม รามาธิบดี
หมวด
อันดับที่
วันนี้เราจะคุยกันเรื่อง หินลับปัญญา ก็มีหินมาวางสำหรับให้ลับได้ทันที ปกติเราถือว่า การปฏิบัติคือการพยายามหมุนทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตให้เป็นสิ่งดีงามสำหรับเรา อย่างเช่นความผิดหวังความไม่ได้ดั่งใจ แทนที่จะมองว่าเป็นของที่มาทำร้ายเรา ก็เปลี่ยนให้มาเป็นหินลับปัญญา ให้เห็นสิ่งทั้งปวงคมชัดตามความเป็นจริงเสียพุทธศาสนาคืออะไร พุทธศาสนาคือคำสอนการฝึกวิธีคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล เป็นการแก้ปัญหา ไม่ใช่คิดแล้วทำร้ายตัวเอง อย่างเช่นแทนการทิ้งขยะให้เหม็นเน่า ทำให้คนอื่นทุกข์เดือดร้อน ก็เปลี่ยนขยะนั้นมาเป็นปุ๋ยหมัก ใช่ใส่ต้นไม้ ต้นไม้เราก็งอกงาม
เพราะฉะนั้นหินลับปัญญาก็คือ การหมั่นสร้างสรรค์สติปัญญาของตน ให้มีความฉับไวในการหมุนทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นขยะหรือเป็นปุ๋ยให้เกิดเป็นคุณประโยชน์ต่อตนและผู้อื่นทีนี้ตัวเองก็จดเอาไว้ในปฏิทินว่า วันนี้คือวันที่ 16 กรกฎาคม จะต้องมาพูดที่ชมรมพุทธธรรมรามาธิบดี ผู้เชิญก็จดไว้วันที่ 23 กรกฎาคม แล้วก็ไม่ได้ถามกันให้แน่ชัดอีกครั้งก่อนวันพูด เพราะปกติก็นัดกันทางโทรศัพท์ หรือวันนี้พูดเสร็จก็นัดสำหรับครั้งต่อไปเอาไว้เลย ก็ไม่เคยมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้น อาจารย์ขวัญตาขึ้นมาเป็นประธาน ชมรมก็เคยนึกว่าทำไมไม่ทำจดหมายนัดเชิญเป็นหลักฐานเสีย คราวนี้เลยทำเรื่องให้เห็นว่า อย่าไปเชื่อถือที่ต่างคนต่างจด เพราะอาจจดกันคนละอย่างก็ได้ เลยไม่รู้ว่าใครเป็นฝ่ายจด เพราะอาจจดกันคนละอย่างก็ได้ เลยไม่รู้ว่าใครเป็นฝ่ายจดผิด แต่อาจารย์ขวัญตาก็เอาอันนี้เป็นหินลับปัญญา พอดิฉันโผล่เข้าไปบอกอาจารย์ว่า วันนี้เรานัดเจอกันนะ ปรากฏว่าห้องก็ปิดอยู่ อุปกรณ์อะไรไม่มีเลย เหลือเวลาอยู่สิบนาที อาจารย์ก็จัดแบ่งงานลูกทีมอย่างมีประสิทธิภาพไม่ได้มาเสียเวลาถามว่า มันเรื่องอะไรกัน ก็นัดไว้วันที่ 23 ต่างหาก ปรากฏว่าภายใน 10 นาที อุปกรณ์ทุกอย่างก็มาครบครัน รวมทั้งมีน้ำให้กินด้วย มหัศจรรย์แค่ไหน เห็นไหม หินลับปัญญาทำให้ทุกอย่างราบรื่นอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นป่านนี้อาจจะยังยืนทะเลาะกันว่าใครเป็นคนดูวันผิดและที่ร้ายที่สุดคือดิฉันเองเชิญแขกข้างนอกให้มาฟังเต็มไปหมด คงต้องเปิดวงหน้าห้องบรรยาย 1 กลางระเบียบทางเดินนี่แหละ
ถ้าเห็นจริงตามนี้ เราจะได้ไม่ไปถือสาหาความกับเรื่องที่เกิดในชีวิต ทำไมต้องไปเอาจริงเอาจังกับมัน ไปยึดตามข้อมูลที่ได้เข้ามาครั้งแรก ตัวอย่างที่ตัวเองประทับใจที่สุดเกี่ยวกับหินลับปัญญาคือ เรื่องอเล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่ง ค้นพบเพนนิซิลินเรามีความคิดว่า นักวิทยาศาสตร์ย่อมต้องมีหลักมีเกณฑ์ อะไรเกิดขึ้นต้องเป็นไปตามแบบฉบับที่ได้วางเอาไว้ ครั้นมาศึกษาเรื่องอเล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่ง จึงบอกว่า เรายังคิดไม่ถูกต้อง เฟลมมิ่งกำลังศึกษาเรื่องของจุลินทรีย์ตัวหนึ่ง ให้ผู้ช่วยเพาะแยกเชื้อเพื่อเก็บจุลินทรีย์ตัวนี้ไปสกัดเพื่อศึกษาคุณลักษณะของมัน วันหนึ่งมาถึงห้องทดลองพบว่าจุลินทรีย์ที่เพาะไว้ตายหมด มีราสีดำ ๆ ขึ้นมาคลุมเต็ม ถ้าเฟลมมิ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อตามแบบฉบับข้างต้น ก็ต้องสืบหาว่าใครบกพร่องทำให้ราขึ้นของ ๆ เราเสียหาย เสียเวลาต้องนั่งฟูมฟักจุลินทรีย์ตัวนี้ขึ้นมาใหม่ ซึ่งอาจมีผลให้การทดลองขลุกขลัก แต่เฟลมมิ่งไมได้คิดอย่างนั้นเฟลมมิ่งถือว่าอะไรที่เกิดขึ้นย่อมมีประโยชน์ทั้งนั้น ถ้ารู้จักหมุนหาส่วนที่เป็นประโยชน์ให้ได้ เขาถือว่า การที่อะไรไม่เป็นไปดังหวังทำให้เราได้ปรับปรุงตัวของเรา ไม่อย่างนั้นเราจะเป็นคนยึดมั่นถือมั่นไปโดยไม่รู้ตัว ถ้าตั้งใจไว้ว่าจะไปทางนี้ เกิดถนนมีป้ายบอก “ขออภัยครับ วันนี้ทางตัน” เราไปต่อไม่ถูก เลี้ยวตามลูกศรแล้วก็ไม่รู้ว่าจะหาทางไปยังที่ ๆ ตั้งใจได้อย่างไร
แต่ถ้าเรานึกไว้ว่าอะไรที่เกิดขึ้นมีคุณประโยชน์ในตัวเองทั้งนั้น เราก็จะเป็นอย่างเฟลมมิ่งคือไมได้คิดรังเกียจราตัวนี้ เราพยายามค้นคิดหาหนทางที่จะเอารามาใช้เป็นวัตถุดิบให้การทดลองดำเนินต่อไปด้วยดี ในที่สุดก็คิดขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรที่จะทำให้เชื้อโรคตายได้ คนไข้เบาหวานที่เกิดฝีขึ้นจะลุกลามจนเป็นฝีฝักบัว และตายได้จากพิษฝี สมัยนั้นใครเป็นโรคติดเชื้อก็ไม่มียาอะไรที่จะรักษาได้ถ้าราตัวนี้เป็นอย่างที่คิด เป็นดังสมมติฐานของเรา เราคงค้นพบสิ่งแปลกใหม่ ที่น่าตื่นเต้นที่สุดในวงการแพทย์ เฟลมมิ่งเลยพักเรื่องจุลินทรีย์ตัวนั้นไว้ก่อน หันมาค้นคว้าราที่ได้มาโดยไม่ตั้งใจ โดยจัดการแบ่งเพาะต่อ ๆ ไปเพื่อเก็บรวบรวมรามาสกัด
จากการที่เฟลมมิ่งเอาอุบัติเหตุนี้มาเป็นหินลับปัญญา ดึงทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้มาเป็นประโยชน์จนได้ เขาเลยเป็นผู้ค้นพบเพนนิซิลิน ซึ่งเป็นต้นกำเนิดยาปฏิชีวนะและได้รับรางวัลโนเบิ้ล รางวัลโนเบิ้ลยังเป็นเรื่องรอง แต่เรื่องสำคัญคือ การค้นพบของเฟลมมิ่งทำให้ชีวิตมนุษย์พบหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญที่สุด เพราะถ้าเฟลมมิ่งไม่ค้นพบเพนนิซิลิน ทุกวันนี้เราอาจจะยังไม่มียาปฏิชีวนะตัวไหนเลยก็ได้ และเราก็จะอยู่กันอย่างหวาดกลัว เป็นแผลติดเชื้อนิดหนึ่งก็ไม่รู้จักรักษาอย่างไรแล้วเรื่องนี้เป็นตัวอย่างให้เห็นว่า การฝึกใจนั้น ไม่จำเป็นว่าจะต้องมาปฏิบัติธรรมก่อน จึงจะฝึกให้เอาสิ่งที่ไม่ปรารถนามาเป็นหินลับปัญญาได้เห็นจุดนี้แล้วก็มาถึงเรื่องในชีวิตประจำวันของเรา เริ่มจากเรื่องไกลตัวก่อน บางทีขึ้นรถเมล์ ไม่รู้จักกันมาก่อนเลย เราก็เอาเท้าเหยียบบันไดยังไม่ทันเต็มฝ่าเท้าเลยกระเป๋ารถบอก “ไปได้ ลูกพี่” รถกระชากจนเราแทบจะหมุนเป็นนกปีกหักร่อนหล่นลงมา ดีแต่มีใครช่วยฉุดเอาไว้ ถ้าเราไม่คิดให้เป็นหินลับปัญญา เราคงนึก “ไอ้กระเป๋าคนนี้ อย่าให้เจอกันอีกเชียวนะ จะจองเวรเอาไว้ทุกชาติ ๆ” ใจเราก็เป็นสนิมหนักอึ้งไปหมดลงจากรถเมล์แล้วแทนที่จะเบาเนื้อเบาตัว กลับไปแบกหามเจ้ากรรมนายเวรเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง ดีไม่ดีไม่ใช่แต่กระเป๋ารถเมล์ คนขับก็กระไรเลย ซึ่งความจริงนั้นไม่มีทางหรอกที่คนขับจะมองส่องทะลุคนที่แน่นเอี้ยดมาเห็นได้ว่ายังมีผู้โดยสารคนหนึ่งยื่นหมิ่นเหม่อยู่ที่ข้างบันได ถ้าเราไม่รู้จักปรับใจว่า อะไรที่เกิดขึ้นอภัยกันเถิดนะ ชีวิตทุกวันนี้มันรีบร้อนไม่มีใครตั้งใจทำร้ายใครหรอก
ถ้าเราคิดอย่างนี้ไม่เป็น เราต้องกรอกน้ำใบบัวบกทุกวัน เพราะใจเราจะฟกช้ำดำเขียวไปหมด แล้วไปเที่ยวทะเลาะเบาะแว้ง สร้างศัตรูเพิ่มขึ้นวันละคนสองคนหรือหลาย ๆ คน ถ้าเราตั้งในใจว่า แต่นี้ต่อไปต้องหัดดูแลตัวเองให้ดี พอเอาเท้าแปะไปบนบันไดรถเมล์ต้องรีบหาที่เกาะให้รัดกุม ให้แน่ใจมั่นใจว่า จะช่วยให้ตัวเองติดอยู่บนรถเมล์ได้โดยปลอดภัย ไม่ใช่ว่าพอรถกระชากออก เราก็เสียหลักตกลงมา เคราะห์หามยามร้ายล้อรถเลยทับเรา กลายเป็นคนพิการทุพลภาพ ตายไปเลยนั้นไม่เป็นไร เพราะจบเรื่องไปเราต้องคิดถึงทางร้ายเอาไว้ก่อน เพื่อว่าจะได้เตรียมหาวิธีช่วยตัวเองได้ เพราะถ้าคิดแต่ทางดีแล้วเกิดเหตุร้าย เราจะคิดอะไรไม่ออก แก้ปัญหาไม่ได้ ถ้าคิดในทางร้ายที่สุดเอาไว้แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นดีกว่าที่คิด เราก็...แค่นี้เอง ไม่เป็นไร...เราคิดว่าจะร้ายหลายแสน แต่นี่ร้ายแสนเดียว เอาเถอะยังไม่เป็นไร
ถ้าคอยนึกไว้อย่างนี้ รับรองชีวิตเราจะไม่มีคำว่าผิดหวัง อะไรสนุกทั้งนั้น เพราะยิ่งมีอุปสรรคมาก หินลับมีดมาก ปัญญาเรายิ่งคมขึ้นเรื่อย ๆ กับคนห่างไกลนั้นทำง่าย เพราะเราไม่เคยไปยึดไปหวังอะไรกับเขา คราวนี้มาถึงเพื่อนร่วมงาน บางทีเราอดที่จะไปโกรธหงุดหงิดกับเขาไม่ได้ เพราะโดยไม่ทันรู้ตัวเราไปหวังเอาไว้แล้ว เขาเหมือนพี่เรานะ เขาเหมือนน้องเรานะ ทีนี้เขาซึ่งไม่เคยรู้จักกับเราเลยมา ทำอะไรที่ผิดหลักเกณฑ์ของเราเข้า เราก็สะเทือนใจว่าทำไมเขามาทำร้ายใจเราอย่างนั้น แท้ที่จริงเขาไม่ได้ทำร้าย แต่เราไปยึดผิดเห็นผิดเอาไว้เอง พอเป็นอย่างนี้เราจะได้เตือนตัวเองว่า เราเผลอไปยึดเขาเอาไว้อีกแล้ว แต่นี้ต่อไปต้องตั้งความคิดของเราให้เที่ยงตรง ตอนที่เข้าวัดท่านอาจารย์สอนเอาไว้ว่า เวลารู้จักใครให้เริ่มต้นที่ศูนย์ ตัวเองแปลคำพูดของท่านไม่ถูกต้อง ไปนึกค่อนว่าท่านอาจารย์ ทำไมพระพุทธเจ้าสอนให้ชาวพุทธใจดำ เจอกันปุ๊บให้ตั้งในใจเอาไว้ที่ศูนย์ ตกลงไม่มีน้ำใจไม่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกันเลย เพราะว่าศูนย์ก็แสดงว่าใครก็ไม่รู้ แขกแปลกหน้า
ความจริงท่านอาจารย์ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ท่านหมายความว่า ถ้าเราไปตั้งต้นเอาไว้ที่ 10 20 50 100 เราเอาอุปาทานในใจของเราไปวาดไประบายสีเข้าแล้ว พอเห็นเขาก็คิดไปว่าเขาต้องเป็นคนดี แหม! หน้าตาเขาเวลายิ้มแล้วโลกนี้สว่างไปหมด เราก็ไประบายสีไว้แล้ว ไปหวังว่าเขาต้องเป็นอย่างที่เราคิด เราก็ต้องผิดหวังเพราะความจริงเขายังไม่รู้เลยว่าเขาเป็นอย่างไร เพียงเห็นแค่ยิ้มของเขา เราไปปรุงต่อเรียบร้อยแล้วกลายเป็นคนอีกคนหนึ่งเมื่ออยู่กันไป เขาก็เป็นตัวของเขาตามธรรมชาติ แต่ผิดกับที่เราวาดเอาไว้ แทนที่เราจะย้อนมานึกว่าเราไปดูเขาผิด ต้องแก้ไขความคิดนั้นให้ถูกต้องเสีย เรากลับไปตัดพ้อต่อว่า “ดูซิหน้าตาก็ใส ๆ ไม่นึกเลยว่าจะใจร้าย พูดขึ้นมาคำหนึ่งก็ทิ่มแทงหัวใจเราจนกระทั่งเลือดสาดเลย” ถ้าเราไปตั้งความหวังอะไรเอาไว้ไม่อยู่ที่ศูนย์ก็เป็นอย่างนี้ แต่ถ้าเราทำใจให้ว่างเอาไว้ อะไรที่เขาแสดงออกมาถ้าไม่ถูกใจเราก็เป็นเอาหินลับปัญญา
เขาแสดงอะไรออกมาเราก็ดูใจเรา แทนที่จะแพ่งโทษเขาและไปตัดพ้อต่อว่า ทำไมคุณพูดอย่างนั้น ฉันไม่ชอบวิธีนั้นเราแก้ผิดที่ เราต้องมองใจเรา เรื่องอะไรเราจะไปบังคับเขาว่าเขาต้องเป็นอย่างที่เราต้องการ เราไปลิดรอนสิทธิมนุษยชนของเขา เราเป็นทรราชนี่ เราไม่ได้มองโลกตามความเป็นจริง ทุกคนมีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ให้เรามาดูใจเราว่าอึดอัดคับข้องใจที่จะอยู่ด้วยกัน ถ้าอึดอัดคับข้อง ทำอย่างไรเราจึงจะมีเกราะปกป้องไม่ให้กิริยาของเขามาทำร้ายจิตใจเราได้ เราก็ค้นหาวิธีที่เรากับเขาจะทำงานด้วยกันโดยไม่กระทบกระทั่งกัน ไม่เอาสนิมในใจ ของเราไประบายใส่เขาแล้วมีอคติกับเขา ขณะเดียวกันอะไรที่เรารู้สึกว่าทนเขาไม่ได้ ก็หลีกห่างเอาไว้ เพื่อว่าจะไม่ไปพลาดท่าเสียทีก่อหนี้สินล้นพ้นตัวขึ้น
ถ้าเราหมั่นฝึกตัวของตัวอยู่อย่างนี้เรื่อย ๆ อีกหน่อยใจจะหนักแน่น พอไปพบอะไรที่ไม่ถูกจริตนิสัยเข้าแทนที่ จะไปเสียเวลาเพ่งโทษเขา เราย้อนเข้ามามองตัวเองคิดอ่านทำความรู้จักกับใจเรา หาจุดอ่อนของตัวเอง หากรรมวิธีที่จะอาศัยเป็นเกราะคุ้มกันไม่ให้เรากับเขาไปกระทบกระทั่งกันโดยไม่จำเป็น ทำให้เราอยู่กับเขาได้โดยไม่กระทบกระทั่งกัน ฝึกตัวให้คอยระมัดระวังไม่ให้เผลอไปคิดเอาเองว่าเขาน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วเกิดเป็นอารมณ์ต่อกันเมื่อเริ่มทำได้กับเพื่อน ๆ ทำได้บ่อยครั้งขึ้นเท่าไรก็เพิ่มภูมิคุ้มกันขึ้นเท่านั้น ทำให้เราเริ่มมาแก้ไขกับคนใกล้ชิด พ่อแม่พี่น้องคู่ครองของเราได้ กลับถึงบ้านเจอใครทำอะไรไม่ดีใส่เรา เราก็จะมีสติ นึกว่า ถ้าผู้ร่วมงานหรือคนไข้หรือคนอื่นตามถนน ทำกิริยาอย่างนี้กับเรา เราโกรธเขาไหม?ไม่โกรธ ทำไมไม่โกรธ? ก็เขาไม่ใช่อะไรของเรานี่
ทำไมพอเป็นพ่อเราเป็นแม่เราหรือเป็นคู่ครองเรา ปรากฏว่าระเบิดเวลาถอดสลักถูกสายชนวนเข้านิดเดียวระเบิดเลย เพราะอะไร? เพราะใจเราไปคาดหวังยึดมั่นสำคัญไว้ว่าเขาต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ เราจึงทุกข์ เราจึงเดือดร้อน เมื่อรู้เท่าทันอย่างนี้ พระพุทธเจ้าก็ทรงสอนแล้วว่า ใจแต่ละคนเหมือนแขกแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกัน ตอนที่ลูกเราจะเกิดมา เขาก็ไม่ได้มาเคาะประตูบ้านขออนุญาตก่อนว่า “แม่จ๋าขอเกิดเป็นลูกหน่อย จะรับเป็นลูกไหม?” เราไม่รู้ด้วยซ้ำไป เมื่อเซลไข่สุกผสมกับเซลเชื้อของพ่อเกิดเป็นชีวิตใหม่ขึ้นมาแล้ว เราก็ไม่รู้ว่าทำไมบางชีวิตเจริญเติบโตจนครบกำหนดออกมาเป็นทารก ขณะที่บางชีวิตพอผสมกันได้หน่อยหนึ่งประเดี๋ยวก็แท้ง ไม่ถึงแท้งก็ทำให้แม่สะบักสะบอม เดี๋ยวมีเลือดออก เดี๋ยวเป็นอย่างโน้นอย่างนี้อย่างนั้น ต้องคอยประคบประหงมประคับประคองกันใจหายใจคว่ำลำบากยากเข็ญเหลือเกิน
ทางธรรมนั้นพระพุทธเจ้าทรงอธิบายว่า นอกจากเซลไข่สุกและเซลเชื้อที่มาผสมกันแล้ว ถ้าไม่มีตัวพลังควบคุมคือปฏิสนธิวิญญาณ หรือใจเข้ามาจับจองแล้ว ทำอย่างไรก็จะเติบโตต่อไปจนกระทั่งฝังตัวเจริญเป็นทารกไม่ได้ จะแท้งออกมาเมื่อรู้ว่าตัวสำคัญคือ ปฏิสนธิวิญญาณที่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วปฏิสนธิวิญญาณมาจากไหน ไม่ใช่ส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเซลเชื้อหรือเซลไข่เลย เป็นคนละอันโดยเด็ดขาด เซลเชื้อกับเซลไข่เป็นรูป เป็นวัตถุ เป็นสสาร แต่ปฏิสนธิวิญญาณเป็นนาม เป็นพลัง แขกแปลกหน้า คนไม่รู้จักกัน ท่านผู้รู้ที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้อรรถาธิบายว่า อย่าไปเข้าใจว่าปฏิสนธิวิญญาณคนใกล้ชิดกันจะมาด้วยแรงดึงดูด ด้วยความรักผูกพันนะ ส่วนใหญ่จะมาด้วยความคั่งแค้นอาฆาตพยาบาท
สามีภรรยาก็เช่นกัน อย่าไปนึกว่ามาด้วยการอุปฐากเกื้อกูลกัน มาด้วยใจที่จองล้างจองผลาญกันก็ได้ มาคิดดูก็จริง ถ้าเรามีศัตรูคู่แค้นที่ต่างคนต่างอยู่คนละมุมเมื่อโอกาสที่จะพบกันแต่ละครั้งกว่าจะฝ่าฟันสิ่งกีดขวางจน มาเจอะเจอกันได้ บางวันก็ไม่ได้เจอกันเลย แล้วจะไปแก้แค้นกันได้อย่างไร แต่ถ้าเป็นคู่ครองกัน ทั้ง ๆ ที่ไม่อยากเจอก็ต้องเจอ เพราะอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน นอนบนที่นอนเดียวกัน เพราะฉะนั้นโอกาสจะทำร้ายกันทั้งตื่นทั้งหลับมีเต็มที่ตลอดเวลาเพื่อแก้แค้นกันให้สาสม โดยเฉพาะถ้าเรารู้ว่านี่เป็นศัตรูคู่แค้นเรา เรายังตั้งสติที่จะรับสถานการณ์ ทำให้ไม่พลาดท่าเสียที ทีนี้มาในรูปคนใกล้ชิดสนิท เป็นที่รักแต่แท้ที่จริงเผลอเมื่อไรกลายเป็นมือมีดทั้งทิ่มทั้งตำเรา ก็ง่ายที่เราจะพลาดท่าเสียที
ถ้าเราตั้งหินลับปัญญาเราให้ดี รู้ตามความเป็นจริง แล้วว่าอย่าไปหวังอะไรกับเขานะ จริง ๆ แล้วเขาเป็นศัตรูมาในรูปมิตร เขาทำอะไรก็ศัตรูนี่นะ จะมาหวังดีอะไรกับเรา เราก็ไม่สะดุ้งสะเทือนเดือดร้อน ถึงจะได้ยินเขาพูดกับใครว่า “เมื่อไหร่จะตายไปสักทนะ” เราก็ไม่แค้น เพราะจะได้รู้ตัวว่าเขาอยากให้เราตายเร็ว ๆ เพราะฉะนั้นเรายิ่งตายช้าเท่าไร เขานั่นแหละยิ่งเดือดร้อน เราไม่ต้องไปทำอะไรเลย เขาก็แค้นใจที่ความต้องการของเขาไม่สัมฤทธิ์ผลสักที
การจะแกล้งใครสักคนโดยทำเป็นทองไม่รู้ร้อน เขาทำให้เราโกรธเท่าไรเราก็ไม่โกรธ หาความคิดสร้างสรรค์ดีงามยังไม่ได้ ก็ปลอบใจตัวเองอย่างอันธพาลอย่างนี้ไปพลาง ๆ ก่อน เพื่อรักษาใจไม่ให้ฟกช้ำดำเขียว ต่อมาเราก็ได้คิดเรื่องอะไรจะเอาตัวไปท้าตีท้าต่อยกับคนไม่มีราคาอย่างนั้น คนเราจะเลือกเป็นคู่ชกกัน ต้องให้สมน้ำสมเนื้อสมศักดิ์ศรีกันสักหน่อยค่อยเข้าท่า เมื่อเราไม่เห็นคุณค่าเสียแล้ว ก็ค่อยคลายจากความยึดหวังผูกพันกับเขา ทำให้ค่อยสงบเป็นอิสระขึ้นมาถ้าเรารู้จักหมุนเหตุการณ์ทุก ๆ อย่างในชีวิต ไม่ว่าจากบุคคลใกล้ชิดหรือห่างไกลน้อมเข้ามาสอนตัวเองให้ได้แยบคายอุบาย ได้วิธีคิดที่ทำให้ใจสงบผาสุกเลี้ยงตัวอยู่ได้เป็นปกติ เราถือว่าสิ่งนั้นเป็นหินลับปัญญาทั้งสิ้น เพราะทำให้ปัญญาของเราพัฒนาจากพาลปัญญา คือปัญญาที่อ่อนไม่มีกำลังพอคุ้มครองตัวไปเป็นปัญญาญาณ
คำว่าพาละ แปลว่า อ่อน เบา ไม่ได้แปลว่าคนพาลสันดานหยาบ อย่างที่เราใช้กัน พระพุทธเจ้าใช้คำว่า พาลปัญญาสำหรับคนที่ยังไม่มีสติปัญญาหาเหตุผลพอคุ้มครองตัวได้ ถึงทางโลกจะปราดเปรื่องแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นแล้วคุ้มครองตัวเองไม่ได้ ท่านถือว่าปัญญาอันนั้นยังเป็นพาลปัญญาอยู่ ยังไม่ใช่ปัญญาญาณที่ช่วยให้เรารู้จักโลกและสิ่งรอบตัวตามความเป็นจริงคำว่า ปัญญา ทางพุทธศาสนาเป็นไวพจน์กับคำว่า วิชชา หมายถึงสิ่งที่ทำให้เราเห็นสัมผัสที่มากระทบจิตใจตามความเป็นจริง แล้วไม่ทำร้ายตัวเองเพราะใจรับมันตามที่เป็นจริง
คนที่มีความทุกข์เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วแทนที่จะรับรู้ตามความเป็นจริง กลับไปบ่ายเบนหรือแก้สิ่งนั้นให้เป็นไปตามต้องการ อันนี้แหละคือพาลปัญญา ตัวเองขาดทุนเพราะว่าธรรมชาติเป็นสิ่งที่เป็นอยู่อย่างนั้น ไม่ว่าจะพูดภาษาไหน เป็นชนชาติใด ถึงพูดแล้วไม่รู้เรื่องกัน แต่สิ่งที่ปรากฏขึ้นนั้นเที่ยงแท้แน่นอน เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดกาล ไม่มีอะไรจะไปเปลี่ยนแปลงบ่ายเบนหรือหมุนให้กลับทิศทางได้เมื่อไรเราเผลอไปคิดว่ามีกำลัง มีความสามารถที่จะเปลี่ยนสิ่งที่เกิดขึ้นให้เป็นไปอย่างที่ใจปรารถนาได้ เมื่อนั้นเราขาดทุน เมื่อนั้นหิบลับปัญญาของเราใช้ไม่ได้แล้วกลายเป็นหินที่ไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้เราทำร้ายตัวเอง เราอาจจะทำเหมือนอย่างกับว่าเราชนะธรรมชาติได้ แต่ก็ชั่วครั้งชั่วคราว ยกตัวอย่าง เป็นต้นว่าบนพื้นดินไม่มีที่พอสำหรับมนุษย์อยู่อาศัย เราจะลงไปอยู่ใต้น้ำ มีเทคโนโลยีสารพัดสารพันที่ช่วยเราทำสำเร็จแต่ถึงจุดหนึ่งเราก็พ่ายแพ้ต่อธรรมชาติเราสามารถสร้างผนัง สร้างเครื่องปรับอากาศเพื่อปรับให้อุณหภูมิข้างในเป็นที่พอใจของเราได้ แต่เราลืมไปว่า ขณะที่เราสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นระหว่างข้างนอกกับข้างใน ยิ่งลาดชันของความแตกต่างมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งต้องใช้กำลังเพื่อไปรักษาสภาวะสมดุลนี้ให้คงอยู่ได้ ถ้าเมื่อไรการรักษาสมดุลล้มเหลวไปก็เกิดภาวะเป็นต้นว่าเขื่อนพัง ทั้งเขื่อนธรรมชาติและเขื่อนที่สร้างขึ้น หรือในอาคารใหญ่ ๆ ที่ใช้เครื่องปรับอากาศมากเกินไป ทำให้กระจกแตกร้าว เพราะทนทานต่อความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิข้างนอกกับข้างในไม่ไหว ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อย่าง อย่างที่เห็นกันแล้วอารยธรรมของมนุษยโลกก้าวไปถึงจุดหนึ่ง ที่เราสำคัญว่าเราจะควบคุมบังคับธรรมชาติได้ แต่แล้วเราก็กลับเป็นเหยื่อจากภัยธรรมชาติ เป็นต้นว่า ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว น้ำท่วมหรืออะไรทำนองนี้ ซึ่งมองให้ดี ๆ แล้วล้วนเป็นเหตุปัจจัยที่เราสร้างขึ้นมาเองทั้งนั้น
ทุกวันนี้เราพยายามเอาทรัพยากรจากธรรมชาติมาใช้เป็นอาหาร เป็นวัตถุดิบเพื่อดำรงชีวิต จนจะถึงจุดที่เราเองก็ลืมนึกไปว่า ทำอย่างไรสิ่งเหล่านี้จึงจะยังเหลืออยู่ในอัตราส่วนที่เติบโตขึ้นมาทดแทนได้เพียงพอกับที่เราเก็บเกี่ยวไปใช้ สมัยที่เรายังเด็กอยู่ในน้ำมีปลาในนามีข้าว สัตว์น้ำของเราอุดมสมบูรณ์ แต่เดี๋ยวนี้เราแทบไม่มีสัตว์น้ำเหลือพอมาเป็นอาหารแล้ว เพราะอะไร? เพราะเราทำให้น้ำในแม่น้ำลำคลองเน่าเสีย ไปสร้างเขื่อนปิดกั้นการมาวางไข่ในที่ ๆ เหมาะของมัน เราทำลายป่าทำให้สัตว์บกที่เป็นอาหารของเราร่อยหรอไป ข้อที่ร้ายที่สุดเราทำลายปอดของเราเอง เราทำให้ไม่เหลือต้นไม้เพียงพอที่จะผลิตออกซิเจนขึ้นมาทำให้อากาศในโลกนี้ยังบริสุทธิ์เพียงพอต่อการดำรงชีวิต
สรุปแล้ว เราไม่รู้ตัวว่าเรากำลังทำยาพิษให้ตัวเองทุกขั้นตอนไปหมด เหมือนเราใช้ฆ่าแมลงกันจนเกินขอบเขต เมื่อเอาผลิตภัณฑ์เหล่านั้นมาบริโภคก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง หรือในช่วงที่โกรธกัน เราก็ภูมิใจที่สามารถสร้างระเบิดปรมาณูได้ ไม่พอใจฝ่ายตรงข้ามก็เอาระเบิดปรมาณูไปถล่มเสีย โดยไม่ตระหนักว่าผลของปรมาณูทำให้มีการเปลี่ยนแปลงในพันธุกรรม ต่อไปมนุษย์เราอาจเป็นสัตว์วิปริตวิกลวิกาลไม่เฉพาะแต่รูปร่าง จิตใจก็วิกลวิกาลจนไม่รู้แล้วว่าใครเป็นพ่อเป็นแม่ อาจจะฆ่ากันเอง กินกันเองหรือทำอะไร ๆ ก็ได้
สรุปแล้ว ถ้าเราไม่รู้จักเอาสิ่งที่ปรากฏในชีวิตประจำวันตามธรรมชาติธรรมดา มาแนะสอนตัวเอง มาไตร่ตรองให้รู้ชัด ก็จะถึงจุดที่เราทำลายตัวเองช้า ๆ โดยไม่รู้ตัว เมื่อถึงจุดที่เราเริ่มรู้สึก ทุกอย่างก็จะสายเกินกว่าที่จะแก้ไขได้ เพราะการแก้ไขไม่ใช่ว่าพอรู้เราแก้วันนี้ พรุ่งนี้จะดีขึ้น เช่นเราทำลายป่าจนกระทั่งไม่เหลือต้นไม้ที่จะผลิตออกซิเจนขึ้นมาได้เพียงพอสำหรับใช้ เมื่อเรารู้เราระดมกำลังการปลูกป่า ไม่ใช่ว่าเราปลูกวันนี้ต้นไม้จะขึ้นพรุ่งนี้ได้ดินที่ขาดรากไม้อุ้มน้ำเอาไว้ หน้าดินก็เริ่มกร่อนผุพังกลายเป็นดินตายแทนที่จะเป็นดินที่มีปุ๋ย มีอาหารเหมาะที่ต้นไม้จะเจริญเติบโตขึ้นมาได้ เราต้องมาฟื้นหน้าดิน ต้องหาอะไรต่อมิอะไรมาใส่ ซึ่งจะไม่ทันการ เพราะดินส่วนอื่นก็จะพากันตายไปก่อนที่เราจะฟื้นสำเร็จ ในที่สุดโลกก็ย้อนกลับไปสู่ยุคหินใหม่
มนุษย์ สัตว์ สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ในภาวะที่เป็นมลพิษเหล่านี้ได้ก็ล้มหายตายจาก ดินที่ขาดคุณภาพไม่มีอาหารเพียงพอ ไม่เหมาะที่พืชพันธุ์ธัญญาหารจะดีขึ้น ก็ได้ซากของสิ่งมีชีวิตที่ล้มหายตายจากเหล่านี้เข้าไปทับถมจนมีปุ๋ยอุดมสมบูรณ์ขึ้นมา บรรยากาศเริ่มเหมาะต่อการดำรงชีวิตขึ้นมาใหม่ หมุนเวียนเป็นวัฏจักรอยู่อย่างนี้ถ้าศึกษาสภาวะของโลก ภูมิประเทศ ภูมิศาสตร์ดู จะพบว่าเป็นวงจรอยู่อย่างนี้ ถ้าดูไปเรื่อย ๆ แล้วจิตใจของมนุษย์เล่า เป็นมาอย่างไรบ้าง ไม่ต้องเอาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ เอาเพียงแต่ยุคที่เจ้าชายสิทธัตถะมาประสูติ ก่อนหน้านั้นเราไม่ทันรู้จักพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน ๆ เราโง่เซ่อ ถูกอวิชชาครอบงำ เจ้าชายสิทธัตถะได้มาจุดแสงสว่างของปัญญาให้รู้ว่า การเกิดเป็นทุกข์ การดำรงชีวิตอยู่เป็นทุกข์ เพราะเราไม่อยู่กันตามความเป็นจริง แต่อยู่ด้วยความยึดผิด เห็นผิด ตามที่กิเลสชักพาไป เราหลงว่าเรามีสิทธิจับจองตรงโน้น เป็นเจ้าของตรงนี้ ตามแต่กิเลสในใจของเราจะบังคับบัญชาไป เมื่อไม่ได้อย่างใจเราก็ทุกข์เดือดร้อน เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านทรงสั่งสอนว่า ตัวที่เป็นรวงรังแห่งความทุกข์ในใจของเรานี้คือ อุปาทาน กับ อวิชชา
อุปาทานคืออะไร? คือความยึดผิดเห็นผิด ร่างกายของเราที่จริง ๆ ก็คือปุ๋ย ที่มาจากอาหารทั้งหลาย เมื่อย่อยลงไปก็ได้แก่ดินกับน้ำที่มาผสมกลมกลืนกันเข้า แล้วเอาธาตุลม ธาตุไฟ ไปพัดไปทำให้อบอุ่นขึ้นแล้วเราก็ไปโกง ไปยึดผิดว่านี่ คือตัวเรา เอามาใช้เป็นเครื่องมือไปตีรันฟันแทงข่มเหงคนอื่น เพื่อกอบโกยสมบัติของแผ่นดินว่าอันนั้นก็ที่ดินของเรา อันนี้ก็ตึกของเรา อะไร ๆ ก็ของเรา... ของเราทั้งหมด คนที่ไม่มีปัญญาจะหาเอาได้ซึ่งหน้า ก็คิดหาช่องทางขโมยเขา เขาขัดขืนก็ฆ่าเสียที่สนามกอล์ฟแห่งหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่มียาม มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ควบคุมตรงประตูทางเข้าออก มีคนไปเล่นกอล์ฟใส่เลสทองคำหนักห้าบาท ปรากฏว่ามีวัยรุ่นขี่มอเตอร์ไซด์ มาสองคน เข้าไปถึงก็จับมือข้างที่ใส่เลส “พี่...ขอแบ่งใช้หน่อยนะครับ” เจ้าของเสียดายของ ๆ เขาก็ชักมือหนี อีกคนเข้าประกบจับมือให้เหยียดเอาไว้ คนแรกที่ขอแบ่งใช้หน่อยก็เอามีดสับข้อมือขาดแล้วโยนทิ้งไปเหมือนผักหญ้าอะไรท่อนหนึ่ง รูดเอาเลสใส่กระเป๋าหายไปเลย ปล่อยให้เจ้าของกลายเป็นคนมือด้วนไปเพราะไปยึดว่าเลสก็ของเรา จริง ๆ แล้วเมื่อเราตายไปก็ตกค้างอยู่ในแผ่นดินเป็นของแผ่นดิน ทำอย่างไรก็เอาไปไม่ได้ ถึงจะกำไว้ก่อนหมดลมหายใจ ประกาศว่าของเราใครอย่าเอาไปนะ พอหมดลมหายใจแล้วก็ตกค้างอยู่นี่แหละ เอาไปไม่ได้
ถ้าพยายามเอาความเป็นจริงเหล่านี้มาเป็นหินลับปัญญาทุกเช้าทุกค่ำ เราพิจารณาให้เห็นซึ้งถึงใจจริง ๆ พอเขามาขอแบ่งกันใช้หน่อย เราก็ไม่หวงแหน “เอาไปเลยน้อง” ให้เขาไปไม่ตายเสียคงหาใหม่ได้หรอก ถ้าหาไม่ได้ก็ดูใจเราว่า ถ้าไม่มีเลสทองทำใส่จะอกไหม้ไส้ขม หายใจไม่ออกหัวใจวายไปหรืออย่างไร เราจะได้ลับสติปัญญาเราให้เห็นตามความเป็นจริงแต่นี่เราเป็นนักโทษของความอยาก ไม่มีกุญแจมือก็เอาสร้อยอะไรก็ไม่รู้ มาใส่งับตัวเองเอาไว้ แล้วก็ภูมิใจแทนที่จะได้กินได้นอนตามปกติ ตามสบาย ก็เอาความทุกข์เดือดร้อนมาทับถมใจ บัญชีของเราเดือนนี้ไปถึงไหนแล้ว รายได้เป็นที่พออกพอใจแล้วหรือยัง ทำให้กินไม่ได้นอนไม่หลับ ทุกข์โดยไม่จำเป็น ดีไม่ดีก็ทำร้ายตัวเองด้วยความวิตกกังวล ไม่มีอะไรย่อยเราก็ย่อยกระเพาะอาหารของตัวเองให้เป็นรูทะลุเล่นเสีย กลายเป็นโรคกระเพาะไป
เราทำร้ายตัวเองอยู่ตลอดเวลา เราไม่มีเมตตาแม้กระทั่งตัวเอง แล้วปากก็บอกเราเป็นชาวพุทธ เรามีเมตตา ใครมาทำอะไรเราก็ช่างเขาเถอะอภัย อโหสิให้แก่กัน แต่จริง ๆ ไม่ใช่เลย เราคั่งแค้น สร้างแต่ความทุกข์ความหงุดหงิด บีบคั้นให้กันและกันอยู่ตลอดเวลา ขณะที่ปากก็ประกาศว่าเราเมตตาถ้ามองทะลุไปถึงความเป็นจริงอย่างนี้แล้ว เราก็ตั้งในใจเสียใหม่ว่า อะไรที่เกิดขึ้นทุกเวลานาทีในชีวิตเรา เราจะหมุนเหตุการณ์ที่ไม่พึงปรารถนา หรือแม้เหตุการณ์ที่พึงปรารถนานั้นมาเป็นหินลับปัญญาเราเพราะอะไร?แม้เหตุการณ์ที่พึงปรารถนาก็เอาไปเป็นนักโทษอีกเหมือนกัน เพราะเราไปยึดดีใจภูมิใจ พอใจ เอาตัวเราผูกติดอยู่ตรงนี้อีก ไม่ไปไหนต่อไปอีกแล้ว อร่อยที่จะเสพสิ่งที่เราพอใจนี้อยู่ ไม่ละ ไม่ถอย ตกลงก็เป็นพิษเป็นภัยกับเราอีกนั่นแหละ
อะไรเกิดขึ้นเราจะพิจารณาให้เป็นหินลับปัญญาให้จงได้ เพื่อยกภูมิของจิตใจเราให้สงบ ให้มีฐานที่แน่นหนา ไม่ทำร้ายตัวเอง จริง ๆ แล้วความทุกข์ในชีวิตของคนเราไม่ใช่เกิดเพราะความขาดแคลน แต่เกิดเพราะใจของเรากระเพื่อม ถ้ากระเพื่อมเมื่อไร จะกระเพื่อมด้วยความดีใจเราก็หวั่นไหวกระเพื่อมด้วยความเสียใจฟุบแฟบเราก็หวั่นไหว ความกระเพื่อมที่เกิดกับเราบ่อย ๆ นี้ทำให้ใจสึกหรอ สุขภาพจิตไม่เป็นปกติแน่นอนเลี้ยงตัวเองไม่ได้
ถ้าเราเป็นคนที่อารมณ์หวั่นไหวง่าย ดีใจก็น้ำตาไหล เสียใจก็น้ำตาไหล หนักเข้าใครมาพูดอะไรเข้าหน่อย ใจเราคลอนไปหมดเลย เราไม่เป็นสุขหรอก บางทีดีใจ ได้สมกับที่ตั้งใจเอาไว้ ก็ไม่มีความสบายใจ เพราะไปวิตกกลัวจะแตกหายไป จะสูญเสียไป เดี๋ยวคนอื่นจะมาเอาไป กังวลไปต่าง ๆ นานา พร้อม ๆ กับที่เราว่าเราสมหวังเราชื่นใจนี้ ใจเรากระเพื่อมแตกฉานซ่านเซ็นอยู่ตลอดเวลา เหนื่อย ไม่สุขสงบ
ถ้าหัดเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นหินลับปัญญา อะไรจะเกิดขึ้นให้เกิดไป ได้มาก็หมดไปได้ เสียไปก็มีใหม่มาได้ มีนิทานเซนเรื่องหนึ่งว่า มีหลวงตาองค์หนึ่งท่านมีปั้นน้ำชาลายครามซึ่งโยมอุปัฏฐากเอามาถวาย แล้วขอร้องให้หลวงตาใช้เพื่อให้เขาได้บุญ หลวงตาก็เช้าขึ้นมาต้องคอยบอกเด็กที่ดูแลว่า “เจ้าดูแลปั้นน้ำชาดี ๆ นะ อย่าไปทำมันแตก”วันหนึ่งปรากฏว่าเด็กทำปั้นน้ำชาแตกตั้งแต่เช้า ที่หลวงตาจะออกจากห้อง เด็กก็ใจไม่ดี วันนี้คงโดนหลวงตาดุแย่แน่ ๆ เลย เพราะหลวงตาจะสั่งทุกเช้าทุกค่ำว่าให้ดูแลให้ดี เพราะเจ้าของต้องการให้ใช้ได้นาน ๆ เพื่อเป็นบุญเป็นกุศลให้เขา
พอหลวงตาออกมา เด็กก็บอกว่า “หลวงตาครับ หลวงตาครับ หลวงตาเป็นคนสอนว่าอะไร ๆ ก็ให้ปล่อยวางทั้งหมด อะไร ๆ มีก็เหมือนไม่มีใช่ไหม?” หลวงตาก็งง วันนี้ทำไมลูกศิษย์เกิดจะมาสอนธรรมเรา เด็กถามต่อไปว่า “แล้วหลวงตาทำอย่างนั้นได้หรือเปล่า? ทำอยู่ตลอดเวลาหรือเปล่า? “หลวงตาก็ซักไซร้ไปมาจนเด็กสารภาพว่า “ปั้นน้ำชาของหลวงตามีก็เหมือนไม่มี เพราะมันแตกไปเสียแล้ว”หลวงตาไม่ได้ว่าอะไร เพราะจริง ๆ แล้วท่านก็เห็นอย่างนี้ ตั้งแต่ได้ปั้นน้ำชามาท่านก็ตั้งใจเอาไว้ว่า มันแตกเรียบร้อยแล้ว ถ้าท่านไปยึดว่า ปั้นอันนี้เป็นปั้นลายครามมีค่าราคา ใจท่านก็ต้องกระเพื่อมทุกวี่ทุกวัน ได้ยินเสียงเพล้ง...ก็ต้องคอยถามว่า “ปั้นน้ำชาหรือเปล่า”แต่ท่านทำใจตั้งแต่วันที่เขาเอามาถวายแล้วว่า ปั้นอันนี้เมื่อมีได้ก็แตกได้ ท่านจึงมองเหมือนปั้นแตกอยู่ทุกวัน แต่ตราบเท่าที่ยังไม่แตก ท่านก็ต้องคอยดูแลรักษา แผ่ส่วนกุศลให้เจ้าของได้บุญ พอวันนี้เจ้าเด็กมารายงานว่า ปั้นมีก็เหมือนไม่มีเพราะแตกไปเสียแล้ว หลวงตาก็ปลดวางตามสภาพความเป็นจริง ท่านบอก “โล่งใจเสียที” แต่นี้ต่อไปท่านหมดหน้าที่รักษาทรัพย์สมบัติชิ้นนี้ ซึ่งทำให้ท่านเป็นภาระเหน็ดเหนื่อยมานานแล้วท่านใช้ทุกอย่างเป็นหินลับปัญญาอย่างดีที่สุด คือท่านเห็นเสียก่อนที่จะเป็นไปเมื่อไตรลักษณ์จริงปรากฏขึ้น การเปลี่ยนแปลง ความไม่เที่ยงเลยไม่ทำให้ท่านเป็นทุกข์ เพราะใจของท่านเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ก่อนที่จะเกิดขึ้น
ปากบอกว่ารู้เห็นเป็นในใจ แต่จริง ๆ แล้วมันคิดเห็น เพราะใจคุ้นกับการคิดเห็นมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก คิดดูเวลาจะไปสอบ ถ้าไม่ท่องไม่ซ้อมเตรียมว่า ถ้าครูออกอย่างนี้เราจะตอบอย่างนี้ ครูออกอย่างโน้นเราจะตอบอย่างเราไปสอบเราก็โง่เซ่อเลย เขียนอะไรไม่ออก เราสะสมมาแต่สถิติของกิเลส ที่ผู้ใหญ่สอนสั่งเรามา เราไม่เคยได้เห็นตัวอย่างของจริง ก็ไม่มีเวลาไปใกล้ชิดจนจำมาเป็นกำลังใจได้ ก็เลยทำให้โอกาสที่จะดึงตัวเราให้หันมาเลื่อมใสทางนี้จนเป็นอจลศรัทธานี้ ยากแสนยาก ความเชื่อของเราเหมือนแม่เหล็กชั่วคราว พอหลุดจากสนามแม่เหล็ก มันก็สะปัดสะเป๋ไปอีกแล้ว กิเลสเอาเราไปเป็นขี้ข้าอีกตามเคย แล้วเราก็ว่าเรากำลังปฏิบัติอยู่ มันถึงได้แย่อย่างนี้การฟังก็เหมือนกัน มีสุภาพสตรีท่านหนึ่งกลุ้มอกกลุ้มใจไม่เป็นอันทำอะไรคอยแต่ตามเฝ้าสามี เพราะค้นพบว่าสามีไปหลงนักร้อง จนแอบไปอยู่กินด้วยกัน ดิฉันก็เรียนเธอว่า ถ้าทำอย่างนั้นลูกก็จะเสียทั้งพ่อทั้งแม่ เธอมีลูกเล็ก ๆ 2 คน กำลังเรียนหนังสือ คนเล็กเพิ่งอยู่ประถม 2 แทนที่จะคอยตามตะครุบสามีกลับมาหรือไปราวีเขา อยู่กับลูกทำให้ลูกอบอุ่นใจ ทำให้ลูกรู้สึกว่ามีเราก็เหมือนมีทั้งแม่ทั้งพ่อเธอปรึกษาว่าเพื่อนจะพาไปหาหมอเสน่ห์ เขาจะทำให้สามีกลับคืนมาได้ ดิฉันก็ท้วงว่า เสน่ห์อยู่ที่ตัวเราต่างหาก ถ้าเราทำตัวให้ดี บุญกุศลเกื้อหนุนเหตุมีว่าสามีเป็นของของเราถึงจะถูกลมพัดไป ประเดี๋ยวเขาก็ปลิวกลับมาเอง แต่ถ้าเหตุมีว่าอย่างไร ๆ ก็ถูกหมาคาบเอาไปกินก็ต้องให้หมาคาบเอาไปกิน อย่าไปฝืนมันเลย แต่ว่าเราควรทำบ้านให้น่าอยู่ ไม่ใช่ว่าพอเขาเซกลับมา เราก็บ่น ๆ ๆ แล้วก็ตั้งตัวเป็นศาลพิพากษาซ้ำซากอยู่เรื่อย ๆ ถ้าแบบนี้รับรองเขายิ่งไปลับแน่ดิฉันก็ว่าตัวเองพูดชัดเจนดี เสร็จแล้วอาทิตย์ถัดมาเธอก็เขียนจดหมายมาว่าเธอกลับไปแล้วก็ทำตามที่คุณหมอแนะนำให้ เพื่อนก็พาไปหาหมอเสน่ห์แล้ว ก็ต่อ ๆ ๆ ไป ดิฉันก็เลยนึก อ้อ... อย่างนี้นี่เอง ถ้าอยู่ ๆ เดินไปเจอคนเขาบอกว่า นี่คุณ คุณพูดอะไรเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ฉันเจอสานุศิษย์คุณ เขาบอกว่าคุณสอนเขาอย่างนี้...อย่างนี้แล้ว เขาก็ปรับไหมเราว่า คราวหน้าระวังเสียบ้างนะคุณ จะพูดอะไร ระวัง
เดี๋ยวนั้นดิฉันก็รู้ขึ้นมารู้ขึ้นมาในใจว่า ดิฉันพูดอะไรออกไป แต่คนฟังไม่รู้ว่าในใจของตนมีความยึดอยากในอะไร มีประสบการณ์อะไรแอบแฝงอยู่ มีกระจกหลอกบานไหนตั้งอยู่ เพราะฉะนั้นคำพูดที่ดิฉันพูดไปมันก็แปลคนละพจนานุกรมกัน ไม่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าเทศนา ทุกคนที่นั่งต่อหน้าท่านก็จะต้องบรรลุอรหันต์เหมือนกันหมดสิ
แต่ก่อนดิฉันก็โกรธถ้ามีใครมาปรับไหมเรื่องอะไร คุณฟังมาแล้วไม่แก้ตัวให้ฉัน อ้าว...ตกม้าตายไปกับเขาด้วย ตกลงหลุดเข้าแพร่งสมุทัยไปเป็นวรรคเป็นเวรเดี๋ยวนี้ได้คิดแล้ว โธ่เอ๋ย ขนาดพระพุทธเจ้าท่านสัพพัญญู พระปัญญาของท่านไม่รู้แค่ไหน แค่ไหน ดูเอาเถอะ ท่านทรงสั่งสอนแล้วคนบางคนยังไปตกอเวจีได้ แล้วนับประสาอะไรกับเราซึ่งไม่เท่าแม้ขี้เล็บนิ้วเท้าทาน จะไปหวังว่าที่เราพูดไป ซึ่งจริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่คำพูดของเรา เราเป็นเพียงสถานีวิทยุกระจายเสียง ที่เอาธรรมที่เราคิดว่าเราเข้าใจแล้วก็ได้ปฏิบัติจนรู้เห็น นำมาเป็นเครื่องอยู่อาศัยทำให้ใจของเรามีความสุขขึ้น จึงเอามาเผื่อแผ่เล่าสู่กันฟัง ทีนี้คนแต่ละคน ถ้าเผื่อเขาเป็นลูกหมี หนาวเขาก็ก่อไฟผิง ถ้าเป็นลูกปลาหนาวอย่างไรอย่างไรเขาก็ต้องอยู่แต่ในน้ำ ถ้าเป็นกบเขาก็จำศีลอยู่เงียบ ๆ เราจึงต้องรู้ก่อนว่า คนฟังเราเขาจริตนิสัยเดียวกับเราหรือเปล่า พูดภาษาเดียวกันหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นเราจะไปโกรธเขาก็ไม่ถูก หรือจะไปตัดพ้อต่อว่าเขาก็ไม่ได้
อะไรก็ตามที่เราทำไปแล้ว บอกแล้วไงคะว่าผิดเป็นครู จะได้ทำให้เรารอบคอบขึ้น เมื่อผิดพลาดขึ้น ก็ทำให้เรารู้ว่า เจ้าเอ๋ยที่เจ้านึกว่าเจ้าดีแล้วนั้นยังไม่ดีหรอก ที่เจ้านึกว่าเจ้าเก่งแล้วมันยังไม่เก่งจริง คือ ทุกครั้งที่เห็นข้อบกพร่องเป็นโอกาสทองของเรา เราจะได้แทนที่อวิชชาที่เราไม่เคยเห็นให้เป็นวิชชาเสีย ถ้ายึดอย่างนี้ไว้ โอกาสที่จะผ่านแพร่งสมุทัย เข้าไปสู่แพร่งมรรคก็ง่ายเข้า แต่ถ้าประสบการณ์ยังไม่ทำให้เราเชื่ออย่างนี้ เสร็จมัน คิดทีไรเราก็ว่า เราหมายตาถูกแต่ความจริงเสร็จทุกทีเลยการจะแก้ไขตัวเอง ให้เฝ้าดูมรรคหยาบของตัวมรรคหยาบก็สอนให้เรามองไปถึงใจของเราได้ มรรคหยาบคือกิจกรรมที่เราทำอยู่ในแต่ละเวลานาที
ถ้าใครไปตรงวงเวียนวัดพระศรีมหาธาตุ จะเห็นแพร่งไปรามอินทรา แพร่งที่ผ่านหน้าวัดพระศรีมหาธาตุไปลาดพร้าว แพร่งตรงมาเข้าวิภาวดีรังสิต ตัวเองจะพบว่า ถ้าไม่ตั้งสติให้ดี ๆ ทีไร จะมาแพร่งที่ผ่านวัดพระศรีมหาธาตุจากทางโรงพยาบาลภูมิพลเป็นไหลหลุดไปในแพร่งรามอินทราทุกทีเลย รู้ทั้งรู้นะคะเหมือนเมื่อเด็ก ๆ จะมีจุดอ่อนอยู่อันหนึ่งว่า 6 x 2 จะได้ 18 ทุกครั้งไปแล้วก็จะแค้นใจตัวเองทุกครั้ง เวลาที่หาสัมประสิทธิการขยายตัวตามเส้นตามพื้นที่ ตามบาศก์ ซึ่ง 1 x 2 x 3 จะเตือนตัวเองก่อนสอบว่า 6 x 2 ได้ 12 นะ ไม่ใช่ 6 x 2 ได้ 18 ก็จะเตือนตัวเองอย่างนี้ แต่เวลาอยู่ในห้องสอบทวนกี่ครั้ง ๆ ๆ 6x2 ก็จะได้ 18 แล้วก็ภูมิใจกับคำตอบของตัวเอง ตราบจนส่งข้อสอบกับครูแล้วก็เดินด้วยใจอันสบาย พ้นธรณีห้องสอบก็สะดุดว่าอีกแล้วไหมล่ะ 6x2 ได้ 18 เหมือนกันนี่ก็หลุดไปทางรามอินทรา แทนที่จะไปทางหน้าวัดพระศรีมหาธาตุพอเราคอยจดจ่ออย่างนี้ เราก็จะเห็นจุดอ่อนของตนได้ และถ้าสติยังไม่กระชับเพียงพอ ตรงจุดนี้เราก็จะพลาดไปทุกที แต่ตรงจุดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่จุดอ่อนเราก็ภูมิใจว่า เราทำสำเร็จแล้ว ก็ไปหลงว่า เราดีแล้ว แต่ไม่ไปจดจ้องตรงที่ยังเผลอพลาดอยู่เรื่องของใจก็ทำนองนี้แต่ยิ่งละเอียดไปกว่ามรรคหยาบ ท่านอาจารย์ว่าถ้าเรามองใจของเรายังไม่เห็นเท่าทัน คอยมองเหตุที่เราทำในชีวิตประจำวัน ท่านเรียกอันนั้นว่ามรรคหยาบ แล้วสิ่งนี้จะมีพยานให้เราได้เห็นตำตาจนเถียงไม่ได้ เพราะรถเราก็แล่นอยู่บนรามอินทรา จะบอกเขาว่าฉันไม่ได้เผลอได้อย่างไร เห็นอย่างนี้แล้วเราคอยจดจ่อสติเอาไว้
พอเราแก้มรรคหยาบได้ อีกหน่อยความละเอียดจะตามเข้ามาถึงเรื่องของใจ เมื่อไรที่ทำท่าจะพลาดไป มันจะสะดุดฉุกคิดได้ หรือบางทีจะคล้าย ๆ มีลางสังหรณ์ขึ้นมาว่า เดี๋ยวเถอะเดี๋ยวเราจะเป็นอย่างนี้ ให้ระมัดระวังไว้ แล้วเราจะตีตื้นขึ้นมาโดยลำดับ การที่เราจะพยายามผ่านทางสองแพร่งในชีวิตไปก็เป็นทำนองนี้ แต่อย่าไปลังเลว่าฉันผิดไม่ได้ ๆ ถ้าอย่างนั้นก็เหมือนเราอยู่บนบันไดเลื่อนในร้านสรรพสินค้าที่เลื่อนขึ้นเลื่อนลง แล้วเราก็ไปยืนอยู่เฉย ๆ ตรงบันไดที่เลื่อนลงอยู่ตลอดเวลา ดีไม่ดีมันงับเอาชายกระโปรงเราพันเข้าไปในบันได เราก็แย่ไปเลย
การไม่ทำอะไรเลยในชีวิตเรา จริง ๆ ไม่ใช่เป็นการปลดหนี้ ไม่ใช่เป็นการพาให้เราลุจุดหมายปลายทาง เพราะอะไรที่ยังเป็นความไม่รู้ในใจเรา ก็ยังคงเป็นความไม่รู้อยู่อย่างนั้น เราไม่ยอมเรียนรู้เรานั่งทับประสบการณ์ทั้งหลายอยู่เช่นนั้น มันเลยแช่อิ่มอยู่ตรงนั้นแล้วดีไม่ดี เวลาที่ผ่านไปทำให้จิตของเราด้านมากเข้า ๆ พอลุกขึ้นจะแก้ไขตัวเอง ความเกียจคร้านจนเคยตัวกลายเป็นอุปนิสัยแล้ว เลยทำให้เหมือนอย่างเวลาเราตกบันไดที่เลื่อนลงชายกระโปรงเข้าไปติดอยู่ในเครื่องหมุน เราก็เลยไม่รู้จะช่วยเอาตัวเองออกไปอย่างไรได้ ท่านจึงย้ำว่าเราต้องไตร่ตรองให้ดีที่สุดตามสติปัญญาความสามารถของเราขณะนั้นแล้วกระทำลงไป ถึงจะค้นพบภายหลังว่า มันผิดมันบกพร่อง เราก็ได้เรียนรู้และปรับปรุงสัมมาทิฏฐิของเรา
ครั้งแรกมันก็ยังเป็นสัมมาทิฏฐิที่ปนกับอวิชชาเยอะ ๆ จำเดิมเริ่มแรกเราเป็นอวิชชาทั้งหมด ต่อมาเอาน้ำใสเจือเข้าไปหน่อย น้ำสกปรกก็ค่อยใสขึ้นมานิดหนึ่งสัมมาทิฏฐิของเราแต่ละครั้ง ๆ ที่ปฏิบัติไป เมื่อย้อนกลับมาดู เราต้องได้เห็นที่บกพร่องแล้วก็ได้พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ อย่าไปท้อใจว่า อีกแล้ว เมื่อวันก่อนก็ว่าดี ทำไมสามวันต่อมาเกิดเห็นที่ผิดอีกแล้ว ถ้าคิดอย่างนี้เราจะปฏิบัติไม่ได้ เพราะเราไปยึดว่าถ้าอะไรรู้แล้วรู้นั้นต้องเป็นที่สุดเลย เราไม่ได้มีปัญญาแหลมคมอย่างพระพุทธเจ้าที่ท่านประทับบนบัลลังก์หญ้าคา อธิษฐานจิตว่าแม้เลือดจะเหือดแห้ง ถ้าเราเป็นอย่างนี้ เราก็เป็นพุทธภูมิ เราก็จะเป็นพระพุทธเจ้ากันทุก ๆ คน แต่นี่เราเป็นพุทธสาวก จึงต้องมีครูบาอาจารย์มาแนะสอนให้ ค่อย ๆ เรียนรู้จากความผิดแต่ละครั้งให้เห็นชัดเจนขึ้นในใจการฟังเฉย ๆ แล้วเรานึกว่าเราเข้าใจถ่องแท้แล้ว แต่จริง ๆ ฟังเสร็จเราก็ลืม แล้วเราก็เผลอทำอีก พอผิดไปแล้วจึงนึกได้ อย่างที่ตัวเองเคยคิดแก้ปัญหาจนกระทั่งมีความรู้สึกว่า มันไม่มีวันที่จะได้คำตอบหรอก แล้วถ้าใครมาบอกคำตอบ มันจะต้องเป็นเรื่องที่... เราคิดไม่ถึง ครั้นท่านอาจารย์พูดออกมาคำหนึ่ง เราเห็นคำตอบ ปัดโธ่เราก็รู้ แต่ทำไมคิดไม่ได้ตอนนั้น เพราะอะไร เพราะมันเป็นแต่เพียงสัญญา พอมีเหตุการณ์จริง ๆ เกิดขึ้น สติของเรายังไม่ตั้งมั่นเพียงพอ สัญญาก็เป็นเพียงเสือกระดาษ รู้ทั้งรู้เราก็ลืม มีปัญญาท่วมหัวก็เอาตัวไม่รอดอะไรที่เราทำไปเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในช่วงวิกฤตย่อมมาจากความเคยชินซึ่งคือกิเลสของเรา เราก็ตกไปในแพร่งสมุทัย พอผู้รู้มาแนะสอนอย่างนี้ โรคนี้ให้ยาอย่างนี้เรารู้ทั้งนั้นเลย แต่พอวันแรกที่เราไปตรวจคนไข้ เราไม่แน่ใจว่าที่เราตรวจปางตายมานี้ มันโรคอะไรกันแน่ มันหอบ เพราะว่าเป็นหืด หรือ หอบเพราะเป็นโรคหัวใจกันแน่ เราไม่มีความแน่ใจในความรู้ของเรา มันก็เลยละล้าละลังทำอะไรไม่ถูก แต่ถ้ามีใครมาบอกเราว่า นี่มันหอบหืด คราวนี้เราเก่งเลย เป็นหมอที่สามารถเลยเพราะเราจำขึ้นใจได้ว่าเราจะรักษาอย่างไร นี่ก็เหมือนกันเริ่มแรกชีวิตเราก็เป็นอย่างนี้ ถ้าเรายอมให้ผิดครั้งที่หนึ่งเป็นครู แล้วเอาความผิดนั้นกลับมาย่อย กลับมาวิจัยวิจารณ์ดูเก็บรายละเอียดมาเปรียบเทียบกับคราวต่อไป เราก็จะค่อย ๆ เห็น แล้วในที่สุดก็จะหลีกแพร่งของสมุทัยได้มากขึ้น ๆ ๆชีวิตของเราอยู่บนทางสองแพร่งทุก ๆ ขณะจิต เพราะเราไม่รู้ว่าใจของเราจะมีความคิดอะไรเกิดขึ้นเวลาไหน พอมีความคิดเกิดขึ้นแล้ว มันเป็นทางสองแพร่งทุกครั้ง เพราะคิดขึ้นมา ก็คิดทั้งเป็นมรรค คิดชอบ ทั้งเป็นสมุหทัย คิดไม่ชอบเพราะฉะนั้นเราอย่าไปสงสัยว่าทางสองแพร่งนี้อยู่ใกล้ไกลกี่มากน้อย กี่ก้าวถึงจะไปเจอ มันมีอยู่ทุกกระพริบตาทุกชั่วขณะจิตเลย ถ้าเรานึกไว้ได้อย่างนี้ โอกาสที่จะก้าวหน้าไป โอกาสที่จะเรียนรู้ แล้วทำให้ใจของเรารู้เห็นเพิ่มขึ้น ๆ ๆ ก็มีมากขึ้นเมื่อรู้เห็นเพิ่มขึ้น ๆ ความตั้งมั่น ฐานของใจก็จะมีมาก ที่เราเคยวูบวาบ เจอดีก็ดีใจ ไม่ดีก็ฟุบเฉาเลย ใจก็ค่อย ๆ มีกำลังขึ้น ดีก็ อือม์...กลับมาเป็นปกติ ที่จะฟุบลงไปเฮ้อ... มันก็เท่านั้นเอง ถ้ามัวแต่ฟุบ เราก็ยิ่งแก้ปัญหาช้า เราก็ยิ่งไปช้า ก็มีกำลังที่จะลุกขึ้นมาทำอีกหน่อยจะดีหรือไม่ ดีใจก็สม่ำเสมอถ้าเราได้ตรงนี้แล้วก็แสดงให้เห็นว่า การปฏิบัติของเราเริ่มคุ้มครองตัวของตัวได้แล้ว เพราะเรามีฐานของใจโลกธรรมไม่หวั่นไหวใจเราแล้ว โอกาสที่สติจะกระชับกับใจไม่เลื่อนไหลไปก็มากขึ้น มากขึ้น ก็ทำให้เราเห็นเท่าทันแพร่งแต่ละแพร่ง ๆ ๆ ที่ปรากฏขึ้นในใจ อะไรก็ชัดเจนขึ้น ๆ เราว่าจะเข้าประตูนี้นะว่าจะเลี้ยวแยกนี้นะ ทำไมถึงไถลเลยไปถึงแยกโน้น เรื่องทำนองนี้จะน้อยลง ๆ ว่าจะทำอะไร ก็เป็นอันนั้น เพราะว่าพอมันรู้ มันก็เห็นเป็นขึ้นในใจ ไม่ใช่ว่าคิด มันรู้ พอฝึกไป ๆ เราจะค่อย ๆ เห็นทันอาการที่มันกระพริบเป็นทางสองแพร่งขึ้นมาในใจ ทำให้เราคอยจอจ่อระมัดระวัง แล้วก็เลือกสรรได้ถูกต้อง ใจของเราก็จะพบความสงบ เป็นปัจจุบันขณะได้มากขึ้น ไม่ไปตามเสียดายอาลับหงุดหงิดผิดหวังกับสิ่งที่ผ่านไปเมื่อเราไม่ต้องไปเป็นนักโทษของอดีตแล้ว ที่จะไปหวังกับอนาคตก็ลดลง ที่คนเราไปหวังในอนาคตก็เพราะความเสียดายอดีต เพราะฉะนั้นเราจะต้องทำอนาคตให้ดีชดเชยไงคะ มันก็เลยเสียหมดเลย จับปลาสองมือ ลื่นหลุดหมด ถ้าเราไม่ไปเสียดายกับอดีตแล้ว อนาคตจะเป็นอย่างไร เราก็พอเลี้ยงตัวรอดหรอก เมื่อเป็นอย่างนี้ใจก็มาอยู่กับปัจจุบัน พอรู้อยู่กับปัจจุบันใจก็มาอยู่กับความเป็นจริง เมื่ออยู่กับความเป็นจริง ทุกอย่างก็เป็นสาระ เป็นมรรค
สิ่งที่เราคุยกันวันนี้คงพอจะเป็นกำลังใจ ให้เวลาที่เราชักทำท่าว่าจะเมาเมื่อไปเจอทางแพร่งเข้า อย่าตกใจ ให้กิเลสมันหรอกเอา จริง ๆ แล้วเรารู้ว่าเราจะไปแพร่งไหน แล้วเราก็จะปฏิบัติของเรา ใครปฏิบัติได้มากเท่าไร ชั่วโมงบินมากเท่าไรความมั่นใจก็เกิดมากเท่านั้น ก็ขอฝากไว้เป็นกำลังใจค่ะ
พิมพ์โดย ปภัสสร มีพงษ์
แหล่งที่มา http://www.dharma-gateway.com/ubasika/amara/amara-preach-index-page.htm
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น