Header Ads

วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2561

บรรยายของหมออมรา หยุดก่อนชน

บรรยายของหมออมรา
หยุดก่อนชน

บรรยายโดย พญ.อมรา มลิลา
เมื่อ วันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2536
ห้องประชุม ตึกสูติกรรมชั้น2 ชมรมพุทธศาสน์ วังพญาไท โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
หมวด
อันดับที่          

ดิฉันยินดีที่มีโอกาสมาคุยกันในวันนี้ ประเด็นที่จะพูดก็เป็นเรื่องที่เจอะเจอในชีวิตประจำวันทั่วๆ ไป คนเราบางทีด้วยความไม่เข้าใจความหมายของกันและกัน หรือจับประเด็นไม่ตรงกัน จึงมักมีเรื่องกันขึ้น  เมื่อเรื่องจบ มีเวลากลับมาตรึกตรองแล้วก็เสียใจ ได้คิด ว่าถ้ารู้อย่างนี้ก็ไม่ทำอย่างที่ได้ทำไป  เลยทำให้อะไรๆ เสียหายไปโดยไม่จำเป็น ถ้าเราหยุดตัวเองเสียได้ก่อนชน ก่อนไปปะทะกัน อะไรๆ ก็จะดีขึ้น
ยกตัวอย่าง เราทำงานในโรงพยาบาลอย่างนี้ บางทีคนไข้ที่มา ก็ตั้งความหวังว่า มาถึงปุ๊ป ต้องมีเจ้าหน้าที่ให้บริการทันควัน เจ้าหน้าที่เองก็ว่าเราให้บริการรวดเร็ว ทันใจ ดีที่สุดแล้ว แต่ก็ยังไม่เป็นที่ถูกใจ ทันใจคนไข้  เกิดการตัดพ้อต่อว่ากัน ทำให้สงสัยว่า ..เอ.. ทำไมที่เราว่าเร็วแล้ว เขายังว่าไม่ทันใจอีกตัวดิฉันเองก็เคยประสบมา เช่น วันที่เราไม่ใช่เวรตรวจคนไข้นอก แล้วหมอเวรเกิดไม่สบาย คนไข้คอยมาตั้งแต่เช้า 8 โมงครึ่ง หมอที่จะตรวจก็ยังไม่มา 9 โมงก็ยังไม่มีหมอ9 โมงหัวหน้าสายจึงทราบว่า คุณหมอที่จะออกตรวจไม่สบาย กว่าจะจัดหาว่า จะให้ใครออกแทน ผลที่สุด ตกลงให้ดิฉันไปออกแทน ก็เป็นเวลา 9 โมงครึ่งกว่าแล้วดิฉันก็รีบออกไปทันที คนไข้ก็ไม่ทราบว่า ได้เกิดเหตุขลุกขลักอย่างไรกันบ้าง พอเราลงนั่งตรวจเขา เขาก็..อ๋อ..ไอ้หมอตัวนี้เอง ตัวแสบ ตั้งแต่ 8 โมงครึ่ง ไม่รู้ไปเถลไถลอยู่เสียที่ไหนตกลงความหงุดหงิดแค้นเคืองของเขาก็ระบายพุ่งใส่เรา คือเรียกว่าชนเต็มที่เลย ไม่ได้ถามไถ่ว่า ทำไมวันนี้จึงชักช้านักงานของเราเองก็มีอยู่เต็มมือ ถูกใช้ให้มาทำงานอันนี้ ใจก็ห่วงอยู่กับงานที่คอยอยู่ ปรากฏพอมาถึง โดนชนเอา..ชนเอา..ชนเอา ความตั้งใจที่ดีๆ ก็ระเหยไป เกิดอารมณ์ขึ้นมาว่า แล้วมันเรื่องอะไร เราถึงต้องมาตรวจด้วยล่ะ ไม่ตรวจมันเสียให้รู้แล้วรู้รอดไป กลับไปทำงานของเราเสียดีไหมความเข้าใจผิด ทำให้น้ำใจไมตรีต่อกันระเหยหายไปหมด  ทีนี้จะทำอย่างไร เวลาเจอะเจอเหตุการณ์อย่างนี้ อย่าใส่อารมณ์เข้าไปโดยไม่ทันสอบสวนให้ทราบสาเหตุที่แท้จริง หรือแม้ทราบสาเหตุแล้ว ถ้าเราอดทนอดกลั้นสำรวม เอาแต่เหตุผลมาพูดกัน อะไรๆ ก็จะดีขึ้น มิฉะนั้นก็จะเป็นอย่างกรณีที่เล่าให้ฟัง คือ คนไข้มัวเพ่งโทษว่าเราเป็นตัวผิด เราพูดอะไร แทนที่เขาจะเปิดใจรับฟัง กลับไปปักใจอยู่แต่ว่า อย่ามาแก้ตัว.. ฉันเสียเวลาไปตั้งเท่าไรแล้ว..หรืออีกกรณี สมัยที่ดิฉันเพิ่งจบ  เริ่มทำงานที่โรงพยาบาลเด็ก บริเวณตรงข้ามโรงพยาบาลสมัยนั้น ยังไม่มีร้านรวงอย่างสมัยนี้ แถบนั้นเป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัวประเภทหาเช้ากินค่ำ กล่าวคือ แต่ยังไม่ทันสว่าง ก็จัดของใส่หาบออกไปขาย กลับถึงบ้านเอาทุ่มสองทุ่ม วันทั้งวัน  พ่อแม่ไม่มีโอกาสเห็นหน้าลูก กว่าจะกลับจากขายของ อาบน้ำอาบท่า กินข้าวเสร็จ ก็ประมาณสามทุ่มกว่าแล้วครอบครัวที่กล่าวถึงก็เช่นกัน สามทุ่มกว่า แม่จึงเพิ่งรู้ว่า ลูกคนเล็กเป็นหวัดมา 3 วันแล้ว วันนี้ตัวร้อน น้ำมูกไหล  แม่ก็อุ้มลูก ข้ามถนนมาหาแพทย์เวร มาถึงโรงพยาบาล เด็กหลับสบายอยู่บนตักแม่ แพทย์เวรซักแม่ว่า เด็กเป็นอะไรหรือ แม่ตอบว่า เป็นหวัดมา 3 วันแล้ว คัดจมูก หายใจไม่ออกแพทย์เวรดูแล้วก็เห็นเด็กหลับดี หายใจสบาย จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ถ้าปลุกขึ้นมาตรวจ เด็กจะร้องแล้วไม่ยอมนอนทั้งคืน เขาก็ถามด้วยความหวังดีว่า บ้านคุณอยู่ถึงไหน แม่เด็กชี้มือไปฝั่งตรงข้าม พร้อมกับอธิบายว่า อยู่ซอยข้างวัดมะกอก แพทย์เวรแนะนำว่า พรุ่งนี้เช้า ค่อยพามาใหม่ก็แล้วกันเท่านั้นแหละ แม่เด็กก็นอตหลุด เพราะเช้าเขาต้องรีบเอาของออกไปขายแต่ตี 5 ไม่เข้าใจว่า ที่แพทย์เวรให้มาใหม่พรุ่งนี้ เพราะไม่อยากปลุกเด็กขึ้นมาตรวจ เขาไม่หยุดฟังอะไรทั้งนั้น ดับเครื่องชนเลย ยกมือเท้าสะเอว ประท้วง นี่..เห็นฉันเป็นอะไร ไอ้เงินเดือนที่หมอรับอยู่ทุกเดือนๆ น่ะ มาจากไหน ก็จากเงินภาษีของฉันนี่แหละ จะบอกให้รู้ไว้ ..จะตรวจลูกฉันหรือไม่ตรวจ..แพทย์เวรงง  นึกไม่ออกว่า พูดอะไรที่ไปท้าตีท้าต่อยกับแม่คนไข้เข้า ..พรุ่งนี้ฉันจะมาฟ้องผู้อำนวยการว่า แพทย์เวรไม่มีมนุษย์สัมพันธ์ แล้วยังเย่อหยิ่ง เห็นคนยากคนจนมา ก็ไม่ยอมตรวจให้..ผลที่สุด จึงสืบสาวราวเรื่องกันออกมาได้ว่า เขาอยู่ข้างวัดมะกอกก็จริง แต่เวลาเช้า เป็นเวลาที่เขาไม่สามารถเอาลูกมาตรวจได้ แล้วกว่าจะขายของเสร็จสรรพกลับถึงบ้าน ก็ตกเวลานี้แหละ เพราะฉะนั้น..หมอตรวจไปเถอะ  ถึงลูกร้องฉันก็จะจัดการเอง อย่ามากเรื่อง...ถ้าได้พูดกันรู้เรื่องอย่างนี้  เข้าใจกันเสียแต่ต้น มันก็ไม่มีเรื่องที่ดิฉันรู้เรื่องนี้อย่างละเอียด ก็เพราะพวกเราไปเที่ยวกัน แล้วซื้อขนมมาฝากเพื่อนที่อยู่เวร พอแวะเข้ามาก็พอดีได้เห็นเหตุการณ์โดยตลอดเช้าวันรุ่งขึ้น คุณแม่ขี้โมโหยังมีอารมณ์ค้าง ส่งญาติให้มาฟ้องผู้อำนวยการ  ผู้อำนวยการเรียกแพทย์เวรขึ้นไปสอบสวนเรื่องที่เกิดขึ้น  พวกเราก็ไปเป็นพยานยืนยันว่า  แพทย์เวรไม่ได้ท้าตีท้าต่อย  หรือรังเกียจรังงอนอะไรเลย  เต็มอกเต็มใจจะตรวจ แต่คิดตามประสาของเราว่า บ้านอยู่ฝั่งตรงข้ามนี่เอง  ทำไมจะต้องกวนเวลานอน ปลุกเด็กขึ้นมากลางค่ำกลางคืนอย่างนั้นในเมื่อเด็กก็หลับสบายอยู่แท้ๆ
เหตุการณ์นี้สอนดิฉันให้เห็นว่า เวลาที่คนเรานึกแต่เหตุผลของตนเอง  แล้วสรุปเอาว่า อีกฝ่ายต้องมาล่วงรู้ในจิตของเราด้วยนั้น  ก็ทำให้มีเรื่องที่ไม่ควรจะเป็นเรื่องขึ้นมาได้เมื่อย้อนนึกไป ส่วนใหญ่ในชีวิตของเรา ที่มีปัญหากันมาก..มาก..มาก แล้วเราก็สรุปว่า โอย..ทำไมถึงต้องเป็นเรานี่  เราจะพบว่า ที่เป็นเรื่องกันนั้น ความจริงไม่ใช่เรื่องหนักหนาสาหัส  ที่หลีกเลี่ยงไม่พ้น แต่เป็นเพราะใจไปยึดมั่นสำคัญผิดว่า สิ่งที่คิดไว้คือความเป็นจริง ครั้งเรื่องเกิดขึ้นแล้ว ผ่านพ้นไปแล้ว คือกว่าถั่วจะสุก ก็งาไหม้ไปหมดแล้ว  จึงค่อยได้คิด ..จริงๆ นะ อันที่จริงเราก็น่าจะใจเย็น ให้เขาอธิบายให้รู้เรื่องเสียก่อนแต่ทำไม พอถึงเวลาที่กำลังหน้าสิ่วหน้าขวานกัน เราคิดอย่างนี้ไม่ทัน  ก็เพราะใจของคนเราไม่เคยอยู่กับความจริง ขณะที่เราว่า เราอยู่กับความจริง..ความจริง แต่จริงๆ นั้น ไม่ได้อยู่หรอก  สติซึ่งเป็นตัวระลึกรู้  แล้วคอยระมัดระวังรักษาใจให้อยู่กับความจริงนั้นหลวมมาก แต่ที่ไม่มีเรื่องกัน ก็เพราะว่า ใจของแต่ละคนยอมยืดหยุ่นตรงนี้ไว้ว่า ช่างมันเถอะ เราพูดแล้ว เขาเข้าใจอีกอย่าง ไม่ใช่เรื่องหนักหนา คอขาดบาดตาย  ก็ช่างมันเถอะ ทำให้เราเข้าใจไปว่า เรื่องที่เกิดขึ้นแต่ละวัน..แต่ละวันนั้น เราพูดกันรู้เรื่องครั้นถึงเรื่องสำคัญ เรื่องจำเป็นที่ต้องให้รู้เรื่อง เราก็ใช้วิธีเดิม แต่ในใจของทั้งสองฝ่ายไม่ยอมยืดหยุ่นด้วยแล้ว ต่างยึดอยู่ว่า ตรงนี้ เป็นตายร้ายดี ต้องเอาให้รู้เรื่องจริง นิสัยความเคยชินที่สติไม่เคยตามระลึกรู้เท่าทัน ก็ทำให้เกลียวหวาน กระทำลงไปตามอัตโนมัติที่เคยเป็นถ้าอีกฝ่ายอยู่ในภาวะที่ระลึกนึกได้ น่ากลัวเขาคงหงุดหงิดกับอะไรมา คงอารมณ์ไม่ใคร่ดี เราอดออมวาจาไว้ก่อน รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ  ถ้าอย่างนี้ เรื่องก็ไม่เกิด แต่ถ้าทั้งสองฝ่ายอยู่ในสภาพ เป็นไงเป็นกัน วันนี้ชนเป็นชน เอากันให้แหลก มันก็แหลกจริงๆ ครั้นแหลกกันไปแล้ว เรากลับมานั่งทบทวน เอ..เรื่องมันก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องสักหน่อย  แล้วทำไมถึงเป็นอย่างนี้หรือบางทีก็ไม่ใช่เรื่องทำนองนี้ แต่จากพื้นนิสัยที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งดิฉันเคยเปรียบเทียบเสมอๆ ว่า คนบางคนอุปนิสัยเหมือนลูกหมี คือเป็นสัตว์เลือดอุ่น คนบางคนเป็นลูกปลา สัตว์เลือดเย็น
ลูกหมีก็ไม่รู้ว่า ลูกปลาขึ้นจากน้ำไม่ได้ เพราะต้องใช้เหงือกหายใจ ถ้าขึ้นจากน้ำแล้วมันตาย  ลูกหมีตั้งแต่รู้ความ แม่ก็สอนว่า ถ้าหนาวมากๆ นี่ ลูกเอ๊ย ก่อไฟผิงนะ นอกจากนั้น ยังกำชับอีกว่า เราอยู่ในโลกนี้คนเดียวไม่ได้ มีอะไรดี อะไรที่เราชอบ อย่าหวงแหนไว้เป็นของเราคนเดียว ต้องใจกว้าง  หัดแบ่งปันให้เพื่อนฝูง เราถึงจะอยู่ในโลกนี้ได้อย่างมีความสุข  เพราะคนเราต้องเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันวันหนึ่งหิมะตกใหญ่  ลูกหมีหนาวมาก  พอดีนึกได้ว่า แม่สอนให้ก่อไฟผิง มันก็จัดแจงเอาไม้มาสีกันจนกระทั่งเกิดไฟ แล้วเอาใบไม้มาก่อเป็นกองไฟ  ผิงจนอุ่นสบายดี ก็มองซ้ายมองขวา ..ลูกปลาเพื่อนเรานอนนิ่งอยู่บนโขดหินตื้นๆ ขนาดเราอยู่บนบก เมื่อกี้ยังหนาวแทบตาย เพื่อนเราคงหนาวเข้าไปจนถึงกระดูกแล้ว เพราะแช่อยู่ในน้ำด้วย
เสียงแม่ดังขึ้นในใจว่า มีอะไรอย่าหวงแหนไว้คนเดียว  ลูกหมีก็ตัดใจไปหากิ่งไม้ใบไม้มาทำกองไฟให้ใหญ่ขึ้น  แล้วไปช้อนลูกปลาขึ้นมาผิงไฟ คิดดูก็แล้วกัน  ในความรู้สึกของลูกหมีนี่ ฉัน..ลูกเสือเอก ทำวีรกรรมใหญ่ อุตส่าห์เสียสละเอาอุ้งเท้าหน้าลงไปจุ่มน้ำ ช้อนลูกปลาขึ้นมาผิงไฟทีเดียวนะ ลูกหมีนึกเอาเองว่า ลูกปลาคงรักและซาบซึ้งในวีรกรรมของตน  แต่ในความรู้สึกของลูกปลาไปกันคนละขอบหล้าฟ้าเขียว  ..นี่เราไปทำอะไรเอาไว้  เจ้าลูกหมีโกรธแค้นอาฆาตเอาไว้แต่ครั้งไหน  วันนี้มันถึงเอาเราจะมาปิ้งกิน...ลูกปลาพยายามบอกลูกหมี ปล่อยฉันลงน้ำพร้อมทั้งพยายามช่วยตัวเองด้วยการดิ้น  เพื่อจะได้กลับลงไปในน้ำ ฝ่ายลูกหมีก็เข้าใจไปว่า ลูกปลาคงหนาวจนจะชักแล้ว เลยรีบปัดลูกปลาให้ชิดกองไฟเข้าไปอีก
บางครั้งที่เราหยุดไม่ทัน  แล้วเลยชนกันบรรลัยวายวอด ก็อาจจะอย่างนี้ ด้วยความรักกันทั้งสองฝ่าย ลูกหมีก็รักลูกปลาสุดหัวใจ ต้องการให้ลูกปลามาผิงไฟด้วยกัน  จะได้อุ่นได้สบาย  ลูกปลาก็รักลูกหมี  แต่ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น วันนี้เราคงถูกปิ้งกินแน่ๆ เมื่อเป็นแบบนี้มันก็ไม่เข้าใจกัน เข้าทำนอง ทำคุณบูชาโทษ โปรดสัตว์ได้บาป ที่เป็นเพื่อนกันมาก็เกิดความแหนงใจ แต่นี้ต่อไป มีอะไร ไว้ใจลูกหมีไม่ได้แล้ว เกิดอะไรนิด อะไรหน่อย ก็ระแวงแคลงใจกันไปหมด  แล้วก็มีเรื่องระหองระแหงกันไปเรื่อยๆ ถ้าเกิดสถานการณ์อย่างนี้ในชีวิตของเรา ตั้งสติให้ดี แล้วไปถาม ..ลูกหมีจ๋า ทำไมลูกหมีต้องผิงไฟด้วย.. เมื่อลูกหมีอธิบายว่า แม่สอนเอาไว้  หนาวแล้วต้องผิงไฟ ผิงแล้วจะได้อุ่นไงล่ะ เราก็ได้เรียนรู้เอาไว้ว่า มีคนอีกบางคนนะ ที่ว่าหนาวแล้วต้องผิงไฟ ไม่ใช่เหมือนเราที่อยู่ในน้ำไม่ผิงไฟการเปิดใจรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น จะช่วยให้เรารู้จักจริตนิสัยของผู้คน รู้จักโลกกว้างขวางขึ้น ถ้าใจใดเป็นใจที่ยึดมั่นถือรั้นในความคิดเห็นของตัวเอง แล้วระแวงคลางแคลงผู้อื่น เมื่อลูกหมีอธิบายตามความเป็นจริงว่า แม่สอนให้ผิงไฟ  ในใจเราก็สรุปว่า โกหก..ดูสิ มันจะเอาเราไปปิ้งกินแท้ๆ แล้วยังมาตีหน้าซื่อ ชักนิยายอ้างอิงแม่อีกใจที่ไม่ได้ฝึกฝนอบรมตนจะเป็นแบบนี้ มันจะระแวงเพ่งโทษผู้อื่น อะไรที่ไม่ใช่สิ่งที่เราเคยรู้ เคยเห็น  เคยทำ เราจะเพ่งความผิดใส่เขาทันที ถ้าเราปฏิบัติ เราจะน้อมเอาความผิดกลับเข้ามาที่ตัวเอง  แล้วพิเคราะห์หาที่ผิดที่บกพร่องในตัวของเราเพื่อแก้ไข  ทำให้ใจของเราได้ความรู้ความเข้าใจ  เข้ากับใครๆ ได้ อยู่ในโลกนี้อย่างมีความสงบผาสุก
เมื่อไรที่ใจเผลอระแวงขึ้นมาว่า .. ดูเจ้าลูกหมีสิ หาเรื่องไปใส่ไคล้แม่  เราก็รีบสำทับเอากับตัวเองว่า ในเมื่อเราไม่เคยรู้ว่า การผิงไฟเป็นของดี เราต้องรับฟังเอาไว้  แล้วต่อไป ไปพบคนอื่น จะได้ดูเขา ถ้าเขาเป็นสัตว์เลือดอุ่นอย่างลูกหมี เราก็จะเห็นเขาผิงไฟเป็นการพิสูจน์ให้เรารู้ว่า ที่เจ้าลูกหมีพูดนี่ มีเหตุผลนะ ไม่ใช่มันชักให้อ้างว่า เพื่อเอาผลประโยชน์ใส่ตัวด้วยวิธีนี้  เราก็จะเรียนรู้สิ่งรอบตัวเราตามเป็นจริง รู้ว่า นิสัยคนนี้เป็นอย่างนี้หนา  แล้วเราก็ไม่ไปโกรธไปแค้นแหนงใจน้อยใจเขา  ใจของเราจะเปิดกว้าง เหมือนอย่างกับคนสองคนนัดพบกันที่โรงพยาบาลพระมงกุฎ คนหนึ่งมาทางอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ อีกคนมาทางเขาดิน แล้วแต่ว่าบ้านใครอยู่ทางไหน ถ้าเราเคยมาทางอนุสาวรีย์ เราก็ลงความเห็นว่า คนมาโรงพยาบาลพระมงกุฎแล้วผ่านสวนจิตรลดาโกหก ถ้าใจเราไม่เปิดกว้าง เราจะชนก่อนทุกทีเลย แล้วชนกันบรรลัยวายวอด ทั้งๆ ที่ต่างก็หวังดีด้วยกันทั้งคู่แหละ เวลากลับมาเล่ากันอย่างนี้  เจ้าตัวก็ขำถ้าใครเคยไปโรงพยาบาลราชวิถี เรื่องนี้เกิดขึ้นกับดิฉันเอง ดิฉันนัดกับเพื่อน ซึ่งเคยเป็นพยาบาลอยู่โรงพยาบาลราชวิถี เรียกว่าเราทะลุปรุโปร่งทางเข้าออกของโรงพยาบาลนี้กันทั้งคู่  ก็นัดกันที่ประตูทางเข้าห้องตรวจโรคนอก แต่ลืมย้ำให้แน่ว่า ประตูไหน ประตูด้านที่ติดโรงพยาบาลเด็ก หรือประตูด้านถนนพญาไท
เราต่างคนต่างไปนั่งคอยกัน สิ้นเวลาไป 3 ชั่วโมง ประตูก็อยู่ไม่ไกลกัน ต่างคนต่างก็ปักหลักยึดหัวหาดของตน ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ด้วยกลัวว่าขยับแล้วอีกฝ่ายมาถึง จะหากันไม่พบ คอยกันจนอ่อนใจถึง 3 ทุ่มกว่าเกือบ 4 ทุ่ม.. น่ากลัวอีกฝ่ายคงมีธุระกะทันหัน หนักหนาสาหัส.. ก็ต่างคอตกกลับบ้านพอกลับถึงบ้าน เพื่อนก็โทรศัพท์เข้ามา ..หมอ.. เธอมีงานด่วนอะไรเหรอ ฉันคอยเสียเงกเลย นี่เพิ่งกลับเข้าบ้านเดี๋ยวนี้เอง.. ดิฉันก็โวยวาย ฉันก็คอยคุณ เพิ่งถึงบ้านเหมือนกัน นึกว่า หรือคุณแม่คุณเกิดไม่สบายเป็นอะไรขึ้นมาคอยอยู่ตรงไหน?!
สืบสาวราวเรื่อง ได้ความว่า ต่างอยู่กันคนละบานประตู อันที่จริง ประตูก็อยู่ใกล้กันนิดเดียว แต่ไม่ได้คิดเฉลียวใจที่จะค้นคว้าว่า ประตูเข้าห้องตรวจโรคนอกนี่มีกี่ประตูกัน ด้วยความที่ต่างก็มั่นใจว่า เรารู้จักโรงพยาบาลเป็นอย่างดี  เคยเข้าทางประตูไหน ดิฉันชาวโรงพยาบาลเด็ก ก็เข้าทางประตูข้างโรงพยาบาลเด็ก  เพื่อนเป็นชาวราชวิถีขนานแท้ ก็เข้าทางประตูหน้าของเขาอย่างผ่าเผยเคราะห์ดีที่เราต่างคนต่างก็ปฏิบัติด้วยกัน เลยต่างรีบขอโทษว่า เป็นความผิดของเราเองที่ไม่ได้ย้ำกันให้แน่ใจ ถ้าไม่ปฏิบัติ คงซัดกันแหลกว่า ..เธอน่ะสิ พูดไม่ดี.. แล้วคงทะเลาะกันไม่จบ เสียเวลาคอยไป 3 ชั่วโมงแล้ว ยังมาทะเลาะกันต่อทางโทรศัพท์ อาจจะคืนนั้นไม่ได้นอนถ้าเห็นในใจของเรา  เวลามีข้อบกพร่องอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะชนกันให้แหลกลาญไป ให้เรานึกดู นี่เป็นข้อบกพร่องของเราเองนะ ถ้านึกได้อย่างนี้ เรื่องก็จบ ม่ายอย่างนั้น มันจะไปต่ออีกไม่รู้จักจบ
เมื่อไรที่ใจเผลอระแวงขึ้นมาว่า .. ดูเจ้าลูกหมีสิ หาเรื่องไปใส่ไคล้แม่  เราก็รีบสำทับเอากับตัวเองว่า ในเมื่อเราไม่เคยรู้ว่า การผิงไฟเป็นของดี เราต้องรับฟังเอาไว้  แล้วต่อไป ไปพบคนอื่น จะได้ดูเขา ถ้าเขาเป็นสัตว์เลือดอุ่นอย่างลูกหมี เราก็จะเห็นเขาผิงไฟเป็นการพิสูจน์ให้เรารู้ว่า ที่เจ้าลูกหมีพูดนี่ มีเหตุผลนะ ไม่ใช่มันชักให้อ้างว่า เพื่อเอาผลประโยชน์ใส่ตัวด้วยวิธีนี้  เราก็จะเรียนรู้สิ่งรอบตัวเราตามเป็นจริง รู้ว่า นิสัยคนนี้เป็นอย่างนี้หนา  แล้วเราก็ไม่ไปโกรธไปแค้นแหนงใจน้อยใจเขา  ใจของเราจะเปิดกว้าง เหมือนอย่างกับคนสองคนนัดพบกันที่โรงพยาบาลพระมงกุฎ คนหนึ่งมาทางอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ อีกคนมาทางเขาดิน แล้วแต่ว่าบ้านใครอยู่ทางไหน ถ้าเราเคยมาทางอนุสาวรีย์ เราก็ลงความเห็นว่า คนมาโรงพยาบาลพระมงกุฎแล้วผ่านสวนจิตรลดาโกหก ถ้าใจเราไม่เปิดกว้าง เราจะชนก่อนทุกทีเลย แล้วชนกันบรรลัยวายวอด ทั้งๆ ที่ต่างก็หวังดีด้วยกันทั้งคู่แหละ เวลากลับมาเล่ากันอย่างนี้  เจ้าตัวก็ขำถ้าใครเคยไปโรงพยาบาลราชวิถี เรื่องนี้เกิดขึ้นกับดิฉันเอง ดิฉันนัดกับเพื่อน ซึ่งเคยเป็นพยาบาลอยู่โรงพยาบาลราชวิถี เรียกว่าเราทะลุปรุโปร่งทางเข้าออกของโรงพยาบาลนี้กันทั้งคู่  ก็นัดกันที่ประตูทางเข้าห้องตรวจโรคนอก แต่ลืมย้ำให้แน่ว่า ประตูไหน ประตูด้านที่ติดโรงพยาบาลเด็ก หรือประตูด้านถนนพญาไทเราต่างคนต่างไปนั่งคอยกัน สิ้นเวลาไป 3 ชั่วโมง ประตูก็อยู่ไม่ไกลกัน ต่างคนต่างก็ปักหลักยึดหัวหาดของตน ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ด้วยกลัวว่าขยับแล้วอีกฝ่ายมาถึง จะหากันไม่พบ คอยกันจนอ่อนใจถึง 3 ทุ่มกว่าเกือบ 4 ทุ่ม.. น่ากลัวอีกฝ่ายคงมีธุระกะทันหัน หนักหนาสาหัส.. ก็ต่างคอตกกลับบ้าน
พอกลับถึงบ้าน เพื่อนก็โทรศัพท์เข้ามา ..หมอ.. เธอมีงานด่วนอะไรเหรอ ฉันคอยเสียเงกเลย นี่เพิ่งกลับเข้าบ้านเดี๋ยวนี้เอง.. ดิฉันก็โวยวาย ฉันก็คอยคุณ เพิ่งถึงบ้านเหมือนกัน นึกว่า หรือคุณแม่คุณเกิดไม่สบายเป็นอะไรขึ้นมาคอยอยู่ตรงไหน?!สืบสาวราวเรื่อง ได้ความว่า ต่างอยู่กันคนละบานประตู อันที่จริง ประตูก็อยู่ใกล้กันนิดเดียว แต่ไม่ได้คิดเฉลียวใจที่จะค้นคว้าว่า ประตูเข้าห้องตรวจโรคนอกนี่มีกี่ประตูกัน ด้วยความที่ต่างก็มั่นใจว่า เรารู้จักโรงพยาบาลเป็นอย่างดี  เคยเข้าทางประตูไหน ดิฉันชาวโรงพยาบาลเด็ก ก็เข้าทางประตูข้างโรงพยาบาลเด็ก  เพื่อนเป็นชาวราชวิถีขนานแท้ ก็เข้าทางประตูหน้าของเขาอย่างผ่าเผยเคราะห์ดีที่เราต่างคนต่างก็ปฏิบัติด้วยกัน เลยต่างรีบขอโทษว่า เป็นความผิดของเราเองที่ไม่ได้ย้ำกันให้แน่ใจ ถ้าไม่ปฏิบัติ คงซัดกันแหลกว่า ..เธอน่ะสิ พูดไม่ดี.. แล้วคงทะเลาะกันไม่จบ เสียเวลาคอยไป 3 ชั่วโมงแล้ว ยังมาทะเลาะกันต่อทางโทรศัพท์ อาจจะคืนนั้นไม่ได้นอน
 ถ้าเห็นในใจของเรา  เวลามีข้อบกพร่องอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะชนกันให้แหลกลาญไป ให้เรานึกดู นี่เป็นข้อบกพร่องของเราเองนะ ถ้านึกได้อย่างนี้ เรื่องก็จบ ม่ายอย่างนั้น มันจะไปต่ออีกไม่รู้จักจบเมื่อไรที่ใจเผลอระแวงขึ้นมาว่า .. ดูเจ้าลูกหมีสิ หาเรื่องไปใส่ไคล้แม่  เราก็รีบสำทับเอากับตัวเองว่า ในเมื่อเราไม่เคยรู้ว่า การผิงไฟเป็นของดี เราต้องรับฟังเอาไว้  แล้วต่อไป ไปพบคนอื่น จะได้ดูเขา ถ้าเขาเป็นสัตว์เลือดอุ่นอย่างลูกหมี เราก็จะเห็นเขาผิงไฟเป็นการพิสูจน์ให้เรารู้ว่า ที่เจ้าลูกหมีพูดนี่ มีเหตุผลนะ ไม่ใช่มันชักให้อ้างว่า เพื่อเอาผลประโยชน์ใส่ตัว
ด้วยวิธีนี้  เราก็จะเรียนรู้สิ่งรอบตัวเราตามเป็นจริง รู้ว่า นิสัยคนนี้เป็นอย่างนี้หนา  แล้วเราก็ไม่ไปโกรธไปแค้นแหนงใจน้อยใจเขา  ใจของเราจะเปิดกว้าง เหมือนอย่างกับคนสองคนนัดพบกันที่โรงพยาบาลพระมงกุฎ คนหนึ่งมาทางอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ อีกคนมาทางเขาดิน แล้วแต่ว่าบ้านใครอยู่ทางไหน ถ้าเราเคยมาทางอนุสาวรีย์ เราก็ลงความเห็นว่า คนมาโรงพยาบาลพระมงกุฎแล้วผ่านสวนจิตรลดาโกหก ถ้าใจเราไม่เปิดกว้าง เราจะชนก่อนทุกทีเลย แล้วชนกันบรรลัยวายวอด ทั้งๆ ที่ต่างก็หวังดีด้วยกันทั้งคู่แหละ เวลากลับมาเล่ากันอย่างนี้  เจ้าตัวก็ขำถ้าใครเคยไปโรงพยาบาลราชวิถี เรื่องนี้เกิดขึ้นกับดิฉันเอง ดิฉันนัดกับเพื่อน ซึ่งเคยเป็นพยาบาลอยู่โรงพยาบาลราชวิถี เรียกว่าเราทะลุปรุโปร่งทางเข้าออกของโรงพยาบาลนี้กันทั้งคู่  ก็นัดกันที่ประตูทางเข้าห้องตรวจโรคนอก แต่ลืมย้ำให้แน่ว่า ประตูไหน ประตูด้านที่ติดโรงพยาบาลเด็ก หรือประตูด้านถนนพญาไท
เราต่างคนต่างไปนั่งคอยกัน สิ้นเวลาไป 3 ชั่วโมง ประตูก็อยู่ไม่ไกลกัน ต่างคนต่างก็ปักหลักยึดหัวหาดของตน ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ด้วยกลัวว่าขยับแล้วอีกฝ่ายมาถึง จะหากันไม่พบ คอยกันจนอ่อนใจถึง 3 ทุ่มกว่าเกือบ 4 ทุ่ม.. น่ากลัวอีกฝ่ายคงมีธุระกะทันหัน หนักหนาสาหัส.. ก็ต่างคอตกกลับบ้านพอกลับถึงบ้าน เพื่อนก็โทรศัพท์เข้ามา ..หมอ.. เธอมีงานด่วนอะไรเหรอ ฉันคอยเสียเงกเลย นี่เพิ่งกลับเข้าบ้านเดี๋ยวนี้เอง.. ดิฉันก็โวยวาย ฉันก็คอยคุณ เพิ่งถึงบ้านเหมือนกัน นึกว่า หรือคุณแม่คุณเกิดไม่สบายเป็นอะไรขึ้นมาคอยอยู่ตรงไหน?!สืบสาวราวเรื่อง ได้ความว่า ต่างอยู่กันคนละบานประตู อันที่จริง ประตูก็อยู่ใกล้กันนิดเดียว แต่ไม่ได้คิดเฉลียวใจที่จะค้นคว้าว่า ประตูเข้าห้องตรวจโรคนอกนี่มีกี่ประตูกัน ด้วยความที่ต่างก็มั่นใจว่า เรารู้จักโรงพยาบาลเป็นอย่างดี  เคยเข้าทางประตูไหน ดิฉันชาวโรงพยาบาลเด็ก ก็เข้าทางประตูข้างโรงพยาบาลเด็ก  เพื่อนเป็นชาวราชวิถีขนานแท้ ก็เข้าทางประตูหน้าของเขาอย่างผ่าเผย
เคราะห์ดีที่เราต่างคนต่างก็ปฏิบัติด้วยกัน เลยต่างรีบขอโทษว่า เป็นความผิดของเราเองที่ไม่ได้ย้ำกันให้แน่ใจ ถ้าไม่ปฏิบัติ คงซัดกันแหลกว่า ..เธอน่ะสิ พูดไม่ดี.. แล้วคงทะเลาะกันไม่จบ เสียเวลาคอยไป 3 ชั่วโมงแล้ว ยังมาทะเลาะกันต่อทางโทรศัพท์ อาจจะคืนนั้นไม่ได้นอน ถ้าเห็นในใจของเรา  เวลามีข้อบกพร่องอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะชนกันให้แหลกลาญไป ให้เรานึกดู นี่เป็นข้อบกพร่องของเราเองนะ ถ้านึกได้อย่างนี้ เรื่องก็จบ ม่ายอย่างนั้น มันจะไปต่ออีกไม่รู้จักจบ
อีกตัวอย่างหนึ่ง ที่ทำงานเพื่อนมีคนงานอยู่คนหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นอะไร มีความช่ำชองเรื่องกุญแจผีมาก วันเงินเดือนออก ถ้าใครเผลอเอากระเป๋าสตางค์ใส่ไว้ในลิ้นชักโต๊ะ เป็นเสร็จเลย  เขาสามารถย้ายเงินเดือนออกไปโดยกระเป๋าไม่ขยับเขยื้อน จนเจ้าของกลับไปถึงบ้าน เอ..นี่ เราเอาเงินใส่ไว้ในกระเป๋าจริงๆ หรือเอาไปใส่ไว้ที่อื่น.. คือสามารถเอาไปอย่างไม่มีร่องรอย  กิตติศัพท์เรื่องนี้เป็นอันรู้กันทั่ว แต่ทุกคนก็ยังเผลอเอาสตางค์วางไว้ในลิ้นชักให้ถูกขโมยจนได้ แล้วก็มาบ่นกันไม่จบไม่สิ้น
วันหนึ่ง เพื่อนมีกิจธุระ  จำเป็นต้องเอาเงินใส่ไว้ในลิ้นชัก เลยถูกขโมยหมดไปเป็นเงินหลายพัน เขาก็บ่น..บ่น ดิฉันบอกเขาว่า  ท่านอาจารย์สอนไว้ ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ให้เพ่งโทษตัวเอง  อย่าส่งใจออกนอกไปเพ่งโทษคนอื่น  กรณีนี้ก็เหมือนกัน เธอต้องโทษตัวเธอว่า เป็นคนไม่รอบคอบ สมบัติของตัวเอง เอาไปวางล่อตาเขา รู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นคนไม่มีความยับยั้งชั่งใจ  เห็นสตางค์เมื่อไรเป็นอดกลั้นไม่ได้ เพราะเชื่อว่า  สมบัติในโลกนี้ไม่ใช่ของใคร แต่เป็นของโลก เมื่อไรเจ้าของหมดลมหายใจ มันก็ตกค้างอยู่กับโลกนี้ กลายเป็นสมบัติของแผ่นดิน ถึงตอนนี้เจ้าของจะยังมีลมหายใจอยู่ ก็ไม่เป็นไร ขอยืมเอาไปใช้ก่อนก็แล้วกันเพื่อนฟังแล้วเลยพาลโกรธดิฉันไปด้วย เสือกไสว่าคุณจะไปไหนก็ไปเสียเถอะ ฉันไม่อยากฟัง  ดิฉันก็ไม่รู้ไม่ชี้ ยัดเยียดให้เขาฟังต่อ..  นี่คุณ จำเอาไว้นะ ถ้าคุณมีสตางค์แล้วไม่ต้องการให้คนอื่นมาหยิบฉวย หรือขอยืมไปใช้ คุณต้องคีบติดตัวเอาไว้ตลอดเวลา อย่าไปวางล่อหูล่อตา การที่คุณไม่ระมัดระวัง ไม่รอบคอบ แสดงว่าคุณประมาท เอากิเลสไปยั่วยวนเขา ทำให้เขาตบะแตก ทำบาปอกุศล คุณต้องรับผิดชอบกับบาปของเขานะจะบอกให้เพื่อนสุดจะอดทนอดกลั้น ไล่ดิฉันให้ไปเสียให้พ้น ดิฉันนึกในใจ...  เวลาเราพ่ายแพ้อารมณ์ตัวเอง ทั้งที่คำแนะนำก็ดีมีประโยชน์ ใจกลับรับฟังไม่ได้  เพราะตอนนั้นกิเลสต้องการแนวร่วมว่า ...เออ..ไอ้คนงานคนนี้มันชั่วจริงๆ  มันมีนิสัยไม่ดี  ซึ่งการทำอย่างนั้น ไม่ได้แก้ปัญหาอะไร สตางค์ก็เสียไปแล้ว มีหนำซ้ำยังเสีย  ใจ ของเราให้ไปคิดอกุศลกับเขา ไปยกตนข่มท่านว่า ตั้งแต่เกิดมา ก็ไม่เคยขโมยใครเลย  มันบาปกรรมแต่ปางไหนกันนี่ ล่วงเกินต่อไปถึงพระพุทธเจ้า เอ..คำสอนของท่านที่ว่า อะไรที่เกิดขึ้นนี่ คือมรดกของเราเอง เราไม่เคยเห็นได้ขโมยของใคร แล้วทำไมมันถึงมาขโมยเรา...
ใจที่เป็นอารมณ์ คิดปรุงฟุ้งซ่านไปนี่ มันชนทั่วจักรวาลไปหมด ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าท่านก็อยู่ของท่านตามปกติ  เราก็ไปฉุดเอามาชนจนได้ เมื่อชนซ้ายป่ายขวาไปตามอารมณ์จนเบาสบาย เพราะได้ระบายแรงอัดในใจให้ค่อยบรรเทาเบาบางลงแล้ว  เหมือนน้ำเดือด พอได้เผยอฝากาให้ไอน้ำออกบ้าง มันก็สบายใจ สติค่อยกลับคืนมา..  จริงสินะ ถ้าเราดูแลรักษาของของเราให้ดี ไม่เอาไปล่อหูล่อตาเขา เขาก็ขโมยของเราไม่ได้  พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้ถูกต้อง คนเราต้องไม่ประมาท ต้องป้องกันเอาไว้ อะไรๆ ที่รอบคอบได้ ไม่ก่อให้เป็นเรื่องขึ้นมาได้ เราก็ควรป้องกันเสียคราวนี้อะไรๆ ก็ถูกทั้งหมด  แต่เมื่อกี้ ตอนที่ใจกลายเป็นกิเลส  ปรากฏเหตุผลอะไรก็ฟังไม่ขึ้นทั้งนั้น กว่าจะคิดได้ ก็แหลกเหลวไปหมดแล้ว  ถ้าเพื่อนเป็นคนประเภท ...มันเรื่องอะไร  เราแนะนำให้ดีๆ กลับไม่ฟัง คราวหน้ามีเรื่องอะไร อย่ามาเชียวนะครั้นเรามีความทุกข์เดือดร้อน ไปปรึกษาเพื่อนใหม่ เขาก็ศอกกลับว่า เชิญไปปรึกษาตัวเธอเองสิ เพราะคราวก่อนฉันอุตส่าห์แนะนำ เธอก็ไม่ฟัง ซ้ำร้ายยังมาพาลชนฉันอีก.. ก็เป็นเรื่องกันขึ้นมาทีนี้ทำอย่างไร  เราถึงจะรู้เท่าทันใจของเรา เวลาที่เราเป็นพาลขึ้นมาอย่างนี้  จะได้ไม่ไปชนซ้ายชนขวา จนกระทั่งเกิดความเสียหายหลายแสนขึ้นมา ท่านว่า เราต้องหยุดที่ใจของเราไอ้ใจของเราหรือ  ก็เป็นตัวเจ้าเล่ห์แสนกลที่สุด  ฝึกยากที่สุด ฝึกคนอื่น ฝึกลูกฝึกเต้า ฝึกผู้ร่วมงาน  ฝึกใครต่อใครรอบตัว เราว่ายากว่าเย็นแล้ว ก็ยังฝึกง่ายกว่าฝึกตัวของตัวเองเวลาจะฝึกตัวเองนี่ ทั้งๆ ที่จับได้คาหนังคาเขา เราก็ยังแก้ต่างให้กิเลสว่า เอาเถอะไหนๆ ก็พลาดไปแล้ว ไหนๆ ก็เผลอชนเข้าไปแล้ว จะหยุดตอนนี้ เดี๋ยวเรากลายเป็นคนไม่จริง พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราเป็นคนจริง ไม่ใช่คนปลอม ไหนๆ คราวนี้ก็ชั่วไปแล้ว เอามันให้ชั่วบริสุทธิ์ไปทั้งตัว เพราะฉะนั้นชนมันเข้าไปอีก เอาให้แหลกไม่เหลือชิ้นดีเลย แล้วค่อยเริ่มต้นเปิดหน้าใหม่ เปิดศักราชใหม่ เป็นคนดีแต่เราลืมนึกไปว่า  แต่ละครั้งที่กระทำอะไรลงไป คือการสร้างความเคยชิน  สร้างนิสัยขึ้นมา แล้วนิสัยแต่ละอย่างนี้ ขนาดจับได้คาหนังคาเขา มันยังมีเหตุผลชักพาให้เราเผลอตามต่อไปอีกจนได้  ว่าไหนๆ เราเป็นคนจริง เพราะฉะนั้นจะชั่วแล้ว ชั่วให้บริสุทธิ์ไปเลยคือ รู้ทั้งรู้ ไม่ใช่ไม่รู้  พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า  การที่รู้อะไรด้วยอวิชชานี่ มันจะเป็นอย่างนี้ คือทั้งรู้ทั้งหลง  ท่อนหนึ่งก็นึกว่าเราเป็นธรรม พระพุทธเจ้าตรัสไว้ให้เป็นคนจริง แต่อีกท่อนกิเลสแทรกเข้ามาแปลงสารว่า ไหนๆ ศักดิ์ศรีของเราก็มี ถ้าหยุดตอนนี้ เขาจะว่าเราแหย เห็นไหมว่าตัวตน สักกายทิฐิซึ่งอ้วนปี๋ จูงเราออกไปชนกับเขา เอาให้แหลกกันให้หมดเลย  คราวนี้กิเลสเป็นผู้รู้ ไม่ใช่พุทธะรู้อะไรๆ ในชีวิตประจำวันของเรา จะว่าว่าเราเป็นคนไม่มีธัมมะก็ไม่ใช่ มีอยู่ แต่ถูกกิเลสที่ฉลาดแหลมคมกว่า ยักย้ายเอาธัมมะมายำเสียจนกระทั่งกลายเป็นกิเลสไป และเราเองเมื่อเป็นกิเลสไปแล้ว ก็ยังไม่รู้ตัวว่า  เราเป็นกิเลส ยังยืนยันว่า  นี่เราปฏิบัติตามคำสอนของครูบาอาจารย์ ของพระพุทธเจ้านะ มันถึงแก้กันลำบาก เพราะจะว่าผิดก็ไม่ผิดทั้งหมด บังเอิญมันเลี้ยวมุมเฉไปเสียนิดหนึ่ง  ที่จะไปพบกันตรงนี้ ก็เลยไม่พบกันเพราะมันเฉไปนิดหนึ่ง เหมือนกับประตูห้องตรวจโรคนอก โรงพยาบาลราชวิถี เฉไปคนละบานประตู  ซึ่งก็ไม่ไกลกันเท่าไร  แต่เมื่อใจไปยึดมั่นสำคัญผิดนี่ ทั้งๆ ที่ใกล้แสนใกล้ ก็ไม่เห็นกัน ทำให้เสียผลประโยชน์ไปหมดเหตุการณ์ในชีวิตของคนเรา ก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น ถ้าเราค่อยๆ มาพิจารณาอย่างไม่เข้าข้างตัวเอง ก้จะเห็นว่า มันไม่ใช่เรื่องยากเรื่องเย็น  ไม่ใช่เรื่องที่เราไม่มีสติปัญญาที่จะรู้เท่าทัน  แต่เป็นเพราะว่า  เราไม่รอบคอบ ขณะที่กำลังอยู่ในเหตุการณ์ เราตั้งสติที่จะหยุดใจของเราให้แน่วนิ่งไม่ได้
เหมือนเรากำลังดูของในกล้องขยาย แล้วจับปุ่มปรับภาพให้ชัดพอดีกับตาเราไม่มั่น ภาพก็ไหวไปไหวมา ทำให้เราแลดูของที่เป็นคนละสิ่งไหวมาต่อเนื่องกันเสมือนเป็นของอันเดียวไป เหมือนที่ดิฉันเปรียบเทียบว่า ใจเวลาไม่มีสติสัมปชัญญะปัญญารักษา ก็เหมือนกับมองของในบ่อน้ำที่ผิวถูกลมพัดกระเพื่อมเป็นระลอก ก้อนอิฐก้อนหินที่อยู่ใต้น้ำ ความจริงก็เป็นก้อนหิน แต่ผิวน้ำไหวพริ้วเป็นระลอก เราดูแล้วก็ว่าปลา เพราะก้อนหินของเราขยับได้ แต่ความจริงก้อนหินไม่ได้ขยับหรอก ผิวน้ำที่เรามองผ่านไปสู่ก้อนหินต่างหากที่พริ้วตัว ตาของเราเลยเขยื้อนตามพริ้วน้ำนั้น  แล้วสรุปว่า ก้อนหินเคลื่อนไหว.. ปลาน่ะ.. เมื่อเป็นอย่างนี้ อะไรที่เรารู้ จึง รู้ ด้วยอวิชชาและอุปาทาน คือด้วยความทั้งรู้ทั้งหลง แล้วไปยึดมั่นสำคัญผิดในสิ่งที่เราเห็นไปด้วยความหลง  พุทธะเลยไม่ทันที่จะได้มารักษาใจ  เพื่อพาเราให้แก้ปัญหาที่เกิดในชีวิตได้ถูกต้องตามความเป็นจริงเราก็ท้อ...ฉันไม่ใช่คนไม่ดีนะ ฉันเป็นคนดี มีศีลมีธรรม แล้วทำไม เรื่องอะไรมันถึงเป็นอย่างนี้  เหมือนนิทานเรื่องหนึ่ง ท่านเปรียบเทียบธัมมะของพระพุทธเจ้าเป็นมะพร้าว  พวกเราคือคนเดินทางที่ไม่รู้วิธีกินมะพร้าว พระพุทธเจ้าทรงเป็นเจ้าของสวน  ปักป้ายอนุญาตไว้ว่า ผลไม้นี้ ใครเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย หิว กระหาย  ก็เอาไปกินไปดื่มได้คนเดินทางคนแรกผ่านมา ทั้งเหนื่อยทั้งหิว เห็นป้ายเข้าก็ดีใจ  หยิบลูกมะพร้าวมา  แต่ไม่รู้วิธีจะกินมะพร้าว ก็เข้าใจว่า กาบมะพร้าวคือเนื้อ  จึงเอามีดค่อยๆเฉาะกาบมะพร้าวอย่างดี  เรียงใส่จานไว้  พอถึงกะลาก็เข้าใจว่าเป็นเม็ด โยนทิ้งไป  แล้วเอากาบมะพร้าวมาเคี้ยว...เคี้ยว..เคี้ยว...เคี้ยวไปก็เจ็บฟันไป แต่ก็ยังมีความหวังว่า ผลไม้นี้คงต้องเข้าไปคลุกเคล้ากับน้ำลายเสียก่อน  แล้วอณูของมันจึงเปลี่ยนจากแป้งไปเป็นน้ำตาล  เกิดรสหวานนุ่มขึ้น  ก็ตั้งอกตั้งใจเคี้ยวต่อไป  จนเหงือกระบมไปหมด  ฟันก็เจ็บ เลยเกิดความหงุดหงิด เพราะหิวก็หิว เคี้ยวก็ตั้งนานแล้ว กาบมะพร้าวก็ยังแข็งเหมือนเชือกอยู่นั่นแหละ เลยเกิดความโกรธ
เมื่อโกรธแล้ว ใจก็ไปทางหนึ่ง สติก็พลัดไปอีกทางหนึ่ง แทนที่จะมองเข้าตัวเอง คิดว่า..เออ..หรือเราไม่รู้วิธีกินให้ถูก ที่เฉาะเอามานี่อาจไม่ใช่เนื้อของมันก็ได้ ก็เอากาบมะพร้าวโยนทิ้งไป  แล้วนึกเพ่งโทษเจ้าของสวน..นี่นะ..คงไปถูกใครเขาหลอกเอา เสร็จแล้วไม่รู้จะทำยังไง ขายใครก็ไม่ได้ เลยเอามาหลอกต่อว่า ยกให้เป็นทาน เพื่อว่าคนที่ผ่านมานี่ จะได้ช่วยขนไปทิ้งให้
เห็นหรือไม่ว่า ใจของเรา เวลาที่ไม่รู้เท่าทันความเป็นจริง อัตตาตัวตนที่ครอบงำอยู่ ทำให้เรายกตนข่มท่าน เพ่งโทษผู้อื่น แทนที่จะคิดให้เป็นกุศลว่าเจ้าของสวนมีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่นะ อุตส่าห์แบ่งปันให้เป็นทาน แล้วเราล่ะใช้ถูกประเภทหรือเปล่า กลับเอาโทษผิดไปป้ายให้เขา..สมคงถูกใครหลอกมา แล้วปลูกไว้เสียเยอะแยะ คราวนี้เลยไม่รู้จะทำยังไง ก็ทำเป็นใจบุญยกให้เป็นทานท่านเปรียบเทียบคนเดินทางประเภทนี้ เหมือนผู้ที่รู้จักแต่เปลือกของพุทธศาสนา ถึงวันพระไปวัด ใส่บาตร รับศีล วันสำคัญตามนักขัตฤกษ์ต้องประกอบพิธีกรรมทำบุญ สร้างพระประธาน สร้างโบสถ์ ม่ายอย่างนั้นจะไม่ได้ขึ้นสวรรค์ ศาสนาคืออะไรต่อมิอะไรที่เป็นขนบประเพณี  สรุปแล้ว เราสับสนไปหมด  เมื่อนึกถึงศาสนาก็นึกแต่เงิน..เงิน..เงิน ที่จะต้องเสียไปเพื่อทำบุญ  ซื้อ สวรรค์นิพพานสมัยพุทธกาล มีช่วงหนึ่งที่เกิดข้าวยากหมากแพง ประชาชนเอียนพวกนักบวชที่ดีแต่ขอ พอเห็นผ้าเหลืองก็รังเกียจ..นี่จะมาบิณฑบาตอะไรอีกแล้ว  วันหนึ่งฝูงวัวกำลังข้ามทุ่งมา  ชาวบ้านเห็นเข้า สีเหลือง..สีเหลือง  ก็รีบบอกกันต่อๆไปว่า พระมาอีกแล้ว  ทุกคนต่างเข้าบ้านปิดประตูเงียบ เพราะไม่ต้องการถูกบิณฑบาต  จนกระทั่งฝูงวัวผ่านคล้อยไป ถึงรู้ว่า..อ๋อ..วัวน่ะ ไม่ใช่พระหรอกถ้าเราไม่รู้จักศาสนาจริงแท้ ไปติดอยู่แค่เปลือกของมัน เราก็จะรู้สึกว่า ศาสนานี่เหมือนกาบมะพร้าว เอาไปใช้ทำอะไรก็ใช้ไม่ได้  ประโยชน์ก็ไม่มี ซ้ำร้ายยังทำให้เหงือกของเราเจ็บระบมไปเปล่าๆ คือ เสียแต่เงิน..เงิน..ทีนี้ก็มาถึงคนเดินทางคนที่สอง ฉลาดขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง ผลไม้นี้ฉลาดนะ มีเปลือกหุ้มหนา ก็เลาะกาบมะพร้าวทิ้งไป แต่ไปเข้าใจว่า กะลามะพร้าวคือเนื้อ ก็ลงมือขบกะลามะพร้าว จะให้แตกให้ได้ ขบจนฟันบิ่น กะลาก็ยังไม่แตก เลยโยนทิ้งไปด้วยความโกรธ ด่าเจ้าของสวนเหมือนคนเดินทางคนแรกคนประเภทที่สอง ก็เหมือนกับเรา..เรานี่แหละ คือ เป็นคนดี มีศีลมีธรรม มีความเคารพตัวเอง ครั้นไปเจอคนประเภทที่พูดกันไม่รู้เรื่อง ประเภทที่เอารัดเอาเปรียบ เราก็ทนไม่ได้..อะไรกัน ช่างไม่มียางอาย มันคิดว่าคนอื่นกินแกลบ  ตัวเองกินข้าวอยู่คนเดียวหรืออย่างไร เราก็ตั้งตัวเป็นผู้พิพากษาศาลโลก จะต้องแก้ไขทุกคนในโลกนี้ให้ดีมีศีลมีธรรม ให้รู้ว่านี่เป็นของธรรมดานะ ทุกคนควรจะต้องรู้  ควรจะมีความละอายบ้างสิ อะไรกัน ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ มือยาวสาวได้สาวเอาเราเลยรู้สึกว่า โลกนี้หนักหน่วงเหลือเกิน ทุกข์เดือดร้อนไปหมด เหมือนขบกะลามะพร้าว  แล้วนับวัน เราก็ยิ่งจะพบมนุษย์พันธุ์นี้มากขึ้นเรื่อยๆ แตะต้องอะไรเป็นไม่ได้ สมัยเราถูกพ่อแม่ดุ  เรารักเรายำเกรงท่าน  ยอมปรับปรุงตัวเอง สมัยนี้ ลองไปดุเข้าสิ ลูกเราเขาจะโวยวายว่า พอแล้ว... ทำไม่ไหวแล้ว พอ..พอ.. เหนื่อยเหลือ เกินแล้ว พูดมาก เดี๋ยวบ้าใส่นะเพราะอะไร...เพราะใจที่ไม่เคยถูกฝึกอบรมให้รู้จักกรอบระเบียบ  จะขาดความอดทนอดกลั้น  เหมือนดินเหนียวที่ตากลมจนเริ่มแห้ง  พอช่างปั้นจะเอามาปั้นเป็นอะไร ก็ร่วน เปราะ  แตกหลุดเป็นชิ้นๆหมด เพราะขาดความอดทนอดกลั้น ขาดศรัทธาความเชื่อมั่นสิ่งเหล่านี้คือน้ำประสาน  ที่ทำให้ใจเกิดความผูกพันต่อกัน แล้วสามารถอดทนอดกลั้น ยับยั้งใจไว้ได้  ม่ายอย่างนั้น  เอะอะอะไรก็ชนวินาศไปหมด  แล้วไม่คิดที่จะรู้ จะปรับปรุงตัวเอง  เหมือนคำที่กล่าวเอาไว้ว่า  เมื่อกาลเวลาล่วงไป ล่วงไป...  คำสอนของพระพุทธเจ้าก็ค่อยผิดเพี้ยนไปเรื่อยๆ  เพราะใจของผู้ที่ปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติไม่ได้ ก็หันมาสงสัย  ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้คงผิด มันต้องเป็นอย่างที่เราเป็นนี่แหละ  สัทธรรมก็ค่อยผิดเพี้ยนไปเรื่อยๆวัดป่าก็จะกลายมาเป็นวัดบ้าน  ที่ท่านเคยภาวนา เคยอยู่ในป่าอย่างสงบ สันโดษ ก็เริ่มมาข้องแวะกับผู้คน  กลายเป็นวัดบ้าน  พระวัดบ้านจะกลายเป็นฆราวาส คือ มีแต่เศษผ้าเหลืองทัดหู มีลูกมีเมีย มีอะไรเหมือนฆราวาสทุกอย่าง
ฆราวาสจะกลายเป็นเดรัจฉาน  ตรงนี้ที่เราสะดุ้งหัวใจ เพราะอะไร ไม่ใช่ว่าเราจะกลายเป็นเสือสิงห์กระทิงแรดกันไป  ตัวของเราก็ยังเป็นคนอยู่ แต่จิตใจจะยึดมั่นสำคัญผิดในสิ่งที่รู้เห็น  ไม่ยอมเปิดใจรับฟังคำสอนของใคร  ดูอย่างเราเลี้ยงลูกสุนัขเอาไว้  มันก็น่ารัก เราบอกอะไรมันก็ดูเชื่อฟัง  วันหนึ่งฝนตกเฉอะแฉะ มันไปวิ่งย่ำสนามจนเท้าเปรอะหมด  เราก็สั่งมันว่า นี่เจ้าอย่าย่ำขึ้นมาบนบ้านนะ  อยู่แต่ข้างล่าง มันก็นั่งฟังทำตาใส กระดิกหางแกว๊ก..แกว๊ก ทำเป็นว่าครับ..ครับ รู้เรื่องแล้วครั้นเราคล้อยหลัง มันก็ย่ำขึ้นไปทั่วบ้าน เลอะเทอะไปหมด จากเท้าที่เปื้อนขี้โคลนนั่นแหละ ครั้นจะไปดุมันก็... โธ่เอ๋ย... มันเป็นหมา จะเอาอะไรกับมันนักเล่า ก็มันพูดกันรู้เรื่องเสียเมื่อไหร่ล่ะ  เราก็ไม่ดุแต่เมื่อไรที่ฆราวาสกลายเป็นเดรัจฉาน หน้าตาก็เป็นคนอย่างเราๆนี่แหละ  แต่ใจข้างใน  อะไรที่ยึดมั่นสำคัญผิดอยู่  ก็จะยึดอยู่อย่างนั้น เราพูดอะไรด้วย ก็จะเหมือน..นี่... เท้าคุณเปื้อน อย่าย่ำขึ้นมานะ เดี๋ยวบ้านช่องเลอะเทอะหมด ก็ครับ..ครับ..ครับ  แต่อีกประเดี๋ยวเดียว  คุณเธอก็เดินย่ำไปทั่วบ้านหน้าตาเฉย  เราก็โกรธ เพราะไปยึดผิดว่า รูปร่างเป็นคน ไม่ได้พิจารณาให้เห็นตามเป็นจริง  ตกลงก็ชนกันบรรลัยวายวอด
ถ้าเห็นได้เท่าทันว่า  เออ..มันใส่เสื้อคนน่ะ แต่ใจไม่ใช่คน  เราก็คงดับเครื่อง หยุดก่อนชนได้  ไม่ไปตั้งความหวังอะไร  บอกตัวเองว่า  แต่นี้ต่อไป ถ้าไม่อยากเหนื่อย ก็จัดการปิดประตูให้เรียบร้อย เขาจะได้เข้ามาไม่ได้  เราต้องแก้ที่ตัวเรา ป้องกันที่ตัวเรา แล้วทุกอย่างจะหมดปัญหาเราก็คนประเภทคนเดินทางคนที่สอง  คือหงุดหงิดเหลือเกิน  โลกนี้แย่  ทำไมสมัยพุทธกาลถึงไม่มีมนุษย์พันธ์นี้บ้าง ความจริงมันก็มี  เพราะพระพุทธเจ้าทรงใช้ความเงียบเป็นการสอน คือ ตัดทิ้งไป ก็มี
ทีนี้ ก็ถึงคนเดินทางคนที่สาม  มาถึงก็เฉาะกาบมะพร้าวทิ้งไป เห็นกะลามะพร้าวก็พินิจพิเคราะห์ เอ...ท่านว่าเอาไว้ ใครหิวกระหายก็เอาไปกินไปดื่มได้  แสดงว่า ผลไม้นี้ต้องมีทั้งเนื้อทั้งน้ำ  แต่ดูกะลาก็ไม่เห็นว่าจะมีน้ำอยู่ได้ตรงไหนเลย ก็จับลูกมะพร้าวมาหมุนพินิจพิเคราะห์ หูก็ได้ยินเสียงน้ำกระฉอกอยู่ข้างใน ก็รู้ว่าสิ่งที่กินได้นั้นซ่อนอยู่ข้างในกะลา จึงหามีดมาเซาะตรงหัวกะลาเจาะเป็นฝาเปิดออก  ได้น้ำมะพร้าวอ่อนดื่มชื่นใจ กินเนี้อมะพร้าวที่หวานนุ่มกำลังอร่อยเปรียบเหมือนผู้ที่รู้ว่า  คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ได้มีแต่พิธีกรรม ที่เป็นเปลือก ไม่ได้มีแต่ศีลธรรมจริยธรรมที่เป็นกระพี้ แต่มีวิธีฝึกฝนอบรมใจ ให้มีภูมิคุ้มกันฟูมฟักรักษาใจให้มีสติสัมปชัญญะเป็นฐาน เกิดปัญญา เอาโลกภายนอกที่สัมผัสเรามาไตร่ตรอง จนเห็นเป็นเหตุเป็นผลเป็นธัมมะ  สอนใจให้สามารถเลี้ยงตัวเลี้ยงใจตัวเองให้ลอยตัวอยู่ในโลกนี้ได้โดยไม่ติดโรคไปกับเขา  ไม่ทุกข์โทมนัสเดือดร้อน  เพราะหลงเอาใจตัวเองไปเป็นเขียงให้เหตุการณ์ที่ไม่เป็นไปดังใจ มาสับเอา...สับเอา จนกระทั่งกรอกน้ำใบบัวบก เท่าไร เท่าไรก็ไม่ฟื้นเรารักษาใจของเราให้เหมือนใบบัว ใบบัวแม้แช่อยู่ในน้ำโคลน แลดูเหมือนสกปรกไปหมด  หรือแช่อยู่ในน้ำฝน แลดูเหมือนสะอาดผุดผ่อง พอหยิบใบบัวขึ้นมาพ้นน้ำ เคลือบใบที่เป็นมันของใบบัว จะทำให้ทั้งน้ำโคลนน้ำฝนกลิ้งหลุดไปเกลี้ยง จนมันสะอาดเท่ากัน แยกไม่ได้ว่า เมื่อกี้ใบบัวอยู่ในน้ำโคลนหรือน้ำฝนพระพุทธเจ้าทรงสอนให้พวกเราฝึกปฏิบัติใจของตัว  เหมือนเราได้ดื่มได้กินน้ำและเนื้อมะพร้าวอ่อน  เป็นอาหารให้ใจชุ่มชื่น  มีกำลังรักษาตัวของตัวไว้เหมือนใบบัว อะไรในโลกสมมุตินี้ที่มาข้องแวะ จะดีจะชั่ว ก็ไม่สามารถเปลี่ยนสภาวะของเราได้  ถ้าเรารักษาใจของเราได้อย่างนี้ รับรอง ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น เรามีเวลาที่จะหยุดได้ทันท่วงที แล้วพิจารณาไตร่ตรองจนกระทั่งได้สัมมาทิฐิมาเป็นเหตุผลที่จะแก้ไขใจของเรา  ช่วยให้เราได้คำตอบสำหรับแก้ปัญหา ชีวิตของเราก็ปลอดภัยอยู่บนมรรค  ไม่ไปชนกับใครให้เกิดความเสียหายหลายแสน ไม่ก่ออกุศลวิบากให้ตัวเองต้องไปเป็นภาระชดใช้ในภายหลัง

ถ้าเห็นด้วยกับหลักการที่กล่าวมา  เราก็มีกำลังใจ เมื่อไรจะเผลอสติ นึกถึงความเสียหายที่จะต้องไปชดใช้ซึ่งตอนนี้ยังไม่เห็นก็จริง  เพราะเราเพิ่งเอาเม็ดอกุศลหว่านลงไป  ครั้นได้ปุ๋ย ได้ฝน ได้น้ำ อีกมิช้ามินาน มันก็จะงอกเป็นความปวดหัว เป็นปัญหา มาให้เรายุ่งยากเดือดร้อนพอระลึกนึกอย่างนี้  แล้วได้ประสบผลของอกุศลวิบากที่ทำให้ยุ่งยากเดือดร้อน  สติก็จะกระชับอยู่กับใจยิ่งขึ้น พอเผลอว่า จะชนให้แหลกไปเลย  เดี๋ยวเขาไม่เห็นว่าเราเป็นคนจริง  สติก็จะเตือน..ใครจะเห็นเราเป็นคนจริง เป็นคนไม่จริง ไม่สำคัญเท่า  เราเห็นเราเป็นคนจริง   เราเห็นเราเป็นคนมีเหตุผล ยับยั้งชั่งใจตัวเองได้  เราไม่ได้อดกลั้นเพราะกลัวใคร  เราไม่ได้หยุดเพราะแหย  แต่หยุดเพราะเรารักตัวเรา  ไม่อยากมีปัญหามากกว่านี้  เวลาเหนื่อย ใครมาเหนื่อยกับเรา เราต้องเหนื่อยคนเดียวเราเห็นโลกตามความเป็นจริง ใจของเราที่ท่านว่าต่อไปฆราวาสจะเป็นเดรัจฉาน ก็ไม่เป็นแล้ว แต่เป็นฆราวาสที่เป็นมนุสสมนุสโส รูปร่างกายตัวตนเป็นมนุษย์ ใจก็เป็นมนุษย์ หรือมนุสสเทโว  ตัวเป็นมนุษย์ แต่ใจเป็นเทวดา เพราะมีความสะดุ้งละอายต่อผิดต่อบาป ไม่ทำความผิดทั้งในที่ลับที่แจ้ง ใครไม่เห็นไม่สำคัญ แต่เราเห็น เรานับถือตัวเรา เราชมตัวเรา ตรงนี้สำคัญที่สุดถ้าปฏิบัติต่อไป ต่อไป ต่อไป ใจก็เป็นมนุสสอริโย คือ ตัวเป็นมนุษย์แต่ใจขึ้นสู่ภพภูมิของอริยบุคคล ซึ่งทุกคนมีสิทธิทำได้ชีวิตประจำวันของเราแต่ละวัน  ...แต่ละวัน  อย่าปล่อยใจไปเป็นอารมณ์ว่า  ทำไม  เราถึงลำบากยากแค้นอย่างนี้  ทำไมเขาถึงไม่เป็นอย่างเรา  คิดอย่างนั้นแล้วใจจะมืดมัว  ไปยึดมั่นสำคัญผิด  เป็นเหมือนเดรัจฉาน  มองไปทางไหนก็เห็นแต่อย่างนี้  แล้วใจจะหมดกำลัง  ชอกช้ำไปเรื่อยๆ  ตรงกันข้าม  ถ้านึก...  พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้  อะไรที่เราทำวันนี้  เดี๋ยวนี้  คือเม็ดพันธุ์ที่หว่านไปพรุ่งนี้  เดือนหน้า  ปีหน้ามันก็จะงอกขึ้นมาให้เราเสวยผล
อะไรที่บังเกิดกับเราแต่ละเวลานาทีขณะนี้  คือ  ผลของเม็ดเก่าๆที่เราหว่านเอาไว้  มรดกที่เราทำเอาไว้เอง  ถ้าไม่ชอบสิ่งที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่  แต่นี้ต่อไป  มัดมือเราเอาไว้ให้ดี  อย่าให้หว่านสิ่งที่เคยหว่านลงไปใหม่อีกด้วยความเคยชินขาดสติ  เพราะมันจะพาให้เราทุกข์ทรมานในกาลข้างหน้าอย่างขณะเดี๋ยวนี้นึกเท่าทันอย่างนี้  เราจะหยุดก่อนชน  เพราะชนไปทีไร  ยิ่งทำให้เรากลับมาปวดหัวมากขึ้น  สติมาช่วยให้หยุดทัน  หยุดได้ก่อน  ถ้าปัญญายังไม่คมพอจะหาทิศทางได้ถูก  ทางที่มีอยู่นี่  มี 2  ทางเท่านั้น  หนทางไปสู่ความสิ้นทุกข์คือ มรรค  หนทางสร้างทุกข์คือ  สมุทัย  ในแต่ละขณะที่ใจเราเกิดปัญหา  ไม่ทราบจะไปทางไหน  มันมีแต่เลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา  ถ้าเลี้ยวผิดก็หันหลังกลับทางในใจเราก็มีเพียง 2  ทาง คือทางไปสู่โรงงานผลิตทุกข์  และทางไปสู่ความสิ้นทุกข์  อะไรที่เคยทำแล้วสงสัยว่า  มันคือต้นเหตุให้เราทุกข์เดือดร้อน  เพราะเราชนเขาแล้วจึงดับเครื่องทัน  มันไม่มีประโยชน์    งาไหม้หมดแล้ว  ถั่วจึงสุก  หยุดเสีย  แล้วหันหลังกลับ  ไปในทิศทางตรงกันข้ามเมื่อทำอย่างนี้แล้ว  ผลที่เคยทำให้เราทุกข์  เดือดร้อน  คันในหัวใจ  ค่อยๆดีขึ้น  ชีวิตเบาสบายขึ้น  แก้ไขอะไรแล้วได้ผล   ใจก็เกิดความเชื่อเลื่อมใสว่า  เมื่อก่อนเข็มทิศของเราชี้กลับหัว  ขั้วเหนือเป็นขั้วใต้  ขั้วใต้เป็นขั้วเหนือ  เราเริ่มปรับเปลี่ยนตัวเราด้วยวิธีนี้ก่อน   เมื่อผลจริงเกิดขึ้นเป็นเครื่องยืนยัน  สอนเรา  ใจก็ยิ่งเชื่อมั่นแน่นแฟ้น  สติตั้งมั่น  กระชับแน่นเข้า  ปัญญาเห็นชอบค่อยงอกงามตามมา  เพราะสติคือตัวตั้งคำถาม   ...เรากำลังทำอะไร   ทำไมถึงทำอย่างนี้  เมื่อมีคำถามว่า  ทำไม  ใจก็ต้องพยายามหาเหตุผลมาอธิบาย   จนได้คำตอบว่า...อ๋อ...อย่างนี้เอง...เจ้า...อ๋อ  อย่างนี้เอง  คือปัญญาเห็นชอบ  สัมมาทิฐิ  ถ้าเราฝึกให้ใจมีสติ  ระลึกรู้ว่า  ใจกำลังคิดอะไร  จะทำอะไรลงไป  ทำไปแล้ว   ผลเป็นอย่างไร   มันต้องเกิดปัญญาเห็นชอบทุกครั้ง   ถ้ายังเห็นชอบไม่จริง  ทำลงไปแล้ว  เกิดปัญหาขึ้น  เราก็รู้ชัดว่า  ที่ทำไปนั้นยังไม่ใช่ปัญญาเห็นชอบ  ถูกยังไม่หมด  ก็แก้ต่อไปเวลานาทีที่ผ่านมาในชีวิต  ก็คือแบบฝึกหัดให้เราได้รู้จักใจของตัว  ได้แก้ไขใจตัวเอง  จนในที่สุด  ใจเริ่มรู้ตามเป็นจริง   ชีวิตก็มีฐานที่มั่นคง   ถึงจะมีพายุสลาตัน  เราก็ไม่กลัว  เพราะสามารถตั้งมั่นอยู่บนฐานอันนี้  ไม่ปลิวตามพายุไปพายุสลาตันคืออะไร  ก็คือคนรอบข้าง  เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเขา  ลาภยศ  ผัสสะที่มากระทบ  สรรเสริญนินทา  ใจจะถูกสิ่งเหล่านี้  ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงเรียก โลกธรรม  หรืออีกนัยหนึ่ง  คือ  ลมพายุที่คอยมาโยกคลอนหวั่นไหวจิตใจเราให้ปลิวตามไป   เวลาเราตามลมไป  ก็รู้สึกว่า  โลกทั้งโลกเป็นกองเชียร์ของเรา  แต่เวลาพลาดไปติดบ่วงแร้ว  ตกอยู่ท่ามกลางภยันตราย  ปรากฏไม่มีใครโผล่มาส่งข้าวส่งน้ำ   ไม่มีใครเยี่ยมหน้ามาเป็นกำลังใจ  ปล่อยให้เรากระเสือกกระสน  ช่วยตัวเองอยู่โดยลำพังคราวนี้แหละ  ตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตน  เราต้องหาวิธีแยบคายที่จะเลี้ยงตัวให้รอดปลอดภัยออกมาได้  ยามสนุกเบิกบาน  ไม่ทราบกองเชียร์มาแต่ไหน  พรึ่บพรั่บเต็มไปหมด  ถ้าไม่พินิจพิเคราะห์  ไตร่ตรอง  สอนตัวเอง  เราก็ถูกพายุสลาตันของโลกธรรมกระหน่ำพัดจนสะบักสะบอม  ถอนรากถอนโคน   เปรียบได้กับต้นไม้   ถ้าถูกลมโยกอยู่เรื่อยๆ  โดยรากแก้วยังหยั่งไม่ลึกแน่นหนาพอ  ต้นจะเฉา  ในที่สุดก็ยืนต้นตายใจของคนก็เหมือนกัน  ถ้าไม่มีสติสัมปชัญญะปัญญา  คุ้มครองรักษา  เมื่อถูกโลกธรรมพัดก็หวั่นไหว  จนกระทั่งหาทิศทางที่จะไปไม่ถูก  สุดแล้วแต่เขา  ถ้าเขาพัดเราขึ้นเหนือ  เราก็ไปทางเหนือ  ถ้าเขาพัดเราลงใต้  เราก็ไปทางใต้  เมื่อเป็นอย่างนี้  ใจเราจะเฉาจากความเชื่อมั่นในตัวเอง  เฉาจากคุณงามความดีการเชื่อในหลักเกณฑ์เป็นตัวของตัว  แม้ความเชื่อนั้นจะผิด  แต่อุปนิสัยที่ไม่เหลาะแหละ  มีความเชื่อมั่นว่าจะทำต้องลงมือทำ   พิสูจน์จนเห็นจริง  เหล่านี้เป็นอุปนิสัยที่ดี  เปรียบเหมือนเครื่องมือที่จะพาเราไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง  เมื่อไรเราฉุกคิดได้  เกิดสัมมาทิฐิ  กลับทิศทางที่เดิน  เราก็เข้าสู่มรรค  ดังเช่นองคุลีมาล  แม้จะฆ่าคนมาเป็นเบือ  เมื่อพบพระพุทธเจ้าเกิดสัมมาทิฐิ  ก็ปฏิบัติจนบรรลุอรหัตตผลได้
ท่านอาจารย์เปรียบลูกศิษย์ดื้อ  เจ้าเหตุเจ้าผลว่า  เหมือนแท่งเหล็กเนื้อดี  เมื่อได้นายช่างมีฝีมือ  เอามาทำเป็นเครื่องใช้ไม้สอย  ก็ดีมีคุณภาพเยี่ยม  ส่วนศิษย์ที่ว่าอะไรก็พยักตาม  ลมพัดไปทางเหนือ  ก็ปลิวขึ้นเหนือ  พัดไปทางใต้ก็ลงใต้  เหมือนขึ้ผึ้ง  ถึงช่างจะปั้นดีวิเศษอย่างไร  พอถูกเปลวของกิเลสลนเข้าหน่อยก็คืนตัว  นายช่างลงแรงเหน็ดเหนื่อยเท่าไรๆก็สูญเปล่า  เพราะใจอย่างนั้นเป็นใจรั่ว  เป็นโมฆบุรุษ  ขาดสัจจะความจริงใจแม้กระทั่งกับตัวเอง  จึงไม่สามารถรักษาคุณงามความดีของตัวไว้ได้
เรามาดูใจเรา  ถ้าใจเรามีความแน่วแน่มั่นคง  ไม่ต้องเสียใจว่าทำไมใจเราถึงดึงดื้อถือดี  ไม่ยอมเชื่ออะไรง่ายๆ  เอาความดื้อดึงนั้นมาปรับทิศทางเสียให้ถูกต้อง  มันจะได้เป็นแรงขับเคลื่อนพาเราไปสู่จุดหมายปลายทาง  ถ้าเราเป็นคนว่านอนสอนง่าย  แต่ไม่มีกำลังเหนี่ยวรั้งใจตัวเองให้อยู่ในทิศทางที่ถูก  อยู่ใกล้อะไรก็เห็นดีเห็นงามตามไปหมด  เพราะเพ่งเล็งผลประโยชน์ตน  ไม่อยากมีเรื่องกับใคร  ถ้าเป็นแบบนี้  เราก็เป็นขี้ผึ้ง  อยู่ใกล้อะไรเข้าก็ถูกลนละลายตามเขาไป  เอาตนเป็นที่พึ่งไม่ได้สักที  ถ้าเป็นอย่างนี้  เราก็เสียผลประโยชน์ของเราการที่หยุดก่อนชนนั้น  ถ้าหยุดเพราะไม่อยากมีเรื่อง  แต่ไม่เข้าใจว่า  ที่ต้องหยุดนั้นเพราะเหตุผลอะไร  การหยุดก็ไม่มีประโยชน์  เพราะวันหนึ่งเราจะเกิดอารมณ์ค้างว่า  ทำไมเราถึงต้องเป็นฝ่ายเอาใจคนรอบข้างตลอดกาล  ถึงวันนั้น  อารมณ์ก็จะปั่นป่วนอยู่ในใจ  จนเราหาทิศทางที่จะเป็นตัวของตัวไม่พบ  เพราะเราไม่เคยเก็บเกี่ยวเหตุการณ์ในชีวิต  มาเป็นแบบฝึกหัดดัดใจของตัว  เราเพียงแต่กดเก็บความรู้สึก  ออมชอมกันเข้าไว้เถอะ  ชาวพุทธต้องอภัย  อโหสิต่อกัน  อย่ามีเรื่องกัน  อะไรหนักนิดเบาหน่อย  ก็ยกประโยชน์ให้เขาไปเสีย
ใจที่ขาดความรู้ความเข้าใจ   จะสะสมตะกอนของความฟุ้งซ่าน  สงสารตัวเอง  จนวันหนึ่งปริมาณเกินระดับที่ตัวเองจะรับไหว  มันก็ตีโพยตีพายว่า  เรื่องอะไรเราถึงต้องเป็นฝ่ายให้..ให้..อยู่คนเดียว  ครั้งนี้ครั้งที่  999  แล้วนะ  เป็นตายร้ายดีก็ไม่ให้ต่อไปอีกแล้ว  มันก็ระเบิดเปรี้ยงปร้างขึ้นมาเหมือนน้ำที่เขื่อนพัง  แล้วก็ไม่มีอะไรเป็นคุณเป็นประโยชน์แต่ถ้าเราหยุดด้วยสติสัมปชัญญะ  หยุดด้วยปัญญาเห็นชอบ  หยุดเพราะรู้ว่า  เรากำลังทำงานหนัก  ก่อร่างสร้างอุปนิสัยที่ดีเป็นกุศล  เพื่อวันหนึ่งข้างหน้าเราจะได้สบาย  ผลที่เหนื่อยยากลงทุนลงแรงสร้างเอาไว้  จะงอกงามขึ้นมาให้เก็บเกี่ยวเป็นอริยทรัพย์ไว้เลี้ยงตัว  อย่างนี้จึงจะเป็นการปฏิบัติ  ใจก็มีหลักยึดเหนี่ยว  มีปีติ  อิ่ม  เบาสบายถ้าไม่รู้จักหาอาหารให้ใจอย่างนี้  เราจะสับสน  ทุกวันนี้  เราอยู่ท่ามกลางหมู่ชนที่ส่วนใหญ่เห็นผิด  ยึดติดอยู่กับค่านิยมผิดๆแล้วไปสำคัญว่า  เสียงส่วนมากคือความถูกต้อง  เราเลยสับสนลังเลว่า  แล้วจะเอายังไงดี  ประชาธิปไตยสอนให้เคารพประชามติ  แต่พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า  จะเป็นประชาธิปไตย  จะเป็นอัตตาธิปไตย  ก็ยังไม่ถูกต้องเที่ยงธรรม  ต้องเป็นธัมมาธิปไตย  คือสิ่งนั้นต้องเป็นเหตุเป็นผล  เป็นธรรม  มีประโยชน์ทั้งกับตัวเรา  และกับผู้มาเกี่ยวข้องอะไรที่เป็นธรรม  จะไม่มีพิษมีภัยกับเราหรือกับใคร  เมื่อทำไปแล้ว  ทุกฝ่ายได้ประโยชน์  ได้ความร่มเย็นเป็นสุขถ้วนทั่วหน้า  แต่ถ้าใจยังเป็นกิเลส  เราก็ว่าธัมมาธิปไตยบีบคั้นเรา  ลิดรอนผลประโยชน์ของเรา  เราต้องแยก  เรา  กับกิเลส  ให้ออกเสียก่อน
ถ้าเห็นชอบว่า  ธัมมาธิปไตยเท่านั้นที่ควรเชื่อและยึดถือเอาไว้เป็นบรรทัดฐาน  เราก็จะไม่สับสน  เพราะธัมมาธิปไตย  บางครั้งก็เป็นเสียงข้างมาก  บางครั้งก็เป็นเสียงโดดเดี่ยว  เพื่อจะพิสูจน์ศรัทธาในพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  ของเรา  ที่เราว่า  เรามีไตรสรณคมน์เป็นที่ยึดเหนี่ยวนั้น  จริงแท้แน่แน่วแล้วหรือยังถ้าผ่านลมพายุของโลกธรรมตรงนี้ไปได้  ใจจะเริ่มมีกำลังขึ้น  เกิดความสงบเยือกเย็น  ก่อนหน้านั้น  ทั้งๆที่รู้ว่าเราถูก  แต่พอคนส่วนมากไม่เห็นด้วย  เราก็กระสับกระส่าย  กังวล  วุ่นวาย  เพราะไม่แน่ใจ  ไม่อยากเป็นมนุษย์ต่างดาว  เราอยากให้สังคมรับรองเรา  เห็นเราเป็นพรรคเป็นพวก  ซึ่งความเป็นจริงขึ้นอยู่กับสภาวะของสังคม  ถ้าสังคมเป็นคนดีมีศีลธรรม  สิ่งที่เราทำก็เป็นที่พึงพอใจ  แต่ถ้าสังคมเป็นคนทุศีล  ความถูกต้องของเราก็ปีนเกลียวกับกิเลสเขาถ้าหลักของใจยังไม่มั่น  เราก็หวั่นไหว  ครั้นทำไปตามโลกธรรม  ลึกๆลงไปในใจ  เราก็ตะขิดตะขวง  เผลอนึกถึงสิ่งที่ได้ทำไป   ก็สะดุ้งกับสิ่งนั้น  มันเป็นเหมือนมีสนิม  มีแผลอยู่ในใจเรา  ทำให้ใจรุ่มร้อน  ไม่สงบผาสุก  เราจึงต้องฝึกฝนใจให้ไม่หวั่นไหว  คนรอบข้างจะนิยม  หรือไม่นิยม  ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์สิ่งที่เป็นธรรมย่อมดีมีประโยชน์  เหมือนทองคำระหว่างที่เราเสียกรุงแก่พม่า  ก็เอาปูน  เอาดินไปฉาบพระพุทธรูปทองคำ  เอาอะไรต่อมิอะไรไปกลบเกลื่อนไว้  วันหนึ่งสิ่งที่ฉาบปิดบังเอาไว้หลุดล่อนไป  ทองคำก็ยังคงเป็นทองคำ  เราไม่เคยพบว่า  พระทองคำ  ที่ถูกปูนถูกดินฉาบไว้  นานวันไป  ทองคำกลายเป็นปูนเป็นดิน  ไม่เคยมีนี่ก็เหมือนกัน  ใจที่เป็นธรรมแล้ว  เมื่อไร...เมื่อไร..  เราไปเจอะเจอคนที่เป็นธรรม  เขาย่อมรู้ในคุณค่า  และรับรองยกย่อง  ไม่มีวันที่ทองคำจะกลายเป็นกรวด  หิน  ดิน  ปูนไปได้  หรือเราปลูกขนุนแล้ว  มันจะงอกขึ้นมาเป็นมะละกอถ้าเป็นอย่างนั้นเมื่อไร  เราค่อยมาสงสัยกันว่า  การปฏิบัติตัว  ปฏิบัติใจเพื่อสร้างอุปนิสัยที่เป็นคุณงามความดี  นี่เหมาะหรือไม่  เมื่อใจสิ้นความคลางแคลงแล้ว  เราจะได้พากเพียร  ใช้ทุกเวลานาทีในชีวิต  มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น  น้อมมาเป็นแบบฝึกหัดเป็นข้อสอบเพื่อดูว่า  สติสัมปชัญญะของเราเข้มแข็งพอที่จะคุ้มครองเราได้หรือยัง  หยุดวาจา  หยุดกาย  เพื่อให้ใจไตร่ตรองจนได้เหตุผลที่สมควร  ได้ปัญญาเห็นชอบ  แล้วจึงเดินต่อไป  เพื่อแก้ไขปัญหาให้เข้ามรรค  คือพาชีวิตเราไปสู่ความดับทุกข์ถ้าทำได้อย่างนี้  อะไร..อะไร..อะไร  ที่เกิดบนชีวิตเรา  จะเป็นความผาสุกร่มเย็นทั้งนั้น  ใจจะมีกำลัง  ใครพูดอะไรก็ไม่หวั่นไหว  เพราะสติสัมปชัญญะที่เป็นฐานรองรับ  แน่นหนามั่นคงขึ้น  เหมือนจะสร้างบ้าน  เราถมที่แน่นหนาดีแล้ว  คราวนี้จะลงเสาสร้างบ้านชั้นเดียวหรือลงเสาสร้างตึกสิบชั้น  ตึกก็ไม่ทรุดไม่ร้าวแต่ถ้าเราถมฐานไม่แน่นหนา  แล้วรีบร้อนสร้าง  ตึกก็ร้าว  เหมือนคนบางคนไม่สร้างฐานใจให้ดีเสียก่อน  ใครว่าภาวนาดีก็ไปภาวนากับเขา  ภาวนาแล้วก็ไม่รู้ว่า  เป็นโมหสมาธิ  มิจฉาสมาธิ  หรือสัมมาสมาธิ  เขาว่าสมาธิก็สมาธิ  ยิ่งทำไป  คนรอบข้างก็ยิ่งนินทา..  มันเข้าวัดยังไงกันนะ  ยิ่งเข้าวัดยิ่งพูดไม่รู้เรื่อง  เอาแต่ใจตัว  เพ่งโทษผู้อื่น  หงุดหงิดงุ่นง่านตัวคนทำก็งง  ทำไมเขาถึงว่าเราเป็นมนุษย์ต่างดาว  เราก็ปฏิบัติแล้วนี่นา  มันเลยไปกันใหญ่  ยิ่งปฏิบัติใจยิ่งไม่เป็นสุข  เจ้าตัวก็สงสัย  ไหนใครว่าปฏิบัติแล้ว  ใจจะสุขสบายร่มเย็น  มีปีติ  ทำไมเราถึงรุ่มร้อน  หงุดหงิด  ก็เพราะว่าเราไปไม่ถูกทาง  เข็มทิศของเราเป็นเข็มทิศโปเกถ้าเราดูให้รู้ชัด  ทำไปด้วยความมีสติ  ระลึกรู้ให้ใจอยู่ในอารมณ์ที่เป็นกุศล  เพียรสร้างฐานของใจให้แน่นหนามั่นคงอย่างที่คุยกันมา  รับรอง  มันจะรู้เห็นเป็นในใจใจสงบเยือกเย็น  ไม่ทุกข์เดือดร้อน  ไม่ว่าโลกข้างนอกจะแปรปรวนอย่างไร  ใจก็เยือกเย็นเป็นเมตตา  เหมือนเราเป็นน้ำตก  ใครเข้าใกล้ก็ได้ละอองเย็น  ไปช่วยให้ใจซึ่งกำลังรุ่มร้อน  กังวล  สับสน  หาทิศทางไม่ถูก  เกิดความสงบ  ตั้งมั่น  เห็นทิศทาง  และมาเป็นแนวร่วมกับเราสังคมทุกวันนี้ ถ้าแต่ละคน  แต่ละคน  เห็นชอบอย่างนี้  แล้วผนึกกำลังกัน  มีเวลาว่างนั่งสมาธิฝึกใจของตน  เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ละเวลา  นาที  แต่ละวี่วัน  จะเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เราเห็นว่า  ธัมมะเป็นจริงอย่างนี้  มีผลเกื้อกูลชีวิตจิตใจให้มีทิศทาง  ไปถึงจุดหมายปลายทางที่มุ่งหวังได้ใจก็ร่มเย็น  เห็นชีวิตเป็นสิ่งมีคุณประโยชน์ทุกๆลมหายใจเข้าและออก  จะไม่เกิดความเซ็ง  หรือหดหู่ว่า  ทำไมโลกนี้ถึงเป็นอย่างนี้  ทำไมเราถึงต้องชนกันอยู่เรื่อย  อุบัติเหตุทำไมถึงเกิดบ่อย..บ่อยเหลือเกิน  ใจที่ฝึกฝนแล้ว  จะตั้งอยู่ในความไม่ประมาท  สั่งสมปัญญา  ให้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามจริง   ทุกอย่างก็เปลี่ยนเป็นความผาสุกร่มเย็นต่อกัน  ทั้งที่โลกข้างนอกก็ยังวิปริตแปรปรวนอยู่เช่นเดิมดิฉันหวังว่าสิ่งที่มาคุยสู่กันฟังในวันนี้  จะเป็นกำลังใจช่วยให้ชีวิตของพวกเราหยุดก่อนชนได้ทุกครั้ง   เราเกิดความโล่งใจ  เบาใจ  มีสุขภาพใจปกติแข็งแรง

พิมพ์โดย     ปภัสสร มีพงษ์
แหล่งที่มา  http://web.krisdika.go.th/buddha/36_yudkonchon.pdf

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Back To Top