Header Ads

วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2561

บทความหมออมรา ปฏิบัติใจอย่างไร

บทความหมออมรา
ปฏิบัติใจอย่างไร


ชื่อผู้เขียน       พญ อมรา มลิลา
วันที่              29 มีนาคม 2554
ณ                 ณ ห้องบรรยายชั้น 21 อาคารชาญอิสสระทาวเวอร์ 2 อันดับที่     
หมวด

วันนี้เรามีสมาชิกใหม่ซึ่งสนใจอยากปฏิบัติ แต่ ไม่ทราบจะเริ่มปฏิบัติอย่างไร ถ้าอย่างนั้น เรามา พูดถึงการปฏิบัติก็แล้วกัน ท่านที่ปฏิบัติเป็นแล้ว ก็ถึอเป็นโอกาสทบทวนความรู้ความเข้าใจในการ ปฏิบัติของตนให้ชัดเจนไปในตัวการปฏิบัติหรือการท่ากรรมฐาน หมายถึง การท่าฐานที่ตั้งให้แก่จิตใจ ประกอบด้วยการท่า สมถะ หรือสมาธิ ซึ่งเป็นการรวมใจให้เกิดกำลัง แล้วนำกำลังนี้ไปกระทำการงานเรียกว่าท่าวิปัสสนา คือ ไปพิจารถณาสาวหาสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อแกไขให้หมดสินไปฉะนั้น ใจของคนเราจึง
มีอยู่ 2 ลักษณะ คือ 1. รวมให้เกิดแรงสูงสุด 2. นำแรงนั้นไปแปรเป็นปัญญาเพื่อแก้ไขปัญหา
แล้วเก็บรักษาใจให้อยู่ในภาวะแข็งแรง พร้อมต่อ ผัสสะหรือปัญหาใหม่ที่จะเกิดขึ้น
ทำไมเราต้องรวมใจให้เกิดกำลัง พระพุทธเจ้าตรัสว่า ใจเป็นพลังรู้ เป็นนาม ไม่สูญหายหรือถูกทำลาย ต่างจากกายซึ่งเป็นรูป ก่อเกิดมาจากธาตุดิน ธาตุนํ้า ธาตุลม ธาตุไฟ มา รวมกันเกิดเป็นชีวิตขึ้น ล้าไม่ปฏิบัติ เราก็เชื่อว่า พอหมดลมหายใจ รูปและนามก็แตกดับไปด้วยกัน แต่ความเป็นจริงไม่ใช่อย่างนั้น รูปก็สลายกลับคืนสู่ แผ่นดิน แผ่นนํ้าฃองโลกนี้ กลับคืนสู่ธรรมชาติ เดิม แต่ใจซึ่งเป็นพลังไม่แตกไม่ดับสูญหายไปดัวย ถูกปลดปล่อยจากกายเนื้อซึ่งเป็นเหมือนเปลือก หรือบ้านเรือน เป็นกายละเอียด เป็นนามที่มองไม่ เห็นด้วยตาเนื้อ ท่องเที่ยวไปตามต้นทุนบุญกุศล หรือบาปอกุศลเพื่อหาบ้านเรือนใหม่ใจเดิมแท้นั้นเป็นพลังรู้รู้สิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง เหมือนใจของพระพุทธเจ้าและพระ อรหันต์ แต่ใจของพวกเราที่ขาดการฝึกอบรมถูก อวิชชาความรไม่แจ้งชัด คือทั้งร้ทั้งหลง ครอบงำ รวมเข้ากับอุปาทานความยึดมั่นสำคัญผิด ว่ารูป กายซึ่งเป็นสมบัติของโลกเป็นตนเป็นตัวของเรา ความรู้จากใจของเราจึงบิดเบือนไปจากความจริง เหมือนคนละเมอ
ถ้าจะเปรียบใจเดิมแท้เป็นแม่เหล็ก ใจของ พวกเราๆ ก็เป็นเหล็กที่ปล่อยให้อณูในตัวเรียงตัว ระเกะระกะทิ่มตำกันเองจนหมดกำลัง การปฏิบัติ จึงเป็นการเอาสติมาเป็นเหมือนสนามแม่เหล็ก เหนี่ยวนำอณูในเนื้อเหล็กให้เรียงตัวเป็นระเบียบ เกิดพลังขึ้น นั่นคือการทำสมถะหากไม่ทำให้สมํ่าเสมอ พอสติหายไป ใจก็ กลับซัดส่ายทิ่มตำกันเองใหม่ กลายเป็นเศษเหล็ก อีก แต่ถ้าเราเห็นศักยภาพของการปฏิบัติ เหมือน เอาเหล็กไปวางไว้ในสนามแม่เหล็กต่อเนื่องกันนานๆ มันก็กลายเป็นแม่เหล็กถาวรได้ทุกวันนี้ใจเราเหมือนเศษเหล็ก ใจหนึ่งจะ ไปข้างซ้าย อีกใจจะไปข้างขวา มันก็ชักเย่อดึงกัน ไปดึงกันมา พอเราบอกให้ทำงาน แทนที่มันจะเข้า แถวเป็นแนวเดียวกันลากฝังตรงข้ามให้วิ่งตามมาเราเองกลับลัมระเนระนาดไม่เป็นทิศไม่เป็นทาง เราถึงทำอะไรไม่สำเร็จลักครั้ง ไปเห็นเขาทำอย่างนี้ ว่าดี เออ.. เราจะทำอย่างเขาบ้าง เปล่า.. ยังไม่ทัน ได้ลงมือ ตาเหลือบเห็นคนโน้นไปทางนั้น เราก็ ตามไปทางนั้นเสียแล้วเลยไม่ได้อะไรเป็นเรื่อง
เป็นราว เราถึงต้องมาฝึกใจของเรา ลองว่าถ้าตั้งใจ จะทำอะไรแล้ว จะต้องจดจ่อแน่วนิ่งอยู่กับสิ่งนั้น ตั้งใจกระทำไปจนสำเร็จขณะไม่มีงานการอะไรทำ ก็ให้กำหนดลม หายใจของ เรามาเป็นทุ่นมนุษย์เราล้วนมีจริตนิสัยแตกต่างกันไป บางคนก็เป็นโทสจริต คือมัก โกรธ อารมณ์ร้อนวู่วามบางคนก็เป็นราคจริตประณีต รักสวยรักงาม ดังนี้เป็นต้นหรือจะเปรียบเทียบง่ายๆ ก็ว่า จริตนิสัยเราบางคนก็เป็น นก มีอะไรปุ๊บก็บินไป บางคนเป็นปลา ก็ว่ายนี้าไป ต่างจริตต่างนิสัยกันทำนองนี้ แต่ทุกจริตนิสัยล้วนมีลมหายใจด้วยกันทุกคน พระพุทธองค์จึง ทรงใช้ลมหายใจหรืออานาปานสติเป็นวิธีปฏิบัติโดย ทั่วไป เพราะไม่ต้องเสาะหาอุปกรณ์อื่นใดมา
ตัวใช้ถึงเวลาเจ็บไขไปนอนโรงพยาบาล แม้จะลืมตาไม่ ขึ้น ขณะหลับตาอยู่ เราก็ยังรู็ได้ถึงลมหายใจ ก็เอา ลมหายใจมาเป็นทุ่น ให้ใจจดจ่อแน่วนิ่งอยู่กับลม แม้เราตั้งใจว่าจะฝึกทำสมาธิรู้อยู่กับลมแต่ประเดี๋ยวมันก็พิงไปทางโน้น ประเดี๋ยวก็ส่ายมา ทางนี้ ซึ่งความจริงมันก็เป็นอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา แต่เราไม่มีสติที่จะรู้เห็นใจของตัวเอง การจะทำอะไร ถ้าไม่มีความตั้งใจ ไม่มีสติ ที่จะรวมกายกับใจให้ เข้า เป็นหนึ่งเดี ยวกันได้ เราจะทำกิจการนั้นไม่สำเร็จ เป็นตันว่าจะอ่านหนังลือพิมพ์ ถ้าวันไหนใจ เราวุ่นวาย อ่านไปเถอะ ตาก็ดูหนังลือพิมพ์ไป แต่ พอมีคนมาถามว่า วันนี้มีข่าวอะไรบ้าง.. ไม่รู้สิ..
ส่งหนังลือพิมพ์ให้เขาไปอ่านเอาเอง มันจะเป็นอย่าง นี้ แต่ถ้าวันไหนใจเราสบาย อ่านหนังลือพิมพ์ไป เรารู้เรื่อง อ้อ มันมีเรื่องนั้น เรื่องนี้ เรื่องโน้น พอ ใครมาถาม เราสรุปให้เขาพิงได้ เพราะ ตัวกับใจเรา อยู่ด้วยกัน มันไปด้วยกันทีนี้เรามาฝึกทำสมาธิกัน ทำแรกนี้เป็นแบบ ฉบับที่คนนิยมที่สุด คือทำนิ่งเพราะกายนิ่ง ใจจึงพลอยนิ่งตามได้ง่ายเหมือนการอ่านหนังสือ
เราวิ่งอ่านก็จะอ่านได้โดยไม่ปีนบรรทัด แต่ถ้าเรา วิ่งไปแล้วอ่านหนังสือไปด้วย ตัวเราไม่นิ่ง ตาก็ พลอยกระโดดไปด้วย เห็นตัวหนังสือปีนบรรทัด อ่านแล้วไม่ต่อเนื่องกัน บางทีก็ปีนบรรทัดขึ้นไป ซํ้าบรรทัดเก่าบ้าง หรือตกลงมา 2-3 บรรทัด มัน เลยไม่รู้เรื่อง เราจึงต้องมาหัดนิ่งสมาธิกันทีนี้การนั่งสมาธิทำอย่างไร ท่านที่ยังไม่เคย ปฏิบัติเลย เมื่อใจเริ่มสงบ ลงรวมเป็นสมาธิครั้งแรกจะรู้สึกเหมือนเป็นลม แขนขาหมดแรง ทรงตัวไม่อยู่ เพื่อให้ร่างกายของเราอยู่ในสมดุล เราจึง ต้องนั่งขัดสมาธิ เอาขามาขัดทับกันเอาไว้ จะเอา ขาขวาทับขาซ้าย หรือขาซ้ายทับขาขวา ก็แล้วแต่ ใครจะถนัดซ้ายถนัดขวาบางท่านจะนิ่งขัดสมาธิเพชรก็ได้ ตาตุ่มจะไดไม่เจ็บจากกดทับพื้นแต่ถ้านิ่งขัดสมาธิเพชรไม่ได้ก็เอาซ้อนกันไว้เฉยๆอย่างนี้ ให้หัวเข่าวางแนบกับพื้น จะไดไม่ต้องเกร็ง ไม่เมื่อย บางท่านขัดอย่างนี้ก็ไม่ไหว เพราะเล้นตึง ก็นั่งเรียงขาเอาไว้ชิดๆ กันก็ได้ แล้วแต่ว่าใครถนัด  อย่างใด ใครทำอย่างไหนแล้วสบายดีก็เอาอย่างนั้น เพียงให้กายตั้งฐานได้มั่นคง เพื่อที่ว่าเมื่อใจลงรวม เป็นสมาธิแล้วรู้สึกเหมือนจะเป็นลม กายจะไดไม่ ล้ม หรือเกิดความกังวล จนใจกระฉอกหลุดจากคำ บริกรรม ต้องมาตั้งด้นกันใหม่เมื่อจัดการกับขาเรียบร้อยแล้วก็เอามือประสานกันหลวมๆ ไว้บนตัก ยืดหลัง ตั้งตัวให้ ตรง เหยียดไหล่ออกให้สบายๆ จะได้ไม่เมื่อย เมื่อ ออกจากสมาธิแล้ว บางท่านบ่นว่าอย่างกับถูกช้าง กระทืบมา ยืดให้ไหล่สบายๆ แล้วก็ตั้งตัวให้ตรง ให้นํ้าหนักตัวทิ้งลงตรงศูนย์กลางไปถึงฐานหลายท่านกังวลว่าล้านั่งไปนานๆ จะเป็น อัมพาต หรือบางท่านมือาการกระตุก ตามตาบ้าง ตามปากบ้าง เลยเลิก ไม่ทำแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็น เงาของใจที่ถูกอุปาทานครอบงำให้ยึดกายเป็นตัวเรา ห่วงหวง กลัวจะพิการหรือตาย เลยทิ้งใจ ซึ่งเป็น สาระแก่นสารมาเกาะกับกายซึ่งเป็นมายา แทนที่ จะปฏิบัติเพื่อรู้และละกิเลส กลับกลายเป็นปฏิบัติ เพื่อสะสมกิเลส สะสมทุกข์แทน
กายของสิ่งมีชีวิตนั้นเปรียบเหมือนหุ่น มี ใจเป็นตัวบงการหรือผู้ชักหุ่นให้เคลื่อนไหวกายไป ตามเส้นประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อ หรือเกิด อารมณ์ต่างๆ ตามผัสสะที่มากระทบ ใจบงการ ให้ดีใจ เสียใจ ประเดยวหัวเราะ ประเดี๋ยวร้องไห้ เป็นของไม่เที่ยง เอาเป็นที่พึ่งไม่ได้การปฏิบัติคือการแยกใจให้ไปจดจ่ออยู่กับ คำบริกรรมหรืออารมณ์กรรมฐาน จนละทิ้งกายให้ กลับเป็นหุ่น เหมือนคนตายแล้ว เราจะได้ประจักษ์ ชัดแกใจ จนหมดความกลัวตาย กลัวเจ็บ สามารถ เอาเวลาขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ไปสะสมเสบียงให้ เป็นประโยชน์แก่ตนและแก่สังคมล้อมรอบตัว แผ่ ขยายไปจนถึงสรรพสิ่งในจักรวาล
สิ่งที่เราพูดสู่กันฟ้งนื้เหมือนแผนที่ลายแทง ที่พาเราไปถึงประตูใจ คือเริ่มต้นตั้งสติจดจ่อตาม รู้อยู่แต่ลมหายใจเข้าและออก จากนั้นไป แต่ละ ฟานจะต้องทำตามกติกาคือให้มีสติรู้อยู่แต่กับ
สิ่งที่ปรากฏขึ้น จะไม่เผลอเอาอัตตาตัวตนของเรา ไปควบคุมบังคับการปฏิบัติ ไปจัดแต่งลมหายใจ
เพราะมันจะเฉหลุดเข้าทางมิจฉาสมาธิ หรือเผลอ ให้สติกะพริบหายไปบ้าง กลับมีมาใหม่บ้าง เป็น โมหสมาธิไปสติจดจ่อรู้อยู่ที่ใจ กายจะโยกจะกระตุกก็รู้ .. สักแต่ว่า.. ไม่ต้องไปจัด ไปตกแต่งให้เป็นตาม ต้องการ จะล้ม จะหงาย ก็ลักแต่รู้ ดูไป รักษาแต่ ใจให้เป็นหนึ่งเดียวกับคำบริกรรม ไม่วอกแวกไป ที่อื่นเมื่อเข้าใจตามนี้แล้ว ก็มาเริ่มต้นภาคปฏิบัติกันจะหลุบตาลง หรือลืมตาก็ไต้ ตามถนัด บาง ท่านลืมตาแล้วใจวอกแวก ก็หลุบตาลง บางท่าน หลุบตาแล้วสติก็พลอยหายหกตกหล่น ใจชัดส่าย ไม่เป็นอันอยู่กับคำบริกรรม ก็ลืมตาไว้เริ่มต้น หายใจให้ลึก แรงกว่าปกติ จน สามารถรู้ชัดเจนว่านี่หายใจเข้า จนสุดหยุดที่ลิ้นแล้วเริ่มหายใจออก จนมากระทบติ่งปลายจมูก เอาสติตัวระลึกรู้ของเรามาตามลม เมื่อลมเข้าจาก ปลายจมูกก็รู้ตามไปว่าหายใจเข้า จนกระทั่งไปสุด หยดที่ลิ้นปี่หรือตรงไหนก็ตามแต่ที่ใจร้ว่าลมไปสิ้นสุด

แล้ว ก็เริ่มหายใจออกถ้าเป็นชาวพุทธก็จะใช้คำว่า พุทโธ กำกับ เพราะใจของเราคือธาตุรู้ พุทธะ พุทโธ พระพุทธเจ้าเราก็ระลึกเหมือนอาราธนาพระพุทธเจ้ามาประทับอยู่ในใจของเรา จะได้มีกำลังใจเมื่อหายใจเช้าก็กำหนด..พุทหายใจออกก็กำหนด. .โธท่านใดชอบคำบริกรรมคำไหนก็ได้ จะเป็น สัมมาอรหัง ยุบหนอ พองหนอ หรือเป็นศาสนาอื่น จะใช้ มารี เยซู อัลล่าห์ หรือคำใดๆ ก็ได้ทั้งนั้น ความศักดสิทธไม่ได้อยู่ที่คำบริกรรม แต่อยู่ที่ความ ตั้งใจความจงใจที่จดจ่อตั้งมั่นอยู่กับคำที่นำมาบริกรรมนั่นแหละ ท่านที่ใช้พุทโธ เมื่อหายใจเช้า เราก็.. พุท.. ตามไปจนสุด หายใจออกก็.. โธ.. ให้ ใจจดจ่ออยู่อย่างนี้ ..พุท..โธ ..พุท..โธ ไม่ชัดส่าย ไปเกาะเกี่ยวกับอารมณ์อื่นการกำหนดตามลมเช้าลมออกกลิ้งไปกลิ้งมา อยู่อย่างนี้ท่าใหใจยังกระเพื่อมอยู่เราก็ดูว่าตรงไหนของลมที่รู้ได้ชัดเจน ถ้ารู้ชัดตรงกลางอก ก็ เอาตัวสติผู้รู้ไปตั้งไว้ คอยร้อยตรงจุดนั้นถ้ารู้ ชัดที่ปลายจมูก ก็ตั้งสติไว้ที่นั่น หรือจะไปรู้ชัดที่ ลิ้นปี ที่ตรงไหนก็ได้ตลอดทางเดินของลมหายใจ เมื่อจดจ่อสติไว้อย่างนี้ พอลมเข้ามากระทบ ใจก็ กำหนด.. พุท.. แล้วปล่อยลมให้ผ่านไป ระหว่างนี้ สติก็จะจ้องอยู่ตรงที่ลมผ่านไป เมื่อยังไม่มีลมผ่าน กลับมากระทบ สติก็คอยเฝ็าอยู่ตรงนั้นโดยไม่มี คำบริกรรม แต่มีสติตั้งอยู่คมชัด เมื่อลมออกผ่าน มากระทบ ใจก็กำหนด.. โธ.. การปฏิบัติตอนนี้ก็ จะมีคำบริกรรมสลับกับความนั่ง แต่เป็นความนั่ง ที่มีสติระลึกรู้คมชัดอยู่ตลอดเวลา
ถ้าใจจดจ่ออยู่กับลมได้อย่างนี้ ไม่วอกแวก ชัดส่ายเป็นนิวรณไป ลมหายใจจะค่อยละเอียด เข้า ละเอียดเข้า จนรู้สึกเหมือนไม่หายใจ เพราะไม่ มีลมผ่านเข้าออก แต่บางขณะก็เหมือนมีอะไรไหว ให้รู้สึกสะเทือนริกๆ เหมือนเรายกถ้วยวุ้นที่ยังไม่ แข็งตัวดี แล้วมันไหวตัวพอรู้สึกริกๆ ทำนองนั้น ก็ไม่ต้องตกใจ
แต่โดยมากใจพวกเราไม่สงบเร็วอย่างนี้หรอก กำหนด.. พุท.. เสร็จ ลมผ่านไป สติก็กะพริบจาง
หายไปด้วย ใจก็ซัดส่าย วุบวับ กลืนหายไปกับ ความพิงซ่าน เกิดอารมณโน้นอารมณ์นี้ ถ้าสติกลับคืนมาใจที่ไถลไปก็รู้ตัว เหมือนนักเรียนที่แอบ คุยกันเวลาครูสอนอยู่หน้าชั้น พอครูหันมามอง ที่กำลังคุยกันอยู่ก็หยุด ทำนองเดียวกัน พอมีสติ ใจก็หยุด กลับมาอยู่กับลมหายใจใหม่ กำหนด พุทโธใหม่ หลายคนเริ่มท้อว่าไม่เห็นจะไปถึงไหน ลักที ได้แต่กำหนดยํ่าเท้าช้ำแล้วช้ำชอกอยู่แค่นี้เรามาปฏิบัติเพื่อเจริญสติ ให้ใจซึ่งไม่เคยรู้ อยู่กับตัวมาจดจ่อระลึกรู้รวมเป็นหนึ่งเดียวกับกาย พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้ปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 โดยทรงแยกตัวเราออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่ กาย เวทนา จิต และธรรม ให้เป็นที่ตั้งของสติ ให้สติ กำหนดพิจารณา สำรวจระลึกรู้อยู่ในตนเอง เพื่อ ปกครองรักษาตน ยับยั้งไม่ให้ทำ ไม่ให้พูด ไม่ให้ คิดในสิ่งไม่ดี ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสมการที่สติจะทำอย่างนี้ได้ ใจจะต้องสงบแน่ว อยู่กับลมหายใจเข้า ลมหายใจออก เพื่อสร้าง จานสมถะให้แข็งแกร่งและเกิดต่อเนื่อง จนกลายเป็นธรรมชาติของใจไป ท่าให้ใจพร้อมที่จะแกะ แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าได้ทันท่วงทีเมื่อเราฝึกปฏิบัติให้ต่อเนื่องเป็นอุปนิสัยเช่น นี้แล้ว จะสังเกตเห็น กายมีความผ่อนคลาย ลม หายใจละเอียด เบา จนแทบไม่รู้สึกถึงการเคลื่อน เข้าออก ใจก็สงบเป็นใจปัจจุบัน รู้อยู่กับกาย ไม่ พิงซัดส่ายเป็นนิวรณ์
ผู้ปฏิบัติหลายท่านจะใจร้อน ไม่ใส่ใจการ ทำสมถะ อ้างว่าจะกลายเป็นกรรมฐานหัวตอ คิด พิจารณาอะไรไม่เป็น จะทำวิปัสสนาเลย ซึ่งเป็น ความเข้าใจที่ผิดการปฏิบัตินั้นเปรียบเหมือนการหยิบไม้ขึ้นมา ท่อนหนึ่ง จะท่อนสั้นหรือท่อนยาว ผู้หยิบก็ต้อง ได้ปลายไม้ติดมาด้วยสองปลายเสมอ เปรียบปลาย ข้างหนึ่งคือการท่าสมถะเพื่อรวมกำลังของใจ อีก ปลายคือการท่าวิปัสสนา เอากำลังที่รวบรวมได้ดี แล้วมาแปรให้เป็นปัญญาเห็นชอบ เพื่อตัดปัญหา ทั้งหลายให้ขาดสิ้นไปด้งนั้นการปฏิบัติที่ยังรวมใจให้สงบนิ่งได้ไม่ถึงระดับที่คิดพิจารณาแล้วกำลังของใจเพียงพอจะแปรไปเป็นปัญญาเห็นชอบ ได้ ก็ยังเป็นแค่จิตตสังขารที่ปรุงคิดไป ยังเป็น
วิปัสสนึก ไม่ใช่วิปัสสนา ไม่ใช่ภาวนามยปัญญา ทำให้ผู้ปฏิบัติรู้ผิดรู้ถูก ไม่สามารถแยกแยะให้เป็น วิชชาได้ธรรมชาติของใจเปรียบเหมือนบ่อนำ หาก ผนังบ่อมืรอยรั่วหรือซึมได้ ผิวนํ้าจะไม่ราบเรียบ จะไหวกระเพื่อมอยู่ตลอดเวลา ทำให้ดูของที่อยู่ ก้นบ่อได้ไม่ชัดเจน ให้เอาสติเป็นเหมือนชันไปยา ผนังบ่อให้ทั่ว ผิวนํ้าจะได้สงบนิ่ง ไม่กระเพื่อม กระฉอกไปข้างไหนเมื่อสติยังไม่เข้มแข็ง ใจก็กระเพื่อมวิบวับ ผัสสะอะไรแวบเข้ามาก็กระเพื่อมไปกินอารมณ์นัน ครั้นเสียงอะไรดังขึ้น ก็ปล่อยอารมณ์เก่ากระเพื่อม ไปจับอยู่กับเสียง มีอะไรเคลื่อนไหวๆ ฝานหน้าไป ใจก็ปลิวตาม ไม่มืเวลาได้สงบแน่วนิ่งอยู่กับลมหาย ใจ เราก็อย่าท้อถอยบุคคลจะล่วงทุกข์ได้เพราะพากเพียร หน้าที่ ของผู้ปฏิบัติคือตั้งสติให้แน่วนิ่งอยู่กับสิ่งเฉพาะ
หน้าคือลมหายใจ ถ้าเผลอสติ ใจวิบวับออกไป ก็ สาวกลับมาเริ่มต้นใหม่ ในที่สุดสติก็จะเริ่มจดจ่อ เข้มแข็งขึ้น เหมือนเอาชันไปยาจนทั่วบ่อไม่มีตรงไหนที่นํ้าจะรั่วซึมออกไปได้ ผิวนํ้านิ่งสนิทใส เหมือนกระจก ไม่พร่าเป็นระลอกอย่างเมื่อก่อน นี่ คือใจที่เป็นสมาธิ เป็นผลจากการประกอบเหตุที่ เพียงพอเมื่อเข้าใจถูกต้องว่าการปฏิบัติคือการเจริญ สติ เราจะได้จดจ่อมุ่งทำสติให้งอกเงยจนเพียงพอ ที่จะผลิผลเป็นสมาธิ ใจที่ชัดส่ายสงบรวมตัวเกิด กำลังขึ้นการเจริญสตินี้เราสามารถทำได้ตลอดเวลา ถ้ามีการงานต้องทำ ก็ใช้การงานนั้นเป็นที่ตั้งของสติ พอหมดการงานก็โยกมาใช้ลมหายใจสติจะอยู่รักษาใจต่อเนื่องกันได้เรื่อยไปจนกลายเป็นธรรมชาติขึ้นเมื่อใจเป็นสมาธิ เกิดกำลังมั่นคงดีแล้ว จึง เอากำลังนี้ไปทำวิปัสสนา พิจารณากายใจให้เห็น เป็นขันธ์ 5 ไม่ใช่เป็นอุปาทานขันธ์ 5 หรือถ้า
ผัสสะที่มากระทบทำให้ใจปลิวตามอารมณ์ไปยังไม่ สามารถหาปัญญามาแกไขได้ ก็ยกขึ้นพิจารณา หาเหตุผลจน รู้เห็นเป็นขึ้นในใจ ตัดปัญหาขาดไป ได้ ใจกลับมาเป็นใจปัจจุบัน สงบ รู้อยู่กับลมหายใจ ด้งนี้ทุกๆ วันทุกวันนี้ ใจเราเหมือนบ่อนํ้าที่ผิวเป็นระลอก น้อยบ้างใหญ่บ้างตลอดเวลา เพราะขาดสติรักษา พอจะแก้ปัญหา ก็เหมือนมองหาของที่ตกอยู่ก้น บ่อ ใจร้อนเอามือลงไปควานในบ่อเลยเพราะมอง ไม่ชัด แทนที่จะทำให้แก้ปัญหาได้ กลับทรุดหนัก ลง เพราะเริ่มแรกเพียงแค่นี้าเป็นระลอก คราวนี้ ทำนํ้าขุ่นเป็นขี้โคลนเพิ่มขึ้นมาอีก เพราะฉะนั้น สิ่ง ที่เรามองหาจึงผิดไปสามวาห้าศอก ประมาณนั้นครั้งแรกมอง.. ก้อนหินน่ะ มองให้ชัดอีกที ระลอกที่ผิวนั้าทำให้เห็นเหมือนมันเคลื่อน ไม่ใช่ ก้อนหินหรอกเต่าน่ะ มันเคลื่อนได้นี่ ดูอีกทีซิ ระลอกแรงขึ้น ไม่ใช่เต่าแล้ว ปลาไหลต่างหาก.. ใจ รุ่น ดูของอย่างเดียวเห็นไปได้หลากหลาย เพราะ อุปาทานความยึดมั่นสำคัญผิดครอบงำ ใจที่ขาด การฝึกฝนให้พร้อมที่จะมองแล้วเห็นตามความเป็น จริงก็พาให้เห็นไปต่างๆ นานา มันถึงได้มีเรื่องกัน ขึ้น เพราะต่างคนต่างก็ว่าสิ่งที่ตัวเห็นนั้นถูกต้อง ซึ่งมันไม่ได้เรื่องสักเรื่องเลยเหมือนเรื่องของพระเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่ง ปกครองบ้านเมืองของท่านอยู่ในทศพิธราชธรรม เสนาอำมาตย์พูดคำไหนก็เป็นคำนั้น เพราะพระเจ้าแผ่นดินเคารพในเหตุผล มีเรื่องอะไรก็ประชุม กันโดยพร้อมเพรียง ทุกคนจะซักถาม ออกความ เห็น และเสนอวิธีแก้ปัญหา เมื่อเหตุผลชัดเจน ทุก คนเห็นตามความเป็นจริง ทุกอย่างก็รวมเป็นนํ้า หนึ่งใจเดียวกัน
อยู่มาวันหนึ่ง มีคนมาทูลพระเจ้าแผ่นดินว่า ระวังนะ ถ้าบ้านเมืองไหนมีตัวอัปรีย์เข้ามาแล้ว บ้านเมืองจะระสํ่าระสาย พระเจ้าแผ่นดินก็อยาก รู้จักว่าตัวอัปรีย์เป็นอย่างไร จึงส่งมหาดเล็กไปหา ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย รวมทั้งท่านที่ปฏิบัติอยู่ตาม ปาตามเขา เพื่อถามว่าตัวอัปรีย์เป็นอย่างไร แล้ว ให้จับมาให้พระองค์ดูด้วยแต่ไปที่ไหนๆ ก็ไม่มี ใครสามารถจับตัวอัปรีย์มาถวายพระเจ้าแผ่นดินได้ จนกระทั่งวันหนึ่ง มหาดเล็กไปที่ชายปา พบ พระธุดงค์รูปหนึ่ง พอมหาดเล็กถามถึงตัวอัปรีย์ พระก็ให้ไปตัดกระบอกไม่ไผ่ลำผอมๆ แต่มีปล้อง ยาวๆ มากระบอกหนึ่ง พอมหาดเล็กตัดมากวาย ท่านก็ให้ทำฝาจุกที่จะอุดให้แข็งแรง เพราะท่านจะ ไปเอาตัวอัปรีย์ใส่ในกระบอกไมไผ่นึ่ ให้มหาดเล็ก เอาไปถวายพระเจ้าแผ่นดิน
ทีนี้กระบอกไมไผ่มันเล็กแคบแล้วปล้องก็ยาวพระรับไป สาละวนท่าเหมือนเอาอะไรใส่ลงไป แล้วก็รีบเอามือปิดไว้ เร่งให้มหาดเล็กเอาจุกมาอุด พร้อมทั้งกำชับ.. อุดจุกให้ดีๆ นะ เดี๋ยวตัวอัปรีย์ จะหนีออกไป แล้วให้นำไปถวายพระเจ้าแผ่นดิน ทูลพระองค์ว่าต้องระวังดีๆ เวลาเปิดฝาจุกออก ถ้า ไม่ระวัง ตัวอัปรีย์จะหนีหายไปได้พระเจ้าแผ่นดินรับมาดูแล้วก็ไม่แน่ใจว่าเป็น ตัวอะไร เพราะ มองไม่ถนัด ด้วยกลัวว่าตัวอัปรีย์ จะหนีหายไปเมื่อดูแล้วก็ส่งต่อให้เสนาบดี ข้าวาชบริพาร มหาดเล็ก แต่ละคนเวียนกันดูโดยทั่ว
ถึง ทุกคนดูแล้วก็เห็นตัวอัปรีย์กันไปต่างๆ นานา เพราะต่างคนก็เห็นไม่ชัดด้วยกันทั้งนั้น ก็ด้นเดา กันไป ไม่ยอมรับว่าตัวมองไม่เห็นชัด
เมื่อต้องสรุปว่าตัวอัปรีย์เป็นอะไร ก็เกิดการ โต้แย้งกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่มีใครยอมฟังใคร แต่ก่อน การจะตัดสินราชการงานเมือง พระเจ้า แผ่นดินจะทรงซักถามหาข้อมูลจนชัดเจนเป็นเหตุ เป็นผล แล้วให้ลงความเห็น จึงเป็นความเดียวกัน แต่หลังจากเรื่องตัวอัปรีย์แล้ว ต่างคนต่างก็มีความ กินแหนงแคลงใจกัน เพราะไปฝังใจว่า.. เขาเห็นตัว อัปรีย์ไม่เหมือนเรา.. ก็แบ่งเป็นพรรคเป็นพวกขึ้น พระเจ้าแผ่นดินทรงกลุ้มพระทัยว่าตัวอัปรีย์ หน้าตามันเป็นอย่างไรกันแน่ ก็ส่งมหาดเล็กไปหา พระธุดงค์องค์นั้นใหม่ ให้ท่านช่วยบอกให้รู้หน่อย เถอะ เพราะดูแล้วไม่รู้ว่าตัวอัปรีย์มันเป็นอย่างไร พระเจ้าแผ่นดินเองก็ไม่แน่พระทัยว่ามันเป็นอย่างไร แม้เสนาบดีแต่ละคนก็เห็นกันไปคนละอย่างๆ พระ ธุดงค์จึงบอกว่า เอาอย่างนี้ เอากระบอกไม่ไมรนี้ วางลงตรงกลางโต๊ะประชุม แล้วทุกคนก็จ้องดูให้ดี แล้วให้มหาดเล็กเอาขวานหรืออะไรสับให้กระบอก ไมไม่แตกเป็น 2 ซีก จะได้เห็นกับตาแต่ละคนว่า ตัวอัปรีย์หน้าตามันเป็นอย่างไร คราวนีจะได้รู้จัก ตัวอัปรีย์ชัดๆ หมดสงสัยความจริงเมื่อสับกระบอกไมัไผ่ออกมาแล้ว ก็ไม่มีตัวอะไรหรอก พระฟานเพียงเอาชานหมาก ใส่ไว้ ท่านอธิบายว่า ตัวอัปรีย์คือใจของเราเองที่ เห็นอะไรก็เห็นไม่ชัดเจน แล้วใช้อุปาทานความ ยึดมั่นสำคัญผิดของตัวเราเป็นสรณะ ไปยืนยันว่า ที่ว่าเห็นนี่ มันใช่อย่างนี้ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่รู้เห็น ว่ามันเป็นอะไรแน่ ใจจึงวิ่งตะครุบแต่เงาคือจิตตสังขาร แทนที่จะตั้งสติ หยุดใจให้นิ่งจนผิวของบ่อนี้าใจเรียบเป็นแผ่นกระจก ให้เกิดปัญญาจาก ธาตุรู้ ..รู้เห็นเป็นขึ้นในใจตามความเป็นจริง
พระเจ้าแผ่นดินทรงทอดพระเนตรเพื่อดู ตัวอัปรีย์ในสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวย กระบอก ไม่ไผ่ปล้องก็ลึก ซํ้ายังแคบ จะดูนานๆ ก็กลัวมัน หนีไปได้ ทำอย่างไรก็ไม่สามารถได้ข้อมูลชัดตาม ความจริง ก็ต้องด้นเดาตะครุบเงา นี่ละคือความ อัปรีย์ความรู้ไม่แจ้งไม่จริง เสนาบดีข้าราชบริพาร มหาดเล็กก็เหมือนกัน ไม่มืใครคิดจะย้อนเข้ามา ดูใจของตนว่าเห็นปัญหาชัดเจนหรือยังก่อนจะแสดง ความเห็นออกไปเมื่อสติไม่ตั้งมั่น อุปาทานขันธ์ก็เข้ามาเป็น แรงขับเคลื่อน จากที่เคยฟังเหตุฟังผล พิจารณา ไตร่ตรองตามเหตุปัจจัย ก็กลายเป็นอารมณ์ เกิด ตัวกู พรรคพวกของกู ไฝใช่พรรคใช่พวก อคติ ขาดความสามัคคี ความระลึกรู้หน้าที่รับผิดชอบ เป็นอัตตาธิปไตย แทนธัมมาธิปไตยครั้นพระให้สับกระบอกไม่ไผ่ออก ความ จริงประจักษ์แก่ตาทุกคนว่าเป็นชานหมาก ไฝเหลือ ความเคลือบแคลงสงสัย สติก็กลับตั้งมั่น แสงของ ปัญญาส่องสว่างขัดเจนเงาของอัตตาก็สลายไป
ตาของทุกคนเห็นชัดเจนเหมือนกันหมดว่าเป็นชานหมาก ใจก็ลงเป็นหนึ่งเดียวกัน เกิดสามัคคีธรรม ขึ้นดังเดิมพระธุดงค์จึงยํ้าว่า นี่แหละที่ให้ระวังถ้าตัวอัปรีย์ไปอยู่ในจิตใจของผู้คนหมู่ใดแล้ว คนหมู่
นั้นก็มีแต่ความแตกร้าวระสำระส่ายเพราะมันก่อ ให้เกิดความระแวงคลางแคลงรู้ไม่แจ้งรู้ไม่จริงทำให้ล้มลุกคลุกคลานตะครุบตามเงา คือกระเพื่อม กระฉอกด้นเดา ปรุงคิดเป็นจิตตสังขารไปไม่รู้จบ เราจึงต้องรอบคอบ รวมใจให้มีกำลังมั่นคงเสีย ก่อนเมื่อกำลังตั้งมั่นดีแล้วจึงเอาไปพิจารณาสาวหาต้นเหตุการพิจารณาก็คือลับกระบอกไม้ไผ่เพื่อจะไต้เห็นต้นเหตุที่ช่อนอยู่ในนั้น
เวลาเรามีปัญหา นี่ไม่ใช่กระบอกไม้ไผ่ที่เป็น รูปธรรมแต่เป็นอะไรที่หลบอยู่ในปล้องไมัไผ่ที่
ยาวๆ แคบๆ นี่แหละเราจึงต้องเอาปัญญามาทบทวนสาวหาต้นเหตุ จนเกิดความประจักษ์แจ้ง รู้เห็นว่ามันเป็นอะไรกันแน่เหมือนที่ท่านอาจารย์พระมหาบัวเล่าถึงสมัย ที่พ่อแม่ครูจารย์มั่นให้ท่านธุดงค์ไปปักกลดอยู่แถวๆ ที่มีเสือชุกชุม พอท่านเห็นอะไรไหวๆ มา ก็..เสือ ท่านกลัวเสือ ท่านจึงพิจารณาว่า เสือมีอะไร มากกว่าเรา เราจึงกลัว ท่านก็เริ่มไล่หาไป เสือมีตา เราก็มีตา เสือมีหู เราก็มีหู เสือมีอะไร เรา
ก็มีทั้งนั้น จนในที่สุด เสือมันมีหาง เราไม่มีหาง อ้อ..เรากลัวเสือเพราะกลัวหางมันอย่างนั้นหรืออือม.. ไม่เห็นจะน่ากลัวตรงไหนเลยท่านก็นึกไล่เรียงเปรียบเทียบระหว่างเสือกับท่าน ย้อนกลับ หน้าถอยหลัง จนในใจเห็นจริงว่า บ้าละสิ เราเป็น คน ไปกลัวหางเสือพอเอาจริงเข้า ก็เห็นความกลัวเสือนั้น เรา ไม่ได้กลัวตรงไหนของเสือเลย แต่เพราะมีอุปาทาน อยู่ในใจว่าเสือเป็นสัตว์ดุร้ายน่ากลัว มันกัดคนกิน คน เป็นอย่างนั้นอย่างนี้อย่างโน้น พอรู้ว่าจะต้อง ไปปักกลดอยู่กลางดงเสือก็ขวัญหนีดีฝ่อไปแล้ว
ครั้นไล่ไปถึงตรงที่ว่าเสือมีหางเราไม่มีหาง.. ปัดโธ่เอ๋ย เราไปกลัวเพราะหางของมันหรือ ก็ไม่ใช่ ใจก็เห็นขึ้นมาว่า จริงๆ เราไม่ได้กลัวเสือเพราะเสือ แต่กลัวจากอุปาทานในใจเราเองที่ผู้เฒ่าผู้แก่เตือน ไว้ว่า ระวังนะ ถ้าพบเสือ มันจะกระโจนเข้าขย่ำเราฟัดกัดจนเราตายเมื่อรู้อย่างนี้ ก็อย่าไป
เผลอให้เสือกระโจนเข้ามาตะปบเราสิ ต่างฝ่ายต่าง ก็ระวังตัว เรามีตา เราก็จ้องตามันเอาไว้ ถ้าสติ
ของเราตั้งมั่น ใจรวมกำลังได้ดี แสงตาของเราก็ จะทำให้เสือหลบตา ไม่กล้าสบสายตาเรา แล้วมัน ก็จะหลีกไปเอง ท่านอาจารย์ท่านพิจารณาจนเห็น อย่างนี้ ใจท่านก็เอาชนะความกลัวเสือได้เราเองก็เหมือนกัน ปัญญาที่จะเอามาแก็ไข ปัญหาก็เอาท่านองนี้ เป็นต้นว่าเราโกรธ เราก็ตั้ง สติจดจ่ออยู่กับลมหายใจ จนลมละเอียดแทบไม่ ขยับ ใจสงบนิ่งดี แล้วก็ยกเอาความโกรธเพื่อนร่วม งานมาพิจารณาที่เขาด่าเรา เราโกรธที่เสียงเขาด่าหรือ ไมใช่ ถ้าเขาไม่ได้ด่าเราเป็นภาษาไทย แต่ด่า เป็นภาษามคธ เราโกรธไหม ..ไม่โกรธ ดีไม่ดี นึกว่าเขาร้องเพลงให้เราพิงด้วยชํ้า เพราะนํ้าเสียง สูงๆ ตํ่าๆ พิงเพลินดี เพราะฉะนั้น ที่เราโกรธเขา ก็เพราะใจของเราเอง ไปแปลเลียงเขาว่า คำพูดนี้.. นี้ แปลว่าเขาด่าเรา เขาดูถูกดูหมิ่นเรา ใจเราไม่ดี เองถ้าสติตั้งมั่น ได้ยินเลียงเขาก็กำหนดรู้อยู่.. เลียงลักแต่ว่าเลียง.. ไม่ไปแปลความหมายเอา ตามอุปาทานในใจเราว่า คำนี้คำด่า คำนี้คำชม ก็ จบเรื่องไป ใจกลับมารู้อยู่ เป็นใจปัจจุบัน พร้อม สำหรับผัสสะใหม่ที่จะเกิดขึ้น แต่นี่เราไปเอาเสียง เขามาเป็นมีดลับอยู่บนใจเราทำไม ความเป็นจริง เขาไม่ได้ทำอะไรเรา แต่ใจของเราไม่ฉลาด เลยคิด เบียดเบียนตัวเอง ทำทุกข์ทำโทษให้ตัวเองโดยไม่ มีเรื่องอะไรเลยปฏิบัติให้เป็นอุปนิสัย ทุกรันเมื่อเสร็จภารกิจ สวดมนต์ไหว้พระเสร็จแล้ว เดินจงกรมหรือนั่งสมาธิ กำหนดจนใจนั่ง รู้อยู่กับกายแล้ว ก็ยกเอาปัญหา ที่เกิดขึ้นเฉพาะในวันนั้นขึ้นพิจารณา จนใจเข้าใจ วางได้ด้วยปัญญา ใจจะลงรวมอีกครั้งเพราะขณะที่ปัญหาเกิดขึ้น เรายังไม่มีเวลาได้พิจารณา ก็เพียงกำหนดให้ใจมาจดจ่ออยู่กับลมหายใจ เป็น หินทับหญ้าไว้ก่อนถ้าเราพอใจอยู่แค่นั้น ไม่กลับ มาทำการบ้านให้เสร็จ ตะกอนของอารมณ์แต่ละ ครั้งจะสะสมกันตกอยู่ในใจเหมือนระเบิดเวลา
ถอดสลักที่ยังไม่ได้กู้เกิดมีปัญหาชํ้าขึ้นมาอีกเพียงนิดเดียว ก็กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ลาหลังหักได้ที่เรามาทำวิปัสสนาเรามาปฏิบัติกันก็เพื่อ ตรงนี้ ใจเป็นเหมือนคอมพิวเตอร์ สะสมอารมณ์ ที่ยังไม่ได้ชำระด้วยปัญญาไว้จนเป็นความแค้นเคือง ความครอบครอง ก่อกรรมผูกเวรโดยเราไม่รู้ตัว ขาดสติที่จะตามระลึกรู้ใจของตัวว่ามีภูมิคุ้มกันแค่ ไหน เมื่อผัสสะที่กระทบจบไปแล้ว ใจยังแช่อิ่มอยู่ ในความโกรธแค่ไหน ไปหมั่นไส้เขาไว้เท่าไร ถ้า เราไม่ปฏิบัติแล้วจัดการชำระอารมณ์ตกค้างเหล่านี้ ทุกวัน ใจจะหมดพลังสำรองสำหรับความเป็น ปกติในวันต่อไป
เราคงเคยพบกับตัวเอง บางรุ่งเช้าตื่นขึ้นมา ยังไม่มืเรื่องอะไรเลย แค่ลมพัด เราก็โกรธเป็นพัน เป็นไฟ ก็ฉันยังไม่อยากโดนลม.. พัดมาทำไม..เรา กลายเป็นคนพาลหรือคู่ๆ ฝนก็ตกลงมา ความจริงเราไม่ได้ โกรธฝนหรอก แต่บังเอิญวันนั้นเราจะใส่รองเท้าคู่ ใหม่ แต่ไม่มีสติที่จะรู้ใจตัวเองว่าฉันไม่อยากให้รองเท้าคู่ใหม่เปียกนํ้า พอฝนตกลงมาเท่านั้น เรา ก็โกรธ.. อ้ายฝนผีท้า.. วันรุ่งขึ้น เราไปได้ต้นไม้
มาต้นหนึ่ง แต่ไม่มีเวลาจะรดนํ้า ตกเย็นฝนพรำมาเบาๆ เราก็.. สาธ ได้ฝนมาช่วยรดนํ้าต้นไม้ให้แล้วเพราะฉะนันวันนี้ฝนดีเหลือเกิน ..สาธุ ขอให้ฝนโปรยอย่างนี้ทั้งคืนนะอย่างนี้ผู้คนที่อยู่กับเราจะรู้สึกอย่างไร เมื่อ วานนี้ฝนตก ด่าอ้ายฝนผีบ้า จะเป็นจะตายเอา มา วันนี้ฝนกลับดีไปแล้วเขาก็ไม่รู้ว่าเมื่อต้องมาทำกิจกรรมกับเรานี่ มันจะออกหัวหรือออกก้อย เหตุ นี้จึงจำเป็นที่ต้องมาปฏิบัติกัน เพื่อให้เราพิจารณา เห็นถึงใจที่เป็นอนิจจลักษณะ แปรเปลี่ยนอยู่ตลอด เวลา เพ่งหาสาเหตุของความแปรเปลี่ยน จนพบว่า แท้ที่จริงมันมาจากใจของเราที่สติยังตามรักษาไม่ถึง มันไม่ได้เกี่ยวกับตัวของฝนอย่างตรงไปตรงมา แต่ เกี่ยวกับผลได้ผลเสียที่อยู่ในใจเราว่าวันนี้ฉันอยากให้ฝนตก หรือว่าวันนี้ฉันไม่อยากให้ฝนตก เมื่อเอาสติเอาปัญญามาพิจารณาจนรู้แจ้งชัด อย่างนี้ทุกครั้งๆ ชีริตของเราก็ไม่สับสน เพราะรู้ แลัวว่าเหตุใดพฤติกรรมของเราถึงได้แปรปรวน อย่างนั้น มีใครถามก็อธิบายกับเขาได้ หรืออธิบาย
กับตัวเองได้ว่าทำไมถึงได้บ้าอย่างนี้ เดี๋ยวก็ชอบฝน เดี๋ยวก็ชังฝน ก็เพราะมันมีปัจจัยที่อยู่ข้างใน ถ้า เราไม่ดูใบ้เห็นถ่องแท้อย่างนี้ มันก็จะจมอยู่ใน จิตใต้สำนึกหรือจิตไร้สำนึก ทำใบ้พฤติกรรมของ เราวูบวาบไปตามอารมณ์ ละเมออยู่ตลอดเวลาพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติจน กระทั่งใจของท่านทั้งดวงไม่เหลือตรงไหนที่เป็นจิต ใต้สำนึกหรือจิตไร้สำนึกเลย เปรียบเหมีอนดวง อาทิตย์ที่อยู่ตรงเที่ยงวัน มองตรงไหนก็สว่างโล่ง แจ้งหมดพวกเรานี้เหมือนเข้าไปอยู่ในถํ้าที่มีหินงอก หินย้อยเป็นหลืบบังไว้ จะมองอะไรหน่อยก็ถูกเงา หินงอกหินย้อยบัง มันไม่มีของจริง มีแต่เงา ก็เห็น เป็นมีฝึซ่อนอยู่ตรงชอกหิน มีผู้ร้ายอยู่ตรงนั้นจ้อง จะทำร้ายเรา เห็นหรือไม่ว่าความด้นเดาของคน
สามารถปรุงสร้างปั้นอากาศว่างๆ ใบ้เป็นภาพลวง ตาเห็นเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา ทั้งที่ความจริงนั้นมัน ไม่มีอะไร นอกจากใจที่ถูกอวิชชาและอุปาทาน ครอบงำการมาปฏิบัติอย่างนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องนั่งหลับตาทำสมาธิทุกครั้งไปเพราะแต่ละคนต่างก็มีภาระหน้าที่แล้วเราจะเอาเวลาที่ไหนทำงานการกันเล่าทำนบอกแล้วว่าที่เราปฏิบัติก็คือการเจริญสติฉะนั้น การเจริญสตินี่
ลืมตาทำงานอยู่เราก็เจริญได้ เราก็ทำพร้อมกันไป อย่างเรามีการงาน เราก็ออกมาทำงานทำการกัน สิ่งหนึ่งที่ตัวเองทำอยู่เป็นประจำ คือ พอ เดินปั๊บเราทำให้เหมือนเราเดินจงกรมเอาไว้ พอเท้าแตะพื้นก็ ซ้าย ขวา เราจะเดินช้าหรือเดินเร็วก็ กำหนดอยู่เรื่อยไป อย่าให้ใจฟ็งซ่านไปที่อื่น เพราะ ไม่อย่างนั้นใจเราจะปรุงคิดไปไม่รู้จบเมื่อดิฉันยังทำงานรักษาคนไซ้อยู่ เวลาเดิน ไปกินข้าวกลางวัน ไม่รู้ว่าเท้าแตะพื้นหรือเหยียบ ไปบนอะไร หรือสวนกับใครบ้าง เดินไปก็.. คนไซ้ เตียงนี้นํ้าเกลือจวนหมดแล้วจะเอาออกหรือยัง จะให้ยาอะไรต่อ หรือจะให้เลือดสักขวด.. ตกลง ทางที่เดินไปมีแต่คนไซ้เต็มไปหมดจนจรดท้องฟ้า จิตใจของเราจะเป็นอย่างไรไม่เคยเห็นเคยรู้เราถือปฏิบัติกันว่า เวลาที่หมอไปกินข้าว หัวหน้า พยาบาลจะต้องอยู่ที่ตึก คือต้องมีคนหนึ่งคนใดอยู่ เช่นวันนี้เขาให้เราไปกินข้าวก่อน เพราะเขายังไม่หิว พอเรากินเสร็จกลับมา เขาถามว่าวันนี้ที่โรงอาหาร มีแกงหรือผัดอะไรเราก็เพิ่งกินอิ่มมา.. ไม่รู้สิ..ไปดูเอาเองเถอะ แกงหรือผัดอะไรก็ไม่รู้ แสดง ให้เห็นว่า ขณะกินเข้าไปนี่ ต้องใช้ศัพท์ว่าเอายัด เข้าไปแล้วก็เอานํ้ากรอกตาม พอรู้สึกตึงท้องก็รวบ ช้อน มาทำงานต่อได้ คุณภาพในการกินไม่มีเลย ซึ่งระหว่างกินเราไม่ได้กรอกเข้าไปในหลอดลมก็ดี ถมไปแล้ว ไม่เช่นนั้นคงเป็นอะไรไปแล้วเมื่อปฏิบัติแล้วจึงได้เห็นคุณภาพชีวิตของ ตัวเองว่ามันน่าลังเวชจริงๆ เพราะเราไม่รู้ว่าเท้าเรา เหยียบไปบนอะไรบ้าง คราวนี้เปลี่ยนใหม่ เมื่อใด ที่เท้าเราก้าวเดิน เราก็เอาใจเรามาเดินด้วย ซ้าย- ขวา ซ้าย-ขวา ให้เป็นอุปนิลัย พอเท้าก้าวเดินปีบ ใจเรากลับมาเป็นระเบียบเรียบร้อย ซ้าย-ขวา ซ้าย- ขวา ใจที่ซัดส่ายก็นี่งเพราะตัวกับใจถูกผูกอยู่ด้วย ก้น มีสติเป็นเหมือนกาววิเศษ เป็นตัวระลึกรู้อยู่ กับแต่ละขณะ แต่ละขณะปัจจุบันที่กำลังเป็นอยู่ขณะที่เดินอย่างนี้ ปัญหาที่เกิดตอนเช้า ตอน สายๆ จะวับเช้ามา ใจที่แน่วนิ่งพอดีๆ จะเหมือน กับฟ้าแลบ ประตูกลเปิด ปัญหาที่เรายังคิดไม่ออก จะวับขึ้นมาว่า ทำอย่างนี้..อย่างนี้สิ ในใจก็รู้สึก ปลอดโปร่ง โล่งเบา รวมตัวกันวุบ สงบรู้อยู่ในตัว ของตัวต่อมา เราก็รู้ว่าปัญญาที่ได้จากการรู้เห็น เป็นขึ้นในใจนิ่ มันดี มันชัดเจนกว่าปัญญาที่ได้ จากจิตตสังขารที่เราปรุงคิด คราวนี้เมื่อไรความ เคยชินจะพาให้ปรุงคิด สติก็จะจดจ่อพาใจให้หยุดนิ่งเป็นใจปัจจุบัน จนเกิดการรู้เห็นเป็นขึ้นใน ใจ เป็นการรู้จากธาตุรู้ พุทธะ ใจตัวแท้วันพรุ่งนี้จะมืประชุม เราต้องกล่าวรายงาน และเป็นผู้ดำเนินการประชุม เราก็คิดวางแผนไป แผนที่ 1.. แผนที่ 2.. .. แผนที่ 10 บางทีหลับ ฝัน ก็ยังฝันแผนที่ 11 ต่อ ถึงเวลาประชุมที่ต้อง ใช้จริงๆ เราไม่ได้ใช้สักแผนเดียว เพราะข้อมูลมี เพิ่มขึ้น คนถามอย่างนั้น คนตอบอย่างนี้ มันได้ข้อมูลเพิ่มตกลงไม่ได้ใช้เลยสักแผน แต่กังวล
คิดเสียจนหัวจะพัง เมื่อมีประสบการณ์เพิ่มฃึนๆ เราก็รู้ว่า ควรเตรียมสติให้รู้อยู่กับใจ แล้วนอนเสีย ให้หลับเต็มอิ่มดีกว่า เพื่อว่าวันรุ่งขึ้นเข้าไปประชุม หูเราจะได้ตื่นตัวทั่วพร้อม ฟังแล้วเก็บข้อมูลได้ดี เมื่อเก็บข้อมูลได้ดีแล้ว ให้สติจดจ่ออยู่กับแต่ละ คำพูดและความเห็นของผู้เข้าประชุม ขณะฟังใจก็เกิดความเข้าใจ และเห็นลู่ทาง.. เออ.. อย่างนี้สิ ต้องเริ่มตันที่ตรงนี้ แล้วจะแก้ปัญหาได้ที่ฟังกันวันนี้ก็เป็นหลักให้เห็นหนทาง ต่อเมื่อนำไปลงมือปฏิบัตินั่นแหละจึงจะเกิดประโยชน์ ในชีวิตปร ะจ่าวัน ให้เราประ จักษ์ชัดแก่ใจว่ามัน คุ้มครองเราให้ปลอดจากภยันตราย มีความผาสุก ร่มเย็นกายทำภาระหน้าที่การงานไปตามปกติและใจสามารถเจริญสติให้งอกงามต่อเนื่องกันมาก ขึ้นเรื่อยๆโดยไม่ต้องนั่งหลับตาแต่อย่างเดียวเมื่อใจคุ้นกับการตั้งสติทุกเวลาที่เดินแล้ว ต่อไป ไม่ว่าจะทำอะไร เช่น จะเขียนหนังสือ สติก็มารู้อยู่ บางคนก็อยู่ที่ตรงปลายปากกาที่เขียนๆ ไป บาง คนก็อยู่ที่ข้อมือที่ฃยับ แต่ละคนก็แล้วแต่จะรู้สึก ว่าที่ตรงไหนชัดเจนสำหรับตัว ก็เอาตรงนั้นแหละ ทีนี้การมีสติอยู่กับการเขียนหนังสือจะเป็น อย่างไร เช่น เราเขียนรายงาน ใจก็คิดเรียบเรียง ประโยคแล้วจึงเขียนตาม ขณะกำลังเขียนอยู่ ใจ เกิดฟุ้งไปนึกถึงอะไรขึ้นมา สติที่ตามรู้อยู่จะเห็น ทันที มือมันไม่เขียนตามข้อความที่เรียบเรียงจะ เขียน แต่เขียนไปตามคำที่ฟ้งขึ้นมา ใจก็รู้ทันทีว่า ผิดแล้ว เราก็แกัที่ผิดได้ทันที แต่ถ้าไม่มีสติ เราก็ เขียนตะลุยเรื่อยไป แล้วพอถึงเวลาตรวจทาน ถ้า สติแย่ยิ่งกว่านั้นอีก ตรวจทานแล้วก็ไม่เห็นตรงที่ เขียนผิด เพราะใจมันว่ามันรู้แล้วว่าเราเขียนอะไร ดูชิ มันหลอกเราอีกต่างหาก จึงทำให้หาที่ผิดไม่ พบ มันเป็นไปได้ถึงปานนี้แต่หากจดจ่อสติดีอยู่ ใจวิบฟ้งไปเมื่อไร แม้ มือจะเขียนไปโดยอัตโนมัติตามคำที่ฟ้งขึ้นมา แต่ ใจก็รู้สติเลยว่า นี่ผิดแล้ว ก็จัดการแก้ได้ทัน เมื่อ ฝึกไป เราก็พบว่าการงานมีคุณภาพเพิ่มขึ้น ชีวิต ความเป็นอยู่เบาสบายขึ้น
ทีนี้เราก็รู้แล้วว่า ก่อนจะไปพิจารณา ก่อนจะ ไปเจริญปัญญาจากวิปัสสนาได้ สติและสมาธิต้อง แนบแน่นก่อน ถ้าผิวของบ่อนํ้าใจเรายังไม่เรียบ เป็นกระจก พิจารณาไปก็เป็นวิปัสสนึก อย่าง ตัวอย่างที่เราพิงเมื่อครู่นี้ ดูผ่านระลอกของผิวนี้าก็ ว่าเต่า ดูอีกทีระลอกแรงขึ้น.. ปลาไหลน่ะ ตกลง ไมได้เรื่องเมื่อเข้าใจตรงนี้แล้ว เราก็เข้มงวดกับตัวเอง ปฏิบัติได้สม่ำเสมอ จดจ่อสติอยู่กับสิ่งเฉพาะหน้า จะเป็นการงานหรือลมหายใจก็แล้วแต่กรณี รู้ให้ แน่ชัด อย่าโกงตัวเอง ถ้าใจไม่นิ่งจริง อย่ารีบร้อน พิจารณา ไปเดินหรือหาอะไรมาเป็นเครื่องผูกสติ ให้อยู่กับใจจนแน่วนิ่งเสียก่อน ตัดเรื่องที่กังวลทิ้ง ไปก่อน ดูจนใจแน่วนิ่งจริง แล้วยกปัญหาขึ้นมา พิจารณาใหม่เราจะได้คำตอบที่เป็นปัญญาเห็นชอบ แก้ไขสถานการณ์ได้ด้วยดี
แต่ก่อนนั้น จะทำอะไรก็เที่ยวไดิไปขวางหู ขวางตา คนนั้นก็เหยียบหัวแม่ตีนเรา คนนี้ เราไม่ ผิดสักหน่อย ก็มาปรับไหมว่าเราทำในความที่ ยังไม่รู้แจ้งเห็นจริง เราเองก็ไปทำอย่างนี้เอาไว้กับ คนอื่น แต่ไม่รู้ว่าตัวเองได้ทำอะไรเอาไว้ ใครหว่าน เมล็ดอะไรไว้ ย่อมได้ผลนั้นกลับคืนมาพระพุทธเจ้าทรงสอนว่า เราประกอบเหตุ อย่างใดไว้ก็ตัองได้รับผลอย่างนั้น ไม่สามารถหนี พ้นไปได้ แต่ก่อนนั้นเราไม่ยอมเชื่อ เพราะขณะที่ หว่านเมล็ดลงไป ใจที่ไม่มีสติของเรามองไม่เห็นว่า เราหว่านกิเลสลงไป ทั้งเมล็ดต้นหนาม เมล็ดหญ้า คา ครั้นผลมันเกิดขึ้น โอย.ย.ย.. ใครแกล้งเอาเมล็ด มหาภัยมาหว่านใส่ที่เรา ถ้าเรามีโทรทัศน์วงจรปิด เราจะตกใจเมื่อเห็นว่าตัวผู้ร้ายคือเราเอง เวลาหว่าน เราละเมอ เราจำไม่ได้ เราจึงไปโทษแต่คนอื่นเมื่อเรามาปฏิบัติแล้ว เราจะเริ่มเปลี่ยนคุณ ภาพชีวิตของตัวเองได้ เพราะสติจะตามมาห้ามล้อ ไว้ทัน แรกๆ นั้นยังไม่ทัน พอรู้สติก็เสร็จกิเลส ชนเขาเข้าไปแล้ว..ชนแล้วก็ ไม่เป็นไร.. เรามันนักเลงใหญ่ ไหนๆ ก็ชนแล้ว เรารับชดใช้ค่าเสียหาย ให้ เราไม่โกงหนี้เมื่อต้องชดใช้ค่าเสียหายบ่อยๆเราเหนื่อย เราก็เริ่มถามตัวเราเองว่าจะจำไหม จำถ้าสติยังไม่ได้เรื่อง ยังไปชนเขาอย่างนี้อยู่อีก เรา ก็จะเริ่มรุกฆาตกับตัวเองว่า แล้วใครทำเรา.. ใจก็จะเริ่มตื่นจากละเมอเห็นจริงว่าเรานั่นแหละทำตัวของตัวเองให้เดือดร้อนคราวต่อไป พอจะเผลอชนอย่างนั้นอีก ใจจะตั้งสติได้ทันกำราบตัว เอง.. จะปล่อยให้ห้ามล้อไม่ทันอีกหรือใจก็จะตื่นตัว ว่องไว สามารถหยุดกิเลส ห้ามล้อได้ทัน ทํวงทีก่อนจะไปชนเขาได้สำเร็จเป็นครั้งแรก ทำให้ เกิดปีติมากมาย เป็นกำลังใจให้ขยันอยากปฏิบัติ ให้ติดต่อกันเรื่อยไปถึงจะเหนื่อยจะยากสำบาก
แค่ไหนก็ไม่ย่อท้อ เพราะรู้แล้วว่า เมื่อสติว่องไว ทันท่วงที ผลที่ได้รับคือการเมตตาตัวเอง เพราะ เราไม่ต้องไปเก็บกวาดล้างถูความเสียหายที่เกิดจาก ความสำคัญผิดของเรา ที่เห็นช้างเท่าหมูเลยเมามัน ชนโดยไม่ยับยั้งคนเราถ้าไม่ใช้สติไตร่ตรอง ปล่อยให้อารมณ์ ประทับทรง จะเห็นช้างเท่าหมู ดูแต่ดิฉันเอง เวลา ที่กิเลสครอบงำได้เต็มที่ ช้างนั่นไม่ใช่เท่าหมู มัน เหลือเท่ามดเลยขนาดครูบาอาจารย์ทักท้วง ก็

ยังละเมอเย่อหยิ่งว่า นี่เรื่องของเรา ลองครูบาอาจารย์มาเป็นเราสิ เจ็บหัวใจอย่างนี้ ท่านก็ต้อง บ้าอาละวาดอย่างเรา.. เห็นฤทธกิเลสไหม.. แทนที่ จะมีศรัทธาและเคารพเชื่อฟังท่าน ท่านอุตส่าห์มา ช่วยห้ามล้อให้ แทนที่จะหยุด กลับบ้าถึงขั้นเอา กิเลสเป็นสรณะ.. ก็มันไม่ใช่เรื่องของท่านอาจารย์ ท่านถึงเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ได้ แล้วยังว่าเราอีกว่า โง่ เอาใจไปเป็นเขียงให้คำพูดเขาสับทำไมก็มันเจ็บใจนี่นา ช้างเลยเหลือเท่ามด ชนมันให้แหลก วินาศสันตะโรไปเลยเมื่อก่อวินาศกรรมให้เสียหายเสร็จสิ้นไปแล้ว ต้องมานั่งปัดกวาดเช็ดถู ชดใช้คำเสียหาย สติก็ กลับคืนมาให้ด่าตัวเอง.. ใครช่างโง่ ท่าให้เป็นไป ได้ถึงเพียงนี้..เสียงสติเบาแสนเบาก็ด้งขึ้นมาว่าตัวเองนี่แหละท่าตัวเองคราวนี้ถ้าสติรู้ตื่น คม
ไวขึ้น มันก็จะรักษาให้เราห้ามล้อทันอีก ใจก็จะ เกิดความชื่นใจ ปีติ กระปรี้กระเปร่า ขยันขันแข็ง ที่จะปฏิบัติ สติเริ่มมีประสิทธิภาพ คอยป้องกัน เราได้ทุกครั้ง ท่าให้เรามีกำลังใจ แต่ครั้งแรกๆ ต้อง
ทำใจไว้ว่าอย่างไรก็แพ้ แต่ก็จะทำ เพราะเราจะสร้าง อุปนิสัยเจริญสติให้เป็นเหมือนลมหายใจไหได้
ถ้าได้ตั้งต้นเป็นขั้นเป็นตอนอย่างนี้ จาน ของใจจะแน่นหนา พาให้เราก้าวไปได้อย่างมั่นคง บังเกิดกำลังของใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าตั้งฐานไม่ ดี เรายังทำกำลังของสมถะของสมาธิไม่แน่นหนา แล้วไปเริ่มพิจารณา ก็จะตะครุบเงา พิจารณา ผิดๆ ถูกๆ คราวนี้ก็จะแก้กันยากมากๆ
อุปมาเหมือนการเป็นหมอเด็ก มีคนไข้เป็น คอตีบ เราต้องผ่าลงไปเจาะหลอดลม เพื่อสอด ท่อโลหะเข้าไปให้หายใจได้สะดวกถ้ามีเสมหะเหนียวมากๆ ก็จะเอานํ้าเกลือหยดลงไป 4-5 หยด แล้วไข้เครื่องดูดออก ทำให้คนไข้หายใจได้สะดวก หลอดลมคนเราจะมืวงกระดูกอ่อนสลับกับ กล้ามเนื้อถ้าเราไม่มีครูสอน เราก็จะตัดลงไปบนกระดูกอ่อน 2 ข้อ เพราะสอดท่อเข้าไปได้ง่าย แต่อาจารย์หมอจะสอนให้เราตัดกระดูกอ่อนเพียง ข้อเดียว แล้วแหวกส่วนที่เป็นกล้ามเนื้อด้านบน และล่างรวม 2 แถบ เมื่อคนไข้หายแล้ว เราก็
เอาท่อที่สอดออก กระดูกอ่อนก็จะประสานกันได้ แผลหายเรียบร้อย เมื่อเด็กโตขึ้น ถ้าเขาเกิดเป็น หอบหืดหรือสูดหายใจเข้าลำบาก หลอดลมก็ยัง กางอยู่ได้ แต่ถ้าเราไปตัดกระดูกอ่อน 2 ข้อ พอ เขาเป็นหืดแล้วต้องสูดหายใจเข้าแรง หลอดลม จะแฟบ ปิดทางเดินหายใจ ท่าให้ลมเข้าปอดไม่ได้ คนไข้อาจถึงตายได้ถ้าช่วยเหลือไม่ทัน ซึ่งอาการนี้ เกิดจากความอ่อนแอของหลอดลมที่กระดูกอ่อน ชำรุดถึง 2 ข้อยังมีหมอที่ไม่ได้ถูกฝึกหัดมาอย่างถูกต้อง เริ่มจากเป็นแพทย์ทั่วไป เรียนรู้จากประสบการณ์ มีคนไข้เข้ามาก็เยียวยาแกไขกันไป ระหว่างประจำ อยู่โรงพยาบาลต่างจังหวัดก็เจาะคอตีบมากับมือ แล้ว ครั้นต่อมาขอเข้ามาฝึกเป็นแพทย์เฉพาะทาง โรคเด็ก เราก็อธิบายวิธีเจาะคอที่ถูกต้องให้ ยํ้าว่าอย่าเผลอ ถึงขนาดให้ท่านเป็นหมอมีอหนึ่ง ลงมือ ทำ แล้วเราเข้าไปยืนจ้องประกบเป็นผู้ช่วย เตือน กันอยู่อย่างนี้ แต่พอจรดมีดตัดลงไป มนกรีดโดย อัตโนมัติ จะตัดกระดกอ่อนไป 2 ข้อเลย เราต้อง
คอยตะครุบมือเอาไวให้ทันการที่เราเรียนอะไรมาผิดๆ แล้วต้องมาแก้ นี้ มันยากลำบากเสียยิ่งกว่าเริ่มสอนให้ผู้ไม่รู้ เพราะ ฉะนั้นถึงได้ยํ้าว่า เมื่อจะปฏิบัติ พยายามปฏิบัติให้ เที่ยงตรง ให้ถูกต้อง เพราะล้าปฏิบัติผิดแล้วจะไป แก้นี่มันยากมากๆ เลยครูบาอาจารย์จึงได้กำชับว่า ยามหนุ่มสาว อยู่ว่าช่างมันเถิด เราต้องทำมาหากินก่อน ไม่ได้ ด้วยเล่ห์ต้องเอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็เอาด้วย คาถา ไว้แก่ตัวแล้วค่อยไปปฏิบัติท่านอาจารย์บอก ไม่ได้ปฏิบัติหรอก แค่แก้นิสัยเก่าๆ ยังไม่ทัน หมดเลย ตายเสียก่อนแล้ว เพราะมันแก้แสนยาก แสนเย็นตอนที่เรามีคอมมิวนิสต์กระจายอยู่ทั่วอีสาน เคยมืคนไปกราบเรียนถามท่านอาจารย์พระมหาบัวว่า ท่านก็เป็นพระเด่นพระดัง พระองค์นั้นองค์นี้ท่าน ยังท่าผ้ายันต์ ท่าตะกรุด ท่าพระ ให้ทหารตำรวจ ชายแดนพกพาไว้เป็นกำลังใจ แล้วหลวงตาท่าไม ไม่ท่าตอบแทนที่ชาวบ้านใส่บาตร ถวายปัจจัยไทย ทานบ้าง หลวงตาตอบ การปันพระผง พระดิน พระอิฐนั้น มีคนทำกันเยอะแยะแล้ว แต่ท่านจะ ปั้นคนให้เป็นพระ
การปั้นคนให้เป็นพระนั้นทำกันอย่างไร มัน ต้องรื้อภพรื้อชาติ ดูสิ เรามีตึกเก่าๆ เราจะทุบทิ้ง แค่ตึกเดียว ยังต้องทำนั่งร้านขึ้นไป เอาคนงานขึ้น ไปตั้งเท่าไร ทุบอยู่เป็นเดือนจึงสำเร็จ นี่เราจะรื้อ ภพรื้อชาติที่สร้างสมมาเป็นอสงไขย ต้องถือเป็น งานที่ใช้สำนวนอย่างเราก็ว่าฟูลไทม์ มันไม่เหลือ เวลาตรงไหนจะไปปัมตะกรุดหรือทำอะไรได้อีก แล้ว ฟังแล้วก็เห็นซึ้งถึงใจเมื่อเรามาปฏิบัติเราก็ต้องรื้อภพรื้อชาติของเราถ้าไม่เข้มแข็งเอาจริงเอาจัง ไม่จดจ่อตั้งใจ ไม่ปฏิบัติให้เที่ยงตรงถูกต้อง ทำไปสักพัก เราก็ต้องแก่ไขรื้อทำใหม่อีก ใจก็เกิดความเบื่อ สติ เริ่มวับๆ แวมๆเหมือนคุณแม่ชีท่านหนึ่ง เมื่อดิฉันไปดูแล ท่านอายุ 90 แล้ว บางทีท่านก็เหนื่อย ปวดตรง โน้นยอกตรงนี้จากฃันธมารมารบกวนพอดิฉัน

เตือนให้ท่านอย่าทิ้งสติ ตั้ง พุท..โธ.. เอาไว้ ท่านก็ ประท้วงว่า คุณลูกยังเด็กอยู่ ยังมีเรี่ยวมีแรง ลูก ก็ท่าของลูกไปเถอะ แม่เหมือนพระอาทิตย์คล้อย จะตกดินอยู่แล้ว แค่กะพริบตามันก็จมดินไปแล้ว ท่านก็ไม่ยอมกำหนด ปล่อยให้มันเป็นไปตามเรื่อง ของมัน ท่านไม่ยอมเชื่อเราว่า ถึงตกดินแล้ว มัน ก็กลับขึ้นมาใหม่ คือมันเกิดใหม่ มันก็จะเอานิสัย เดิมมาบริหารอีก ถ้าเราแก้เสียที่ตรงนี้ให้ได้ เรา ยังเกิดใหม่เราก็ได้กำไรแล้วเพราะเราตั้งตัวถูกฐานของใจแน่นหนามั่นคงถึงได้บอกว่าใจดวงนี้เหลือเชื่อจริงๆถ้าเรา
ย่อหย่อนอ่อนแอ ท้อแท้ เกียจคร้าน.. ท่าไม่ไหว ผัดวันประกันพรุ่ง.. เอาไว้พรุ่งนี้เถอะ มันก็จะเอา ไว้พรุ่งนี้เถอะจนเป็นนิสัยติดใจไปไม่รู้จบ แต่ถ้าเรา ระลึกได้ ธาตุรู้!ม'มีแก่ ไม่มีเด็ก มีแต่ว่าใจเป็น นักเดินทางมาราธอน พอเช็คเอ้าต์จากโรงแรมนี้ ร่างกายในภพนี้หมดลมหายใจ เรียกว่าตายใจก็หลุดเป็นกายละเอียด เป็นอิสระท่องเที่ยวไป ไม่ นานก็ไปปักหลักก่อภพก่อชาติใหม่ ไปเช็คอินคือ
ปฏิสนธิในไข่สุกที่ผสมแล้วของแม่ครบกำหนดคลอดออกมาก็มีนิสัยเก่าๆติดเป็นสมบัติมาเป็นเสบียงเครื่องตั้งตัวหรือเป็นหนี้เป็นสินให้ต้องยาก ลำบากการเจริญสติทำให้รู้ว่านิสัยอะไรไม่ดี ก็ตั้ง อกตั้งใจรีบขุดมันทิ้งไป เพียรทำให้ได้ ท่านว่าฝึก อะไรอื่นหมื่นแสนก็ไม่มีประโยชน์เท่าฝึกใจของตัว เองได้แม้ครั้งเดียว ก็คือตรงนี้แหละ ลองสังเกต ครูทั้งหลาย รวมทั้งนักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ชอบ ที่จะไปแก้คนอื่น เพราะหลงว่าฉันมีหน้าที่ ต้องคอย ดูแลแก้ไขศิษย์ แต่ตัวเองไม่แก้ ก็เลยเป็นไม้แก่ ดัดยาก เราจึงต้องมาดูเราเอาไว้เมื่อตั้งทิศทางถูก เห็นอย่างนี้ ก่อนจะถูก กิเลสพาให้มองออกข้างนอก ไม่ตั้งใจจะมอง พอ เห็นลูกเต้าหรือใครทำอะไรไม่ดี หางตาไปกระทบ เข้า ก็เห็นแล้ว แต่ตัวของตัว ก็ว่าตั้งใจมองอยู่ กลับ เหมือนมีเส้นผมบังภูเขา ฃนาดเขาพระสุเมรุทั้งเขา มาตั้งตรงหน้าก็ยังมองไม่เห็นความร้ายของตัว
เองมีอยู่ใครมาบอกให้ก็ไปว่าเขาอีกว่าเขาอิจฉา เขาใส่ความเรา เพราะปฏิบัติไม่ได้อย่างเรา อุปาทานขันธ์ ความยึดมั่นสำคัญผิดจึงเป็นเหตุแห่งทุกข์ อย่างนี้
ครูบาอาจารย์ท่านให้กำลังใจว่า ถึงตอนแรก อวิชชาจะบังความจริงเอาไว้ เราไม่รู้จริงๆ แต่เข้าใจ ว่ารู้แจ้งเห็นจริงแล้ว ก็ให้ท่าใจเหมือนถ้วยว่างๆ ใครมาพูดอะไรก็ตั้งใจฟ้งเอาไว้ เปิดหูเปิดใจตั้งสติ จดจ่อฟัง เมื่อฟังจริงๆ ..ที่เขาพูดก็เข้าท่านะ ลอง เอาวิธีของเขามาท่าดู ท่าแล้วก็ดูเข้าท่ากว่าของเรา ตรงนี้เราได้กำไร เพราะได้เรียนรู้และ แกไขปรับ เปลี่ยนความคิด การกระท่า คำพูดของตัวเอง
การปฏิบัติ คือ การปิดปาก แล้วเปิดหู เปิด ตา เปิดใจ รับรู้ผัสสะต่างๆ ไม่เป็นดังนี้าชาล้นถ้วย เรามีแต่ได้กำไร ดังนิทานเซ็นที่เล่าถึงศาสตราจารย์ท่านหนึ่งท่านภูมิใจว่าท่านเป็นนักปราชญ์ผู้รู้ถ้ามีใครที่เป็นนักปราชญ์หรือมีพระปฏิบัติผ่านมา ท่านจะต้องไปหา สนทนาด้วย ท่าเหมือน ตัวเองไปให้คะแนน ว่าท่านผู้นี้ใซได้ หรือว่าใช้ ไม่ได้อยู่มาวันหนึ่ง มีพระธุดงค์มาปักกลดอยู่ที่ ชานเมือง พระธุดงค์ท่านรู้วาระจิตว่าใครคิดอะไร ท่านศาสตราจารย์ยังไปไม่ถึง ท่านก็รู้แล้วว่าเจ้านี่นํ้าชาล้นถ้วย เพราะฉะนั้น พอท่านศาสตราจารย์ มาถึง พระธุดงค์ก็ทักทาย ท่านศาสตราจารย์หรือ เป็นอย่างไรบ้าง จะมาคุยกันหรือ ได้สิ..ท่านก็หยิบป้านนํ้าชาขึ้นมา เอาถ้วยนํ้าชาวาง แล้วมือก็ริน นํ้าชาไป ปากก็คุยกับท่านศาสตราจารย์ไปเรื่อยๆ รินจนนํ้าชาเต็มถ้วยแล้ว ก็ยังคงรินต่อไปเหมือนไม่ รู้ว่านํ้าชาล้นหกแล้ว ท่านก็รินอยู่นั่นแหละ ท่าน ศาสตราจารย์ก็สรุปในใจ ..โธ่เอ๋ย.. ใครว่าเก่ง แค่ สติที่จะรู้ว่านั้าชาหกล้นถ้วยแล้วก็ไม่มี ยังรินอยู่นั่น แล้ว ท่านศาสตราจารย์ก็ติงพระธุดงค์ว่า พระคุณเจ้านํ้าชาล้นถ้วยหกไปหมดแล้ว พระเถระตอบ อย่างนุ่มนวลว่า นํ้าชาที่ล้นถ้วยไปนัน มันก็เสียแค่ นํ้าชา แต่ใจคนนี้ ถ้ามันล้นถ้วยเสียแล้ว ฟังอะไร ถึงจะดีวิเศษแค่ไหน มันก็ไม่เข้าไปถึงใจได้หากท่านศาสตราจารย์ฟังได้ยินแล้วฉุกคิดได้ ท่านก็จะร้ว่าพระเถระตีท่านตรงแสกหน้าเข้าให้แล้ว ท่านบอกว่า นํ้าชาที่หกล้นถ้วยนันก็เป็นแค1นำที่สนน ราคาไม่เท่าไร แต่ใจของคนที่เต็มไปด้วยทิฐิ ล้น อยู่แล้ว พูดอะไรไปก็ไม่เกิดประโยชน์ ฟังไม่ได้ยิน เพราะมัวได้ยินแต่เสียงความคิดของตัวเอง คน เราถ้าคิดยกตนข่มท่าน ดูถูกผู้อื่นว่าไม่มีความรู้ อะไร เราขาดทุนสถานเดียวเพราะทุกสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นครูสอนเราได้ทั้งนั้นถ้ารู้จักพิจารณา กลั่นกรองออกมามีเรื่องเล่าอีกเรื่อง เศรษฐีท่านหนึ่งเครียด กับปัญหาการงานของท่านมาก ไปหาจิตแพทย์ คุณหมอก็แนะนำให้เศรษฐีมองโลกให้เป็นสีเขียว ให้หมด แล้วจิตใจท่านจะได้เบิกบานสงบเย็นขึ้น ท่าอย่างไรท่านเศรษฐีถึงจะมองให้โลกนี้เป็นสีเขียว ได้หมดท่านไปปรึกษาใครต่อใคร เขาก็แนะนำว่าต้องเอาสีเขียวมาทาตึกรามบ้านช่อง ทาผู้คน ทา ทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นสีเขียวให้หมด แล้ววิธีนี้มัน จะสิ้นทุนทรัพย์ตั้งเท่าไรกันเล่า พอดีมีคนไปถาม เด็กอนุบาลว่าถ้าเราจะเปลี่ยนโลกให้เป็นสีเขียวจะ ท่าอย่างไรดีหนูน้อยตอบโดยไม่ต้องคิดว่าก็ไป
หาแว่นตากระจกสีเขียวมาใส่ อะไรๆ ก็จะสีเขียวไป หมด แล้วถ้าไม่พอใจให้โลกเป็นสีเขียว ต้องการ ให้เป็นสีชมพู เราก็เอากระจกสีชมพูใส่แทน โลก ก็เป็นสีชมพูบางครั้งเราดูถูกว่าเด็กไม่รู้เรื่อง แต่ใจของ เด็กที่นิ่งใสเป็นกระจกเอาสติจดจ่อฟังอยู่ ใจตัวรู้ก็เห็นปัญหาตามความจริง แต่ท่านเศรษฐีเต็มไป ด้วยนิวรณ์ มองอะไรผ่านระลอก ระลอกแล้ว ระลอกเล่าตะครุบได้แต่เงา หมอแนะให้ดูสีเขียว แล้วจะสดใส ท่านก็ไม่สดใส เพราะสร้างปัญหาขึ้น มาอีกจากการไปหาชื้อสี แล้วดีไม่ดีผู้คนก็จะคิด ว่าท่านเศรษฐีไปบุกรุกบ้านเขา เขาไม่ได้ต้องการทา บ้านให้เป็นสีเขียวท่านก็ส่งคนไปทาให้บ้านเขาเป็นสีเขียว ซํ้าร้ายท่านเศรษฐีท่านจะมาทาพวกเรา ให้เป็นสีเขียวไปด้วย คงต้องได้ตีกันแน่เวลาที่เราหมกมุ่น ไปยึดมั่นสำคัญผิดกับอะไรเอาไว้ เราจะมองไม่เห็นความจริงที่ง่ายเป็นธรรมชาติแต่จะไปคิดซับช้อนเตลิดเปิดเปิงจน
ยุ่งเหยิงวุ่นวายไปหมด เหมือนดิฉันเอง ที่ปอดมีถุงลมผิดปกติมาแต่ กำเนิด ตอนเรียนหนังสือชันมัธยม เป็นนักเรียน เตรียมแพทย์ต้องตรวจร่างกายถูกเอกซเรย์ปอด ก็ ปกติดีพอเป็นนักศึกษาแพทย์สิริราช เอกซเรย์ พบจุดที่ปอดสมัยนั้นทุกคนกลัววัณโรคเพราะ
รักษาให้หายได้ยาก แล้วงานนักเรียนแพทย์ก็หนัก อาจารย์กลัวว่าล้าดิฉันเป็นวัณโรคที่ปอดแล้วรักษา ไม่หายก็จะเอาเชื้อไปแพร่ให้คนไข้ ทำให้คนไข้ปวย เป็นวัณโรค อาจารย์จะไม่ยอมให้ดิฉันเรียน ให้พัก เรียนก่อนตอนนั้นดิฉันหนัก 34 กิโล ตั้งแต่เกิดก็ ตัวเล็กมาอย่างนี้ โตมานี้าหนักก็ค่อยๆ เพิ่มชื้นมา จนได้ 35 กิโลนี่แหละ ไม่ใช่ว่าเรานี้หนักลดลง พออาจารย์เจอจุดที่ปอด ท่านก็ฟันธง คุณต้องพักการเรียนเราก็ถามอาจารย์ว่าจะให้พักเรียนนานแค่ไหน ท่านก็มองอย่างชั่งตวงวัดแล้วบอก ให้หนัสัก 45 กิโล ..เท่านั้นแหละ ดิฉันร้องจาก เลยว่า ล้าอย่างนั้นตายแล้วเกิดใหม่อีก 10 ชาติก็ ไม่ได้เรียนหมอแน่ๆ เพราะเราไม่เคยหนักถึง 45 แล้วลดเหลือ 35 จะได้พักแล้วน้ำหนักก็เพิ่มคืนมา อย่างนั้นได้ จึงเป็นตายก็ยอมไม่ได้ตอนนั้นเราคิดไม่เป็น ก็เรามีสติปัญญาที่จะ เรียนหมอได้ คิดอยู่อย่างเดียว ไม่ได้คิดถึงสุขภาพ เพราะที่หนักเท่านี้ก็ว่าแข็งแรงดี ไม่เคยล้มหมอน นอนเสื่อถ้าเรียนหมอไม่ได้ นึกไมออกเลยว่าเราจะ ไปเรียนอะไรอย่างอื่นได้ เพราะความคิดในตอนนั้น ถ้าไม่ได้เรียนหมอ เราจะต้องไปเป็นคนกวาดถนน แน่ๆ คงเป็นเพราะเห็นคนกวาดถนนอยู่ข้างๆ รั้ว โรงพยาบาลคิรีราช ตลกมากเลย ถึงตอนนี้ก็ยังขำ ตัวเอง ท่าไมถึงบ้าได้อย่างนั้นเวลาที่ใจไปยึดติดกับอะไรไว้ มันเหมือนม้า ที่เขาใส่กระบังเอาไว้เพราะกลัวมันจะตื่น ให้มันมอง เห็นอยู่แต่ข้างหน้าเท่านั้นตอนนั้นดิฉันก็คงเป็นอย่างม้า มีแต่ความสยองขวัญเหลือเกิน อาจารย์ จะให้ท่าอะไรยอมทั้งนั้น ขออย่างเดียว อย่าให้ พักการเรียน อาจารย์ให้กินยารักษาวัณโรคทั้งๆ ที่ ดิฉันไม่ได้เป็นวัณโรค เอานํ้าในกระเพาะไปฉีดหนู ตะเภาแล้วเอาหนตะเภามาตรวจ มันก็ไม่เป็นวัณโรค
ตรวจสอบกี่อย่างๆ ผลก็ออกมาว่าไม่เป็นวัณโรค อาจารย์ก็ยังยืนยันว่า ตัวคุณน้ำหนักแค่นี ผมว่า คุณต้องเป็นแน่ จนไปเมืองนอก ไปไม่สบายเข้า ดิฉันหอบเอาเอกซเรย์ของตัวเองไปทั้งหมด ก็ให้ ตรวจจนละเอียดถี่ถ้วน จึงรู้ว่าที่เห็นเป็นจุดนั้น ไม่ใช่วัณโรค แต่เป็นถุงลมที่ผิดปกติมาแต่กำเนิด ซึ่งไม่เป็นเฉพาะที่ปอดเท่านั้น จะพบได้ที่อื่นๆ อีก
พอแก่ตัวลง หมอหาว่าดิฉันเป็นมะเร็งที่รังไข่ เอาตัวไปผ่า ก็พบว่าไม่มีมะเร็งที่รังไข่ มีแต่ก้อนเนื้อที่มดลูก แต่มดลูกมันควํ่าหน้าจึงทำให้หมอ ดูจากอัลตราชาวนด์ก็ดูผิดไป ตกลงดิฉันถูกผ่าฟรี แต่ก็ได้ไปพบโดยบังเอิญว่าที่ตับก็มีถุงใสเล็กๆ อยู่ สัก 10 ถุงเห็นจะได้ ท่านองเดียวกับที่ปอด หมอ ก็สงสัยว่ามะเร็งจะกำเริบมาที่ตับต้องตัดตับทิ้งเคราะห์ดีที่รอดมาไต้ ท่าให้ชีวิตมืเรื่องตื่นเต้นอยู่ เสมอ
พอมาพิจารณาดูแล้ว ร่างกายของเรามันช่าง พิกลพิการผิดปกติไม่รู้กี่อย่าง ที่มีชีวิตอยู่เป็นเนื้อ เป็นตัวปกติดีมาได้จนทุกวันนี้ก็มหัศจรรย์นักหนา แล้ว ตอนแรกก็วิตกว่ามันกรรมอะไรเราถึงได้เป็น อย่างนี้ แต่ตอนนี้ได้คิดแล้วว่า เราคงไปทำใครเอา ไว้ขาดๆ เกินๆจึงมาพบตัวเองขาดๆเกินๆอย่างนี้ซึ่งก็ดีทำให้เรามีแบบฝึกหัดได้สะสมประสบการณ์ สำหรับมาปฏิบัติในเวลาต่อมาพอเข้าวัด ท่านอาจารย์สิงห์ทองเทศน์ว่า ขันธ์ 5 กายกับใจ ที่แท้จริงเป็นธรรมชาติ แต่เมื่อ กลายเป็นอุปาทานขันธ์ 5 แล้ว ก็เป็นรวงรังของ ทุกข์ จึงเห็นได้ชัดเลยว่า อาจารย์ที่ดูแลสุขภาพ นักศึกษาใช้อุปาทานของท่านมาวินิจฉัยดิฉัน เพียง เพราะท่านสำคัญผิดเชื่อตาของท่านว่า นํ้าหนักตัว 35 กิโลอย่างดิฉันต้องเป็นวัณโรค ทั้งๆ ที่ผลการ ตรวจทางห้องทดลองทุกอย่างยืนยันว่าไม่ใช่ ดิฉันก็ ทุกข์แสนสาหัสในการยืนหยัดต่อสู้กับอุปาทานของ ท่านกว่าจะจบเป็นหมอมาได้เมื่อมองอีกด้านหนึ่ง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วน ดีมีคุณค่าอย่างมาก เพราะท่าให้ประจักษ์ขัดในค่า ตรัสของพระพุทธองค์ที่ว่าการปฏิบัตินันจบสิ้นด้วยตัวปัญญา เกิดปัญหาอะไร ต้องพิจารณาให้
ได้แยบคายอุบายจนใจเห็นตาม ปล่อยวางปัญหา กลับมาเป็นใจปกติ ถ้าปฏิบัติอยู่อย่างนี้จนกลาย เป็นอุปนิสัย เมื่อเจอะเจออะไร..อะไร เราก็พินิจ พิจารณาไปเรื่อยๆ ซึ่งก็ช่วยให้เราอยู่ในโลกนี้ได้ อย่างไม่ฟกชํ้าดำเขียว อะไรๆ เราก็เห็นว่ามันเป็น มรดกของเรา เพราะตัวเราเป็นตัวก่อเหตุเอาไว้เอง แล้วจะไปร้องแรกแหกกระเชอเอากับใคร เราก็มี กำลังใจขึ้น
อย่างสึนามิที่ญี่ปุนครั้งล่าสุดทำให้เห็นเลยว่า ไม่ต้องเรียงว่า เกิด แล้วแก่ แล้วเจ็บ แล้วจึงตาย เมื่อเหตุมีว่าจะตาย มันจะเกิดอายุ 90 ปี หรือเกิด อายุ 9 เดือน หรือ 9 วัน พอถูกสึนามิกวาดขึ้นมา ทีเดียว มันเสมอภาคกันหมด ทุกคนตายได้พร้อม กัน จะแก่ไม่แก่ เจ็บไม่เจ็บ ทำให้เห็นที่พระพุทธเจ้าตรัสเลยว่าของทุกอย่างเสมอกัน ไม่มีคนจน คนรวย คนฉลาด คนโง่ มีแต่เพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทังหมดแค่นั้นเองควรจะโลภโมโทล้น จะเป็นอย่างโน้นอย่างนั้นอย่างนี้ พอสึนามิมัวนตัวเอาความตายพัดผ่าน ซากที่เหลือ อยู่ มันเสมอกันหมดจริงๆแล้วเหตุใดจึงมีบางคนเหลือรอดชีวิตได้เล่ๅ ก็เพราะเหตุที่ทำไว้แตกต่างกัน วาระแห่งความ ตายจึงยังมาไม่ถึงเราไม่ต้องหนีไปไหน อยู่บนโลกใบนี้นี่แหละ แล้วขวนขวายทำกุศลผลบุญ ทำ คุณงามความดีเอาไว้เท่านั้น ก็จะช่วยให้เรารอด ได้ หรือหากถึงคราวดับขันธ์จริงๆ ก็จะเป็นอย่าง พระนางสามาวดีที่อดีตเหตุส่งผลมาถึง
ในอดีตชาติ พระนางสามาวดีกับเหล่าสหาย หญิงไปเล่นนํ้ากัน พอหนาวก็ก่อกองไฟผิงขณะ
ก่อกองไฟไม่ได้สังเกตให้ดี เมื่อไฟมอดหมดแล้ว จึงพบว่าไปทำร่างของพระปัจเจกพุทธะที่ท่านเข้าฌานสมาบัติอยู่ไหมัไฟด้วยความกลัวความผิดจึงช่วยกันเอาใบไม้ กิ่งไม้แห้งๆ มาสุมร่างท่านจน มิด แล้วจุดไฟเผาเพื่อให้ไหม้หมดเกลี้ยงไปด้วยบุพพกรรมนั้นในชาตินี้ที่เกิดเป็นพระนาง สามาวดีและเหล่านางกำนัลเมื่อพระเจ้าอุเทนผู้เป็นพระสวามีถูกชักจูงให้เสด็จประพาสอุทยานแล้ว พระนางมาคันทิยามเหสีอีกองค์ก็บัญชาบ่าวไพร่ให้เอาผ้าชุบนํ้ามันมาพันเสาตำหนักพระนางสามาวดีให้ หมดทุกต้น ขัดดานประตูจากด้านนอกไม่ให้ใคร เข้าออกได้ แล้วจุดไฟคลอก พระนางสามาวดีเป็น ผู้ปฏิบัติธรรม แม้เมื่อทราบว่าตำหนักไฟไหม้ก็ไม่ ตื่นตกพระทัย ให้กำลังใจเหล่านางกำนัลว่า ถึงเรา ไม่ถูกไฟคลอก วันหนึ่งเราทุกคนก็ต้องตาย การ ที่เรารู้ตัวอย่างนี้ เราจะได้ตายอย่างมีสติ ขอให้เรา ตั้งใจภาวนา พากันนึกถึงองค์พระสัมมาส้มพุทธเจ้า เพราะใจซึ่งเป็นธาตุรู้ไม่ตายใจยิ่งมีเสบียงมากเราก็ยิ่งมีทุน สามารถไปเกิดใหม่แล้วปฏิบัติต่อจน ถึงจุดหมายปลายทางได้เช้าวันรุ่งขึ้น มีคนไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่า พระนางสามาวดีก็ทำบุญทำกุศลมากมาย ทำไมจึง ถูกไฟคลอกตาย พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนทั้งหมด ในตำหนักตายแต่กายแต่ใจของแต่ละคนเหล่านั้น บ้างก็ไปเป็นอนาคามี บ้างก็ไปเป็นสกิทาคามี บ้างก็ไปเป็นโสดาบัน แล้วจิตเหล่านั้นจะไปปฏิบัติ ต่อจนกระทั่งถึงสุขอันเกษม
หากเห็นชัดอย่างนี้แล้ว เตรียมตัวไว้ ขณะนี้ ภัยธรรมชาติก็เกิดมากมายทั่วทั้งโลก เพราะอะไร เพราะเราแต่ละคนช่วยกันเอามลภาวะใส่เข้าไปใน บรรยากาศการที่เราไม่เจริญสติ ไม่รักษาใจเราให้สงบ จึงเป็นใจที่ถูกกิเลสครอบงำ คิดไปตาม อารมณ์ เป็นอกุศลคลื่นความคิดเหล่านี้จึงจัดเป็นมลภาวะของสิ่งแวดล้อม ทำให้ธรรมชาติเกิด แปรปรวน อุณหภูมิของโลกร้อนขึ้น ก่อเกิดไต้ผ่น สึนามิ ไฟไหม้ นี้าท่วม แผ่นดินไหว ดูสินี่จะเดือนเมษาแล้ว เราไม่เคยมีเลยที่เดือนมีนา เมษา อากาศจะหนาวเย็นอย่างนี้ สงสัยหิมะจะตกตอน สงกรานต์ก็ไม่รู้ แล้วมันก็หนาวอย่างไรพิกล คือหนาวเข้าไปถึงไขกระดูกถ้าสติของเราตั้งมั่นอยู่กับใจ เราก็จะเอา ความแปรปรวนเหล่านี้มาเป็นตัวเร่งให้ขวนขวายใน การปฏิบัติ เดินเมื่อไรเอาใจไปเดินด้วย รู้เท้าซ้าย เท้าขวาทำการงานอะไรก็เอาใจไปจดจ่อรู้อยู่กับงานนั้น เมื่อพักก็กลับเข้าฐาน คือมารู้อยู่กับลมหายใจครูบาอาจารย์ท่านสอนอยู่เสมอว่า กาย เราจะเป็นอย่างไร โลกนี้จะเป็นอย่างไร เราไป เปลี่ยนแปลงแกไขมันไม่ได้ แต่เราอย่าให้มันมา ทับเราหนีบเราจนสติแตก ใจกระจุยกระเจิงไป ท่าใจเราให้แตะอยู่บนโลก เหมือนลูกโป่งที่ลอยตัว แตะอยู่บนผิวนํ้า ระดับนํ้าที่สูงหรือตํ่า ก็เปรียบ เหมือนโลกธรรมที่เข้ามากระทบใจเรา มีคำวิพากษ์ วิจารณ์ นินทา สรรเสริญ มีสุข มีทุกข์ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ อาจเต็มล้นตลิ่ง หรือ แห้งขอดเหลือผิวนี้าบางๆ พอให้ลูกโป่งแตะอยู่ได้ เราก็ไม่หวั่นไหว คงประคองใจไว้ให้มืธรรมเป็น เครื่องอยู่มีสติสัมปชัญญะปัญญาเป็นเครื่องปกปักรักษา มีนํ้าใจไมตรี เมตตา เป็นนํ้าประสาน โลกประสานใจเข้าด้วยกัน สามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจ เดียวกัน อะไรเกิดขึ้น ก็พร้อมจะเผชิญกับมันอย่าง พระนางสามาวดี กายแตกให้แตกไป ส่วนใจนั้น มีเสบียงเพียงพอจะคุ้มครองให้ไปจนถึงจุดหมาย ปลายทางหรือยังก็หวังว่าสิ่งที่มาเล่าสู่กันฟังวันนี้จะทำให้ท่าน เกิดกำลังใจ ได้ขวนขวายปฏิบัติเพื่อสร้างฐานที่ตั้ง ใหใจของตน จนใจเกิดกำลัง คิดอะไรก็เป็นการ เมตตาตนเอง ก็ฝากไว้เป็นกำลังใจ เป็นแนวทาง ในการเดินทางเข้าสู่อริยมรรคขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า.
พิมพ์โดย     ปภัสสร  มีพงษ์
แหล่งที่มา   http://web.krisdika.go.th/buddha/75_HowCreate.pdf

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Back To Top