เลี้ยงลูกให้เป็นคนดี
ชื่อผู้เขียน พญ อมรา มลิลา
วันที่ วันที่ 11 กรกฏาคม 2545
ณ ณ ห้องประชุมบัญชา ลําชํา โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท
หมวด
อันดับที่
ก่อนจะพูดกันถึงการเลี้ยงลูกให้เป็นคนดี ให้เรามานิยามกันก่อนว่าคนดีนั้นเราต้องการให้ดีอย่างไร
บางครั้งเราก็ว่า คนดีคือคนที่ผู้ใหญ่บอกอะไรแล้ว ต้องเชื่อฟังทั้งหมด อย่างนั้นก็ไม่ถูก หรือคนดีคือ คนที่ทำอะไรผิดไม่ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ดิฉันขอนิยามว่า คนดีคือคนที่รับฟังเหตุผล แม้ จะเป็นเรืองที่ตัวเองไม่เคยคาดคิดมาก่อน สามารถ ปรับใจให้รับความเป็นจริงและปรับตัวเข้ากับสถานการณ์คับขันได้ ปฏิกริยาทีตอบสนองออกมา เป็น สิ่งที่ทุกคนที่เกี่ยวข้องยอมรับ ทำให้สถานการณ์ คลีคลายไปด้วยดีการจะเลี้ยงเด็ก ...เลี้ยงลูก ให้เป็นอย่างนี้ได้ตัวเราเองต้องเคร่งครัด ปฏิบัติตัวให้เที่ยงตรงตามคําทีพร่ำสอน ...ที่ตั้งความหวังไว้ ให้เด็กเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ดิฉันย้อนนึกไปถึงเรื่องของตัวเอง และพบว่า อะไรๆ หลายอย่างที่เราได้มาเป็นอุปนิสัย โดยไม่รู้ ว่าพ่อแม่อบรมมา ก็เพราะสิงใดที่ท่านบอกให้ลูกทำ ท่านจะทําด้วย เป็นต้นว่า ถึงเวลา 2 ทุ่มเราต้อง แปรงฟัน และหลังจากแปรงฟันแล้วจะกินอะไรอีก ไม่ได้ จนกว่าจะรุ่งเช้า เวลาที่ญาติผู้ใหญ่จากต่าง จังหวัดมาเยี่ยมและพักอยู่ด้วย พากันกินของที่เรา ชอบหลัง 2 ทุ่มไปแล้ว คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่เคยไป ร่วมวงกินด้วย แต่ถ้าวันไหนท่านเชิญแขกมารับประทานข้าว เย็น ท่านก็จะบอกให้ทราบเหมือนขออนุญาตเราว่า วันนี้เรากินข้าวกันเองนะ ถึง 2 ทุ่มก็แปรงฟันตาม ปกติ แต่พ่อกับแม่จะต้องกินพร้อมแขก จริยวัตร เหล่านี่ทำให้เรายอมรับกฎระเบียบต่างๆ ได้โดยไม่ กังขาว่า ทำไมผู้ใหญ่ทำผิดกฎได้ แต่เราทําไม่ได้ ไม่เหมือนทํานองที่มีคำเปรียบเปรยว่า ถ้า เด็กกินข้าวอร่อย เติมข้าวเป็นจานที่ 2 ที่ 3 จะ
ถูกตำหนิว่า ตะกละจริง พ่อแม่ไม่อบรมกิริยามารยาท แต่พอผู้เฒ่าเติมจานที่ 2 ที่ 3 บ้าง กลับชื่นชมว่า ดีเหลือเกิน เจริญอาหาร จะได้อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ให้ลูกหลานไปนานๆ
การกระทำ คำพูดทำนองนี้ เป็นอันตรายต่อ การอบรมเด็ก เพราะเหมือนกับเรามีหลายมาตรฐาน สรุปลงได้ว่า จงทำอย่างที่ฉันบอก แต่อย่าทำอย่าง ที่ฉันทำ หรือผู้ใหญ่ทำได้ แต่เด็กห้ามทำ เด็กก็จะ คอยว่า เมื่อไร โตแค่ไหน ...ฉันถึงจะเป็นผู้ใหญ่ แล้วสามารถทําสิ่งที่ถูกห้ามได้เสียที ตรงนี้ ถ้าพ่อ แม่คอยระมัดระวังไว้ว่า สิ่งใดที่เราตั้งเป็นกฎกับเด็ก แล้ว ต้องไม่มีข้อยกเว้น ถ้าจะมีข้อยกเว้น ก็ต้องมี เหตุผลที่ชัดเจนมาอธิบาย ไม่ใช่ "...เด็กยังทำไม่ได้ แต่ผู้ใหญ่ทำได้
จิตใจคนเรา ถ้าไม่มีกรอบบังคับ เป็นต้นว่า น้ำ ไม่ใส่ในภาชนะในแก้ว ก็ไม่สามารถให้ประโยชน์ ได้เต็มที่ เรามีน้ำสะอาดสำหรับดื่ม เราแบ่งปันให้ เพื่อนๆ แต่แทนที่จะรินใส่แก้ว เรากลับรินลงไปบน โต๊ะน้ำก็ขังนองอยู่บนโต๊ะ เมื่อเพื่อนหิวน้ำก็คงไม่มีใครจะยอมก้มลงไปเลียน้ําที่นองอยู่บนโต๊ะกินแต่ ถ้าใส่ไว้ในแก้ว ใครๆ ย่อมเอามาดื่มกินได้ จิตใจก็ทำนองเดียวกัน แม้โดยอุปนิสัยจะเป็น จิตใจที่ดี แต่ไม่มีกรอบ ไม่มีวินัย ไม่รู้กาลเทศะ ความควรไม่ควรจะทําสิงใดก็ไม่เกิดคุณค่าเท่าที่ควร
ใจของเด็กสมัยนี้จะเปราะ ไม่หนักเอาเบาสู้คือ ถ้าถูกขัดใจ ถูกดุ หรือถูกออกคําสั่งให้แก้สิ่งที่ ตนทำผิด ก็จะรับไม่ได้ มีปฏิกริยาต่อต้านอย่างที่ เรียกว่าสติแตกไปเลย ขณะที่สมัยเมื่อเรายังเด็ก เรา ก็เคยโวยวายประท้วงพ่อแม่ แต่ไม่ว่าจะโวยวาย จะ ร้องห่มร้องไห้อย่างไรๆ คำสั่งของพ่อแม่ก็ยังคงเป็น คำสั่ง ปากก็ประท้วงไป แต่เรื่องที่จะต้องทำก็ยังคง ทำต่อไป ที่จะเป็นทองไม่รู้ร้อนแล้วไม่ทำ อย่างพฤติกรรมดังต่อไปนี้นั้น ไม่เคยปรากฏเรื่องมีอยู่ว่า เพื่อนไปหยิบสมุดการบ้านของ หลานมาดู ก็เห็นการบ้านของหลานผิด แล้ว เขียนสังด้วยตัวสีแดงให้แก้การบ้าน สองวัน ต่อมา หลานก็ยังไม่แก้ ครูเขียนด้วยตัวโตขึ้นมาอีกหน่อยหนึ่ง หลานก็ยังไม่ทำอะไร อีกวันต่อมา ครูเลย
เขียนด้วยตัวแดงเต็มหน้ากระดาษว่า ให้แก้การบ้านเพื่อนเห็นเข้าก็ตกใจ เพราะสมัยเราถ้าทำ อย่างนี้ ต้องเป็นเรื่องตรีทูตแน่ สิ่งที่หลานทำนั้นเป็น การทำร้ายตัวเอง ไม่รับผิดชอบในหน้าที่ เพื่อนจึง เรียกหลานมาถามว่า ลูกก็มีเวลาสําหรับทําการบ้าน เพราะทีบ้านมีกฎว่า เด็กต้องทําการบ้านให้เรียบร้อย ก่อนจึงจะไปเล่นหรือดูโทรทัศน์ได้ แล้วนี่ครูเขียน มาตั้ง 3 วันแล้ว ทำไมไม่ทำเสีย หลานตอบหน้าตาเฉยว่า น้าไดโนเสาร์แล้ว ล่ะ สมัยนี้ ครูบังคับเราไม่ได้ เรายังไม่อยากแก้การ บ้าน เราก็ไม่แก้ เพื่อนประท้วงว่า ถ้าไม่แก้การบ้านที่ทำไว้ ผิดๆ แล้วเราจะมีความรู้ได้อย่างไร เดี่ยวสอบตกนะ หลานตอบอย่างผ่าเผยว่า เดียวนี่ไม่มีการ สอบตกแล้ว อรรถาธิบายให้ฟังต่อว่า รุ่นพี่สอนไว้ ว่า ถ้าถูกสอบซ่อม มีด้วยกัน 3 คน เราไม่ชอบ ครูคนนี สามคนก็ตกลงกันว่า เวลาครูตามหาเพื่อจะ นัดวันสอบซ่อม ก็ให้เล่นซ่อนหากับครู ให้ครูต้อง เหนือยหาเป็นจ้าละหวัน พอนัดกับคนหนึ่งได้ อีก สองคนก็โวยวายว่า ไม่ว่างวันนั้น เอาจนครูแทบจะ ต้องมาอ้อนวอน ขอร้อง หรือถ้าครูทําตัวให้น่ารัก ทั้งสามคนจึงจะยอมให้ครูนัดวันสอบซ่อมได้ครูจะได้รู้ตัวเสียบ้างว่าพ่อแม่เราเป็นคนจ่ายเงินเดือนครูคนทุกคนต่างก็มีความเก่งความสามารถด้วย กันทั้งนั้น แต่ทิศทางที่ความเก่งความสามารถของ เราขับเคลื่อนไปนั้น เป็นปัญญาเห็นผิด หรือปัญญา เห็นชอบ ยิ่งเก่งด้วยปัญญาเห็นผิด มันก็ยิ่งพา เจ้าของกระเซอะกระเชิงหลงป่าจนหาทางกลับไม่ เด็กเหล่านี้เป็นเด็กเก่ง แต่เอาความเก่งไปใช้ ในทางที่ผิด แทนที่จะคิดว่า เราขวนขวายเรียน หนังสือให้รู้เรื่อง ที่เรียนเต็มที่ก็จะเป็นประโยชน์กับ ตัวของตัวในภายภาคหน้า กลับเห็นผิดไปว่ารู้เพียง แค่นี้ก็พอแล้ว ถ้าครูจะมาเดี่ยวเข็ญบังคับให้ ขวนขวายรู้มากขึ้น ก็เป็นหน้าที่ของครูที่จะต้องพูด ให้เขารักเอ็นดูครูจนเกิดความอยากรู้อยากเรียนเพื่อ ให้ครูชื่นใจ เลยทําให้ตัวเองลิดรอนประโยชน์ของ ตน โดยไม่รู้ว่าตัวรู้เท่าไม่ถึงการณ์มีตัวอย่าง เด็กนักเรียนแพทย์ปี 2 ซึ่งปกติเป็น เด็กเรียนดี คะแนนเป็นที่ 1ที่ 2 ของชั้นมาตลอด 3 คะแนนปรากฏเป็นศูนย์ อาจารย์ตกใจ มาก ไปค้นดูกระดาษสอบ ก็พบว่า กระดาษชื่อเขา เป็นกระดาษเปล่า ไม่มีคำตอบเลย จึงเรียกตัวมาพบ เพื่อซักถามว่าทำไมจึงส่งกระดาษเปล่า คำตอบที ได้รับคือ ผมตั้งใจจะให้ตก อาจารย์ก็ซักไซ้ไต่ถามจนได้ความว่า เพื่อนที่อยู่กลุ่มเดียวกับเขา เมื่อสอบปี 1 ขึ้นปี 2 ได้ พ่อของเพื่อนให้รางวัลโดยซื้อรถยนต์ให้ เด็กคนนี่ก็ อยากมีรถขับมาโรงเรียนบ้าง เขารู้ว่าพ่อมีฐานะดีพอ จะซื้อรถให้เขาได้ แต่พ่อเป็นคนมีเหตุผล อธิบายกับลูกว่าเงิน ทองเป็นของไม่เที่ยง มีได้ก็หมดไปได้ ถ้าพ่อมีอัน เป็นอะไรไป หรือมีเรื่องที่ไม่คาดคิด เป็นต้นว่าฐานะ ของเราเกิดชวดเซไป แล้วลูกเองก็ยังไม่มีอาชีพ ถ้ามีรถใช้ จะเอาสตางค์ที่ไหนมาเติมน้ํามัน มาบำรุงรักษา บ้านเราก็ไม่ได้เดินทางลำบาก ขึ้นรถเมล์ทอดเดียวก็ไปถึงโรงเรียนแพทย์แล้ว ลูกต้องหัดหนักเอาเบาสู้ ชีวิตจะได้แกร่ง ต่อไปลูกจะได้รักษา ครอบครัวให้เจริญงอกงาม ลูกก็เลยโกรธว่า พ่อมาขัดใจ ทำร้ายน้ำใจ เขา เพราะเพื่อนมีรถขี่ ส่วนเขายังต้องโหนรถเมล์เขาสังเกตว่า เวลาเขาสอบได้คะแนนดี พ่อจะเอาไป คุยกับเพื่อนฝูงเวลาเล่นกอลฟ์หรือพบปะสังสรรค์กัน ทําให้พ่อได้หน้าได้ตา เพราะฉะนั้น เขาให้เหตุผลกับอาจารย์ว่า ที่ส่งกระดาษเปล่าครั้งนี้ ด้วยเจตนาจะให้ตก เพราะ เขาจะสังสอนให้พ่อได้สำนึกว่า การที่บังอาจมาขัดใจเขา พ่อก็จะต้องเสียใจ เสียหน้า อย่างนี่นะ แล้วจะได้กลับใจ ประพฤติตัวให้ดีขึ้น คือ สมัยนี่เป็นสมัย ของลูกบังเกิดเกล้า ปรากฏว่า อาจารย์ท่านนันซึ่งเป็นเพื่อนดิฉันก็เห็นวิปริตไปว่า จะต้องประคบประหงมลูกศิษย์ให้ มีกำลังใจจัดให้มาสอบใหม่ เกลี่ยกล่อมให้เปลี่ยน ความคิดเสียดิฉันบอกเธอก็บ้าพอๆกับเด็กสมัยนี้ เห็นว่าการคิดแบบนี้เป็นมิจฉาทิฐิ ถ้าดิฉันเป็นเพื่อนก็จะเรียกเด็กคนนี้มาชี้แจงให้ฟังว่า การที่เธอเรียนดี
นั้นเป็นผลดีกับตัวเธอเอง ถ้าฐานะของเธอพลิกผัน ขึ้นมา หรือพ่อเธอเกิดตายกะทันหัน แล้วเธอไม่มี สตางค์จะเรียนหมอต่อ เธอก็อาจจะทำเรื่องขอทุนถ้าประวัติการเรียนของเธอดีอยู่เสมอต้นเสมอปลายอย่างน้อยที่สุดเธอก็จะได้รับการพิจารณา โอกาสได้ทุน เมื่อเธอทำอย่างนี้ ไม่มีใครเขาเสี่ยง ให้ทุนเธอหรอก ถึงเธอจะเก่งยังไงก็ตาม เขาก็ไม่ อยากจะลงทุนกับคนที่เดี่ยวดีเดี่ยวร้ายดิฉันถามเพื่อนว่า สมมุติเธอประคบประหงม จนกระทั่งลูกศิษย์คนนี้จบออกไปด้วยดี เขาเลือก เป็นหมอผ่าตัดกำลังผ่าตัดคนไข้ เกิดไม่ถูกใจคนไข้ ขึ้นมา ผ่าทิ้งเอาไว้แล้วบอกว่ายังไม่เย็บปิด อาทิตย์หน้าค่อยมาเย็บปิด แล้วอย่างนี้จะเป็นความรับผิด ชอบของใคร ตลอดชีวิตที่นายคนนี้ไปทำงานเป็น หมอจะทำอะไรแผลงๆ อย่างนี้อีกเท่าไร เพื่อนดิฉันก็มองติฉันเป็นทำนองเธอคิดอะไรได้ประหลาด ถึงอย่างนี้หรือดิฉันบอก ไม่ประหลาดนะ ความคิดของดิฉัน เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ เพราะเพียงแค่เป็นนักเรียนแพทย์ ยังคิดอะไรประหลาดอย่างนี้ได้ จะสั่งสอนพ่อให้รู้สำนึก จิตใจคนเราเป็นของแปลก ถ้าอยากได้อะไร ก็ได้ไป ทุกที ใจนั้นก็ไม่มีความพอ แล้วก็ไม่ใช่ว่าจะมีความ มั่นใจ ตรงกันข้าม กลับจะเกิดความไม่แน่ใจว่า เอ๊ะ... แล้วแค่ไหนเราถึงจะเจอะเจอกรอบ หรือเจอะ เจอกับสิ่งที่สอนให้เรารู้ว่าเราจะต้องหยุด จะต้องทำ อย่างไรการอบรมเด็กนั้น เราสอนให้เขารู้จักคิด ไม่ใช่ ว่าออกคําสั่งหมดทุกอย่าง แต่การให้รู้คิดนั้น ก็ ต้องมีกรอบว่า คิดแค่ไหน อย่างไร ที่มีคุณภาพ แค่ไหนจะล่วงล้ำสิทธิคนอื่นหรือผิดทาง เราจะต้อง ชี้แนะให้เขารู้ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นอย่างเด็กสมัย นี้ที่อะไรนิดอะไรหน่อยก็ทนไม่ได้ หรือมีคนเล่าให้ ลูกอยู่ชั้นอนุบาล ชั้นประถม ต้องไปพบ จิตแพทย์แล้ว เพราะมีปัญหาสมัยเราจบปริญญาตรีแล้ว เรายังไม่รู้จักว่า จิตแพทย์เป็นอย่างไร เราก็มีความสุขของเรา อาจ
จะบ้าบวมไปบ้างแต่เราก็ยังปรับตัวของเรากลับมาได้ ดิฉันนึกไปถึงตอนที่ตัวเองไปเรียนต่อที่เมืองนอก เราก็ว่าตัวเราเป็นเด็กดี มีความรับผิดชอบ ขยันขันแข็ง ตั้งอกตั้งใจ แต่ถูกอาจารย์ทีปรึกษาเคี่ยว ประหนึ่งว่าเราเป็นคนแย่มากๆ พอประท้วงเข้าอาจารย์ก็อธิบายให้ฟังว่า หน้าที่ของอาจารย์ที่จะอบรมบ่มปั้นลูกศิษย์นั้น ถ้าลูกศิษย์มีศักยภาพที่จะทําแค่นี้ ก็ต้องพยายามเคี่ยวให้ทำเพิ่มขึ้นไปจากนั้นอีกหน่อย คือจะต้องเคี่ยวต้องทุบเอาคุณภาพออก มาให้มากที่สุดที่จะมากได้ อาจารย์ถามดิฉันว่า เคยเห็นช่างทำขนมปังไหม เวลานวดแป้งน่ะ เขาจะต้องนวดแล้วนวดอีก แล้วเอามาตีบนกระดานเพื่อให้แป้งเนื้อเนียนที่สุดเพื่อขนมปังจะได้ออกมาฟูนุ่ม อบรมลูกศิษย์หรือลูกก็คือ จะต้องตีกัน ไม่ใช่เอามือ ไปตี หมายความถึงจะต้องพยายามเคี่ยวเอาศักยภาพที่ดีออกมาให้มากที่สุด เอาให้เข้าเนื้อเข้ากระดูก ตอนนั้นดิฉันนึกในใจ โอ้โฮ หฤโหด
แต่พอต่อมา ต่อมา ที่ดิฉันเจอประสบการณ์ หลายๆ อย่าง แล้วนึกถึงวิธีที่อาจารย์ทุบถอง ทำเหมือนใจร้ายกับเรามา ก็เพื่อให้เราผ่านวิกฤตเหล่านี้ โดยที่ท่านเองก็คอยประคับประคองเราโดยที่ไม่ให้เรา รู้ตัวเราก็เลยได้หลักว่า อ๋อ จริงๆ แล้ว พ่อแม่ที่รัก ลูก ท่านจะทำเหมือนกับว่าไม่เคยเห็นคุณงามความ ดีของลูก ไม่เคยชมลูก แต่ขณะเดียวกัน ใครอย่ามา ตำหนิลูกฉันนะ ข้ามศพฉันไปก่อน คือต้องการให้ ลูกพยายามเอาความดีของตัวออกมาให้มากที่สุดที่ จะมากได้ เข้ากับภาษิตโบราณที่ว่า รักวัวให้ผูก ลูกให้ตีทีนี้ ก็มาถึงยุคทีจิตแพทย์บอกว่า ไม่ได้ ไม่ได้ การตีลูกเป็นการทำร้ายจิตใจอย่างมาก เพราะฉะนันต้องตามใจลูกก็เป็นยุคสมัยของพ่อแม่ที่ดุว่าหรือตี ลูกไม่ได้ เมือพ่อแม่ตามใจ ให้เสรีภาพที่ไม่มีการ สอนให้รู้ว่า การมีเสรีภาพที่ไม่มีความรับผิดชอบเป็น อันตรายอย่างยิง เสรีภาพกับความรับผิดชอบจะ ต้องคู่ขนานกันไปเสมอทีนี้ ทำอย่างไรเราจึงจะให้เสรีภาพแก่ลูก โดย ที่เขามีความรับผิดชอบพร้อมไปด้วยอย่างบริบูรณ์ เราก็ต้องเป็นอย่างช่างนวดแป้งขนมปัง คือจะต้อง นวดอย่างชำนาญจนแป้งคลุกเคล้าเนียนเข้ากันเป็น เนื้อเดียว คือเราจะต้องทั้งทำให้ดูเป็นตัวอย่าง และ คอยเป็นกำลังใจให้ลูกลองปฏิบัติเอง ถ้ามีการล่วงล้ำกำเกินก็ต้องลงโทษ ระบบลงโทษแบบนี้มิใช่ลงโทษ เพราะโกรธ เพราะเกิดอารมณ์ แต่เราจะลงโทษโดย ให้เขาเข้าใจถึงเหตุผล เหมือนสมัยหนึ่ง มีครูใหญ่โรงเรียนชายอยู่ โรงเรียนหนึ่งที่เด็กนักเรียนกล่าวหาว่า ครูท่านนี้เหี้ยมเหลือเกิน สมัยนั้นโรงเรียนชายมีไม้บรรทัด อาญาสิทธิ์ ถ้าเด็กทําผิดก็จะต้องถูกเมียน ครูใหญ่ ท่านนี้เป็นคนมือหนัก เมียนทีไรปรากฏว่าเนื้อเด็กแตกเลือดซิบๆ ทุกครั้ง เด็กพวกนี้ก็คิดเอาว่า ครูใหญ่ ถือว่าตัวมีแรง เป็นผู้ใหญ่ ก็ดีแต่จะเมียน เด็ก นักเรียนเลยพากันแกล้งครูใหญ่ ถ้าครูบอกให้ทำอะไรก็จะดือไม่ทำตาม ถือว่ามีแรงเมียนได้เฆี่ยนไปวันหนึ่ง มีคนไปเล่าให้ครูใหญ่ฟังว่า ที่เด็ก พวกนี้ดื้อ แล้วมีปฏิกริยาต่อต้านมาก เพราะเข้าใจผิดคิดว่าครูใหญ่ตั้งใจตีให้นักเรียนบาดเจ็บบอบช้ำครูใหญ่ก็เสียใจ เพราะใจจริงนั้น รักและปรารถนาดี ต่อลูกศิษย์ จะทำอย่างไร จะให้เลิกตี ครูก็ทำไม่ได้เพราะถ้าเด็กไม่มีวินัยไม่ถูกลงโทษ ก็สอนกันไม่ได้ ในที่สุดครูก็คิดอุบายออก ครูก็เอาไม้บรรทัดอาญาสิทธิ์มา ห่อห่อทีละชั้น ทีละชั่น ไว้สัก 5 ชั้น พอลูกศิษย์ทำผิด เรียกมาสอบสวนว่าผิดหรือเปล่า ให้อธิบาย เด็ก เองก็ยอมรับว่าผิด ตัวครูก็อธิบายเหตุผล จนกระทัง เด็กเข้าใจ รู้เรื่องกันแล้ว ก็ตกลงกันว่าจะให้ตีไหม ก็ตกลงว่าให้ตี จะตีที่ไหน ที่มือ ที่น่อง ที่ตรงไหน ตามแต่จะตกลงกัน ครูก็มาค่อยๆ แก้กระดาษที่ห่อออกทีละชั้น ละชั้นพอแก้นี่ใจก็เย็นลง เพราะฉะนั้น เวลาตีก็ ไม่หนักอย่างแต่ก่อน ลูกศิษย์ก็ประหลาดใจ ครูจะตี แล้วทําไมต้องเอาไม้บรรทัดมาห่อกระดาษ ก็ถามครู ว่าครูไปห่อมันทำไม ครูก็อธิบายว่าครูเองนี่รักลูกศิษย์ทุกคนอย่างลูก อยากให้ได้ดี ทีนี้ ได้ยินกิตติศัพท์มาว่า พวกลูกศิษย์ไปเข้าใจเอาว่าทีครูตีนี้ ด้วยความโกรธแค้น ตั้งใจจะตีให้เด็กเดือดร้อน ครู ก็เสียใจ เลยคิดหาวิธีที่ทําอย่างไรเด็กจะเข้าใจถึง เจตนาของครู ที่รักอยากอบรมให้ศิษย์ได้ดี ก็เลย คิดว่า ถ้าห่อกระดาษไว้อย่างนี่ถึง 5 ชั้น กว่าจะแกะได้ใจคงเย็นลงแล้ว ตีไปคงไม่ถึงกับจะทำให้เนื้อแตก แต่จะไม่ตีเลย เด็กสัญญาว่าคราวหน้าจะไม่ทําอีกแล้วก็ลืมแต่ถ้าเจ็บเสียหน่อย พอจะลืม สติจะ มาเตือนเมื่อเด็กๆ เข้าใจถึงเจตนาของครูใหญ่อย่างนี้ก็เสียใจ หลังจากนั้นก็ไม่ดือ เป็นชันเรียนที่ดี ตังอก ตั้งใจเรียน เป็นที่ชื่นใจของครู เรื่องนี้ก็เป็นตัวอย่างให้เราเห็นว่า บางครั้งการสื่อความหมายกับลูกเราก็ดี หรือเด็กที่เราดูแล ถึงจะเป็นคนไทยด้วยกัน พูดภาษาไทยก็ตาม บางครั้งก็ไม่เข้าใจกันทำอย่างไรเราจะทำให้เขาเข้าใจถึงเจตนาที่เรารักและหวังดี เขาจะได้เข้าใจ อย่าไปคิดว่าเด็กอายุเท่านั้นเท่านี้ถึงจะฟังเหตุผลได้
เอาไว้ คือทำบรรยากาศให้จิตใจที่จะสื่อถึงลูกเป็น ความเบิกบาน เป็นความร่มเย็น มีงานวิจัยออกมาว่า ขณะที่แม่ท้อง ถ้าให้ สนใจศึกษาหรือทําอะไร เป็นต้นว่า เรื่องดนตรีหรือ เรืองเครื่องยนต์กลไก พอลูกคลอดออกมา เอาลูกเหล่านี้ไปทดสอบกับลูกทั่วไปที่แม่ไม่ได้ทําสิ่งเหล่านี้ มา พบว่า เมื่อได้รับการฝึกสอนในเรื่องนั้น ในเด็ก ที่ได้เอาแม่มาทำสิ่งเหล่านี้อยู่ตลอดเวลาที่ท้อง มีนัย สำคัญทางสถิติว่าความรู้เหล่านี้ถ่ายทอดไปถึงลูกจริงๆ เพราะฉะนั้น พอรู้ตัวเองว่าท้อง เราก็ควร จะพยายามปลูกฝังเหตุผล สิ่งดีงามกับลูกเรา แล้วปลูกฝังตังแต่ตอนนั้นเลย ไม่ต้องคอยให้คลอดออกมาแล้ว โดยเฉพาะตั้งแต่แรกคลอดไปถึงประมาณ 18 ดือนแรก มีข้อมูลว่า สัมผัสที่เด็กได้รับ หรือความ อบอุ่น ความมันใจ มีผลกับชีวิตทั้งชีวิตของเด็ก ใน เด็กทีมีปัญหาครอบครัว ถ้าในช่วง 18 เดือนแรก หลังคลอด ได้รับความอบอุ่น ไม่จำเป็นจะต้องเป็น แม่จริงใครก็ตามที่ดูแล ทําให้เด็กรู้สึกอบอุ่น มันใจเทียบกับเด็กที่เผชิญแต่ความไม่แน่นอน เจอแต่สิ่งที่ประเดี่ยวอารมณ์ดี อารมณ์ร้าย อะไรอย่างนี้ ต่อไป เมื่อมีปัญหาในชีวิต เด็กที่มีความอบอุ่นมั่นคง จะสามารถแก้ไขปัญหาชีวิตไปในทางที่ดี เมื่อมี ครอบครัว โอกาสที่จะเป็นครอบครัวที่อบอุ่นก็มีมาก กว่า
พวกเราที่เป็นเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลที่มีส่วน แนะนำผู้หญิงที่กําลังจะเป็นแม่ ก็บอกว่า ในช่วง 2 ขวบแรก ถ้าเป็นไปได้ ให้แม่พยายามสร้างความ สงบสุขราบรื่นในครอบครัว ให้เด็กรู้สึกอบอุ่น มี ทั้งพ่อทั้งแม่ ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ก็ค่อยๆ อธิบาย ให้ลูกฟัง ให้รับรู้รับทราบ เป็นไปไม่ได้ที่พ่อแม่จะ ไม่ขัดแย้งกันเลย ไม่ทะเลาะกันเลย ให้ลูกเห็นว่า การที่เรามีความเห็นไม่ตรงกัน เราสามารถทะเลาะ กันได้ ขัดแย้งกันได้ แต่ก็ฟังเหตุผลกันถ้าพ่อแม่มีปัญหา ก็ไม่ควรเอาลูกไปเป็นพรรค พวก ว่าจะเป็นข้างพ่อหรือข้างแม่ ลูกก็เป็นลูก เราสอนลูกว่า พ่อก็เป็นพ่อของลูก แม่ก็เป็นแม่ของลูก ระหว่างสามีภรรยาทะเลาะกันมีปัญหากันนั่นก็เป็นเรื่องของสามีภรรยา แต่เรื่องของลูก ลูกยังมีทั้งพ่อทั้งแม่ คนละสัดคนละส่วนกันพยายามให้ลูกเข้าใจตรงนี้ ถึงพ่อแม่จะไม่พูดกัน หน้าที่ที่เป็นพ่อเป็นแม่ยังเป็นอยู่อย่างสมบูรณ์ ต่อลูกไม่เกียวข้องกระทบกระเทือนต่อลูก สามีภรรยาจะทะเลาะกันก็เรืองของเขา เราเป็นลูก ไม่ ต้องไปกระทบกระเทือนด้วย ถ้าหากเราทำบทบาท ของทั้งพ่อทั้งแม่ที่มีต่อลูกให้ชัดเจน จนลูกเองเข้าใจได้ ดิฉันคิดว่าปัญหาครอบครัวที่แตกร้าวก็จะไม่ไป บาดเจ็บเกิดแผลเป็นกับจิตใจเด็กอย่างที่เราเจอะเจอ กันอันนี้เป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง ทน พูดถงการทเดกจะสรางนสยหรอบุคลกภาพ ประการแรก ผู้ใหญ่จะต้องมีความสม่าเสมอ อะไรที่เราอบรมเขาแล้วเราต้องทําให้สม่าเสมอ ไม่ใช่ว่า วันนี่อารมณ์ดี เราก็ ไม่เป็นไร ถึงทําผิดก็ช่างมันเถิด แต่พอพรุ่งนี้ เขาทำผิดอย่างที่ทำเมื่อวาน ปรากฏว่าอารมณ์เราไม่ดี ก็โวยวายลงโทษเขาอย่างมากมาย ถ้าไม่เสมอต้นเสมอปลายอย่างนี่ การจะปลูกฝังลูกให้มีนิสัยดีมีความเสมอต้นเสมอปลายก็ยากการจะสอนอะไรนั้น อย่าไปเพ่งเล็งสอนแต่ เฉพาะด้วยปาก เราเองจะต้องเอาตัวเราทำอย่างนั้น ด้วย ไม่ว่าจะอยู่ในสายตาลูกหรือไม่อยู่ในสายตาลูก คือเรียกว่าทำจนกระทั่งเป็นอุปนิสัยของเรา ถ้าท่า อย่างนี้ได้ การอบรมจึงจะได้ผล แล้วไม่ต้องใช้ปาก พูดมากก็ได้ผลมีคุณแม่ท่านหนึ่ง มีลูกสาว 2 คน ตอนที่ลูกคนโตจะเข้ามหาวิทยาลัย ลูกคนเล็กอยู่ ม.4 ก็ขออนุญาตแม่ไปลองสอบเทียบพร้อมพี่สาว ถ้าสอบไม่ได้ก็จะได้เป็นประสบการณ์เอาไว้ บังเอิญลูกคน เล็กสอบเทียบก็สอบติดด้วยก็เลยไหนๆ ลูกก็สอบติดมั้งคู่คุณแม่ก็เลยมีลูกเข้ามหาวิทยาลัยพร้อมกันกิจกรรมของน้องใหม่ในมหาวิทยาลัยก็มีหลากหลาย เดี่ยวลูกก็มาขอเงินพิเศษ คุณแม่กระเบียด กระเสียนจนไม่มีทางจะประหยัดมัธยัสถ์มากไปกว่านี้ได้แล้ว บางครั้งก็ยังเนรมิตเงินมาให้ทันความต้องการของลูกไม่ได้ คุณแม่เองก็ไม่รู้ว่าจะไปหา รายได้เพิ่มจากที่ไหนอีกแล้ว แต่ก็นึกถึงตอนตัวเอง
ทํานี้ที่จะต้องมีเงินพิเศษไปใช้ ก็ เห็นใจลูก ในที่สุดก็นึกได้ บางทีเราไปไหนมาไหนก็ขึ้นแท็กซี่เป็นประจำ แต่นี่ต่อไป เราอย่าขึ้นแท็กซี่เลย ถ้าเป็นไปได้ก็ขึ้นรถเมล์แอร์ เอาสตางค์ที่จะเสียค่าแท็กซี่ใส่กระป๋องเอาไว้ ถือเป็นรายได้เพิ่มเมื่อลูกมาขอสตางค์ใช้พิเศษ แม่ก็บอก ไปดูที่กระป๋องสิ ถ้ามีก็เอาไปเงินไปซื้อ แม่สังเกตว่า คราวหนึ่งลูกมาขอเงินไปซื้อ เสื้อใหม่ เพราะพี่ๆ มีงานที่ลูกจะต้องไป ก็ต้องใส่ เสื้อใหม่ แต่ไม่เห็นลูกซื้อสักที ก็ถามลูกว่า เงินใน กระป๋องมีไม่พอหรือ ลูกก็ตอบว่า มีพอ แต่มาคิดทบทวนดูแล้วที่บอกว่าอยากได้เสื้อใหม่ บางทียัง ไม่อยากจริงๆ ก็ได้ เลยไปคิดดูว่า ถ้ายังไม่ซื่อวันนี้ คืนนี้ก็ไม่ฝันว่าอยากได้เสื้อใหม่แปลว่ ที่อยากนี้ คงเป็นกิเลสเพราะฉะนั้นก็ไม่ซื้อ คุณแม่รู้สึกลูกเราเป็นผู้ใหญ่ขึ้น คุณแม่ก็ ขืนใจต่อมาแอบได้ยินลูกๆ คุยกับเพื่อนว่าใครจะ
ไปใช้ลง แม่น่ะเคยขึ้นแท็กซี่ ก็ไปลําบากขึ้นรถเมล์ ถ้าเกิดตกรถเมล์แล้วรถเมล์ทับแม่เป็นอะไรไปนะ เราจะเป็นบาปสักแค่ไหน เพราะฉะนั้น มาคิดดูแล้ว เราก็พุ่มเฟือยเกินไปคุณแม่เลยเห็นว่า ที่เมื่อก่อนอบรมบ่มปัน ปากจะฉีกถึงหู กลับไม่ได้เรื่อง แต่พอทำให้ลูกเห็นว่า เรารักเขาเสียสละทุกอย่างเพื่อเขา จึงเห็นผล และปรากฏว่าลูกสองคนจบมหาวิทยาลัยพร้อมกับ เปลี่ยนนิสัยมาเป็นทีชื่นชอบใจของคุณแม่ เพราะฉะนั้น หลายๆ อย่างที่เราทำไปแล้ว แต่ลูกยังดื้อยัง รั้นกับเราก็ไม่ใช่ว่าเขาเจตนาจะดื้อจะรันหรอก แต่ เพราะเขารู้สึกว่า ขอเล่นหน่อย ทำให้แม่หงุดหงิด เสียนิดหนึ่ง เป็นการเติมรสชาติให้ชีวิตมีลูกหลายคนเล่าให้ฟังว่าชอบดูเวลาแม่โมโห คล้ายๆ กับสนุกดี ตกลงคุณแม่ก็เป็นเหยือคุณลูก โดยไม่รู้ตัว จริงๆเขาก็ไปทำตามที่แม่บอก แต่ขอ แหย่สักหน่อย ทำให้แม่โมโห ..แหม มีความสุขจัง เราก็ต้องดูด้วย อย่าให้เราเครียดดุปากเปียกปากแฉะ จนกระทั่งเขามีความรู้สึกว่าพูดกันคนละภาษา ไม่รู้เรื่องตราบเท่าที่เราให้เวลากับเขา เอาใจใส่ พร่ำ สอนเขามาตั้งแต่เด็ก อะไรที่เห็นว่าไม่ถูก ให้เหตุผล กับเขา เขาจะเข้าใจหรือยังไม่เข้าใจ ให้อธิบายไป เรื่อยๆ แต่ไม่ใช่อธิบายเหมือนสอนนักเรียน เรา พูดไปตามเหตุผล แล้วเขาจะรู้เองช่วงหนึ่ง น้องสะใภัดิฉันจะต้องไปประชุมที่ ต่างประเทศ 2 อาทิตย์ เธอก็เอาลูกมาฝากไว้ ตอน นั้นหลานอายุขวบกว่าๆ ประมาณขวบครึ่ง เช้าขึ้น มา เราจะเอาเขาแปรงฟัน ก็หาแปรงไม่เจอ ซักไซ้ ไต่ถามว่า แปรงสีฟันของลูกอยู่ที่ไหนล่ะ พอดีเมื่อ เย็นวานคุณแม่ดิฉันขึ้นรถไฟไปวัดท่านอาจารย์ เขาตอบว่าคุณย่าเอาแปรงลูกไปดิฉันก็เงียบ คือการที่ใครจะเอาแปรงสีฟันคน อื่นไปใช้นั้น เป็นสิ่งที่ไม่มีใครในโลกนี้ทำกันหรอก แต่ก็ยังไม่รู้จะอธิบายกับหลานว่าอย่างไร พอหาแปรงไม่พบเขาบอกทันทีว่าคุณย่าเอาแปรงของเขา ไป เราจะไปดุเขาก็ยังไม่มีพยานหักล้าง จะบอกเขาว่าไม่มีหรอกที่คุณย่าจะเอาแปรงเธอไปก็ยังไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ดิฉันก็ไปหาแปรงอันใหม่มา ให้เขา ก็แปรงฟันกันเสร็จไปกินข้าวเช้าเรียบร้อย เขาก็ไปรื้อกระจาดของ เล่น พอหยิบตุ๊กตาออกมา ก็ปรากฏว่า เมื่อวาน เขาเอาแปรงสีฟันไปเล่นสีฟันตุ๊กตา แล้วติดค้างอยู่ ในกระจาด ทีนี้ เรากำลังดูเขารื้อของเล่นของเขาก็คงนึกขึ้นได้ เขา เงยหน้าขึ้นมา ก็เจอตาดิฉันที่กำลังมองอยู่กับแปรง สีฟัน เรายังไม่ทันถาม เขาก็อธิบายว่า ลูกหาไม่เจอ ก็คิดว่า คุณย่าเอาไป ก็คุณย่าหายไป แปรงสีฟัน หายไป
หนึ่งบวกหนึ่งก็ไปด้วยกันได้พอดี เขาก็คิด ถูกของเขาว่า คุณย่าเอาไปดิฉันเลยอธิบายว่า ลูกจำเวลาป้าถาม ถ้าลูกคิดว่าลูกต้องบอกคิดว่าแต่ถ้าลูกแน่ใจลูกถึงจะ บอกคุณย่าเอาไป ลูกแยกได้หรือเปล่าต่อจากนั้น เวลาที่เขาพูดอะไรที่เรารู้สึกว่ามัน พิกล เราก็จะย้ากับเขาว่า ลูกคิดว่า หรือลูกแน่ใจ เขาจะนิ่งคิดแล้วก็จะรู้ว่าเขาคิดว่าหรือเขาแน่ใจ ทำให้เขาอ่านความรู้สึกของเขาได้ ต่อมาถ้าเขาไม่แน่ใจ เขาจะบอกเขาคิดว่า ถ้าแน่ใจเขาจะยืนยัน แล้วมีเหตุผลอธิบายว่าอย่างนั้นๆๆ พอไปโรงเรียนอนุบาล คุณครูประทับใจเขา มาก ถามว่าเราอบรมเด็กอย่างไรเขาจึงสามารถ แยกแยะได้ว่า เขาคิดว่าหรือเขาแน่ใจ แล้วสิ่งที่พูด นี่จะถูกทุกครั้ง เพราะเขาถูกเราซ้อมเสียจนกระทั่ง เขารู้ว่าเขาพลาดไม่ได้ ตรงนี้ช่วยให้ดิฉันรู้ว่า เราอย่าไปคิดว่าเด็กไม่มีเหตุผล หรือเด็กนี่ยังเล็กเกินไป อธิบายกันไม่รู้เรื่อง ดิฉันจะอธิบายกับหลานไปเรื่อย เหมือนเขาเป็นผู้ใหญ่ รู้ก็รู้ ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร คือเราไม่ไปหวังผล แต่เราพูดไปเรื่อย หลายๆ เรื่องที่พูดไป หลานจะมาทวนให้ฟังเราสอนเขาไว้ตั้งแต่เขายังเด็กๆ เมื่อนั้นเมื่อนี้ เราก็เลยรู้ว่า เด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่ย่อส่วน เขาก็เป็นตัว ของเขา แต่เพียงแค่ว่า บางครั้ง ประสบการณ์ที่เขา จะเข้าใจคำที่เราพูดอาจยังไม่ชัดเจน ถ้าเราอดทน กับเขา ปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นผู้ใหญ่เท่าๆ กับเรา เขาพูดอะไร อย่าเพิ่งดุเขา หรืออย่าไปบอกว่า พูด อย่างนี้ไม่ได้ ต้องพูดอย่างนั้น ให้พยายามเข้าใจว่าที่เขาสื่อความหมายกับเรา เขาสื่ออะไร เราจะได้ ความเข้าใจออกมา อีกประการหนึ่ง เวลาที่ลูกเรายังเด็กอยู่ เราจะเอ็นดูทำอะไรไม่น่ารัก เราก็ว่าน่ารัก เช่นตัวอย่าง ต่อไปนี้ วันหนึ่งคุณปู่คุณย่า พ่อแม่ และลูกชาย อายุ 2 ขวบนังอยู่ด้วยกัน ปรากฏว่าพ่อกับลูกเอา เกมทีเป็นตารางสี่เหลี่ยมมีตัวงูทอดจากกลางกระดาน ไปที่จุดตั้งต้น ผู้เล่นจะทอดลูกเต๋า แล้วเดินหมากไป ตามตารางสี่เหลี่ยม ถ้าบังเอิญหมากไปหยุดตรง ตารางที่เป็นปากงู ก็ถูกงูกลืนตกลงมาอยู่ที่ศูนย์ใหม่ ทีนี้เล่นไป เล่นไป ก็ปรากฏว่าหมากของลูก ชายไปตกทีปากงูพอดี เขาก็เลือนหมากตามตัวงูลง มา พบว่ามาอยู่ที่ศูนย์ ส่วนหมากของพ่ออยู่ไกล ค่อนไปด้านบน เขามองแล้วก็เลือนหมากจากหางงู กลับขึ้นไปไว้ที่ปากงู แล้วก็คงคิดอะไรไปด้วย มือก็เลือนหมากขึ้นๆ ลงๆ อยู่ 3 ครั้ง ในที่สุดก็ตัดสินใจเอาหมากวางไว้ตรงปากงู ทุกคนโวยวายขึ้นว่าอ้าว ...ก็เกมบอกว่า ถ้าหมากไปหยุดที่ปากงูจะต้อง ตกไปที่หางงูไงเด็กประท้วงว่า ก็ไม่เห็นหรือ ลูกเลื่อนลงไป แล้ว งูมันขย้อนขึ้นมาทุกทีเลย แสดงว่าเขาคิด ไม่ ใช่ไม่คิด จะโกงก็จริง แต่มีเหตุผลว่า เขาไม่ได้ทํา อะไรเลย เขาเอาหมากลงไปแล้วตามกติกา แต่งู ขย้อนขึ้นมาทุกที แล้วจะไปบีบบังคับให้งูกลืนลงไป ได้อย่างไร คุณปู่คุณย่าชื่นชมมาก หลานฉันฉลาดจริงๆ เด็กก็ชื่นใจ
เขาจะจำไว้ว่า การทําอย่างนี้ทําให้ผู้ใหญ่ รัก ทําให้ผู้ใหญ่ชื่นชม เขาก็จะทําอย่างนี้ไปเรื่อยๆ แต่เมื่อโตขึ้นถึงระดับหนึ่ง คุณปู่คุณย่ากลับ บอกว่า ตายจริง ทำไมหลานเราถึงเป็นคนฉลาด แกมโกงอย่างนี้ น่าอาย เขาก็ปรับตัวไม่ได้ และไม่ รู้ว่าเขาทำผิดตรงไหน ตอนแรกเขาก็ไม่รู้ว่าที่ทำไปถูกหรือผิดเราลองนำเสนอดู ก็ปรากฏว่า ผลเป็นที่ถูกตลาดมาก แล้ววันหนึ่ง เขาก็ทําอย่างเดิม กลับกลายเป็นว่า โดนตําหนิเสียสะบักสะบอม ตรงนี้แหละที่เราจะต้อง ระมัดระวัง มองไปไกลๆแล้วต้องแก้ไขตั้งแต่แรก ก่อนจะสร้างนิสัยผิดๆ ให้เด็กถ้าอยู่กับญาติผู้ใหญ่
ด้วยก็ต้องระมัดระวัง เหมือนคุณแม่ท่านหนึ่ง ช่วงที่มีประชุมต่าง จังหวัดต่อเนื่องกัน ก็จําเป็นต้องไปติดอยู่ต่างจังหวัด นาน ก็เอาลูกเล็กๆ ไปฝากคุณย่าไว้ ปรากฏว่า พอ ไปรับลูกกลับมา ลูกสะดุดหกล้ม คุณแม่ดูแล้วก็ว่า ไม่เจ็บไม่ใช่หรือลูก ลุกขึ้นมาเถอะ ลูกโกรธมาก ทุบตีกระดานเป็นพัลวัน แล้วก็ดุแม่ว่าอีคุณแม่จร้าย คุณแม่ก็งงไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้น ช่วงที่ไปอยู่กับคุณย่านี พอหลานหกล้มปุ๊บคุณย่าจะมาอุ้มหลานขึ้น แล้วตีกระดานสำทับว่า กระดานทำร้ายหลานฉันได้อย่างไร คุณหลานก็ติดนิสัยนี้ พอล้มก็คิดว่าคุณแม่ต้องทําอย่างนี้ คุณแม่ ก็ไม่เข้าใจ กลับบอกว่า ลูกจำถ้าลูกเดินดีๆ ลูกก็จะ ไม่หกล้ม ลูกต้องดูเวลาเดินนี่ ถ้ากระดานไม่เสมอ กัน ลูกต้องระวัง ปรากฏว่าลูกไม่ฟังเสียแล้ว ไปหมุนโทรศัพท์ ถึงคุณย่า คุณย่ามารับลูกไปอยู่กับคุณย่าเดี่ยวนี้ ไม่ อยู่แล้วกับอีคุณแม่ใจร้าย คุณย่าก็ถามเรืองอะไรหรือ ลูกหกล้มแทนที่คุณแม่จะตีกระดานให้อย่างคุณย่าทำตัวเองอย่างไร บางครั้ง วิธีอบรมที่มาจากคนละขั้ว เราก็ ต้องใจเย็น คิดหาแยบคายอุบาย ในกรณีนี้ ก็ต้อง ถามลูกเราก่อนว่า จะให้แม่ทำอย่างไรหรือลูก ถ้าลูก ทุบกระดานให้ดู แล้วก็ด่ากระดานให้ฟัง ก็ลองทําดู แล้วใช้สติปัญญาของเรา ถามลูกว่า แล้วลูกหายเจ็บ ไหม ต่อไปถ้าลูกไปล้มกลางถนน เราจะต้องไปตี ถนนอย่างนั้นหรือ คือหาเรื่องถามไปเรื่อยๆ หรือมีนิทานอะไรเราก็ว่าไปจนในที่สุดก็ได้ใจลูกเรากลับมา แต่อย่า เพิ่งไปทะเลาะเบาะแว้ง ด้วยการบอกว่า วิธีที่คุณย่า
ทำนั้นใช้ไม่ได้ เพราะเขาชอบวิธีนั่น แล้วเชื่อว่า รัก กันต้องทำวิธีนั้น เราก็ต้องดูไปก่อน แล้วค่อยๆแก้ไขการจะทำอะไรที่จำเป็นต้องมีกรอบวินัย ควร เป็นกรอบถาวร ไม่ใช่กรอบเปลียนแปลงตามอายุขัยว่าอายุเท่านี้ตรงนี้ดี พอเกินอายุนี้กลายเป็นไม่ดีแล้ว ต้องเปลี่ยนวิธี ถ้าแบบนี้เด็กเกิดความสับสนเราอธิบายให้เด็กเข้าใจเลยว่า ถ้ามันผิด มันก็ผิดตั้งแต่ ตัวเล็กๆ เลย บางคนก็รู้สึกว่าลูกฉันยังเด็ก เพราะฉะนั้น ทุกคนมีอะไรจะต้องเอามาประเคนให้ลูกฉัน หมด เด็กก็โตขึ้นมาด้วยความคิดว่า เขาจะเป็นผู้รับ อย่างเดียว ให้คนอื่นไม่เป็น ถ้าจะต้องเอาอะไรให้ คนอนไปนี้ เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ถ้าฝึกให้เด็ก เห็นว่า การให้คนอึนได้ เป็นความสุข ความอิ่มใจ ฝึกตั้งแต่เล็กๆ อีกหน่อยเขาจะมีน้ำใจเอื้อเฟือเผือแผ่กับ เพื่อนๆคราวหนึ่ง ดิฉันไปพูดที่โรงเรียนอนุบาล ก็มี เด็กอนุบาลคนหนึ่งถามว่า คุณปู่ตายไป 2-3 ปีแล้ว ถึงวันครบรอบปี พ่อแม่ก็จะทําบุญให้คุณปู่ มาเมื่อเร็วๆ นี้ ยังไม่ถึงปี คุณย่าตายไปอีกคน ตอนนี้เป็น ตอนที่จะต้องทําบุญให้คุณปู่ พ่อกับแม่ก็บอกว่า ทํา คราวเดียวกันเลยก็แล้วกัน ก็นิมนต์พระเท่าเดิม เด็ก ก็ห่วงใยเพราะเธอรักปู่มาก แล้วอย่างนีคุณปู่ยังจะ ได้บุญเท่าเดิมหรือ คุณย่าไม่มาแย่งไปหมดหรือ ดิฉันจะอธิบายอย่างไรดีให้เด็กอนุบาลเข้าใจ ได้ มองไปมองมา ก็เห็นโต๊ะหมู่บูชา มีเทียนจุดอยู่ 2 เล่ม ดิฉันเลยถามว่า หนูก็มีเทียนเล่มหนึ่งครู
ก็มีเทียนเล่มหนึ่ง บังเอิญเทียนของครูถูกลมพัดดับ ไป ครูไปขอต่อเทียนหนูหน่อยได้ไหมคะ เด็กก็ พยักหน้า ดิฉันถามต่อว่า เมื่อครูต่อเทียนมาจากหนู แล้ว เทียนหนูสว่างน้อยไปครึ่งหนึ่งไหม เธอก็บอก ไม่ เทียนของเธอก็ยังสว่างเท่าเดิม เทียนครูก็สว่าง เล่มสว่างขึ้นไหม สว่างขึ้นเป็น ถ้า คนอื่นๆ มาต่อด้วยเป็น 10 แรง 100 แรงเทียน ก็ยิงสว่างใหญ่ ดิฉันก็อธิบายว่า การทําบุญให้คุณปู่คุณย่าก็เหมือนอย่างนี้ คุณปู่ก็ได้ คุณย่าก็ได้ ตัวเราผู้ทำให้ก็ได้บุญด้วย ก็สว่าง ใจปีติอิ่มเอิบยินดีไปด้วยกัน ทุกคน ต่างจากเรา มีส้มลูกหนึ่ง ถ้าคุณปูกินไปครึ่งลูก คุณย่าก็กินได้แค่ครึ่งลูก ก็เลยได้กันคนละ ครึ่งลูกแต่ถ้ามีส้ม 2 ลูก คุณปู่ 1 ลูก คุณย่าก็ได้ 1 ลูก บุญกับวัตถุไม่เหมือนกัน เธอก็เข้าใจ มี ความสบายใจมากว่าคุณปู่ก็จะได้บุญเท่าเดิม อาจจะ ได้มากขึ้นด้วยซ้ำ เพราะปีติยินดีว่าทําให้คุณย่าด้วย การจะอธิบายอะไรกับเด็กๆ เราจะต้องหาวิธี มาทำให้เห็น ให้เข้าใจ เมื่อเขาเห็นเขาเข้าใจเขา
โน้น อย่างนี้ อย่างนั้น ถ้าคิดอย่างนี้ว่า เราตั้งใจ เราอบรมเขาเต็มที แล้วผลจะเป็นอย่างไร นันเราไปกำหนดบังคับไม่ได้ เราประกอบได้แต่เหตุ เราปลูกต้นไม้ เราไปเลือก พันธุ์ที่ดี เราใส่ปุ๋ย เราพรวนดินให้ดี การเลี้ยงลูก ก็เหมือนกับการปลูกต้นไม้ เราได้แต่รอเวลาทีจะ เห็นดอกเห็นผลให้เป็นที่ถูกใจเรา แต่ต้นไม้เป็นผู้ ออกดอกออกผล เราออกดอกออกผลไม่ได้ เราได้ แต่เลือกเม็ดพันธุ์ เราหาปุ๋ยมาใส่ เรารดน้ำ เราทำ เหตุทุกอย่างๆ ที่เรียวแรงสติปัญญาเราพาทำได้ แต่ต้นไม้จะออกดอกเมื่อไร จะออกลูกเมื่อไร เรื่องลูกจะดีสมใจเราหรือไม่ เรื่องของเขาถ้าเขาทำก็สาธุถ้าเขาไม่ทำ ก็อย่าไปทวงบุญทวงคุณว่า แม่พ่อเหนือยจนหัวใจจะวายแล้ว อย่าเป็นอันขาด เราถือว่า เราทำเพราะเรามีความสุขจะทำ ถ้าคิดอย่างนี้ได้ อย่างนี้ได้ การดูแลลูกนี่ ทำนองเดียวกับผลไม้หล่นไม่ไกลต้นโดยมากรายไหนก็รายนั้น บางที่ทําเรื่อง เหมือนอย่างกับว่าจะคอขาดบาดตาย แต่พอพลิกมุมนิดเดียว เข้าใจกันแล้ว เรื่องก็จบด้วยดีทุกที่ ข้อสําคัญคือ เราต้องฟูมฟักรักถนอมเลี้ยงมา ด้วยน้ำใจด้วยน้ำมือของเราตั้งแต่รู้ว่ามีเขาอยู่ในท้อง จนคลอดออกมา อย่าไปคิดว่าเราไม่มีเวลา แล้วเอา เวลาไปทำอย่างอื่นเสีย เขาอยากได้อะไร เราก็ให้ วัตถุให้ ให้ ให้ แต่ไม่ให้เวลา ไม่ให้น้ำใจ ไม่ให้ ความสนิทสนมห่วงหาอาทร ที่จะเป็นเส้นใยถักทอ ให้ใจของเขาเกิดความมั่นใจในตัวเขา พากเพียรทำ สิ่งดีงามให้พ่อแม่ชื่นใจ ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ แม้จะมี วัตถุสิ่งของมากมายมหาศาลเพียงไร เขาก็ยังจะ เคว้งคว้าง ไขว่คว้าหาทาง แล้วคิดไปว่า เพื่อพิสูจน์ ว่ารักฉันจริง ฉันจะทำอะไรที่เหมือนระเบิดตกลงมา เธอก็ต้องแก้ไขให้ฉัน แล้วก็รับฉันได้ นั่นคือ เขา ต้องการพิสูจน์เรา เขาต้องการความมั่นใจ ถ้าเข้าใจตรงนี้ชัดเจน เราก็ยังยึดภาษิตที่ว่า รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี คือต้องมีกรอบมีวินัยไว้ รักษาตน แต่ไม่ใช่ตีด้วยอารมณ์ ตีด้วยเมตตาอยาก ให้ลูกเจริญงอกงาม พึ่งพาตัวเองได้ เหมือนที่คุณ ครูเอากระดาษห่อไม้บรรทัดอาญาสิทธิ์ 5 ชั้น คือเราหาวิธีเตือนความจําให้เขาไม่เผลอสติ ไม่ทําสิ่ง อกุศลจนติดเป็นนิสัยไม่ดี ถ้าเข้าใจตรงกันอย่างนี้แล้วไม่มีอะไรยากเกินกว่าจะแก้ไขกันได้หรอกไม่ทราบว่าท่านที่มีประสบการณ์ในเรื่องนี่ มีอะไรจะถามหรือไม่ ถ้าดิฉันรู้ ก็ยินดีตอบให้ทราบ มีใครจะถามอะไรไหม เชิญค่ะ
คำถาม ลูกเรานี่ เราได้อบรมเลี้ยงดูมาจริง แต่ เวลาที่เขาอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นโลกของวัตถุนิยมปัจจุบัน ก็ทำให้เขามีค่านิยมที่ ผิด เราก็ต้องมาเถียงมาทะเลาะกับลูกทุก วันเป็นต้นว่า เขาเป็นเด็กเรียนดีมาก ก็จะบอกเขาว่า ลูกสอบได้คะแนนดีเยี่ยม วิชาไหน หรือได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนไปแข่งอะไรแบบนี้ เราก็จะให้รางวัลเป็นกำลังใจ เขาจะเริมบ่นว่าทำไมแม่ต้อง มีข้อแม้กับเขา ที่เพื่อนเขาได้อันโน้น ได้
อันนี้ ไม่เห็นต้องทำอะไรเลย ตอนนี่อยาก ได้มือถือ อายุยังไม่เต็ม 10 ขวบเลย เขาบอกว่าเพื่อนมีกันแล้วโนเกียด้วย นี้เป็นอันที่หนึ่งอันที่สอง คือ สิ่งแวดล้อมรอบตัว เขา เอาตัวอย่างง่ายๆ อย่างเช่น เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมานี่เองเขาได้เป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งที่สนามกีฬาแห่งชาติแล้วก็แพ้เขาโกรธมากวิ่งมาจากสนามแข่งบอกว่าเด็กโรงเรียนที่เป็นคู่แข่งของเขาโกงแล้วกรรมการแกล้งนับให้ชนะไป
เขาบ่นว่า ปีหน้า ถ้าได้เป็นตัวแทน ไปแข่งอีก เขาจะไปแข่งเพื่อแก้แค้นโรงเรียนนี้ให้ได้ และจะโกงด้วย เขาสรุปว่าคนโกงจึงจะเป็นคนชนะการที่เราพร่ำสอนลูกให้เป็นคนดี คนดี คนดีเสมอมา เมื่อผลเป็นแบบนี้ออกมา เขาก็ไม่เชือและยังย้อนเราว่า ทําไมเป็นคนดีแล้วจึง เป็นคนแพ้
คำตอบ การแพ้กับการเป็นคนดีเป็นคนละประเด็น กัน ทุกวันนี้ โลกที่เป็นวัตถุนิยมมากๆ ก็ ทำให้คนไขว้เขวไปเข้าใจว่า ความดี หรือ การประพฤติถูก ต้องได้การรับรองด้วย การชนะ ได้วัตถุ ได้ ได้ ได้ ถ้าเป็นไปได้ ระหว่างนี้คุณควร หาเวลาที่จะทำให้เขาเข้าใจเรื่องของนามธรรม เรื่องของจิตใจบ้าง ให้เขารู้จัก ความสงบของใจ รู้จักการให้ เรามาเล่นเกมจําลองกัน ที่สอนให้รู้ว่า การแพ้ การ ชนะ เป็นสิ่งธรรมดาในโลกนี้ เหมือนเรามีไม้กระดกที่บ้าน มีอะไร ที่เป็นเครืองเล่นให้เขาเห็น อย่างทีเราเล่น ไม้กระดก ทีหนึ่งเราก็กระดกลงต่ำอีกทีหนึ่งเราก็กระดกขึ้นสูง ผลัดกันไป ถ้า เล่นโดยใครอยู่เป็นไม้กระดกสูงตลอดกาล อกคนกหมดสนุก เพราะเราตองผลดกน กระดกขึ้นกระดกลง เล่นเกมอะไรที่เป็น
หรือเราอธิบายให้เขาเห็นว่า ลูก ลองดูลมหายใจของลูก ลูกหายใจเข้า เข้า เข้า อย่างเดียว อะไรจะเกิดขึ้น ปอดแตก อธิบายให้เขาฟังว่า การที่เราหายใจ ก็ เพื่อรับออกซิเจนจากลมที่หายใจเข้าไปทำ ให้ร่างกายได้อากาศบริสุทธิ์ แล้วถ่ายเท เอาอากาศเสียคือคาร์บอนไดออกไซด์ทิ้ง ออกมาทางลมหายใจออก หรือกินข้าวก็เหมือนกัน กินเข้าไป แล้วก็ต้องถ่ายทิ้งออกมา คือ ค่อยๆ ให้เขาเห็นว่า ทุกอย่าง ในธรรมชาติจะต้องมีได้ มีเสีย การได้ การเสีย ไม่ใช่เป็นของที่ว่า ได้คือชนะ เสียคือแพ้ หรือได้คือเก่ง เสียคือไม่เก่ง ธรรมชาติจะอยู่เป็นปกติสุขได้จะต้องเป็น สมดุลระหว่างสิ่งเหล่านี้ การที่เราเสีย แล้วเราสามารถทำ ใจให้ผ่องใส ให้เป็นปกติอยู่ได้ เป็นสิ่ง ที่ประเสริฐสุด เราต้องค่อยๆ อบรมสิ่งเหล่านี้ให้เขาเข้าใจ ให้เขารู้จักเป็นสุขจาก การให้คนอื่นบ้าง การให้โรงเรียนนั้นได้ชัยชนะบ้าง เขาชื่นใจ เราก็พลอยชื่นใจไปกับเขาด้วย คือเราต้องดึงประเด็นนี่ขึ้นมา ให้เขาได้ สัมผัส บางครั้ง เด็กที่ไม่เคยให้อะไรใคร เลย แล้วเราให้เขาเอาของอันไหนซึ่งเป็น ของที่เขาชอบ หรือของที่เขารัก มาให้ คนอื่นทีขาดแคลน แล้วเขาเกิดความสุข อย่างเรื่องในหนังสือที่แจกวันนี้ ดิฉันเล่า ถึงประสบการณ์ตอนเรียนหนังสือ แล้ว เราเชิญเด็กกำพร้ามาเลี่ยงเด็กๆ ชื่นใจกันอย่างไร พาเขาทำอะไรทำนองนี้ ให้ เข้าใจถึงมิติของการที่ใจได้อาหาร คือมี อาการปีติขึ้นมา จนเขาค่อยๆ เข้าใจสิ่ง เหล่านี้ แล้วเห็นว่า การทำตามค่านิยม เห็นเรื่องวัตถุเป็นใหญ่ จริงๆ นั้นไม่มี ความหมายถ้าความรักความอบอุ่นใน ครอบครัวมีเพียงพอ
เด็กคนหนึ่งเล่าให้ดิฉันฟังถึงเมื่อเธอเป็นเด็กอยู่โรงเรียนสาธิต ที่สาธิตนี้เด็กๆ จะแข่งกันขนาดพ่อมีรถไปส่ง ก็ยังต้องเปรียบเทียบกัน ทํานองเธอมีรถก็จริงแต่รถเธอไม่ใช่รถเบนซ์ อะไรอย่างนี้ เด็กคนนี้ คุณพ่อเป็นอาจารย์ใน มหาวิทยาลัยนั้น มีบ้านพักอยู่ในบริเวณ มหาวิทยาลัย แล้วจะต้องนังรถยนต์ไป ทำไม ก็เดินไปส่งลูกทุกวัน เธอก็ถูกเพื่อน เยาะเย้ย จนแทบจะเป็นโรคจิตไปทำนอง ว่าพ่อเธอเป็นอาจารย์จริงหรือ ความที่เธอรักพ่อ แล้วความอบอุ่น ในครอบครัวมีสูงมาก เธอก็พยายามหาจุด อะไรที่จะเอาเรืองพ่อมาอวด ให้คนอื่น เห็นว่าพ่อพวกเธอไม่ได้เก่งเท่าพ่อฉันก็คุณพ่อของเธอได้ไปประชุมที่ เมืองนอก แล้วได้เป็นข่าวลงในหนังสือพิมพ์ และมีรูปลงด้วย เธอก็เอามาอวด เพื่อนๆ ว่า พ่อเธอมีรถเบนซ์ก็จริง แต่ถ้าเราไปโกงเขาแล้ว เราจะติดนิสัย คราว นี้เรากลายเป็นคนโกง แล้วต่อไปเราไป พบว่าการโกงเป็นของไม่ดี มันแก้ลําบาก เป็นการเบียดเบียนตัวเองโดยใช่เหตุเวลาของเราก็หมดลงแล้ว จึงขอยุติแต่เพียงเท่านี้
พิมพ์โดย ปภัสสร มีพงษ์
แหล่งที่มา http://web.krisdika.go.th/buddha/54_leangluk.pdf
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น