Header Ads

วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2561

บทความหมออมรา สุขใดที่ใจใฝ่หา

บทความหมออมรา
สุขใดที่ใจใฝ่หา


ชื่อผู้เขียน         พญ อมรา มลิลา
วันที่                8 กันยายน 2532
ณ                   ศูนย์ฝึกอบรม กทม. หนองจอกโครงการ 'พัฒนาคุณภาพชีวิตกองฝึกกอบรม กทม.
อันดับที่     
หมวด



สวัสดีค่ะเช้านี้เราจะพูดกันถึงเรื่องความสุขดิฉันเชื่อว่า เราทุกคนรู้จักความสุขกันเป็นอย่างดีแล้ว และพยายามแสวงหาให้กับตัวเองมาโดยสมํ่าเสมอ เพราะ อะไร ๆ ที่เราทำตั้งแต่รู้ความมานี่ เราทำเพื่อหาความสุขให้ ตัวเองทั้งนั้น แต่วิธีที่แสวงหานั้น บางท่านก็ไปค้นพบเมื่อ ภายหลังว่า สิ่งที่ตั้งเป้ามุ่งหวังว่า จะทำให้เรามีความสุขนั้น กลับไมใช่ก็มีอย่างสมัยที่เรายังเด็กอยู่ เราก็เข้าใจไปว่า อะไรที่ เป็นสิ่งแปลก เป็นสิ่งใหม่ เพื่อนเขาทำกัน เราไม่เคยได้ทำ คงเป็นความสุข พวกผู้ชายก็คิดว่า ถ้าได้ลองสูบบุหรี่ สูบ กัญชา หรือลองกินเหล้าดู คงเป็นความสุขตัวเองเมื่อสมัยเด็ก ๆ แม่จะคอยตรวจตราว่า หน้งสึอ อะไรอ่านได้ หนังสืออะไรอ่านไม่ได้ พอเข้าโรงเรียนเตรียมฯ
เข้ามหาวิทยาลัย เกิดความรู้สืกว่า ถ้าได้อ่านหนังสือที่พ่อ แม่ห้าม แต่เพื่อนฝูงล้วนอ่านกันได้ คงสุขใจดีพิลึกหรือถ้าจะไปดูหนัง ก็ต้องไปกับที่บ้าน ครั้นไปคบหา สมาคมอยู่กับเพื่อนที่เชาชวนกันไปดูหนังกันอย่างเสรื ก็รู้สืก ว่า ถ้าแอบทำอะไรที่พ่อแม่ห้ามทำได้ คงเป็นความสุข สนุก ตื่นเต้นดีแท้ แต่ไม่รู้หรอกว่า จริง ๆ แล้ว นั่นเป็นการเริ่มต้น หาความทุกข์ใส่ตัวแท้ ๆ เพราะหากท่านทราบเข้า ก็ต้อง โดนดโดนทำโทษ ถูกตัดค่าขนม ค่าอาหารกลางวันแล้วแต่กรณีถึงท่านไม่ทราบเราก็สร้างนิลัยไม่ชื่อลัตย์ให้กับตนเอง กลายเป็นคนมีที่ลับ ที่แจ้ง ต้องคอยถนอมนํ้าใจ เพื่อน เพื่อเขาจะได้ไม่เอาความลับของเราไปบอกพ่อแม่ กลายเป็นคนหมดอิสรภาพแทนที่เราจะได้คิดว่า การที่ท่านมีกรอบระเบียบ หรือ มีหลักเกณฑ์ให้เราประพฤติปฏิบัตินั้น เป็นเพราะท่านห่วงใย เรา อยากให้อะไรก็ตามที่เรากระทำลงไป เป็นสิงที่ดีงาม มี คุณประโยชน์กับตัวของเราเหมือนอย่างกับการรับประทานอาหาร ก็ควรเลือก อาหารที่รับประทานเข้าไปแล้ว ไปเป็นประโยชน์กับร่างกาย ไมใช่รับประทานเข้าไปเพราะความอร่อย ทั้ง ๆ ที่มันเผ็ด

ร้อน เต้นวูบวาบไปหมด แต่เราก็ว่าอร่อย ทั้งๆ ที่ ภายหลังรับประทานเข้าไปแล้ว ก็ปวดท้อง อาหารไม่ย่อย ทำให้เกิดความทุกข์ ความไม่สบายกาย หรือขณะถ่ายก็ รู้สืกแสบร้อนไปตลอดช่องทวารในความรู้สืกที่ยังไม่รู้จริงของเรากลับเข้าใจไปว่าชีวิตอย่างนั้นเป็นชีวิตที่สุขที่มี'รส'ชาติ แล้วก็เพ่งโทษว่าผู้ใหญ่นี่น่ะ ครํ่าครึ...ตัวเองครํ่าครึ แล้วไม่พอ ยังจะมา โน้มน้าวให้เราพลอยมีชีวิตอันสุดเซ็ง จืดชืด ตามไปด้วยแต่เมื่อเราโตขึ้น...โตขึ้น จึงค่อย ๆ เห็น ชีวิตที่เรา นึกว่ามีรสชาติชีวิตที่เรารู้!ม่เท่าทัน ที่เราคิดว่าเป็นการเสียงโชค หรือลองท่าอะไรที่น่าใจหายใจควํ่า เป็นของสุข สนุก จริง ๆ ไม่ใช่หรอกบางทีกลับเป็นการทำให้เราขาดทุนปนปีแล้วก็ได้แต่มาเสียใจเมื่อภายหลัง จนกระทั่งขาดสติ แกไขปัญหา ไปในทางที่ผิดอีก คนบางคน จากชีวิตที่ดีงาม มั่นคง ปลอดภัย กลายมาเป็นชีวิตที่สร้างแต่หนี้สิน เป็นชีวิตที่มี ความลับ ซึ่งไม่สามารถจะสารภาพกับใครได้ เพราะอาย... เพราะคิดไปว่า การที่ใครมาล่วงรู้ความผิด ความบกพร่อง ของเรา เป็นของน่าอับอาย แต่ไม่ได้คิดว่า การที่เราเอา อิสรภาพของเราไปขาย เพื่อซ่อนเร้นปกปิดความผิดอันนั้น
ยิ่งทำให้ชีวิตห่างไกลจากความสุขมากยิ่งขึ้นไปอีกพระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า ใจของเรามาจากความ ไม่รู้ ถ้าเรารู้แล้ว เราไฝมาเกิด ถ้าเรารู้แล้ว เราฉลาด มี ปัญญาญาณแล้ว เราจะเห็นทุกอย่างตามเป็นจริง ชีวิต1ของ เราต้องบรมสุขอย่างพระพุทธองค์และพระอรหันต์ทั้งหลาย นี่ชีวิตของเราเหมือนเด็กเล็ก ๆ ที่ยังไม่เดียงสา ไฝ มีสติสัมปชัญญะพอจะไตร่ตรองและแยกวิถีทางดำรงชีวิตของ ตนให้ถูกต้องได้ทุกครั้ง เราจึงต้องเรียนรู้จากความผิดพลาด ส่วนใหญ่ ก่อนที่จะรู้ว่าอะไรถูกต้อง อะไรไฝถูกต้อง เราก็มักเผลอแล้วเผลออีก เหมือนเด็กเล็ก ๆ ก่อนจะเดิน แข็ง เดินเป็น ก็ต้องเดิน'หน้าควํ่า หน้าหงาย ล้มแล้วล้มอีก จนกระทั่งเริ่มรู้ว่า เมื่อล้มลงไปแล้ว มันเจ็บหนา จึงตั้งสติ พยายามทรงต้วให้ได้ ครั้นเราเดินได้แข็งแล้ว เราวิ่งเป็นแล้ว เราลืมความหลัง ที่กว่าจะเดินได้อย่างนี้เราต้องล้มลุกคลุกคลานมาเลืยก่อนนานเท่าไรเราก็เลยใจร้ายกับคนอื่น เห็นใครเดินไฝคส่อง เดิน ไฝแข็ง หรือพลั้งพลาด แทนที่เราจะให้กำลังใจ เรากลับ มีความสุขสนุกในการที่จะทำให้คนอื่นเห็นดูสิ...ดูสิ...ดูสิเขาทำไมถึงยังหกล้มอยู่ได้ลืมความหลังของเราเสียแล้วว่าตอนที่เรายังเป็น
อย่างนั้นน่ะ เราก็ไม่อยากให้ใครมาเยาะเย้ย หรือมาชี้ให้ เห็นที่ผิดของเรานี่แหละ บางครั้งการแสวงหาความสุขความสนุกของ เรา ก็ไปอิงอยู่บนความทุกข์ของผู้อื่น แล้วทำให้เมื่อตัวเอง ต้องประสบภาวะอย่างนั้นบ้าง ก็น้อยใจว่า ...เอ๊ะ ทำไม เพื่อนถึงใจร้ายกับเรา แท้ที่จริง เขาไม่ได้คิดอะไรร้าย เขา ดูเรา เขาอยากล้อเล่น อยากหัวเราะ แต่เราหัวเราะไม่ออก ฉะนั้น ขณะที่เรายังคะนองอยู่ วิธีหาความสุขให้กับตัวเอง จึงเป็นเรื่องติดลบ ทำให้คนเข้าใจผิด แล้วมาทำอย่างนั้น กับเรา เราก็เลยไปคิดว่า อ๋อ...นี่เขาเยาะเย้ยเรา ไม่เห็นใจ เรา ไม่ดีกับเราความสุขแบบที่กล่าวมานั้น เป็นด้นว่า เราก็ไปสูบ บุหรี่ ไปสูบกัญชา กินเหล้า เล่นการพนัน ลิ้มลองทุกอย่าง หรือบางคนก็ลองมากไปกว่านั้น เพื่อพิสูจน์ว่า ฉันก็เป็น ชายจริง อะไรทำนองนี้ ล้วนเป็นการกระทำที่ไม่รอบคอบ ต่อมาเราก็เริ่มเห็นว่า จริง ๆ แล้ว ความสุฃที่เรา คิดว่ามันเป็นความสุข ล้วนมีผลติดตามมาเป็นหนี้สิน เป็น ภาระความรับผิดชอบที่เราแกะไม่หลุด หรือเป็นสนิมในใจ ของเราทั้งนั้นเสาะแสวงหาต่อไประมัดระวังว่า อะไรจะเป็นความสุฃที่จีรังยั่งยืนกันแน่ บางคน ก็พบหลักว่า ความสุขที่จีรังยั่งยืนนั้นคือ สิ่งที่ทำให้ใจของ เราเป็นอิสระ
ใจเป็นอิสระได้ก็คือ เราต้องมีรายได้ จับจ่ายใช้สอยพอหัว เดือนชนท้ายเดือน ถ้าเรามีครอบครัว ครอบครัวของเราจะ ต้องมีความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายตามสมควรเมื่อเป็นอย่างนี้ เราก็คิดว่า ความสุขคือการแสวงหาทรัพย์บางคนยึดเกินเลยไปแทนที่จะแสวงหาทรัพย์
เพื่อให้ทรัพย์มาเป็นปัจจัยให้เราน่าไปแลกเปสิ่ยนให้เกิดเป็นความสุขของใจ เราลืมไป กลับไปคิดว่า การแสวงหา ทรัพย์เป็นตัวความสุขไปแล้วเราไปเห็นว่าตัวเลขในบัญชีคือความสุขเราก็เลยทำตัวเราให้กลายเป็นเครื่องปัมเงินไป แล้วก็ไม่มีความสุขหรอกตัวเองมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง เมื่อจบออกมาเขาก็แต่งงานมีครอบครัว เขาตั้งเป้าไว้ว่า ภรรยาและลูกจะต้องมีความ สุขแค่นั้นแค่นี้ มีเงินทองจับจ่ายใช้สอย ไม่ให้น้อยหน้า เพื่อนฝูง ประกาศกับเพื่อน ๆ ว่า อายุ 40 ไปแล้ว จึง จะมีเวลามาลังสรรค์กับเพื่อน ๆ ได้ ตอนนี้ต้องตั้งหน้าหาเงินสร้างครอบครัวก่อนรุ่นเราจบออกมาแล้วก็นัดพบกันปีละครั้งเขาประท้วง...ไม่ได้เวลานี้เป็นเวลาที่จะต้องขวนขวายหาเงินหาทอง นอกจากทำราชการแล้ว ก็ทำร้านส่วนตัว ถ้าจะ ปิดร้านบ้าง ประเดยวคนไข้มาแล้วไม่พบ จะเลยไปร้านอื่น ทำให้เสียคนไข้ไปโดยใช่เหตุ เขาบอกว่า ให้อายุ 40 เสีย ก่อน ตั้งเป้าเอาไว้ว่า เดือนหนึ่ง ๆ จะต้องมีรายได้เท่านั้น เท่านี้ครั้นอายุได้  37 ก็บอกว่า 40 ไม่พอแล้ว ต้อง 45เพราะว่าตอนนี้ค่าของเงินบาท ก็เล็กลงอัตราดอกเบี้ยก็ลดลง เทียบแล้ว ที่เคยได้เดือนละเท่านั้นเท่านี้ ค่าแท้จริงก็ลดลงไป ยังไม่ถึงเป้า เพราะฉะนั้นต้องยืดเวลา ออกไปอีก 5 ปีพวกเราก็ขบ,ขัน ลูกเต้าก็ไมใช่จะชื่นใจ เพราะเพื่อน ๆ ได้ไปตากอากาศหยุดเทอมใหญ่พ่อแม่ของเพื่อน ๆก็พาลูกไปเที่ยวต่างจังหวัด ไปที่ไหนต่อที่ไหนเป็นการศึกษา โลกกว้าง คุณพ่อรายนี้...ไม่ได้...ลูกเที่ยวในกรุงเทพฯ เสีย ก่อน เพราะพ่อต้องรีบหาเงินไว้ให้เป็นหลักเป็นฐานสำหรับ อนาคตของลูกลูก ๆ ก็เซ็ง เพราะต่างก็ปรารถนาจะมีพ่อ ไม่
ปรารถนาจะมีเครื่องปั๊มเงิน อยากมีเวลาได้พูดคุยกัน ไม่ได้ อยากมีพ่อเป็นหมอนักธุรกิจอยากให้เป็นคนธรรมดา...ธรรมดา ที่มีเวลาว่าง เวลาพักผ่อนหย่อนใจเล่นหัวสรวลเสเฮฮากันบ้างเขาก็ยังไม่ได้คิดเมื่อเขาอายุได้ 40 กว่า ๆ ยังไม่ทันถึง 45 เลย วันหนึ่ง เพื่อนนักเรียนแต่สมัยชั้นมัธยม ถูกที่ทำงานล่ง มาตรวจสุขภาพประจำปี ซึ่งต้องฉายเอกซเรย์ปอด ก็มาหา เขาที่ที่ทำงานด้วยความมีนํ้าใจ เขาก็กุลีกุจอพาเพื่อนลงมาที่แผนก เอกซเรย์ พวกลูกคิษย์เห็นเข้า ก็คะยั้นคะยอว่า อาจารย์ก็ อายุเกิน 40 แล้ว วันนี้อาจารย์ว่าง ลงมาถึงที่นึ่แล้ว ขอ ฉายเอกซเรย์ปอดสักหน่อยนะครับว่าแล้วก็จับตัวคุณหมอเข้าไปฉายเอกซเรย์เลียด้วย ซึ่งตอนนั้นคุณหมอไม่มีอาการอะไรเลย เพียงแต่ไป ดูแลบรีการเพื่อน ให้เขาอบอุ่นใจ คุณหมอไม่ได้คิดสงสัย อะไรเลยผลเอกซเรย์ปรากฏว่า ที่ปอดกลีบบนขวามีรอยฝา ขนาดเหรียญ 5 บาท เอาไปให้ผู้เชี่ยวชาญทางเอกซเรย์ดู ให้แพทย์ผู้ชำนาญทางทรวงอกดูทุกท่านมีความเห็น
เหมือนกันหมดว่า มะเร็ง...มะเร็ง...ตัวคุณหมอเองเห็นฟิล์มเข้าก็หน้าซีด เพราะว่าลักษณะเงาอย่างนั้น ไม่มีทางเถียงเป็นอื่นได้ นอกจาก มะเร็ง หลังจากดูกันอย่างถี่ถ้วนแล้ว แพทย์ทุกคนลงความ เห็นพ้องต้องกันว่า ควรผ่าตัด เพราะมะเร็งเพิ่งเป็นระยะ เริ่มต้น คนไข้ยังไม่มีอาการอะไรเลยดูจากเงาในปอดก้อนก็ยังเป็นขอบเรียบชัด กลมเหมือนเหรียญ 5 บาท ดู สะอาดเรียบร้อยยังไม่มีรากงอกออกไปเปรอะที่ตรงไหนก็คิดว่า การผ่าตัดควรจะสามารถเอาก้อนมะเร็งออกไปได้ เกลี้ยงเกลา เพราะผู้ปวยยังไม่มีอาการ ยังไม่มีอะไรผิดปกติ ก็เป็นอันว่า หลังจากเอกซเรย์ทราบผลแล้ว 2-3 วัน คุณหมอก็ถูกผ่าตัดเรียกได้ว่าได้รับการรักษารวดเร็วเฉียบไวมาก เมื่อเทียบกับคนไข้รายอื่น ๆหลังจากผ่าตัด แพทย์ทุกคนมีความหวังว่า ทุกอย่าง จะเรียบร้อยเพราะขณะผ่าตัดก็สามารถคว้านเนื้อมะเร็งออกมาได้เกลี้ยงเกลาแต่ปรากฏว่า หมองูตายเพราะงู มะเร็งนี้เป็นชนิด ร้าย หลังผ่าตัด คนไข้ยังไม่ทันออกจากโรงพยาบาล ก็เริ่ม มือาการที่อื่นต่อไป คลำได้ต่อมนํ้าเหลืองโต ต้องฉายแสง ให้ยาฉีดเข้าเส้น เรียกว่า ได้รับการรักษาทุกอย่างรวดเร็ว
เต็มที่ แต่ปรากฏว่า มะเร็งก็คงลุกลามต่อไปเสมือนไม่ได้ มีการรักษาใด ๆ กระจายลงไปตับ ในปอดก็มีฝืาเปรอะ ทั่วไปทั้งสองข้าง และเริ่มมีนํ้าท่วมปอด ตัวคนไข้เองก็รู้ตัว ว่า คงจะอยู่ต่อไปอีกไม่ได้นานระหว่างนั้นคุณหมอก็พยายามทำใจเข้มแข็ง
ปลอบลูกเมียว่า...ไม่เป็นไรหรอกไม่ต้องตกใจ...ไม่ต้องกังวล...ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็รู้อยู่ว่า อาการของโรคหนักแค่ไหน เจ้าตัวสั่งเพื่อนฝูงไว้ว่า เมื่อถึงตอนหน้าสิวหน้าขวาน อย่าให้ภรรยาและลูกเข้ามา ลูกก็ยังไม่โตนัก เพื่งอยู่มัธยม ต้น เขาให้เหตุผลว่า ถ้าภรรยาและลูกมาร้องไห้กระจองอแง แล้ว ตัวจะใจเสิย ตั้งสติไม่อยู่หล้งจากเอกซเรย์ทราบโดยบังเอิญได้ 4 เดือนคุณหมอก็สินใจเรื่องนี้เป็นตัวอย่างให้ เห็น ว่า การไปคิดว่า เราจะ มีชีวิตอยู่ถึงเท่านั้น เท่านี้ ตอนนี้เราตั้งหน้าประพฤติตน เป็นโรงปัมกษาปณ์อย่างเดียว พอถึงกำหนดเวลาเท่านั้น เท่านี้จึงจะเอาเงินเหล่านั้นมาใช้ก็ไม่ใช่ของแน่นอนเพราะเราไม่รู้ว่า ชีวิตซองเราจะมีอายุยืนยาวไปเท่าไรเงินไม่ใช่ตัวความสุข หากเป็นเพียงสื่อที่ช่วยให้เรา ไม่ลำบากเดือดร้อนอย่างสัตว์หรือคนยากคนจนที่เข้าขึ้น
ก็ต้องรีบเร่ง ตีนถีบปากกัดแสวงหา เพื่อว่าเย็นลงจะได้เอา ส่วนที่หามาได้นั้นไปชื้อหาอาหารมกินประทังชีวิตไปชั่วแต่ละวัน...แต่ละวัน บุคคลเหล่านั้นต้องทำงานสายตัวเป็น เกลียว เพื่อจะได้มีพอกินพอใช้สำหรับวันหนึ่ง ๆ เมื่อเป็น อย่างนั้น ชีวิตก็หมดไปกับการหาเงินเพื่อเอามาจับจ่ายกังชีพ เท่านั้น แต่อย่างเรา...เรานี้ถ้ารู้จักภาวะเศรฐกิจให้รัดกุมเราจะมีเวลาดูแลสำหรับตัวเองมี เวลาที่จะชื่นชมกับธรรมชาติกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวแล้วสร้างความสนิทสนมชื่นชมกับครอบครัวของตนในด้าน จิตใจ เพื่อให้เกิดเป็นความสุข ความอิ่มเติมของใจขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้น การที่เราขวนขวายประกอบสัมมาอาชีพ ให้มีทรัพย์ไว้จับจ่ายใช้สอยนั้น เราก็ควรรู้ถึงวัตถุประสงค์ ที่แท้จริงของมัน มีฉะนั้นก็จะเช้าทำนองคนทำไร่มะขามหวาน ช่วงหนึ่งมะขามหวานราคาดี ทุกคนก็ตื่นเต้นทำไร่มะขามหวาน แต่ผู้ทำไร่มะขามหวานไม่ได้สืกษาให้เช้าใจว่า เมื่อตนทำไร่ มะขามแล้ว ก็ได้ ฝ็ก มะขาม เราไม่เห็นตรงจุดนี้กันเราไปมุ่งหวังว่าทำไร่มะขามหวานแล้วเมื่อฝึกมะขามออกมา เห็นฝึกแต่ละฝึกกลายเป็นแบ้งก์ใบละร้อย ใบละห้าร้อย เพราะในใจที่ไร้สำนึกของเรา จัดการคำนวณ
ล่วงหน้าเอาไว้เรียบร้อยแส้วว่า มะขามของเราจะกิโลละสองร้อย สามร้อยเราตั้ง เป้า เป็น เงิน เอาไว้ แต่ไม่เคยฉุกคิด ขวนขวายสืกษาว่า มะขามของเรา รสจะหวานสนิทเท่าพันธ์เดิมดังที่คาดหวังไหม ตลาดปีนั้น จะมีผู้ผลิตอื่น ๆผลิตมะขามออกมาล้นหลาม หรือว่ามะขามจะขาดแคลน ผลิตออกมาเท่าไร คนชื้อเอหมดเราไม่ได้มองให้รอบคอบไม่ได้รู้จักลิงที่ตนกำลังเผชิญอยู่ตามเป็นจริง แบบเดียวกับที่เราคิดว่า มีเงินแล้ว จะมีความสุข ไม่ได้มองว่า เงินเป็นตัวสุข หรือจริง ๆ แล้ว เราต้องรู้จักใช้ รู้จักแปรเงินให้ไปเป็นตัวสุขถ้ามีเงินแล้ว ไปคิดว่า เงินเป็นความสุข เป็นต้นว่า เห็นเขามีรถเบนช์ขี่ เราต้องมีเบนช์ เขามีโรสลอยด์ เรา ต้องมีโรสลอยด์ เขามีบ้านอย่างนี้ เราต้องมีบ้านอย่างนี้ถ้าเป็นแบบนี้ เงินก็ไม่เป็นความสุขหรอก เพราะยิ่งมีมาก เท่าไร ก็ยิ่งท่าให้เราไม่อิ่มไม่เต็มมากยิ่งขึ้นเท่านั้นยามมีเราก็เหลียวไปมองเปรียบเทียบกับคนอื่น ตั้ง เป้าปีนบันไดขึ้นไปเรื่อย ๆ จนไม่รู้ว่า จะปีนขึ้นไปถึงตรง ไหน ดีไม่ดี เราก็อาจปีนขึ้นไปติดอยู่บนตึก 20 ชั้น แล้ว ถูกย่างสดอยู่บนนั้น อะไรทำนองนี้
ใจของคนเรา บางทีก็หลอกตัวเองสาหัสที่สุด ไม่มี ใครที่จะทำทุกข์ให้เราได้มากเท่ากับที่ใจของเราทำให้ตัวเอง เริ่มต้นตั้งเป้า เราก็ว่า เราไม่ต้องการอะไรมาก ชีวิตเรา ต้องการความสุขเท่านั้นเอง แต่เมื่อทำไป...ทำไปแล้ว ปรากฏ เราไปติดอยู่บนกองทุกข์มหึมาเลย เพราะบันไดที่เราคิดว่า จะพาเราปีนไปหาความสุขนั้น กลับกลายเป็นภูเขาของความ ทุกข์ อย่างตัวอย่างที่เป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อปีสอง ปีมานี้มีครอบครัวหนึ่ง พ่อบ้านลาพักร้อน พาภรรยากับ ลูกไปเที่ยวปักษ์ใต้ ตัวเองเป็นชาวภาคกลาง ยังไม่เคยเห็น ปักษ์ใต้ ระหว่างไป กำลังเป็นช่วงที่มีการลักลอบขนเฮโรอีน ออกทางชายแดนขณะที่ทำนผู้นี้ยืนคอยจะข้ามถนนไปฝังตรงข้าม มี เด็กรัยรุ่นเอาท่อกระดาษแบน ๆ มาส่งให้ พลางบอกว่า พี่ครับ...พี่ครับช่วยเอาท่อกระดาษนี้ไปให้เพื่อนผมที่ฝังข้างโน้นหน่อยแวบหนึ่ง คุณผู้ชายท่านนี้ก็นึก ...เอ...นี่ต้องเป็น ของไม่ชอบด้วยกฎหมายแน่ ท่อแบนเล็กนิดเดียว ไม่หนัก ไม่หนาอะไร แล้วนายคนนั้นก็รูปร่างลํ่าลัน เป็นหนุ่มเป็น แน่นกว่าเรา ทำไมไม่ถือไปเอง ซํ้าร้ายยังบอกอีกว่า พี่เอา
ไปถึงผิงข้างโน้น ซึ่งเดินข้ามถนนสิบกว่าก้าวเท่านั้น ‘เพื่อน ผมจะให้ค่าปวยการห้าพันบาท ก็ยิ่งแนใจใหญ่ ไม่มีใคร หรอก อยู่ดีดี๊ ดีดี จะให้เราถือห่อเล็กนิดเดียว ด้วยสนน ราคาค่าจ้างถึงห้าพันแต่ความโลภที่มีอยู่ในใจ ทำให้[จส่วนไร้สำนึกคิด ติดต่อไปในวินาทีนั้นว่า...อือม์...มันก็เหมือนเราถูกหวยใต้ดิน น่ะ เหลียวซ้ายแลขวามองโดยรอบ ก็ไม่เห็นมีวี่แววของ ตำรวจ หรืออะไรที่ผิดปกติโดยไม่รู้สืกตัว เขาก็ยึ่นมือออกไปรับ ทั้ง ๆ ที่ใจที่ สำนึกรู้ก็ลังเลว่า มันไม่น่าเสียงนะ เพราะคิดไตร่ตรองดูก็ เป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผลเลยแต่ใจฝ่ายดิบของมนุษย์เราที่เป็นรวงรังของทุกข์ บงการให้ยื่นมือออกไปรับห่อนั้นมา แล้ว เพราะเราทุกคนก็ชอบเสียงโชค ชอบของอะไรทีได้มา โดยไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไร ขอประทานโทษที่จะใช้คำไม่ สุภาพว่า คงเป็นลันดานที่ผิงรกรากอยู่แน่นหนา เพราะเรา มาแต่กิเลสนี่คะเป็นอันว่า เขาก็ถึอห่อนั้นไป เมื่อไปถึงถนนฟากโน้น กำลังยื่นส่งให้ผู้ที่คอยรับอยู่ ตำรวจนอกเครื่องแบบก็กรูเข้า มา จับได้คาหนังคาเขา เพราะว่าของกลางยังอยู่ในมือท่าน ปฏิเสธว่า ไม่รู้ ไม่ทราบว่าเป็นอะไรเพราะไมใช่ของ
ของท่าน เด็กฝังข้างโน้นวานให้ช่วยถือมาแต่พอเหลียวชไปเด็กฝังข้างโน้นก็อันตรธานเป็นอากาศธาตุไปหมดแล้วท่านก็ถูกอับในข้อหาว่า ครอบครองของผิดกฎหมาย แล้วถูกส่งไปฝากข้งไว้ในคุก คิดดูเถอะ เราเห็นว่าเรากำลัง จะมีความสุข เพราะอยู่ดี ๆ ก็จะได้ห้าฟันบาท โชคดีแท้ ๆ จะได้พาลูกเมียข้ามไปเที่ยวมาเลเชียเห็นหรือไม่ว่า ถ้ามองแต่แง่สดใส ทุกอย่างปูลาด ด้วยกลีบกุหลาบ เราลีมนึกไปว่า ยังมีความจริงอีกด้านหนึ่ง ว่า หากไม่เป็นไปอย่างคิด เป็นไปอย่างร้ายที่สุด ซึ่งสติของ เราก็เตือนเราแต่แรกแล้ว แต่เราไม่ยอมฟัง ครั้นเหตุการณ์ ผิดคาดไปอย่างนี้ ก็เจ็บใจ ก็แค้นใจ แล้วความสุฃที่คิดจะ ได้ก็กลายเป็นนรกไปชัด ๆข้อร้ายที่สุด ที่จะติดตามมาคือ ถ้าเราแก้ข้อหาไม่ หลุด แล้วต้องติดคุก อะไรจะเกิดขึ้น?เราลงทุนด้วยราคาที่แพงที่สุด เราถูกออกจากราชการ ไม่ได้เบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ อนาคตหมดสิน ถ้าภรรยา เรามาจากตระกูลเก่าที่ยึดมั่นว่า เชื้อสายฉันไม่เคยมีใครเป็น คนขี้คุกขึ้ตะราง เขาก็อาจจะฟ้องขอหย่าจากเรา เราก็ แค้นอกไหมีไส้ขมหนัก เข้าไปอีก เพราะ
ความจริงแล้วที่เราเสี่ยงทำลงไปนั้นก็เพราะความรักภรรยา รักลูก ถ้าลำพังตัวของเรา เราไม่ทำหรอก มันก็ก่อ ให้เกิดเวรขึ้นมาอีก เพราะเราหลงไปเคียดแค้นว่า ...ผู้หญิง คนนี้ ขออย่าไค้เจอะ อย่าได้เจอกันอีกเลยนะ ขืนเจอ เมื่อไรละก้อ จะตามฆ่าเสียให้อาสัญ ...แล้วก็ถูกจับเข้าคุก เป็นรอบที่สอง คราวนี้เพราะเป็นฆาตกรชีวิตของคนทุกคน ล้วนตั้งเป้าไว้ว่า จะหาแตัความ สุข แต่บางครั้งการตัดสินใจผิดพลาดด้วยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือเผลอปล่อยใจไปตามอารมณ์แวบเดียว ก็มีผลทำชีวิต ของตนให้พลิกผัน เหมือนอย่างกับผันร้าย แล้วตัวเองก็ แก้ปัญหาไม่ออก เพราะตั้งสติรับความจริงที่โหดร้ายอันนั้น ไม่ได้อีกรายหนึ่ง เป็นเด็กหนุ่ม อายุยังไม่ทันถึง 30 ขับรถพาคู่รักไปกินข้าวกัน เสร็จแล้วก็จะเอาคู่รักกลับไปส่ง บ้าน บังเอิญเวลาดึกไปสักหน่อย และดื่มเบียร์เข้าไปดวย พอแล่นรถมาตามถนน รถสิบล้อแซงรถค้นหน้า สวนทาง เข้ามาวิ่งอยู่บนช่องถนนที่เป็นทางของเขาแทนที่จะหลบลงข้างถนนเพราะเห็นว่าคนขับรถสิบล้อกำลังเมามัน เบียร์ที่ซ่านอยู่ในสมอง ทำให้เกิดความ ยึดมั่นถือรั้นขึ้นมาว่า ...ก็นี่มันช่องถนน ของตู นี่นะ ถ้าชน
 กันเราก็มีสิทธิตามกฎหมาย เราต้องชนะ ตำรวจหรือใคร ๆ ก็ต้องเห็นพ้องต้องกันว่า เราใช้สิทธิของเรา แต่เขาลืมไปว่า คนเดินถนนอยู่บนทางม้าลาย ยังถูกรถชนตายได้ผลก็คือรถเขาและรถสิบล้อพุ่งเปรี้ยงเข้าประสานงากันอย่างเต็มกำลัง คู่รักตายคาที่ ตัวเองตกเลือด ในสมอง สลบไป ตำรวจพาไปส่งโรงพยาบาล ได้รับการ ผ่าตัดเปิดกระโหลก เอาเลือดที่ตกคั่งออกได้เมื่อพ้นขึ้นมาแล้ว เขากลายเป็นอัมพาตไปครึ่งซีกข้างขวา แต่คุณหมอมีความหวังว่า อาการอัมพาตนั้นเนื่อง มาจากสมองถูกกระเทือนอย่างแรง และถูกเลือดที่ออกมา คั่งกดทับอยู่นาน ทำให้เนื้อสมองชํ้าบวม ถ้าเมื่อไรเนื้อสมอง ยุบเข้าที่เรียบร้อยแล้ว อัมพาตจะหายไป ระหว่างที่ยังมี อาการอัมพาต คุณหมอส่งคนไขไปทำกายภาพป่าบัด เพื่อ อนุรักษ์กล้ามเนื้อไว่ไม่ให้เกิดอาการลืบฝ่อจากไม่ได้ใช้งาน แต่คุณคนใช้ทำใจไม่ได้ เขารับความจริงไม่ได้ พอ เจ้าหน้าที่มารับเพื่อไปทำกายภาพป่าบัดให้เขาช่วยตัวเองทรงตัวลุกขึ้นยืนและเอาแขนขวาซึ่งไมมีเรี่ยวแรงดันนํ้าหนักขึ้นไปตามทางลาดชัน 30 องศา เพื่อเป็นการ ออกแรงต้านนํ้าหนักจะได้รักษากล้ามเนื้อไวไม่ให้ฝ่อลืบจากไมใช้งาน
ผู้ชายอายุเกือบ 30 ร้องไห้โฮเหมือนเด็กอายุ 5 ขวบ พร้อมกับครํ่าครวญว่า เอาผมกลับไปนอนใหม่ นี่ไม่ใช่ เรื่องจริง ฝันร้ายต่างหากคือเขาคิดว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นฝันร้าย ทำใจให้รับไม่ได้ เป็นตายยังไง...ก็เป็นไปไม่ได้ ก่อนจะไปเกิดเรื่องนี้ขึ้น ฉันเป็นหนุ่มลํ่าลัน..แล้วทำไม...เกิดอะไรขึ้น...ฉันถึงกลายเป็นคนตายไปครึ่งชีกอย่างนี้.. รับไม่ได้...คนเรานี่ ถ้าไม่เคยฝึกใจของตนให้รู้กัดว่า จริง ๆ แล้ว อะไรกันแน่ที่ตัวต้องการในชีวิต และชีวิตคืออะไรกัน แน่ เราก็จะเที่ยงกับความทุกข์อยู่อย่างนี้ เพราะใจของเรา เอง...ใจของเราแท้ ๆ เป็นตัวที่ทำให้เรามีความทุกข์เพิ่มขึ้น เมื่อเป็นอย่างนี้ เราก็ต้องหาภูมิคุ้มกันให้ใจสามารถเห็น ตามความเป็นจริงและให้เราสามารถอยู่ในโลกตามความเป็นจริงเมื่อกี้เราเริ่มต้นพูดถึงการสร้างฐานะ มีเงินที่ได้มา จากการแสวงหาโดยสุจริตเพื่อจับจ่ายใช้สอย และต้องรู้จัก จับจ่ายใช้สอยเงินนั้นเพื่อให้จิตใจของตนเกิดความสุข เกิด ความอิ่มเต็มตามสมควร เพื่อใจของเราจะได้เป็นสุขถ้าอะไรเกิดขึ้น เป็นต้นว่า เราประสบอุบัติเหตุโดย ไม่ได้คิดฝัน เราก็สามารถปรับใจให้รับได้ว่า เออ...มันก็เป็น

อย่างนั้นล่ะนะ เราเคยเดินเหินเป็นปกติมานานแล้ว คราวนี้ ลองเล่นละครเทคนพิการดูบ้างชิเราจะได้เข้าใจ...เห็นใจคนพิการเพิ่มขึ้นอะไรเกิดขึ้นกับเรา เราทำใจให้อยู่กับความเป็นจริงเอาไว้เมื่อเห็นแล้วว่า เราต้องสร้างฐานะ เราก็พยายาม ฝึกใจให้เป็นผู้มีเป้าในชีวิตก็จริง แต่ถ้าเป้าเกิดผิดพลาดไป กื!มไปโกรธแค้น หรือไปยึดว่าทุกอย่างจะต้องเป็นอย่างที่ เราตั้งความหวังเอาไว้เราก็มีใจที่ยืดหยุ่นพอจะวับความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น...คิดว่า เออ...ดีเหมือนกัน อุปสรรค มาท้าทายให้เราไต้ฝึกสติปัญญาของเราขั้นต่อไปก็ต้องพยายามระวังให้ตัวเองไม่ไปก่อหนี้สินขึ้นมา หรือถ้าจำเป็นต้องก่อหนี้สิน เป็นต้นว่า เรา จำเป็นต้องมีบ้านมีหลักฐานที่เป็นปัจจัยพื้นฐานของชีวิตเราก็มีแผนว่า หนี้สินที่เราทำเพราะความจำเป็นนั้น จะมี กำลังใช้ให้หมดไปในกำหนดเวลาที่คำนวณไว้หรือไม่ถ้าไม่แน่ใจ ก็อย่าเพิ่งเสียง เพราะบางครั้ง เรา คำนวณแล้วว่าตามฐานะของสามีและภรรยารวมกันสามารถผ่อนค่าบ้าน ค่าเครื่องใช!ม้สอยตกแต่งบ้านไต้ แต่ ไม่ได้คิดเผื่อไว้ว่า ถ้าเกิดเจ็บไข้ไต้ปวย หรือมีอุบัติเหตุขึ้น
จะยังผ่อนหนี้สินเหล่านั้นได้อย่างยามปกติไหมเหมือนกับครอบครัวหนึ่ง เริ่มต้นแต่งงาน จนมีลูก เล็ก ๆ อายุ 2 ขวบกว่า ก็ไปผ่อนบ้านจัดสรรที่ชานเมือง เพราะเห็นว่า เงินเดือนของสามีภรรยารวมกันแล้วสามารถ ผ่อนส่งไต้ทุกเดือน ทุกเดือน โดยไม่เดือดร้อน ครั้นผอน ไปไต้ประมาณ 6 เดือนเศษ สามีประสบอุบ้ติเหตุ ตาย เงินเดือนก็เหลือเพียงของภรรยาผู้เดียว เมื่อจับจ่ายใช้สอย ในครอบครัวแล้ว ก็ไม่เหลือพอจะมาผ่อนส่งบ้านไต้อย่างแต่ ก่อน เลยกลายเป็นภาระหนักหน่วง กลืนไม่เช้าคายไม่ออกปัญหาทำนองนี้ก็เป็นสิ่งที่เราคิดเอาไว้..รอบคอบ หรอกค่ะ...ไม่ใช่ไม่รอบคอบ แต่เราประมาทไปนิดหนึ่งตรงที่ ไปคิดว่า ชีวิตของเราเป็นของเรา เราสามารถกำหนดกะเกณฑ ไต้ว่า มันจะเจ็บเมื่อนั้น จะตายเมื่อนี้ ซึ่งความจริงเป็นไป ไม่ได้ความจริงข้อนี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ดีฉันอยากให้พวกท่าน ระลึกนึกไว้บ้าง เพราะการมีหนี้มีสิ้นขึ้นมาแล้วนี่ หากเกิด เคราะห์หามยามซวย เป็นอย่างครอบครัวที่ดิฉันเล่าให้ฟังก็ จัดเป็นความทุกข์อันสาหัส ไม่รู้จะทำอย่างไร จะไปหยิบยืม เขามาผ่อนหนี้นี้ ดอกเบี้ยใหม่ก็งอกท่วมท้นขึ้นไปอีก ดืไม่ดี เราจะถึงล้มละลายได้
หรือคนบางคนคิดสั้น ปวดหัวหนัก สามีก็มาตาย ไปโดยที่ไม่คาดฝืน แล้วยังภาระทั้งหลายรุมเร้าขึ้นมาที่เรา คนเดียว ก็เลยคิดว่า เออ...ถ้าเราหยุดหายใจเสีย ปัญหา ทุกอย่างคงจบ เราจะได้มีความสุข ก็ทำให้หนักเข้าไปอีก มีบางราย ปัญหาจริงยังไม่สาหัสเท่าที่คิดหรอก แต่ ตัวเองรู้สืก...ไม่ไหวแล้ว ตาย ๆเสียให้รู้แล้วรู้รอดไป ก็เสือก เอาวิธีตายด้วยการเอายาฆ่าหญ้ามากินกินแล้วก็ไม่ตายและคงไม่รู้หรอกว่า ยาฆ่าหญ้านี้ร้ายแรงอย่างไร คือ พอกลืน ลงไปแล้ว ยาจะลวกลำคอทำให้เป็นแผลไหม้ตลอดทางที่ยา ไหลลงไป เนื้อบริเวณนั้นเกิดแผลเป็น ตีบตันเข้ามาติดกัน โดยไม่มีทางจะรักษาให้หายคืนดีดั่งเดิมได้ผู้หญิงคนนี้ ตายก็ไม่ตาย เยื่อบุหลอดอาหารตั้งแต่ ลำคอตลอดทางเรื่อยลงไปจนถึงกระเพาะก็เป็นแผลเป็น ทำให้ หลอดอาหารตีบตัน คุณหมอต้องทำผ่าตัด แกไข เพื่อให้ เธอสามารถกลืนอาหารและนี้ได้ค่าผ่าตัด ค่ารักษาพยาบาล ตลอดเวลาที่รักษาตัว อยูในโรงพยาบาลประมาณ 7-8 เดือน ทำให้เธอหน้ามืด เงินทองที่ควรทำมาหาได้ก็ขาดไประหว่างที่เจ็บปวย ตัวเอง ก็เดือดร้อนหนักขึ้นหนี้สินที่แต่เติมร้องว่า..หนัก..หนักสาหัสแล้ว เมื่อมารวมกับค่าใช้จ่ายครั้งใหม่นี่แล้ว ก็ยิ่ง
มัวหลงเพลิดเพลินปล่อยปละละเลยตัวเอง จนไม่มีเวลา หาภูมิคุ้มก้นให้ตัวเอง ไม่เคยสื่กษาชีวิต ไฝ่เคยฝึกฝนให้มี กำลังใจที่จะคิด ว่า อะไรเกิดขึ้นกับเราเป็นสิ่งดี อย่างน้อย ก็ดืกว่าที่จะไปทำให้มันทรุดโทรมหนักเข้าไปอีกถ้าเราฝึกใจให้คิดไว้ว่า อะไรที่เกิดขึ้นกับเราดี มี ประโยชน์กับตัวเองทั้งนั้น ใจของเราจะจดจ่อแก้ไขปัญหาที่ กำลังเผชิญอยู่ได้ดีขึ้นหากขณะนั้นยังไฝเกิดปัญญาที่จะเห็นประโยชน์ ก็คิดสอนตัวเองว่า เออ...มันเป็นแบบฝึกห้ด ที่ท้าทายสติปัญญา ทำให้เราต้องฉลาด รอบคอบ ให้มากขึ้น ไปอีก มีปัญหาเดือดร้อนเสียแต่ตอนนี้ก็ดี ทันเรายังหนุ่ม แน่น มีกำลังวังชา ลำบากเสียแต่ตอนนี้ ฝึกตัวเองให้มีภูมิ คุ้มกัน จะได้สบายเมื่อปลายมือเมื่อให้กำลังใจกับตัวเองอย่างนี้เวลาวิกฤตการน์ผ่านพ้นไปแล้ว เราจะเห็นคุณว่า อย่างน้อยที่สุด ก็เป็น  การฝึกให้ตัวเองแก้ปัญหาอย่างตรงไปตรงมา ไม่แก้แบบชนิด
ที่ว่า ไฟกำลังไหม้อยู่ ก็เอาแกลบไปกลบทับ แล้วก็หลง สบายใจว่า ไฟดับแล้ว แต่ความจริงไม่ใช่ ไฟก็ยังคุกรุ่น อยู่ในกองแกลบ แล้วเสร็จแล้ว เคราะห์หามยามร้ายมีลม พัดมาเกิดฮือลุกขึ้นมากลายเป็นไฟกองใหญ่กว่าเดิมเพราะมีแกลบอีกทั้งกองที่เราเอาไปใส่เป็นแอเพลิงเข้าไว้ให้ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์การแก้ปัญหาด้วยวิธีกลบปัญหาหรือด้วยวิธีเติมเชื้อเพลิงนี้ เป็นอันตรายร้ายแรงต่อความสุขในชีวิตของเรา โปรดอย่าทำ ถ้าเมื่อไรเกิดขาดสติขึ้นมา ขอให้ยับยั้งใจของ ตัวไว้ว่า ...หยุดก่อน...เรายังไม่ทำอะไรทั้งสิ้น เราจะอยู่เฉย ๆ ก่อน หยุดอยู่ที่ตรงศูนย์ให้ปลอดภัยไว้ก่อน รอให้จิตใจ ของเราปลอดโปร่งมีสติสัมปชัญญะคุ้มครองให้เห็นตรง
ตามเป็นจริงเสิยก่อน ค่อยไปคิดแก้ปัญหา ตอนนี้ยังเหนื่อยอยู่ พักเอาแรงเสียก่อน ไม่เป็นไรอย่าไปคิดว่า ไม่ได้ ...เลือดเข้าตา ใครมาทำให้เรา เจ็บแล้ว ยังไงก็ต้องเอากันให้เห็นเด็ดขาดไปข้างหนึ่ง ถ้า เลือดเข้าตา ทรายเข้าตา เรามองไม่เห็นหนทางหรอกนะ สิ่งที่กระทำออกไปเลยมักจะเป็นผลร้ายต่อตัวเองทำนองเดียวกับเรื่องที่ดิฉันเคยเปรียบเทียบเอาไว้เป็นต้นว่า ตัวเองเป็นคนกลัวงู แล้วต้องไปในที่รก ๆ
มองอะไรก็เห็นไม่ชัดเพราะใจที่หวั่นระแวงกลัวงูเป็นพื้นฐานแล้ว พอเห็นกองอะไรฃยุกขยุยเข้า ...อุ้ย...งู เมื่อใจ บอกว่างู ตาก็หลอกเรา จริง ๆ นั้นมันไมใช่งู แต่เราก็เห็น กองขยุกขยุยนั้นกระดุกกระดิกได้สัญชาตญาณพาให้เราออก่วิ่ง ใจมัวไปพะวงยึดติดพันอยู่กับเรื่องงู ไม่ได้ตามรู้อยู่กับ ปัจจุปัน เมื่อกายออกวิ่งไปตามแรงชับเคลื่อนของสัญชาตญาณ ใจก็ไม่ทำหน้าที่รับรู้ดูทางให้ดีว่ามีขอนไม้มีอะไรกีดขวางอยู่หรือไม่ ซึ่งถ้าใจของเรามีสติดี บริบูรณ์ รู้อยู่ กับปัจจุบัน เราจะเห้นทุกอย่างชัดเจนตามเป็นจริงแต่ขณะนี้ เรามีแต่กไยที่วิ่งกระเจิดกระเจิงไป ตาลืม อยู่ก็เหมือนตาบอด เพราะขาดจักษุวิญญาณ กายเราก็วิ่งทื่อ เข้าไปชนขอนไม้เต็มแรง แล้วล้มลง ขาหักชาวบ้านได้ยินเสียงเราโวยวายว่า ...อุ้ย...งู ก็วิ่งมา ช่วย พอเข้าไปดู ก็เห็นว่าไม่ใช่งู แต่เป็นกองเศษผ้าเก่า ๆ เปื่อนนํ้ามันขี้โล้เขาก็บอกเราว่า ไม่ใช่งูหรอก เศษผ้าน่ะเมื่อรู้ว่าตัวเองเข้าใจผิด กระต่ายตื่นตูมไปแท้ๆจะ ไปลูบขาตรงที่หัก แล้วบอกว่า ...ติดเข้าไปอย่างเดิมเสียนะ ไม่ใช่งูหรอก... กระดูกที่หักก็ไม่ฟังเรา เพราะมันเป็นเรื่องจริง หักแล้วก็คงหักอยู่อย่างนั้น ไม่ว่าสาเหตุจะใช่งู หรือไมใชงู่
ก็ตามในชีวิตคนเรา บ่อยครั้ง หรือแทบจะทุกครั้ง สาเหตุ ที่ทำให้เราทุกข์เดือดร้อน จนกระทำสิ่งที่เป็นพิษเป็นภัยให้ กับตัวของตัวนั้น ไม่มีหรอก แต่เป็นเพราะจิตของเราคิดปรุง แต่ง แต้มเติมสีสันไปเอง แล้วเราก็เผลอไปว่า ความคิด เหล่านั้นเป็นเรื่องจริงเรื่องจังครั้นเรากระทำการอะไรลงไป เป็นต้นว่า กายกรรมก็ดื วจีกรรมก็ดี มันเกิดเป็นผลจริงขึ้นมา อย่างที่เปรียบเทียบนะคะ ไปเข้าใจผิดว่ากองผ้าเก่า ๆ เป็นงูแต่เมื่อเราล้มลงขาหักเราขาหักจริง ๆความจริงจะเป็นงู หรือเป็นผ้า ก็ทำให้เราขาหักไป แล้ว เราจะต้องอยู่กับความผิดพลาดอันนั้น พร้อมทั้งรับ ฝ็ดชอบพาตัวเองไปหาหมอเข้าเฝือกหรือผ่าตัดพักรักษาตัวเป็นเวลาหกอาทิตย์ หรือสองเดือน จนกว่า กระดูกจะติดหรือเคราะห์หามยามร้ายยิงไปกว่านั้นกระดูกไม่ติด เราก็กลายเป็นคนพิการไปในการดำรงชีวิตอยู่แต่ละวัน แต่ละวัน ใคร ๆ ก็ตั้ง ฟ้าเอาไว้ว่า ฉันจะขวนขวายหาความสุข ฉันจะทำทุกอย่าง เพื่อให้ด้ความสุขแต่กรรมวิธีที่ไปแสวงหาประเดี๋ยวประเดี๋ยวก็เผลอหลุดเข้าถนนวงแหวน แล้วเลยออกไปใน
ป่าละเมาะ ทะลุหลงไปติดอยูในปาดงดิบ แล้วหาไม่เจอว่า ทางด่วนที่จะพาเราไปส่ความสุขนั้นอยู่ที่ตรงไหนกันแล้วเราก็ขมขื่น หงุดหงิด ท้อถอย กลายเป็นคน คิดร้ายต่อคนอื่น เพราะมองเขาแล้ว เราก็น้อยเนื้อตํ่าใจว่า ทำไมโลกนี้ถึงไม่ยุติธรรม พระเจ้าลำเอียง เขาทำอะไรก็ เคราะห์ดีทั้งนั้น แต่เราทำอะไรเคราะห์ร้ายไปหมด เพราะเราไม่มองให้ดีขอให้มองให้ดี แล้วพยายามค้นให้พบเหตุที่แท้จริง เราจะสามารถเดินไปส่ความสุขได้เซ่นเขาเหมือนกันเมื่อเข้าใจเรื่องที่จะดูแลครอบครัว ขวนขวายหาราย ได้ให้พอเพียงกับรายจ่าย ถ้าไม่จ่าเป็นจะไม่ก่อหนี้โดยไม่คิด ให้รอบคอบเสียก่อน เมื่อมืความจ่าเป็น อย่างเป็นต้นว่า เกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นมา ก็คิดให้รอบคอบ ถี่ถ้วน ไม่ทำให้ ตัวเองเกิดหนี้ซ่าซ้อน จนถึงตัองล้มละลายคราวนี้ ก็มาถึงเรื่องที่เป็นนามธรรม เมื่อกี้เราพูด กันถึงเรื่องวัตถุสิ่งของ ปัจจัยที่จะมาเอื้ออำนวยความสุขให้ แก่เราตามสมควร คราวนื้มาดูเรื่องตัวของเราเองในส่วนที่เป็น นามธรรม ได้แก่ความประพฤติไปจนถึงการปฏิบัติตัวของเรา ยุคสมัยนี้ ความเย้ายวนมีมาก เราไม่ได้ขวนขวาย จะไปทำชั่ว ก็มืสิงทดสอบตามนํ้า ทวนนํ้า ถึงเราไม่เจตนาแต่เมื่อกระทำ เข้าไปแล้ว เคราะห์หามยามซวย เขามาสอบสวน เข้า พบหลักฐาน ลายเซ็นของเรา หรือเราไปทำไม่ชอบอะไร ให้ปรากฏหลักฐานอยู่ เราก็เดือดร้อน หรือเขาไม่มาสอบสวน ใจของเราที่มีความสะดุ้งกลัว ละอายต่อความผิดความบาป ก็ทำให้เราไม่เป็นสุขเพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ความสุขความทุกฃไม่ได้ ขึ้นอยู่กับว่าใครอื่นที่ไหนจะมาให้ประกาศนียบัตรแต่ขึ้นอยู่กับใจของเราเองว่า ไม่ว่าในที่ลับหรือที่แจ้ง เราสามารถ มองคนได้เติมตา แล้วก็เอาหน้าของเราวางไว้บนลำคอ บนบ่า ของเราอย่างเสรี ไม่ว่าใครจะนินทา หรือใครจะสรรเสรืญ เราก็ไม่ได้เปลี่ยนสถานภาพไปตามลมปากของคน ถ้าเรามี กำลังใจที่ตั้งมั่นอย่างนี้ ใจของเราก็ร่มเย็นเป็นสุข เพราะอะไรเพราะถ้าลี่งที่เราทำ เราเอง เราแน่ใจ มั่นใจว่า เป็น สิ่งถูกต้อง เป็นลี่งที่ไม่ไปเบียดเบียนใคร เป็นความประพฤติ ที่อยู่ในกรอบของสืลของธรรมและเราเองก็ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ใครนินทาว่าเรา เราก็มีความตั้งมั่นอยู่ในใจ มี ความอดทนที่จะรอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์เหมือนอย่างกับม[ครมาบอกเราว่า...ต้นที่เธอปลูกนี่น่ะ... สมมติเราปลูกมะม่วง...ไม่ใช่หรอก....ต้นที่เธอปลูกนี่มัน มะนาวชัด ๆ เราก็เฉย เพราะเรารู้ชัดแกใจว่า เราเอาเม็ด มะม่วงปลูกลงไป เราก็นิ่ง คอยจนกระทั่งที่ปลูก งอก เป็นตน ขึ้นมา ผลิใบคนบางคน เห็นใบก็รู้แล้ว ใบมะม่วงกับใบมะนาวนั้น มีลักษณะต่างกัน เขาก็เลิกเถียงเรา คนบางคนยังเอาสีข้าง เข้าถู จนลูกมะม่วงออกมา ได้กินลูกมะม่วงเสียก่อน จึง ยอมรับว่า ...เออ..ใชั ด้นของเธอมะม่วงจริง ๆถ้าเรามีสติรู้ชัด แนใจในสิ่งที่ตัวเองประพฤติปฏิบัติ เราจะไม่ใส่ใจ สนใจ ไหวหวั่น ใครนินทาว่าร้าย หรือวิพากษ์ วิจารณ์อะไรเราก็รอคอยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสิ่งที่เราทำนั้น ถูกต้องดีงาม ใจของเรามีความปรารถนาดีเป็น ที่ตั้ง ไม่ได้มีความตั้งใจจะเอารัดเอาเปรียบ ฉกฉวยโอกาส ฉกฉวยผลประโยชน์จากใครเมื่อเราพยายามที่จะให้การกระทำของเรามีหลักมีเกณฑ์ อยู่นดีลในธรรมอย่างนี้แล้ว เราก็จะเป็นผูไม่หวั่นไปตามคำวิพากษ์วิจารณ์ของใคร ๆ ชีวิตเราก็จะมีความเบา มีความสงบ I มีความสุขตามสมควรเพราะมิเช่นนั้นแล้ว เราจะต้องคอยไปตะแคงหูฟังว่า เขาจะชมเราหรือเปล่า เขาจะวิพากษ์วิจารณ์เราว่าอย่างไร ทำให้ใจของเรากลายเป็นสิ่งที่พึ่งตัวเองไม่ได้ ต้องคอยว่าลมจะ
พัดไปทางไหน ถ้าลมพัดไปทิศทางที่เป็นคำสรรเสริญ เราก็มีความสุข ถ้าลมพัดไปทิศตรงกันข้าม ทังๆ ทีเราทำดี ทำถูก เทก็ทุกข์อันนี้ดิฉันได้ปร ะสบมากับตัวเอง เมื่อเรียนจบ แล้ว เข้าบรรจุที่กรมการแพทย์ ปีแรกทุกคนต้องออกไปประจำอยู่ โรงพยาบาลต่างจังหวัดปกติเมื่อหมอสั่งให้คนไข้ absolute bed rest หมายถึง ให้อยู่นิ่ง ๆ บนเตียง มีกิจกรรมทุกอย่างบนเตียง ถึงเวลา รีบประทานอาหาร พยาบาลก็เอาถาดมาตั้งให้บนเตียง ถ้า จะถ่ายหนักถ่ายเบา ก็เอาหม้อนอนมาสอดให้ถ่ายบนเตียง ทุกคนได้รับการสั่งสอนมาอย่างนี้ทั้งนั้นตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนแพทย์จบออกมาทำงานเป็นแพทย์ฝึกหัด ทุกคนก็รู้ เมื่อ เห็นคำสั่งว่า absolute bed rest จะเป็นอย่างนี้ แต่จังหวัดที่ ดิฉันไปประจำนั้น ชาวบ้านค่อนข้างขี้อาย ประดาหมอและ พยาบาลไม่สามารถจะเอาชนะคนไข้ที่ยังพอลุกเดินไหว และ ข้องการไปห้องนํ้าเอง ให้ถ่ายหนัก ถ่ายเบา โดยเฉพาะถ่าย เบา บนหม้อนอนได้คนไข้จะถ่ายไม่ออก ทั้งหมอและพยาบาลก็เลยยอมแพ้ ผึคนไข้จะเป็นโรคหัวใจวายไม่สมควรเดิน หมอก็ยังอนุโลมว่า
ถ้าคนไข้ยังสมัครใจจะเดินไปห้องนํ้า ก็ให้เดินไปเมื่อตัวเองไปถึงจังหวัดนี้เป็นวันแรก ตึกคนไข้ที่ได รับมอบหมายให้ดูแลมีคนไข้หัวใจวายอยู่ 3 ราย คนไข แต่ละคนหัวใจพองโต บวมจนหนังแทบปริเป็นหยดนํ้าซึม ออกมา ดิฉันมองดูคำทั่งแล้ว ไม่เห็นมียาขับปัสสาวะ ก็ถาม คุณพยาบาลที่เดินตามรับคำทั่งว่า ตึกเราไม่มียาขับปัสสาวะ ใช้หรือคุณพยาบาลตอบว่า มี คุณหมอจะเอาชนิดไหนล่ะดิฉันเลยเขียนคำทั่งยาขับปัสสาวะให้คนไข้ทั้ง 3 รายนั้นแหละคุณพยาบาลก็ประท้วงว่า โอ๊ย...หมอ ถ้าหมอให้เขาฉี่มาก ๆ อย่างนี้นี่ ต้องตายกันหมดแหละ เพราะยิ่งไปฉี่บ่อย ก็ยิ่ง ตายเร็วดิฉันก็บอก อ้าว...ถ้าคนไข้บวมจนอย่างนี้ แล้วเรา ไม่ขับนํ้าทิ้งไปเสียบ้าง หัวใจก็เหนื่อยแย่ เพราะต้องแบก นํ้าปนกับเลือด สำหรับสูบฉีดไปทั่วตัว แล้วเห็นไหมล่ะ ฉันก็ทั่ง,ให้ absolute bed rest  แล้วด้วยคุณพยาบาลเธอก็ไม่ท้นคิดว่า ดิฉันหมอใหม่ ไม่ เข้าใจว่า ข้อตกลงเฉพาะกาลของที่นื่เป็นอย่างไร ตกลงเรา ก็พูดไม่รู้เรื่องกัน คุณพยาบาลก็หงุดหงิดกับดิฉันว่า หมอ อะไรไม่รู้ โง่เซ่อ อธิบายให้ฟังแล้วก็ยังไขหู ดึงดื้อถือรั้นเอาตามอำเภอใจดิฉันก็หงุดหงิดกับคุณพยาบาลว่าคนอะไรก็ไม่รู้คนไข้บวมจนอย่างนี้แล้วแทนที่จะให้ยาขับปัสสาวะ
ขี้เหนียวอยู่ได้ แล้วยังจะมาพาเราให้เข้ารกเข้าพงตามอีกแน่ะ ใจของเราต่างยึดกันอยู่คนละแห่ง ผลก็ปรากฏว่า วันนั้นคนไข้ตายไปเรียบร้อย 2 คน เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อดิฉันขึ้นตึกมาดูคนไข้ ก็พบคนไข้รายที่ 3 กำลังยืนหอบตัวโยน หัวใจจะวายมิวายแหล่ โหนประตู ห้องนํ้าอยู่ ดิฉันร้องสุดเสียง ตัวเองก็หัวใจจะพาลวายขึ้น มาบ้าง ว่า ‘เรื่องอะไรถึงเอาคนไข้  absolute bed rest ของฉัน ให้เดินไปห้องนั้นเอง บอกแส้ว...บอกแล้วว่าให้ล่ายบนหม้อนอน คุณพยาบาลสะบัดเสียงใส่ดิฉัน ก็หนูบอกคุณหมอ เมื่อวานนี้แล้ว คุณหมอก็ไม'ฟังเห็นไหมคะ แต่ละคนพูดเรื่องเดียวกันก็จริง แต่ต่างคน ต่างรู้ตามพจนานุกรมในใจของตัว คุณ,พยาบาลก็รู้'ว่า ที่นี่ ทำกันมาอย่างนี้ถ้าคนไข้ยืนยันว่าจะลุกไปฉี่ที่ห้องนํ้าจนหัวใจวาย ก็ต้องอนุโลมให้!ป เพราะว่าจะไปมัดมือมัดเท้า เขาไว้ไม่ได้ ถงจะสั่งว่า  absolute bed rest  ก็เถอะ ทุกคน เป็นอันเข้าใจกัน
ขณะที่กำลังทุ่มเถียง อธิบายความกันอยู่นี้ คนไข้ก็หัวใจวายตายไปอีกรายดิฉันรู้สีกอยากหัวใจวายตายตามไปด้วยเป็นรายที่สี ให้รู้แล้วรู้รอดไปถึงเวลากลางวันท่านผู้อำนวยการพาคณะโรงพยาบาล และดิฉันไปเลี้ยงต้อนรับที่ร้านอาหารในเมือง พอท่านจอดรถ ดิฉันลงมายืนชาวบ้านร้านตลาดแถบนั้นก็สะกิดก้น แล้วกระซิบ แต่เสียงกระซิบของเขาด้งมาถึงหูดิฉันจนได้ ...นั่นไง...หมอ ใหม่พอมาถึงป้บก็ท่าคนไข้ตาย 3 รายรวดคิดดูก็แล้วกันว่า ใจดิฉันจะฟุบแฟบแค่ไหน ขณะนั้น ใจของดิฉันปลิวไหวหวั่นแทบจะถอนราก ถอนโคนไปตามเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เกิดความโทมนัสน้อย ใจว่า เราก็หวังดีกับคนไข้ ไม่ได้เจตนาจะฆ่าให้เขาตายสักหน่อย ท่าไมเขาถึงไม่นึกถึงเจตนาของเราบ้างตกลงไม่ว่าดิฉันจะขยับไปทางไหนเสียงลือเสียงเล่าอ้างประกาศเกียรติคุณสามารถสะพัดเป็น!ฟลามทุ่งไป่ได้ตลอดหัวเมืองท้ายเมือง ภายในเวลาเพียงชั่วกระพริบตาเดียว ดิฉันไปทางไหน ทุกคนตื่นเต้นที่จะรู้จัก แต่ไม่ใช่ตื่นเต้น ทางดีนะคะ ตื่นเต้นในฐานะคุณหมอมือมหากาฬ แตะใครเข้าแล้ว รับรองได้ว่า ...ตายสนิทคนไข้ในตึกบางคนที่หายดีแล้วควรกลับบ้านได้
แต่บ้านอยู่อำเภอไกล ๆ ก็ไม่ยอมกลับ เพราะคอยให้ญาติ มาร้บ พอดิฉันกลับจากรับประทานเลี้ยง คนไข้เหล่านี้ก็ ขอลากลับบ้านกันหมดรวมทั้งคนไข้ที่ยังไม่สมควรกลับก็พลอยกลับไปด้วย โดยเซ็นรับรองให้ตัวเองว่า หากไป เป็นอันตรายประการใดที่บ้าน จะไม่เอาผิดกับโรงพยาบาล ตกลงตึกคนไข้ของดิฉันกลายเป็นตึกร้างตัวเองมองไปแล้วก็เกิดความรู้สีกวังเวงหดหูในหัวใจไปหมด เราก็ทุกข์... ทุกข์...ทุกข์...ทุกข์...พอต่อมา...ต่อมา...ต่อมา คนไข้เริ่มรู้ว่าอะไรเป็นอะไร วันหนึ่ง ขณะที่ดิฉันยังทำใจอยู่ว่า ...เออ...เรานี่ชื่อเสียงยัง เน่าอยู่แตะใครเข้าก็มือมหากาฬนะ...วันนั้นดิฉันกำลังจะให้นํ้าเกลือคนไข้ ปกติเราให้นํ้าเกลือกันที่เส้นที่มือบ้างแขนบ้าง ขาบ้าง แต่ดิฉันชอบให้เส้นตรงกลางหน้าผาก ตาม ที่ถูกลังสอนมา เพราะเด็กเอามือมาดึงไม่ถึง แล้วระหว่าง ให้นํ้าเกลืออยู่ก็ไม่ต้องเมื่อยเพราะถูกตรึงแขนหรือขาที่มืเข็มนํ้าเกลือใส่อยู่ เพราะถ้าไม่ตรึงให้ดี เวลาเด็กขยับ เข็ม ปัดไปปัดมา มีโอกาสทะลุออกนอกเส้น นํ้าเกลือโปงได้รายแรกที่ถูกให้ที่หน้าผาก ก็แทบจะทะเลาะกันตาย เพราะแม่ไปคิดเอาเองว่า ลูกเขาหัวไม่ถึงกำปั้น แล้วดิฉัน เอานํ้าเกลือขวดหนึ่งลิตรไปให้ กว่านํ้าเกลือจะหมดขวด ก็คงไปทำให้หัวลูกเขาค่อยโปงออก...โปงออก...โปงออก... แล้วลูกเขาหายจากท้องเดินก็จริงแต่กลายเป็นหัวมาร
ต้องไปออกงานวัดกว่าจะอธิบายกันเป็นที่เข้าใจว่าเปล่าหรอกนะนํ้าเกลือใส่เข้าไปในเส้นเลือดแล้วก็ไหลไปทั่วต้ว ไม่มา
ค้างอยู่ที่ค้รษะเป็นอันขาด ดิฉันก็ต้องอธิบายกันชํ้าแล้วชํ้า อีกเสืยปางตาย พร้อมทั้งให้สัญญากับแม่ว่า ถ้าแม้หัวลูกเขา โตเป็นหัวมารเมื่อไร ดิฉันจะยอมให้เขาฆ่าดิฉันทิ้งได้เลยเมื่อจะให้นํ้าเกลือเด็กคนไหน ดิฉันจะอธิบายอย่างนี้ ทุกรายไป เพื่อป้องกันปัญหาการเข้าใจผิด ประพฤติตน เป็นเทปตกร่อง พูดซ้ำซากอยู่อย่างนี้ คราวนี้พอเริ่มจะ อธิบายก็มีเสืยงลอยข้ามบ่ามาว่า ไม่ต้องตกใจ คุณหมอจะ ให้นํ้าเกลือที่หน้าผาก อย่างนั้น...อย่างนั้น..แม่คนไข้ซึ่งพาลูกมาเมื่อเดือนที่แล้ว ประทับใจกับ บริการของดิฉันที่รักษาจนลูกหายท้องเดินกลับไปครั้งนี้มาด้วยปอดบวม เธอเลยเป็นกระบอกเลืยงให้ดิฉัน หลังจาก อธิบายเสร็จ เพราะเขารู้จักกันมาก่อน ก็สำทับต่อว่า ถ้า คุณหมอคนนี้รักษาแล้ว รับรอง ต่อให้เทวดามารักษา ก็ไม่ดี ไปกว่านี้ใจดิฉันก็ฟูเลย มีความรู้สึกปลิวฟ่องเหมือนฟองสบู่
ที่ถูกลมพัด แต่สติก็มาเตือน ...เห็นเป็นภาพคนไข้หัวใจวาย กำลังโหนประตูห้องนํ้า ก่อนจะฟุบลงขาดใจตาย ใจที่เมื่อกี้ ฟูขึ้นไปว่า โอ้โฮ ...เราเก่งปานเทวดา ก็รู้สืกเหมือนมีอิฐ ก้อนหนักมาถ่วง ให้หล่นลงมาล่ความจริง นึก ...อือม์ ... เทจะบ้าหรือดีนี่ ใจของเราขณะที่รักษาคนไข้รายนี้กับรายที่ ตาย ถ้าเอาออกมาชั่งเปรียบเทียบกันได้ ก็จะพบว่า เราตั้งใจ ดีกับเขาเท่า ๆ กันแหละ แต่ผลที่ปรากฏออกมานี่สิ แปร ตามเหตุแวดล้อมไปคนละทิศละทางครั้งนั้นเราทุกข์เสียสะบักสะบอม แต่ครั้งนี้ บังเอิญ ผลเป็นที่ถูกกิเลสของเขา แล้วเรื่องอะไรเราถึงโง่เซ่อ ปล่อย ใจให้ลมปากของเขา คำนินทาสรรเสริญ มาเอาไปเปาเล่น เป็นว่าวติดลมบนไปได้ดิฉันเลยเกิดสมเพทตัวเองว่าถ้าเราเอาความสุขของเราไปแขวนไว้กับลมปากผู้อื่นเช่นนี้เราต้องเป็นบ้าในไม่ช้านี้หรอก เพราะใจเราประเดยวก็ปลิวฟ่อง ประเดยวก็ ฟุบตกลงมา ฉะนี้แล้ว เราจะเลี้ยงตัวรอดได้อย่างไรจากจุดนี้ ท่าให้ได้คิดว่า ถ้าใจของเรามีเหตุมีผลใน สิ่งที่ตัวเองกระท่าลงไป เรารู้ตัวว่าเรากำลังท่าอะไร ตั้งสติ คอยระมัดระวังให้มีความชื่อตรงกับคุณภาพของตน ใคร จะพูดว่าอะไร ก็เป็นเรื่องของเขา เราไปบังคับปากเขาไปได้
รอให้กาลเวลาเป็นผู้พิสูจน์เองก็พบว่าตัวเองสามารถรักษาใจให้มีความสุขสงบได้ตามสมควร ม่ายอย่างนั้น ใจจะ กระดอนไปกระดอนมา ไม่รู้ทศรู้ทาง สุดแต่เขาจะเมตตา หรือจะถล่มทลายเรา เราก็แย่มันเจ็บจริง ๆ นะคะ เวลาที่ใครเข้าใจเราผิด เพราะ เราเอาใจของเราไปวางให้เขากระทืบ แต่เมื่อใจร้เท่าทันแล้ว เราเอาใจของเราเลี่ยงออกมาเสีย เขาอยากกระทืบ ก็ปล่อย ให้กระทืบลมไป ไม่มีเรื่องเราก็ค่อยรู้สืกเป็นอิสระ แล้วเบาสบายขึ้น นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ช่วยประตับประคองหล่อเลี้ยง ใจของตัวเองตลอดมานอกจากการแสวงหาข้าวของเงินทองถูกต้องตาม ท่านองคลองธรรม ไม่ใช้จ่ายเกินตัวให้เกิดหนี้สิน ระมัด ระวังความประพฤตัวการปฏิบัติวางตัวให้เป็นที่น่านับถือเป็นผู้มีชื่อเสียง เกียรติยศ รู้จักหาภูมิคุ้มกันให้ใจไม่กวัด-ไกวไปตามคำสรรเสริญนินทาหรือวิพากษ์วิจารณ์แล้วเรื่องสุขภาพก็มีความสำคัญอย่างมากถ้าใครไม่เคยเจ็บ ก็คิดไปว่า สุขภาพเป็นเรื่องเล็ก น้อย ความจริงไม่ใช่ คนบางคนมีสารพัด เงินทองล้นฟ้า อำนาจก็มี ชื่อเสียงเกียรติยศก็มี แต่ไม่มีความสุข เพราะมี
โรคภัยไข้เจ็บที่หมอรักษาเท่าไร ๆ อาการก็ไม่ดีขึ้น ไม่ว่าจะ เป็นหมอทั่วประเทศไทย หรือทั่วโลกก็เถอะ บางทีเลยกลัด กลุ้มมากจนเป็นโรคประสาทไปก็มี หรือบางท่านพาลคิดลัน ฆ่าตวเอง เพราะเข้าใจผิดว่า การตายจะทำให้พ้นไปจาก ความทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บที่รุมเร้าเปียดเบียนได้ดังนั้น การใส่ไจ เพียรพยายามฟ้าดูแลสุขภาพของตัว ไว้ให้ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ก็จัดเป็นความสุขด้วย เพราะถ้า กายของเราแข็งแรงสุขสบายตามสมควร จิตใจและอารมณ์ ก็พลอยเบิกบานผ่องใสไปด้วย เหตุการณ์แวดล้อมภายนอก เกิดปัญหากระทบกระทั่ง เราก็มีภูมิคุ้มกันสำหรับช่วยรักษา ใจให้ผ่านความคับเครียดเหล่านั้นไปได้ด้วยดีถ้าเราเป็นโรคปวดหลังเรื้อรังนั่งท่าไหนก็หาท่าสบายไม่ได้ ความปวดหลังอย่างเดียวก็ทำให้เราแทบจะบ้า อยู่แล้ว เกิดมีเรื่องอะไร ใครพูดผิดหูขึ้นมา อารมณ์ของ เราเปรี้ยงปร้างออกไปปานลูกระเบิดปรมาณูถล่มได้แต่ถ้าสุขภาพเราดี อารมณ์ชุ่มฉํ่าเยือกเย็น ถึงจะมี เรื่องร้อนหูร้อนใจขนาดเตาอั้งโล่มาตั้งอยู่ความเยือกเย็นในใจก็เป็นเหมือนไอนํ้าที่มาคอยพ่นลดอุณหภูมิ ทำให้เตา นั้นเย็นลง สุขภาพกายมีความสลักสำคัญอย่างนี้นอกจากนั้น สุขภาพกายกับสุขภาพใจยังเกี่ยวเนื่อง
กันอีกด้วย ทางแพทย์พบว่า บุคคลที่คับเครียด จะเป็น โรคกระเพาะ โรคความดันสูง โรคหอบหืด ภูมิด้านทาน โรคตํ่า ร่ายกายไม่แข็งแรงเท่าที่ควรการไม่แข็งแรงเท่าที่ควร ท่าให้ต้องไปหาหมอ เกิด เป็นวงจรเกี่ยวพันให้เศรษฐฐานะย่อยยับลงไปอีก เห็นหรือ ไม่ว่า แต่ละเรื่องล้วนกระทบกระเทือนถึงกันหมด เหมือน เราทิ้งก้อนหินลงไปในบ่อ แล้วเกิดระลอก ระลอกก็กระเพี่อมซํ้า แล้วฟ้าอีก ไปเซาะให้ตลิ่งพังลงมาความเจ็บไขได้ป่วยของกาย ก็เซาะให้ใจทรุดโทรม ทำนองนี้ ความสุฃที่เรามุ่งหวังไว้ ก็ค่อยร่อยหรอไปเรื่อย ๆ ถ้าเห็นจริงตามนี้ เราก็จะตระหนักถึงความสำคัญของตัว ใจ มากขึ้น ๆที่เราคุยกันมานี่ จริง ๆ ก็เริ่มเห็นพอเป็นราง ๆ แล้วว่า ใจตัวนี้เป็นจักรกลที่สำคัญ ถ้าใจมืการควบคุมได้ อะไร ๆ ย่อมดีไปหมด เมื่อถึงจุดนี้ เราจะเห็นว่า ถ้าสุขภาพใจไม่ดี ก็มืผลมาทำให้ร่างกายเจ็บได้ป่วย เกิดเป็นความลำบาก รำคาญ เปรียบเหมือน ใจ เป็นผู้ขับรถ แล้วรางกาย เป็นรถ ถ้าใจเราถึงไหนถึงกัน สู้ แต่ตัวรถนี่ ประเดี๋ยวก็ด้บ ประ- เดี๋ยวก็กระตุก ...กระตุก มันก็ไปไม่ถึงที่หมาย ทั้ง ๆ ที่ เรา มิความสามารถ มีสติปัญญา แต่ก็เสืยตรงจุดอ่อน จุดบกพร่อง
คือ สุขภาพของกายของใจไม,ปกติ ทำให้เราไม่ได้ดีอย่างที่หวังไว้เราก็คับข้อง เราก็ทุกข์ใจเห็นอย่างนี้ เราจะได้มาสืกษาว่า ถ้าอย่างนั้น จะทำ ใจของเราอย่างไรให้เป็นกุญแจที่จะใข้ไขเอาความสุขมาให้ ตัวเองได้ทุกโอกาส ทุกโอกาสเราก็พบว่า ใจคนเรานี้ ถ้าไปหลงเงา ไปติดอยู่กับ อดีตที่ตัวเองเคยเป็นใหญ่เป็นโตเคยประสบความสำเร็จมีความสลักสำคัญ แล้วปัจจุบันไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว ขณะ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แทนการคิดอ่านแกไขปัญหา เรากลับ ไปนั่งพูดถึงอดีต รํ่าร้องจะให้เงาเหล่านั้นหมุนกลับมาเป็นจริง ก็ทำให็ใจเราทุกข์ เพราะไม่อยู่กับปัจจุบัน ไม่มองข้อมูล ตามความเป็นจริง แล้วลงมือประกอบความริบผิดชอบใน ปัจจุบัน ให้มีผลขึ้นมาเต็มเม็ดเต็มหน่วย กลับมัวแต่เฝ่าฝืน หลงเงาอยู่การปล่อยใจของตัวให้ไปติดอยู่กับอดีต หรือไม่พอใจตรงเดี๋ยวนี้ ไปคิดว่า อีกปีหนึ่ง เราจะได้เลื่อนไปอยู่ ตรงนั้น อีก 5 ปีจะเป็นอย่างนี้ สร้างวิมานในอากาศ ไป หลงอยู่กับอนาคตประเดี๋ยวก็จะเป็นอย่างคุณหมอเพื่อนของดิฉันที่เพิ่งเล่าให้ฟังยังไม่ทันได้อายุ 45 ก็ตายไปแล้ว


แผนการเลยเฉาไปเปล่า ๆการปล่อยให้ใจหลุดไปในอดีตก็ดี อนาคตก็ดี ล้วน แต่ทำให้เราเป็นทุกข์ แต่ถ้าพยายามเอาใจของตนจดจ่ออยู่ กับปัจจุบัน ทำสิงที่เป็นภาระ'หน้าที่ชณะเดี๋ยวนี้ให้เตมที่ ให้ ดีที่สุด แล้วไม่ว่าอะไรเกิดขึ้น เมื่อย้อนระลึกนึกทบทวน ...หากสามารถหมุนเหตุการณ์กลับมาแก1ฃใหม่ได้ ก็พบว่า เราไม่มีอะไรจะเสิยใจกับสิงที่กระทำลงไปถึงหมุนเวลากลับมาใหม่ได้จริง ๆ เราก็คงทำอย่างที่ได้ทำลงไปแล้วนั้น ใจเราก็สบาย เป็นอิสระ ใครจะว่าอะไร เราก็รับฟัง ได้ทั้งนั้น หากมีความบกพร่องจริง เราก็ได้เรียนรู้ และแก้ ไขตัวเอง หากเพราะเขาเข้าใจผิด เราก็ไม่ถือสา ไม่ว่ากระไร เพราะได้ทำภาระเต็มสติกำลังของเราแล้วใจที่อยู่กับบัจจุบันจึงเป็นใจที่เป็นไทกับตัวเอง เพราะไม่มีความลังเลสงลัย หรือข้องใจ เสียดายในสิงที่ได้ ทำไปแล้วว่า ...รู้อย่างนี้ เราทำเสียให้ดี เรียบร้อยกว่านี้ก็ จะดีหรอกคำว่า ...รู้อย่างนี้ เราทำเสียให้ดี เรียบร้อยกว่านี้ก็ จะดีหรอก... คือรวงรังของทุกข์ ไม่ว่าย้อนนึกถึงอะไรใน ข้ริต ข้วิตของเราจะกลายเป็นสมุดบันทึกของความบกพร่อง ของความไม่ได้อย่างใจ จิตใจเลยมีแต่ความท้อแท้ มีแต่
ความไม่มั่นใจในตัวเอง แล้วก็เสียใจว่า อะไร ๆ ที่ทำลงไป ไม่เคยเป็นที่ถูกใจของตัวเองเลย ใจอันนี้ก็โหยล้า อ่อนเปลี้ย เพลียแรงแต่ถ้าการระลึกนึกถึงอะไรที่ผ่านไปแล้วก็ดี หรือนึก ถึงหนทางที่จะไปข้างหน้าก็ดี ทำให้ใจเราอิ่ม เราเต็ม เรามี กำลัง ใจเราผาสุกเยือกเย็น แสดงว่าสุขภาพของใจใช้ได้เพราะอ ะไร ...ลองนึกดูถ้าวันไหนเราเหนือยมาจากงานมาก ๆ ทังเหนือยทัง เพลีย แล้วยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย เราจะโหย หมดเรี่ยว หมดแรง พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง ใจที่หิวโหยไปหมด สิ่งโน้นก็ไม่ได้ตังใจ สิ่งนี้ก็ไม่ได้สมใจ ระลึกนึกถึงอะไร ...อะไร ก็ล้วนแต่หงุดหงิด ผิดหวัง คับข้อง ไปทั้งหมด ก็ยิ่งทำให้เราห่อเหี่ยวท้อแท้ใจที่หิวคือใจที่ห่างไกลจากความสุขที่สุด เพราะความ สุขคือสิงที่อิ่ม ที่เต็ม ที่มีความพอใจในตัวของตัว จะมี หรือจะไม่มี เราพอใจ เรารู้ว่า เท่าที่มีอยู่ เราสามารถทำให้ เป็นความพึงพอใจของเราได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ อะไร ๆ ที่เป็น ปัญหาอยู่ ใจที่อิ่มเต็มมีกำลัง จะแกไขให้คลี่คลายไปใน ทางดีงามจนได้ ไม่มีอะไรยากเหลือบ่ากว่าแรงจนทำไม่ได้ เพราะใจที่เป็นสุขสามารถหมุนสติสัมปชัญญะปัญญามาคิดค้นหาหนทางแก้ปัญหาให้ลุล่วงไปได้ด้วยดีเสมอเมื่อแก้ปัญหาให้ลุล่วงไปด้วยดีได้ เรากั๊ไม่วิตกกังวลว่า จะต้องมีสิงนั้น จะต้องมีสิงนี้สำหรับเป็นหลักประกันเอาไว้ เพราะเราเชีอในค้กยภาพ'ของตัว'ว่า ไม่ว่าจะไปตกอยู่ที่ไหน ในสารทิศใด เป็นอย่างไร เราย่อมสามารถอยู่กับเหตุการณ์ อันนั้น หมุนเหตุการณ์อันนั้นให้มาเป็นประโยชน์กับเรา เป็น ความสุขกับเราได้เมื่อเราทำชีวิตของเราให้เป็นอย่างนี้ได้แล้วชีวิตย่อมเป็นสุข ถึงจะไม่ไปไขว่คว้าหา มันก็เป็นสุขด้วยตัวของมัน ใจเช่นนี้เป็นใจที่ไม่มีอะไรมาทำให้เป็นกังวลทำให้หิวโหยวิตกทุกข์ร้อน สะดุ้งกลัวว่าจะมีความทุกข์เดือดร้อนเกิดขึ้นมา ด้งนั้น ความสุขที่ใจใฝ่หา แท้ที่จริงก็คือตัว?จ ของ เรานี่เอง ที่เรารู้จักอบรมดูแลให้เป็นเสมือนกุญแจ ที่จะไข เอาความสุขอิ่มเต็ม พอบริบูรณ์ ความผาสุก ชุ่มฉํ่า'ร่มเย็น มาให้กับตัวของตัวจะมีคำถามอะไรไหมคะถ้าไม่มีคำถาม ดีฉันขอโอกาสพูดต่อไปนะคะ อาชีพของพวกทำนมีโอกาสจะตักตวงความสุขให้แก่
ใจได้ทุกเมื่อเพราะครูอาจารย์เป็นอาชีพที่สร้างความอิ่มเต็มให้ใจได้ตลอดเวลา เมื่อเฝ็าดูลูกดิษย์ของเราแต่ละคน ...แต่ละคน เจริญรุ่งเรืองขึ้นไป เราจะรู้สิกเหมือนปลูกต้นไม้ ถ้าใครเป็นคนรักต้นไม้ คงเข้าใจ เข้าขึ้นมา เดินไปดูต้นไม้ จะรู้สีกต้นนี้มืใบใหม่งอกเพิ่มขึ้นมาต้นนั้นกิ่งแตกแขนงยาวออกไป ต้นโน้นสำต้นเจริญอวบขึ้น ยิ่งมีดอกผลิออกมา แล้วค่อย ๆ แย้มบาน เรายิ่งอิ่มใจ สุขใจนี่ก็เหมือนกัน กว่าที่ลูกดิษย์แต่ละคน แต่ละคนจะ จบออกไปนี่ ไม่ใช่ความชํ้าซาก จำเจเลย เพราะแต่ละคน แต่ละคนก็เหมือนหน้งสิอเล่มใหม่ที่เรายังไม่เคยอ่านถึงแม้เราจะสอนชั้นไหนจำเจอยู่ทุกปี ...ทุกปี วิชาซํ้า ของเดิม แต่ตัวลูกดิษย์ที่เข้ามา'รับคำสอน ล้วนเป็นหนังสือ เล่มใหม่ของเราทุกคน ทุกคนไปเลย ไม่ม้[ครในโลกนี้ แม้กระนั่ง ลูกแฝด ที่จะเหมือนกันดังนั้น ความเป็นควรอาการการเฝ็าดูแล สั่งสอนดิษย์ แต่ละคน จนได้รู้จักถึงธาตุแท้ของเขาเพื่อดึงเอาความ สามารถ ...สักยภาพ... นั้นออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่โลก แก่สังคม และแก่ตัวของเขาเองหลายท่านไปเข้าใจผดว่า ถ้าเราเป็นครูที่ประสบความ สำเร็จ มีความสามารถ จะต้องปั้น ลูกศิษย์ให้ออกมาเป็น
พิมพ์เดียวกันหมด เด็กเก่งต้องไปเรียนวิศวะ ไปเรียนวิชา ที่เหมาะกับค่านิยมของสังคมขณะนั้น ๆความดีดเช่นนี้มีใช่ความดีดที่ถูก เพราะเด็กแค่ละ คนจะมีเอกลักษณ์ของต้วเอง มีพรสวรรค์ของต้วเอง ถ้า เขาได้ทำสิ่งที่เขารัก เขาชอบ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่อาชีพที่อยู่ ในค่านิยม แค่จากใจทั้งใจที่ฝักใฝ่ใส่ใจ เขาจะเอาพลังทั้ง หมด ทรัพยากรมนุษย์ที่ดีที่สุด ออกมาใช้ห้เป็นประโยชน์ กับโลก
ไม่อย่างนั้น เราจะประสบปัญหา เด็กหลายคนที่ เลือกสมัครเข้ามหาวิทยาลัยตามที่อาจารย์แนะแนวก็ดี พ่อ แม่ผู้ปกครองญาติพี่น้องก็ดีต้องการ โดยที่ใจตัวเองไม่รัก เมื่อเรียนไปแล้ว คะแนน1ที่เคยดีก็ตกตํ่าลง หรีอเปลี่ยนวิชา หรือเรียนไม่จบในทางตรงกันข้าม ถ้าไต้ทำลี่งที่รักที่ชอบ เขาจะเอา ใจทั้งใจของเขาทุ่มเทเข้าไป เกิดเป็นความสนุกขึ้น เมื่อเขา สนุก เขามีความสุขแล้ว อะไร ๆ ที่จะทำกไม่เป็นภาระที่น่า เบื่อหน่าย หรีอทำให้ต้องฝืนใจ ต้องกัดฟ้น ชีวิตทุกชีวิตก็ จะมีความสุขกันทั้งนั้น ทำให้สังคมนี้ร่มเย็นเป็นสุข เพราะ ใจที่เป็นสุขแล้ว จะมีความรับผิดชอบ มีความเอื้อเฟื้อเผื่อ ต่อกัน เกิดเป็นสังคมที่ใกล้ชิด อบอุ่น ผูกพันต่อกันด้วย น้ำใจแต่ถ้าเผื่อแต้ละคนคับเครียดแต่ละคนมีแต่เป้าที่จะต้องไปให้ถึงโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าจะไปถึงหรือไม่ถึง
หรือบางครั้งการจะไปให้ถึง ก็ไม่ได้ไปด้วยวิธีการที่สวยงามนัก อาจจะไปด้วยวิธีการที่ไม1ได้ด้วยเล่ห์ ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ ด้วยมนต์ ก็เอาด้วยคาถาถ้าเป็นอย่างนี้ใจของตัวเองก็มีแต่ความสะดุ้งความไม่สบายใจ ถ้าแต่ละคนเป็นแบบนี้แล้ว สังคมก็แห้ง แล้งนํ้าใจเหี้ยมเกรียมแต่ละคนต่างก็ตัวใครตัวมันแล้วความสุขที่เราทุกคนใฝ่หา ก็คงค่อยหดตัว ระเหิดหาย เป็นไอไปหมด เราควานหาเท่าไร ๆ ก็ไม่เจอความสุขนี่เปลี่ยนแปลงสถานะได้เหมือนกับนํ้า นํ้า บางภาวะก็เป็นก้อนแข็ง บางภาวะก็เป็นนํ้าเหมีอนที่1ใส่ไว้ใน ถ้วยแก้ว บางภาวะก็แลดูเหมือนหายไป แต่ที่จริงก็ไม่ได้ หายไปไหน หากเป็นไอไป เลยแลไม่เห็นเมื่อไอขึ้นไปสะสมกันมาก ๆ เข้า ก็กลั่นตัวเป็นเมฆ ฝนตกลงมาใหม่ ก็ไม่หายไปไหนหรอกค่ะ ยังลอยอยู่ใน โลกอยู่อย่างนี้ เพียงแต่ว่า ใจของเราจะรู้จักกลั่นไอกลับมา ใช้ให้เป็นประโยชน์ หรือจะทำเปลวร้อนขึ้นมาเผาให้ระเหย หายไปจนหมดแล้วโวยวายว่า โฮ้ย...โลกทุกวันนี้ช่างชั่วร้ายเหลือเกิน ไมมความสุขเหลืออยู่แล้วแท้ที่จริง เปล่าหรอกค่ะเราช่วยกันขับไล่ไปเองแล้วก็ไปร้องโวยวายว่า ไม่มีความสุขต่างหากถ้าเห็นอย่างนี้ แล้วช่วยกัน ความสุฃก็จะกลับมาอยู่ ในหัวใจของเราทุกคน ทำให้ตัวเรา บรรยากาศ สภาพแวด- ล้อมเรา มีความร่มเย็น มีความเอื้อเฟือเผื่อแผ่ มีนี้า1ใจ'ไมตรี ต่อกัน ชีวิตของแต่ละคนก็จะเป็นชีวิตที่สบาย ๆ ถึงไม่ขวน- ขวายเสาะหาความสุข ก็รู้สึกเหมือนกับว่า แช่อิ่มอยูในความสุข อยู่แล้ว เพราะมันเป็นธรรมชาติสมํ่าเสมออยู่อย่างนั้นดิฉันหวังว่าที่เรามาพบกัน ฟังกันเช้าวันนี้ คงพอเป็น ข้อติด และเรื่องตัวอย่างก็คงเป็นเครื่องเตือนใจ ให้พวกท่าน ระลึกนึกถึง ขณะที่เกิดความขึ้งเครียด หรือไม่ได้อย่างใจ ขึ้นมา ว่าจริง ๆ แล้ว ความสุขที่เราใฝ่หา ไม่ได้อยู่ห่างไกล เลยหากอยู่ที่ในใจของเราเองอย่าเอาไปใส่ตู้นิรภัยลั่นกุญแจเช้าไว้หรืออย่าไปทำไอร้อนเผาจนระเหิดระเหยไปหมด แล้วก็โวยวายว่า เราหาความสุขไม่พบดิฉันขอฝากไว้เป็นกำลังใจสำหรับชีวิตของพวกท่านค่ะ


พิมพ์โดย    ปภัสสร   มีพงษ์
แหล่งที่มา  http://web.krisdika.go.th/buddha/26_happytoheart.pdf

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Back To Top