Header Ads

วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2561

บทความหมออมรา ปฏิบัติเพื่ออะไร

บทความหมออมรา
ปฏิบัติเพื่ออะไร

ชื่อผู้เขียน       พญ อมรา มลิลา
วันที่              วันที่ 3  พฤษภาคม 2531
ณ                 ชมรมพุทธธรรม รามาธิบดี
หมวด
อันดับที่       


ท่านอาจารย์และท่านผู้สนใจเราจะสนทนากันถึงเรื่องของการปฏิบัติ เมื่อ ปฏิบัติ ปฏิบัติกันไปแล้ว มีใครเคยถามตัวเองบ้าง ไหมว่า เราปฏิบัติเพื่ออะไรดิฉันมีความรู้สึกว่า ผู้ปฏิบัติส่วนใหญ่ แทนที่ จะปฏิบัติเพื่อดูให้รู้เท่าทันใจ เท่าทันวาระจิตที่คิด ปรุงของตน กลับมุ่งปฏิบัติเพื่อเครื่องมือ เพราะเรา มักถามกันว่า “ไง ได้สมาธิหรือยัง” “นั่งได้นานเท่า ไร” “เดินจงกรมได้แค่ไหน" กล่าวคือ ไปห่วงอยู่ แต่เครื่องมือสำหรับตะล่อมใจให้รวมตัวเข้ามา ให้ เราได้เห็น ได้รู้จัก ใจ ของตน เพราะสิ่งที่เราถาม ถึงกันนั้น ว่าไปแล้วหาใช่สิ่งที่เราต้องการไม่เมื่อเป็นอย่างนั้น ก็เลยพาให้เราลืมตัวสำคัญคือ ใจ ว่าที่เราปฏิบัติกันนี้ เราปฏิบัติเพื่อให้ใจมีที่อยู่ที่พึ่ง อุปมาอย่างร่างกาย แต่เล็กแต่น้อย เราก็บากบันอย่างทีแม่สอนว่า ขยันเรียนนะ เรียนหนังสือเสีย โตขึ้นจะได้มีงานทํา มีบ้านช่องเป็นหลักเป็นฐาน สิ่งที่เราทำตลอดชีวิตมาตั้งแต่รู้ความ ก็เพื่อกาย คือเพื่อที่เราจะมีหลักฐาน มีที่พึ่ง มีความ แน่ใจ มั่นใจใจของเราก็เหมือนกัน การที่เราจะปฏิบัติก็เพื่อที่ใจจะได้มีที่พึ่ง มีอาหารกิน มีที่อยู่อาศัยความมันคง ปลอดภัย มีเสบียงให้ตัวเอง ถ้าต้องย้ายบ้านหรือว่าย้ายภพย้ายภูมิไป ก็จะได้อยู่ในที่ๆ ปลอดภัย ที่ๆ มันคง ที่ ๆ เราไม่หวาดหวั่นพรั่นพรึงเพราะฉะนั้น เรา มา ปฏิบัติ ก็เพื่ออันนี่ เพื่อให้ใจ อิ่มเต็ม มีความมันใจว่าเรา พึ่งตัวเองได้ หรือถ้าจะคิดอีกแง่หนึ่ง ก็เพื่อให้ใจของเรา เป็นไทแก่ตัวเอง มิได้ถูกความระแวง ความหวาดกลัว ความสงสัย ความไม่แน่ใจ กักขังเราเอาไว้ แล้วทําให้จะนอนจะนั่งก็ไม่มีความสุขเมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว จะได้หันมามองว่า วันนี้ทีปฏิบัติกัน เรามุ่งไปสู่จุดนี้ หรือเผลอไปหอบหิ้วเครืองไม้เครืองมือ ด้วยคิดว่าคือสิ่งที่ต้องการใจก็เหมือนร่างกาย กล่าวคือ ถ้าท้องไม่อิ่มแล้ว ก็ทำงานทำการ หรือจะให้ตั้งอกตั้งใจทำอะไร ก็ยังกังวลหิวอยู่ทีนี่ อะไรล่ะคืออาหารที่เป็นประโยชน์กับใจที่จะทำให้ใจมีกำลัง มีสุขภาพแขงแรงพอที่จะบุกบั่น ไปสู่จุดหมายปลายทางได้ อาหารใจ ก็คือความ ปรุงคิดนีแหละ แต่แทนที่จะปรุงคิดไปด้วยอารมณ์ อย่างแต่ก่อน เพราะก่อนมาปฏิบัติเรายังไม่ได้เจริญสติสัมปชัญญะให้อยู่กับใจ พออะไรเกิดขึ้นปุ๊บ ใจจะแฉลบออกไปโดยอัตโนมัติของกิเลส กิเลสทีทำให้ใจปรุงอาหารเป็นพิษเป็นภัยแก่ตัวเอง ก็คือ นิวรณ์ ถ้าไม่มีสติกำกับอยู่ ใจจะคิดไปด้วยอารมณ์ คิด ไปด้วยความฟุ้งซ่าน คิดไปโดยไม่มีเหตุมีผล อะไรกระทบปุ๊บ ถ้าจริตเราเป็นคนขี้กังวล เราก็จะคิดไป ตามทีความกังวลชักจูงไป ถ้าจริตเราเป็นคนขี้ระแวง คลางแคลง ก็จะมองคนในแง่ร้าย เพ่งโทษคนอื่นความปรุงคิดจึงเป็นตัวก่อกวนจิตใจให้ระส่ำระสาย มักยกตนข่มท่าน คิดอกุศลกับคนอื่น ทำให้
อยู่กับใคร ถ้าเราเป็นใหญ่ ก็สบายใจ แต่ถ้าอยู่กับ คนที่เขาไม่ลงให้ ก็ชักอึดอัด รําคาญ ถ้าไม่คิดปรุงฟุ้งซ่านไปทำนองนี้ ก็จะเกิดความลังเลสงสัย เอ๊ะจะไปอย่างนั้นดี หรือจะอย่างนี่ดี คือเป็นคนเล็งผล เลิศ ทำอะไรก็ขอลงทุนแต่น้อยแต่ได้ผลมากที่สุดทั้งๆ ทีตกลงใจเด็ดขาดแล้วว่าอย่างนี้ดี ก็ยังมอง...เอ๊ะ คนโนันทำท่าว่าจะไปหน้าเรา สงสัยอย่างนี่จะ ไม่ใช่เสียแล้ว เอาอย่างโน้นดีกว่า ตกลงก็เลยลังเลสงสยอยู่อย่างนี้
ลังเลสงสัย ยกตนข่มท่าน ฟุ้งซ่านรำคาญใจ แล้วก็เหนื่อย หดหู ง่วงเหงาหาวนอน นิวรณ์ 3 ตัวนี้เกิดจากมโนทวาร คอยปรุงดึงใจของเราให้แตกระส่ำระสายอยู่อย่างนี้ ครันเลิกวุ่นวายอยู่กับมโนทวาร มองออกนอก ก็มีสิงทีทําให้หงุดหงิดปฏิฆะ รําคาญใจ หรืออยากยึด รัก โลภ ราคะ ครบเป็นนิวรณ์ 5 ตัว อาการทีjใจปรุงคิดโดยไม่มีสติสัมปชัญญะจะเป็นอย่างนีhเราก็เลยเข้าใจผิด พอมาปฏิบัติปุ๊บ สรุปเอา ว่าความคิดเป็นของไม่ดี กดเอาไว้ เมื่อไรใจออกไปคิดเราก็ไม่ให้คิด พอจะคิดก็บังคับไม่ให้คิด ซึ่งเป็น ไปไม่ได้ ท่านอาจารย์บอกว่า ธรรมชาติของจิตเป็น ธาตุรู้ เมื่อยังไม่รู้จริง เมื่อยังไม่สะอาดบริสุทธิ์ ก็ต้องถูกกิเลสซักพาไป เหมือนกับมีพี่เลี้ยงที่ยุให้รำตําให้รั่ว ชวนเราไปฟุ้งซ่านที่โน่นหน่อย ไปสงสัยนี่นิด ไปแอบดูคนโน้นเดี่ยว คือธุระไม่ใช่ เรื่องของ ตัวเอง จิตใจของตัวเอง ไม่หมุนมามอง แต่จะไป มองเรื่องของคนอื่น จะไปฉลาดรอบรู้ในจิตของ คนอื่น ในสมมติของคนอื่น มันเป็นอย่างนี้เมื่อรู้เท่าทันแล้วว่า ธรรมชาติของใจเป็นธาตุ
รู้ เมือยังรู้จริงไม่ได้ เพราะมีพี่เลี้ยงที่คอยพาเสียอยู่ก็ออกไปรู้เลอะๆ เทอะๆ ครั้นมาปฏิบัติ ได้พี่เลี้ยง คนใหม่เป็นธัมมะ บอกให้รู้ว่า ความคิดนี่ถ้าหมุน ทิศทางให้ถูก คิดแล้วก็เป็นมรรคได้ หนามยอกเอา หนามบ่ง แต่ก่อนเราไปหาว่าความคิดทําให้เราเสีย สุขภาพจิต ทําให้เราก่ออกุศลให้ตัวเอง คราวนี้เรา ร้แล้วว่าสาเหตไม่ใช่ตัวความคิด แต่ว่า ทิศทาง ที่คิดเราคิดไม่เป็น เมื่อรู้อย่างนี้ เราก็มาคิดด้วยสติด้วยปัญญา
คิดด้วยสติ ด้วยปัญญา คิดอย่างไรเวลาทีความคิดเกิดขึ้นมา ขณะที่เรากำลังตั้งสติจะทําสมาธิ เดียวใจก็วิบไปตรงนั้น แวบมาตรงนี้ เราตั้งสติมองดูว่าใจไปกังวลกับอะไรหนักหนา อ้อ... มันห่วงเรืองงานทียังทําไม่เสร็จ เราก็บอกตัวเอง เลยว่า เอาละ.. แทนที่จะไปพุทโธ หายใจแข่งกับมันไม่เอา เรามาเอาความคิดอันนี่แหละเป็นคําบริกรรม เอาสติไปจดจ้องอยู่กับมันเลย แล้วก็บอกตัวเองว่าตอนนี้ฉันจะคิดเรื่องนี้ ไม่ต้องไปกลัวมัน ไม่ต้องไป กดข่มว่าไม่คิด พุท อ้าว...ใจแวบไปอีกแล้ว ไม่คิด..โธ เดียวก็ทะเลาะกันอยู่อย่างนี้ เลยเหนื่อยเปล่า ไม่ เกิดความรู้ความสงบอะไรเหมือนกับตัวเองที่ตอนแรกก็ไม่เข้าใจอย่างนี้ ไปถึงวัด ปรากฏว่ามีเสียงหมอลำดังมาจากหมู่บ้าน แทนทีเราจะดูใจเรา ตั้งสติ ใจแวบออกไปแล้ว ไป ร้าคาญเสียงหมอลำ พอรำคาญเสียงหมอลำ กำหนด พุท เสียงหมอลำก็เข้ามาเต็มหู แทนที่จะรู้ตัวว่า เราเองส่งจิตของเราไปรับ เพราะถ้าเราไม่เอาโสตวิญญาณทอดสะพานออกไปรับ ถึงเสียงมี เราก็ไม่ได้ยิน สังเกตเวลาที่เรากําลังทำอะไรเพลิน เสียงดังแทบตาย เขาเรียกเรา โทรศัพท์ดัง เราก็ไม่ได้ยินแต่ตอนนั้น ใจเราออกไปหาเรื่อง ก็เลยรู้สึกว่า โอ้โฮ เสียงหมอลำมาแข่ง กำหนด พุท เสียงหมอลำก้องเต็มหูโธ เสยงหมอลากองเตมหู ในทีสุดเราก็พ่าย แพ้ เพราะยิ่งแข่งกำหนด เสียงหมอลำก็ยิงดัง จนกระทัง พุทโธ พังไปเลย แล้วก็ไม่รู้สึกตัวว่าความจริงแล้ว เราเองที่ส่งใจออกไปฟังหมอลำ เพราะเราเกิดอารมณ์หมันไสัมัน ก็เลยเอาใจไปจดจ่อด้วย ความหมันไส้ เป็น วิภวตัณหา เสียงเลยแล่นเข้ามา ดังกลบสองหูพอรุ่งเช้า ก็ไปฟ้องท่านอาจารย์ว่า “ท่าน อาจารย์เจ้าคะ ทําไมไม่ปรามชาวบ้านบ้างว่า จะร้องจะรำกันที่หมู่บาน ทำไมต้องเปิดลำโพงให้ดังเข้ามาถึงในวัด” ท่านอาจารย์ตอบว่า “เราจะไปแก้โลก ทั้งโลกไหวหรือ ทำไมไม่คิดบ้างว่าวาสนาของตัว เองต้องภาวนากลางตลาด ก็ทำหน้าที่ของตัวไป มัว แต่สอดหูออกไปฟังหมอลำ ส่ายแส่ใจไปทะเลาะกับหมอลํา ตายไปตอนนี้ ไม่พันทุคติอบายภูมิ เพราะจิตใจไม่เป็นกุศล

นึกว่าท่านอาจารย์จะเห็นใจ ท่านกลับดุให้เสีย อีก หงุดหงิด แต่ซักเห็นทันกิเลส เอ๊ะ... เราพาล หงุดหงิดใส่ท่านอาจารย์ ท่านไม่ได้ทำอะไรสักหน่อยหนึ่ง มันชักจะมากไปแล้ว ก็เริ่มมีสิตรู้ตัววันรุ่งขึ้น เอาใหม่ พอหมอลำเริ่มต้นร้อง เรารู้นี่พุทโธ ของเราเสียงเบากว่าหมอลํา เอาสติไปจับเสียงหมอลําเลย แทนที่จะ พุทโธ นั่นแหละ เสียงหมอล้าเป็น พุท เป็น โธ รูแลวกวาง รูแลวกวาง ไม่ไปคิดตามมัน ประเดียวเดียวใจก็สบาย ทีเมือ คืนนันสู้กันเหงือตกยางออกแล้วก็หงุดหงิดไปหมดเออ..วันนี้เรายอมเราไม่สู่กับใครมีนมีเสียงก็มีเสียง เราก็กำหนดรู้เสียงอันนี้ ใจก็เป็นสมาธิได้นี่แหละ เวลาจะคิด เราก็เอาอย่างนี้ คือ ตามที่เราคิด ไม่ไปพุทโธแข่งกับความคิด แล้วก็คิ ด้วยเหตุผล กำหนดสติคอยดูว่า เวลาที่คิดไป ถ้าคิดไปแล้วใจสงบ ได้ความฉลาด ได้สติปัญญา เออ พรุ่งนี้จะไปทำอย่างนี้ อย่างนี้ อย่างนี้ แล้วใจก็สงบรวมได้ อันนี้ก็ เป็นวิธีปฏิบัติอันหนึ่งเหมือนกันเพราะฉะนั้น อย่าไปกลัวความคิด อย่าไปคิด ว่าถ้ามาปฏิบัติแล้ว เราจะเอาแต่สมาธิอย่างเดียว คิดนึกอะไรไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเราแย่ เพราะอะไร เราจะได้แต่ โมหสมาธิ แล้วอะไรทีเป็นตะกอน เป็นความบกพร่องของใจ เราก็ซุกมันเข้าไป เหมือนอย่างกับกวาดบ้าน แทนที่เราจะกวาดทุกซอกทุก
มุมออกมาให้หมด เรากวาดตรงแถวๆ นี้ แล้วก็ เขี่ยกลับเข้าซอกไป เข้ามุมไป พอใครจะเลื่อน เก้าอี่ออก อย่าเลื่อนๆ... ใครจะเปิดไฟให้สว่าง ไม่ต้อง ไม่ต้อง เปิดแต่ตรงกลางพอแล้ว เดียวจะไปเห็นตรงซอกตรงมุมที่เราซุกเอาไว้ ใจของเราที่เรา ไม่ยอมให้นึกคิด ไม่ดำเนินมรรคที่จะหาเหตุผลมา แก้ไขข้อบกพร่อง รู้ความบกพร่องของตนตามความเป็นจริงเราจะได้เบาใจไปอย่างหนึง เพราะไม่อย่างสิ่งแรกที่ผู้มาปฏิบัติมักเดือดร้อนใจกันคือ เรา ภาวนาคิดไม่ได้ จะต้องนังให้นิง ให้จิตลงรวมเป็นสมาธิอย่างเดียว แล้วพวกเราก็แสนจะดื้อ พอ พุทใจก็วิบตรงนัน แวบตรงนี ในที่สุดก็ไม่ได้เรื่องแล้วก็ท้อใจตกลงเราก็สามารถคิดให้เป็นมรรค คือ คิด ด้วยเหตุผล ด้วยสติปัญญา เพื่อรู้จักตัวของเรา หรือ เพื่อแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันของเรา เมือเราคิด แล้ว ระหว่างทีคิดไป เราก็ว่าความคิดของเราเป็น เหตุผลดีที่สุด แล้วสามารถแก้ไขเหตุการณ์ขณะ ปัจจุบันนั้นคลีคลายออกไป เมื่อเจริญมรรคต่อไปสติของเราเข้มแข็งขืน ปัญญาของเราก็ละเอียดลุ่ม ลึกเข้าไป เราก็ได้คิดว่า ที่แก้ไขไปเมื่อวันก่อนนั้นว่าดีทีสุดแล้ว วันนี้เกิดเห็นเหตุผลทีดีกว่านั้นขึ้นไปอีก ก็ไม่ต้องตกใจ เพราะตัวเองก็เคยมาแล้ว วันก่อนเราว่าที่เราแก้ไปนั้นดีที่สุดแล้วนี้นา ทำไมวันนี้จึง คิดเป็นทำนองนี้ แสดงว่าวันก่อนผิดหรือ ไม่อยู่กับ ปัจจุบัน กลับไปยึดอดีตเอาไว้ แล้วปฏิเสธว่าความ คิดที่ได้มาใหม่เดี่ยวนี้ไม่ถูกต้อง เพราะว่าเป็นไปได้อย่างไร ก็ทำไปแล้วก็ว่าถูกแล้ว ถ้าเผื่อต้องแก้ใหม่เราเลยกลายเป็นคนบกพร่องไปสิเพราะรู้ไม่เท่าทันความเป็นจริง ไปยึดกับ อดีตเอาไว้ ท่านอาจารย์ท่านบอก ถ้าคนเราคิดอะไรตกแล้วก็ดีเลิศประเสริฐเลย เรากิเป็นพระอรหันต์ ไปแล้วซิ นี่เพราะมรรคของเราก็เหมือนทำถนน รถ บดถนนต้องบดซ้ำแล้วซ้ำอีกให้แน่น บางทีแน่น แล้วก็ยังต้องเอาอิฐเอาทรายมาใส่อีก บดอีก เอาน้ำราดอีกให้แน่ใจ จึงจะเอายางมะตอยหรือคอนกรีตเท ไม่ใช่ว่าทำที่เดียวก็เสร็จเรียบร้อย ถ้าอย่างนั้นประเดี๋ยวมันก็แตกก็รั่วนี่ก็เหมือนกันที่เรานึกว่าเป็นสัมมาทิฐิ มันกิเป็นสัมมาทิฐิจริงเหมือนกันต่ว่ายังไม่ถึงที่สุด ยิ่งมีการเจริญขึ้นอีก เพรากิเลสยังไม่ได้ถูกตัดขาดหมดไป โดยเฉพาะตัวอวิชชาและอุปทาน
เมื่อวันก่อนเราคิดได้อย่างนั้น แล้ววันนี่คิดได้แหลมคมยิ่งขึ้น ลึกซึ่งขึ้น แสดงว่าการปฏิบัติของเราเจริญงอกงามขึ้น เราต้องอยู่กับปัจจุบัน ขณะเดียวกัน การยอมรับว่า เมื่อวานนี้เราก็ฉลาด แต่ว่ายังฉลาดไม่ถึงที่สุด วันนี้เราโตขึ้นอีกหน่อยหนึ่งความฉลาดของเราผลิช่อออกดอกผลมากขึ้นเราไปบอกเขาว่า เออ... เราเพิ่งไปคิดไตร่ตรองใหม่พบว่าที่เมื่อวานนี่พูดไปยังไม่รอบคอบ เพราะฉะนั้นขอเปลี่ยนเป็นอย่างนี้ อย่างนี้ ดีไหมตัวตนของเราค่อยๆ เล็กลงด้วย เพราะอะไร
เพราะแตกอนเรามความรู้สึกว่า ไม่ได้ อะไรทีฉัน ตัดสินใจไปแล้ว ฉันพูดไปแล้ว คืนคำไม่ได้ เดี๋ยวคนเขาจะเห็นว่าฉันบกพร่อง ถ้าเรายึดอยู่อย่างนี้ของเราจะใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งเราโตขึ้น มีตําแหน่งหน้าที่การงาน ไม่มีใครกล้าเถียงเรา เราก็กลายเป็น
คนดึงดื้อถือรั้นโดยไม่รู้ตัว แต่ถ้าฝึกปฏิบัติไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัวว่า นี่เรากำลังทำการลิดรอนถอนอัตตา ของตัวเอง มันค่อยๆ เป็นไป พอรู้ตัว ถึงตอนที่ ตัวกู ของกู จะอ้วนอย่างเขาอื่น มันไม่ค่อยอ้วนแล้ว เพราะถูกฝึกอยู่ทุกวันๆ ให้ยอมรับความเป็นจริงแล้วก็ยอมรับว่าเรานี้ มีที่บกพร่อง มันก็ดีขึ้นง่ายขึ้น
ถ้าเราปฏิบัติเข้ามรรคที่แท้จริงตังแต่แรกทุก อย่างจะเป็นเหมือนกับการกรุยทางไปสู่ที่ๆพอต่อๆไปแล้ว อะไรที่ได้รู้เพิมขึ้น เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ที่เรามีมาโดยไม่รู้ตัว ซวยทุน แรงอำนวยความสะดวกความคล่องตัวในการปฏิบัติให้เราในกาลข้างหน้าแต่ถ้าไม่รู้เท่าทัน การปฏิบัติของเราแต่ละจุด จะเหมือนกับเล่นลิงชิงหลัก กระโดดจากหลักนี้ไปเกาะหลักนั้นทําให้กิเลสตัวอื่นพลอยอ้วนตุ๊ขึ้นมากว่าจะรู้ตัวว่าตัวนี้เป็นอันตราย จะต้องแก้ไข ก็กลายเป็นว่า ทำไมเวลาที่ล่วงไป 4-5 เดือน หรือปีทีแล้ว เราจึงโง่ เซ่อ ไปให้ปุ๋ยให้น้ำเจ้าตัวนี้อยู่จนกระทั่งมันอ้วนบั้บขึ้นมาอย่างนี้แล้วกผผ้มาเป็นภาระหนักกับเรา ทําให้เราต้องฉุกคิดเสียใจภายหลังทุก ครั้งไปถ้าเราเชือตามนิวรณ์ คิดตามนิวรณ์ ไม่ได้คิดเป็นมรรค ประเดียวเถอะ เราจะต้องคร่ำครวญ….ตายแล้วนี่ถ้าหมุนเวลากลับมาได้ ฉันไม่ทำอย่างนั้นหรอก ฉันจะทำอย่างนี้ คือเราจะคิดได้เมื่อสายเสีย
แล้วก็ไปเสียเวลาติดอยู่กับอดีต แทนที่จะ หยุดว่ามันแล้วไปแล้ว เจ้ากันไป อะไรที่เราผิดไป แล้วก็ให้จบกันไป ไม่ไปนั่งแก้ตัว ไม่ไปนังคร่ำครวญถึง บัดนี้รู้แล้ว อยู่กับปัจจุบัน ตั้งต้นกันตรงนี้ ตั้งแต่ตรงนี้ที่รู้ เราจะไม่ยอมเผลอสติแล้วมาเสียใจกับ
สิ่งที่จะกระทำไปในแต่ละขณะๆ ตั้งแต่เดียวนี่เป็น ต้นไปถ้าเราทำอย่างนี้ก็พอจะตีตื้นขึ้นมาได้ เพราะของที่แล้วไปแล้ว มันช่วยไม่ได้ ก็เรามาแต่อวิชชากับอุปาทาน มันก็ตัองมีผิดมีพลาด บัดนีรู้แล้ว ตั้งแต่บัดนี้ไป เราจะไม่ยอมผิดอีก ผิดเก่ามีเท่าไร ก็จะชดใช้ เราลูกนักเลง เราไม่โกงหนีหรอก แต่ว่าต่อนี่ไป เราช่วยผ่อนแรงตัวเองอีกทางหนึ่ง โดยปิดประตูกาย ประตูวาจาเอาไว้ ไม่ให้ก่อหนี้ใหม่เพิ่มขึ้นมา จะได้ปลดแต่หนี่เก่าให้หมดไปกุศลยังทำไม่ได้ เพราะบางทีจะให้ จาคะเสียสละหรืออภัย แหม ใจยังหวงอยู่ เหมือนตัว
ดิฉันเองตอนที่เข้าวัดไปก็รู้ว่าสิ่งที่ต้องขัดเกลาอย่างมหาศาล ก็คือความเจ้าโทสะของตัว เอง มันไปก่อนทีสติจะตามทันทุกที่ ทั้งๆ ทีก็ด่าตัว เองว่าเราจะต้องเอาให้ได้ ให้สำเร็จ แต่ก็รู้ว่ามัน ไม่สำเร็จวันหนึ่ง ท่านอาจารย์ท่านก็มาแยงกิเลสให้ท่านเทศน์ถึงว่าโทสะไม่ดีอย่างไร ทําให้เราแย่อย่างน อย่างนี้ อย่างโน้น ซึ่งเราก็รู้ ฟังแล้วก็ซาบซึ้ง ก็นึกในใจว่า เออ... แล้วเมื่อไรเราถึงจะทำได้ พิชิต มันได้เด็ดขาด ท่านอาจารย์ก็หันมาทางเรา “เออ..หมอ อาจารย์ขอบิณฑบาตเสียได้ไหม โทสะของหมอน่ะ”ทั้ง ๆ ที่เรากำลังบอกตัวเองว่า เราอยากเอามันทิ้งไป แต่พอท่านอาจารย์ขอบิณฑบาต อัตโนมัติ เลย... “ไม่ได้เจ้าค่ะ”ทุกคนงงหมดเลยว่า โอ้โฮนี่มันขี้เหนียวแม้กระทังกิเลสของมันไม่ใช่อะไรหรอก เพราะกลัวว่าปากพล่อยไปบอก “เจ้าค่ะ ถวายท่านอาจารย์” คราวนี้ละตายแน่เพราะเวลาที่สติไม่ทันการณ์ ช้างก็เท่าหนู บางทีก็ เท่ามดด้วยซ้ำไป เท่าหนูยังใหญ่เกินไป แล้วคราว นี่ทำอย่างไรล่ะ ตัวเองผิดสัจจะกับตัวเองก็เลวมาก อยู่แล้ว ไปผิดสัจจะกับครูบาอาจารย์ ไปประมาทล่วงเกินท่าน โอ๊ย...อยู่ดีไม่ว่าดี หาเรื่องไปเล่นกับอเวจีเปล่าๆ ความทีรักตัวเองก็เลยบอกไปว่า “ไม่ ถวายเจ้าค่ะ” ไม่ใช่ว่าเย่อหยิงอะไรหรอก แต่เพราะรู้ว่าตัวเราสติยังไม่ได้เรื่อง
ท่านอาจารย์ท่านก็เลยหัวเราะ ว่า “เออ... ใช้ได้” นึกว่าเราจะตกหลุมท่าน ที่จริงท่านก็ไม่เอาหรอกเพราะรู้ว่าถ้าเราหลวมตัวไปอย่างนั้น เราแย่ แต่ท่านจะดูว่าเรานี่มีสติอยู่แค่ไหน ก็เลย รอดตัวไป แต่ก็คิดอยู่ว่า อะไรที่เป็นของไม่ดี เรา จะต้องพยายามกำจัดให้หมดสิ้นไป
ทีนี้ เมื่อเรายังไม่มีกำลังพอ ท่านอาจารย์ สอนให้เราปิดกั้นกายทวาร วจีทวาร ไม่ทำหนี้สิน ใหม่ อย่างที่เรียนให้ทราบ คือ เราอยู่กับปัจจุบัน ของที่แล้วไปแล้วไม่ไปคร่ำครวญ ไม่ไปเสียเวลาคิด อาลัยเสียดาย หรือแก้ต่างให้มัน แต่คอยจดจ่อว่า ที่จะทำใหม่ แต่ละขณะ แต่ละขณะนี้ อย่าพลาดอีก แล้วถ้าเผื่อใจเรายังไม่ใหญ่พอที่จะทํากุศล มันยัง ไปไม่ถึงบวก ก็ยืนให้มั่นอยู่แค่นี้ อยู่ที่ศูนย์ แต่อย่า ไปเผลอยืนอยู่บนบันไดเลื่อนลงสมัยใหม่ แล้วบอก ว่า เรายืนอยู่เฉยๆ แต่ความเป็นจริงบันไดเลื่อนลง เรื่อยๆ ถ้าเป็นอย่างนั้น เราเข้าใจว่าไม่ได้ทำอะไร หรอก เพราะฤทธิ์ของอวิชชากับอุปาทานปิดบังตา
เราไว้ ทั้งๆ ที่เรากำลังขาดทุน เราก็เห็นว่าเรายืน อยู่เฉยๆ แต่เหตุการณ์จริงๆ ดึงเราลงอยู่เรื่อยๆอันนี้ต้องระวังบางที่เราก็ต้อง ฟัง คนอินเขาวิพากษ์วิจารณ์ เหมือนกัน เพราะเรานึกว่ากำลังยืนอยู่เฉยๆ แต่คน อีนเขาเห็นรายละเอียดว่า เรากําลังยืนเฉยจริง แต่อยู่บนบันไดที่เลื่อนลง เลื่อนลง เลื่อนลง ประเดี๋ยว ก็ตกตูมลงมา อันนี้เป็นสิ่งที่เรา... หนึ่ง ตัองสุภาพ อ่อนน้อม สอง ลดอัตตาซองตัวเอง ใครพูดอะไรที่ เรานึกว่าเรารู้แล้ว 500% หยุด ฟังเขาก่อน ไม่เสียหายอะไรในการทีจะฟังแล้วมามองตัวเองอีกครัง หนึ่ง บางทีก็ทําให้เราได้เห็นว่า ทีเรารู้ 500% นั้น อยู่บนจุดบอดของนัยน์ตาใจในใจของเราก็มีจุดบอด กล่าวคือ เมื่อไรก็ตามที่เราไปยึดมันถือรั้นอยู่กับอะไร ดิฉันเรียกผัสสะที่ผ่านเข้ามาขณะที่ใจเป็นเช่นนั้นว่า ตกในจุดบอดมองไม่เห็น ไม่รับรู้ทั้งนั้น เวลาเราปฏิบัติมันเป็นอย่างนี้เมื่อเห็นอย่างนี่แล้ว เราจะได้เข้าใจว่า อ้อ สตี สมาธิ ปัญญา ที่เราอยากได้ ที่เรามุ่งมันเพื่อจะเอา มา ไม่ใช่จุดหมายปลายทางของการปฏิบัติ มันเป็นเป็นแต่เพียงมรรคที่จะพาเราให้ไปสู่สิ่ง ที่เราต้องการเราต้องการความสงบ ความเป็นไทของไจ ของเรา เมือใจยังไม่เป็นไทเด็ดขาด ก็ให้มันอิ่มพอในตัวของมัน ให้รู้อยู่ว่าตอนนี่ใจกำลังเป็นอะไรอยู่มันไม่ดีก็รู้ว่าไม่ดี แต่ยังไม่มีแรงจะแก้ไข อย่างที่ดิฉันเรียนเมื่อกี้ มันยังใจแคบ ยังเสียสละ ยังอภัยให้ไม่ได้ ก็รู้อยู่ว่าเรายังติดอยู่ตรงนี้ แต่เราก็ไม่ไป
อาฆาต พยาบาท หรือไปแกล้ง หรือไปแช่งเขา เพราะเราจะไม่ทําติดลบให้กับตัวเอง เรายันอยู่ตรงศูนย์นี้ แต่ให้รู้ อย่าไปกลบเกลื่อนว่าฉันดีแล้ว ถ้า อย่างนั้น การปฏิบัติของเราจะเขว เหมือนเราซุกขี้ผงเข้าไปตามซอกตามมุม แล้วเผลอไปเชื่อเป็น จริงเป็นจังว่าฉันดีแล้วเมื่อไม้วัดของเราบิดเบือนเบียวไปหมดเช่นนั้น เสียเวลาเปล่า เพราะสิงที่เราปฏิบัติ นึกว่าดี แท้ที่จริงของปลอมทั้งนั้น วันหนึ่งได้สติรู้เข้าเสียดาย เวลาที่เสียไป ทีมัวสะสมของปลอม เพราะฉะนั้น เมื่อยังไม่มีกำลัง เราอยู่ตรงจุดไหน เราเป็นอะไร เรามองมันด้วยสติ ความระลึกรู้ สัมมาสติตามเป็น จริง แล้วยอมรับแรกๆ ก็หงุดหงิด คั้นในหัวใจ เหมือนกับ ตอนที่ดิฉันเข้าไปปฏิบัติ แล้วท่านอาจารย์ซี่ให้เห็นสติของเราต้องให้รู้เท่าทันความคิด ไวแค่ไหน ครั้งหนึ่งดิฉันกำลังนังฟังท่านเทศน์อยู่ ก็ว่ายังไม่ ได้คิดอะไรเลย ท่านก็หันมาแล้วกล่าวหาว่า ดิฉัน คิดอย่างนั้น อย่างนั้น ดิฉันก็กราบเรียน “ไม่ได้ คิดเลยเจ้าค่ะ”ท่านอาจารย์สําทับ “คนเรานี่นะ พออ้าปากก็เห็นเข้าไปถึงคอหอยแล้ว เพราะฉะนันอย่าเถียง เป็นทำนองว่าตัวเองกำลังอ้าปากนิดนึ เห็นลงไปถึงคอหอยแล้ว เพราะฉะน้นที่ท่านพูด ดิฉันกำลังคิดแน่ๆ ดิฉันก็ ...เอ๊ะ ยังไงกัน เราก็มี สติ เราไม่ใช่คนบ้า ไม่ใช่คนหลง เราคิดเราก็ต้องรู้ สินะว่าเราคิดขณะที่กำลังยืนยันอยู่ในใจด้วยความหงุดหงิดอยู่นั้น มันก็มีความรู้สึกคล้ายๆ กับว่า
ความคิดของตัวเองเป็นเหมือนกับพรายนําที่โผล่ขึ้น มาจากกันสระ สิ่งที่ท่านว่าเราคิด กําลังค่อย ๆ โผล่ที่กันสระและในทีสุดก็ปิ้งขึ้นมาถึงผิวน้ําให้รู้ว่า ...โอ๊ย
เราคิด ก็นึกถึงที่ท่านอ้าปากก็เห็นคอหอยแต่ แทนที่จะยอมรับว่า เออ สติของเรายังคุ้มตัวไม่รอด หรอก ยังใช้ไม่ได้ กิเลสทำให้พาล เรื่องอะไรท่าน อาจารย์ถึงจะต้องมานังรู้ว่าเราคิดอะไร นึกอะไร ใจเตลิดออกไปคิดเพ่งโทษท่านเห็นหรือไม่ ธรรมชาติของใจเรา พอเห็นข้อ บกพร่องของตัวเองทีเราไม่ได้เตรียมใจไว้เข้าจังหน้า หรือคนอื่นมาสะกิดให้เห็นตัวตนของเรา... ความรัก ศักดิ์ศรีที่สติตามไม่ทัน มันเอาแล้ว ใจถูกกิเลส ลากปลิวไปแล้ว มันจะต้องป้องกันตัวเอง แล้วก็ ป้ายโทษให้คนอื่น แทนที่จะได้สติคิดว่า นี่เรามาปฏิบัติ ท่านช่วยชี้ให้เห็นว่า การปฏิบัติของเรายัง ไม่ดี ยังไม่เข้ามาตรฐาน เพราะฉะนั้นต้องปฏิบัติให้ได้อย่างทีท่านชีให้เห็น ไม่มองตัวเอง แต่ไปมองท่าน ขัดเคืองใจ เรื่องอะไรท่านถึงต้องมารู้ใจเราเอะ อยางนอวดอุตรมนุสธรรมนี่ เห็นไหม ไป ประมาทล่วงเกิน ทําอย่างกับว่าเราได้รับมอบหมายให้คอยดูแลให้คะแนนท่าน แต่ตัวเองไม่ให้ คอยดูแลให้คะแนนท่าน เข้าไปในมุมมืดเลย ไม่ยอมดู ไม่ยอมมอง คิดว่าตัว เองดี คิดว่าตัวเองวิเศษ
เวลาที่สติไม่ทันการณ์ ที่ครูบาอาจารย์ท่าน ว่า พออะไรแวบเข้ามา หยุด... หยุดก่อน... อะไรดิ้นขึ้นมาในใจ ให้นึกเข้าไว้ว่ากิเลสทั้งนั้น อย่าให้มัน ลากปากลากกายของเราไปทำอกุศลวจีกรรม อกุศล กายกรรม เพราะถ้าเราบังคับกาย วาจา ให้เป็น ปกติอยู่ได้ ใจเราอย่าเพิงไปพูดถึง ช่างมันก่อน ถ้า
กายวาจาของเราเป็นปกติอยู่ได้ เรียกว่าศีลในใจของ เรามีอยู่ คุ้มครองตัวเพราะ ศีลคืออะไร
ศีล คือ ความเป็นปกติของกาย วาจา พระพุทธองค์ท่านวางรากฐานเอาไว้เพื่อช่วยผู้ปฏิบัติอันนี้ก็เป็นเครื่องมืออีกเครื่องมือหนึ่งที่จะเอามาช่วยเหนี่ยวรั้งตัวเราที่เคยเถื่อน เคยคะนอง ใจชั่วร้าย
ยังรู้ไม่เท่าทัน เพราะสติเรายังอ่อน ปัญญาเรายังไม่ค มเท่าทันกิเลส เราก็ยอม ปล่อยใจไปตามเรื่องของมันก่อน แต่ว่ากาย วาจา อันนี่ ทั้งๆ ที ใจเป็น อย่างไรก็ตาม เราต้องควบคุมเอาชนะมันให้ได้
ให้เราเชื่อด้วยศรัทธาไว้ก่อนว่า อะไรทีกําลัง กระเพื่อม ขลุกขลัก ขลุกขลัก อยู่ในใจเรา เป็นสิ่ง ไม่ดีคอยชักพาเราไปในทางผิด เพราะฉะนั้น ถึงมัน ยึดครองใจเราไปเป็นข้าทาสได้ ก็ปล่อยไปก่อน แต่ ให้รู้ตัวเอาไว้ ท่านอาจารย์บอกว่า พระพุทธเจ้าไม่ เคยปรับอาบัติเวลาที่จิตใจฟุ้งซ่านกระสับกระส่าย หรือเป็นอกุศล แต่ท่านปรับอาบัติถ้ากายวาจาของเราเคลือนไปจากปกติ ศีลของเราทะลุ ศีลของเรา ด่างพร้อยมัวหมอง ท่านปรับอาบัตินี่ก็เหมือนกัน เมื่อมาปฏิบัติ เครื่องมือที่จะ ช่วยหนุนให้เราเข้มแข็งไว้คือว่า ตายเป็นตาย ฉันจะ ไม่ยอมให้กาย วาจา ของฉันด่างพร้อย เหมือนกับตัวเองที่จิตใจเป็นอันธพาลขวิดดะไปหมด พุงหลาว ลงไปในอเวจีแล้ว แต่ก็จะไม่ยอมให้มันหลุดออกมา เป็นวาจาหรือเป็นกายกรรมโดยเด็ดขาด แล้วเราก็
วบรวมสติถามตัวเองว่า ท่านอาจารย์ท่านจะอวดอุตริฯ เพื่ออะไร ท่านได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา ท่านก็เต็มบริบูรณ์แล้ว ไม่ดีไม่ชั่วอีกแล้ว ท่านกำลังสอน อะไรเราต่างหาก
ตรงนี้สิ สติที่ค่อย ๆ รวบรวมกำลังขึ้นมา ทำ ให้ใจที่พุ่งเพ่นพ่านออกข้างนอก ค่อยๆกลับเข้ามา มองตัวเองเมื่อใจหมุนทิศทางถูก กลับเข้ามามองตัวเอง มันก็ค่อย ๆ เห็นขึ้นมาว่า อ้อ เพราะเรามาฝึกปฏิบัติตัวเอง มาหัดรู้จักใจของตัวเองให้ถ่องแท้ ท่านอาจารย์ท่านก็ช่วยสาธิตวิธีให้ด้วยของจริงอย่างไรเล่า ถ้าท่านเทศน์ว่า คัมภีร์ใบลานว่าอย่างนั้น พระไตรปิฎกว่าอย่างนี่ พระพุทธเจ้าว่า อย่างโน้น เราก็คงสาธุ. เสร็จแล้วก็กองอยู่ตรงนั้น ไม่ได้ไปถลอกกิเลสเราแม้แต่นิดหนึ่ง นี่ท่านเอาของจริงให้เราเห็นเลย นี้อย่างนี้ อย่างนี้ ที่สติเราไม่เท่ากันแล้วถูกกิเลสคาบเอาไปกินเราก็ได้เห็นเลยว่า ปากเราบอกว่า เรา ศรัทธาพระพุทธเจ้า เราเคารพยึดพระพุทธเจ้าเป็น สรณะ แต่พอถึงหน้าสิวหน้าขวาน ปรากฎว่าเราฟาดพระพุทธเจ้ากระเด็นไปเลย แล้วกลับอุ้มกิเลส เอาไว้ในใจของเรา โกรธแน่ะ.. ท่านอาจารย์ช่วยชี้ ให้เห็นว่ากิเลสกำลังงับเราอยู่นะ แทนที่เราจะช่วย ท่านทิมแทงกิเลสของเราทิ้งไป เรากลับไปทิ่มแทง ท่าน แล้วก็กอดกิเลสเอาไว้
เห็นไหมว่า เพราะเราเกิดมาจากกิเลส เราก็ เป็นข้าทาสของมันอยู่โดยสมบูรณ์แบบแต่ไหนแต่ไร มา แล้วก็ไม่รู้ตัว พอถึงวาระทีจะรู้จะเห็นเข้า เรา ก็ยังไม่ยอมเห็นอีก ปิดหูปิดตา แล้วก็โกรธคนทีเขา มาช่วยเรา ท่านอาจารย์ท่านถึงว่า “เหนือยเหลือเกินสอนลูกศิษย์พวกนี อยู่กับกระรอก กระแต กับแย้มันไม่มาขบมากัดเรา ลูกศิษย์พวกนี้ปากมันก็กราบท่านอาจารย์ เคารพท่านอาจารย์ แต่ประเดียวมัน ก็ขบเรากัดเรา เหนือยไปหมด” แต่ก่อนก็นึก ท่าน อาจารย์พูดอะไร ใครที่ไหนจะบังอาจไปกัดท่าน อาจารย์ โดยเฉพาะเรานี ไม่มี ไม่มี ไม่มีเด็ดขาดคราวนี้จับได้คาหนังคาเขาเลย ใจคนเราเป็นอย่างนี้เมื่อเห็นอย่างนี้แล้วเราก็จะได้รู้ว่าคราวนี้ งานของเราคืออะไร คือการพยายามเจริญสติ ปรับเครื่องมือให้เข้มแข็ง เมือเข้มแข็งแล้ว ใจก็มีกำลัง
ที่จะยอมรับความผิดความบกพร่องของตัวเอง ยอม ให้คนอื่นล่วงรู้ในความผิดความบกพร่องของตัวเราโดยไม่รู้สึกเสียหน้า โดยไม่รู้สึกว่าต้องไปกลบเกลือนหรือทำให้ดูดีขึ้น เพราะเราอาย เรากลัวไปว่าเดียว เขาจะไม่นับถือเรา เพราะเราไปตั้งค่าของตัวเองเอาไว้ที่จุดหนึง แล้วก็ไปยึดผิด เห็นผิด หลงอยู่อย่าง นั้นพอมาฝึกมาปฏิบัติแล้ว เราจะได้เห็นว่า จริงๆ แล้ว สติ สัมปชัญญะ สมาธิ ที่ท่านบอกว่าให้เจริญ
เข้าไว้ ขยันก็ทำ ขี้เกียจก็ทำ ได้ผลก็ทำไม่ได้ผลก็ ทำนั้น ไม่ใช่ว่าเราจะไปมุ่งหวังเอาตัวสติ ตัวสมาธิ นันหรอก อันนั้นยังไม่ใช่ที่สุดจุดหมายของการปฏิบัติอันนันเพียงแต่เป็นการฝึกให้เกิดอัตโนมัติอันใหม่ของ ใจให้เป็นอุปนิสัยสันดานของเรา เพื่อมาแทนที่กิเลส แทนทีนิวรณ์ในจิตใจ เกิดเป็นความเคยชิน อันใหม่
ปกติถ้าร่างกายเราเหนื่อยอ่อน หรือแรงที่มา ปะทะ ผัสสะที่มาปะทะ รวดเร็ว รุนแรงมาก สติ
คมไวไม่ทันมารักษาเราไม่ได้ ถ้าเราไม่ฝึกจนกระทั่ง สติกับสมาธิมาเป็นอัตโนมัติของเรา เมือไรธัมมะจึง จะรักษาเราได้ เราก็พลาดท่าทุกที ถ้าทุกอย่างไม่ ฟิตเต็มที่ สติเราตามไม่ทันกิเลสสักทีหนึง เพราะ กิเลสฝึกตัวมาซัวกัปชั่วกัลป์ยาวนานเหลือเกิน แล้ว มันก็ดึงใจเราไปเป็นข้าทาสโดยอัตโนมัติ การจะไป เอาชนะกิเลสได้ ไม่ใช่ว่าเมื่อมีอาการสำแดงแล้วเรา จึงเริมต้นต่อสู้ มันต้องทำตังแต่เวลาที่เราดี ๆ เวลาที่กิเลสทำท่าเหมือนกับว่าไม่ได้ยุ่งเกียวสนใจกับ เราเลย ทําเหมือนกับเราเป็นอิสระจากมัน เราก็เตรียมให้มีกำลังพร้อมสรรพเอาไว้ เตรียมไปเรื่อยๆ เรื่อยๆวิธีคิด วิธีดําเนินชีวิตในแต่ละชั่วขณะ ทุกวัน ทุกเวลา ก็จะค่อยๆ ทำให้เราเกิดชั่วโมงบินยาวนานต่อเนื่องกัน แล้วเราก็จะได้มีสิ่งนี่เข้ามาเป็นอัตโนมัติ เหมือนอย่างกับที่ท่านอาจารย์สอนเอาไว้ว่า “ก่อนนอน พอเราเสร็จเรื่องอะไรหมดเรียบร้อยแล้ว เมื่อเอนตัวลงนอน ให้เราลืมทุกอย่างให้หมด เริม ต้นมาเอาสติจดจ่อกับลมหายใจ หรือพุทโธเอาไว้
แล้วก็หลับไปตรงไหนก็ให้หลับไป แต่ให้เคยชินว่าพอจะนอนให้ใจของเรามีสติรักษาจดจ่ออยู่กับคำ บริกรรม จะเป็นอะไรก็ได้”เมื่อทำไป ทำไป มีหลายท่านมาเล่าให้ดิฉัน ฟังว่า บางทีรู้ตัวว่าฝัน ในฝันก็กำลังพุทโธอยู่ หรือ จับลมหายใจอยู่ อย่างทีตัวเองทําก่อนจะหลับไปหรือบางท่านเกิดต้องไปผ่าตัด ขณะที่ฟื้นขึ้นมาจากพอเริ่มรู้สึกตัว พบว่าตัวเองบริกรรมอยู่แล้ว โดยไม่รู้ตัว เหมือนที่เคยทำก่อนนอน เพราะมัน เริ่มเป็นอัตโนมัติถ้าเราทำอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ ระหว่างนอนหลับ เมื่อไรที่ใจไหวตัวเริ่มออกรับอารมณ์ อัตโนมัติของ ใจจะเข้าไปเกาะคำบริกรรม หรือลมหายใจเอาไว้ ทำให้ใจของเราไม่ไปฟุ้งซ่าน ไม่ไปถูกนิวรณ์ครอบงํา
เกิดเป็นความเคยใช้ในเครื่องรักษาใจอยู่ ทำให้ใจของเราสงบ เริ่มมีเหตุผล ไม่วุ่นวาย หรือมีอารมณ์เสียดแทงอยู่ตลอดเวลา อย่างแต่ก่อน ในก็เป็นการฝึกตัวเองอีกอันหนึ่ง ที่ จะช่วยให้เมื่อปฏิบัติไป ปฏิบัติไปแล้ว เราพบว่าใจของเรามีความสงบ ร่มเย็นหลายท่านเล่าให้ดิฉันฟังว่า แต่ก่อนคิดว่า ปฏิบัติแล้วถึงเวลาที่พระรักษาเรา หรือธัมมะรักษาเราก็เหมือนกัยว่าสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นแล้วก็มาครอบคลุมเราไว้ ไม่ให้เราไปเจอสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม คล้ายๆ กับว่าการปฏิบัติเป็นสิงมหัศจรรย์ ทําให้เรา หิวไม่เป็น อดอยากไม่ได้ เจอความทุกข์ไม่ได้ เพราะมีสิงมหัศจรรย์มาคุ้มครองเราเอาไว้ แต่จริงๆ แล้วท่านพบว่าไม่ใช่อะไรๆ ก็ยังเกิดเหมือนเดิม ซ้ำรายบางที่ดูจะ หนักกว่าเดิมด้วยซ้าไป แต่ใจอันนีมีความมหัศจรรย์เกิดขึ้น แต่ก่อนมันเคยกังวล เคยลงเลสงสัย กลุ่มจนกระทังแทบจะเป็นบ้า แต่เดียวนี้ใจเกิดความเชื่อ มัน เกิดความเข้มแข็งที่จะอยู่กับปัจจุบันว่า อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด เมือวาระนันเกิดขึ้นแล้ว เราก็ จะมีสติมีปัญญาคิดแก้ไขไปได้ เราจะไม่อับจน มันเกิดความมันใจเช่นนี้ขึ้นมา เพราะมีหลายๆ อย่างเกิดขึ้นระหว่างที่มาปฏิบัติ สนับสนุนให้เกิดความแน่ใจอย่างนี้ว่า เราจะไม่อับจน ไม่มีอะไรยากเกินสติปัญญาความเพียรพยายามของมนุษย์ไปได้
ใจของเราที่ตั้งมัน เชือในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่อย่างนี้ ทําให้เราหาทางออกจนได้ พลังใจอันนี้แหละที่ทําให้เกิดความสงบร่มเย็น ทั้งๆ ทีโลกทั้งโลกยังบ้าบออย่างเดิม ยังรุ่มร้อน ยังสับสน
วุ่นวายอย่างเดิม นิคือการปฏิบัติที่ถูกที่ควรเราเปลี่ยนโลกทั้งโลกไม่ได้ กรรมใครทำเอา ไว้ก็ต้องเป็นไปอย่างนั้น เราไปสัมผัสสัมพันธ์กับใคร เอาไว้อย่างไร เราก็ต้องเสวยผลกรรมจากการสัมผัสสัมพันธ์อย่างนั้น แต่เราเปลี่ยนตัวเราได้ตรงที่ว่าแต่เดิมใจของเราซึ่งเปรียบเป็นรถที่ไม่มีเครื่องกัน กระเทือน พอไปตกหลุมตกบ่อหน่อย ปรากฏว่าเอว คิด เอวหักเลย เพราะมันรับเข้าไปเต็มแรง แต่ตอนนี้สติปัญญาที่เราฝึกให้รู้โลกตามความเป็นจริง ทำให้สามารถรับสิ่งที่มากระทบ โดยใจไม่ฟกช้ำดําเขียว สติปัญญาเป็นเหมือนกับเครื่องกันกระเทือน ทำให้ เราสามารถแล่นไปบนถนนของชีวิตด้วยความสุขความสบายขึ้นความสุขนี้เป็นความสุขที่ไม่ใช่สุขจากอามิส หรือสุขจากการที่เราได้มาสมปรารถนา แต่มันเป็น ความสงบสุขทีมีปัญญาหยังรู้ถึงสิ่งกระทบว่า อ๋อ มันต้องมีเหตุของมันมา ถ้าไม่มีเหตุ ไม่มีเมล็ดหว่านลงไปล่ะก็ มันไม่มีตันอย่างนี้ขึ้นมา เมื่อมีเหตุอย่างนี้ เราก็ต้องยอมรับเมื่อยอมรับแล้ว เราก็มาพิจารณาว่า ทําอย่างไรเราจึงจะแก้ไขผลที่เกิดขึ้นให้เป็นความราบรื่น ให้เป็นสิ่งทีช่วยให้เราแก้ไขปัญหาไปได้ดีที่สุด ดิฉัน ใช้คําว่า ดีที่สุด ไม่ใช่ว่าแก้ไปได้อย่างที่เราอยาก เพราะถ้าเราทำทุกอย่างอย่างที่เราอยาก แสดงว่า เรายังยึดอยู่กับอุปาทาน ไม่ได้อยู่กับเหตุผลและความเป็นจริงถ้าเราอยู่กับความเป็นจริง เราจะไม่มีคำว่า มันน่าจะเป็นอย่างใน ฉันอยากให้มันเป็นอย่างนี้ เพราะคำเหล่านันมาจากใจที่เป็นอารมณ์ แต่เราจะพูดเสียใหม่ว่าอย่างไรกันดี เมื่อเป็นอย่างนี่ เท่าที่คิดออก เราก็ต้องแก้ไขไปอย่างนี้ อย่างนี้ อย่างนี้ ถึงจะไม่ดีที่สุด แต่ก็ดีขึ้น ที่เราคิดว่าเป็นอุปสรรค กิพอจะมี ทางผ่านไปได้เมื่อปฏิบัติแล้ว เราจะพบตัวเรามีความหนัก แน่นเยือกเย็นขึ้น แล้วก็รู้อยู่กับปัจจุบันได้มากขึ้นการปฏิบัติทำให้ใจของเราได้อาหาร กล่าวคือ รู้จักคิดอย่างไม่ก่อกวนตัวเอง ไม่ทำให้ใจของ เราพลุ่งพล่านไปคิดเผาลนตัวเองด้วยอกุศล แต่เดิม อะไรมากระทบปุ๊บ ร้อยทั้งร้อยคิดแต่ในทางเผาลน ตัวเองหรือเผาลนคนอื่นทั้งนั้น เมื่อเราคิดด้วยกุศลเป็น ใจก็มีความสงบร่มเย็นขึ้นเมื่อมีความสงบร่มเย็นขึ้นเมื่อมีความสงบร่มเย็นขึ้นเราก็เริ่มมีความเชื่อมั่นในตัวเอง เราก็เริมเข้าใจการมีตนเป็นทีพึงแห่งตนเชื่อในความสามารถของตัวเอง ไม่ใช่เที่ยวได้คอย จะทำอะไรสักทีก็คอยหาว่า แล้วเราจะไปพึง ใคร ใครจะช่วยอำนวยความสะดวกให้เรา คือ เรา เอาชีวิตของเราไปแขวนอยู่กับลมหายใจของคนอื่นเขาพอใจ เราก็ดี เขาไม่พอใจ เราก็แย่ ตกลงชีวิต ของเรา เป็นชีวิตของนักการพนัน ถ้าทําอย่างนั้นเราจะไม่มีวันปลอดโปร่ง ไม่มีวันสงบร่มเย็นเมื่อปฏิบัติมาถึงขั้นนี้แล้ว เราก็เริ่มเข้าใจว่าพระพุทธองค์และพระสาวกทั้งหลายที่ปฏิบัติไปจน กระทั่งท่านได้ผลเต็มที่ จิตใจของท่านบรมสุข อย่างไรบ้าง ก็เป็นกำลังใจให้ศรัทธาของเราไม่ คลอนแคลน พากเพียรทำต่อไปเรื่อยๆ เพราะขนาดเราได้เริ่มลิ้มชิมรสนิดๆ หน่อย ๆ แค่นี่ ยังทำ ให้เห็นชัดว่า ชีวิตของเรามีความคล่องตัวขึ้นเยอะ9แล้วก็ทําให้เห็นว่า แต่เดิมเราเป็นทาสของสังคมค่านิยมเขาว่าอะไร เราก็ต้องวิงวุ่นตามไปโดยไม่รู้ทิศรู้ทาง เดียวนี้เราเป็นตัวของตัวเอง ค่านิยมเขา จะว่าอย่างไร ถ้าเราพบว่ามันไม่เป็นเหตุเป็นผล เราก็ยังไม่อยู่ในสถานะจะลุกขึ้นวิ่งบ้าตามเขาได้พอใจกับที่เรามี เราเป็น และเราก็ไม่เดือดร้อน ใครจะพูดอะไร ถ้าเขาไม่เหนื่อยปากเขาก็ช่างปะไร เราก็มีเครื่องกันกระเทือน ทำให้หูเราไม่ระบมไม่กระเทือน
การปฏิบัติก็ทําให้เราเริ่มมีที่พักใจ แต่ก่อนนั้นเราขาดอาหาร เมื่อเราได้อาหาร เรารู้สึกอิ่มเต็ม เราสงบ เราบริบูรณ์ คราวนี่เราได้ทีพักอาศัย ทำให้เราไม่เดือดร้อน ทำให้เราไม่ต้องทําความทุกข์ให้ กับตัวเอง ด้วยการดิ้นรนไปเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์พายุมาแรง เรากเขาบาน ปิดประตู i แล้วเราก็มีความสุข เพราะมาทำสติ ทำสมาธิ เพื่อ จะได้มองเห็นตามเป็นจริง ปัญญาจะทำให้ใจของ เราหนักแน่นมันคง เชื่อมั่นในสิ่งที่เราคิด เราเชื่อ รอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ไม่อย่างนั้นเรากระสับกระส่าย...ทําอย่างไรจึงจะไปพูดให้เขาเห็นตามเรา ได้ ถ้าเขาไม่เห็นตาม เราก็เริมหวาดหวั่นว่าที่เขา พูดคงจะถูก เราคงผิด ใจเลยถูกนิวรณ์กลุ้มรุม ให้กระสับกระส่าย ไม่มีความสุข
เมื่อเรามีอาหาร มีที่พักอาศัย คราวนี้เราก็ไม่อนาถายากจนเข็ญใจแล้ว เราเริม่มีอริยทรัพย์ มี กำลังสุขภาพจิตดี คุณภาพจิตดี อะไรๆ ที่ทําออกไปก็มีความร่มเย็น มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เป็น ประโยชน์กับคนอื่น ไม่เป็นโทษกับใคร เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว เราก็เริ้มมีเสบียงติดตัว เพราะสิ้งที่ทำไป ไม่มีโทษ ไม่มีหนี้สิน มีแต่คนอนุโมทนาให้บุญ ให้กุศล ให้พร เสบียงของเราก็เริมตันสะสมขึ้นในธนาคารใจของเรา ทำให้เรารู้ เราแน่ใจ เรามั่นใจในหนทางข้างหน้าของเราแต่ก่อนเราเคยคิดว่า ถ้าเกษียณอายุแล้ว ฉันจะทำอย่างไร เพราะเงินเก็บก็ไม่พอ น่ากลัวคงต้อง คอรัปชันเสียบ้าง หรือจะทําอะไรดี ตายแล้ว ลูกหลานก็ไม่มี นี่ใครจะมาดูแลเมือแก่เฒ่า ก็เที่ยวได้ ไปหาใครมา บีบบังคับจะเอาเขาให้เป็นเงาตามตัว
เขาก็รำคาญ เราก็ไปก่อเวรก่อภัยให้ตัวเองโดยใช่เหตุเมื่อใจเริ่มเห็นอย่างนี้แล้ว เราก็ไม่เดือดร้อน ถ้าสิ่งที่เราได้กระทำเอาไว้จะทำให้เราต้องตายอย่างอนาถา ไม่มีใครดูแล ช่วยตัวเองไม่ได้ ก็ให้มันเป็นไปเพราะว่าเราอาจจะได้ธัมมะจากวิธีดุร้ายอย่างนั้นก็ได้ ทำให้เราหมุนทุกอย่างไปในทางที่ดีทั้งนั้นท่านอาจารย์เคยเล่าให้ฟัง สมัยที่ท่านยังเที่ยวธุดงค์ไป บางวันไปบิณฑบาตได้แต่ข้าวเหนียว ปั้นเดียวไม่มีอะไรเลย ท่านบอก แรกๆกิเลสก็ทำให้ท้อแท้ แต่พอสติตามทัน ท่านก็บอกว่า เออดีวันนี่เรายังไม่ทันได้คิดว่าจะอดอาหาร ผ่อนอาหารเทวดาก็มาทําให้เราผ่อนอาหาร ดีแล้ว เราจะได้เร่ง ความเพียรใครจะไปรู้ คืนนี้เราอาจตายเสียก็ได้ตกลงทีจะไปน้อยใจว่า โอ๊ย..." น่ากลัวเราคง บวชต่อไปไม่ไหวแล้ว ไม่ยังยืน เพราะได้ข้าววันละ ปันเดียว สึกเสียเป็นอย่างไร ท่านก็สนุกว่า เออ..วันนี้เราผ่อนอาหาร เราจะได้เร่งความเพียรอีกวันหนึ่ง ท่านคิดว่าบิณฑบาตพอเป็นพิธี เสียหน่อย ให้เขาได้บุญ แต่แล้วปรากฏว่า ผู้คนใส่ บาตรกันล้นบาตรเลย ท่านก็บอก เออ... ดีเหมือนกัน พรุ่งนี่อาจจะไม่มีชาวบ้านใส่บาตร เพราะฉะนั้น เรากินเตรียมเอาไว้ พรุ่งนี้จะได้ไม่หิวถ้า บิณฑบาตแล้วไม่ได้อะไร คือ อยู่กับปัจจุบัน อะไรเกิดขึ้นมาดีทั่งนั้น ไม่ไปน้อยเนื่อต่ำใจเราปรับตัวของเราให้เข้ากับปัจจุบันได้ทุกอย่าง เราก็อยู่โดยไม่มีความคับเครียด แล้วสามารถหมุน ทุกอย่างให้มาเป็นสติปัญญา ให้มาเป็นอิสระของใจไม่ทำให้ใจของเราไปคิดว่า เอ๊ะ.. ทำไมเรื่องนี่ถึงเกิดกับเรา เราก็ทําดีนี่นา ไหนว่าทำดีได้ดี เอ๊ะ ทำไมคราวนี้ถึงทำดีแล้วทำท่าจะได้ซัว คือ ไจเผลอไปไห้นิวรณ์ลากเราไป แล้วก็เกิดความร้อน เกิดความ กระสับกระส่าย ระสำระสาย
เมื่อคอยฝึกอยู่อย่างนี ในที่สุด เรากจะคอย ๆปลดปล่อยโลกธรรม เครื่องอํานวยความมีตนมีตัวได้ แต่ก่อนนั้น ตาย...พอนัง วันนี้ใจไม่นิง สมาธิ ไม่ลงอย่างเคย เดือดร้อน ระสำระส่าย ตายแล้ว..ฉันเป็นอะไร ทำไมการปฏิบัติของฉันถึงเป็นอย่างนี้ รุ่งเช้าต้องไปถามเพื่อน พอเขาบอก เอ๊ะ ฉันก็นั่งสบายดีนี่ ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ต้าย... เราเกิดความ กระสับกระส่ายไปหมด ทำไมเขาดีแล้วเราไม่ดี จิต ไปริษยาเขา ไปเกิดอกุศลกับเขา ยกตนข่มท่าน ทิฐิมานะอื้ออึงขึ้นมาโดยสติตามไม่ทันนี่แหละเวลาที่ปฏิบัติไม่ถูกทาง เราทําโทษให้ตัวเอง ก่อหนี้ให้ตัวเอง แล้วก็ทำให้ตัวเองขาดทุนสูญกำไร ยิ่งปฏิบัติ จิตใจยิ่งรุ่มร้อน ยิ่งปฏิบัติจิตใจยิ่งไปยกตนข่มท่าน เปรียบเทียบกับคนอื่นอยู่ตลอดเวลาแล้วถ้าหากตัวเองได้สมประสงค์ ก็มีความสุขเหมือนเด็กขี้อิจฉา ไม่ใช่สุขสงบร่มเย็น แต่ถ้าปฏิบัติถูกทาง เราจะพบว่า จิตใจของ เราเบาสบายไปเรื่อยๆ สติเห็นอะไรเราก็แกะออกไป แกะออกไป แกะออกไป เพราะจุดสุดท้ายที่เรา ต้องการคือความเป็นอิสระ
พระพุทธเจ้าท่านบอกแล้ว จิตของเรา จริงๆ แล้ว เป็นพุทธะ รู้ ตื่นเบิกบาน ตื่นจากความ ลุ่มหลงที่อวิชชากับอุปาทานมาทำเงาหลอกเป็นกรง ขังเราเอาไว้ เพราะฉะนั้น เมือปฏิบัติไป เราต้องตื่นจากอวิชชาและอุปาทาน เราต้องรู้สึกตัวเราเบาขึ้นโดยลำดับ ไม่ใช่ปฏิบัติไปแล้วเกิดความรู้สึกว่า โน่นก็อยาก นี่ก็อยาก นั่นก็จะต้องเป็น คนนั้นเขาจะต้องเห็นเราเป็นโน่นเป็นนี่ ถ้าอย่างนี่มันไม่ใช่ แล้ว มันปฏิบัติกิเลสแล้วไม่ใช่ปฏิบัติธรรม เพราะ ปฏิบัติไป ปฏิบัติไป กามวัตถุเยอะแยะไปหมดเลย ที่ผูกเราเอาไว้ ยึดเราเอาไว้ เป็นตะปูตรึงให้เราขยับเขยื่อนไปไหนก็ไม่ได้ถ้าปฏิบัติถูก เป็นสัมมาปฏิบัติ ใจจะต้องเบาใจจะต้องเป็นอิสระขึ้น เริ่มด้วยเป็นอิสระจากความ ปรุงคิดที่ไม่ดี นิวรณ์ ทำให้เราอยู่กับสติ อยู่กับปัจจุบัน
ต่อมาก็อิสระจากความตระหนี่ถี่เหนียว แต่ ก่อนนันยังหวง ท่านอาจารย์ขอบิณฑบาตความโกรธก็ไม่ถวาย ตอนนี่เราเป็นอิสระ สละจาคะออก ไปได้ โกรธก็ไม่เอา โลภก็ไม่เอา คนเขาทําผิด เขา ขออภัย เราก็ใจกว้างอภัยให้เขาได้ต่อไปก็เป็นอิสระจากการไปยึดติดว่าศักดิ์ศรี ของฉัน ใหญ่เหลือเกินตัวเรา ใครไม่เคารพ ใครไม่ ทําให้ถูกต้องตามที่เราคิด หงุดหงิด เออ... ช่างมัน ใครจะว่าอย่างไร มันไม่มีตัวสัตว์หรือบุคคลหรอก มีแต่ส่วนผสมของพุทธะกับกิเลสเท่านั่นแหละ วาจาที่ออกมาก็คือปรอทวัดว่าตอนนี้กิเลสกับพุทธะ ผสมกันด้วยอัตราส่วนเท่าไร ถ้ากิเลสสูงมาก มันก็ ไข้สูงจนกระทั่งชัก น่าเกลียดน่าชัง ตอนไหนพุทธะมาก ก็นุ่มนวลอ่อนหวาน เป็นที่ประทับจับใจ แต่ อย่าไปยึดเข้าเชียวนะ เพราะเราก็ไม่รู้ ส่วนผสม อันนี่กลิ่งและสามารถเปลี่ยนสัดส่วนได้ในพริบตา เพราะฉะนัน อะไรแสดงออกมา เราก็มอง แต่ ไม่ไปยึด ไม่ไปติด ไม่ไปทะเลาะเบาะแวังว่า ก็เมื่อกี้นี้ว่าอย่างนั้น ทําไมเดียวนี้ถึงว่าอย่างนี้ อยู่กับ ปัจจุบัน ปัจจุบันเป็นอย่างไรก็เป็นไปอย่างนั้น ตกลงใจก็ค่อยๆ เป็นอิสระขึ้นโดยลำดับ แต่ก่อนนั้น ไม่ได้เราจะต้องจัดฉากว่า โลกนี่จะต้องเป็นอย่างนี้ อย่างนี้ อย่างนี้ ถึงจะดี เราถึงจะสบายใจปฏิบัติแล้วอะไรจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน โลกนี่ก็เป็นโลกนี้ สมมติบัญญัติจะเป็นอย่างไรก็เป็นไป
เมื่อเรายังมีหน้าที่ต้องไปยุ่งเกี่ยวด้วย เราก็ไปยุ่งเกี่ยวด้วยสมมติบัญญัติ ยุ่งเกี่ยวแล้วก็วางเอาไว้ ตรงนั้น ไม่แบกหามเอามาไว้ให้รกใจเรา แต่ กาย และวาจาของเราคงทำภาระหน้าที่เต็มสติกำลังความ สามารถ ไม่มีข้อบกพร่องนี่คือการปฏิบัติชอบ คือปฏิบัติเพิอหาอิสรภาพให้ตัวเอง ค่อยๆ ปลดทีละขั้น ทีละขั้น ทีละขั้น ไปโดยลำดับ จนในที่สุด วันหนึ่งเราก็รู้ว่าเรา เป็นไทจริงๆ แต่เราจะไปถึงตรงนั่นเมื่อไร เราก็ไม่ ไปกังวล ถ้ามัวไปกังวลกับมัน เราก็เลี่ยวผิดทางอีกแล้ว เรารู้ แลัวก็ค่อยๆ ปลดเปลืองหาอิสรภาพ ให้ตัวเองไปเรื่อยๆ อันนี้แหละที่เรามาพูดกัน เราปฏิบัติเพื่อสิ่งนี้ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อสมาธิ ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อโน่นเพื่อนี่ เพื่อนั่น อย่างที่ปฏิบัติไปแล้ว ก็มาสับสนท่เถียงกันแล้วก็พยายามเกลี่ยกล่อมอีกฝ่ายหนึ่งว่า ของเธอผิดของฉันถูกอย่างนันก็ผิดอีกนั่นแหละ ถ้ายังมีเธอมี ฉันอยู่มันก็ไม่อิสระจริงๆ แล้วที่ดิฉันเรียนให้ทราบ มันมีแต่
กิเลสกับพุทธะเท่านั้นแหละ ถ้าเราเป็นกิเลสด้วยกันมันก็วุ่นกันใหญ่เลย ถ้าเราเป็นพุทธะดัวยกัน ก็พูดกันรู้เรื่องถ้าตอนไหนเขาเป็นกิเลส ก็แยกไปเสียก่อนพอเขาเริ่มกลับมาเป็นพุทธะ เราค่อยไปพูดกันใหม่ เราก็คอยดูให้รู้ตามเป็นจริง จะได้เอาสิ่งที่ รู้ตามเป็นจริงนั้นมาทำให้เกิดประโยชน์ให้ได้มากที่สุด ทุนแรง ทุ่นเวลา ให้มากที่สุด ชีวิตของเราก็จะมี แต่ความราบรีน ทําให้เราสามารถรักษาใจให้ไม่มี หนี้ไม่มีสินได้สิ่งที่พูดกันมา คงพอเป็นแนวทางให้เราไปดู ตัวของเราเองว่า การปฏิบัติของเรายังบกพร่องอยู่ ตรงไหน จะได้แก้ไข ทำให้ถูกต้อง ผลทีได้รับก็จะเป็นความเบา ความสบาย ความผาสุกของใจเราปฏิบัติเพื่อใจจะได้อาหารที่ถูกต้องมีที่พักพิงที่แน่นอน มีความมันใจว่าเราพึ่งตัวของเรา รอดปลอดภัย


พิมพ์โดย      ปภัสสร   มีพงษ์
แหล่งที่มา     http://web.krisdika.go.th/buddha/21_patibat_for.pdf

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Back To Top