Header Ads

วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2561

บทความหมออมรา หยุดใจ

บทความหมออมรา
หยุดใจ


ชื่อผู้เขียน       พญ อมรา มลิลา
วันที่              27 พฤษภาคม 2524
ณ                 บรรยายพิเศษ ณ โรงแรมนารายณ์ สำหรับบริษ้ทกรุงเทพประกันภัย จำกัด
หมวด


             ท่านกรรมการผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ ชมรมจิตกาวนา และซาวกรุงเทพประกันภัยเราจะพูดกันถึงเรื่องของ ใจ ดิฉันก็เหมาเอา ว่าทุกท่านรู้จักใจของตัวเองแล้วว่า ในตัวตนของ เรานั้นมีใจเป็นสิ่งที่ทำให้เราสามารถคิดนึกและทำ อะไรๆ ได้ปกติใจก็มีพลังของมันอยู่แล้วแต่ถ้าเราไม่รู้จักฝึกให้ได้ประโยชน์เต็มที่ มันก็เหมือนเราเล่น ซักเย่อ ใจหนึ่งจะไปทางนี้ อีกใจหนึ่งจะไปทางโน้น เราก็ทะเลาะกับตัวเองแล้วก็ไม่ไปไหน เหน็ดเหนื่อย ไปหมด อันนี้เราขาดทุน บ่อนทำลายตัวเอง ทำให้ ข้าศึกไม่ต้องทำอะไรเลย นั่งกระดิกหัวแม่ เท้าตีขิม คอย แล้วเราก็ทำตัวเองให้หงายเก็ง เขาก็ชนะเรา ไปรู้อย่างนี้แล้ว เราจะฝึกใจที่เรามีอย่อย่างไร ให้เกิดประสิทธิภาพเต็มที่กับตัวของเราเองใครๆก็อยากฝึกใจคนอื่น อยากบังคับคนอื่น แต่ไม่มีใคร อยากบังคับตัวเอง อยากแต่จะทำตามอำเภอใจของตัว เพราะฉะนั้น เราจึงต้องมาหาเหตุผล ให้เข้าใจ ให้รู้เสียก่อนว่า ธรรมชาติของใจอันนี้เป็นอย่างไรถ้าเราสนใจติดตามวารสารทางการแพทย์ เดี๋ยวนี้ใคร ๆ กิสนใจเรื่องของใจว่า มันเป็นอะไรกัน แน่ อย่างร่างกายหรือสิ่งของอะไรต่อมิอะไรนี้ เรา กิหยิบจับเอามาทดลองให้เฟ้น แล้วเอามารายงาน เป็นเรื่องเป็นราวใต้ แต่เรื่องของใจซึ่งเป็นพลังเป็น นามธรรมนี้ ไม่สามารถหยิบมาตีแผ่หรือเอามาใส่ หลอดทดลองให้เฟ้นกันไต้ มันกิเลยเป็นศาสตร์ที่ ลึกลับซับช้อนแต่อย่างว่าแหละ คนเรานี่ถ้าเกิดความอยากรู้อยากเห็น เราก็ต้องดั้นต้นหาวิธีการไป จนได้
ในที่สุด นักวิจัยกิใข้วิชาสะกดจิตมาช่วย คลี่คลายเพื่อศึกษาความลึกลับของจิตใจ กิมีการ ทดลองที่จะพิสูจน์ว่า ที่ใจของคนเรามีธรรมชาติเป็น ผู้รู้ คือมันจะรู้ทั้งนั้น แต่ทเราไม่ตามเห็นจริงแล้ว ทำอะไรผิดๆ พลาดๆ นั้น เป็นเพราะเราไม่ปล่อยให้ ใจที่เป็นธรรมชาติได้แสดงความสามารถ เราไปเอา ขี้ฝ่นขี้ผง คือความนึกคิด ความด้นเดา ซึ่งเรียกว่า จิตสังขาร ปรุงแต่งใจ มาบ่อนทำลาย เปรียบ เหมือนกับเราเป็นบ่อนํ้าที่ผิวราบเรียบ มองลงไปก็ เห็นอะไรซัดเจน แต่เราไปปรุงให้เกิดคลื่นความคิด กระเทือนผิวนํ้า เหมือนระลอกที่ถูกลมพัด แล้วก็ พยายามมองผ่านระลอกนั้นลงไป เลยผิดรู้ถูก
นักวิจัยอยากพิสูจน์ว่าอันนี้เป็นความจริงแค่ ไหน เขาก็หาอาสาสมัครมา ให้ซับรถผ่านถนนสาย หนึ่ง ถนนสายนี้มีเสาไฟฟ้าถี่ผิดกับถนนอื่นๆ เขา ให้สังเกตเสาไฟฟ้า แล้วลองคะเนดูว่ามีถี่ต้น การ
ทดลองนี้บังคับให้ซับรถในเวลาจำกัด แสดงว่าใคร จะซับช้าเพื่อนับเสาไฟฟ้านั้นเป็นไปไม่ได้ คือให้ใช้ ความสังเกตอนุมานว่าผ่านเสาไฟฟ้าไปเท่าไร พอ กลับมา ทุกคนจะไปรายงานผู้วิจัยว่า เสาไฟฟัามี 200 ต้น 204 ด้น 280 ต้น อะไรอย่างนี้ ซึ่ง เลขหลักหน่วยคือ 4 หรือ 0 หลังจากรายงานผลแล้ว ผู้วิจัยพาอาสาสมัคร ไปสะกดจิตเมื่อสะกดจิตลึกถึงระดับหนึ่ง ผู้วิจัย
ถามว่า เมื่อกี้ที่ขับรถ ผ่านเสาไฟฟ้ามากี่ต้น ปรากฏ ว่าทุกคนตอบออกมาเป็นเสียงเดียวลันคือ 283 ต้น ซึ่งเสาไฟฟ้าบนถนนนั้นมี 283 ต้นจริงๆวันนี้ก็เป็นความมหัศจรรย์อย่างยิ่งสำหรับเรานักวิทย ศาสตร์สมัยใหม่ถ้าเราศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า เราจะ ไม่แปลกใจพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า จิตที่ฝึกดีจนกระทั่งความรู้มาจากธาตุรู้ตัวแท้ ที่เรียกว่าเป็นญาณ หยั่งรู้ คือรู้ตามเป็นจริง รู้ไม่ไต้เกิดจากการปรุงแต่ง นึกคิด มันจะรู้ได้ตรงตามความเป็นจริงแสดงให้เห็นว่า ทุกคนมีศักยภาพของความรู้ ลันนี้อยู่ทั้งนั้น ทุกคนตอบถูก 283 ต้นแต่พอลืมตาตื่นมีสติสัมปชัญญะ กลับปรากฏ ว่า 280 ต้นบ้าง 284 ต้นบ้าง ที่นับว่าใกล้เคียง ที่สุด สำหรับคนที่?เกสติสัมปชัญญะมา มีความ สำเร็จในชีวิตการงาน แต่บางคนก็ว่า 100 ต้นบ้าง 300 ต้นบ้าง 400 ต้นบ้าง คือจะเห็นจากคำตอบ  ของคนเหล่านี้ว่าประสิทธิภาพมันฉีกกันไปไกลแค่ ไหน ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว ต้นทุนมีเท่ากันทั้งนั้น คือ ใจที่เป็นธาตุรู้ รู้อย่างเที่ยงแท้แน่นอนเท่ากันแต่ทำไมเวลาที่ลืมตาตื่น มีสติสัมปชัญญะ เราเป็นตัวของเราแล้ว เรากลับบั่นทอนความรู้ของ เราให้กระจุยกระจายไป ก็เพราะไม่รู้จักแก ไมรู้จัก ธรรมชาติของตัวเอง แล้วไปคิดเอาว่าการวิตกกังวล การนึกคิดไปต่างๆ นานานั้น คือธรรมชาติหยั่งรู้ของ ผ้มีการศึกษา มีการสิกอบรมแตไม่รู้วิธีจะแยกว่าความคิดก็ต้องมี ทิศทาง
ถ้าคิดแล้วก่อกวนตัวเอง คิดแล้วทำให้เกิด อารมณ์ มีปัญหาต่อเพื่อนร่วมงาน มีปัญหาต่อคนที่ บ้าน ต่อตัวเอง ความคิดอย่างนี้เป็นอันตราย เรียก ว่าเป็นความคิดไม่ชอบ เป็นมิจฉาทิฐิเราต้องหมุนทิศทาง เปลี่ยนวิธีคิดของเราเสีย ใหม่ ให้เป็นความคิดที่ทำให้บ้ญหาลดน้อยลงทำให้แต่ก่อนเราเคยมีปัญหาต่อคนนั้น เราก็หาทาง คลี่คลาย ให้เดี๋ยวนี้เห็นหน้าเขา เราก็สามารถที่จะ พดเรื่องงานกับเขาไต้ แม้เวลาปกติเราไม่คิดจะเป็น เพื่อนเขา แต่เวลาทำงาน มีเรื่องอะไรก็พูดจากัน ได้ โดยที่เราไม่รู้สึกกระทบกระเทือนหรือกระดาก กระเดื่องในใจ เกิดอคติขึ้นมาถ้ารู้จ้กปรับวิธีคิดจากมีจฉาทืฐมาเป็นสัมมา ทิฐิ คือความ เห็นชอบ จะทำให้พลังใจของเราไป ในทิศทางที่ราบรื่นสะดวกสบายกับตัวเองเหมือนอย่างกับจะพายเรือ เราก็เลือกเวลา ที่พายแล้วกระแสนํ้าไปในทิศทางเดียวกับที่เราต้อง การจะไป เราก็ไม่ต้องออกแรงด้านทานเสียดสี ทำ ให้เราเหนื่อยมากเกินจำเป็น เสียดสีกับอะไรเสียดสีกับอารมณ์ของตัวเองที่ไปมือคติเอา ไว้ ไปรักไปชัง ไปหลงไปกลัว ในสิ่งที่ไม่มีตัวตน แต่ คิดเอาว่า มันมีอยู่ถ้าเห็นตรงนี้ เราจะได้เกิดความกระตือรือร้น ใส่ใจที่จะมาทำความรู้จักกับใจของเราเองว่า มืสิ่ง ซ่อนเร้นเหล่านี้อยู่อย่างไรบ้างสิ่งที่ดิฉันเรียนให้ทราบเหล่านี้ไม่ได้เกิดจาก ความตั้งใจ แต่ละผู้แต่ละคน ไม่รู้ตัว หรอกว่า เรามี จุดอ่อนเหล่านี้อยู่ ถ้า รู้ มันก็ง่าย ทุกคนก็จะแก้ไข ตัวเองได้ความไม่รู้อันนี้ลึกเสียจนกระทั่งพระพุทธองค์ว่าเป็น อวิชชา ลึกลงไปในระตับของจิตไร้ สำนึกถ้าไม่พยายามพัฒนาใจของเราให้กลับมาส่ สภาพความเป็นธาตุรู้ เราจะไม่มีวันรู้ว่าเราก็สืกตัว เองมาระตับหนึ่งแล้ว เมื่อย้อนกลับไปดริธีคิดของ เรา เราถึงได้รู้ว่า ที่แล้วมา ใครๆ เขาเห็นเราดินเฉ เดินไม่ดีแต่ตัวเราไม่มีโอกาสเห็นตัวเอง เลยไม่รู้จนกระทั่งผ่านพ้นไปแล้ว ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องมา แกใจของเรา อย่างที่ชมรมจิตภาวนาพยายามเชิญ ชวน ซักชวน ให้มาใช้บริการ เพราะเห็นแล้วว่าเมื่อแก่แล้ว เราแต่ละคนจะเห็นที่บกพร่องของตัว เอง จนพากเพียรปรับปรุงแก้ไข แล้วสามารถดึง เอาศักยภาพของตัวเองมาใช้ได้อย่างเต็มเม็ดเต็ม หน่วยเรารู้ตรงนี้แล้วรู้จักหยุดสังขารความปรุงคิดที่ระส่ำระส่ายเวลาเจอปัญหาอะไร ตั้งสติให้แน่วนิ่ง ทำผิวนํ้าให้เรียบใส สติที่กรชับอย่กับใจจะทำให้เราเก็บข้อมูลคือตัวปัญหาได้ตรงตามความ เป็นจริงเหมือนเรามองลงไปที่ก้นบ่อ ถ้าผิวนํ้า
เรียบ เราก้เห้นอะไรๆ ชัดเจนก้อนหินเราก็เห็นเป็นก้อนหิน ปลาเราก็เฟ้นเป็นปลา สาหร่ายก็เฟ้น เป็นสาหร่ายแต่ถ้าเรา เอ๊ะ... เขาพูดอย่างนี้ เขาจะเอา อะไรกับเรานะ ใจเรากระเพื่อม เราก็ฟังทั้งเขาพูด ปนกับที่เรากระเพื่อมคิด ตกลงไม่รู้ละว่า จริงๆ แลว ข้อมูลนี่เขาพูดว่าอย่างไร แล้วเราไปต่อเติมคิด วิตกกังวลไปว่าอย่างไร เป็นด้นว่า ก้อนหิน เพราะ ผิวนํ้าพริ้ว เราก็เลยเฟ้นก้อนหินมีครีบ มีหางเคลื่อนไหวได้ ออ...ปลา ชัดเลย เราก็ผิด การ หยุด ใจ ให้นิ่งจึงมีความสำตัญอย่างนี้ถ้าเราไม่เคยฝึกมาเลย ย่อมหยุดความปรุง คิดไม่ได้ ก็ตั้งแต่คลอดจากห้องแม่มา ใครๆ ก็สอน ว่าต้องคิด ถ้าไม่คิดก็ปัญญานิ่ม ไม่มีทางจะติดต่อ กับคนอื่นรู้เรื่อง โดยธรรมชาติเมื่อมีอะไรมากระทบ เราก็คิดปรุง ถ้าไม่ฝึกไม่อดใจเราฝึกฝืนตัวเองให้ทำจนกระทั้งเฟ้นผล เราจะไม่มีทางรู้
เราบอกตัวเองว่า แต่นี้ต่อโป พอมีปัญหาเกิด ขึ้น ฉันจะตั้งสติแต่ปรากฏว่าสติไม่รู้หายไปไหนแล้ว ไจคิดไปรอบจักรวาลแล้วกิยังไม่รู้ เสร็จกิเลส ไปอีกแล้ว เรากิเลยไม่เคยรู้เคยเห็นของจริงถ้าใครเคยมีปัญหาที่คิดจนหัวจะพัง อดหลับ อดนอนเสียเหนื่อยจนผลอยหลับไป โนช่วงนั้นแหละ ความหลับทำให้ใจที่เหนื่อยล้าได้พักเต็มที่ ได้สงบ หยุด ไม่ไปคิดปรุงอะไร ครั้นรู้ตัวตื่นขึ้นมา แรกๆ ที่ใจยังไม่ได้ไปคิดปรุงอะไร มันมีความรู้วาบขึ้นมา และเมื่อเราเอาความรู้อันนั้นไปแก้ปัญหา ก็พบว่า ผลของมันแน่จริง ๆทีนี้เราอยากให้ความรู้แบบฟ้าแลบอย่างนี้เกิดขึ้นบ่อย ๆแต่ก็ไม่รู้วิธีว่าจะทำอย่างไรมันจึงจะเกิด บางวันคอยเท่าไรๆ มันก็ไม่เกิด แต่บางวันไม่ได้คอยเลย กิมีความรู้ที่ดีแวบขึ้น มา ก็เพราะช่วงที่เราเหนื่อยมากๆแล้วหลับไปใจได้พักสงบเหมือนอย่างกับเราทำสมาธิเมื่อใจเป็นสมาธิพอสมควร ความรู้ตามเป็นจริงเกิดขึ้น มา เราก็ได้คำตอบที่เที่ยงตรงมีประสิทธิภาพไปแก้ถ้าเราไม่ฝึก มันก็ลมเพลมพัด บางทีก็ได้บาง ทีก็ไม่ได้ เราก็เลยกลายเป็นคนหลักลอย แต่เมื่อรู้ อย่างนี้แล้วก็ง่ายมาก เพราะมันอยู่ในใจเรานี่เอง เหมือนของจมอยู่ในนํ้า ถ้ารู้จักวิธีที่จะ ทำผิวนํ้าให้ เรียบ เราก็หลับตาหยิบได้ไม่ว่ามันตกอยู่ตรงไหน นักวิจัยก็อยากรู้ต่อไปว่า เวลาที่ใจเรานึกคิด มันเป็นอย่างไรทางการแพทย์นั้น เวลาที่อยากรู้ว่าคนไข้มีความผิดปกติของสมองหรือไม่ เขาจะ ตรวจคลื่นสมอง ซึ่งเห็นเป็นคลื่นยึกๆ ยักๆ บน กระดาษที่บันทึกเวลาคิดทีหนี่งก็มืคลื่นของความคิด ถ้าคิดแล้วหยุดพัก คลื่นที่เกิดขึ้นก็เหมือนเรา ทิ้งอะไรลงไปในบ่อนํ้า จะมีระลอกไปกระทบฝัง แล้วต่อยจางหายไป ผิวนํ้าก็เรียบเหมือนเดิมแต่ถ้ายังคิดซํ้าแล้วชํ้าอีก คือเหมือนกับเราเอาอะไร ทิ้งลงไปในนั้าต่อเนื่องกันเรื่อย ๆความคิดเกิด-ดับ เกิด-ดับ เป็นระลอกต่อเนื่องกันไปเรื่อย ๆ ทำให้ผิว นํ้ากระเพื่อมอยู่เป็นนิจคลื่นความนึกคิดนี้ คือคุณลักษณะของใจ ลักษณะที่ความกระเพื่อมเกิดดับนี้ คล้ายคลึงกับ

อัมมันตภาพรังสี ใกล้เคียงกันมากคิดลูเถอะว่า สารกัมมันตรังสีนี่ เวลาเอา มาสร้างเป็นลูกระเป็ด มันมีฤทธี้แค่ไหน ทำให้เกาะ ถล่มจมหายไป ทำให้ภูมิประเทศของโลกเปลี่ยน แปลงไป
ใจของคนเวลานึกคิดทำลายล้างกันก็มีฤทธไม่ แตกต่างจากสารกัมมันตรังสี แต่ถ้าเรารู้จักกำหนด ทิศทาง ที่เมื่อกี้ดิฉันเรียนให้ทราบว่า ขอให้เรา แน่ใจว่าเราคิดด้วยสัมมาทิฐิ ไม่ได้คิดด้วยมิจฉาทิฐิ คือเราไม่ได้เอาใจมาคิดเป็นระเป็ดปรมาณู เราเอา มาทำเป็นกัมมันตภาพรังสีเพื่อสร้างสรรค์ คือคิด เป็นสัมมาทิฐิเป็นความหวังดี บริสุทธิ์ จริงใจทำให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข อย่างที่เจ้าชายสิทธัตถะ ได้ทำองค์ฟานเป็นตัวอย่างให้เราเห็นมาแล้วเขาศึกษาต่อไปถึงธรรมชาติของคลื่นอันนี้ว่า ที่นึกคิดแล้วมันเกิด-ดับ เกิด-ดับ นี่ คุณสมบติของ มันเป็นอย่างไร ก็พบว่ามันเป็นคลี่นที่มีความถี่สูง มาก จนกระทั่งหเราไม่ได้ยินเสียง เรารู้ว่าเสียงที่ความถี่สูงจนไม่ได้ยินนั้น หากเข้าไปอยู่ใกล้ คลื่น ความถี่สูงนี้สามารถกระเทือนกระแทกเนื้อตัวเรา ทำลายเนื้อเยื่อ ทำให้เราบาดเจ็บ เหนื่อย เมื่อยล้า -แล้วคิดดูเถิด เวลาที่คนเข้าไปทำงานในโรงงาน เหล่านี้ เรายังต้องมีมาตรการปัองกันความเสียหาย แต่ตัวเราที่เฝ้าคิดด้วยความคั่งแค้น ด้วยความโลภ ด้วยความหลงผิด คิดวนเวียนอยู่อย่างนั้นวันยันค่ำ คืนยันรุ่ง เปิดโรงงานทำเสียงความถี่สูงก่อกวนตัว เองอยู่ตลอดเวลา อะไรจะเกิดขึ้นกับสุขภาพกาย สุขภาพใจของตัวเอง
หากคิดในทางดี คลื่นยันนื้กิจะมีพลังทำให้ กายใจของเราเกิดความผาสุกร่มเย็น เหมือนอย่าง กับเราเอาเศษเหล็กไปวางในสนามแม่เหล็ก อณูของ เศษเหล็กก็เรียงตัวกันเป็นระเบียบ ทำให้เศษเหล็ก มีแรงดูดผลักกลายเป็นแม่เหล็กชั่วคราวได้ถ้าวางใน สนามแม่เหล็กนานพอ ถ้าการฝ็กของเรานาน จน กระทั่งจิตเกิดความคุ้นเคยกับการคิดอย่างเป็นระเบียบ อย่างเป็นสัมมาทิฐิ ใจของเรากิจะเป็นเหมือนเศษ เหล็กที่กลายเป็นแม่เหล็กถาวร มีอะไรมากระทบก็จะคิดไปในทางที่ถกต้อง ถึงเราจะไม่อยากเป็น
คนดี แต่อัตโนมัติที่ฝึกเอาไว้จนเข้าที่แล้ว ก็ทำให้ เราเป็นคนดีไปโดยที่ไม่ตั้งใจ เรียกว่าทำบาปไม่ขึ้น
แต่ถ้าไม่ฝึกพออะไรมากระทบ ปรากฏว่าตั้ง ที่เจตนาจะเป็นคนดี แต่ความเคยชินก็ไปแล้ว มือ ของเราไปซกเขาแล้ว ขาของเราไปเตะเขาแล้วโดย ไม่ได้ตั้งใจ มันไปของมันเอง สติตามไม่ทัน นี่แหละ มันเป็นอย่างนี้นอกจากจะพบว่าคลื่นมันเป็นอย่างนี้แล้ว เรา ก็อยากเต่อไปถึงคุณสมบตของคลื่นว่า เวลาติดใน ทางไม่ดีกับติดในทางดีนี่ มันมีผลอย่างที่เราอนุมาน ไว้แน่หรือครั้งแรกเขาก็ทดลองกับต้นไม้ ซึ่งเป็น
สิ่งมีชีวิตก็จริง แต่ไม่มีจิตใจ โดยจัดเพาะถั่วขึ้นมา แล้วแบ่งออกเป็น 2 แปลงตอนแรกที่แบ่ง มันไม่มีความแตกต่างที่จะบอกได้ว่าแปลงไหนเป็นแปลง ไหนก็เอาแปลงหนึ่งให้คนที่มีจิตใจดี ติดในทางเมตตากรุณา รักต้นไม้ เอาไปเลี้ยงอีกแปลงหนึ่งให้คนหงุดหงิด เห็นอะไรกีดหน้าขวางตาไปหมด ไป ดูแล เมื่อเวลาผ่านไป 3 เดือน ถั่วแปลงแรกต้น เขียว ออกฝักอวบอ้วน เม็ดสมบูรณ์ดีเอาไปทำพันธุก็ขนทุกเม็ด เอามากินก็กรอบ หวานอร่อย แปลงที่ให้คนอารมณ์หงุดหงิดเอาไปเลี้ยงก็พอมีฝัก บ้าง แต่ละฝักเหี่ยวเป็นเกลียว เม็ดก็แทบไม่มี คือ มีลีบๆ เอาไปทำพันธุก็เพาะไม่ขึ้นนี่ขนาดกับสิ่งไม่มีจิตใจยังแย่อย่างนี้
ต่อมาก็ทดลองกับสิ่งที่มีจิตใจ โดยเริ่มศึกษา ว่า คลื่นความคิดที่ดีมีเมตตา ให้ความเกี่ยวข้องกับ บรรยากาศรอบข้างอย่างไรบ้าง เขาก็พบว่า ในที่ที่ จิตใจมีเมตตา คิดเป็นเหตุเป็นผล เป็นสัมมาทิฐิ บรรยากาศรอบๆ จะมีประจุลบสะสมอยู่มาก แต่ถ้า ที่นั้นคนทะเลาะเบาะแว้งกัน จิตใจคิดเอารัดเอา เปรียบฉกฉวยผลประโยชน์ จะมีประจุบวกแน่นหนา ผิดปกติเขาก็ทดลองเอาสุนัขซึ่งอยู่กันเป็นปกติดีในกรง ต่างตัวต่างอยู่ เดินกระแสไฟฟ้าแยกประจุบวกพ่น เข้าไปในบริเวณกรงที่สุนัขอยู่กันอย่างปกตินั้น สัก พักประจุบวกเข้มข้นถึงระดับหนึ่ง สุนัขที่ต่างตัวต่าง อยู่อย่างมีความสุขก็สะบัดตัวลุกขึ้น คล้ายๆ ถูกใคร ไปกระตุ้นให้โกรธแค้น แล้วตาขวางเข้าใส่กัน ตรงรี่ เข้าขยํ้ากัดกันเป็นการใหญ่ เจ้าของที่เลี้ยงลูพูดอะไร เคยเชื่อฟัง เข้าไปห้ามมันก็ไม่ฟัง แล้วทำท่าว่าจะ กัดเจ้าของเข้าอีก คือเรียกว่าตอนนี้นึ่สุนัขมันบ้าโดย สิ้นเซิง จะทำอย่างไรๆ ก็ไม่ฟัง ทำท่าเหมือนอย่าง กับว่าจะต้องกัดกันจนตายไปข้างหนึ่ง
เขาก็กลับขั้วให้กระแสที่ประจุบวกเข้าไปนั้น เปลี่ยนเป็นจ่ายประจุลบเข้าไปแทน พอประจุลบ สะสมถึงระดับหนึ่ง สุนัขที่กัดกันชนิดที่เรียกว่าจะ ต้องตายไปข้างหนึ่ง ก็ชะงักเหมือนเพิ่งตื่น ถอยผละ ออกจากกัน แล้วก็สะบัดหัวมองกันอย่างไม่เข้าใจว่า อะไรได้เกิดขึ้น แล้วต่างตัวต่างก็เดินไปล่มุมโปรด ของตัวเอง ล้มตัวลงนอนอย่างมีความสุขอย่างเดิม อันนี้ก็พอจะเป็นเครื่องยืนบันว่า ความคิด ของคนเรา ที่เรานึกว่าไม่มีใครล่วงรู้ แล้วก็เป็นสิทธิ ส่วนบุคลที่เราจะทำได้อย่างอิสระเสรี เพราะไม่ได้ไป เหยียบยํ่าใคร ไม่ได้ไปพูดให้ระคายหูใครเลยสักนิด นั้น จริงๆ แล้วเราได้ไปทำร้ายไปทำมลภาวะให้แก่ ตัวเองอย่างสาหัสและทำมลภาวะให้แก่ลังคมอย่าง ร้ายแรงโดยที่เราคาดไม่ถึง เพราะมองไม่เห็นด้วยตา เนื้อ แต่ถ้าตาใจของเราคมไวละเอียด จนกระทั่ง สัมผัสได้ เหมือนอย่างเวลาเราตรวจคลื่นสมอง เรา ก็จะสัมผัสได้อย่างการทดลองที่เรียนให้ทราบนี้หลายท่านอาจสงสัย เออ... ใจอันนื้มืจรีงๆ หรือ ถ้ามืจริง ก็โม่เชื่อหรอกว่า พอลมหายใจหมด แล้ว ใจอันนี้ยังอยู่ แล้วจะออกจากร่างไปทางไหน อัน ฝรั่งก็สงสัยในท่านองเดียวอับเราอย่างนี้ ก็มีกลุ่มนักวิสัยที่สนใจอยากรู้ว่า พอตายไปแล้ว มันมี อะไรออกจากร่างของเรา อย่างความเชื่อโบราณที่ ว่าจิตวิญญาณของเราออกไป จริงหรือเปล่าเขาก็สร้างเตียงคนไข้ให้สามารถชั่งนํ้าหนัก คนไข้รวมทั้งสิ่งต่างๆ ที่อยู่บนเตียงได้ เหมือนอย่าง อับเราชั่งเด็กที่อยู่ในตู้อบทำนองนั้น การชั่งนํ้าหนัก ท่าได้โดยไม่ต้องเคลื่อนย้ายคนไข้เลย สามารถชั่ง ได้เป็นระยะ ๆแล้วถ้าจะเถียงอันว่า นํ้าหนักที่สูญหายไป เป็นเพราะคนไข้เวลาจะตาย เหงื่อกาฬแตก ทวารทั้งหลายเปิดหมด ปัสสาวะ อุจจาระราด ท่า ให้เราแยกไม่ได้ ก็หมดปัญหา เพราะเราชั่งหมด ทุกอย่างที่อยู่บนเตียง อะไรที่ขับออกมาจากตัว คนไข้ก็คงอยู่บนนั้น ไม่มีทางจะหายไปไหนจะว่าปัสสาวะออกมาแล้วระเหยไปก็ชั่งกันเป็นระยะๆทุก 9 นาที 10 นาที หรือว่าจะให้ถี่แค่ไหนก็ชั่ง ได้ แล้วก็ชั่งต่อไปจนกระทั่งแน่ใจ จึงเอามาหาค่า เฉลี่ย เพื่อดว่านํ้าหนักที่เปลี่ยนแปลงไปนี้ เปลี่ยน แปลงจริงหรือไม่ก็พบว่านํ้าหนักของคนไข้ที่ชั่งมาเรื่อยๆ ตรง จุดที่ลมหายใจดับไปจะมีการเปลี่ยนแปลง นํ้าหนัก ที่คงที่เรื่อยมาลดลงนิดหนึ่ง ประมาณ 30-90 กรัม เป็นค่าที่มีนัยสำคัญทางสถิติ แล้วก็เปลี่ยนแปลงจริง เพราะเขาคงชั่งต่อไปหลังจากที่ลมทายใจหมดแล้ว ก็พบว่านี้าหนักที่ลดไปก็ยังลดคงเส้นคงวาอยู่อย่าง นั้น ไม่ใช่ว่าลดเฉพาะขณะ แล้วกลับเพิ่มขึ้นมาใหม่ หรือว่าเพิ่มแล้วลดอีก กลับไปกลับมานักวิจัยกลุ่มนี้สรุปว่า ใจที่เป็นพลังเป็นคนละ ส่วนคนละอันกับร่างกาย เวลาที่หมดลมหายใจแล้ว เราหาร่องรอยที่มันออกไปไม่ได้ก็จริง แต่ต้องมีอะไร หลุดออกไปจากร่างกายที่ไม่มีลมหายใจ จึงทำให้ สูญเสียนํ้าหนักตัวไปนิดหนึ่ง ซึ่งตรงกับสมการของ
ไอนสไตน์ที่ว่าพลังกับสสารแปรเปลี่ยนไปมาสู่กันได้ เพราะฉะนั้น ใจที่เป็นนาม ออกจากว่างอันนั้นไปเมื่อ หมดลมหายใจ จึงทำให้มวลสารจำนวนนิดหนึ่ง หายไปด้วย ไม่ได้มากมายถึงกับจะรู้ด้วยการไปจับ ไปยกแต่ถ้าเฝ้าติดตามชั่งนั้าหนักอย่างละเอียดจะพบว่ามันหายไปเขาก็วิจัยต่อไปว่า แล้วการเวียนว่ายตายเกิด นี่มีจริงหรือเปล่าถ้าพูดในแง่ของใจจริง มันไม่เกิด ไม่ตายแต่มันเป็นนักท่องเที่ยว เกิดพอใจจะพักอ้างแรมขึ้น มา ก็เอาบัตรเครดิตไปแสดงกับโรงแรมเพื่อขอ พักอยู่ อยู่เบื่อแล้วก็ย้ายออกไป เปรียบเหมือนเรา มาเกิดทีหนึ่ง ก็คือมาอยู่โรงแรมหนึ่งเพราะเรามาตัวเปล่า เหมือนคนเดินทาง ก็ไม่มีอะไร ไม่ได้ หอบเตียงหอบข้าวของอะไรมาด้วย มาถึงก็เข้าไป ใช้บริการของโรงแรม ทำให้มืพร้อมสรรพทุกอย่าง ครั้นเวลาออก เราก็ไม่ได้หอบเอาอะไรติดตัวไป ก็ เอาแต่ตัวเรากับบัตรเครดิตเดินทางต่อไป แล้วก็ ไปแสวงหาโรงแรมใหม่ถ้าพูดในแง่ของรูปร่างกาย เราก็ว่ามันเวียน ว่ายตายเกิด เกิด-ตาย แล้วก็ไปเกิดใหม่ เราจะพูด แบบไหนก็ได้นักวิจัยอยากรู้ว่ามันเกิดจริงหรือเปล่า มัน ตายจริงหรือเปล่า เขาก็ศึกษาโดยใช้วิธีสะกดจิตลึก เพราะเรายังไม่สามารถแกใจของเราให้รู้เห็น เป็น อย่างพระพุทธองค์และสาวก เราก็ใช้วิธีสะกดจิตลึก ช่วย โดยเอาอาสาสมัครมาสะกดจิตลึก ถึงจุดหนึ่ง อาสาสมัครจะเล่าว่า ฉันชื่อนั้นซื่อนี้ เกิด ค.ศ. นั้น ค.ศ. นี้ เขาก็ยัดเทปเอาไว้ หลังจากเลิกสะกดจิตแล้ว ก็เอาเทปเหล่านี้ไปถอด หากสถานที่ที่กล่าวถึงมีอยู่ เขาก็ส่งคนไปสืบหาตามคำบอกเล่าดังเรื่องที่นำมารายงานนี้ เป็นเรื่องของสตรี แม่บ้านซาวอเมริกัน ซึ่งเรียนจบมัธยมศึกษาแล้วก็ ไม่ได้เรียนอะไรต่อ ความรู้ก็รู้แต่ภาษาอังกฤษเพียง ภาษาเดียวไม่มีวุฒิพิเศษอะไร จบมัธยมศึกษาแล้ว ก็ทำงานเป็นแม่บ้าน ขณะถูกสะกดจิตลึก เธอเล่าว่า เธอเป็นชาวฮอลันดา เกิดในราชตระถูล มีบรรดา ศักดิ์เป็นเลดี้เลดี้คนนี้เล่าว่า เธอเกิดที่เมืองนั้นๆ มีชีวิต อยู่ระหว่างคริสต์ศักราชนั้นๆมีความสามารถในทางเขียนโคลงกลอน เธอเล่าถึงว่าเธอเขียนโคลง กลอนอะไรไว้บ้าง ผู้สัมภาษณ์ขอให้ท่องโคลงที่เธอ ชอบให้ฟังสักบท เธอก็ท่องให้ฟังครั้นส่งคนไปติดตาม ก็ปรากฏว่าที่หม่บ้านนั้นมีพิพิธภัณฑ์ของ เลดี้คนนี้จริง ๆ มีรูปเหมือนของเธอติดเอาไว้ด้วยแล้วก็มีข้าวของกระจุกกระจิกรวมทั้งหนังสือที่รวม บทกวีนิพนธ์ของเธอ พลิกไปก็มีโคลงบทที่แม่บ้าน อเมริกันคนนี้ท่องให้ฟัง เหมือนกันหมดทุกถ้อยคำ เขาก็ถ่ายเอกสารหนังสือเล่มนี้ออกมา รวมทั้งถ่าย รูปเหมือนของเธอ เอากสับมาให้แม่บ้านคนนี้ดูขณะ ที่ไม่ได้ถูกสะกดจิต ถามว่ารู้จักรูปนี้โหม เคยเห็นไหม ผู้หญิงคนนั้นบอกไม่รู้จัก ใครก็ไม่รู้ ไม่เคย เห็นเอาหนังสือให้ดูก็อ่านไม่ออก คนอ่านให้ฟังก็ไม่เข้าใจเลย ทั้งๆ ที่ตอนสะกดจิตลึก ตัวเองก็พูด ได้เหมือนทุกอย่างทุกถ้อยคำ
จากผลของการทดลองเหล่านี้ ทำให้ฝรั้งก็ ยอมรับแล้วว่า จิตมืจริง เป็นพลังที่ไม่สูญหาย ไม่
ตาย ก็ตรงกับที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ ตราบที่เรา ยังไม่สิ้นกิเลสมันก็เวียนตายเวียนเกิดไปตามแรงที่ใจ ยังยึดอยู่ จะด้วยความรักหรือดวามซังก็ตาม เปรียบ เหมือนกับแรงดึงดูดที่ทำให้เรายังต้องกลับไปสู่ที่นั้น ดิฉันฝากข้อมูลเอาไว้แค่นี้ เพื่อไห้ใครก็ตาม ที่ลังเลสงสัยว่าการฝึกใจจะเสียแรงโดยเปล่าประโยชน์ หรือเป็นเหยื่อให้คนฉลาดตักตวงผลประโยชน์ไป จากเรา ทำให้เราไม่ปลงใจเริ่มทำผลทำประโยชน์ ให้ตัวเองได้ ก็โปรดไตร่ตรองพิจารณาดู เพราะของ อย่างนี้เหมือนการรับประทานอาหาร เรารับประทาน เราอิ่ม เรามีกำลัง ถ้าเรายังไม่สนใจรับ ประทาน แต่ไปนั่งดูคนอื่นรับประทาน แล้ววิพากษ์ วิจารณ์เขา เขาอิ่ม แต่เราไม่ได้อิ่มไปด้วยเมื่อทราบข้อมูลมาแค่นี้แล้ว ก็ถึงจุดที่จะฝึก ความตั้งมื่นให้แก่จิตใจของตน
คำว่า สมาธิ คือความแน่วนิ่งของใจ จริงๆ แล้ว ถึงไม่ฝึก ใจคนปกติไม่ได้เป็นโรคประสาท ก็มี สมาธิอยู่โดยธรรมชาติแล้ว ถ้าเราไม่มืใจที่แน่วนิ่ง เราเรืยนหนังสือมาจนจบไม่ได้ ทำงานทำการไม่ได้
เมื่อมีปัญหา เราต้องหาทางแก้ปัญหา เพื่อให้งาน บรรลุเป้าประสงค์ นั่นคือการใช้ใจเพ่งจดจ่อให้ เกิดความแน่วนิ่ง เป็นหนึ่งเดียวกิบงานที่ทาหรือสิ่ง ที่เราสนใจเรามีสมาธิกันอยู่แล้วโดยธรรมชาติ แต่สมาธิ ของเรานี้ เหมือนเราตั้งใจจะลากเส้นตรงสักเส้นหนึ่ง แต่ข้อมือยังไม่แข็งแรง ขีดไปได้นิดหนึ่งขีดพลาด ขีดไปได้หน่อยหนึ่งเกิดสะดุดไปอีกแล้ว เราก็เลยมี ชนิดขาดวรรคขาดตอนเป็นห้วง ๆ เมื่อไรมีปัญหา เราก็จะมีใจจดจ่อเป็นเพิเศษ เป็นต้นว่า พรุ่งนี้จะ ต้องส่งงานเจ้านาย รับรองคืนนี้ วันนี้ สมาธิเราดี ให้ใครทำเสียงดังเท่าไรก็ไม่ได้ยิน หูเราดับได้ หรือ คืนนี้ไม่นอนก็ได้ ไม่เหนื่อย ไม่เพลีย แต่มนเป็น เฉพาะช่วง เฉพาะคราว ไม่ต่อเนื่องกันนานพอให้ เราได้ลิ้มรสสงบผาสุกของสมาธิ พอที่เราจะเกิด ความชาบซึ้ง หรือเชื่อเลื่อมใสว่า การหยุดใจให้นึ่ง ให้เป็นสมาธินี่ มันคืออาหารของใจ คือการพักผ่อน ให้ใจมีสุขภาพดีขึ้นดิฉันให้นิยามว่า ใจมีสุขภาพดีขึ้น ถ้าเราคิดฟังซ่าน คิดกังวล คิด..คิด..คิด.. คิด ไม่หยุด เราปวดหัวเลย หยุดมันก็ไม่ได้ทั้งๆ ที่เรา อยากหยุด เหมือนอย่างกับว่าใจของเราไม่ใช่สมบํต ของเรา จะมีเสียงนั้นเสียงนี้ดังอยู่ในใจ เหมือน อย่างกับฉายหนังกลางแปลง 5 เรื่อง 10 เรื่อง ประชันกัน จนไม่รู้จะดูเรื่องไหน ครั้นจะให้ใจหยุด คิดก็หยุดไม่ได้ ถ้าใครเคยประสบป็ญหาอย่างนี้จะรู้ว่าสัญญาณอันตรายเกิดขึ้นแล้ว เราจึงต้องมาทำนุ บำรุงรักษา ดูแล ป็กฝนใจของเรา ให้มืสสักนิรภัย เมื่อไรจะพักใจก็พักได้ ไม่อย่างนั้น ความปรุงคิดจะ ดังทั้งวันทั้งคืนจนเราปวดประสาท สุขภาพใจ
เสื่อมโทรมวัตถุประสงค์ของการแกสมาธินั้น มีอยู่ 4 ประการ
ประการที่ 1 เป็นเครื่องพักผ่อนจิตใจ ซึ่งตรงกับที่ดิฉันเรียนให้ทราบว่า สมาธิเป็นอาหาร ของใจ ร่างกายเรายังหาอาหารให้วันละ 3 มื้อ นี่ใจ ของเรา เพียงแค่หาอาหารบำรุงรักษาให้หายเหนื่อย หายเครียด วันหนึ่งสักมื้อสักคราว จะไม่ได้เชียวหรือ จะเป็นตอนก่อนนอน หรือตอนตื่นนอนเรท หรือ ตอนไหนก็ได้ เมื่อแก้แล้วพบว่า เวลาที่ใจสงบใจนิ่ง มันเกิดความเบา สบาย ดวามปีติ ทำให้ใจมีกำลัง เราก็เริ่มมีความอยาก สนุก มีกำลังใจ ที่จะทำให้ สม่ำเสมอเป็นอุปนิสัยเหมือนคนงานที่ทำงานแห่งหนึ่ง ดิฉันเคย สงลัยว่าเขาถูกเจ้านายบังคับให้มาฟังหรืออย่างไร เพราะที่ทำงานแห่งนี้มีรายการธัมมะเที่ยงถึงบ่ายโมง อาทิตย์ละครั้ง เป็นภาคบรรยาย 50 นาที เวลา เหลือ 10-15 นาทีตอนท้าย ผู้บรรยายจะพาผู้ฟัง ทำสมาธิ อันนี้เป็นนโยบายของที่ทำงานแห่งนั้นวันหนึ่งดิฉันไปได้เร็ว เลยไปคุยอับเขาว่า เป็นอย่างไร เฟ้นหน้าคุณมาเป็นประจำ ฟังแล้วได้ประโยชน์ หรือใครบังคับให้มาเขาก็เล่าให้ฟังว่าแรก ๆ นึ่เขาไม่ได้มาเพราะสนใจอับเรื่องการปฏิบดิ ธรรมจริง ๆ หรอกแต่ว่าห้องที่มาฟังบรรยายนี้เป็นห้องแอร์ เขาต้องทำงานอยู่กลางแดดทั้งวัน ก็ รู้สึกว่าอย่างน้อยได้มานั่งในห้องแอร็ได้ความเย็น กาย ใจก็สบายขึ้น เขาก็คิดแค่ว่าเป็นการพักผ่อนของเขาทีนี้ทุกๆ ครั้งที่จบการบรรยายก็ต้องทำสมาธิ 10 นาที หรือ 15 นาที เขาก็ตั้งใจทำเพราะ ว่าพักกายเรายังชื่นใจอย่างนี้ท่านว่าพักใจยิ่งมีอานิสงส์เหนือกว่า เขาก็ลองทำ เมื่อทำแล้ว ก็พบ ว่าใจร่มเย็น มีกำลังขึ้น เขาก็นึกอยากทำตอนเช้า ก่อนมาทำงานด้วย เผื่อว่ามาเจอเจ้านายจุกจิกจู้จี้ หรือเพื่อนร่วมงานสร้างปัญหาให้ จะได้มีภูมิคุ้มกัน ไม่โกรธ ไม่นินทาเขาแต่ปรากฏว่างานที่ทำมันเหนื่อยจนไม่เคยที่จะตื่นขึ้นมาทำตอนเช้าได้เขาเล่าว่าบ้านของเขาอยู่ในละแวกสลัม แรก ๆ ก็ยังพอมีความสงบสุข แต่พอคนข้างบ้านย้ายมาอยู่ เป็นคู่ผัวตัวเมียเพิ่งแต่งงานใหม่ สงสัยนํ้าผื้งขม อยู่ กันก็ปรากฏว่าทะเลาะกันทุกวัน แรก ๆ ทะเลาะกัน ก็ยังเกรงใจชาวบ้าน คือทะเลาะในเวลาอันสมควร ถึงเวลานอนก็ค่อยหรี่หลอดเสียงลง ไม่ทำให้คน อื่นเดือดร้อน แต่อยู่ไปอาการก็ค่อยหนักเช้า บางที 4 ทุ่ม 2 ยามก็ยังทะเลาะกัน
วันที่จะเกิดเหตุปรากฏว่าเขาอยู่เวร กว่าจะ กลับถึงบ้าน อาบนํ้าเสร็จ ก็เกือบตีหนึ่งเข้าไปแล้ว
นอนยงไม่ทันไร เสียงข้างบ้านทะเลาะกันจนกระทั่ง เขาตกใจตื่นขึ้นมา เหลียวไปมองนาฬิกา ยังไม่ทัน จะตี 4 เลย เขาก็หงุดหงิดว่ามันจะมากไปแล้วนะ คู้ณ ก็ตั้งใจว่าจะเดินไปเปีดหน้าต่างเตือนเสียหน่อย แต่ความที่เขาฝกกฝนตัวเองให้คอยระลึกรู้ตัวเอาสติ กำหนดไว้ในใจเดินก็ให้รู้ในอิริยาบถเดิน กำลังทำอะไรอยู่ก็รู้ในอิริยาบถที่ทำพอเขาลุกขึ้นเดิน
สติที่ฝึกไว้ก็มากำกับใจเขาอยู่ ตามรู้ในอิริยาบถ ที่เดินเมื่อใจมาเพ่งรู้อยู่ในอิริยาบถที่เดิน ปัญญาก็เกิดขึ้นว่า ถ้าผัวเมียคู่นี้มีสติที่จะรู้ว่าเวลานี้เป็น เวลาอะไร สิ่งที่กำลังกระทำเป็นสิ่งควรหรือไม่ควร เขาไม่ทะเลาะกันแล้ว คนไม่มีสติก็เหมือนคนละเมอ นี่นะ ถ้าเราเปิดหน้าต่างไปเตือน แล้วเขาบอกเขา ทะเลาะอยู่ในบ้านของเขาแท้ๆ คุณเอาหูสอดมาฟัง ทำไม เราก็อาจจะบ้าดีเดือด คราวนี้ไม่ใช่สงคราม ในบ้านแล้ว กลายเป็นสงครามข้ามบ้าน คนอื่นจะ พลอยเดือดร้อนไปอีกเห็นไหมคะ การฝึกจิตใจ ทำให้ปัญญาเห็น ชอบเกิดขึ้น เขาก็ได้เห็นผลอย่างนี้ ความคิดที่ดีก็  ตามมาว่า เออ.. เราเคยคิดอยู่เสมอว่า ถ้าตื่นแต่ เช้าได้ แล้วทำสมาธิก่อนไปทำงานทุกเช้า เราจะ ได้มีภูมิคุ้มกันให้ทำงานด้วยใจปลอดโปร่ง วันนี้ก็ตื่น เต็มตาแล้ว จะไปนอนอีกก็คงไม่หลับหรอก ขอบคุณ เขานะที่เอาบุญมาให้เรา ช่วยปลุกให้เราได้ลุกขึ้นมา เพราะฉะนั้น เราไปไหว้พระทำสมาธิเถอะเมื่อคิดได้อย่างนี้ แทนที่จะไปเปิดหน้าต่าง ทะเลาะ เขาก็หันกลับมาที่หิ้งพระ เริ่มต้นสวดมนต์ สวดมนต์เสร็จก็นั่งสมาธิ เพราะใจมีสติตามรู้อยู่ แล้วคิดเป็นเหตุเป็นผลเรื่อยมา เมื่อนั้งใจก็สงบเป็น สมาธิหันที ถอนออกมาก็ได้เวลาอาบนํ้า เตรียมตัว ไปทำงาน รู้สึกจิตใจใส ปีติ อิ่มเอิบเหมือนได้นอน เต็มอิ่ม ได้อาหารทิพย์ เขารู้สึกอย่างนั้นจริงๆตั้งแต่ผัวเมียข้างบ้านมาอยู่เขาบอกกับภรรยาว่า นี่นะเธอด้องประหยัดมัธยัสถ์ เพราะเรา ต้องหาบ้านใหม่ให้ได้ ไม่อย่างนั้นอยู่ตรงนี้ต่อไปนี่ สุขภาพจิตเราพัง เราต้องบ้า เมื่อเขาตั้งความหวัง ไว้ว่า อีกเทานั้นเท่านี้จะต้องย้ายบ้านให้ได้ ถ้าวัน ไหนเดือนไหน ภรรยาหรือลกเกิดใช้จ่ายเกินกว่า
ที่คาดคิดเอาไว้ เขาก็หงุดหงิด แด่ก่อนเคยพูดจารู้ เรื่องกับภรรยา ก็อารมณ์เสีย เอ๊ะ..เธอจะเป็นคู่บุญ ฉันหรือคู่ล้างคู่ผลาญกันแน่ลูกเต้าก็ โอ๊ย นี่มโนลูกบังเกิดเกล้านะ เกิดมาเพื่ออะไรกัน คือจิตใจเพ่ง มองคนในแง่ร้าย ทั้งที่รู้ตัวเองแล้วก็พยายามแก้ไข แด่ ก็ข่มใจไม่ลงหลังจากนั่งสมาธิไต้กำลังของใจเต็มที่ กำลัง อาบนํ้า ใจเกิดความรู้ว่า จรืงๆ แล้ว มันไม่ใช่ว่า ซาวบ้านคู่นั้นมาทำให้เขาทุกข์หรือสุข ก็ลูซิ วันนี้ ขนาดถูกปลุกขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ตี ก็มีความสุข มี กำลังใจ เพราะฉะนั้น มันไม่ใช่โลกข้างนอกที่
ทำให้เราทุกข์เดือดร้อน แด่ใจของเราเองที่ไม่ฉลาด จัดการกรอง เลือกสรร หรือเลือกสรรมาแล้ว ก็ใม่ เลือกหารหัสแปลให้เกิดประโยชน์แก่ตัวเอง แปล ทีไรให้กล่อมเกลาจิตใจของตัว คิดได้อย่างนี้ใจเขา ก็สบาย ประเดี๋ยวเจอกับภรรยาจะต้องบอกให้เธอสบายใจว่า ไม่เป็นไรแล้วนะ เราย้ายบ้านได้ก็ย้าย ย้ายไม่ได้ก็ไม่เป็นไร จะอย่ที่ไหน ถ้าเราทำใจได้ เสียอย่างก็เป็นสุขทั้งนั้นขณะที่เขากำลังคิดอย่างนี้ เสียงทะเลาะของ สามีภรรยาคู่นั้นก็ดังมาเข้าหู ทำให้เขาเกิดความ สลดในใจว่า ดูเอาเถอะ ตั้งแต่ยังไม่ตี 4จนเดี๋ยวนี้ จะ 6 โมงเช้าแล้ว 2 ชั่วโมงเต็มๆ ที่เขาทำบุญทำ คุณให้เรา ตั้งๆ ที่ตัวก็อยู่,ในโลกนี้ แต่ใจขึ้นไปอยู่ ในสวรรค์ ปีติอิ่มเอิบ ได้อาหารทิพย์ ได้กำลัง แต่ ตัวต้นเหตุที่ทำบุญทำคุณให้กลับไปจมอยู่ในนรกอเวจี ร้อนหมกไหม้ไปหมด ถ้อยคำก็เผ็ดร้อนมากๆ ขึ้น คิดดูเถอะ 2 ชั่วโมงไม่ได้หยุดเลย แล้วก็สรรหาแต่ สิ่งที่ไม่ดีไม่งามมาด่าทอกัน ใจจะมีทุกข้ขนาดไหน เขาก็แผ่เมตตาให้ เผื่อว่าจะเกิดฉุกใจได้คิด หันมาทำให้ตัวเองมีความสุข เหมือนกับที่ทำให้เรา มีความสุขเถิด เพราะการทะเลาะของเขาก็มีบุญมี คุณกับเราถ้าบ้านเราอยู่ในที่เงียบสงบ เราก็นอนสบายจนลืมดูแลจิตใจ ชีวิตหมดไปด้วยการดูแลแต่ ร่างกาย พอหมดลมหายใจแล้วก็ไม่มีเสบียงที่จะทำ ให้ฐานะความเป็นอยู่กระเตื้องขึ้น ไม่มีปัญญาจะคิด แก้ไขเหตุการณ์ให้เป็นไปในทางที่ตี สร้างสรรค์ให้ มีกำลังใจ ไม่ไปคิดเปรียบเทียบน้อยเนื้อต่ำใจ ทำไม
เพื่อนเขาถึงมีบ้านดี ไม่อยู่ในสลัมเหมือนกับเราวิธีที่จะดีดในทางสร้างสรรค์นั้น เป็นสิ่งที่ต้อง ฝึกปรือ เพื่อให้ใจอิ่มพอในสถานภาพของตน เกิด ดวามสงบ ทำให้เป็นเครื่องพกผ่อนของใจ
ประการที่ 2เป็นการเจริญสติสัมปชัญญะอย่างคุณคนที่ดิฉันเล่าให้ฟัง พอเขากำลังจะไปเป็ด หน้าต่างว่าเพื่อนบ้าน สติที่กระชับอยู่กับใจทำให้ ระลึกรู้ว่า อะไรควร อะไรไม่ควร สัมปชัญญะทำให้ ร้ตัวทั่วพร้อม ตระหนักชัดว่าพูดไปไม่ถูกกาลเทศะมี แต่ทางเข้าเนื้อ คนกำลังละเมอ พูดไปก็ฟังใม่ร้เรื่อง ดีไม่ดีเขาเป็นพาลพูดสามหาวตอบโต้กลับมา เราก็ พลาดทำเสียที ไปร่วมทะเลาะเบาะแว้งกับเขาเข้า เมื่อเป็นเซ่นนี้ ชีวิตของเราก็จะประสบความราบรื่น ประการกัดไป เพื่อให้เกิดปัญญา หรือเพื่อ ญาณทีสสนะ ญาณทัสสนะก็คือตัวปัญญา ตัววิชชา ที่รู้เฟ้นเป็นขึ้นในใจ เกิดจากอำนาจสมาธิ ไม่ใช่
สังขารจิตที่เรานึกดีดปรุงแต่งจิตไม่ใช่ความกระเพื่อมของผิวนํ้า แต่เป็นความเรียบนิ่งของผิวนํ้า ที่ทำให้เรามองเฟ้นสิ่งต่าง ๆ ในบ่อชัดตามเป็นจริง
ประการสุดท้าย เพื่อความสิ้นอาสวะ อันใด้ แก่กิเลสที่ดองหมักหมมอยู่ในสันดาน แล้วไหลซึม ซ่านไปย้อมจิตใจเมื่อประสบอารมณ์ต่าง ๆ หลายคน อาจแย้งว่า ยังสนุกกับการอยู่ในโลกนี้ ท่านก็ไม่ไต้ บังคับให้ใครรีบเร่งทำทีเดียวให้ครบถ้วนกระบวน เพื่อความสิ้นกิเลส ถ้าเรายังติดใจ อยากจะมาเกิด อีก เพื่อเสวยสุขเป็นมนุสเทโว คือ กายเป็นมนุษย์ แต่เหมือนเสพทิพย์ คือมืสารพัดอะไรต่อมิอะไรที่ จะบันดาลทุกอย่างให้ เหมือนกับเรามีของทิพย์ กิน ทิพย์ อิ่มทิพย์ ก็ไม่เป็นไร เหมือนอย่างกับนักเดิน ทาง ถ้าไม่อยากเดินรวดเดียวไปถึงจุดหมายปลาย ทาง เจอที่พักรีมทางอยากจะแวะกันก่อนเดินดูนํ้าตก เก็บดอกไม้เล่น ก็ไม่เป็นไร ไม่มีใครห้ามทีนี้ย้อนกสับไปพิจารณาข้อ 3 ที่ว่าเพื่อการ เจริญบัญญา ตรงที่ว่า ความคิดที่ดี ความคิดสร้าง สรรค์นั้นเป็นสิ่งที่ต้องฝึกฝน แล้วการฝึกคืออย่างไร ก็คือการตั้งสติจดจ่อในทุกขณะ ทุกเวลานาทีในชีวิตประจำวันของเรานี้ เวลาเจอบัญหาอะไรจากผู้ ร่วมงาน จากความจดจำที่ฝังอยู่ในใจหรือความนึกคิดของเราก่อกวนขึ้นมา เราต้องเอาสติไปจับมัน มาเพ่งฟินึจลูว่า จะหาทางออกอย่างไรให้ไม่เป็นการ ทำร้ายตัวเอง เหมือนเรื่องที่ท่านอาจารย์ยกตัวอย่าง สมัยจอมพล ป. เป็นนายกฯ มีเสมียนจัตวา ที่เป็นนักการเดินหนังสือหน้าห้องของท่าน ไปเที่ยว บอกกับใครๆ ว่า เขาสงสารจอมพล ป. เหลือเกน ท่านท่างานแสนเหน็ดเหนื่อย เป็นที่งจอมพล เป็น ทั้งนายก แต่ท่าแล้วท่านก็ไม่ได้อะไรเลย เพราะจะ เลื่อนยศสูงขึ้นจากจอมพลก็ไม่ไต้อีกแล้ว ตำแหน่ง นายกก็ถึงเพดานสูงสุดแล้ว เรียกว่าท่างานไปก็ไม่มี ความหวัง สู้ตัวเขาไม่ได้วันหนึ่ง เสียงพูดของนักการคนนี้ก็ไปเข้าหู ท่านจอมพลว่า นักการเดินหนังสือบงอาจมาสงสาร ท่าน ท่านจอมพลจึงเรียกตัวมาถามว่า “ได้ข่าวว่า เจ้าพูดอย่างนี้จริงหรือ”
เขาก็ตอบรับว่า “จริง”
“ทำไมเจ้าถึงมาสงสารเรา”
เพราะเขาก็อธิบายว่า “ผมเป็นเสมียนจัตวา ช่อง ทางที่ผมจะไต้เลื่อนขั้นเลื่อนอัตรามีเยอะฉะนั้น ผมทำงานไปก็มีความหวังที่จะก้าวหน้า ชีวิต ไม่อับเฉาแต่ท่านงานก็แสนหนัก มองไปทางไหนก็เห็นแต่ทางตัน เพราะไม่มีทางจะดีไปกว่าขณะนี้ได้ อีกแล้ว ผมจึงสงสารท่านไงครับ”เห็นหรือไม่ว่า เขาเป็นเสมียนที่รู้จักทำชีวิต ของเขาให้มีความหวัง
ไม่ไปคิดริษยาใครให้ใจเกิดสนิม จะเอาตัวไป เทียบกับใคร ก็เทียบด้วยความภาคภูมิใจในความ เป็นเสมียนจัตวา ที่มีอนาคตอันรุ่งโรจน์คอยเขาอยู่ แต่ถ้าเป็นอย่างเราๆ เราคงนึก.. ทำไมเรา ถึงไม่ได้เป็นจอมพลบ้างนะ คิดแล้วทำให้ใจเราถลอก เพราะไปคิดริษยา ขาดมุทิตาจิต ปากเราบอกเรามี มุทิตา แต่จริงๆ ไม่มีมุทีตาหรอกเมื่อในใจเราเป็นอย่างนี้ ความไม่เคยชื่นซม ยินดีกับใคร ทำให้เราไม่ไว้วางใจใคร ใครทำอะไร กับเรา เราก็เพ่งโทษเขาว่า มีนํ้าใจจริงจังกับเราแค่ ไหน แต่ไม่เคยมองตัวเองว่า แล้วจริงๆ เรามีนํ้าใจ กับใครแค่ไหนถ้าเห็นเหตุเห็นผลเห็นประโยชน์ของการฝึก ใจแล้ว เราจะได้เริ่มต้นฝึก เพื่อดึงเอาพลังที่มีอยู่ใน ตัวมาพัฒนาให้เลิศให้เกิดประโยชน์ แทนที่จะเอามัน ไปจมปลักจมโคลน แล้วก็โวยวายว่า ทำไมเขาถึง มีความรู้มากกว่าเรา ดึกว่าเรา ทำไมเราถึงไม่มีสติ ปัญญา จริงๆ เรามีสติมีปัญญา แต่เราไม่เอามันมา ตัดให้เปันระเบียบเรียบร้อย เราเอามันขยุ้มๆ เข้าไว้ ซุกตรงโน้น ซุกตรงนี้ พอรื้อเข้าหน่อย ตรงนั้นพัง ลงมาพับตรงนี้ เราก็เลยดึงเอาออกมาใช้ไม่ไต้ตังใจ คราวนี้เรามาเริ่มต้นตัดแฟ้มของเรา ฝึกจิตใจ ให้ เป็นระเปียบเรียบร้อย เอาวางในสนามแม่เหล็ก มันจะได้เป็นแม่เหล็กขึ้นมา ถึงจะชั่วคราวก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยที่สุด พอเรารู้สึกตัวว่าวุ่น ก็จะได้หยุดใจ เพื่อพักผ่อน ได้อาหาร ได้ความสุขสดชื่นบ้าง ก็ ยังดึกว่าที่เราจะทำให้มันทุพโภชนาการตลอดกาล ประเดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งไปเมื่อใจเห็นถึงความสำตัญอย่างนี้แล้ว ไม่เป็น การยากเลยที่จะฝึกฝนสร้างพลังใจของตน เพื่อให้ งานสัมฤทธิ์ผล
ที่เราพูดกันมา ก็ว่าในคนแต่ละคนประกอบ ไปด้วยส่วนที่เป็น ร่างกาย มองเห็นกันอยู่ว่ามีหน้า มีตาให้รู้จักเรียกเป็นคุณ ก คุณ ข และภายในร่างกายอันนี้ยังมีส่วนที่เป็นนาม มองไม่เห็นด้วยตา เรียกขานกันว่า ใจ ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ใจ เป็นผู้นำทุกสิ่งทุกอย่าง ใจเป็นใหญ่ ทุกอย่างสำเร็จ ได้ด้วยใจใจอันนี้ หลายๆ ท่านอาจยังไม่คุ้นเคยว่า มัน อยู่ที่ไหน เป็นอย่างไร มามีบทบาทอย่างไรกับชีวิต ของเราเราพบว่า ใจเป็นส่วนที่ทำให้เรามีความรู้สึก จำได้หมายรู้ ปรุงคิดไปต่างๆ นานา รู้อารมณ์เมื่อ รูปมากระทบตา เสียงกระทบหู กลิ่นกระทบจมูก รส กระทบลิ้น สัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งกระทบกาย ธรรมารมณ์กระทบใจถ้าไม่มีใจอยู่ในร่างกาย เราก็คือศพคนไข้เส้นโลหิตในสมองแตกไม่รู้สึกตัวร่างกายหายใจอยู่ แต่ไม่มีการรับรู้ ไม่มีการตอบ สนองนั้น เกิดจากความชำรุดของกายที่ไม่สามารถ ทำหน้าที่ตามที่ใจสั่งได้ ทั้งที่ใจของคนเหล่านี้ยังมี พลังและคุณสมบัติต่าง ๆ เหมือนคนปกติ ใจจึงเป็น ส่วนที่ทำให้เราเกิดความคิดความปรารถนา เกิด แรงจูงใจว่าจะพาชีวิตของตนไปในทิศทางไหน ดัง คำที่ว่า ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน เราจะเป็นอะไร ก็อยู่ที่ใจตั้งความมุ่งมาดปรารถนาเอาไว้เมื่อกี้นี้มีคำถามยันหนึ่งว่า ทำไมเมื่อคนตาย จิตออกจากร่างไปเกิดใหม่แล้ว เมื่อถูกสะกดจิต เขา จึงยังระลึกถึงชาติก่อนได้เพราะใจมีคุณลักษณะที่จดจำสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่าน มา เป็นต้นว่าเราจำเรื่องต่างๆ ที่เกิดเมื่อปีที่แล้วมา ได้ ความจำที่เป็นประจุสัญญานี้บันทึกติดอยู่ในจิต สำนึก ครั้นนานไป..นานไป บางเรื่องกิลืมเลือนไป จากจิตสำนึก แต่ยังอยู่ครบถ้วนในจิตไร้สำนึกส่วน ที่เป็นความจำ เราจำได้ เมื่อใจออกจากร่างนี้ใปขณะร่างกายหมดลมหายใจ ใจไม่ได้ตายตามไปด้วย ร่างกายเป็นเหมือนบ้าน เหมือนห้องนี้ วันนี้ดิฉันมา พูดอยู่ที่ห้องนี้ เมื่อจบรายการดิฉันกิเดินออกประต ไป พรุ่งนี้ก็ไปพูดที่อีกแห่งหนึ่ง ก็หมือนอย่างกับ  ใจที่ออกจากร่างนี้ไปแล้ว มันไม่น่าอยู่แล้ว ตายไป เสียแล้ว ก็ไปหาร่างใหม่อยู่ เราก็พูดว่าเขาไปเกิด ใหม่ดังตัวอย่างที่เรียนให้ทราบ ครั้งแรกเขาเป็น ชาวฮอลันดา เมื่อตายแล้ว ใจอันนั้นก็มาเป็นลูก คนอเมริกัน ใจที่มาเป็นคนอเมริกันนั้นไม่ได้เปลี่ยน สภาพไปจากเมื่อเป็นคนดัซท์เลย มันเหมือนเมื่อ วานนี้เขาอยู่ที่ฮอลแลนด์ ลืมตาตื่น ทำกิจการต่างๆ อยู่จนกระทั่งตกคาเข้านอนแล้วหลับไปพอรุ่งเช้าตื่นขึ้น เปลี่ยนมาอยู่ที่อเมริกาแล้ว เขาย่อมจำได้ว่า เมื่อวานนี้เป็นใครทำอะไรอยู่ เพราะประจุความจำ ในใจของเราก็เหมือนที่เราจำได้ว่า เมื่อปีที่แล้ว เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เราทำอะไรไว้บ้างที่เราระลึกชาติกันไม่ได้ ก็เพราะสัญญาของ เราไม่เที่ยง มันขาดจากความระลึกรู้อย่าว่าแต่ระลึกชาติเลย แม้กระทั่งสิ่งที่ทำไปในวันนี้ เรายัง จำได้แน่หรือ ถ้าไม่ได้ฝึกจิตใจให้มีสติตามระลึกรู้ดิฉันขอถามว่าเมื่อกลางวันนี้คุณรับประทาน ข้าวกี่คำอิ่มดิฉันแน่ใจเลยว่าไม่มีใครตอบได้ว่า
กินข้าวกี่คำอย่าว่าแต่กี่คำเลย ช่วงที่ดิฉันมีคนไข้หนักมากๆ นี่ พอไปกินข้าวที่โรงอาหารเสร็จกลับ มา คุณพยาบาลถามดิฉันว่า วันนี้โรงอาหารมีแกง อะไร ทั้งๆ ที่ดิฉันก็ว่าดิฉันได้กินแกงอันนี้ แต่ นึกไม่ออกว่าแกงอะไร ความที่ไม่ได้เอาสติไปตาม รู้
พอลงไปถึงโรงอาหาร เขาตกอาหารให้ เรา ก็เอามากินกินไปก็นึกถึงคนไข้ เตียงนั้นนํ้าเกลือ
จวนจะหมดแล้ว เตียงนี้ด้องฉีดยาต่ออีกหรือเปล่า พอรู้สึกว่าอิ่มแล้วกิดื่มนํ้าพรวดเข้าไป แล้วรีบเดิน กลับหอผู้ป่วย บอกคุณพยาบาลว่า คุณไปกินข้าว เถอะ ฉันกลับมาแล้วเขาถามว่าวันนี้มีแกงอะไรเราก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่กินเข้าไปแล้วก็ไม่รู้ว่ามันแกงอะไรความจำของคนเรามันไม่เที่ยงถ้าไม่ฝึกสติ
ให้ตามรู้อยู่กับใจตลอดเวลา สิ่งที่เกิดขึ้นก็เหมือน เราลืมตาดื่นอยู่ก็จริง แต่เราละเมอ เราละเมอกัน อยู่ตลอดเวลา เพราะถ้าไม่มีสติ อะไรที่ทำลงไป เรา ก็ไม่มีความระลึกรู้ ครั้นเขามาปรับไหมว่า อะไรกัน คณพดอย่างนี้เมื่อวานนี้ แล้ววันนี้คุณกลับคำอีกแล้วแล้วในดวามรู้สึกของเราเราแน่ใจว่าไม่ได้พูดแต่ถ้าเขาอดเทปมาเปิดให้ฟัง เสียงเราพูดจริงๆ ทั้ง ที่เราจำได้ว่าเราไม่ได้พูด ดีไม่ดีเราอาจกล่าวหาว่า เขาทำเสียงปลอมของเราขึ้นด้วยชํ้าไป เวลาที่ไม่เอาลติใส่ไว้ในใจ สิ่งที่เกิดขึ้นหรือที่เราทำไป จะ ไม่เหลืออยู่ในสำนึกความระลึกรู้ฃองเรา เพราะอย่าง นี้เราจึงไม่สามารถรับผิดชอบต่อชีวิตของเราได้เต็มที่การมาคุยกันในวันนี้ ก็เพื่อที่เราจะเห็นถึง ความสำกัญของสิ่งเหล่านี้ แล้วฝึกตัวเองแต่นี้ต่อไป พอลืมตาตื่นขึ้นมา ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะนั่งทำ แต่สมาธิ เพราะทำอย่างนั้นบริษัทคงแย่ ทุกคนนั่ง ทำแต่สมาธิ งานไม่ทำการฝึกใจไม่ได้หมายความว่าจะทำแต่สมาธิ อย่างเดียวเราฝึกให้ ใจ ของเราแน่วนิ่ง เป็นอัน
หนึ่งอันเดียวอับสิ่งที่อยู่เฉพาะหน้าเรา ในแต่ละขณะ แต่ละขณะถ้ากำลังทำงาน เราก็จดจ่อใจของเราเข้า ไปอยู่กับงานที่ทำ เราไม่มีงานทำ เรากำลังเดินอยู่เราก็จดจ่อให้รู้ในอิริยาบถที่ก้าวเดิน รู้ว่านี่เราก้าว เท้าข้ายเหยียบถูกพื้น เท้าขวาเหยียบถูกพื้นไม่ใช่เหมือนดิฉัน เดินไปก็นึกถึงคนไข้เตียงนี้จะต้องไปเพิ่มนี้าเกลือ เตียงนั้นคนนั้นจะทำ อย่างนั้น ปรากฏว่าเดินไปจนสุดทางเจออะไรบ้าง ก็ไม่รู้ เหยียบอะไรบ้างก็ไม่รู้ อย่างนี้เขาไม่เรียก ว่าคนเดินด้วยความมืสตี เขาเรียกว่าละเมอเดินไปหากไปตกหลุมตกบ่อสะดุดอะไรเข้า ก็โทษ ป่ายซ้ายขวา ไอ้คนไหน ทำไมเอาไม้มาวางเกะกะไว้ จริง ๆ ไม้ก็วางอย่อย่างนั้นให้เราเห็น แต่เราละเมอ ตาก็มืแต่ไม่เห็น เพราะใจไม่ได้ไปดูมัวครุ่นคิด เรื่องอื่นอยู่เราเริ่มเห็นอย่างนี้ จะไต้ปรับปรุงให้ไม่ทำผิด ในสิ่งที่ไม่น่าจะผิด คราวนี้ตัวเดินไปทางไหน ใจ ก็ เดินไปด้วย มันก็เห็นสิ่งที่ควรจ ะเห็น รู้ในสิ่งที่ควร จะรู้ ไม่อย่างนั้นตัวอยู่ตรงนี้ ใจปลิวไปถึงไหนแล้ว ก็ไม่รู้ บางทีหลุดจากกรุงเทพฯ ออกไปถึงเมืองนอก หรีอเลยไปนอกจักรวาลก็มี เมื่อเป็นอย่างนี้มันถึง เกิดความสับสนกันไปหมดใจอันนี้มันเจ้าเล่ห์แสนกลจะตายไป ตัวนั่งอยู่ ด้วยอันหรือนอนอยู่บนเตียงเดียวอัน แต่ใจกลับไป คนละทิศคนละทาง เห็นอย่างนี้แล้ว เรายังจะไปยึด ครอบครองว่าอะไรเป็นของของเราอยู่อีกหรือ
ตัวเราเรายังบังคับให้เป็นตังใจไม่ใด้ ตัวนั่ง อยู่ตรงนี้ บอกไม่ต้องไปห่วงกังวลเรื่องนั้นเรื่องนี้ ก็ ใม่เชื่อไม่ฟังเห็นอย่างนี้แล้ว แทนที่เราจะเอาใจของเราไปกังวลเรื่องนั้นเรื่องนี้นอกตัวเรามากเกินไป จนกระทั่งหนักอกหนักใจ เราจะไต้หันมาลูใจของเรา ดูตัวของเราก่อน ให้รู้เท่าหันความนึกคิดของเรา รู้ เท่าหันความไม่ไต้ตังใจของตัวเราว่า เราตั้งใจจะทำ งาน แต่ปรากฏว่ามันหนีไปเที่ยวเสียแล้ว เราจะได้ เห็นจริงว่า แม้กระทั่งใจเราเรายังสั่งให้เป็นไปตั้งใจเวลาจะไปหงุดหงิดกับเพื่อนร่วมงานหรือกับ ลูกน้อง จะได้เข้าใจว่า เขาก็เป็นเหมือนเราเหมือน กัน บางทีเครื่องยนต์เกิดน๊อตหลวมหรือนํ้ามันหล่อ ลื่นไม่ตี แทนที่จะไปปรับไหมเขา เขากำลังละเมออยู่ อย่าเพิ่งเลย ให้เวลาเขาตื่นเสียก่อน หรือถ้า
เห็นว่ามันไม่ทันกาล เราก็จะค่อยๆ เขย่า หากรรม วิธีที่จะปลุกให้เขาตื่นเสียก่อน ไม่ใช่ว่า ทั้งๆ ที่เขา ละเมอ เราก็จะสั่งงานท่าเดียว พอเขาท่าผิดพลาด ก็จะได้กล่าวหาลงโทษแม้กระทั้งศาลยังผ่อนปรนว่า เวลาที่ใครขาด สติไปชั่วขณะ เป็นด้นว่า คนบางคนไปยิงเขาตาย แล้วขอศาลลดหย่อน เพราะบันดาลโทสะจนขาดสติ ละเมอไปชั่วขณะ ศาลยังลดหย่อนผ่อนโทษให้ในชีวิตประจำวันทุกวัน ทุกวัน เราก็ขาดสติ ไปชั่วขณะอยู่เรื่อย ๆ ถ้าเห็นอย่างนี้ เราก็จะจดจ่อคอยฝึกให้สติที่ขาดไปค่อยๆ มาต่อทัน ชีวิตของเรา จะได้มีคุณภาพเป็นไปอย่างที่เราปรารถนามากขึ้น ไม่อย่างนั้นก็อย่างว่านี้แหละ พอใครปรับไหม เราก็ โวยวายว่า ไม่ใช่ ฉันไม่ได้พูด ฉันไม่ได้ท่า แต่ถ้า มีวิดีโอพิเศษที่ถ่ายเอาไว้แล้วเอามาฉายย้อนหลัง ให้ดู เราทั้งนั้นเลย เราท่าเองทั้งนั้นเลย แต่ว่าตอน ที่ท่า สติมันไม่มี เมื่อมันไม่มี ก็เหมีอนอย่างทับว่า เราไม่ได้ทำ ในความระลึกรู้ของเรามันว่างหายไป หมด ท่านจึงได้ว่า ถ้าเราไม่จึเกจนกระทั่งสติมา ตามระลึกรู้ เวลาอะไรมาสัมผัสใจเรานี้อันตราย เพราะเราเอากายของเรา วาจาของเรา ไปประกอบ การกระทำที่เรียกว่า กรรม กรรมคือการกระทำกายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี ที่ทำๆ ลงไปนั้น เปรียบ เหมือนกับเอาเม็ดพันธุหว่านลงไป พอถึงเวลางอก ขึ้นมา เราเกิดไฝรับผิดชอบละใครเอาต้นพรรค์อย่างนี้มาหว่านไว้เติมสวนของเรา จะต้องฟ้องฐาน บุกรุก เรียกค่าเสียหายแต่จริงๆ ตัวเราเองเป็นคนเอาหว่านลงไป แต่ตอนหว่านไม่ทันไต้ถามตัวเอง ให้รอบคอบว่าจะใช้ประโยชนใต้หรือเปล่าแต่นี้ต่อไป พอลืมตาตื่น ก่อนที่จะปล่อยให้ ใจของเราไปคิดอะไรต่อมิอะไรนี่ มากำหนดรู้อยู่ กับตัวของเราก่อนว่า ตอนนี้เรากำลังนอนอยู่ กำลัง ลุกขึ้น ตอนนี้ตะแคงลุกขึ้นแล้ว จิตใจของเราไม่คิด ใปที่ไหน พอลุกขึ้นเดินไปเช้าห้องนํ้า ก็ให้รู้อยู่กับ ย่างถ้าวที่เท้าซ้ายเท้าขวาถ้าวไปแรกๆ เราจะรู้สึกอึดอัดไปหมด เพราะใจไป ถึงโน่นแล้ว แต่ตัวยังไปไม่ถึง
ใจนี่มันเร็ว สามารถไปได้รอบจักรวาลยังไม่ ทันกะพริบตา เราจึงต้องทำให้มันช้าลงจนสติตามรู้ ได้เท่าทันทับกายถ้าขาก้าวซ้ายแต่ใจกำหนดก้าวขวาแล้ว เราก็หยุดตั้งด้นใหม่ตอนนี้ไม่มีใครเห็นเราไม่ต้องกลัวใครจะว่า เอ๊ะ เราเป็นอะไรไป เดินๆ ประเดี๋ยวก็หยุด ประเดี๋ยวก็ตั้งต้นใหม่ ความจำเสื่อมไปแล้วหรืออย่างไรตอนแรกสิกจะเป็นอย่างนี้ทันทั้งนั้น ทีนี้พอ เริ่มมารู้ทันตามลมหายใจ ก็แปลว่าสติความระลึกรู้ มีคุณภาพขึ้นถ้าเปรียบเทียบสติเป็นเหมือนทับกาว ใจเราเหมือนกระดาษแผ่นหนึ่ง กายก็เหมือน กระดาษอีกแผ่นหนึ่ง ปกติกายทับใจมักจะปลิวทัน ไปคนละทิศคนละทาง คนบางคนพริ่าเพ้อว่านึ่สมัย รัชกาลที่ 5 แสดงว่าสติเขาไม่มืเลย เพราะความ จริงเป็นรัชกาลที่ 9 แล้ว นึ่เป็นจัวอย่าง เราก็ว่าคนนี้เพี้ยนแต่เราเองก็มีเวลาเพี้ยนแทรกอยู่เป็นพักๆ โดยไม่ทันให้ใครได้ปรับไหม เขาจะว่า ไอ้นี่เพี้ยน เราก็กลับพูดรู้เรื่องดีแต่ประเดี๋ยวๆ เราก็ เพี้ยนของเราอีกเราโกรธ ไม่ได้ดังใจเรื่องที่เกิดตั้งแต่เมื่อวานนี้ เมื่อเดือนที่แล้ว เมื่อปีที่แล้วสังเกตสิคะ คนบางคนพอโกรธเป็นไม่ได้ ร่ายยาวกลับไปถึงตั้งแต่ครั้ง เก่าก่อนเป็นสิบๆ ปีนั่นแหละเพี้ยนแล้ว สติหลุดไปจากปัจจุบันความเป็นจริง ไปจดจำฝังใจอยู่กับ เรื่องเก่า ๆถ้าขาดสติปล่อยใจให้เป็นอย่างนี้บ่อย ๆเวลาที่มัวแต่เสียไปเพื่อพร่ำทบทวนเรื่องเก่า ทำให้ พอมีอะไรเกิดขึ้นในแต่ละขณะปัจจุบัน เราพลาด ข้อมูลไป เวลานาทีที่ผ่านไป สะสมเรื่องเก่าให้เพิ่ม มากขึ้นๆถ้าใจเราเหมือนกับเป็นตะกร้าใบหนึ่ง มัน ค่อยถูกอัดแน่นขึ้นจนไม่มืที่จะใส่อะไรลงไปได้อีกแล้ว เราก็ถึงจุดระเบิด เป็นโรคประสาท ไม่ยอมรับรู้ ความเป็นจริงในปัจจุบัน เพราะใจไปยึดติดแน่นอยู่ กับเรื่องแล้วไปแล้ว ท่านจึงว่าร่าอะไรผ่านไปแล้วก็ ทิ้งมันไปเสีย เราจะได้มืใจที่สดชื่น มืกำสังที่จะรับรู้ เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้ นั่นคือการเอาสติเป็นกาวผนึก กายกับใจให้ไปด้วยกัน อยู่เป็นปัจจุบันกับความเป็น จริงที่กำลังประสบอยู่แต่ละขณะถ้าแกได้อย่างนี้ ช่วงไหนที่ฝึกได้ เราจะพบ ว่า ใจที่หนักหน่วงกังวล กระสับกระส่าย ห่วงหน้า พะวงหลัง จะคลี่คลาย มีความเบา เป็นอิสระ คล้อง ตัวที่จะรับปัญหาที่มากระทบแต่ถ้าเรามีอารมณ์ไปแบกหามอดีตไว้กังวล ว่าอนาคตจะเป็นไปอย่างใจไหม ในใจเราจะพะวัก พะวน ไปกลัวว่า ถ้าปัญาที่เกิดขึ้นหนักหนาสาหัส เราจะทำได้ไหม หรือร้ว่าพรุ่งนี้จะมีการประชุม เรา ก็ปรุงคิดเตรียมแผน 1 แผ่น 2 แผน 3 เอาไว้ ไม่เป็นกันกินไม่เป็นกันนอนถึงเวลาประชุมจริงๆปรากฏว่าแผนที่เตรียมปางตายไม่ได้ใช้หรอก ต้อง ทำใหม่สดๆ ร้อนๆเราจะได้เห็นว่า การเป็นคนวิตกกังวลคิด เตรียมไปล่วงหน้าไม่ดี เพราะเตรียมไปแล้ว ใจก็ไป ยึดอยู่กับเรื่องที่เตรียมไว้ ทำให้ไม่เปิดใจเป็นอิสระ ที่จะฟังข้อมูลใหม่ แล้วตัดสินใจให้ตรงตามความ เป็นจริงเพราะเราไปยึดอยู่กับสิ่งที่เตรียมเอาไว้ไปยึดกับเงาในฝันว่าน่าจะเป็นอย่างนี้ ทำให้เรา ตัดสินใจผิดพลาด ขณะที่คิดเตรียมว่าน่าจะเป็น อย่างนี้ เรายังไม่ได้ข้อมูลล่าสุด ยังไม่รู้ว่าจริง ๆ เรื่องมันไปถึงไหนแล้ว ใจเราไปหยุดค้างอยู่กับสิ่ง ที่คิด เพราะยืดมั่นสำคัญผิดว่า อุตส่าห์ทำการบ้าน มาอย่างประณีต จะทิ้งขว้างไปก็เสียดาย เลยพลาด ไปจากความเป็นจริง ด้วยรู้เท่าไม่ถึงการณ์เวลาที่เราไปหลงเงาของตัวเอง มันทำให้ พลาดโอกาสไปอย่างนี้ เราจึงต้องแกการฝึกฝนใจไม่ได้มุ่งปรารถนาที่สมาธิ สมาธิ เป็นผลเหตุที่เราต้องประกอบ คือจดจ่อมุ่งเจริญสติเข้าไว้ ให้ระลีกรู้เท่าทันสิ่งที่พูด สิ่งที่ทำ สิ่งที่ กำลังนึกคิดอยู่
อย่าไปเข้าไจว่ามาฝึกใจแล้วเราจะเป็นเทวดา เป็นเทวบุตรกันหมด ใจเราก็ยังคิดชั่วร้ายอยู่ ของ อย่างนี้ไม่ใช่ว่าฝึกปุ๊บมันก็วิเศษขึ้นมาเลย ใจที่มี ความโลภรักตัวเอง ยกตนช่มทำนนี่ มันเป็นของมัน สะสมพอกพูนมาไม่รู้เท่าไร เท่าไรแล้ว จะให้หายไป ในวันเดียวย่อมเป็นไปไม่ได้แต่ก่อนเรายกตนข่มท่าน เอาความชั่วไปป้าย ให้คนอื่น เราละเมอ เราไม่รู้คราวนี้ให้มีความ ระลึกรู้ตัว แล้วก็จะได้ รู้ เองว่า เออ... ที่เราว่าเรา ดีนี้ มันมีที่บกพร่องที่จะต้องปรับปรุงแก้ไข ตอนนี้ เห็น แล้วว่าเราไม่ดี แต่กำลังยังไม่พอที่จะแก้ได้ ก็ รู้ เอาไว้ ใครเขาตำหนิเรา จะได้ฟังว่าเขาเฟ้นเรา จริงแท้แค่ไหนเมื่อเรียนรู้ เฟ้นตัวของตัวตามเป็นจริงแล้ว อีกหน่อยก็ทนขัดข้องรำคาญตัวเองไม่ไหว ต้อง พยายามลุกขึ้นแก้ไขตัวของตัวจนได้
ถ้ายังจะดื้อดึง ใครว่าไม่ดี ฉันยังเฟ้นของฉัน น่าเอ็นดูอยู่ผลที่เราทำลงไปแล้วมันเกิดเป็นข้อ
พิสูจน์ออกมาว่า ถึงเราจะเอ็นดูตัวเราอย่างไรก็ตาม คนอื่นเขาก็ไม่เอ็นดูด้วย จึงมีปัญหาติดตามมา เรา รักสุขเกลียดทุกข์ เมื่อโดนปัญหาเข้าบ่อย ๆ ก็ต้อง จำนนว่า เฟ้นทีจะต้องแก้ที่เหตุคือที่ตัวเรา ปัญหาจะ ได้ลดน้อยไปการเรียนจากของจริงอย่างนี้ ก็ไม่มีทางโต้ เถียง พอจะตะแบงว่าช่างหัวมัน ใครว่าฉันไม่ดี ฉัน ก็ยังว่าฉันดีเราก็ระลึกได้ถึงปัญหาที่จะติดตามมาทำให้สยองที่จะต้องไปเสียเวลาแก้ เลยรีบแก้ไขตัว
เองเสียการระลึกได้เซ่นนี้คือการมีสติ เป็นสิ่งจำเป็น ที่จะต้องฝึกฝนให้เจริญขึ้นไปเรื่อยๆจนวันหนึ่ง
เหมือนไปเจอยาวิเศษเข้า วันนี้ทั้งวันไม่ปวดหัวตัว ร้อนเลย พอจะกลับไปปวดหัวตัวร้อนอีก มันไม่ เอาหรอก มันพยายามกินยาวิเศษเข้าไว้เพื่อไม่ให้ ปวดหัวตัวร้อนได้อีก เพราะภาวะอย่างนั้นมันสบาย กว่าอย่างไม่มีที่สงสัยใจที่มีสติรักษาอยู่ จะรู้อยู่กับปัจจุบัน ไม่ปรุง คิดไปในอดีตไปในอนาคต ทำให้ใจมีความสงบ มี ปีติสุข ซึ่งเป็นรสประณีต สุขุม ไม่ทราบจะอธิบายถ้าใครฝึกให้เป็นได้แล้ว จะเกิดกำลังใจให้ เพียรพยายามระมัดระวังรักษาใจตัวเองให้เป็นอย่าง นั้นอยู่ตลอดเวลา สติก็เจริญก้าวหน้าไปโดยลำตับ เหมือนเราปลูกต้นไม้ แรกๆ มันยังเล็กอยู่ เราก็ ต้องคอยหาอะไรมาบังแดดบังลมให้ คอยรดนํ้าดูแล ไม่ให้ยอดเฉา เพราะด้นยังอ่อนอยู่ ยังไม่สามารถ ช่วยตัวเองได้สติที่เราฝึกตอนแรกก็เป็นในทำนองนี้ เรา ต้องคอยตั้งใจสอดส่องว่า เอ๊ะ นี่ยังมีสติอยู่หรือ เปล่า หรือเราพลาดไปทะเลาะเบาะแว้งกับเขาเข้า แล้ว เมื่อฝึกทำไปทำไป ก็เหมือนต้นไม้ มันค่อยๆ โตขึ้น ถึงเราไม่รดนํ้าให้ รากที่หยั่งลึกลงไปสามารถ ช่วยตัวเองดูดนํ้าจากบริเวณใกล้เคียงมาหล่อเลี้ยง ต้นใบ ทำให้ยอดไม่สลดเฉาเวลาถูกแดดเที่ยงกัน
ใจของเราก็เหมือนกัน พอฝึกไปสักพกหนึ่ง ถึงเราไม่ตั้งอกตั้งใจ มันก็เกิดความเคยชิน พออะไร เกิดขึ้น สติจะรู้หน้าที่ เข้ามากระซับอยู่กับใจ คอย ระวังรักษาเราให้ไม่คิดไปในทางบ่อนทำลายตัวเอง ให้ไม่เผลอสติคิดไปในอดีตในอนาคต ใจก็มีความ สงบขึ้นเมื่อมีปัญหา มันค่อยไปจับปัญหามาคิดพิจารณาแล้วแก้ไขไปตามเนื้อผ้าใจเราเปรียบเหมือนนํ้าที่ใส่ไว้ในขวด แต่ก่อน นี้ จะไปไหนเราก็เอามันสะพายติดตัว หัวหกก้น ขวดไปด้วยทั้งกัน นํ้าในขวดเป็นนํ้าที่ไม่ไต้กลั่น ไม่ได้กรอง เป็นนํ้าจากแม่นํ้าเจ้าพระยา เอาตั้งลงปั๊บ จะให้ตะกอนนอนก้นทันทีย่อมไม่ได้ เหมือนเราวันทั้งวันไม่ได้จดจ่อสติระวังรักษาใจตกกลางคืนสวดมนต์ไหว้พระ แล้วนั่งสมาธิ ใจก็ไม่ยอมสงบ ประเดี๋ยวมันก็นึกไปถึงที่ทะเลาะกับคนนั้น ฟังไป.. ปรุงไป กับคนนี้นิด คนโน้นหน่อย เหมือนน้ำที่ถูก เขย่าอยู่ทั้งวันก็ยังมีตะกอนแขวนลอยอยู่ เห็นความ คิดโน้น ความคิดนี้ เข้ามาก่อกวนเราตลอดเวลาที่ นั่งสมาธิถ้าตลอดทั้งวัน เราคอยพยายามให้มีสติรู้อยู่ เหมือนวางขวดนํ้าเอาไว้ถึงเวลาคา เราทำสมาธิตะกอนก็เริ่มนอนก้น มืนํ้าใสข้างบน พอเรากำหนด สติที่คอยกำหนดรู้มาทั้งวันก็ตามรักษา จะแวบไป กังวลเรื่องโน้น เรื่องนี้ เรื่องนั้น ก็ไม่มี เพราะเรา จัดการไปตามปัจจุบันแต่ละอย่างที่จะทำได้ให้ลุล่วง ไปแล้วพอจะไปฟุ้งซ่าน สติที่แกเอาไว้ก็แนะว่า ตอน นี้ถึงจะคิดเรื่องงานก็ยังทำไม่ได้ เพราะตัวอยู่ที่บ้าน ใว้พรุ่งนี้ตัวไปถึงที่ทำงานแล้วค่อยคิดตอนนี้ฝึกรักษาให้ใจมีพลังเต็มที่ พรุ่งนี้ถึงที่ทำงานจะได้กด ปุ๊บติดปั๊บ เพราะใจสดชื่นมีพลังเต็มที่ ได้พักผ่อน
ได้ทำสมาธิเอาไว้ จะได้แก้ปัญหาได้ฉับไว เราจะได้ อยู่กับปัจจุบัน รู้หน้าที่ว่าตัวอยู่บ้านใจก็อยู่บ้านด้วย ไม่ใช่ตัวอยู่บ้าน ใจไปอยู่ที่ทำงาน พอพรุ่งนี้ตัวอยู่ ที่ทำงาน ใจเกิดเพลียอยากจะนอนเสียแล้ว ทำให้ สับสนไปหมด ประสิทธิภาพเลยไม่ได้เต็มที่
เรารู้อย่างนี้ แล้วฝึกไปเรื่อยๆก็จะค่อยๆเห็นว่า จิตที่ว่าเป็นพลังไม่ตายไม่เกิดนึ่เป็นอย่างไร เช่นว่า อยู่ดีๆ เราก็เห็นจิตของเราขึ้นมาว่า คนคน หนึ่งไม่เคยรู้จักกันมาเลย แต่พอเจอะเจอกัน เรา มีความผูกพันรักใคร่เอ็นดูเขา อย่างกับเป็นเพื่อน สนิทกันมาหลายสิบปี แต่อีกคนหนึ่งพอเจอกันปั๊บ หมั่นไส้ปั๊บขึ้นมาเลยตอนที่ดิฉันผ่านหน่วยจิตเวช มีคนไข้รายหนึ่ง เป็นคนไข้ตัวอย่างที่นักศึกษาต้องไปศึกษาประวัติ นายคนนี้เป็นนักเลงชอบสิงอยู่ในบาร์วันหนึ่ง มีคนเปิดประตูบาร์ แล้วเดินไปอีกด้านหนึ่ง ทั้งที่ไม่ เห็นหน้าค่าตาเพราะเขาเป็ดประดูแล้วก็หันหลังให้ แต่ปรากฏว่านายคนนี้มั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์เกิดความ ทนไม่ได้ ก็ควักปีนจากเอวค่อยๆ บรรจงยิง นัดเดียวตายสนิทเหมือนจับวางพอตำรวจจับตัวไปชักถามว่า มีสาเหตุโกรธเคืองเรื่องอะไรถึงขั้นที่จะ ต้องเข่นฆ่ากัน เขาถึบอกว่าไม่มีหน้านายคนนี้เขาก็ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร ถ้าตำรวจจะเอารูปมาให้ชี้ หรือว่าพลิกหน้าศพให้ดู เขาก็ไม่รู้ว่าใช่หรือไม่ใช่ ที่เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า ถ้าโลกนี้มืไอ้นายคนนี้ก็ อย่ามีเขา ถ้ามีเขาไอ้นี่ก็อยู่ร่วมโลกไม่ได้ เพราะ ท่าที่มันผลักประดูแล้วย้ายสะโพกเข้ามา ช่างท้าทาย ยียวนจนทนไม่ไหวตอนนั้นดิฉันนึกว่า คนบ้าอย่างนี้ก็มืด้วย จะ เดินไปทางไหนก็หวาดเสียว ถ้าไปเจอคนบ้าประเภท นี้เข้า เราไม่มีทางป้องกันตัวเองเลยเล่นเอาพวกเราหนาวๆ ร้อนๆ จะไปห้องสมุดไปไหน มองซ้าย มองขวาไม่กล้าไปพอมาศึกษาพุทธศาสนาก็เลยเข้าใจว่า อ๋อ นี่ ไงที่ท่านว่า ประจุกรรม ความจำได้หมายรู้ของเรา เรารักชอบพอใคร หรือว่าโกรธเกลียดหมั่นไส้ใคร มันจำอยู่ในส่วนลึกของใจ เหมือนอย่างกับเป็นประจุฝังอย่ ท่านเรียกประจุกรรมตัวสติของเรายังไม่ทันระลึกรู้ แต่ตัวใจ ตัวรู้ ผู้รู้อย่างเรื่องเสาไฟฟ้านั่นน่ะ มันรู้ของมันแล้วเหมือนเข้าคอมพิวเตอร์ไว้เรียบร้อยถ้าไม่ฝึกสติให้ระลึกรู้อยู่กับปัจจุบันไว้ว่า เขา เป็นคนนะ เรายิงเขาแล้วอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าไม่ฝึกฝน เอาไว้ อัตโนมัติของประจุกรรมก็ขับเคลื่อนให้เรา บรรจงยิงเขาจนตาย ตายแล้วเราก็ยังไม่รู้ว่าไปยิง เขาทำไมแต่มีความรู้สึกสาแก่ใจที่ทำให้ตายไป
เสียได้เมื่อคึกษาเรื่องเหล่านี้มากขึ้นๆเราจะเห็นถึงความลึกลับ ความเหลือเชื่อของใจอันนี้ของเราที่ ทำให้ชีวิตของเราผกผันไปต่างๆ นานา ทำให้เราพูด ไป พูดไป แล้วกินึกเสียใจว่าไม่ควรจะพูด แต่ก็พูด ไปแล้ว เพราะแรงขับเคลื่อนของประสบการณ์เก่า ๆ ที่ตกค้างอยู่ในใจ แล้วสติที่ขาดการแกฝนกระพริบ หายไป เหมือนรั้วโหว่จนกระนั่งตัวอะไรๆ เพ่นพ่าน เข้ามา เรากิไม่มืประสิทธิภาพที่จะป้องกันตัวเองได้ ทำให้ถึงเวลาที่ถูกกระตุ้น ของที่ฝังใจอยู่กิหลุดออก ใป เหมือนวัวปากคอกทำไปแล้ว เราก็ต้องรับผิดชอบ โดยที่เราก็ ไม่เข้าใจว่า ทำไม ผีบ้าตัวไหนมาสั่งเราท่านจึงว่าชีวิตที่ไม่รู้เท่าทันใจของเราเองนั้น ไม่มีใครทำทุกข์ทำโทษให้เรา เท่ากับใจของเราเองที่ หลงผิดไป แล้วก่อทุกข์ก่อโทษให้ตัวเอง เพราะมัน ชักจูงเราไปในทางที่ผิด ที่ขาดสติสัมปชัญญะ ขาด ป้ญญาเห็นชอบทราบอย่างนี้แล้ว เราจะได้มาเริ่มสร้างภูมิ คุ้มกันให้ตัวเอง เหมือนอย่างกับพวกเราไปตากฝน มาพร้อมๆ กัน บางคนเป็นหวัดนิดเดียว 2-3 วัน ก็หาย บางคนจาม 2-3 หน แล้วก็ไม่มืแม้กระทั่ง นํ้ามูก เขาก็สบายดี แต่เราสิปวดหัวตัวร้อน ปอด บวม จนกระทั่งต้องไปเข้าหออภิบาล กลับออกมา แล้วก็ต้องพักฟ้นอีกเป็นเดือนเพราะอะไร เพราะเราไม่มีภูมิคุ้มกัน ทั้งที่ เรื่องมันก็เรื่องอย่างเดียวกันแหละ แต่เราไม่ผีกจิตใจ ของเราให้เห็นเท่าทันตาม ความเป็นจริง เพื่อ ป้องกันตัวเองไม่ไปประกอบเหตุมาซํ้าเติม ให้เป็นผี ชํ้าดํ้าพลอยขึ้นเมื่อเห็นความจริงอย่างนี้แล้วจะได้มีกำลัง ฝึกฝนตัวเองการฝึกฝนใจ เริ่มแรกนั้นต้องการพลังอย่าง มหาศาลเพราะอะไร เพราะถ้าไม่ฝึกไม่ฝืน พออะไรมากระทบ มันก็เป็นไปตามอัตโนมัติของมัน มันสะดวกสบายเหมือนเราเทนํ้าลงจากที่สูง ไม่ต้องใช้แรงเลย นํ้าก็ลงมาถึงที่ราบได้แต่การทำทำนบทดนํ้าขึ้นเขา เผลอนิดเดียวทำทำนบรั่ว ที่เรา ทดขึ้นไปแล้ว ตูมเดียวนํ้ารั่วหมดเลย เราทดขึ้นไป เป็นเดือนเป็นปี ปรากฏเวลารั่วนิดเดียว กะพริบ ตาเดียว หมดเกลี้ยงแล้ว มันจึงทำให้เราท้อถอยการทำความดียากสำหรับผู้ไม่เคย แต่ถ้าฝึก จนกระทั่งเป็นอุปนิสัย ใจเห็นประจักษ์ว่า ผลที่เกิด ขึ้นนี้ชื่นใจผิดกันมันทำให้ชีวิตของเราเป็นความสบายอกสบายใจ เรารู้แน่ซัดถึงผลที่จะยังเกิดขึ้น เราไม่เป็นนักฉกฉวยโอกาสหรือนักแทงหวยอีกต่อไป แล้ว เพราะอะไรที่ทำ เราทำลงไปด้วยความรู้แน่ซัด ในเม็ดแต่ละเม็ด คือกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่หว่านลงไปในดินคือใจของเรา เรารู้ว่า ถึงมันจะ ขึ้นไม่เป็นเวลาให้กำหนดได้ แต่งอกขึ้นมาเมื่อใดจะ ต้องเป็นผลไม้ชนิดเดียวกับที่เราได้หว่านเอาไว้ จะ ไม่มีชนิดอื่นแปลกปลอมขึ้นมาให้เราปวดหัวหรือ เดือดร้อนในภายหลังเมื่อความเย็นใจ สบายใจ และแน่ใจ มื่นใจ มีอยู่อย่างนี้ ก็เป็นกำลังใจให้เราพากเพียรต่อเนื่อง กันเรื่อยไป เหมือนคนที่ร้ว่า การลำบากตรากตรำ เมื่อเรายังเด็ก ยังหนุ่มสาวนี่ เพื่อสร้างฐานะเอาไว้ ให้ตัวเองเป็นสุขยามแก่ เมื่อเป็นอย่างนี้ เราก็ไม่ท้อถอย ที่จะยอมลำบากตรากตรำ เอาแรงกาย แรงใจของเราไปพินิจพิเคราะห์ทำทุกอย่างให้ดีที่ สุด ไม่ฉ้อฉลโกงตัวเองแต่ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ กิเลสก็ยุแยงเราเรื่อย หรือคนอื่นก็ยุให้รำตำให้รั่ว สมัยนี้ใครมือยาวสาว ได้สาวเอา ทำไปเถิด ไม่มีใครเห็นหรอกถ้าหลวมตัวทำลงไป เราทำร้ายตัวเอง เพราะ แก้นิสัยให้เป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก ไม่มีความ นับถือตัวเองมีโอกาสเมื่อไร เราคอรัปชั่นตัวเองต่อไปเราต้องการเป็นคนซื่อตรง เป็นคนดี เราจะทำ ตามที่ถูกที่ควร เราจะยับยั้งตั้งตัวตั้งใจเราเองไม่ได้ เพราะมันเกิดความเคยชิน กลายเป็นอัตโนมัติไปแล้ว อายุที่มากขึ้น ความสำเร็จที่สะสมเพิ่มพูนขึ้น ทำให้ เราย่อหย่อนอ่อนแอในการที่จะทำงานสำบากตรากตรำ อย่างแต่ก่อน แล้วเรากิเลยแก้นิสัยอันนี้ยากถ้าเราบอกกับตัวเองว่า ตายเสียดีกว่าจะเป็น คนไม่จริงกับตัวเอง ใครเฟ้นใครไม่เห็นไม่สำคัญ แต่ เราเฟ้นของเรานี่สำคัญที่สุดเลย ถ้าวางแนวของเรา ไว้อย่างนี้ การฝึกก็ง่าย ถึงจะยากในช่วงแรกๆ แต่ พอเฟ้นผลที่น่าชื่นใจนี่ มันป็นแรงเหนี่ยวนำให้เรามี กำลังใจสวรรค์ นรก หรืออะไรๆ นี้ มันอยู่ที่ใจของ เราทั้งนั้นก่อนจะไปว่า สวรรค์มีจริง นรกมีจริงไหมให้เรานึกถึงใจขณะที่มีความสุข ความทุกข์เวลามีความสุข เรากิเบิกบานเหมือนอยู่ในสวรรค์ ของยากแค่ไหนเราก็มีแรงทำได้แต่เวลาเราทุกข์เดือดร้อน ทั้งๆ ของนั้นเราเคยทำได้ เรากิว้าวุ่นไป หมด ใจเดือดร้อนเหมือนอยู่ในนรกท่านอาจารย์บอก ถ้าเราอยากรู้ว่าสวรรค์มี จริงไหม นรกมีจริงไหม ตายแล้วเราจะไปอยู่ที่ไหน ให้เอาสติเฝ้าดูใจเรา วันๆ หนึ่งนี่เราทุกข์เดือดร้อน เพราะเราเอง หรือเราสุขเพราะเราเองแค่ไหน แล้ว เอามาหักกลบลบหนี้กัน ถ้าอันไหนมีมากกว่าก็มี แนวโน้มว่า เวลาจะตายเราจะรักษาใจตอนลมหายใจ เฮือกสุดท้ายให้อยู่ในความรู้สึกอันนั้น ที่เราเคยท่า กับตัวเองจนเคยชินติดเป็นอัตโนมัตินั้นก็คือที่อยู่ของใจเราเดี๋ยวนี้ถ้าติฉันจะเรียนว่า สวรรค์มี สวรรค์ ไม่มี คุณก็จะย้อนว่า ไหนเอามาให้ดูหน่อย ดิฉัน ก็ไม่รู้จะไปจับสวรรค์ที่ไหนมาใส่หลอดทดลองให้ลู กันได้ เพราะใจและที่อยู่ของใจล้วนเป็นนามถ้าเราไม่แกใจเราให้เป็นเหมือนกล้องวิเศษ ก็ไม่มีทางที่จะรู้จะสัมผัสกันได้เหมือนแต่ก่อนนั้น ผู้คนท้องร่วงตายเพราะ อหิวาค์ระบาด เราก็ต้องท่าพิธีบวงสรวง ด้วยเข้าใจ ว่าไปทำอะไรผิดให้เทพเจ้าพิโรธ ท่านลงโทษจึง ทำให้คนตายเป็นเบือต่อมานักวิทยาศาสตร์สร้างกล้องจุลทรรศน์ขึ้นทำให้สามารถเห็นตัวเชื้ออหิวาต์ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดอาการท้องร่วงเราก็หายามารักษาโรคอหิวาต์ได้สำเร็จ เดี๋ยวนี้อหิวาต์เกิดขึ้น เรา ใม่ไปบวงสรวงให้เสียเวลา เรารีบเอายาให้กิน เรา ทำวัคซีนฉีดปัองกัน แล้วเดี๋ยวนี้เราก็พิชิตอหิวาต์ได้ ราบคาบต่อมาเราสามารถสร้างกล้องที่มีกำลังขยาย มากยิ่งไปกว่ากล้องจุลทรรศน์เราได้กล้องอิเล็กตรอน ทำให้รู้ว่าโรคหวัดก็ดี โปลิโอก็ดี หรือโรค หลายๆ โรคที่เรากังไม่แน่ใจว่าเทพเจ้าทำ หรือว่า อะไรทำกันแน่ บางคนเป็นโรคถูกคุณไสย ถูกเขา ส่งของมารังควาน เราก็บอกได้ว่ามันเป็นจากเชื้อ ไวรัสถ้าเราทำใจเราให้เป็นกล้องที่วิเศษยิ่งไปกว่า กล้องอิเล็กตรอน เราก็จะ เห็น ใจของเราเอง แล้ว เห็นใจคนอื่นได้ด้วย เพราะสติสัมปชัญญะที่ละเอียด คมไว ทำให้ใจสามารถรู้ถึงสัมผัสที่มากระทบได้ เมื่อรู้แจ้งชัดแล้ว ใจก็หมดกังวลสงสัยเบาสบาย ที่ เคยกลัวว่า โอ๊ย.. ใครจะส่งของมาทำเราหรือเปล่าทำอย่างไรถึงจะป้องกันไม่ให้ติดโรคเหล่านี้ได้อย่างที่ดิฉันเรียนให้ทราบแล้วว่า หวัดนี้ ถ้า เรามีภูมิคุ้มกัน ไอ 2 แคกหาย อีกคนหนึ่งนํ้ามูก ไหล 2-3 วันหาย แต่อีกคนกลายเป็นปอดบวมจน ถึงตายไปเลยถึได้ นึ่ก็เหมือนกัน โรคอะไรๆ ทั้งหมด ก็อยู่ในขอบข่ายอันนี้ ถ้ามีภูมิคุ้มกัน เรารู้จักแก ให้มีสติสัมปชัญญะอยู่กับใจ รักษาใจของเราให้ เป็นพลังหนึ่งเดียว ที่อะไรมากระแทกเราก็ไม่เซล้ม ลุกคลุกคลาน ไม่หวั่นไหว ถ้าทำได้อย่างนี้ อะไรๆ ก็ไม่สามารถมาทำร้ายใจของเราได้หากมาทำร้ายร่างกายได้ สติป็ญญาก็พาให้ เรารู้ถึงด้นเหตุ ยอมรับว่า อ๋อ..อันนี้เป็นเพราะเม็ด ไม่ดี เราเผลอไปเอาด้นหนาม ต้นหญ้าคามาหว่าน ขณะที่หว่าน เรามัวแต่เพ้อเจ้อเผลอสติ ไม่สำรวม ระวังรู้หน้าที่รับผิดชอบในสิ่งที่กำลังทำ กระทั้งไป หยิบเม็ดชั่วๆ ติดมือขึ้นมาหว่าน เพราะฉะนั้น เรา ก็เต็มใจที่จะก้มหน้าก้มตาจัดการถากถางอุปสรรค ขวากหนาม หรือหญ้าคาเหล่านี้ออกให้หมดไป เรา ก็ไม่ไปโทษซ้ายป่ายขวาหรือเสียกำลังใจชีวิตที่ได้ฝึกฝนให้มืพลงใจจะเป็นชีวิตที่ผาสุก ทั้งๆ ที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ยังเหมือนเดิม แต่ใจของ เรามองสิ่งที่เกิดขึ้นทะลุไปถึงสาเหตุ แล้วตั้งหน้าตั้ง ตาแก้ไขเหตุที่ประกอบใหม่ให้ดีขึ้น ไม่ใช่ไปหวังแก้ ที่ผลเราทุกข์ เพราะว่าเราไม่สนใจรอบคอบถี่ก้วน ขณะประกอบ เหตุ สนใจอยู่แต่ ผล เราอยากได้ 2 ขั้น เราอยากรวย เราอยากได้เลื่อนตำแหน่งแต่ไม่เคยคิดว่าทำอย่างไรเจ้านายถึงจะเห็นว่าเรามีความ สามารถสมควรที่จะได้พิจารณา 2 ขั้น เราไม่สนใจ กับการประกอบเหตุ แต่ไปปักใจจะเอาที่ผล มันก็ เลยทุกข์เดือดร้อนมากขึ้นขณะที่มุ่งจะเอาอย่างนั้น เราก็เลยไปเหยียบ หัวแม่เท้าคนที่เขาได้สิ่งนั้นไป เพราะรู้สึกว่าไม่ถูกละ ยันนี้ของของเราต่างหาก นี่แหละ ที่คนเราทำทุกข์ ทำโทษให้ตัวเองด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็คือ อย่างนี้เมื่อเริ่มฝึกสติทำสมาธิภาวนาแล้ว ก็มาถึง ทางแพร่งที่ว่า อยากออกไปรู้อดีตรู้อนาคต อยากมี  นิมิต เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา คือ นิมิตสด ที่มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการปฏิบ้ติ แต่เรา ไปติดนิมิต มุ่งไปแก้ที่นิมิตคือสิ่งที่เกิดขึ้น จะให้มา เป็นอย่างที่กิเลสในใจเราบงการ มันถึงได้ทุกข์เดือด ร้อนถ้าเรามองให้เป็นปัญญาเห็นชอบ เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นนี่ทำให้ไจของเรากระเพื่อมไปอย่างไรบ้าง กระเพื่อมไปด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง อย่างไรบ้าง แล้วตั้งสติจับสิ่งนั้นมาพิจารณา จนใจ ของเราเห็นตามเป็นจริง กจับมาอยู่ที่ฐานตามปกติ มีสติสัมปชัญญะดีแล้ว คราวนี้เราค่อยไปแก้ไขเรื่อง ที่เกิดขึ้นเท่าที่มิกำลังจะแก้ไขได้ แต่ต้องระวังรักษา ใจเรา อย่าให้หลุดไปจากฐาน อย่าให้เตลิดหลงป่า ไปจนกระทั่งกลับบ้านไม่ถูก ถ้าเราทำอยู่อย่างนี้ รับรองได้ว่าชีวิตของทุกท่านจะประสบความสำเร็จข้อสำคัญอย่าไปหลงนิมิตสด เราทุกคนหลง ติดอยู่ในนิมิตกันทั่งนั้น เราไปยึดอยู่กับเรื่องที่เกิด ขึ้น แล้วดึงดันจะ แก้เรื่องที่เกิดขึ้น ให้เป็นไปดังใจ เราปรารถนา แต่ ไม่แก้ไขที่ใจ ซึ่งยึดมั่นสำคัญผิดให้เห็นถูกเห็นชอบ รับรู้อยู่กับความเป็นจริง เราถึง มาเวียนเกิดเวียนตายกันอยู่เช่นนี้ถ้าเราเห็นอดีต เห็นอนาคตของตัวเองได้ เรา จะสลดใจกับชีวิตที่ผ่านมาของเราเกิดครั้งหนึ่งกิเหมือนเช้าขึ้นมาเราก็ตื่น ลุก ขึ้นไปเต้นระบำรำฟ้อน พอคาลงเหนื่อยหมดลาน เรากินอนหลับ คือเราตายไปจากภพชาดีนี้ รุ่งเช้า ตื่นขึ้นมา เราเกิดใหม่อีก จริตนิสัยเราเคยมักโกรธขึ้หลงขึ้ลืม เคยทำผิดอย่างไร เราก็จะเป็นเหมือน อย่างนั้นเหมือนเมื่อวานนี้ วันนี้ พรุ่งนี้ ต่อไป..ต่อไปเรื่อยๆเรามองชีวิตที่ผ่านมาแล้ว บางทีก็รำคาญ ตัวเองที่สะดุดมันไดขึ้นไหนก็คงสะดุดอยู่อย่างนั้น ทุกที จนกระทั่งหัวแม่เท้าถลอกปอกเป็ก ก็ยังสะดุด มันอยู่ได้ทุกวัน เพราะอะไรถ้าเราไม่ฝึกให้มีสติ รู้เท่าหันกายและใจจังหวะที่พนั้งพลาดจะต้องตกร่องนั้นทุกทีไป แต่ถ้า เอาสติไปยับยั้งไว้ตรงนี้นี่ไงเราต้องสะดุดมันทุกทีครั้งนี้สติเดินไปด้วย มันก็เลยไม่สะดุด ทำได้เสียหน หนึ่งแล้วก็มีกำลังใจ อีกหน่อยก็ทำได้มากขึ้นๆ จน สามารถแก้นิสัยที่ผิดที่ชั่วอันนั้นได้ เมื่อแก้ได้แล้ว เราก็สร้างนิสัยทีดีขึ้นแทนที่เหมือนอย่างกับฟัน หมอฟันเดี๋ยวนี้เขาบอก ถ้าถอนฟันซี่หนึ่งจะต้องรีบใส่ฟันปลอมเข้าไปแทนฟัน ที่ถอนออก มิฉะนั้นฟันดีๆ ที่เหลืออยู่จะรวนหมด เพราะมีที่ว่างขึ้นมา แต่ละซี่ก็เลยเฉรวนเรออกมา ทำให้ฟันทั้งปากเกิดปัญหานี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรารู้ว่าเรามีนิสัยอะไรที่ บกพร่อง ทำให้เราทุกข์เดือดร้อนโดยไม่จำเป็น เมื่อ เอานิสัยนั้นออกทั้งไป ก็ต้องหานิสัยดีมาแทนที่อย่างเรารู้ว่า เราเป็นคนตระหนี่หวงแหน เห็น ของใครก็อยากได้ เราก็ต้องพยายามที่ว่า มีอะไร สักนิดหนึ่งเอาไว้ให้เพื่อนฝูง ให้เคยชินเป็นอุปนิสัย เป็นต้นว่า มีดอกไม้มาให้เขาดอกหนึ่งหรือไม่มีอะไรเลย ก็ยิ้ม สวัสดีเขาก่อน ไม่ต้องคอยให้เขา มาทักเราก่อนถ้าหากจะเผื่อแผ่ใจเราออกไปอย่างนี้ โอกาส ที่จะเอาชนะความตระหนี่ของเราก็มากขึ้น แต่ถ้าคิดว่า โอ๊ย..ไม่ได้ ให้เขาไม่ได้ถ้าเขาไม่ให้เราก่อน ถ้าเป็นแบบนี้ จะแผ่เมตตาก็แผ่ลำบากประจัญหน้ากัน ปรากฏว่าเราไปนึกถึงแต่ความชั่วของเขา ราไป แล้วก็แก้ไขอะไรไม่ได้
ร้ายยิ่งกว่านั้น เราอาจจะหลงไปคิดว่า เดี๋ยว นี้เราภาวนาเป็นแล้ว แผ่เมตตาเป็นแล้ว แต่จริง ๆ ปรากฏว่า เวลาแผ่ก็แผ่ไป แต่พอเจอะเจอกันเข้า จริงๆ เคยตาต่อตา ฟันต่อฟัน ก็ยังตาต่อตา ฟัน ต่อฟันเหมือนเดิม กลับไปถึงบ้าน เราเป็นนักปฏิบัดติต้องอยู่กับปัจจุบัน อะไรที่ทำแล้วก็แล้วกันไป ลง นั่งแผ่เมตตาให้เคยชินเป็นวัตร มันก็เลยไม่ทันการ เวลาแผ่ก็แผ่จริง เอาน้ำสะอาดใส่เข้าไปใน ใจ แต่ไม่ฝึกสดิให้ระลึกรู้เท่าทันแต่ละขณะที่ใจ กระเพื่อม เมื่อประจัญหน้ากับเขา มันเลยไม่ทันการ กัน ขาดสติ ไขนํ้าโสโครกเข้าตัวเองจนหนี้สินล้น พ้นตัว แล้วก็ยังไม่รู้ จึงเหมือนที่เราบ่นๆ กัน ..บุญ กุศลสมัยนี้มีที่ไหน ทำไปแล้วไม่เห็นได้ดี เพราะ บุญก็หาบบาปก็คอน เราทำดีไม่จริงมีปัญหาส่งขึ้นมา
ถาม เกี่ยวกับจิตที่ว่าไม่ดับสูญไม่ทราบว่าในปัจจุบันมีคนเพิ่มจำนวนขึ้นมาก แล้วเวลาสิ้นชีวิต จิตไปอยู่ที่ใดบ้าง
ตอบ เมื่อลมหายใจดับลง จิตก็ละรูปกายหยาบไป อยู่ในสภาพนาม เป็นกายละเอียด มองไม่เห็นด้วย ตาเนื้อ เสพอารมณ์ทุกข์สุขที่เป็นวิบากค้างคาอยู่ใน ประจุกรรม วิบากเหล่านี้คือตัวกำหนดภพภูมิใหม่ที่ จิตจะไปอยู่อาศัยจิตของสิ่งมีชีวิต ไม่ได้จำเป็นว่าถ้าเคยเป็น คนแล้วจะเกิดเป็นคนอยู่รื่าไป ถ้าบัตรเครดิตคือบุญ กุศลไม่ดี เราอยากเข้าไปพักในโรงแรมนารายณ์ เจ้า หน้าที่ดูบัตรของเราแล้วไม่ยอมรับเขาก็ไล่เราออก ไปนอกถนนเราคิดจะเกิดเป็นคนอีก แต่บุญกุศลของเราไม่พอจะมาเป็นคน เราก็ไปเข้าท้องอะไรก็ ไม่รู้เหมือนสมัยพุทธกาลก็มีเรื่องว่า มีพราหมณ์ คนหนึ่งซื่อโตไชยพราหมณ์ เป็นคนตระหนึ่งถี่เหนียว
มาก วันหนึ่งเกิดเป็นลมปัจจุบันตายไป ตายไปแล้ว จิตใจยังห่วงทรัพย์สมบิตว่าไม่ได้บอกกล่าวให้ลูกร้ว่า เอาไปซ่อนไว้ที่ไหนบ้าง จะมาเกิดเป็นคนก็ไม่ได้ เพราะในละแวกบ้านไม่มีใครตั้งห้องเลย พอดีหมา ที่เลี้ยงเอาไว้กำลังจ ะห้อง โตไชยพราหมณ์ก็เลยมา เข้าห้องหมา เกิดออกมาเป็นลูกหมาเมื่อเกิดมาเป็นลูกหมาแล้วก็ยังจำความเก่าได้ เพราะเพิ่งตายก็ มาเกิดเลย ประกอบกับจิตใจห่วงหวงทรัพย์สมบิติ อยากจะมาบอกลูกให้จิตใจที่ยังผูกพันต่อกัน ทำให้ลูกของโตไซยพราหมณ์รักใคร่เอ็นดูลูกหมาที่เกิดใหม่เป็นพิเศษ ให้บ่าวไพร่จัดทำที่ให้ลูกหมานอน ทำจานทองคำใส่ ข้าวให้กิน มีบ่าวไพร่เฉพาะไว้สำหรับคอยอาบนํ้า ดูแลหมาตัวนี้
วันหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จมาบิณฑบาต พร้อมพระอานนท์ ผ่านหน้าบ้านพราหมณ์ลูกชาย ท่านเล็งเห็นจร้ตนิสัยของพราหมณ์ลูกว่าจะรับธัมมะ ไปฝึกปฏิบิตได้ ท่านเลยหันไปว่าลูกหมาที่ออกมา เห่าท่าน “โตไชยพราหมณ์เอ๊ย สมัยที่เจ้าเป็นคน เจ้าก็ไม่ทำบุญใส่บาตร จนหมดทุนรอนตกตาเป็น หมาแล้ว ยังมาเห่าเราอีก บุญไม่ทำเอาแต่บาป แล้ว เจ้าจะไปเกิดเป็นอะไรอีกส่ะ”โตไชยพราหมณ์จำความได้ มันฟังคำพระ พุทธเจ้าแล้วก็สะท้อนใจ นํ้าตาไหลเดินกลับเข้าบ้าน บ่าวไพร่ที่คอยดูแลลูกหมาอยู่ ก็นำความไปเล่าให้ เจ้านายฟังพราหมณ์ลูกชายก็เคืองในใจว่า เราไม่เคยไป ทำอะไรให้พระพุทธเจ้าทุกข์เดือดร้อน แล้วทำไม ท่านถึงมาทำร้ายเราอย่างนี้ มาสบประมาทว่าพ่อเรา เป็นหมา ก็เลยแต่งเนื้อแต่งตัวไปยังที่ประทับของ พระพุทธเจ้าเพื่อต่อว่าเมื่อไปถึง ปรากฏว่าท่านกำลังแสดงธรรมโปรดผู้คนอยู่ พราหมณ์ลูกรู้กาล เทศะ ก็นั่งฟังนิ่งอยู่ ไม่ได้ต่อว่าออกไปพระพุทธองค์โปรดคนที่มาถามบ้ญหาจบ เรียบร้อยแล้ว ก็หันมาทางพราหมณ์ลูก ตรัสถาม “เจ้าจำได้ไหมว่าเมื่อสมัยพ่อเจ้ายังมีชีวิตอยู่ มีถาด ทองคำใหญ่อยู่ใบหนึ่ง แล้วเดี๋ยวนี้ถาดทองคำใบนั้น ไปอย่เสียที่ไหน”พราหมณ์ลูกก็พิศวงว่า ทำไมท่านมาล่วงรู้ถึง สมบ้ติในบ้านของเรา พระพุทธเจ้าทรงเห็นในใจของ พราหมณ์ลูกว่าคิดถึงถาดทองคำใบนี้ ก็ตรัสถาม ต่อไป “เจ้าอยากได้ถาดใบนี้ไหมล่ะ”เขาแสดงกิริยาว่าอยากได้ ท่านจึงตรัสว่า “พ่อของเจ้า เขาเสียใจเพราะ เห็นตามที่เราพูดเมื่อเช้านี้ แทนที่เขาจะไปนอนที่ที่ นอนที่เจ้าทำให้ เขาก็ไปนอนซุกอยู่ในครัว เจ้ากลับ ไปนี่ ให้คนใช้เอาเขาไปอาบนํ้า หาข้าวให้กิน แล้ว เอาเขานอนพักให้เต็มอิ่มเสียก่อน เขาตื่นขึ้นมา เจ้า ต่อยไปพูดลับเขาดีๆ ว่า พ่อจ้า พาฉันไปขุดถาด ทองคำหน่อยเกิด เขาพาไปหยุดที่ตรงไหน เจ้าก็ ขุดลงไปเถอะ แล้วจะได้ถาดทองคำ”พราหมณ์ลูกเคืองที่พระพุทธเจ้ายังยืนยันว่า ลูกหมาเป็นพ่อเขา แต่ความอยากได้ถาดทองคำนี้มี มาก เขาก็เลยปลอบใจตัวเองว่า การที่เราทำตาม พระพุทธเจ้าก็ไม่เสียหายอะไร ถ้าท่านตรัสคำไหน เป็นคำนั้นอย่างที่รู้มา เราก็ได้ถาดทองคำคืนมา แต่ ถ้าท่านพลาด ตรัสแล้วไม่เป็นจริง ก็เป็นโอกาสดี ทึ่เราจะได้เอาไปเล่าทั่วสารทิศเพี่อทำลายชื่อเสียง ของฟาน ตรงนี้แหละพระพุทธเจ้าจะหมดคนเคารพ เลื่อมใส คิดเช่นนั้นแล้วเขาก็กราบพระพุทธเจ้าลา กลับบ้านกลับมาถึงบ้าน คนใช้ก็มารายงานตรงกับ พระพุทธเจ้า คือลูกหมาไม่ยอมไปนอนที่ที่นอน แล้ว ไม่กินอะไรเลย มันไปชุกอยู่แต่ในครัวพราหมณ์บอกคนใช้ให้ไปจัดการกับหมาอย่างที่พระพุทธเจ้า ทรงสอนมา พออาบนํ้าเสร็จ กินช้าวอิ่ม นอนหลับ ตื่นขึ้นมา คนใช้ก็มารายงานเขาลงไปหาลูกหมาแล้วพูดอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส ลูกหมาก็พาเขาวิ่ง เช้าไปในสวน จนกระทั่งไปถึงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง มัน ก็หยุดแล้วตะกุยดินอยู่ตรงนั้น เขาก็สั่งบ่าวให้ขุดลง ไป พอขดลงไปประมาณคอกหนึ่งก็ได้ถาดทองคำ ขนมาพราหมณ์ลูกเกิดความสลดใจว่า พ่อของเขา เป็นถึงพราหมณ์ มีวิชาความรู้ ร่ำรวยมหาศาล แต่ ลูเอาเถิด สิ่งสารพันเหล่านี้ไม่ได้ติดตามไปเป็น เสบียง พ่อกลับมาเกิดเป็นหมา แล้วจะไปเกิดเป็น
อะไรต่อไปอีกก็ยังไม่รู้ตัวเขาเองล่ะ ทำอย่างไรเขาจึงจะสามารถใช้เวลาที่ยังมีชีวิตอยู่นี้ขวนขวายหา เสบียงที่จะทำให้ตัวเองแน่ใจ มั่นใจว่า จะคุ้มครอง ตัวไม่ให้ตกตํ่าไปอย่างนั้น เขาก็เลยไปถามปัญหา เหล่านี้กับพระพุทธเจ้า ฟังทำนตอบแล้วเกิดความ เชื่อเลื่อมใส ถึงซึ่งไตรสรณคมน่ ปฏิญาณตนเป็น พุทธมามกะเรื่องนี้เป็นตัวอย่างให้เราเห็นว่า จิตที่ไม่ ตับสูญนี้ ไม่ได้หมายความว่า ถ้าเกิดมาเป็นคนแล้ว ตายแล้ว จะต้องมาเกิดเป็นคนเสมอไปอีก อาจจะไปเกิดเป็นตัวอะไรๆ ก็ได้ครูบาอาจารย์ท่านสอนไม่ให้ดูถูกว่า สัตว์ตา ช้ากว่าเรา วิบากส่วนที่ปรุงแต่งให้เป็นสัตว์นี้ ความ บาปความชั่วมี แต่เมื่อชดใช้ส่วนชั่วหมดแล้ว บุญ กุศลที่เขามี อาจเกื้อหนุนให้ไปเกิดเป็นเทวดา เป็น พรหมก็ได้หรือเกิดป็นคนรื่ารวย มียศอำนาจยิ่งกว่าเราก็ได้ ชีวิตของคนที่ไม่ได้สิกจิตใจนี่ มันระส่ำ ระส่าย เวียนว่ายตายเกิดสูงๆ ตาๆ กันอย่างนี้ สุด ที่จะหยั่งรู้ได้เพราะฉะนั้น ที่ถามว่าปัจจุบันคนสิ้นชีวิตแล้ว จิตไปอยู่ในที่ใดบ้าง ก็ไปอยู่ในนรกอเวจีเสียตั้งเยอะ ตั้งแยะ ยังมาเกิดเป็นกายเนื้อไม่ได้ หรือไปเกิดเป็น เดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสูร เป็นเทพเทวดาพรหม หรือเกิดเป็นมนุษย์ใหม่อีกมีคำถามต่อไปว่า สมัยก่อนประชากรไทยก็มี นิดเดียว เดี๋ยวนี้เพิ่มขึ้นเป็น 50 ล้าน 60 ล้าน มัน มาแต่ไหนกันในสมัยก่อน จิตก็ไปตามภพภูมิที่เหมาะควร ถ้าจิตใจยังไม่พัฒนา ก็ไปเกิดเป็นสัตว์บก สัตว์นํ้า แต่เดี๋ยวนี้เราตัดไม้ทำลายป่า ทำลายนํ้า สร้างมล ภาวะ ทำให้สัตว์เหล่านี้มาเกิดไม่ได้ แต่จิตใจที่ ถูกเราเบียดเบียน มันทุกข์เดือดร้อน ดิ้นรนหาซ่อง ทางที่จะมาล้างแค้นอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดรูปกาย เป็นมนุษย์ แต่ใจยังเป็นเดรัจฉานอยู่ภพภูมิของมนุษย์เรานี้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า กายเป็นมนุษย์ ใจเป็นมนุษย์ เรียกว่า มนุลฺสมนุสุใส คือคนที่กายเป็นมนุษย์ ใจก็มีศีลมีธรรม เพราะศีล ธรรมคือธรรมประจำจิตมนุษย์ เรามีศีล 5 คุ้มครองถ้าตัวเป็นมนุษย์ แต่ใจยังดื้อรั้น ยึดมั่นสำตัญ ผิด อย่างที่เราบ่นกันว่า ไม่รู้ใจทำด้วยอะไร สอนจน ปากจะฉีกถึงท้ายทอยแล้วก็ยังไม่จดไม่จำสักที อันนี้ แหละที่เราไปทำร้ายก่อเวรไว้กับมัน แล้วมันก็ตาม มาทวงหนี้เอากับเรา มนุสุลติรัจุฉาโน มาเกิดเป็น ลูกเต้า หรือมาเป็นอะไร ให้เขาเหนื่อยหัวใจไปหมด หรือมันคั่งแค้นว่า ทำไมเราถึงอยู่ดีมีสุข ส่วน ฉันไม่มีโอกาสจะมีทั้งที่เหนื่อยยากแสนเข็ญ เพราะ ฉะนั้น ขอให้ฉันมีบ้างเถิด หิวโหยเต็มทน กำเนิด กายเป็นมนุษย์ แต่ใจกินไม่เลือก กรวด หิน ดิน ทราย ไดรโว่เรียบ ที่เรียกกันว่า มนุสฺสเปโต สมัย นี้อย่าเข้าใจว่าจะต้องกินแต่อาหาร กรวด หิน ดิน ทราย ตึกเป็นหลังๆ ก็กินไต้ทั้งนั้น นี่เป็นภพภูมิที่ตากว่ามนุษย์ สูงขึ้นไป ตัวเป็นมนุษย์ แต่จิตใจมีเทวธรรม คือ มีความสะดุ้งอายต่อผิดต่อบาป มีหิริโอตตัปปะ ครอบครองอยู่ เขามีปัจจัยที่จะไปเกิดเป็นเทวดา แต่ เหินว่าการไปเกิดเป็นเทวดาไต้อะไรๆ ที่เป็นทิพย์จะ ทำให้จิตใจหลงไป ไม่ไต้ปฏิบัติให้สติสัมปชัญญะปัญญาเพิ่มขึ้น ทำให้หลงวกวนเดินซมนกชมไม้อยู่ เรื่อยๆเขาก็เลยมาเป็นมนุษย์ แต่ใจเป็นเทวดามนุสุสเทโว คนพวกนี้ที่เราอิจฉาว่าเขาทำบุญอะไร เอาไว้ จึงเหมือนอย่างกบนางฟ้าเทวดาในร่างมนุษย์
ประเภทสุดท้าย เขาสะสมเสบียงมาไว้แล้ว อย่างดี เป็นมนุษย์ที่แกปฏิบดเจริญสติสัมปชัญญะ ปัญญาจึงฝึกสมาธิ อบรมจิตใจ ฟังธรรมคำสั่งสอน จนจิตของตัวตกกระแสเป็น มนุสุสอริโย ดำเนินตามรอยพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์อย่างเคร่งครัด ก็มีตั้งแต่อริยบุคคลเบื้องตา จนกระทงเบื้องสูงสุด เป็นอรหันต์อันนี้ก็เป็นตัวอย่างให้เอาไปไตร่ตรองดูว่าเรา จะเตรียมเสบียงชนิดไหนไว้สำหรับตัวเอง เพราะรู้ อยู่ว่า ไม่จำเป็นจะต้องแก่เสียก่อนจึงจะตาย แล้วก็ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเจ็บเสียก่อนจึงตาย เราอาจ ประสบอุบัติเหตุหรือเป็นลมปัจจุบันตายไปก็ได้
ถาม ดิฉันมืปัญทาเกี่ยวกับการที่ต้องย้ายบ้าน คือ ย้ายไปอยู่บ้านใหม่ โดยทิ้งให้น้องชายซึ่งมีครอบครัว
ล้วและมีบุตร 2 คน อายุ 8 ขวบ และ 7 ขวบ อยู่ก้นตามลำพัง ทำให้เกิดความเป็นห่วงหลานมาก จนทำใจให้ทิ้งไปไม่ได้ เพราะเหตุที่น้องชาย พ่อของ หลาน 2 คนนั้น มีความจำเป็นต้องไปทำงานต่าง จังหวัดบ่อยๆ ทำให้หลานจะต้องอยู่กับแม่ เรียนถาม อาจารย์ว่า จะทำอย่างไรดีจึงจะตัดความเป็นห่วง ลงได้
ตอบ ใจของแต่ละคนมีเหตุปัจจัยเก่าก่อนเกาะเกี่ยว ผูกพันกันมาเฉพาะตัว ในกรณีของคุณกับหลานทั้ง สองอาจเคยอุปถัมภ์กันมา ใกล้ชิดกันมา เหตุปัจจัย จึงทำให้คุณไปผูกพันห่วงหลานเสียจนกระทั้งคิดเป็น ตัวแทนทั้งพ่อทั้งแม่ของหลานทั้งๆ ที่พ่อแม่จริงของเขาก็มีอยู่ การฝึกใจคือการอยู่กับความจริงใน แต่ละขณะ เราจะได้สงบความห่วงลงขณะที่อยู่ด้วยกัน ร่วมบ้านกัน มีอะไรที่เราจะ อนุเคราะห์ดูแลเขาได้ เราก็ทำไปเต็มความสามารถ เมื่อมีเหตุให้ต้องจากกัน ก็ทำในใจว่าเราตายจากกัน ไปแล้ว ดิฉันกักใจของตัวเองไว้ว่า เมื่อออกจากบ้าน ไปไหน แปลว่าเราตายจากคนที่บ้านไปแล้ว หาก ระหว่างที่ดิฉันไม่อยู่นั้นมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น คน ที่บ้านก็ต้องแก้ไขเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นไปตามสถาน การณ์ ไม่ใช่ดิฉันคอยคิดห่วงว่า ถ้าอะไรเกิดขึ้นเขาจะต้องโทรศัพท์ โทรเลขติดต่อดิฉันให้ได้ หรือ คอยเป็นห่วงว่าถ้าไม่มีเราแล้วเขาจะทำอะไรไม่ไต้เรื่อง เพราะไม่ว่าเราจะคิดห่วงแค่ไหน มันก็เป็นเหมือน กับความฝัน เพราะตัวของเราไม่ไต้อยู่ที่ตรงนั้นถ้าเหตุที่คุณต้องย้ายบ้านเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยง ไม่ได้ เมื่อย้ายออกไปแล้ว คุณก็ต้องทำใจว่าเรากับ หลานอยู่คนละภพคนละภูมิแล้ว เราตายไปแล้ว ระหว่างที่เขาเหล่านั้นไม่ไต้มาอยู่ต่อหน้าในสายตา เราอะไรเกิดขึ้นก็เป็นเรื่องที่เขาต้องช่วยตัวเอง
เหตุนี้แหละที่เราต้องหมั่นกักฝนอบรมใจเรา เวลามี วิกฤตเกิดขึ้น ถ้าใจเรามัวแต่ไปห่วงหลานอยู่อย่าง นั้น ก็จะเหมือนโตไชยพราหมณ์ห่วงลูก แล้วเราก็ ไปเกิดเป็นตัวอะไรเพื่อจะได้ไปอยู่เฝัาหลาน
ท่านอาจารย์เคยเล่าให้ฟังว่า สมัยที่ท่านยัง เที่ยวธุดงค์ไปช่วงหนึ่งไปอยู่กับหลวงปูขาว ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นคนมีฐานะดี สามีซึ่งอายุมากตาย จากไป สามีห่วงหวงภรรยามาก ผู้หญิงสังเกตว่า พอสามีตายไปไม่นาน ไม่ว่าเขาจะไปไหนในบ้าน จะ มีตุ๊กแกตัวหนึ่งตามเขาไปทุกหนทุกแห่ง แม้กระทั่ง เข้าห้องนํ้ามันก็ตามเข้าไป เขาเงยขึ้นดูตุ๊กแกทีไร ก็ พบมันมองเขาตาไม่กะพริบทุกทีเขาถามหลวงปูว่า เป็นไปได้หรือเปล่าว่าสามี ไปเกิดเป็นตุ๊กแกหลวงปูไม่ได้ตอบอะไรเขา แต่สอนให้แผ่เมตตาให้ตุ๊กแกไป อย่าเอาใจไปรำคาญ หรือข้องติดอยู่กับมันตกกลางคืน ท่านเทศน์พระเณรว่า เห็นหรือ ยังว่า จิตที่ไม่มีสติระวังรักษา มันไปห่วงหวงอะไร อยู่ก็กลับมาเกิดตรงนั้น คอยจะมาเข้าท้องเขาเป็น ลูกก็ไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้แต่งงานใหม่ จะมาเกิดที่ ไหนในละแวกนั้นก็ไม่ทันใจ ก็เลยเกิดเป็นตุ๊กแก ชาวบ้านที่ห่วงที่นาก็มาเกิดเป็นปูนา แล้วก็ถูกลูก หลานตับไปดองกิน ใจที่ไปห่วงผกพันอย่กับอะไรก็ จะไปเกิดกับอย่างนั้นในสมัยพุทธกาลก็มีเรื่องเล่าว่า พระภิกษุรูป หนึ่ง ตั้งใจปฏิบ้ติภาวนาดีมาก จนหมู่เพื่อนเชื่อว่า ท่านตายไปเมื่อไร คงไปเกิดในพรหมโลก เพราะ ท่านทำสมาธิ มีฌานสุขเป็นอุปนิสัย วันหนึ่ง พี่สาว ของท่านนำจีวรผืนใหม่มาถวายยังไม่ทันได้ครองจีวรให้พี่ชื่นใจ ท่านเกิดเป็นลมปัจจุบันตายไป ช่วง ที่กำลังจะตาย จิตก็แว่บไปนึกถึงจีวรใหม่พร้อมกับ หมดลมไป เลยเกิดเป็นเล็น ไปเกาะอยู่ที่จีวรผืน นั้นพระพุทธองค์ท่านเล็งรู้ เลยเรียกประชุมสงฆ์ ว่า ทรัพย์สมบตของพระภิกษุที่ตายอย่าเพิ่งเคลื่อน ย้าย เพราะยังมีญาติพี่น้องมาเยี่ยมเยือน เอาไว้ 7 วันเสียก่อนแล้วค่อยประชุมอีกทีหนึ่ง เพราะท่าน ทราบว่าเล็นมีอายุ 7 วัน ทรงเมตตาว่า ถ้าใครไป ขยับเขยื้อนจีวร จิตที่ผูกพันจะเกิดหวงแหนขึ้น เมื่อ ไม่มีใครไปถูกต้องจีวร จิตที่เคยฝึกภาวนาอยู่ ไม่มี อะไรมากระทบกระเทือน ก็จดจ่อภาวนาต่อไปทั้งๆ ที่กายเป็นเล็น พอครบ 7 วันสิ้นอายุขัย จิตจึงไป เกิดเป็นพรหมตามภูมิเดิมขนาดท่านเป็นพระปฏิบิต มีสติสำรวมระวัง ดีกว่าเราเยอะแยะยังมีอุบิตเหตุเกิดขึ้นได้ ท่านโชคดี มีพระพุทธเจ้าเมตตาคุ้มครองอย่างเราไปเป็นเล็นใครไม่รู้เอาผ้าไปแบ่งยัน เราก็คงโกรธแค้นจนจิต กลิ้งหลุนๆ ลงอเวจีไปเท่าที่ยกตัวอย่างมา ดิฉันคิดว่าคุณคงเห็น ลู่ทางแล้วว่า จะทำใจอย่างไรดิ จึงจะตดความห่วง หลานได้
ถาม การทำใจให้เข้าใจทุกๆ คน จะไปค้านยับการ ทำงาน ซึ่งบางครั้งต้องการการตัดสินใจอย่างไรบ้าง
ตอบ การที่เราเข้าใจจิตใจของทุกๆ คน ไม่ได้ หมายความว่าเราจะเป็นคนตัดสินใจไม่ได้ อย่างเช่น เรามีลูกน้องที่บางคนก็เป็นปลาต้องว่ายนํ้า บางคน ก็ป็นนกด้องบินไป บางคนกิเป็นเต่า อยู่ในนํ้าก็ได้ อยู่บนบกกิได้ ย่อมทำให้เราตัดสินใจได้ดิขึ้นว่า ทำ อย่างไรเราถึงจะวางมาตรการไม่ให้ไปกระทบกระ เทือนใจใคร แล้วกิไม่ให้เขาหาว่าเราลำเอียง เข้าข้างคนใดคนหนึ่ง การที่เราหยั่งรู้ความเป็นจริงของ จิตใจเขาได้ลึกซึ้งกว่าที่รู้เห็นกันด้วยตา ทำให้วิธีแก้ ปัญหาของเราสุขุมคัมภีรภาพ เกิดประโยชน์มหา ศาล ไม่อย่างนั้น ถ้าเราเป็นนก เราก็เลือกตัดสิน์ใจ ให้ทุกคนบิน ปลาก็ตายเพราะเหงือกแห้ง บินก็ บินไม่ได้เราจะได้ฟังความเห็นของเขา ไมใช่ขัดเคือง เอาชนะกันจนวงแตก พยายามหาลู่ทางทำให้ ปลาก็เป็นสุข นกก็เป็นสุข เต่าก็เป็นสุข
ถาม ความโกรธ อาการก้าวร้าว บางครั้งทำให้คน ยำเกรง กลัว ปกครองคนได้ง่ายขึ้น นึ่คือประโยชน์ ของมัน ถ้าทำจิตดีจะทำให้ปกครองคนยาก
ตอบ ไม่จริงหรอก เขากัดฟันทนต่างหากถ้าความโกรธ ความก้าวร้าว ทำให้ปกครองคนง่ายขึ้น จะไม่มีการปฏิวัติปฏิรูป ประท้วง เดินขบวนเกิดขึ้น ถ้าเรากดลงไปบนลวดสปริงถึงจุดหนึ่งที่ปฏิกิริยา
ต่อต้านสะสมรุนแรงจนชนะแรงกดของเราก็ทำให้ เกิดการแตกหัก สิ่งที่เป็นความก้าวร้าวไม่เคยให้ ประโยชน์หรือคุณความดี ใจของแต่ละคนที่มีความ เข้าใจ ถ้าจะต้องเสียสละ อดทน ก็มาจากความ เต็มใจพอใจ อย่างนั้นจึงจะเป็นสิ่งยั่งยืน
ที่คุณว่าถ้าทำจิตดีจะทำให้ปกครองคนยากนั้น คุณเข้าใจไขว้เขวไป การทำจิตดีของคุณนี่ถูกกิเลส หลอกไปเสียแล้ว คุณต้องการให้คนเสน่หา ชื่นชอบ ไม่วิพากษ์วิจารณ์คุณไปในทางลบ ไม่ใช่ทำไปด้วย เข้าถึงเหตุผล เป็นเจ้านายที่เที่ยงตรง คุณหิวความ รัก อยากให้ทุกคนรัก ก็เลยปกครองยาก เพราะว่า คุณมุ่งเอาใจกิเลสของทุกคน จะให้เป็นที่ถูกกิเลส ของเขา มันก็เลยหาจุดลงตัวที่จะตัดสินไม่ได้
ถาม เราสามารถจะนำความโกรธมาใช้ในบาง โอกาสได้หรือไม่ และถ้าใช้วิธีจิตดีจะทำให้คนรู้จัก ยำเกรง เกรงกลัวเราได้อย่างไร ลูกน้องมีความรู้ น้อย เป็นคนงาน คนรับใช้
ตอบ ท่านบอกเอาไว้ว่า ใจของคนเราเหมือนนั้า ก็ ต้องการนํ้าจิตนํ้าใจที่จะไปประสานหล่อเลี้ยง ถ้าเรา ปกครองกันด้วยพระคุณ จะทำให้เกิดความผูกพัน ยั่งยืน อะไรก็ตามที่เห็นว่าเป็นปัจจัย 4 ของเขา
เป็นสิ่งที่เขาจะสุขสบายชื่นอกชื่นใจ ไม่ต้องคอยให้ เขาขอ เราจัดสรรให้ไปตามหน้าที่เลย แต่ไม่ใช่ให้ เพื่อติดสินบน เพื่อให้เขามารักเรา พอไม่พอใจขึ้น มา เราก็ลืมไปแล้วว่า ตอนที่เราดีๆ นี่ เรามีเมตตา เอ่ยปากพูดจาว่า มีอะไรก็แบ่งไปก็นได้นะแต่พอ
รันหนึ่ง เราหงุดหงิดขึ้นมาก็ไปด่าเขา โอ๊ย.. ฉันยัง ไม่ทันกินเลย ทำไมถึงมาเอาไปกินหมด เราต้องมี ความเสมอต้นเสมอปลายถ้าเราฝึกจนกระทั่งสติตามรู้วาระจิตของตัว ได้แล้ว จะน้าความโกรธมาใช้ในบางโอกาสก็ไต้ เพราะคนบางคนนี่ถ้าพูดดีๆ ด้วย ปรากฏว่าไม่ลืม ตาตื่นสักทีหนึ่ง ต้องฟ้าผ่าจึงจะปลุกให้ตื่นได้ อย่าง นี้เราก็ต้องแกล้งทำเป็นโกรธแต่ต้องแน่ใจว่า เรา
ไม่เผลอไปโกรธจริง ๆ แล้วเตะก้านคอเขาหักไป จะ เป็นการสร้างเวรขึ้นโดยใช่เหตุถ้าเราพิจารณาอย่างที่ดิฉันได้เรียนให้ทราบ ว่า คนบางคนเป็นนก บางคนเป็นปลาถ้าจริตนิสัยของเขาไม่เหมือนเรา มันก็ยากที่พูดคำนี้แล้วจะ เช้าใจตรงกันเหมือนตัวอย่างว่า ในป้าแห่งหนึ่ง มีลูกหมี กับลูกปลาเป็นเพื่อนกัน ลูกหมีหนาว ก็ก่อไฟผิง ลูก ปลาหนาวก็อยู่ในน้ำ เพราะปลาเป็นสัตว์นํ้า ขึ้นมา อยู่บนบกไม่ได้ วันหนึ่ง ลูกหมีก่อไฟผิง อุ่นสบายดี แล้ว ก็เป็นพลเมืองดี เพราะแม่สอนว่ามีอะไรต้อง แบ่งปันให้เพื่อน อย่าหวงเก็บไว้คนเดียวมันเห็นลูกปลานอนนึ่งอยู่บนโขดห็นตื้นๆ ก็นึกว่าเราต้อง
เป็นเด็กดี ถึงแม่ไม่อยู่เราก็ต้องทำตามคำสอนของ แม่ มันก็เลยทำกองไฟให้ยาวขึ้น มีที่สำหวับตัว เองและลูกปลา เดี๋ยวเรานั่งตรงนี้ เอาลูกปลามาผิงไฟด้วยกัน พอกองไฟอุ่นดีแล้ว มันก็ไปซ้อนลูกปลา ขึ้นมาผิงไฟด้วยเห็นไหมว่ามันปรารถนาดีต่อลูกปลาที่สุดเลย แต่ลูกปลาอกสั่นขวัญสยองว่า เอ๊ะ... เราก็ไม่ได้ทำ อะไรให้ผิดใจลูกหมีจนมันต้องดีดวางแผนเอาเรามา ปิ้งกินนี่นา จิตใจของคนเราที่เป็นปุถุชนกันอยู่ มัน เป็นทำนองนี้ บางทีที่เรานึกว่าเราทำอะไรๆ ให้ลูก น้องด้วยหัวใจ แต่ผลกลับไปในทิศทางตรงกันข้าม ก็อาจจะเหมือนกับลกหมีกับลูกปลาก็ได้ถ้านึกถึงความข้อนี้ไว้ วันไหนสักวันหนึ่งถาม ให้เขาเล่า ให้เขาแสดงเหตุผลหรือว่าคอยจับสังเกตด เราก็จะพบสาเหตุได้ เหมือนเรื่องที่ตัวเองเคยประสบมา ครั้งที่ยังทำงานอยู่ เคยโกรธคนงานจนแทบจะ ฆ่าทิ้งเสียก็หลายหน เพราะว่าสั่งอย่างหนึ่งไปทำอีก อย่าง จนงานบรรลัยวายวอดทุกที วันหนึ่ง ตัวเอง มีธุระกับเพื่อน แวะเข้าไป ก็พบเขากำลังสั่งงานกับ คนงานคนนี้อยู่ เราก็เลยเป็นนักสังเกตการณ์ เอ๊ะ... เพื่อนหันหน้าไปทางไหน นายคนนี้จะเดินตามไปยืน จ่ออยู่ตรงหน้า มองรืมแปากแล้วทำปากขมุบขมิบ ตาม แวบหนึ่ง เราเกิดความคิด ไอ้นี่หนวกแฮะเพราะปกติคนดี ๆ เขาจะไม่ไปจ้องปากแล้วพูดตาม พรุ่งนี้เช้าเราส่งไปให้คุณหมอตรวจลูหูก็แล้วกันผลปรากฏว่าเขาหูหนวกจริงๆหูข้างขวาหนวกสนิท ข้างซ้ายได้ยินประมาณ 30 %พอรู้สาเหตุ คราวนี้ไม่เกิดความทุกข์เดือดร้อนแล้ว ทุก คนเขียนโพยส่งให้แทนคำสั่งด้วยปาก ปรากฏว่า ได้ผลดี เพราะนายคนนี้ขยันขันแข็ง มีนํ้าใจ ให้ ทำงานอะไรตั้งอกตั้งใจทำ แต่ที่ไม่ยอมสารภาพ ว่าหูหนวก เพราะกลัวว่าจะถูกออกจากงาน ก็เลย เกือบจะถูกพวกเราฆ่าทิ้งเสียแล้ว ถ้าเราเสาะหา ทางให้รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไรแล้ว ปัญหาทุกอย่าง ก็หมดไป ไปทดลองทำกับลูกน้องดูก็ได้
ถาม ในการทำงาน เวลาที่เราตั้งใจมากเกินไปจน ทำให้เกร็ง จะมีวิธีใดหรือไม่ที่จะทำให้เราไม่เกร็ง หรือตื่นเต้นเกินไป ถ้าเราไม่เกร็งจะทำงานได้ออก มาดีกว่า ขอให้ช่วยแนะนำวิธีด้วย
ตอบ อันนี้เป็นความจริงสำหรับคนทุกคนแหละ นึกถึงเวลาจะสนเข็ม ดีฉันเองจำได้เลยว่า เมื่อเด็กๆ เวลาแม่ใช้ให้สนเข็มนี่ ความที่กลัวว่ามือจะสั่นจะ กลั้นหายใจทุกครั้งไป เพราะฉะนั้น เวลาที่เราตั้งใจ จดจ่อจะทำอะไร แม้กระทั่งแกทำสมาธิก็เหมือนกัน หลายคนจะรู้สึกว่า เมื่อทำเสร็จแล้วเมื่อยปวดต้นคอ หรืออึดอัดเจ็บหน้าอกไปหมด เพราะโดยไม่รู้ตัว กำหนดลมหายใจไป ๆ แล้วมันเกร็งจนหยุดหายใจ เวลาที่เราตั้งใจทำอะไรจริงจัง จิตเราละเอียด กาย สังขารของเราคือลมหายใจจะละเอียดไปด้วย เวลา
จิตรวมเป็นอัปปนาสมาธิ ลมหายใจทางปอดไม่มี เพราะฉะนั้น ใครเป็นคนจริงจัง ตั้งใจทำงาน มันจะ เกร็งอย่างนี้ เป็นเรื่องของประสาทอัตโนมิตที่ไปห้าม ไปควบคุมไม่ได้เมื่อรู้อย่างนี้ เราไม่ไปบีบบังคับกังวลว,าด้อง ไม่เกร็ง ยิ่งระวังว่าด้องไม่เกร็ง มันยิ่งเกร็งใหญ่ เหมือนดิฉันเมื่อบังเรียนหนังสืออยู่จะสอบทีไรปรากฏว่า ท้องเดิน อาเจียนทุกทีคือนอกจากจะเกร็งเนื้อตัว ลำไส้กระเพาะก็พลอยเกร็งไปหมด นี่ มันเป็นอย่างนี้กันทุกคน จะได้ไม่ตกใจไปรู้แล้วก็นึกสิว่า งานมันจะสำคัญหรือไม่สำคัญก็ตาม เราตั้งใจ ทำดีที่สุดทุกอัน เพราะฉะนั้น สำคัญแค่ไหน เราก็ทำ เหมือนอันที่ไม่สำคัญนั้นแหละ เพราะเราเป็นคนทำ อะไรเสมอด้นเสมอปลาย ไม่ใช่เลือกว่าด้องสำคัญ เท่านั้นจึงจะทำดีทำได้อย่างนี้ มันก็เกิดภูมิตุ้มกันว่า ไม่ว่างาน อะไร เราก็จะทำมันไปอย่างดีที่สุด เต็มสติกำลัง ความสามารถ มันก็ไม่เกร็งเมื่อเป็นชิ้นสำคัญ ๆ
เป็นอย่างนี้แล้ว เราก็ฝ็กให้สติคอยตามรู้เท่าทัน ใจของเรา พอเริ่มจะเครียด สติจะเตือนว่า เครียด ทีไรเราเหมือนหมาบ้านะ มันจะไปตรงทื่อแล้วขยับ เคลื่อนที่ไม่ได้ มีข้อมูลอะไรเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติม กะทันหัน เราจะละเลยข้อมูลนั้นไปใครเคยขับรถไปในทางทื่ไม่แน่ว่าวันนี้จะแล่น ทางเดียว แล่นสองทาง เลี้ยวซ้ายเลยวขวาได้ตรง ไหน จะเข้าใจ เราก็ว่าเราชะลอๆ พร้อมที่จะไม่พลาดที่เลี้ยว พอเอาจริงเข้าก็พลาดทุกที ปรากฏว่า เลี้ยวไม่ทัน เพราะมัวเกร็งไปหมด ทำให้ไม่มีความ คล่องตัวที่จะปรับเปลี่ยนตามเหตุบ้จจุมัน เราเองก็รู้ ทั้งรู้ แต่ก็ผิดอีกจนได้เจ้าของคำถามก็บอกว่า ถ้าไม่เกร็งจะทำงาน ออกมาได้ดีกว่าแกสติให้คอยเตือนว่า เราทำเป็นเล่นๆ เสีย ใจจะได้เป็นอิสระเสรี อะไรมากระทบ ก็ เกิดความคล่องตัวที่จะเก็บข้อมูลเข้ามาค้นคิด ตัด แปลง ให้ได้กรรมวิธีที่สะดวกสบายเมื่อจดจ่อตั้งสติฝึกของเราไปเรื่อยๆ สำคัญ ไม่สำคัญทุกอย่างเหมือนยันหมด เราทำดีที่สุดแล้วไม่ต้องไปเกร็งมัน ฝึกไปเรื่อยๆก็จะค่อยๆ ดีขึ้น
การฝึกฝนอบรมใจให้มีสติมีสมาธิ จะทำให้ความ จดจ่อของเรามีเหตุผลกำกับ มีทิศทางชัดเจน ปรับ ให้สิ่งที่ทำนั้นมาอยู่ตรงกลางพอดี ๆ ไม่เครียดเกินไป ไม่หย่อนเกินไป ในที่สุดเราจะแก้ไขนิสัยนี้ไต้ ขอให้ มีกำลังใจ สิกอย่างหลวมๆ สบายๆ อย่าไปเกร็งว่า จะต้องเอาเป็นเอาตายกันให้ได้ หลวมๆ สบายๆ ทำ เหมือนไม่ตั้งใจ แล้วมันก็จะได้เอง
ถาม หากมีคนใกล้ชิดเราคิดมาก จนทำให้คนอื่น คิดว่าเขาเริ่มจะไม่มีสติ แล้วมีอาการเริ่มแรกของ โรคประสาท เราจะมีวิธิช่วยเหลือเขาอย่างไร
ตอบ เราก็ต้องพยายามวิเคราะห้ให้รู้ว่า ที่เขาคิด มากนี้เขาคิดเรื่องงานการของเขา หรือว่าเรื่อง ครอบครัว เรื่องอะไร เมื่อรู้เหตุแล้วเราจะได้เริ่มต้น แก้ไขที่เหตุให้ถูกต้อง ถ้าเป็นเรื่องงาน เราก็ศึกษา ดูว่ามีอะไรที่จะช่วยเหลือเขาไต้ ถ้ามีสิ่งที่จะชี้แนะ หรือว่าเขาวิตกเกินการณ์ไปเอง เขาไปหวังที่ผลมาก เกินไป เราก็แนะเขาว่า เขาทำไต้แต่ประกอบเหตุ เหมือนคุณหมอท่านหนึ่ง ไปกราบเรียนท่านอาจารย์ ชาว่า ท่านมีงานอย่างนี้ อย่างนี้ ท่าจนหมดแล้ว ก็ ยังกังวลเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่
ท่านอาจารย์ก็ย้อนถามว่า ถ้าคุณปลูกมะม่วง เอาไว้ หน้าที่ของคุณเป็นผู้ออกลูกมะม่วงหรือหน้าที่ ของต้นมะม่วงจะออกลูก ท่านก็ตอบว่า ต้นมะม่วง เป็นผู้ออกลูกท่านอาจารย์จึงว่า นั่นแหละ ที่คุณ
ท่าได้คือปร ะกอบเหตุที่ดี เอาเม็ดมะม่วงมาปลูก คอย ลูไม่ให้นกหนูมาตุ้ยขุดเอาเม็ดไปกิน คอยรดนํ้าให้ ปุ๋ยมัน งอกมาตอนแรกมันยังไม่แข็งแรง ก็หาอะไร มาบังแดดบังลมให้พอต้นแข็งแรงดีแล้ว คราวนี้คุณไม่มีหน้าที่จะท่าอะไร นอกจากรอคอย เมื่อถึง วาระที่มันจะออกลูกออกดอก มันก็ออกของมันเอง คุณไปบังคับให้ออกไม่ได้นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเขาคิดว่าเขาจะไปบังคับให้ ผลงานเป็นไปอย่างที่เขาต้องการ เขาก็เป็นโรค ประสาท เราอธิบายให้เขาคลายเครียดเสีย เปลี่ยน อารมณ์เขาเสีย ถ้าเป็นเรื่องในบ้านเราก็ช่วยกันแก้ เหตุให้ดีขึ้น เมื่อเจอเหตุแล้วก็แก้ไขไปตามเนื้อผ้าได้ ถาม กรุณาเล่าเกี่ยวกับปาฏิหาริย์เมื่อองค์สมเด็จ พระสังฆราชแผ่บารมีดับไฟบริเวณใกล้กัดบวรฯ เมื่อ เร็วๆ นี้ด้วยคะ
ตอบ ท่านอาจารย์สอนด็ฉันว่า อะไรก็ตามถ้าเรา ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ไม่ได้เห็นด้วยสองตา ไม่ได้ยิน ด้วยสองหูจากต้นตอ สิ่งเหล่านั้นถือเป็นความฝัน อย่าริอ่านเป็นนักทำนายฝัน ดิฉันบังเอิญไม่ได้อยู่ ตรงนั้นขณะไฟไหม้ ก็รู้เท่าที่ได้ทราบจากสื่อสาร มวลซนเท่านั้นแหละค่ะ
ถาม กรุณาแนะนำวิธีระงับความโกรธของผู้ที่เรา สนทนาด้วย
ตอบ หลักของการปฏิบัติใจ คือมองเข้าข้างในกาย ในใจของเรา
เรารู้ว่าคู่สนทนากำลังโกรธ และอุณหภูมิสูง ขึ้นเรื่อย ๆ เราต้องป้องกันตัวเราให้มีฉนวนอย่าง ดี อย่าให้ภูมิคุ้มกันรั่วไหลออกไปจากใจของเรา จน ไปติดโรคโกรธจากเขาเข้า แล้วโกรธมากยิ่งไปกว่า เขา เพราะเราเป็นคนทำอะไรทำจริง ทำแล้วต้องให้ดีมีคุณภาพ ก็เลยจะโกรธมากกว่าเขาไป เพราะ ฉะนั้น ก่อนที่เราจะไปคิดระงับดับความโกรธเขา แน่ใจ มั่นใจเสียก่อนว่า เราต้องเย็นสนิท เป็นก้าน ไม้ขีดที่จุ่มนั้าเปียกโชก ไม่ว่า จะทำอย่างไรๆ ไฟจาก หัวไม้ขีดก็ไม่ไหม้ลุกลามมาถูกเราเป็นอันขาด ถ้าทำ อย่างนั้นได้แล้ว ไอเย็นจากใจของเราจะทำให้อุณหภูมิเขาลดลงเอง แต่ถ้าเราไปตั้งใจว่า เราจะต้องระงับความโกรธของเขาให้ได้รับรอง ถูกไฟโกรธ เผาวอดวายไปตั้งลู่เลย
ถาม เรื่องความฝันล่ะครับ ที่ฝันอะไรชํ้าๆ อันเรื่อง เดียว หรือฝันถึงบุคคลคนเดียวอันตลอด อยากจะ ทราบว่ามันมีผลอะไรอับใจหรือจิตใต้สำนึกบ้างหรือ เปล่า
ตอบ การที่เราฝันนี่มีสาเหตุได้หลายประการ แต่ สาเหตุอันหนึ่งคือใจเราเป็นอังวลคิดถึงอะไรอยู่มากๆ พอหลับไปแล้ว ความคิดอันนั้นก็ยังคิดตามอยู่ในใจ เรา เลยปรากฏออกมาในรูปของความฝัน การที่ฝันอะไรซํ้าๆ อันเรื่องเดียว ก็อาจจะเพราะกังวล ครุ่นคิดถึงเรื่องนั้นอยู่ หรือฝันถึงบุคคลเดียวกันตลอด เพราะใจไปผูกพันกบบุคคลคนนั้น ถ้าลองค้นดูที่ตัว เราก็จะพบว่า มันใช่หรือไม่ใช่ คือ เราเข้าใจว่าเรา ไม่ได้ไปห่วงไปกังวล แต่จริง ๆ แล้วใจส่วนใต้สำนึก ของเรายังผูกพันอยู่
คำถามต่อไปว่า ถ้านั้งสมาธิแล้วจะทำให้หาย ไหม ซึ่งไม่ทราบว่าความฝันนั้นเกี่ยวกับเรื่องจิตใต้ สำนึกหรือเปล่าถ้าเรานั่งสมาธิแล้ว สติกำกับอยู่กับใจให้เป็น ปัจจุบนจิต อยู่กับปัจจุบันไต้จริงๆ ความฝันก็จะหาย ไป อานิสงส์อย่างหนึ่งของการทำสมาธิ คือ ทำให้ หลับสนิทแล้วไม่ฝัน โดยเฉพาะฝันร้ายบางคนมี
ความวิตกกังวลก็จะฝันเรื่องที่ทำให้เกิดความกังวล มากขึ้น คนที่ทำสมาธิไต้ผล จะหลับสนิทรวดเดียว รู้ตัวตื่นก็มีสติ มากำหนดรู้ในอิริยาบถ จะไม่ฝัน ใน กรณีที่เป็นเพราะใจไปผูกพัน ใจไม่อยู่กับตัว ตัวอยู่ ตรงนี้แต่ใจไปผูกพันกับเหตุการณ์กันนั้นหรือบุคคล เหล่านั้น เมื่อหลับก็จะเริ่มฝันถึงเรื่องหรือบุคคล เหล่านั้น
ถาม ในเมื่อเราพยายามทำจิตใจให้มั่นคง แต่มีผู้ ไม่มีจิตใจที่ดีและเป็นผู้ที่มีอำนาจมากกว่าเราพยายามข่มเราให้เป็นไปตามเขานั้น เราควรทำ อย่างไร
ตอบ ถ้าผู้มีอำนาจมากกว่าเราออกคำสั่งเราก็
ปฏิบัติตามเขา แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องฝืน ให้ใจเราเฉไฉตามเขาไป เหมือนเมื่อดิฉันจบใหม่ ๆ ไปทำงาน ไม่ทันได้คิดว่าเวลาทำงานมีผู้บังคับบัญชา เราก็ต้องรู้กาลเทศะว่าเราเป็นใครผู้บังคับบัญชาเป็นใครดิฉันก็ลํ้าเส้นไปทะเลาะกับผู้บังคับบัญชา
ว่าถ้าท่านเป็นยาก็เป็นยาที่หมดอายุแล้ววิธีรักษาพยาบาลของท่านใช้ไม่ได้ อ้างอิงวารสารใหม่ๆ ไป หยิบจากห้องสมุดมาเป็นหอบ เพื่อยืนยันกับท่าน ปรากฏว่าท่านก็จนด้วยเหตุผลของดิฉัน แต่ท่าน ท่าให้ดิฉันได้สติว่า หมอ... ถ้าผมจะรายงานไปที่ กรมฯ ว่าหมอขัดขืนคำสั่งผู้บังคับบัญชา หมอก็ผิด ทางวินัยนะดิฉันก็ได้สติขึ้นมาว่า จริงนะ ในที่ทุกแห่งเมื่อ มืคนรวมกันเป็นหมู่มากก็ต้องมีกฎระเบียบ สมมติ
ว่านายว่าลูกน้อง ถ้าเราลํ้าเส้นไปจนถึงขนนั้น ทำให้สถานที่นั้นยุ่งเหยิงวุ่นวายเมื่อเป็นอย่างนี้ ผู้มี
อำนาจมากกว่าเราออกคำสั่ง ทั้งๆ ที่เราเห็นจาก ประสบการณ์ของเราว่ามันไม่ถูกต้อง แต่เราก็ต้อง เคารพคำสั่ง ปฏิบ้ติตามไปทำจิตของเราให้ว่างๆเกมนี้เขาจะต้องเตะลูกก่อน เราก็ทำไปแต่ขณะเดียวกัน รักษาใจให้สงบเอาไว้ เมื่อ เขาเห็นแล้วว่า เราไม่ได้ท้าทายอำนาจเขา เขาสงบ พอที่จะพูดคุยกันได้ เราก็เข้าไปหาเขา ดูกาลเทศะ ไม่มีผู้คนอื่นที่เขาจะเสียหน้า แล้วค่อยคุยถามไถ่ว่า ที่เขาให้เราทำอย่างนี้ๆ ออกมาเป็นอย่างนี้ๆมันไม่ดีนะ จะมีข้อบกพร่องเสียหายถ้าแก้ไขเป็น
ทำนองนี้จะดีไหมหรือขอร้องให้เขาอธิบายว่า ที่เขาสั่งให้ทำอย่างนี้ๆ นี้ มีเหตุผลอย่างไร
ถ้าทำอย่างนี้ เขาก็อาจเห็นเหตุผลของเรา อย่างเรื่องลูกหมีกับลูกปลา เพราะคนเรามาจากร้อย พ่อพันแม่ จะให้คิดเหมือนกันย่อมเป็นไปไม่ใต้ ขนาดพ่อแม่เดียวกัน พี่น้องคลานตามกันมา กัง ฆ่ากันตายก็มี เพราะแต่ละคนก็มีใจเป็นของตัวเองพื้นฐานประสบการณ์ที่มีมาก็ไม่เหมือนกันถ้าเราเปิดใจให้กว้าง ปัญหาก็จะคลี่คลายไปได้ อย่าไปเข้าใจผิดว่า เมื่อเขาเอาอำนาจมาบังคับ แปล ว่าเราต้องบีบบังคับใจที่เคยเห็นถูก ให้เปลี่ยนเป็น เห็นผิดตามไปด้วยสมัยที่ดิฉันสอนนักเรียนแพทย์อยู่ เด็กพวกนี้ กำลังฝักใฝ่ใส่ใจเอียงซ้าย หลัง 14 ตุลาคมแล้วก็ มาบอกดิฉันว่า เมื่อประดาอาจารย์เอาสีชมพูมาป้าย ผม คือเขากล่าวหาว่าครูบาอาจารย์ไปว่าเขาเอียง ซ้าย ผมเป็นเด็กดี เคารพเชื่อฟังครูบาอาจารย์ ก็ต้องรักษาคำพูดของครูบาอาจารย์เอาไว้ให้ถูกต้อง เลยจำเป็นจะต้องเข้าป่าไปจริง ๆถ้าทำอย่างนี้ เรารู้เท่าไม่ถึงการณ์ แล้วทำร้ายตัวเองด้วยการขาดสติ บิดเบือนเหตุผล ขาด ปัญญาเห็นชอบ ไม่ได้ทำให้อะไรหรือใครดีขึ้นเลย คนที่จะเดือดร้อนที่สุดก็คือตัวเองแต่ถ้าทำอย่างที่ดิฉันเรียนให้ทราบ คือตั้งสติ ให้ดี เราทำให้เขารู้ว่า เราไม่ได้ท้าทายอำนาจเขา สิ่งที่เราสงสัยอยากรู้นี่ เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ส่วน รวม เป็นไปเพื่อความถูกต้องดีงาม ดิฉันเชื่อว่า คนเราหันหน้าเข้าปรองดองกันได้ แต่ถ้าบังเอิญไป เจอชนิดพิเศษ ถ้ารู้ว่า อย่างนี้ แล้ว ก็ต้องเป็นไป อย่างนี้ ตกเหวก็ต้องให้ตกเสียก่อน จะได้ไม่ลืมว่า เออ.. มันตกลงไปแล้ว เราก็ปลงเสียว่า กรรมของ เรามีว่าเราจะต้องตกเหว จะได้รู้ว่าการตกเหวมัน เสียหายแค่ไหน ก็ดี เป็นประสบการณ์อีกแบบหนึ่ง ถ้าเห็นว่ามันไม่ควรจะเอากันถึงขั้นนั้น ลาออกก็ได้ เราคงไม่สิ้นไร้ไม้ตอกถึงขั้นที่จะหางานใหม่ไม่ได้ถ้ามันถึงที่สุด เราถามตัวเองแล้ว เห็นว่าอัน ที่จริงเรื่องก็ไม่เลวร้ายถึงขั้นต้องลาออก โดยทั่วไปก็ สบายอยู่ แต่เราไปยึดเป็นจริงเป็นจังเกินเหตุไป วิธี ที่จะมองใจเราให้เห็นความรู้สึกแท้จริงในใจนี่ จะต้อง ไล่ถามตัวเองไปจนถึงที่สุด แล้วเห็นว่าจริงๆ แล้ว เหตุการณ์เลวร้ายอย่างนั้นจริง ๆ หรือเราคิดปรุง ปล่อยใจไปอยู่ที่ไหนเสียจนกระทั่งมันเลยแย่ เมื่อ เริ่มดูใจเป็นแล้ว ก็ปักใจของเราให้ดีขึ้น ดีขึ้น จะพบ ว่าใจมีความสบายเบาเป็นอิสระขึ้นเยอะ ถาม ในเมื่อจิตใจของเรามั่นคง แต่มีผู้ทำให้จิตของ เราหกเห เราควรทำอย่างไรให้ผู้นั้นมีจิตใจเหมือน กับเรา
ตอบ เราควรจะถามว่า ทำอย่างไรให้จิตใจของเรา ไม่หักเหตามเขา เพราะเราไปเพ่งโทษเขาว่าใจเรา มั่นคงแล้ว แต่เขามาทำให้เราหักเห ขณะเดียวกันก็ ถามว่า ทำอย่างไรจึงจะทำให้เขาเหมือนเรา ตกลง ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง เขาพยายามเปลี่ยนเราให้ เป็นอย่างเขา ซึ่งเราไม่ชอบเราก็พยายามเปลี่ยนเขาให้เป็นอย่างเรา เขาก็ไม่ชอบเหมือนกันคนเรานี่ ถ้าอยู่ด้วยกันโดยที่คิดว่าฝ่ายหนึ่งจะ ต้องกลืนอีกฝ่ายหนึ่งมาเป็นอย่างตัวมันจะไม่มีความสงบผาสุก เพราะผิดธรรมชาติแต่ถ้าเราอยู่
ด้วยกัน ค้นพบความเป็นปัจเจกบุคคลของกันและ กัน เคารพในสถานะของกันและกัน ลูกหมีจะผิงไพ่ ก็ให้เขาผิงไฟไป เราเป็นลูกปลาเราก็อยู่ในนํ้า เรา ต่างคนต่างมีความสุขของเรา ถ้าเป็นอย่างนี้ ชีวิต จะมีความสุขขึ้นเยอะมากไม่ว่าจะเป็นในครอบครัว หรือในที่ทำงาน เราถูกโลกธรรมครอบงำ คืออยู่ที่ไหนเราก็จะให้ เหมือนกัน ถ้าเราทำอะไรผิดแผกแตกต่างกันไปใจ ไม่มีกำกังพอที่จะตั้งมั่น เพราะไปกังวลว่าเขาจะคิด ว่าเราไม่ใช่พรรคพวก เขาจะคิดว่าเรารังเกียจ เขา จะคิดว่าเราเป็นมนุษย์ต่างดาวโลกธรรมทำให้ใจหวั่นไหว แล้วก็ไม่สามารถที่จะเป็นธรรมชาติของ ตัวได้ เมื่อชีวิตจะต้องเครียดด้วยการฝึกฝืนตัวเอง ในทางที่ไม่ถูกต้อง ฝืนเพื่อที่จะให้เราเป็นสิ่งที่เราไม่ ได้เป็น ไม่ใช่การแนกิเลสเพื่อคุณงามความดีการ
ฝืนแบบนี้ทำให้เราเกิดความตับเครียดในใจ เหมือน เครื่องยนต์ที่ประสิทธิภาพไม่ดี มีแรงเสียดทานสูง ทำให้ใจของเราเกิดหงุดหงิดคับข้อง สติไม่อยู่กับใจ ประสิทธิภาพของรถเลยตกต่ำถ้าจิตใจเรามั่นคงจริง แล้วเขาพยายามที่จะ มาหักเหเรา เราเป็นต้นไม้ที่รากแก้วหยั่งลึกลงไป แล้ว เราก็ไม่หวั่นคลอนถอนรากโคนตามเขา เขา จะพูดอย่างไร เราก็ฟังเขาได้ เขาพูดเสร็จแล้ว เรา ก็เสนอว่า เออ..คุณจะฟังเหตุผลของฉันบ้างไหมถ้าเขาตกลง เรากอธิบายให้เขาฟังเราก็สบายใจเขาก็สบายใจ แสดงว่าอย่างนี้เรามั่นคงจริงถ้าเรามาถามว่า เรามั่นคง แต่เขามาทำให้ เราหักเห ทำอย่างไรเราถึงจะเปลี่ยนให้เขามาหักเห ตามเราได้ นี่ เราไม่มั่นคงหรอก จริงๆ แล้ว เรา สะเทือนไปทุกอณูเลย แล้วเราก็เดือดเนื้อร้อนใจ มากถ้ามองใจตัวเองให้เป็นอย่างนี้ แล้วคอยซ่อมแซมส่วนที่ยังไม่แน่นหนา เหมือนกับฐานของ ตัวเรายังมีบางจุดที่อ่อนแอ เราก็คอยถมให้มันเต็ม ทำให้มันแน่นอยู่เสมอ อีกหน่อยใจของเราจะแข็ง แกร่ง ไม่ทรุดไม่ร้าว คือสติสัมปชัญญะคมไว มี เหตุการณ์อะไรเข้ามากระทบ ก็หมุนเข้า มองตัวเอง ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร เราพอจะล้ศึกครั้งนี้ใด้ หรือยังถ้ายังไม่ได้ อย่าโต้ตอบ ตั้งสติให้มั่นคงชึ้นเพื่อเป็นฐาน ให้ได้เหตุผลที่เป็นปัญญาเห็นชอบ จะได้แก้ปัญหาในทางที่ถูก ไม่ใช่แก้แล้วกลายเป็น ก่อปัญหาทับถมชื้นมาอีก
หลักที่ถูกด้อง คือแก้ที่ตัวเราก่อน อย่าไปคิด แก้ที่คนอื่นสิ่งอื่น เพราะถ้ามัวไปคิดแก้ที่คนอื่นสิ่ง
อื่น เราแบกไม่ไหวการแก้ส่วนรวมทั้งหมดกี่สิบคนกัน แต่ถ้าแก้ที่เรานี่แก้คนเดียว แล้วเวลาก็มีทั้งวันทั้งคืน ขนาดนอนอยู่นึกขึ้นได้เราก็แก้ได้ที่ตัว เรา ถ้าแก้คนอื่นนี่ กลับบ้านเรานึกขึ้นได้ ถึงพรุ่งนี้ เจอหน้ากันลืมอีกแล้ว ไม่ได้แก้ลักทีหนึ่ง แล้วเรา ถึงหงุดหงิดคับข้องไปหมด
หลักในการปฏิบัติใจของเรา เพื่อให้มีพลัง ประกอบการงานให้ได้ผลสูงสุด หรือครองชีวิตให้ ผาสุกร่มเย็น ก็คือพยายามให้มีสติระลึกรู้เท่ากัน เวลามีเหตุการณ์อะไรมากระทบในแต่ละขณะของ ชีวิตบ้จจุกัน ให้เรามองให้กันเห็นใจของเราว่ามัน กระเพื่อมไปแค่ไหน หรือว่ามันถูกคลื่นซัดเสียจน กระทั้งอารมณ์บ้นป่วนเป็นสลาตันหวั่นไหว ถอน รากถอนโคนไปหมด มองอะไรก็ไม่เห็น เพราะนํ้า ทะเลเข้าตาจนแสบไปหมด ถ้าเป็นอย่างนั้น แสดง ว่าสดีของเรายังอ่อนอยู่มาก มีอะไรเกิดขึ้น เราตั้ง ฐานทัพช่วยตัวเองไม่ได้ เราต้องปิดที่ปาก ปิดที่ มือเอาไว้ อะไรเกิดขึ้นก็อย่าเพิ่งตอบสนองออกไปถ้าเขาถาม บอกว่าเดี๋ยวก่อน ขอเวลาก่อน ใคร จะหัวเราะเยาะว่าเราเป็นคนเชื่องช้าก็ช่างเขา เพื่อ ความปลอดภัย จะไต้ไม่ต้องทำงานหลายอย่าง คือ ทำแล้วก็ต้องวิ่งตามตะครุบแก้สิ่งที่ผิดไปเมื่อระลึกได้เท่าทันอย่างนี้แล้ว มีอะไรป็บ มองใจตัวเอง พอมันจะกระเพื่อม สติที่ตามดูอย่จะ ทำให้ใจค่อยเป็นเหตุผลมีกำลังขึ้น เมื่อใจของเรา เป็นปกติ คราวนี้ให้ตอบสนองออกไป ถ้าตอบสนอง ไปแล้วพบว่าเราติดเชื้อ ภูมิคุ้มกันยังมีไม่พอ เราซัก จะพูดจาไม่รู้เรื่อง เอาอารมณ์ขึ้นมาบริหาร เราก็ หยุดไว้ก่อน บอกเขาว่าเดี๋ยวก่อนค่ะ เดี๋ยวก่อนครับ ก็ไม่เสียหายตรงไหน ไม่ต้องอับอาย เพราะบางคน ทั้งๆ ที่รู้ว่าถ้าทำอย่างนี้จะขาดทุนสูญกำไร แต่อาย ว่าภาพลักษณ์ของตนจะไม่เป็นที่ประทับใจ เดี๋ยว คนจะไม่นับถือ นั่นก็ถูกโลกธรรมหวั่นคลอนอีกแล้ว นึกถึงว่าเราเร็วก็จริง แต่ถ้าพลาดผิดทางไป กว่าจะรู้นี่เวลาที่ต้องแก้ไขมากมายเสียยิ่งกว่าเราช้า ไป 2-3 อึดใจ แต่เราไปในทางที่ถูก ความเสียหาย ก็น้อยหรือไม่มีเลย เมื่อประพฤติอย่างนี้ ตัวของเรา ก็มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่อย่างนั้น ไม่ใด้เดี๋ยว  เสียรังวัด เดี๋ยวเสียหน้า แล้วจริงๆ ที่นึกว่าทำลงไป แล้วไม่เสียรังวัดน่ะ เราเสียรังวัดมากยิ่งกว่าเราไม่ ทำเสียอีกจากคำถามที่มีมา และที่ได้พูดคุยกัน ดิฉัน หวังว่าพอเป็นแนวทางให้เห็น ใจ ของตัวเอง เห็น วิธีการว่าจะไปปรับปรุงใจของตัวเองอย่างไร แล้วก็ พยายามทำให้เรามีความเจริญงอกงามขึ้นไปเรื่อยๆ เพื่อจิตใจของเราจะได้มีความมั่นคงเป็นพื้นฐาน ทำให้ทั้งๆ ที่ยังอย่ในความสุขความทุกข์ลุ่มๆ ดอนๆ ของชีวิตประจำวันนี้ ก็มีกำลัง มีความสุข ความ พอใจเดิมใจ ใน ความเป็นเรา ค่อยๆ เพียรพยายาม เรียนรู้ แก้ไป แก้ไป ในที่สุด สิ่งใดที่เราปรารถนา ก็จะเกิดขึ้นกับเรา เพราะเราเริ่มประกอบเหตุที่ดีให้ ตัวเอง ผลดิก็ย่อมบังเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ไม่ต้อง ไปถามหา ไม่ต้องห่วงกังวล เพราะเรารู้แล้วว่าแต่ ละเม็ด แต่ละเม็ด ที่เราปลูกลงไป เราแนใจ มั่นใจ มันจะงอกเมื่อไร อย่างที่ท่านอาจารย์ชาบอก ถึงเวลา ต้นนั้นๆ ก็จะให้ดอกให้ผลออกมา เรามีหน้าที่ แต่เพียงเลือกเม็ดพันธุที่ดีหว่าน คือประกอบกุศลกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เราดูแลรักษามันให้ ดีเท่าที่เราจะทำได้ถ้าเราทำใจให้เป็นอย่างนี้ ทุกอย่างในชีวิตจะ เบาสบายขึ้นถึงเราไม่อยากได้ความสุข มันก็สุขเหมือนท่านเปรียบเทียบ เราไม่อยากไปสอยมะม่วง แต่ถ้ามันสุกงอมแล้ว มันก็หล่นลงมาให้เราได้กินเอง แหละ ไม่ต้องเดือดร้อนที่จะไปสอย นี่ก็เหมือนกัน ชีวิตของคนเรานี่ ถ้าเลือกประกอบเหตุที่ถูกต้อง ที่ ดีงาม ในที่สุดอะไรๆ ที่เกิดในชีวิตเราก็เป็นผลที่ดี ที่พึงปรารถนา ถึงเราไม่อยากสุขไม่อยากสบาย มัน ก็สุขมันก็สบาย เพราะว่าเหตุที่จะทุกข์ไม่มืเสียแล้วดิฉันหวังว่า ตั้งแต่นี้ต่อไป ชีวิตของทุกท่านจะ เบาสบายขึ้น ชมรมจิตภาวนาก็จะมืสมาชิกอุ่นหนา ฝาคั่ง หลายๆ แห่งที่ดิฉันไปบรรยาย จะบ่นถึงความ ขาดแคลนสถานที่ ไม่มืห้องเพียงพอจะแบ่งมาใช้ แกปฏิบติ เจ้าหน้าที่ต้องมาฟังแต่ในห้องบรรยาย อาทิตย์ละครั้ง เพื่อพักกายพกใจ แต่ที่กรุงเทพประกันภัยน่าอิจฉาจังเลย มีสถานที่พร้อม มีเพื่อน ร่วมงานที่จะช่วยกันเป็นแนวร่วม เพราะปฏิบัติคน เดียว เราก็ไม่แน่ใจเดินไปคนเดียวหัวทาย สองคน เพื่อนตายเราจะได้มีเพื่อนปรึกษาหารือ แลกเปลี่ยนประสบการณ์เป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน แล้ว ก็มีเจ้านายที่เตมใจสนับสนุน นับเป็นบุญกุศล เป็น โอกาสดีอย่างมทาศาล เพราะฉะนั้น เราควรใช้มัน ให้คุ้มคุณค่าบัดนี้เวลาก็ลวงเลยไปตามสมควรแล้ว หวัง ว่าทุกท่านจะได้รับประโยชน์กลับไปเป็นแนวทางแกฝน หยุดใจ ทำชีวิตให้เบาขึ้น สบายขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุก คนปรารถนา
พิมพ์โดย        ปภัสสร   มีพงษ์
แหล่งที่มา      http://web.krisdika.go.th/buddha/32_stopheart.pdf

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Back To Top